หน้า 4 จากทั้งหมด 8
news19/10/07
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 9:02 pm
โดย chartchai madman
ไอเอ็มเอฟ ชี้ เศรษฐกิจปีหน้าชะลอ แต่ไม่น่าถดถอยรุนแรง
กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ นาย โรดริโก้ ราโต้ กล่าวว่า วิกฤตสภาพคล่องที่เกิดขึ้นในตลาดทุนทั่วโลก ตลาดสินเชื่อที่ยังคงไม่ผ่อนคลาย และตลาดหุ้นที่ปั่นป่วนทั่วภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา จะยังไม่สิ้นสุด และต่อเนื่องไปในปีหน้า อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวไม่น่าจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอลง หรือเกิดการติดลบในปีหน้า นาย โรดริโก้ ราโต้ ย้ำต่อไปว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีหน้า จะชะลอตัวลง แต่ไม่เกิดภาวะการชะลอตัวลงอย่างรุนแรง
คนอเมริกันเกือบครึ่งประเทศ รู้สึก เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เปิดเผย ผลสำรวจที่มีชื่อว่า CNN Opinion Research Corporation ล่าสุด พบว่า จำนวนชาวอเมริกันเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ หรือราว 46% รู้สึกว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเกิดภาวะถดถอย ในขณะที่เหลือ 51% ไม่รู้สึกว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในจำนวนผลสำรวจดังกล่าว ชาวอเมริกันผิวดำรู้สึกว่าเศรษฐกิจถดถอยมากกว่าคนอเมริกันทั่วไป ทั้งนี้ ในจำนวนคนอเมริกันผิวดำทั้งประเทศ พบว่า 69% รู้สึกว่าเศรษฐกิจถดถอย ในขณะที่ 42% ของคนอเมริกันผิวขาวหรือทั่วไป รู้สึกว่าเศรษฐกิจถดถอย
แบงก์ ออฟ อเมริกา ขาดทุนอ่วมไตรมาสที่ 3 ลดงาน วาณิชธนกิจ
ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในสหรัฐ รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ด้วยความผิดหวังต่อนักลงทุน ด้วยรายได้สุทธิร่วงลงเหลือเพียง 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.295 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา ประกาศลดสาบงานวาณิชธุรกิจลงในปีหน้า สาเหตุจาก มีผลขาดทุนสูงถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.4 แสนล้านบาท ในการเข้าไปลงทุนตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภท Subprime ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ทรุด 32%
แคปปิตัล วัน ขาดทุนหนักไตรมาสที่ 3 ปิดหน่วยสินเชื่อ
บริษัท แคปปิตัล วัน ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจให้บริการออกบัตรเครดิต และสถาบันการเงินในสหรัฐ เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนเช่นกัน โดยมีผลขาดทุนสุทธิมากถึง 81 ล้านเหรียญ หรือราว 2,835 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา มีผลกำไรสูงถึง 589 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ผลจาดทุนอย่างหนัก เกิดขึ้นจากการเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภทสับไพร์ม และได้สั่งปิดหน่วยธุรกิจสินเชื่อประเภทดังกล่าวด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news20/10/07
โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 20, 2007 10:11 pm
โดย chartchai madman
จี 7 รับปากคุมผลกระทบซับไพร์มต่อเศรษฐกิจโลก
วอชิงตัน-บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านการคลังของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก(จี 7)รับปากจะพยายามทุกวิธีทางเพื่อควบคุมความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจโลกจากวิกฤตการณ์สินเชื่อ โดยแถลงว่า กลุ่มยังคงพยายามดำเนินการในส่วนของตนเอง เพื่อทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป พร้อมคาดว่า ตลาดการเงินโลกยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
http://www.bangkokbiznews.com/nws/scrip ... &type=ktbu
news23/10/07
โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 23, 2007 1:06 pm
โดย chartchai madman
หลากความเห็นตั้งกองทุน Super Fund พยุงวิกฤตสภาพคล่อง
Posted on Monday, October 22, 2007
ประธานธนาคารดอยช์แบงก์เรียกร้อง กองทุนซุปเปอร์ฟันด์ต้องโปร่งใส
คณะกรรมการกองทุนซุปเปอร์ฟันด์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยการนำของกลุ่มธนาคารซิตี้ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น เจพี มอร์แกนเชส และแบงก์ ออฟ อเมริกา เพื่อเข้าซื้อตราสารหนี้เสียในระบบที่เกิดจากวิกฤติสภาพคล่องทั่วโลก เรียกร้องให้เกิดความโปร่งใส ในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งราคารับซื้อตราสารหนี้เสียดังกล่าวที่มีราคาสูงกว่าราคาตลาด ทั้งนี้ นายโจเซฟ แอคเคอร์เม็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารดอยช์แบงก์ และประธานสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IFF) กล่าวเสริม ต้องมีการประเมินมูลค่าอย่างเหมาะสมที่สุด
ฝ่ายตรวจสอบธนาคารแห่งบัสเซลชี้ซุปเปอร์ฟันด์อาจซ้ำเติมวิกฤตการเงิน
นายเน้าท์ เวลลิงค์ ประธานคณะกรรมการ ฝ่ายตรวจสอบธนาคารพาณิชย์แห่งบัสเซล กล่าวว่า วิกฤติสภาพคล่องในระบบที่เกิดขึ้นในสหรัฐ และลุกลามไปทั่วโลกนั้น ยังไม่จบสิ้นลงอย่างง่าย ๆ นอกจากนี้ ความพยายามของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในสหรัฐ ที่ต้องการเข้าไปแก้ไข ด้วยการเข้าซื้อหนี้เสียในระบบผ่านกองทุนซุปเปอร์ฟันด์ อาจทำให้ภาวะตลาดกำลังย้อนกลับไปสู่ความเลวร้ายอีกครั้ง ทั้งนี้ นายเน้าท์ เวลลิงค์ ประธานคณะกรรมการดังกล่าว เรียกร้องให้มีการชี้แจงในรายละเอียดเกี่ยวกับ การทำงานของกองทุนซุปเปอร์ฟันด์
อลัน กรีนสแปน ไม่มั่นใจกองทุนซุปเปอร์ฟันด์ ชดเชยความเสี่ยงได้
อลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กล่าวว่า กองทุนซุปเปอร์ฟันด์ ที่มีมูลค่าเบื้องต้นมากถึง 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.8 ล้านล้านบาทนั้น โดยส่วนตัวแล้วไม่แน่ใจว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากกองทุน มีมากกว่าความเสี่ยงหลาย ๆ อย่างในระบบหรือไม่ และเตือนว่า ที่สำคัญด้วยวิธีการทำงานของกองทุน อาจทำให้เกิดภาวะไม่สมบูรณ์แบบ ในการอาศัยกลไกตลาดตราสารหนี้ ในการประเมินราคาตราสารประเภทดังกล่าว ซึ่งมีสินทรัพย์ค้ำประกันด้วยมูลค่าที่แท้จริง ซึ่งแตกต่างจากในยุคกองทุน LTCM
รัฐมนตรีคลังสหรัฐสนับสนุนตั้งกองทุนซุปเปอร์ฟันด์
นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าวให้การสนับสนุนการจัดตั้งกองทุน ซุปเปอร์ฟันด์ ดังกล่าวว่า ในขณะนี้มีการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน และนำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับวิธีการทำงานของกองทุนซุปเปอร์ฟันด์ ในความเป็นจริง กองทุนดังกล่าว ไม่ได้ทำหน้าที่ในการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ หรือตราสารหนี้เสียที่อยู่ในระบบแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม กองทุนซุปเปอร์ฟันด์ จะเป็นตัวกลางในการเชื่อมเข้าหากันระว่างนักลงทุนขั้นสุดท้าย กับธนาคารพาณิชย์ เพื่อซื้อสินทรัพย์ ที่ไม่ได้รับการประเมินความน่าเชื่อถือที่ดีพอ
2 ธนาคารยักษ์ชั้นนำของโลกกู้เงินแบงก์ชาติสหรัฐอีก 1 ล้านล้านบาท
ธนาคารบาร์เคลย์ และธนาคาร รอยัลแบงก์ ออฟ สก๊อตแลนด์ ซึ่งเป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงชั้นนำของอังกฤษ และในยุโรปตามลำดับ เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ได้เข้ากู้ยืมเงินจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด มูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1 ล้านล้านบาท โดยธนาคารบาร์เคลย์ กู้ราว 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 7 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือ 3 แสนล้านบาทกู้โดย ธนาคาร รอยัลแบงก์ ออฟ สก๊อตแลนด์เพื่อเข้าไปช่วยเหลือลูกค่าของทั้ง 2 ธนาคารในสหรัฐ ที่ประสบปัญหาวิกฤติสภาพคล่อง
ประธานสถาบัน IFF เตรียมประกาศการปฏิรูประบบการเงินในรอบ 25 ปี
นายโจเซฟ แอคเคอร์เม็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารดอยช์แบงก์ และประธานสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IFF) กล่าวยอมรับว่า วิกฤตสภาพคล่องทั่วโลกที่เกิดขึ้น เป็นความรับผิดชอบของธนาคาร ในขณะเดียวกัน ได้เปิดเผยแผนการปฏิรูปภาพรวมครั้งสำคัญ ในรอบ 25 ปีขององค์กร เพื่อแก้ไขวิกฤตสภาพคล่อง ที่กระทบกับระบบการเงิน คาดว่า จะเป็นการประกาศมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมการเงินในต้นปี 2551 ที่กำลังจะมาถึง เน้นไปที่การบริหารจัดการความเสี่ยง การประกัน และกำหนดมูลค่าสินเชื่อ
IMF ชี้เงินเหรียญสหรัฐสูงเกินจริงระยะกลาง
นายโรดริโก้ ราโต้ กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐในปัจจุบันมีค่าสูงเกินความเป็นจริงในช่วงระยะกลาง ท่ามกลางการอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง และอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และตลาดเงินทั่วโลก ล้วนมีความเข้าใจเช่นนั้น โดยกำลังประเมินกันต่อไปว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐจะยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่องอีก กรรมการผู้จัดการ ไอเอ็มเอฟ ชี้ว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐมีการปรับอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะอ่อนค่าลงถึง 8% เทียบยูโรตั้งแต่ต้นปีนี้
IMF เตือนประเทศเกิดใหม่ อาจถูกกระทบจากวิกฤติสภาพคล่อง
นายโรดริโก้ ราโต้ ยังกล่าวเตือน ประเทศในเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และรายได้ต่ำ ให้ระวังผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤติการเงิน และสภาพคล่องในสหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลกระทบมาถึงในระยะเวลาอันใกล้ หากวิกฤติสภาพคล่องไม่สิ้นสุด ถึงแม้ว่า ในปัจจุบัน ผลกระทบดังกล่าวอาจจะมีบ้างเพียงเล็กน้อย และยังสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรับกับสถานการณ์ได้ ซึ่งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จะกระทบอย่างเป็นลูกโซ่ไปทุกวงการ
IMF เตือนเศรษฐกิจจีนเสี่ยงต่อวิกฤติสภาพคล่องจากสหรัฐ
กรรมการผู้จัดการ IMF กล่าวเสริมว่า ผลกระทบที่จะส่งมาถึงประเทศในเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ จากวิกฤติดังกล่าว จะเริ่มต้นที่จีนแผ่นดินใหญ่ โดยตลาดส่งออก และการผลิตสินค้าต่างๆจากจีนแผ่นดินใหญ่ จะชะลอตัวลง จากกำลังซื้อชาวอเมริกันที่ชะลอตัวจากสภาพคล่องที่เกิดวิกฤติ จากนั้น จะส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่นๆในเอเชีย ด้านประเทศเกิดใหม่ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประทบโครงสร้างพื้นฐาน เกิดความเสี่ยงมากขึ้น และราคาสินทรัพย์ รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ทรุดตัวลงอย่างรุนแรง
อลัน กรีนสแปน เตือน วิกฤติอาจเกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ
นายอลัน กรีนสแปน วัย 81 ปี อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กล่าวเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาว่า วิกฤติสภาพคล่องที่เกิดขึ้นในสหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่นมา เป็นอุบัติเหตุที่รอให้เกิดขึ้น และเตือนว่า มีโอกาสสูง ที่จะส่งผลกระทบให้เกิดวิกฤติในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ หากไม่มีการปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ เกี่ยวกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ ที่เรียกว่าสับไพร์ม นอกจากนี้ อดีตประธานเฟด ปฏิเสธการลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงเหลือเพียง 1% ในยุคที่บริหารเฟด เป็นต้นเหตุของอสังหาริมทรัพย์ฟองสบู่ นำไปสู่วิกฤติ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news23/10/07
โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 23, 2007 2:15 pm
โดย chartchai madman
"วิกฤตสินเชื่อ" ทุบทุนนอกกระเจิง แรงขายทิ้งดันเม็ดเงินไหลออกแสนล้าน
จากวิกฤตสินเชื่อที่เหมือนจะสงบลงไป ได้เผยให้เห็นข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจนั่นคือ นักลงทุนต่างประเทศพากัน เทขายทิ้งสินทรัพย์สหรัฐในช่วงที่อุณหภูมิวิกฤตกำลังพุ่งถึงจุดสูงสุด
กระทรวงการคลังสหรัฐเผยแพร่รายงาน การเคลื่อนย้ายเงินทุน เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า
นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิสินทรัพย์สหรัฐที่เป็นตราสารระยะยาวอย่างมากมาย รวม 8.55 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนสิงหาคมถือเป็นจำนวนมหาศาล เมื่อเทียบกับมูลค่าขายสุทธิ 2.7 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนกรกฎาคม
รายงานรายเดือนของกระทรวงการคลังสะท้อนอย่างชัดเจนถึงการถือครองหลักทรัพย์สหรัฐจากต่างประเทศ โดยเฉพาะตราสารที่มี อายุมากกว่า 1 ปี ซึ่งในจำนวนนั้นรวมถึงสัญญาและธุรกรรมการเงินนอกตลาด อาทิ สัญญาสวอปหุ้น และการชำระเงินต้นของตราสารหนี้ ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน
หากไม่รวมการลงทุนในประเภทหลัง มูลค่าขายสุทธิของหลักทรัพย์สหรัฐระยะยาวใน เดือนสิงหาคม จะมีมูลค่าประมาณ 6.93 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับเงินทุนไหลเข้า 1.95 หมื่นล้านดอลลาร์
นักเศรษฐศาสตร์ได้จับตามองกระแสเงินทุนไหลเข้ามายังสหรัฐอย่างใกล้ชิด เนื่องจากที่ผ่านมาสหรัฐต้องการกู้ยืมเงินทุนต่างประเทศมาชดเชยปัญหาการขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาลของประเทศ ประมาณวันละ 2.1 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐ อยู่ที่ 5.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพีของสหรัฐ ลดลงจาก 6.8% ในช่วง สิ้นปี 2548
ภายใต้สมมติฐานความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าความต้องการเงินทุนต่างประเทศของสหรัฐ บวกกับความวิตกกังวลของต่างชาติเกี่ยวกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินของสหรัฐและค่าเงินดอลลาร์อ่อน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการไหลออกอย่างมากมายของเงินทุนจนส่งผลให้ดอลลาร์ดิ่งลงอย่างฮวบฮาบ ผลักให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต้องขยับขึ้นเร็วและฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐให้ชะลอลงอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า ปฏิกิริยาของตลาดการเงินในสหรัฐกลับเมินเฉยต่อข้อมูลของกระทรวงการคลัง ส่วนหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่า นักลงทุนรับรู้ถึงขนาดของผลกระทบจากวิกฤต สินเชื่อว่าจะส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนในระดับนี้
เจนส์ นอร์ดวิก นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ฝ่ายตลาดทั่วโลกรายหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตว่า ประเด็นปัญหาอยู่ที่แนวโน้มการไหลออกของเงินทุนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนกันยายน อยู่หรือไม่ แต่จากการพุ่งทะยานของตลาดหุ้น และมูลค่าการออกหุ้นกู้ที่เริ่มขยับขึ้นอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ส่งสัญญาณว่าสถานการณ์ได้ปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะนับจากผ่านเดือนสิงหาคมมาแล้ว
ขณะที่ มิตัล โกเตชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลก ของแคลยอน เครดิต อะกริโกล ในลอนดอน พูดถึงขนาดการไหลออกของเงินทุนว่า น่าตกใจมาก แต่ไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อตลาดมากนัก เพราะเป็นที่รับรู้ กันดีว่าเดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่เลวร้ายเดือนหนึ่ง ของตลาดต่างๆ
แต่ในอีกมุมมองหนึ่งพบว่า การไหลออก ของเงินทุนเกิดขึ้นในรูปของการขายสุทธิในสินทรัพย์สหรัฐหลากหลายประเภท ซึ่งหาก รวมตราสารระยะสั้นและการเปลี่ยนแปลงใน การถือครองดอลลาร์ของธนาคารต่างๆ ด้วย พบว่าการไหลออกสุทธิของเงินทุนต่างประเทศ ในเดือนสิงหาคม สูงถึง 1.60 แสนล้านดอลลาร์ แตกต่างจากการไหลเข้าสุทธิ 9.43 หมื่นล้านดอลลาร์ของเดือนก่อน
http://matichon.co.th/prachachat/prachachat.php
news24/10/07
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 24, 2007 8:27 pm
โดย chartchai madman
อลัน กรีนสแปน ชี้ ราคาบ้านตกต่ำสหรัฐ กดดันเศรษฐกิจต่อไป
อลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐ จะยังคงประสบกับแรงกดดันอย่างหนักจากภาวะตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์ต่อไป ในแง่ราคาบ้านที่ตกต่ำมากที่สุดในรอบหลาย 10 ปีที่ผ่านมา จะฉุดกำลังซื้อของชาวอเมริกัน นอกจากนี้ อัตราการลดลงของจำนวนบ้านที่รอการขายในตลาดที่มีจำนวนมากในขณะนี้ เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดการถดถอยนั้นอาจจะยังไม่เกิดขึ้น โดยยังเน้นว่าโอกาสดังกล่าวยังคงอยู่ต่ำกว่า 50%
อลัน กรีนสปน เตือน Subprime อาจเสียหายมากกว่าที่คาดไว้มาก
อดีตประธานเฟดวัย 81 ปี กล่าวเสริมว่า ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย ที่ด้อยคุณภาพ หรือสินเชื่อสับไพร์ม ที่อาจมีมูลค่าความเสียหายสูงกว่าในปัจจุบันที่คาดกันไว้ ทำให้ตลาดทุน และตลาดสินเชื่อทั่วโลกในขณะนี้ จะยังดำเนินไปบนปัจจัยของความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือจุดสิ้นสุดของภาวะตลาดสินเชื่อ และสภาพคล่องที่คึกคักมาตลอดในอดีตที่ผ่านมา นอกจากนี้ อดีตประธานเฟด วัย 81 ปี ยังมีข้อสงสัยว่า กองทุนซุปเปอร์ฟันด์ มูลค่า 2.8 ล้านล้านบาท ที่จัดตั้งขึ้นโดยธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ จะแก้ไขวิกฤติได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news24/10/07
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 24, 2007 8:30 pm
โดย chartchai madman
แบงก์ชาติสหรัฐ ชี้ กองทุนซุปเปอร์ฟันด์ อาจช่วยแก้วิกฤติตราสารหนี้ซีดีโอ
เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กล่าวว่า กองทุนซุปเปอร์ฟันด์ หรือซุปเปอร์เอสไอวี ที่จัดตั้งขึ้นโดยธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น เจพี มอร์แกนเชส และแบงก์ ออฟ อเมริกา นั้น อาจช่วยบรรเทาวิกฤติสภาพคล่อง และตลาดตราสารหนี้ซีดีโอได้ นอกจากนี้ ท่ามกลางข่าวสารที่ไม่มีความคืบหน้ากับกองทุนดังกล่าว ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีการสนับสนุนแต่อย่างใดที่เกี่ยวข้องกับกองทุนซุปเปอร์ฟันด์ หรือซุปเปอร์เอสไอวี ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวของเฟด ชี้ว่า เป็นสิทธิของบรรดาธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งที่จะร่วมมือ
กองทุนเฮ็ดจ์ฟันด์ ระดมทุนลดลงในไตรมาสที่ 3 เหตุจากวิกฤติสภาพคล่อง
กองทุนประกันความเสี่ยง หรือเฮ็ดจ์ฟันด์ทั่วโลก เปิดเผยว่า สามารถระดมทุนในไตรมาสที่ 3 เหลือเพียง 45,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท มูลค่าดังกล่าวลดลงเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ต้นปีนี้ สาเหตุจากวิกฤติตราสารหนี้ซีดีโอประเภทสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือสับไพร์ม ที่สร้างผลขาดทุนจากการเข้าไปลงทุน และสภาพคล่องที่เกิดขึ้นทั่วโลกในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ บรรดากองทุนเฮ็ดจ์ฟันด์สามารถระดมทุนไตรมาสที่ 1 มากถึง 2.1 ล้านล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 เหลือเพียง 2 ล้านล้านบาท
คันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียล เสนอปรับโครงสร้างลูกหนี้บ้านกว่า 5 แสนล้านบาท
บริษัท คันทรี่ไวด์ ไฟแนลเชียล ซึ่งเป็นผู้ให้บริหารปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐ เปิดเผยว่า พร้อมเสนอแผนการปรับโครงสร้างดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อบ้าน หรือแผนปรับโครงสร้างหนี้ รวมมูลค่าสูงถึง 1.6 หมื่นล้านบาท หรือราว 5.6 แสนล้านบาท สำหรับบรรดาลูกหนี้สินเชื่อบ้าน ที่ต้องถึงเวลาปรับอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในตลอดทั้งปี 2551 ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าวของบริษัท คันทรี่ไวด์ ไฟแนลเชียล จะสามารถรักษาให้ชาวอเมริกันจำนวน 8.2 หมื่นคน ยังคงเป็นเจ้าของบ้านต่อไปได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news24/10/07
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 24, 2007 8:52 pm
โดย chartchai madman
เมอร์ริล ลินช์ จำใจเพิ่มหนี้สูญอีกกว่า 8 หมื่นล้านบาท - ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, October 24, 2007
บริษัท เมอร์ริล ลินช์ ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในสหรัฐฯและของโลก ยอมรับว่า ต้องตัดมูลค่าหนี้สูญเพิ่มขึ้นอีก 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8.75 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่เคยตัดหนี้สูญไปแล้วเป็นมูลค่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.75 แสนล้านบาทในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมูลค่าหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทเข้าไปลงทุนในสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime Mortgage Loan) และเกิดขาดทุนขึ้น
ทั้งนี้
ในช่วงวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา บริษัท เมอร์ลิน ลินช์ ได้ประกาศว่า ผลประกอบการของบริษัทรายไตรมาสออกมาย่ำแย่ เพราะมีผลขาดทุนสูงเกินคาด และกลายเป็นสถิติขาดทุนครั้งแรกในรอบ 6 ปี ส่งผลให้เกิดการขาดทุนประมาณ 0.45 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 15 บาทต่อหุ้น ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ล้วนลงความเห็นว่า การขาดทุนในครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณว่า เมอร์ริล ลินช์ไม่ได้บริหารการสื่อสารให้ชัดเจน และยังไม่มีความน่าเชื่อถือด้วย
รายงานข่าวระบุด้วยว่า การที่เมอร์ริล ลินช์ ตัดสินใจตัดหนี้สูญเพิ่มขึ้นอีกกว่า 8 หมื่นล้านบาทในครั้งนี้ เป็นตัวเลขประวัติการณ์ของบริษัท เมอร์ลิน ลินช์ ที่มีอายุถึง 93 ปี และนับเป็นจุดตกต่ำที่สุดภายใต้การบริหารงานของนาย สแตนลี่ย์ โอนีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวมาแล้ว 5 ปี ซึ่งผลขาดทุนรวมสุทธิที่สูงกว่า 2.6 แสนล้านบาทนี้เอง เป็นตัวเลขที่สูงกว่าธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่นอีกด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
news24/10/07
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 24, 2007 8:54 pm
โดย chartchai madman
วิกฤติ Subprime ไม่เกิดขึ้นในฮ่องกงและลอนดอน - ข่าว 18.00 น.
Posted on Wednesday, October 24, 2007
นายอัลเดอร์แมน จอห์น สตุ๊ดทาร์ด ผู้ว่าการกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า วิกฤติสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยต่ำกว่าคุณภาพ (Subprime) ซึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ที่ทำให้เกิดวิกฤติสภาพคล่องทั่วโลกในขณะนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นในกรุงลอนดอนของอังกฤษ และในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เนื่องจากระบบการประเมิน และตรวจสอบปัจจัยความเสี่ยงของทั้ง 2 แห่ง มีความแข็งแกร่ง และเป็นมาตรฐานสูง
ผู้ว่าการกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าวเสริมว่า ทั้งธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่เชี่ยวชาญในตลาดสินเชื่อประเภทดังกล่าว มีการประเมินความเสี่ยงที่ไม่เพียงพอ ก่อนที่จะตัดสินใจปล่อยสินเชื่อ Subprime ให้กับประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้ต่ำ หรือแทบจะไม่มีสินทรัพย์เป็นของตนเอง นอกจากนี้ ระบบการควบคุมที่ดีพอก็ไม่มีความชัดเจนในวิกฤติดังกล่าวที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ กรุงลอนดอน และฮ่องกงนั้น ระบบการกำกับดูแลจะสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินในการประเมินความเสี่ยง รวมถึงการกำหนดราคาของสินเชื่อดังกล่าว โดยผู้ว่าการกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ย้ำว่า ต้องรีบกำหนดโครงสร้างของหน่วยงานกำกับดูแลระบบดังกล่าวให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความเสี่ยง และโอกาสที่จะเกิดวิกฤติขึ้นอีก นอกจากนี้ นายอัลเดอร์แมน จอห์น สตุ๊ดทาร์ด ชี้ว่า ฮ่องกงมีความได้เปรียบในการเป็นศูนย์กลางทางการเงินมากกว่าเซี่ยงไฮ้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
news25/10/07
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 25, 2007 1:01 pm
โดย chartchai madman
สมาคมก่อสร้างบ้านแห่งชาติสหรัฐ ชี้ วิกฤติบ้านในสหรัฐทรุดถึงสิ้นปีหน้า
สมาคมธุรกิจรับก่อสร้างบ้านแห่งชาติ สหรัฐ เปิดเผยว่า บรรดานักเศรษฐศาสตร์ ที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ล้วนมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ปัญหาสินเชื่อสำหรับบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย จะยังคงมีต่อเนื่องไปขนถึงสิ้นปีหน้า และถ้าหากเริ่มมีสัญญาณในทางที่ดีขึ้นบ้างกับปัญหาดังกล่าวในช่วงปลายปีหน้า วงการอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ ยังคงต้องใช้เวลาฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าไปถึงปี 2552 ขณะที่ นาย มาร์ค แซนดี้ นักเศรษฐศาสตร์จากมูดี้ส์ อีโคโนมี่ เชื่อว่า หลายส่วนในสหรัฐเริ่มเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว
เมอร์ริล ลินช์ ขาดทุนสุทธิอ่วมเกือบ 3 แสนล้านบาทจาก Subprime
บริษัท เมอร์ริล ลินช์ ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในสหรัฐ และของโลก เปิดเผยว่า ผลขาดทุนอย่างเป็นทางการที่เกิดขึ้น กลับสูงถึง 2 เท่าจากที่เคยประกาศล่วงหน้าในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดยบริษัทขาดทุนทั้งสิ้นสูงถึง 8,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.94 แสนล้านบาท นับเป็นผลขาดทุนที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์กับอายุของบริษัทที่ก่อตั้งมากถึง 93 ปี โดยในไตรมาสที่ 3 พบว่า การตัดหนี้สูญของสินเชื่อ Subprime ตราสารหนี้ค้ำประกันด้วยสินทรัพย์อื่น ๆ และสินเชื่อเพื่อการควบรวมกิจการ ขาดทุนกว่า 7 หมื่นล้านบาท
ราคาหุ้นเมอร์ริล ลินช์ ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 5 ปี
ราคาหุ้นของบริษัท เมอร์ริล ลินช์ ร่วงลงมากที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา หลังผลขาดทุนสุทธิพุ่งสูงขึ้นถึง 2 เท่าจากที่ประเมินไว้ นอกจากนี้ รายได้ทรุดลงถึง 94% ในไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้ 3 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนชั้นนำของโลก ได้แก่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ และฟิทช์เรตติ้ง พร้อมใจกันตัดลดเรตติ้งของเมอร์ริล ลินช์ ทันที จากระดับ AA- ลงเหลือที่ระดับ A+ ตามด้วยแนวโน้มของความเสี่ยง ที่ตราสารหนี้ซึ่งออกโดยบริษัท เมอร์ลิน ลินช์ จะเป็นหนี้สูญพุ่งขึ้น
แบงก์ออฟอเมริกา ธนาคารอันดับ 2 สหรัฐ ปลด 3 พันคน หลังขาดทุน Subprime
ธนาคาร แบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอันดับ 2 รองจากซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ประกาศปลดพนักงานลงมากถึง 3 พันคนทั่วทั้งธนาคาร ทำให้กลายเป็นการลดต้นทุนครั้งสำคัญในสายงานวาณิชธนกิจ และสายงานธุรกิจประเภทองค์กร นอกจากนี้ ปรับเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงในสายงานวาณิชธนกิจโลก เนื่องจาก ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ด้อยคุณภาพ หรือ Subprime ในไตรมาสที่ 3 มีผลขาดทุนสูงถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.4 แสนล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news25/10/07
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 25, 2007 6:54 pm
โดย chartchai madman
วอร์เรน บัฟเฟท ชี้ วิกฤติ Subprime ต่อเนื่องถึง 2 ปี ข่าว 16.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, October 25, 2007
วอร์เรน บัฟเฟท มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ กล่าวที่ประเทศเกาหลีใต้ว่า
วิกฤติตราสารหนี้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Subprime) ในสหรัฐ จะไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ และยังเป็นอุปสรรคต่อบรรยกาศการลงทุนไปอีกในระยะเวลาตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปีข้างหน้า ในขณะเดียวกัน วอร์เรน บัฟเฟท มีมุมมองในทางลบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐที่มีแนวโน้มปรับอ่อนค่าลงต่อไป เมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญในตลาดโลก
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ กล่าวเสริมว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมากถึง 8% เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินเหรียญยูโร ไม่เพียงเท่านั้น ยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในย่านเอเชียอีกด้วย โดยก่อนเดินทางถึงประเทศเกาหลีใต้ นายวอร์เรน บัฟเฟทได้เดินไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อร่วมประชุมกับบริษัทชั้นนำที่เข้าไปลงถือหุ้น
ทั้งนี้ วอร์เรน บัฟเฟท มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก เดินทางไปยังเกาหลีใต้ เพื่อไปตรวจสอบโรงงานที่มีชื่อว่า อิสคาร์ โคเรีย ซึ่งผลิตอุปกรณ์ทางด้านการทหารให้กับบริษัทแม่ในประเทศอิสราเอล ที่วอร์เรน บัฟเฟท เข้าไปถือหุ้น นอกจากนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ ยังเตรียมไปเยี่ยมบริษัท ปอสโค ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล็กชั้นนำในประเทศเกาหลีใต้อีกด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
news25/10/07
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 25, 2007 6:56 pm
โดย chartchai madman
แบงก์ชาติอังกฤษชี้ระบบการเงินยังอ่อนไหวต่อวิกฤติการเงิน - ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, October 25, 2007
ธนาคารกลางอังกฤษเตรียมเปิดเผยรายงานรายครึ่งปี 2550 ในช่วงสายของวันนี้ ตามเวลาในประเทศอังกฤษ ซึ่งเนื้อหาส่วนสำคัญของรายงานฉบับดังกล่าวระบุชัดเจนว่า ระบบการเงินในอังกฤษมีความอ่อนไหว หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติทางการเงินใหม่ รวมถึงวิกฤติสภาพคล่องทั่วโลกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอีก หลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษต้องตัดสินใจอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบการเงินเมื่อเดือนกันยายนปีนี้
รายงานเศรษฐกิจรายครึ่งปีของธนาคารกลางอังกฤษชี้ให้เห็นถึง สัญญาณดังกล่าวจากภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในอังกฤษ ซึ่งพบว่า ราคาของอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ทรุดลงอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญต่อวิกฤติสภาพคล่องใหม่ในอนาคต รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ธนาคารกลางอังกฤษระบุเพิ่มเติมว่า สินทรัพย์ต่าง ๆ มีความเปราะบางต่อวงจรเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงในปีหน้า
ในประเด็นสำคัญสุดท้ายของรายงานรายครึ่งปีฉบับดังกล่าวนี้ ธนาคารกลางอังกฤษเตือนว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญทั่วโลก หากมุมมองและจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดทุน และตลาดเงินทั่วโลกยังคงมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะถดถอยในปีหน้า ทั้งนี้ รายงานเศรษฐกิจรายครึ่งปีของธนาคารกลางอังกฤษจะเปิดเผยเต็มรูปแบบวันนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
subprime crisis monitor
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 26, 2007 10:40 am
โดย wattae
"วอร์เรน บัฟเฟตต์"คาดปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐบั่นทอนอำนาจซื้อผู้บริโภค
IQ ข่าวเศรษฐกิจ 26/10/2007 10:35:28
วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐและเจ้าของบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ อิงค์ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดซับไพรม์ของสหรัฐอาจทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยเป็นเวลานานถึง 2 ปี แต่คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถฝ่าฟันปัญหาดังกล่าวไปได้
"ปัญหาซับไพรม์กำลังส่งผลกระทบอย่างหนัก และคาดว่าจะมีอานุภาพรุนแรงขึ้น ผมคาดว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า หรืออาจจะ 1-2 ปีข้างหน้า ปัญหาซับไพรม์จะสร้างปัญหาที่หนักหน่วงให้กับผู้บริโภคและบั่นทอนอำนาจซื้อในสหรัฐอเมริกา" บัฟเฟตต์กล่าวในระหว่างเดินทางเยือนเกาหลีใต้
"แต่ที่ผ่านมานั้น เศรษฐกิจสหรัฐสามารถฟันฝ่าวิกฤตการณ์ต่างๆไปได้หลายครั้ง ซึ่งผมก็เชื่อว่าสหรัฐจะสามารถรับมือกับวิกฤติครั้งนี้ได้เช่นกัน เพราะเมื่อดูจากปัจจัยโดยรวมแล้วจะเห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัว" เขากล่าว
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า บัฟเฟตต์ซึ่งไม่ค่อยเดินทางไปต่างประเทศมากนัก ได้เดินทางไปยังเมืองแดกูซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโซลประมาณ 300 กิโลเมตร เพื่อเยี่ยมชมบริษัทแทกูเทค ซึ่งบริษัทแฮธาเวย์ของบัฟเฟตต์ได้เข้าซื้อหุ้น 80% ในบริษัทแห่งนี้เมื่อปีที่แล้ว คิดเป็นมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ และเป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งแรกในต่างประเทศ
รายงานระบุว่า บัฟเฟตต์ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพนักงานของบริษัทเทกูเทค และเมื่อพนักงานคนหนึ่งขอให้เขาแสดงความคิดเห็นเรื่องกลยุทธ์ในการลงทุน เขาตอบว่า "การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวคุณเอง คุณต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นจงขวนขยายหาความรู้ใส่ตัวเองก่อนที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดใดๆก็ตาม"
news26/10/07
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 26, 2007 7:36 pm
โดย chartchai madman
IMF ชี้ปัจจัยเสี่ยงค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่า เพิ่มมากขึ้น
นายโรดริโก้ ราโต้ กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ปัจจัยเสี่ยงของค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลงอย่างเป็นประวัติการณ์ และมีแนวโน้มว่าจะอ่อนค่าอย่างไม่เป็นระบบ จะเพิ่มสูงมากขึ้น ถึงแม้ว่า ไอเอ็มเอฟ จะไม่ได้จัดภาวะการอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐ ให้เป็นหนึ่ง ในกรณีเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุด ในขณะเดียวกัน นาย ราโต้ กล่าวเสริมว่า โอกาสเศรษฐกิจโลกเกิดภาวะถดถอยในปีหน้ามีความเป็นไปได้ เริ่มจากเศรษฐกิจสหรัฐที่อาจชะลอตัวลงมากกว่าที่คิด กระทบอียู ญี่ปุ่น และเอเชีย
IMF ชี้วิธีเลี่ยงวิกฤติการเงิน และสภาพคล่องในอนาคต
กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ชี้ว่า หากต้องการที่จะหลีกเลี่ยงวิกฤตทางการเงิน และสภาพคล่องในอนาคตนั้น นักลงทุนจะต้องศึกษาการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ ตราสารทุน และตราสารหนี้ให้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เครื่องมือ หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ จะต้องมีความโปร่งใส และต้องการวิธีการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนที่ชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ นาย โรดริโก้ ราโต้ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า องค์กรใดที่ต้องปรับโครงสร้างในเรื่องดังกล่าว แต่ย้ำว่า มีความจำเป็นที่ต้องเร่งปรับปรุง
เอไอจี ประกันภัยใหญ่สุดของโลก อาจขาดทุนไตรมาส 3 สูงฉุดราคาหุ้นต่ำสุดใน 1 ปี
เอไอจี กรุ๊ป อินคอร์ปอเรชั่น กลุ่มบริษัทธุรกิจประกันภัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และของโลก ส่งสัญญาณเตือนถึงผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ที่กำลังจะประกาศในวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ว่า ไอเอจี กรุ๊ป มีความจำเป็นต้องตัดหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากการเข้าไปลงทุนในตราสารการเงินซีดีโอ ประเภทสินเชื่อสับไพร์ม ส่งผลให้ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัท เอไอจี กรุ๊ป ตกต่ำมากที่สุดถึง 7% เมื่อคืนที่ผ่านมา กลายเป็นสถิติราคาหุ้นร่วงลงมากที่สุดในรอบ 1 ปี ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ลิน ลินช์ ยอมรับผลขาดทุนไตรมาสที่ 3 เกิดขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 ปี
แบงก์ ออฟ อเมริกา ปิดขายสินเชื่อบ้านผ่านนายหน้า ปลดพนักงาน 3,000 คน
ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของสหรัฐ ตัดสินใจประกาศ ปิดสายงานธุรกิจเสนอบริการสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยผ่านตัวแทน หรือนายหน้า ภายในสิ้นปีนี้ ส่งผลให้ ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา ต้องปลดพนักงานในสายงานดังกล่าวเป็นจำนวนมากถึง 700 คน หลังจากนั้นจะเน้นการปล่อยสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยโดยตรงไปยังลูกค้าที่มีความต้องการ ทั้งนี้ การปลดพนักงาน 700 คน เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดจำนวนพนักงานในภาพรวม 3 พันคน หลังเกิดการขาดทุนในไตรมาส 3 มากถึง 32%
วอร์เรน บัฟเฟท ชี้ ต้องแบ่งขาย 10% ของกองทุนซุปเปอร์ฟันด์ เพื่อราคาที่เหมาะสม
นายวอร์เรน บัฟเฟท มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ กล่าวที่ประเทศเกาหลีใต้ว่า การจัดตั้งกองทุนซุปเปอร์ฟันด์ โดยการนำของ 3 ธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ของโลก ด้วยมูลค่ากองทุนสูงถึง 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.8 ล้านล้านบาท เพื่อเข้าซื้อตราสารหนี้เสียจากวิกฤติสับไพร์ม ควรจะแบ่งขายมูลค่าของกองทุนดังกล่าว 10% หรือราว 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับกองทุนอื่นๆในตลาด เพื่ออาศัยกลไลในตลาดทุนกำหนดราคารับซื้อตราสารหนี้เสียที่เหมาะสมมากขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news29/10/07
โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 2:02 pm
โดย chartchai madman
"เมอร์ริลลินช์"ชนวนซับไพรม2 อังค์ถัดแนะรับวิกฤต"คู่ขนาน"
ชนวน "เมอร์ริล ลินช์" ขาดทุนยับ จุดกระแสวิตก "วิกฤตสินเชื่อ" รีเทิร์น คาดแบงก์-สถาบันการเงินสูญเงินไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์ และภาคอสังหาริมทรัพย์มูลค่าอาจวูบแรง 4 ล้านล้านดอลลาร์ แบงก์ชาติผู้ดีเตือนระวัง "new shocks" ตามหลอนรอบใหม่ ด้านนักเศรษฐศาสตร์อังค์ถัดทำนายโลกเผชิญ 2 ปมปัญหาซ้อน "วิกฤต ซับไพรม" และ "วิกฤตค่าเงิน" แนะเอเชียตั้งรับระบบเงินตราแตกสลายจากกระแสเก็งกำไร
ธนาคาร กลุ่มประกัน และสถาบันสินเชื่อเฉพาะ ต่างทยอยรายงานผลขาดทุนจากการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยประเภทด้อยมาตรฐาน หรือซับไพรม เมอร์ริล ลินช์ วาณิชธนกิจชั้นนำของโลก เป็นสถาบันการเงินรายแรกที่ช็อกตลาดการเงินโลก หลังบริษัทยอมรับอย่างเป็นทางการว่า ต้องแทงหนี้สูญในส่วนของสินเชื่อ ธุรกรรม และตราสารที่เกี่ยวโยงกับซับไพรม 7.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นโกลด์แมน แซกส์ และธนาคารซีไอบีซี ได้ประเมินตัวเลขการแทงหนี้สูญของเมอร์ริล ลินช์ อีกครั้ง โดยเชื่อว่าวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่อาจต้องแทงหนี้สูญเพิ่มเติมอีก 4.5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 4
ตัวเลขดังกล่าวประเมินจากพันธะผูกพันที่เมอร์ริล ลินช์ มีต่อการลงทุนในสินเชื่อซับไพรม และตราสารหนี้มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (collateralized debt obligations : CDOs) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.09 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่เนื่องจากสถานการณ์ของตราสารเหล่านั้นยังเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โกลด์แมน แซกส์ เชื่อว่า ที่สุดแล้วเมอร์ริล ลินช์ ยังอาจต้องแทงหนี้สูญอีกอย่างน้อย 20% ของมูลค่าพันธะผูกพันที่ถือครองอยู่ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.5 พันล้านดอลลาร์
นอกจากเมอร์ริล ลินช์ สถาบันการเงินที่ทยอยรายงานการขาดทุนจากซับไพรม ยังรวม "เอ็มบีไอเอ" สถาบันค้ำประกันการออกตราสาร และให้บริการการเงินเฉพาะด้าน รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ว่า ขาดทุนจากมูลค่าของตราสารอนุพันธ์อ้างอิงสินเชื่อที่บริษัทถือครองอยู่ลดลง 352.4 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.80 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่งผลให้บริษัทขาดทุน 36.6 ล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน
นิวยอร์ก ไทม์ส เผยผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญตลาดอสังหาริม ทรัพย์ในสหรัฐ ทำนายสถาบันการเงินและ นักลงทุนจะขาดทุนสูงสุดถึง 4 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ยังประเมินความสูญเสียของมูลค่าในตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้วยว่า อาจอยู่ระหว่าง 2-4 ล้านล้านดอลลาร์ จากมูลค่ารวมทั้งสิ้น 21 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวน้อยกว่ามูลค่าความเสียหายที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤตการณ์ตลาดหุ้นถล่มทลาย ในช่วงต้นทษวรรษ 1990 โดยในช่วงนั้นมูลค่าตลาดอสังหาริมทรัพย์สูญหายไปถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 40% ของมูลค่าตลาด
นิวยอร์ก ไทม์ส อ้างข้อมูลการคาดการณ์ของโกลบอล อินไซต์ บริษัทวิจัยตลาดที่ประเมินว่า ราคาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศโดยเฉลี่ยจะลดลง 5% ในปี 2551 และลดลงอีก 10% ก่อนกลางปี 2552 รวมมูลค่าความสูญเสีย 2 ล้านล้านดอลลาร์
แบงก์ชาติผู้ดีจี้รับมือ "ความเสี่ยงระลอกใหม่"
ในวันเดียวกัน ธนาคารกลางอังกฤษได้ระบุในรายงาน "เสถียรภาพทางการเงิน" ของธนาคารว่า ในระยะสั้น ระบบการเงินของเขตเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องน่าตกใจครั้งใหม่ ขณะที่ปัญหาในตลาดสินเชื่อก็ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ หรือตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดอสังหาฯที่ยังอ่อนไหว เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์อยู่ในภาวะ ขาลงปริมาณยังคงเกินความต้องการของตลาด
โดยจากการสำรวจ พบว่าการขออนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในอังกฤษในเดือนกันยายนลดลงเหลือ 52,685 สัญญา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 72,155 สัญญา หรือลดลง 27% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และปัญหาในตลาดสินเชื่อ
แบงก์ชาติเรียกร้องให้บรรดาสถาบันการเงินเร่งปรับตัว เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงระลอกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเสนอแนวทาง อาทิ สร้างความโปร่งใสใน structured products อาทิ แพ็กเกจของสินเชื่อประเภท ซับไพรม รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงมากขึ้น และการบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ
อังค์ถัดแนะเอเชียวิกฤตค่าเงิน แรงกว่าซับไพรม
ดร.ไฮเนอร์ แฟรชเบค ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธ ศาสตร์การพัฒนาและโลกาภิวัตน์ของอังค์ถัด กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง Turmoil on Global Financial Markets : Will it be Contagious to Asia ? ว่า สามารถมองวิกฤตของตลาดเงินได้แตกต่างกัน 2 ส่วน คือ วิกฤตซับไพรมที่ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ แต่เอเชียได้รับน้อยกว่าอเมริกาและยุโรป และวิกฤตอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
"ตอนนี้พูดได้ว่า ถ้าภาคธนาคารของประเทศพัฒนาแล้ว ไม่มีเสถียรภาพเหมือนก่อน เพราะระบบนี้กำลังเน่าในอเมริกา และยุโรป มีการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินแบบใหม่ เพื่อสร้างผลกำไร สูงแบบเป็นไปไม่ได้ ในส่วนของวิกฤตซับไพรม เกิดจากนโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบของธนาคาร นำไปสู่ความล่มสลายของระบบทั้งหมด ความ พังทลายของราคาอสังหาริมทรัพย์สั่นคลอนการบริโภคของอเมริกา ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนของการบริโภคของ อเมริกาเองและทั่วโลก"
ดร.แฟรชเบคเตือนว่า การล่มสลายนี้เป็นจุดเริ่มของความไม่สมดุลทั่วโลก หากมองในระดับที่เลวร้ายที่สุด กลุ่มตลาดเกิดใหม่ ทั้งในส่วนที่เห็นได้จริง คือ การส่งออกที่ความต้องการของตลาดลดลง และผลกระทบในส่วนของภาคการเงิน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศเหล่านี้เดินแผนให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล วิกฤตจะไม่ เลวร้ายเหมือนปี 2541 แต่จะกระทบหนักต่อกลุ่มประเทศในยุโรป และอเชียกลาง ที่กำลังใช้ดุลบัญชีเดินสะพัดขนานใหญ่
สำหรับหนึ่งในความเสี่ยงของตลาดเงินตรา คือ การเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดของพฤติกรรมหนีความเสี่ยง ดร.แฟรชเบคกล่าวว่า การกำกับดูแลตลาดเงินจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์ควบคุมการเก็งกำไรต่างๆ
เพราะปัจจุบันเงินตราบางสกุลมีค่าสูงเกินจริง และเอเชียก็อยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบาง และการเก็งกำไรจากสกุลเงินกำลังทำให้ระบบการเงินแตกสลาย แต่จะไม่อันตรายเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน ประเทศต่างๆ ต้องบริหารจัดการเงินทุนไหลเข้าเพื่อทำกำไรระยะสั้นให้ดี เพราะสิ่งนี้ทำให้ประเทศมีอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
news29/10/07
โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 7:10 pm
โดย chartchai madman
เงินเหรียญสหรัฐทำสถิติอ่อนค่าลงต่ำสุดเมื่อเทียบกับเงินสกุลต่า ๆ ในเอเชีย และโอเชียเนีย รอบ 23 ปี
ค่าเงินเหรียญสหรัฐ ทำสถิติอ่อนค่าลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์กับสกุลเงินสำคัญทั่วโลกในตลาดเงินสำคัญย่ายเอเชีย และโอเชียเนีย เช้าวันนี้ ล่าสุด เงินเหรียญสหรัฐต่ำสุดในรอบ 23 ปี เทียบกับเหรียญออสเตรเลีย ที่ระดับ 92.14 เหรียญ เมื่อเทียบกับเหรียญยูโร พบว่า อ่อนค่าลงนับตั้งแต่เริ่มมีการใช้เงินเหรียญยูโรในปี 1999 หรือในรอบ 8 ปี ที่ระดับ 1.4426 เหรียญ และอ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่น สาเหตุสำคัญมาจาก การคาดการณ์ที่เพิ่มสูงมากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะลดดอกเบี้ยพุธนี้
ซีอีโอ เมอร์ลิน ลินช์ ถอดใจ ยอมลาออก คาด แถลงวันพรุ่งนี้
นายสแตน โอนีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ลิน ลินช์ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว หลังมีข่าวหนาหูในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า คณะกรรมการบริษัทที่มีอายุยาวนานถึง 93 ปี อาจตัดสินใจปลดนาย สแตน โอนีล หลังผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของเมอร์ลิน ลินช์ ขาดทุนอย่างหนักในรอบ 7 ปี จากการเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภทสัไพร์ม การปล่อยสินเชื่อเพื่อควบรวมกิจการที่ประสบปัญหา ทำให้ต้องตัดสินใจตัดหนี้เสียรวมมูลค่ากว่า 2.94 แสนล้านบาท
โกลด์แมน แซ๊ค เยอรมนี ค้านตั้งกองทุนซุปเปอร์ฟันด์
นายอเล็กซานเดอร์ ดีเบลลิส หัวหน้าบริษัทวาณิชธนกิจ โกลด์แมน แซ๊ค กรุ๊ป อินคอร์ปอเรชั่น ในประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วย และขอคัดค้านข้อเสนอที่ต้องการจัดตั้งกองทุนพิเศษ ที่มีชื่อว่า กองทุนซุปเปอร์ฟันด์ ซึ่งมีการหารือในการประชุมประจำปีรวมกันระหว่างธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเข้าไปช่วยเหลือตลาดตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภทสับไพร์มในสหรัฐ หัวหน้าบริษัทวาณิชธนกิจ โกลด์แมน แซ๊ค เยอรมนี ชี้ว่า สถาบันการเงินหลายแห่ง คงไม่สามารถแบกรับผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news29/10/07
โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 7:29 pm
โดย chartchai madman
ประธานเลห์แมน บราเธอรส์ เตือนทุกฝ่าย วิกฤติซับไพร์มสหรัฐยังไม่สงบ พร้อมแสดงผลชัดเจนขึ้นในปีหน้า
Posted on Monday, October 29, 2007
นายริชาร์ด เอส ฟัลด์ จูเนียร์ ประธาน และหัวหน้าคณะผู้บริหารของ เลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชนธนกิจระดับยักษ์ใหญ่ของโลก เปิดเผยผ่านหนังสือพิมพ์ ฮันเดลส์บลาทท์ ในเยอรมนี ว่า ไม่คิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย แต่คาดว่าจะขยายตัวลดลง และหากวิกฤติซับไพร์มเริ่มกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค สถานการณ์จะตึงเครียดยิ่งขึ้น
เขาอธิบายว่า ผลกระทบที่ธนาคารต่าง ๆ ได้รับจากวิกฤติซับไพร์มยังไม่จบสิ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่ปล่อยไปเมื่อปี 2538 และ 2539 จะสูงขึ้นในเร็ว ๆ นี้ และจะเริ่มส่งผลในปีหน้า พิจารณาได้จากการที่แนวโน้มราคาบ้านจะถูกกดให้ลดลงอีก เพราะจะมีบ้านที่ถูกยึดเนื่องจากผู้กู้ ไม่สามารถผ่อนชำระ เข้าสู่ตลาดบ้านเพิ่มขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อธุรกรรมด้านสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารต่าง ๆ
ประธานเลห์แมน บราเธอร์ส ยังแสดงความกังวลที่ตลาดหลักทรัพย์ ตลาดสินเชื่อ และตลาดความเสี่ยงสูงต่าง ๆ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว หลังเกิดวิกฤติซับไพร์ม เพราะรู้สึกว่าเป็นการฟื้นตัวเร็วเกินไป ขณะเดียวกัน คิดว่าบริษัทต่าง ๆ จะทำกำไรได้ไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดหมาย
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
news30/10/07
โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 30, 2007 2:23 pm
โดย chartchai madman
เลห์แมน บราเธอร์ ตั้งกองทุนซื้อตราสารหนี้ และสินเชื่อเสีย
บริษัทหลักทรัพย์ เลห์แมน บราเดอร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 4 ในสหรัฐ และใหญ่เป็นอันดับ 7 ในธุรกิจปล่อยสินเชื่อเพื่อการซื้อขายควบรวมกิจการบริษัทชั้นนำในสหรัฐ และยังมีชื่อเสียงทั่วโลก ตัดสินใจจัดตั้งกองทุนทีมีชื่อว่า เลห์แมน บราเดอร์ ออพพอร์ทูนิตี้ ฟันด์ ด้วยมูลค่าสูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.05 แสนล้านบาท เพื่อเข้าซื้อหนี้เสียในระบบสภาพคล่อง และยังใช้กองทุนดังกล่าวเข้าไปลงทุนในสินเชื่อปล่อยกู้เพื่อควบรวมกิจการที่กำลังมีปัญหา โดยรับซื้อสินเชื่อดังกล่าวจากธนาคารในอัตราส่วนลดอีกด้วย
ธนาคาร ยูบีเอส เตือน ธุรกิจยังไม่ได้รับความเสียหายจากสภาพคล่องต่อไป
ธนาคารยูบีเอส ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในยุโรป ประกาศเตือนล่วงหน้าว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องการลงทุนในตราสารหนี้ประเภทสินทรัพย์คงที่นั้น ยังคงมีความเสี่ยงต่อผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 4 กับการเข้าไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ซีดีโอในสหรัฐ รวมถึงภาวะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ นอกจากนี้ ยังคงมีปัจจัยเสี่ยง กับโอกาสที่จะได้รับการตัดลดอันดับความน่าเชื่อถือในตราสารหนี้ของธนาคารลงอีก ทั้งนี้ ยูบีเอส เตรียมเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ซึ่งจะขาดทุนสูงถึง 2.4 หมื่นล้านบาท
ธนาคาร แบร์สเติร์น ปลดพนักงานอีก 300 คน ทั่วองค์กร
บริษัท แบร์สเติร์น ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 5 ในสหรัฐ ด้านธุรกิจวาณิชธนกิจ ประกาศปลดพนักงานจำนวน 3 ร้อยคน ในหลากหลายหน่วยธุรกิจสำคัญ เช่น ธุรกิจหลักทรัพย์ และประกันจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ สำหรับการปลดพนักงานจำนวนดังกล่าว คิดเป็น 2% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในธนาคารที่มีประมาณ 15,500 คน โดยก่อนหน้านี้ แบร์สเติร์น ได้ปลดพนักงานออกไปเป็นจำนวนมากถึง 600 คน ในหน่วยธุรกิจสินเชื่อบ้าน อย่างไรก็ตาม แบร์สเติร์น ย้ำว่า ยังคงดำเนินธุรกิจวาณิชธนกิจต่อไป
2 ซีอีโอจากธนาคาร และธุรกิจรับสร้างบ้านสหรัฐ ชี้ วิกฤติบ้านไม่สิ้นสุด
นายแองจิโล่ โมซิโล่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท คันทรี่ไวลด์ ไฟแนนเชียล ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ร่วมกับ ซีอีโอ บริษัท เคบีโฮม ซึ่งเป็น 1 ในบริษัทให้บริการรับสร้างบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐ กล่าวเตือนว่า วิกฤติ และความยากลำบากอื่นๆ ในระบบอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐยังคงมีอยู่ข้างหน้า ทั้ง 2 ผู้บริหาร ยอมรับว่า ราคาของบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐที่ตกต่ำ ยังคงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ตลาดไม่มีการฟื้นตัวทั้งทางจิตวิทยา และพื้นฐาน
วอร์เรน บัฟเฟท ยอมรับเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย มีโอกาสมาก
วอร์เรน บัฟเฟท มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบิร์กไชร์ ฮัททะเวย์ เปิดเผยว่า โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย อาจมีเกิดขึ้น และเป็นสัญญาณสำคัญของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม เพียงไม่แต่สามารถจะกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อไหร่ รุนแรงแค่ไหน และจะยาวนานหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นจริง ผลของการถดถอย อาจจะไม่แตกต่างจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากนักลงทุนในตลาดทุน หรือในวงการอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐที่ประสบกันอยู่
กองทุนตราสารหนี้ใหญ่ที่สุดในโลก ชี้ เฟดอาจลดดอกเบี้ยเหลือ 3.5%
บิลล์ กรอสส์ ผู้บริหารระดับสูงกองทุนตราสารหนี้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และในโลก ที่มีชื่อว่า กองทุนพิมโก้ กล่าวว่า ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดในคืนนี้ และวันพรุ่งนี้นั้น เฟด อาจจะปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีกให้เหลือเพียง 3.5% เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ เนื่องจาก หลังวิกฤติสภาพคล่อง การปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเป็นไปอย่างเชื่องช้ามากขึ้น และลดความเสี่ยงลงอย่างมากต่อสินเชื่อที่มีความเสี่ยง บิลล กรอสส์ มองว่า ดอกเบี้ยระยะสั้นสหรัฐอาจลดลงต่ำลง โดยอยู่สูงกว่าเงินเฟ้อเพียง 1% เท่านั้น
รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เตือนอินเดีย เสียหายจากการควบคุมเงินทุน
นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวที่อินเดียว่า ในช่วงที่ผ่านมา เห็นด้วยกับมาตรการบางส่วนที่อินเดียประกาศใช้ เพื่อต้องการลดความเสี่ยงมากมายที่เกิดขึ้น จากการไหลข้าวของเม็ดเงินต่างชาติที่เข้ามาลง ทุนในอินเดีย อย่างไรก็ตาม ขอเตือนอินเดียว่า การใช้มาตรการควบคุมเงินทุนต่างชาติ จะกลายเป็นอันตราย และกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจอินเดียในอนาคต โดยเฉพาะในแง่ขีดความสามารถในการแข่งขันของอินเดีย นอกจากนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ยังสนับสนุนนโยบาย และแผนงานปฏิรูประบบเศรษฐกิจอินเดียให้ทันสมัย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news31/10/07
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 31, 2007 12:00 pm
โดย chartchai madman
ดัชนีบ่งชี้ราคาบ้านของสหรัฐฯ ทรุดหนักในรอบ 6 ปี
ราคาบ้านในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ 20 เมือง ราคาร่วงลงอย่างหนักในเดือนสิงหาคม เป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี โดยดัชนี S&P เคส ชิลเลอร์ ซึ่งเป็นดัชนีที่บ่งชี้ราคาบ้านในสหรัฐฯ ดัชนีลดลง 4.4% ถือว่าเป็นการลดลงต่อเนื่องมาก 8 ครั้ง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นการสนับสนุนคำพูดของนายเฮนรี่ พอลสัน รมว. คลังสหรัฐฯ ที่เปิดเผยเมื่อคืนนี้ขณะที่เดินทางเยือนประเทศอินเดียว่า อสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่ผ่านมา ยังไม่ถึงจุดต่ำสุด ณ ขณะนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ต่ำสุดในรอบ 2 ปี
สำนักงานคอนเฟอร์เรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.ร่วงลงแตะระดับ 95.6 จุด จากเดือน ก.ย.ที่ระดับ 99.5 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 เดือนและเป็นการร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี อันเนื่องมากจากความกังวลเรื่องตลาดแรงงานและสภาวะทางธุรกิจที่ชะลอตัวลง ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอีกหากเฟดไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาดูแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่าจะส่งสัญญาณอย่างไรเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ยูบีเอส ขาดทุนครั้งแรกในรอบเกือบ 5 ปี เหตุจาก Subprime
ยูบีเอส เอจี ธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรป ในแง่ของสินทรัพย์ เปิดเผยผลประกอบการ ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 5 ปี ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ธนาคาต้องประสบกับการขาดทุนในไตรมาสที่ 3 เป็นเพราะปัญหา Subprime ทำให้ขาดทุนสูงถึง 4,400 ล้านเหรียญ โดยในไตรมาสที่ 3 นี้ UBS ขาดทุนสูงถึง 712 ล้านเหรียญ หรือ ประมาณ 830 ล้านสวิสฟรังค์ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีผลกำไรสูงถึง 2,200 ล้านฟรังค์ ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงถึง 1.9 % หลังจากที่มีการประกาศตัวเลขออกมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news31/10/07
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 31, 2007 12:02 pm
โดย chartchai madman
Merrill Lynch & Co. ขาดหัวเรือใหญ่ หลังประธานบริหารออกจากตำแหน่ง
Merrill Lynch & Co. ประกาศแถลงการณ์ของบริษัท ท่ามกลางข่าวลือที่แพร่สะพัดในวงการ กรณี นายสแตน โอนีล ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเกษียนอายุการทำงาน โดยแถลงการณ์ดังกล่าวยืนยันการออกจากตำแหน่งของนายสแตน ซึ่งทำให้ นายสแตนเป็นผู้บริหารระดับสูงที่สุดในสหรัฐ ที่มีอันต้องออกจากตำแหน่ง สืบเนื่องจากการขาดทุนอย่างหนักของบริษัท ที่ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อซับไพรม์ และในขณะเดียว กรณีนี้ มีผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจหลักทรัพย์มีอันต้องปราศจากหัวเรือใหญ่ในการบริหาร
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news01/11/07
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 01, 2007 7:55 pm
โดย chartchai madman
คลังสหรัฐ ชี้ ลูกหนี้อเมริกันกว่า 2 แสนคน เตรียมขอกู้แหล่งใหม่
นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า ชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากกว่า 2 แสนคน ที่มีปัญหาในการขอสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งได้รับผลกระทบเสียหายจากต้นทุนดอกเบี้ยกู้ยืม ที่กำลังจะปรับเพิ่มขึ้นยังคงมีความต้องการที่จะขอกู้สินเชื่อดังกล่าว แต่ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินต่างที่เชี่ยวชาญในตลาดสินเชื่อดังกล่าว จะเริ่มส่งจดหมายแนะนำให้บรรดาลูกหนี้กว่า 2 แสนรายทั่วประเทศ รีบดำเนินการหาสินเชื่อใหม่ และจำสามารถเริ่มทำงานในการปล่อยกู้ได้อย่างเต็มที่ภายในเดือนหน้าเป็นต้นไป
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news02/11/07
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 7:17 pm
โดย chartchai madman
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทรุด 362 จุด ต่ำสุดตั้งแต่สิงหาคมปีนี้
ดัชนีหุ้นทั้งดาวโจนส์ และเอสแอนด์พี 500 เมื่อคืนที่ผ่านมา ทำสถิติทรุดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคมของปีนี้ ดัชนีหุ้นทั้งดาวโจนส์ ร่วงมากถึง 362 จุด หรือลบเกือบ 3% รับกับดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทรุดลง 40 จุด หรือร่วงลง 2.6% ฉุดมูลค่าตลาดของดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 คืนที่ผ่านมาหายไปถึง 3.69 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 12.5 ล้านล้านบาท และดัชนีหุ้นนาสแด็ค ทรุดหนักมากถึง 64 จุด สะท้อนถึงทุกๆหุ้น 1 บริษัทในดัชนีนาสแด็คที่เพิ่มขึ้น จะมีหุ้นของบริษัทมากกว่า 13 แห่งปิดลงในแดนลบเมื่อคืนที่ผ่านมา
ผลประกอบการกลุ่มธนาคารในสหรัฐ ย่ำแย่ที่สุดรอบ 5 ปี
สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้นักลงทุนถล่มเทขายหุ้นตลอดทั้งวัน เกิดจากหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน ที่มีผลประกอบการออกมาย่ำแย่มากที่สุดในรอบ 5 ปี เช่น ซิตี้ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น กลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และของโลก มีผลประกอบการที่ตกต่ำมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2002 หรือปี 2545 ที่ผ่านมา ตามด้วย ผลประกอบการของธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา ที่ทรุดลงมากที่สุดในรอบ 4 ปี และธนาคารเครดิตสวิสกรุ๊ป เปิดเผยว่า อันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนหุ้นธนาคารดังกล่าว อาจได้รับการปรับลดลง
แบงก์ชาติสหรัฐ อัดฉีดเงินอีก 1.4 ล้านล้านบาท สูงสุดรอบ 6 ปี
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยคืนที่ผ่านมาว่า ได้อัดฉีดสภาพคล่องด้วยเงินมูลค่า 4.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.4 ล้านล้านบาท เข้าไปในระบบการเงินสหรัฐ ด้วยการทะยอยเพิ่มถึง 3 ครั้งภายใน 1 วันที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นมูลค่าอัดฉีดระบบการเงินสหรัฐอีกครั้ง ที่มากที่สุดนับตั้งแต่กันยายน ปี 2001 หรือปี 2544 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การตัดสินใจของเฟดดังกล่าว เพื่อต้องการรักษาระบบการเงินสหรัฐ ที่ยังมีสัญญาณการตึงตัว และยังไม่ฟื้นสภาพคล่องที่ดีมากนัก นับเป็นการเพิ่มสภาพคล่อง หลังการลดดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% เมื่อพุธนี้
ฟิเดลลิตี้ กองทุนรวมใหญ่ที่สุดในโลก ปลดพนักงาน 200 คน
ฟิเดลลิตี้ อินเวสเม้นท์ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีขนาดใหญ่ที่ในสหรัฐ และใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า เตรียมปลดพนักงานในบริษัทกองทุนรวมดังกล่าว โดยเฉพาะพนักงานในแผนกบริการหลังการเกษียณ และแผนกสารสนเทศ เป็นที่คาดว่า จะมีจำนวนพนักงานถูกปลดออกมากถึง 200 คน จากจำนวนพนักงานทั้งหมดทั่วโลกที่มีมากถึง 4.6 หมื่นคน ทั้งนี้ สาเหตุอาจมาจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤติสภาพคล่องในระบบการเงิน และการลงทุนในสหรัฐ
หนีเสียสินเชื่อบ้านในสหรัฐ ไตรมาส 3 พุ่งขึ้น 2 เท่า
บริษัท เรียลตี้ แทร็ค ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และบริการธุรกิจนายหน้าซื้อขายบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยชั้นนำในสหรัฐ เปิดเผยว่า อัตราหนี้เสียของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐประจำไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ยังคงเพิ่มสูงขึ้นมากถึง 2 เท่าจากไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนพุ่งขึ้นถึง 635,159 ราย หมายถึงในทุก ๆ 196 ครัวเรือนในสหรัฐ จะมีหนี้เสียเกิดขึ้น 1 ราย จำนวนดังกล่าวคิดเป็นอันตราหนี้เสียที่พุ่งขึ้นมากถึง 30% เมื่อเทียบจากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
เรียลตี้ แทร็ค ชี้ หนี้เสียสินเชื่อบ้านสหรัฐ พุ่งต่อถึงปีหน้า
นายเจมส์ แซคคาสิโอ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท เรียลตี้ แทร็ค กล่าวเสริมว่า อัตราหนี้เสียดังกล่าวมีเพิ่มขึ้นทั้งหมดใน 45 จาก 50 รัฐทั่วประเทศ นอกจากนี้ เมื่อบรรดาลูกหนี้สินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐ ถึงเวลาที่ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมตั้งแต่ช่วงหนี้เรื่อยไปจนถึงในช่วงกลางปีหน้า ด้วยมูลค่าราว 22.1 ล้านล้านบาท ประกอบกับยอดขายบ้านที่ยังคงตกต่ำต่อเนื่อง ทำให้กลายเป็น 2 ปัจจัยลบ ที่จะทำให้อัตราหนี้เสียของสินเชื่อบ้านในสหรัฐอยู่ในระดับสูง และต่อเนื่องตลอดทั้งปีหน้า
3 ยักษ์บริษัทจัดเรตติ้งของโลกเตรียมทบทวนความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ CDO ทุกระดับ ทุกบริษัท
บริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสเซส บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือเอสแอนด์พี และบริษัท ฟิทช์ เรตติ้ง ทั้ง 3 แห่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนชั้นนำระดับโลก ร่วมกันเปิดเผยว่า เตรียมจะต้องทบทวน อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ซีดีโอทุกอันดับ ทุกบริษัท รวมถึงตราสารดังกล่าวที่ได้รับการจัดอันดับน่าเชื่อถือสูงสุดด้วย ทั้งนี้ มีมูลค่ารวมกันของตราสารหนี้ซีดีโอรวมกันทั้งสิ้น 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.4 ล้านล้านบาท หลังพบว่า ตราสารดังกล่าว ยังคงมีความเสี่ยงจากวิกฤติตราสารหนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news03/11/07
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 03, 2007 2:08 pm
โดย chartchai madman
"เฟด" อัดเม็ดเงินครั้งใหญ่ 1.4 ล้านล. เข้าระบบ ศก.กู้วิกฤติซับไพรม์
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤศจิกายน 2550 06:29 น.
เฟดอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินสหรัฐกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ถือเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่สุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่วินาศกรรม 11 ก.ย. 44 เพื่อกู้วิกฤติเศรษฐกิจจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ(ซับไพรม์) ขณะที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ร่วงหนักกว่า 300 จุด นักลงทุนวิตกวิกฤติสินเชื่อกระทบธนาคารพาณิชย์รายใหญ่
สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินสหรัฐเพื่อบรรเทาภาวะสินเชื่อตึงตัว จำนวน 41,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,395,000 ล้านบาท เมื่อวันพฤหัสบดี (1 พ.ย.) ถือเป็นการอัดฉีดเงินสดก้อนใหญ่ที่สุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่เหตุวินาศกรรม 11 ก.ย. 2544 ที่มีการอัดฉีดเงินไปในระบบ 50,350 ล้านดอลลาร์
โดยการเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นเพียงวันเดียว หลังจากนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด และผู้ว่าการเฟดแทบทุกคน ลงคะแนนเสียงเห็นชอบให้ลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 6 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรุนแรงขึ้นจากวิกฤติในภาคสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพรม์)
ทั้งนี้ ผู้กำหนดนโยบายของเฟดตั้งข้อสังเกตในการประชุมเรื่องอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันพุธ (31 ต.ค.) ระบุว่า ความตึงตัวในตลาดการเงินได้บรรเทาลงบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เฟดหลายคนพูดถึงสภาพในตลาดการเงินว่าเปราะบาง ขณะที่นายเบอร์นันเก้และเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆ กล่าวว่า จะต้องอาศัยเวลากว่าตลาดจะฟื้นตัวเต็มที่จากวิกฤตสินเชื่อ
ปริมาณการอัดฉีดเงินครั้งล่าสุดนี้ สูงกว่าระดับ 38,000 ล้านดอลลาร์ ที่เฟดอัดฉีดเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์สินเชื่อทั่วโลก โดยในเวลานั้น เฟดและธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เพิ่มการดำเนินการอัดฉีดสภาพคล่องชั่วคราว เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดเงินกู้ระยะสั้น นอกจากนี้ เฟดยังอัดฉีดเม็ดเงินทั้งหมด 38,000 ล้านดอลลาร์ ในวันที่ 27 ก.ย.ด้วย
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นดาวโจนส์ในตลาดนิวยอร์กทรุดฮวบ 362.14 จุด หรือ 2.6% ปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ระดับ 13,657.87 โดยหุ้นกลุ่มการเงินถูกเทขายหนักที่สุด หลังจากนักลงทุนเพิ่งซึมซับแถลงการณ์ของเฟด ที่ส่งสัญญาณว่าจะไม่ลดดอกเบี้ยลงอีก ประกอบกับบริษัทโบรกเกอร์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของซิตี้กรุ๊ป และแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดในสหรัฐทั้งสองราย จนทำให้นักลงทุนวิตกว่า วิกฤติสินเชื่อจะมีผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์รายใหญ่มากกว่าที่คาดไว้
นักวิเคราะห์ ชี้ว่าปัญหาของซิตี้กรุ๊ป ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากเมอร์ริล ลินช์ รายงานขาดทุนมากเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 3 ตอกย้ำความวิตกที่ว่า ภาคการเงินจะได้รับผลกระทบมากขึ้นจากวิกฤติซับไพร์ม ทั้งนี้ ธนาคารหลายแห่งลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อซับไพร์มหนุนหลัง
นอกจากนั้น ปัจจัยที่ฉุดหุ้นดาวโจนส์ยังรวมถึงการบริษัทเอ็กซอน โมบิล รายงานกำไรต่ำกว่าการคาดหมาย ทั้งที่ราคาน้ำมันทะยานใกล้ 100 ดอลลาร์ โดยหุ้นของบริษัทนี้ลดลง 3.8% ขณะที่ปัจจัยอื่นที่สะท้อนปัญหาในเศรษฐกิจสหรัฐ ยังรวมถึงการที่กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ผู้บริโภคอเมริกันลดการใช้จ่ายในเดือนก.ย. เพราะวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาสินเชื่อด้านสถาบันบริหารซัพพลาย รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลงเมื่อเดือนที่แล้ว สู่ระดับต่ำสุด ตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
การดำดิ่งของหุ้นดาวโจนส์นับว่า เลวร้ายที่สุดตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค.หรือครบรอบ 20 ปีวิกฤติการณ์ แบล็คมันเดย์
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลสตรีตยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบอันเกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองด้วย โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ดัชนีผู้บริโภคในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ชะลอตัวอย่างมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นที่ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน อีกทั้งยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% ทั้งนี้ สาเหตุมาจากความวิตกกังวลของประชาชนต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดสินเชื่อที่ย่ำแย่กว่าเดิม
ไม่เพียงเท่านั้น ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เติบโตในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลกระทบจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนักเช่นกัน
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000130545
news05/11/07
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 05, 2007 11:07 am
โดย chartchai madman
ชัค ปริ๊นซ์ ประธาน และซีอีโอ ซิตี้กรุ๊ป ลาออกแล้ว หลังขาดทุนจากตราสารสับไพร์ม
นาย ชัค ปริ้นซ์ ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น กลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และในโลก ประกาศลาออกจากตำแหน่งสูงสุดทั้ง 2 ตำแหน่งแล้ว หลังการเรียกประชุมวาระฉุกเฉินของคณะกรรมการ ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น เมื่อวานนี้ ทั้งนี้ การลาออกของนาย ชัค ปริ้นซ์ คาดว่าเพื่อแสดงความรับผิดผิดชอบต่อผลขาดทุนอย่างมากมายที่เกิดขึ้นกับธนาคาร หลังเข้าไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ซีดีโอประเภทสินเชื่อสับไพร์ม ส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทตกต่ำมากถึง 32% ตั้งแต่ต้นปีนี้
ผลกำไร ซิตี้กรุ๊ป ทรุดมากถึง 60% ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้
หากพิจารณาถึงผลประกอบการของบริษัทดังกล่าว พบว่า ผลผลประกอบการของ ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ในไตรมาสที่ 3 แม้จะยังมีกำไร แต่กลับเป็นกำไรที่ลดลงมากถึง 60% และยังต้องตัดหนี้เสียที่เกิดขึ้นมากถึงกว่า 4 หมื่น 7 พันล้านบาท ปัจจุบัน ธนาคาร ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น มีพนักงานทั้งหมด 3.27 แสนคน มีสาขาทั่วโลกมากกว่า 100 แห่ง และมีมูลค่าสินทรัพย์รวมกันทั้งสิ้น 2.2 ล้านๆเหรียญสหรัฐ ภายใต้การนำของนาย ชัค ปริ้นซ์ ประธาน และซีอีโอ ซึ่งฉลองครอบการบริหารในครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
ด่วน..ล่าสุด แต่งตั้งอดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ นั่งประธาน ซิตี้ กรุ๊ป
ล่าสุด คณะกรรมการธนาคาร ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ได้ลงมติแต่งตั้ง อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ราย โรเบิร์ต รูบิน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน และแต่งตั้งให้นาย วิน บิสชอฟฟ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ธนาคาร ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น นอกจากนี้ คณะกรรมการธนาคารดังกล่าว ยอมรับว่า ธนาคารต้องตัดหนี้สูญที่เกิดขึ้นจากหนี้เสียตรตาสารหนี้สินเชื่อประเภทสับไพร์ม มูลค่าระหว่าง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถึง 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.27 3.74 แสนล้านบาท
ธนาคารดอยช์แบ็งค์ ชี้ ธนาคารและ บล.ในสหรัฐ ต้องขาดทุนหนักในไตรมาสที่ 4
ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในเยอรมนี ที่มีชื่อว่า ธนาคาร ดอยช์แบ็งค์ โดยนักวิเคราะห์ที่มีชื่อว่า นายไมค์ เมโย ชี้ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤตสับไพร์ม และวิกฤติสภาพคล่องที่กระทบต่อตลาดสินเชื่อตึงตัวอาจทำให้ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในสหรัฐไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ยังขาดทุน ซึ่งอาจมีมูลค่ามากว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.4 แสนล้านบาท เฉพาะธนาคาร ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น และบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ลิน ลินช์ อาจตัดหนี้เสียสูงถึงแห่งละ 1.36 แสนล้านบาท
ตลาดพันธบัตรอายุ 10 ปีในสหรัฐ ตกต่ำมากสุดในรอบ 5 ปี จาก Subprime
ตลาดพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤติตราสารหนี้ซีดีโอประเภทสับไพร์ม และภาวะตกต่ำอย่างหนักของอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับการเปิดเผยโดยธนาคาร ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่นว่า มูลค่าการขายตราสารหนี้ ที่มีการค้ำประกันโดยสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์ทรุดตัวลงอย่างมากถึง 20% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในการประกันความเสี่ยงด้วยตราสารหนี้ระยาวลดลงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อตลาดพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่อาจตกต่ำมากที่สุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2002
ปลัดกระทรวงการคลังชี้หนี้เสียสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นอีกใน 18 เดือนข้างหน้า
นาย โรเบิร์ต สตีล ปลัดกระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยว่า อัตราหนี้เสียสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ยังเพิ่มสูงกว่าอัตรามาตรฐาน และจะยังคงมีต่อเนื่องในอีก 18 เดือน หรือ 1 ปีครึ่งข้างหน้า จากสาเหตุ การถึงช่วงเวลาในการปรับอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย กีบสินเชื่อประเภทด้อยคุณภาพ หรือสินเชื่อสับไพร์ม ที่เริ่มต้นในช่วงนี้ไปจนถึงปลายปีหน้า ทั้งนี้ นาย โรเบิร์ต สตีล กล่าวเสริมว่า ทางแก้ไขเพื่อบรรเทาปัญหาที่ดีที่สุดคือ การจูงใจให้บรรดาลูกหนี้สินเชื่อดังกล่าวทั้งหมด รีบเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news06/11/07
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 06, 2007 12:35 pm
โดย chartchai madman
วิกฤติความเชื่อมั่น ธนาคารซิตี้กรุ๊ป ครั้งใหญ่ในรอบ 195 ปี
Posted on Tuesday, November 06, 2007
ราคาหุ้น ซิตี้กรุ๊ป ร่วงต่ำสุดรอบ 4 ปีครึ่ง
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ต้องประสบกับภาวะวิกฤตเชื่อมั่นครั้งใหญ่ โดยนักลงทุนเทขายหุ้นของธนาคารดังกล่าวอย่างหนาตาในวันแรกของการซื้อขายในสัปดาห์นี้ กดราคาหุ้นธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ทรุดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ตกต่ำมากถึง 6.7% ลงมาเหลือเพียงหุ้นละ 37.21 เหรียญ หรือหุ้นละ 1,265 5 บาท สาเหตุสำคัญมาจาก ฝ่ายบริหารธนาคาร ไม่สามารถสร้างความมั่นใจได้ว่า ผลขาดทุนที่ต้องตัดหนี้เสียระหว่าง 2.27 - 3.74 แสนล้านบาทนั้น จะไม่เพิ่มขึ้นอีก
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป ลดผลกำไรไตรมาสที่ 3 ลงจากเดิม
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ประกาศปรับลดผลกำไรไตรมาสที่ 3 ใหม่ ซึ่งได้ประกาศออกไปก่อนหน้านี้ว่าจะมีกำไรสูงถึง 2,380 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 80,920 ล้านบาท โดยปรับเหลือเพียง 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7.48 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ผลกำไรที่ลดลง เกิดขึ้นจากการตัดหนี้เสียในส่วนของตรสารหนี้ซีดีโอเฉพาะไตรมาสที่ 3 มูลค่าสูงถึง 270 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 9,180 ล้านบาท จากมูลค่าพอร์ตลงทุนซีดีโอสุทธิ 4.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือ 1.5 ล้านล้านบาท
3 บริษัทจัดเรตติ้งชั้นนำ ลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซิตี้กรุ๊ป
บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือเอสแอนด์พี เรตติ้ง เซอร์วิส ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนของธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ลงมาอยู่ที่ระดับ ดับเบิลเอ พร้อมกับระบุเตือนนักลงทุนในมุมมองด้านลบต่อธนาคารดังกล่าว ด้วยสาเหตุจาก ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเข้าไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภท Subprime ซึ่งต้องตัดหนี้สูญสูงกว่า 3.7 แสนล้านบาท และความไม่แน่นอนที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกลยุทธ์ในการบริหารธนาคาร หลังการลาออกของนายชั๊ค ปริ้นซ์ อดีตประธาน และซีอีโอ
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป อายุ 195 ปี ใหญ่อันดับ 1 ด้านสินทรัพย์
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ตั้งขึ้นปี 1812 หรือปี 2355 ชื่อดั้งเดิมว่า ธนาคาร ซิตี้ แบงก์ ออฟ นิวยอร์ก ในครั้งนั้นก่อตั้งด้วยเงินทุนจดทะเบียน 2 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันจะมีมูลค่าราว 68 ล้านบาท ในปี 1998 มีการควบรวมกิจการกับบริษัท แทรเวลเลอร์ กรุ๊ป และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ซิตี้คอร์ป มีสำนักงานใหญ่ที่มหานครนิวยอร์ก นับเป็นธนาคารที่มีอายุมากถึง 195 ปีในปัจจุบัน ล่าสุด ธนาคาร ซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น มีขนาดใหญ่อันดับ 1 ในสหรัฐด้านมูลค่าสินทรัพย์ เป็นอันดับ 2 ในด้านมูลค่าตลาด
แบงก์ชาติสหรัฐ ชี้ แบงก์ส่วนใหญ่คุมเข้มสินเชื่อบ้านปกติ
ธนาคารกลางสหรัฐ เปิดเผยผลสำรวจล่าสุด ที่จัดทำขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินต่างในสหรัฐ เพิ่มความเข้มงวดในมาตรการการพิจารณาปล่อยสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยทุกประเภท ครอบคลุมถึงสินเชื่อบ้านระดับปกติที่เรียกว่า ไพร์ม ทั้งนี้ ในผลการสำรวจดังกล่าว มีธนาคารพาณิชย์มากถึง 41% ยอมรับว่า ได้เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นจากการสำรวจในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นมีเพียง 15% การสำรวจดังกล่าวครอบคลุมธนาคาร 49 แห่งชั้นนำ
แบงก์ชาติสหรัฐ ชี้ 80% ของธนาคารในสหรัฐ หยุดปล่อยสินเชื่อ Subprime
ในขณะเดียวกัน เฟด เปิดเผยว่า 60% ของธนาคารที่ทำการสำรวจในครั้งนี้ ได้เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น ในการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยคุณภาพ หรือที่เรียกว่า Subprime สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มสูงมากขึ้นจากการสำรวจในเดือนกรกฎาคม ซึ่งมีเพียง 40% ที่เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ Subprime ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่ามีธนาคารจำนวน 40 จากทั้งหมด 49 แห่งในการสำรวจครั้งนี้ ยกเลิกการปล่อยสินเชื่อประเภท Subprime โดยในจำนวนดังกล่าว มีเพียง 4แห่ง ที่ยังคงปล่อยสินเชื่อ Subprime โดยไม่เพิ่มความเข้ม
ธนาคารยูบีเอส เผย ความเสียหายจาก Subprime จะมีมากขึ้น
นายอเล็กซ์ เวลล์มอนท์ ซิทเวลล์ หัวหน้าร่วมบริหารสายงานวาณิชธนกิจทั่วโลก ธนาคารยูบีเอส กล่าวว่า อุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ทั่วโลก ต้องใช้เวลามากกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ที่จะจัดการกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับปัญหาสินเชื่อ Subprime ไม่เพียงเท่านั้น ธนาคารพาณิชย์แทบทุกแห่ง จะต้องเผชิญกับตัวเลขความสียหายที่เกิดขึ้นจากวิกฤติดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ นาย อเล็กซ์ เวลล์มอนท์ ซิทเวลล์ ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจปลดผู้บริหารระดับสูงสุดของธนาคารที่ต้องประสบกับปัญหาการขาดทุนที่เกิดขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news07/11/07
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 07, 2007 2:29 pm
โดย chartchai madman
อลัน กรีนสแปน ชี้ เร่งลดบ้านรอการขาย เป็นทางแก้วิกฤติสภาพคล่อง
นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กล่าวว่า การตัดลดจำนวนบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยที่รอการขายในสหรัฐ ซึ่งมีจำนวนล้นตลาดนั้น เป็นหัวใจสำคัญ ไม่เพียงแก้ไขภาวะตกต่ำของตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ แต่ยังยังทำให้วิกฤตสภาพคล่องทางการเงินในสหรัฐ และทั่วโลก ผ่อนคลายมากขึ้น และอาจนำไปสู่ความมีเสถียรภาพมากขึ้นของตลาดเงินทั่วโลกอีกด้วย ทั้งนี้ อดีตประธานเฟดวัย 81 ปี ชี้ว่า ในขณะนี้ มีจำนวนบ้านค้างเพื่อรอการขายเป็นจำนวนมากถึง 2 - 3 แสนหน่วย
อลัน กรีนสแปน วอน ธนาคารกลาง ปรับนโยบายการเงินเข้มข้น
อลัน กรีนสแปน ยังกล่าวเตือนบรรดาธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางทั่วโลกด้วยว่า ขอให้หลีกเลี่ยงการดำเนินมาตรการใดก็ตาม ที่ต้องการกดราคาสินทรัพย์ลงอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำยากลำบากมาก และยังเสนอว่า ธนาคารกลางทั่วโลก สามารถหลีกเลี่ยงเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ด้วยการปรับนโยบายการเงินให้อยู่มนระดับเข้มข้น และเหมาะสมมากขึ้นจากที่ผ่านมา อลัน กรีนสแปน ยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ท่ามกลางราคาน้ำมันดิบที่ยืนเหนือกว่า 96 เหรียญสหรัฐ
จอร์จ โซรอส ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐ ปรับตัวครั้งใหญ่เท่าที่เคยมีมา
นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีโลก ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนที่มีชื่อว่า ควอนท์ตั้ม ฟันด์ ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในช่วงวิกฤติการเงินเอเชีย ปี 1997 กล่าวที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์กเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจสหรัฐ เข้าสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา หลังจากที่ผ่านช่วงทศวรรษแห่งการใช้จ่ายอย่างเกินตัว โดยนายจอร์ต โซรอส กล่าวว่า ปัจจุบันมีการนำเงินในอนาคตมาใช้ในปัจจุบันพุ่งสูงมากขึ้น เมื่อถามว่าเศรษฐสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ จอร์จ โซรอส กล่าวว่า สหรัฐอยู่ในช่วงชะลอตัวอย่างหนัก และหนักมากกว่าประธานเฟด
ธนาคาร ซิตี้กรุ๊ป อาจขาดทุนสูงกว่าที่คาดอีกครั้ง
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และใหญ่ที่สุดในโลกในแว่มูลค่าสินทรัพย์ อาจต้องมีผลประกอบการที่ย่ำแน่มากขึ้นจากที่เปิดเผยไปในวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังพบว่า ผลการขาดทุน ที่เข้าไปลงทุนในตราสารที่มีสินทรัพย์นำมาค้ำประกันนั้น อาจพุ่งขึ้นถึง 1.37 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.658 แสนล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะขาดทุนกว่า 3 แสนล้านบาท หากเป็นจริง ผลขาดทุนดังกล่าวจะมีมูลค่าเท่ากับผลกำไรของธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ทั้งปีนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news08/11/07
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 08, 2007 7:45 pm
โดย chartchai madman
ดาวโจนส์ เอสแอนด์พี และแนสแด็ก ทรุดหนักเกือบ 3% ต่ำสุดตั้งแต่กลางกันยายน
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ทรุดหนักมากถึง 360 จุด ร่วงเกือบ 3% ปิดที่ 13,300 จุด ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วง 44 จุด ทรุดเฉียด 3% และแนสแด็กหายไปถึง 76 จุด ทรุดเกือบ 3% เช่นเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐสุดปั่นป่วนครั้งใหม่ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทรุดลงหนักมากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น ดัชนีหุ้นสำคัญที่ร่วงลงหนักคืนที่ผ่านมา ยังทำให้ผลกำไรในตลาดหุ้นสหรัฐ ที่ได้อานิสงค์จากการปรับลดดอกเบี้ยระยะสันสหรัฐลงมากถึง 0.5% ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมาเท่าทุนพอดี
อัยการนิวยอร์ก ชี้ ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ด้านเงินออมในสหรัฐอาจทำผิดกฎหมายสินเชื่อ
ปัจจัยลบสำคัญที่กระแทกดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทรุดตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา คือ ความกังวลเกี่ยวกับตลาดสินเชื่อสหรัฐ ที่ยังคงไม่สิ้นสุด หลังจากอัยการมีชื่อว่า แอนดริว คูโคโม่ ในนิวยอร์ก เข้าไปตรวจสอบสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ด้านเงินออม และสินเชื่อ วอร์ชิงตัน มิวชวล อินคอร์ปอเรชั่น และชี้ มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า มีการสร้างความไม่โปร่งใส ในวิธีการประเมินมูลค่าสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของสถาบัน และลูกค้าชาวอเมริกันที่ขอกู้ยืมเงิน ส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทดังกล่าวต่ำรอบ 20 ปี
อัยการนิวยอร์ก เผย แฟนนี่เมย์และเฟรดดี้แม็ค อาจปล่อยสินเชื่อสูงเกินจริง
นอกจากนี้ อัยการมีชื่อว่า แอนดริว คูโคโม่ ในนิวยอร์ก ยังเปิดเผยต่อไปว่า ได้สั่งให้ 2 สถาบันการเงินของรัฐบาลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย ที่มีชื่อว่า แฟนนี่ เมย์ และเฟรดดี้ แม็ค ส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ หลังสืบค้นพบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ 2 สถาบันการเงินดังกล่าว จะพิจารณามูลค่าสินเชื่อสูงเกินหลักปฏิบัติในการประเมินมูลค่า และอาจผิดกฎหมายอีกด้วย ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำเทขายหุ้นแฟนนี่ เมย์ ตกต่ำมากสุดรอบ 2 ปี และหุ้นของเฟรดดี้ แม็ค ทรุดหนักมากสุดในรอบ 7 ปี
จีเอ็มเผย ขาดทุนร่วม 1.3 ล้านล้านบาท จากการตัดรายได้ทางภาษี
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม ผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่อันดับ 1 ในสหรัฐ เปิดเผยว่า จีเอ็มต้องขาดทุนสูงมากถึง 3.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.3 ล้านล้านบาทในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา สาเหตุจาก ผลขาดทุนสะสมของจีเอ็มในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต้องตัดสินใจ ตัดรายได้ที่จะเกิดจากผลประโยชน์ทางภาษีในอนาคต ผลขาดทุนดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นจีเอ็มขาดทุนมากถึง 2.80 เหรียญ ต่อหุ้น หรือราวหุ้นละ 95 บาท ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ถึง 12 เท่า เป็นอีก 1 ปัจจัยลบที่หุ้นจีเอ็มทรุดอย่างหนักในรอบ 13 เดือน
เงินเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าต่ำสุดรอบ 30 ปี กับ 6 สกุลเงินสำคัญ
ปัจจัยลบสุดท้ายที่ทำให้นักลงทุนกระหน่ำเทขายหุ้นอย่างหนาตาคืนที่ผ่านมา เกิดจาก ค่าเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินสำคัญ สร้างสถิติอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 30 ปี หลังมีความเคลื่อนไหวจากทางการจีนแผ่นดินใหญ่ ที่จะลดการถือครองเงินเหรียญสหรัฐจำนวนหนึ่งในทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีมูลค่ามหาสารสูงถึง 1.43 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อไปเพิ่มการถือครองสกุลเงินสำคัญอื่น ๆ ทดแทน หลังค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลงไม่สิ้นสุด ปัจจัยดังกล่างว ทำให้นักลงทุนลงความเสี่ยงในตลาดหุ้นทันที
แคปปิตัล วัน ชี้ ต้นทุนหนี้เสียพุ่งสูงกว่าที่คาดไว้มาก
บริษัท แคปปิตัล วัน ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นสถาบันการเงินอิศระ ที่ให้บริการออกบัตรเครดิตรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐ เปิดเผยว่า ต้นทุนสำหรับหนี้เสียที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อบัตรเครดิต พุ่งสูงมากขึ้นกว่าที่คาดไว้มาก หมายถึงอยู่ฐานะขาดทุนอย่างเลวร้ายกว่าที่ประเมินไว้ ทั้งนี้ มูลค่าหนี้เสียอาจสูงทะลุถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.7 แสนล้านบาท ส่งผลนักลงทุนสั่งเทขายหุ้น บริษัท แคปปิตัล วัน ไฟแนนเชียล คอร์ปอเรชั่น ตลอดคืนที่ผ่านมา กดราคาหุ้นทรุดหนักมากที่สุดในรอบ 5 ปี
AIG กำไรร่วงลงมากถึง 27% ในไตรมาส 3 จากวิกฤตสับไพร์ม
อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล อินคอร์ปอเรชั่น (AIG) ซึ่งเป็นธุรกิจประกันภัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และของโลก เปิดเผยว่า ผลประกอบการโดยเฉพาะผลกำไรในไตรมาสที่ 3 ตกต่ำมากถึง 27% จากสาเหตุของตลาดอสังหาริมทรัพย์เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เอไอจีเกิดผลขาดทุน ที่เข้าไปลงค้ำประกันสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัย รวมถึงผลขาดทุนในการค้ำประกันธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ราคาหุ้นของเอไอจี ทรุดหนักมากถึง 19% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงคืนที่ผ่านมา นับเป็นผลเสียหายจากวิกฤตสินเชื่อสับไพร์ม
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 ปี และ 10 ปี ห่างมากสุดในรอบ 2 ปี
ตลาดพันธบัตรในสหรัฐปั่นป่วนเช่นกันในคืนที่ผ่านมา โดยผลตอบแทนพันธบัตร หรือยีลด์ ของตราสารดังกล่าวอายุ 2 ปี เทียบกับผลตอบแทนพันธบัตร อายุ 10 ปี มีช่วงห่างมากที่สุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2005 เป็นผลจากความกังวลของนักลงทุน ที่โยกเงินลงทุนเข้าไปในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมากขึ้น จากปัจจัยเสี่ยงในวิกฤตสินเชื่อ และผลประกอบการในกลุ่มธนาคาร หลังมีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารพาณิชย์ และบรัทหลักทรัพย์ในสหรัฐ จะต้องตัดหนี้สูญในระบบเพิ่มอีก 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.4 ล้านล้านบาท
เฟด สาขาเซ็นต์หลุยส์ ชี้ อาจต้องลดดอกเบี้ยระยะสั้นอีก
ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขา เซ็นหลุยส์ ซึ่งเป็น 1 ในคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด กล่าวเมื่อคืนที่ผ่านมาที่เมืองมิลวอร์คกี้ ว่า ภาวะวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ยังคงไม่สิ้นสุดในระยะเวลาอันใกล้ และในฐานะผู้กำกับนโยบายการเงินของแบ็งค์ชาติสหรัฐ ต้องเตรียมที่จะพิจารณา ความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นอีกครั้ง หากวิกฤตดังกล่าวยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องในวงกว้าง ทั้งนี้ เฟด ตัดสินในลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งล่าสุดมากถึง 0.75% และเหลือการประชุมครั้งสุดท้ายปีนี้ในเดือนธันวาคม
เฟด สาขาแอตแลนต้า ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐชะลอมน 6 เดือนข้างหน้า
ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด สาขา แอตแลนต้า นาย เดนนิส ล๊อคฮาร์ท ชี้ว่า ภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า จะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน หลัจากนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และภาวะการผ่อนคลายของอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักสำคัญ จะสามารถผ่อนคลายได้มากน้อยหรือไม่ อย่างไร นอกจากนี้ ผู้ว่าการเฟด สาขา แอตแลนต้า เตือนว่า ผลกระทบจากตลาดบ้านที่อยู่อาศัยที่ถดถอย จะกระทบต่อกำลังการใช้จ่ายของคนอเมริกันมากขึ้นในอนาคตอันใกล้
ชาวอเมริกัน 60% มองเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย 3 - 6 เดือนข้างหน้า
อเมริกา รีเสิร์ช กรุ๊ป ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันวิจัยชั้นนำในสหรัฐ ร่วมกับสำนักข่าวรอยเตอร์ เปิดเผยผลสำรวจชาวอเมริกันทางโทรศัพท์ทั่วประเทศ พบว่า 6 ใน 10 หรือราว 60% ของผู้บริโภคชาวอเมริกัน มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 3 - 6 เดือนข้างหน้านับจากนี้ไป สาเหตุสำคัญที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันประเมินในลักษณะดังกล่าว มาจาก ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ตึงตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบผลสำรวจ ยังคงคาดหวังว่าจะใช้จ่ายในช่วงคริสต์มาส
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news09/11/07
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 8:39 pm
โดย chartchai madman
ประธานแบงก์ชาติสหรัฐ ยอมรับ เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวจาก Subprime ชี้ เลวร้ายที่สุดรอบ 30 ปี
Posted on Friday, November 09, 2007
ประธานเฟด เผย เอกชนสหรัฐอาจชะลอการลงทุน หนี้เสียสินเชื่อบ้านอาจพุ่งสูง
นายเบน เบอร์นันกี้ ชี้แจงในด้านภาคเอกชนว่า ท่ามกลางความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างคล่องตัวของภาคธุรกิจเอกชนชั้นนำ แต่ภาวะของความไม่แน่นอน ที่เพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา จะส่งผลให้ภาคเอกชน ชะลอการลงทุนเช่นเดียวกันกับการใช้จ่ายที่ชะลอตัวลงของผู้บริโภคชาวอเมริกัน ประธานเฟด กล่าวว่า เฟดติดตามอัตราหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐ ที่อาจพุ่งสูงมากขึ้น ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้ จะสร้างแรงกดันมากขึ้นต่ออสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำอยู่แล้ว ที่สุดจะกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวม
ประธานเฟด ย้ำ ภาวะปั่นป่วนตลาดเงินมีต่อไป กระทบความเชื่อมั่นคนอเมริกัน
ประธานเฟดวัย 53 ปี แถลงต่อไปว่า ภาวะปั่นป่วน และข้อจำกัดที่มีมากมายในตลาดเงิน และตลาดทุน ยังคงมีอยู่ต่อไป ส่งผลให้กำลังซื้อ การใช้จ่ายของชาวอเมริกันจะชะลอตัวลงอย่างมาก เนื่องจากความเข้มงวดในตลาดสินเชื่อที่เป็นอยู่ จากปัจจัยลบดังกล่าว รวมถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำลงอย่างมาก ประกอบกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถีบตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งหมดกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวอเมริกัน อย่างไรก็ตาม ประธานเฟด กล่าวเสริมว่า เฟด คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวในปีหน้า จากภาวะสินเชื่อที่ผ่อนคลาย
ประธานเฟด มอง เงินเหรียญสหรัฐสำคัญ และมีอิทธิพลทั่วโลก
ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ชี้แจงต่อเนื่องว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเคลื่อนไหวของทางการจีน รวมไปถึงประเทศอื่นๆ ที่อาจจะลดการถือครองเงินเหรียญสหรัฐ ในกองทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนแผ่นดินใหญ่ หรือในแต่ละแห่ง รวมถึงการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆของสหรัฐที่อาจจะลดน้อยถอยลง เบน เบอร์นันกี้ กล่าวว่า ยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนในการลดสัดส่วนเงินเหรียญสหรัฐอย่างมากมายในทั่วโลก ในทางกลับกัน เงินเหรียญสหรัฐ ยังคงเป็นสกุลเงินสำคัญ และมีอิทธิพลมากที่สุดในระบบเงินสำรองทั่วโลก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news09/11/07
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 8:43 pm
โดย chartchai madman
ซีอีโอ ธนาคารดอยช์แบงก์ ชี้วิกฤตการเงินปีนี้ เลวร้ายที่สุดรอบ 30 ปี
นายโจเซฟ แอคเคอร์เม็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ ธนาคารดอยช์แบงก์ กล่าวในการประชุมสุดยอดการเงิน จัดขึ้นโดยสำนักข่าวรอยเตอร์คืนที่ผ่านมาว่า วิกฤติสภาพคล่องในตลาดเงินที่เกิดขึ้นสหรัฐปีนี้ นับเป็นวิกฤติการเงินที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปี เท่าที่มีอาชีพเป็นผู้บริหารในวงการอุตสาหกรรมการเงิน และธนาคารพาณิชย์ ซีอีโอธนาคารดอยช์แบงก์ ยอมรับว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นแตกต่างจากวิกฤตการเงินเอเชีย ลาตินอเมริกา หรือแม้แต่ในรัสเซียที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ขณะนี้ เป็นปัญหาด้านความต้องการ มากกว่าปัญหาสภาพคล่อง
มอร์แกน สแตนเล่ย์ ขาดทุน Subprime กว่า 1 แสนล้านบาท
มอร์แกน สแตนเล่ย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ในสหรัฐ ประกาศยอมรับถึงผลขาดทุนในไตรมาสที่ 3 ที่เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภทสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime ด้วยมูลค่ามากถึง 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.25 แสนล้านบาท ซึ่งนับเป็นผลขาดทุนที่เหนือกว่าที่คาดไว้มาก ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ มอร์แกน สแตนเล่ย์ ทรุดลง 24% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา ทั้งนี้ นาย โคล์ม เคลเลอร์แฮร์ ซีเอฟโอบริษัทดังกล่าวชี้ว่า ต้องใช้เวลากว่า 1 ปีที่สถานการณ์จะดีขึ้น
เมอร์ลิน ลินช์ ขาดทุน Subprime ทะลุกว่า 9 แสนล้านบาท
เมอร์ลิน ลินช์ บริษัทหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ในสหรัฐ ประกาศยอมรับถึงผลขาดทุนในไตรมาสที่ 3 ที่เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ซีดีโอ ประเภทสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Subprime และที่ลงทุนโดยตรงกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภท Subprime ด้วยมูลค่ามากถึง 2.72 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9.24 แสนล้านบาท ที่สำคัญผลขาดทุนดังกล่าว เพิ่มสูงอีก 6.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.14 แสนล้านบาทจากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ที่ผ่านมาต้องตัดหนี้เสียกว่า 2.8 แสนล้านบาท
ธนาคารเอชเอสบีซี ปิดธุรกิจตราสารหนี้ซีดีโอในสหรัฐ ปลดพนักงาน 120 คน
ธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป ประกาศปิดหน่วยธุรกิจที่เข้าไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ หรือการขายตราสารหนี้ซีดีโอ ที่ต้องนำหลักทรัพย์มาค้ำประกันในสหรัฐ นอกจากนี้ ยังตัดสินใจปลดพนักงานหน่วยดังกล่าวออกเป็นจำนวน 120 คน ไม่เพียงเท่านั้น ธนาคารเอชเอสบีซี ยังสั่งปิดหน่วยธุรกิจด้านวาณิชธนกิจทั้งหมด ที่เข้าไปลงทุนในตลาดตราสารสุขภาพ และสวัสดิการทั้งหมดในสหรัฐอีกด้วย ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่ยังคงมีอยู่สูงในตลาดตราสารหนี้ศซีดีโอ และสภาพคล่อง
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป ชี้ หนี้เสียจากแบงก์ในระบบ ทะลุ 2.2 ล้านล้านเหรียญ
ธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น โดยหน่วยงานวิจัยทั่วโลกของธนาคารดังกล่าว เปิดเผยว่า มูลค่าหนี้เสีย ซึ่งเกิดขึ้นกับตราสารหนี้ซีดีโอ หรือการนำหลักทรัพย์มาค้ำประกันในตราสารดังกล่าว ที่บรรดาสถาบันการเงินทุกประเภทจะต้องตัดเป็นหนี้เสีย อาจมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นถึง 6.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.2 ล้านล้านเหรียญ ในจำนวนดังกล่าว มูลค่าหนี้เสียที่ธนาคารขนาดใหญ่ จะต้องตัดเป็นหนี้เสียในไตรมาสที่ 3 มีมากถึง 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 8.5 แสนล้านบาท
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news12/11/07
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 12, 2007 8:03 pm
โดย chartchai madman
ตลาดหุ้นสหรัฐ ตกต่ำในรอบ 4 เดือน นาสแด็ค ร่วงต่ำสุดรอบ 5 ปีครึ่ง
Posted on Monday, November 12, 2007
ดาวโจนส์ ทรุดต่ำสุดรอบ 4 เดือน นาสแด็คต่ำสุดรอบกว่า 5 ปี
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ยังคงปั่นป่วนไม่สิ้นสุด ปิดท้ายในวันศุกร์ที่ 9 นักลงทุนถล่มเทขายหุ้นอย่างหนัก ฉุดดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทรุดลงอีก 223 จุด เอสแอนด์พี 500 ร่วง 21 จุด และนาสแด็ค ดิ่ง 68 จุด ในสัปดาห์ที่ผ่านไป ดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่งทำสถิติตกต่ำมากที่สุดในรอบ 4 เดือน โดยดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ทรุดมากถึง 4.1% ตกต่ำมากที่สุดตั้งแต่กรกฎาคมปีนี้ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทรุดหนัก 3.7% นับตั้งแต่วันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา และดัชนีหุ้นนาสแด็ค ดิ่งลง 6.5% ตกต่ำอย่างหนักตั้งแต่เดือนเมษายนในปี 2002 หรือในรอบ 5 ปี 7 เดือน
ราคาหุ้นธนาคารซิตี้กรุ๊ป ทรุดต่ำสุดรอบกว่า 4 ปี
สาเหตุสำคัญที่ยังคงกดดันนักลงทุนให้เทขายหุ้นอย่างหนัก และต่อเนื่องจนถึงวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงอยู่ที่ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ที่ทรุดต่ำลงทำสถิติอย่างน่าใจหาย เช่น ราคาหุ้นธนาคารซิตี้กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และของโลก ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 4 ปี 8 เดือน หรือตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2546 จากผลขาดทุนที่อาจพุ่งไปทะลุกว่า 3.7 แสนล้านบาท นอกจากนี้ หุ้นบริษัทซิสโก้ ซิสเต็ม ทรุดหนักมากสุดในรอบ 5 ปี 4 เดือน หรือตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2545
3 ธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ ชี้ หนี้เสียไตรมาสที่ 4 พุ่งอีก
ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส และธนาคารวาโชเวีย ล้วนเปิดเผยตรงกันว่า มูลค่าการตัดหนี้เสียของทั้ง 3 แห่งจะมีเพิ่มในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โดยเฉพาะในส่วนของธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ ไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับมูลค่าที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร ในขณะที่ ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส ชี้ว่า มูลค่าพอร์ตสินเชื่อของธนาคารที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ Subprime มีมูลค่าสูงถึง 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.7 ล้านล้านบาท ด้าน ธนาคารวาโชเวีย ใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ เผยผลขาดทุนสูงถึง 3.74 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3
ธนาคารเอชเอสบีซี อาจขาดทุน Subprime พุ่งอีกกว่า 6 หมื่นล้านบาท
ธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป เตรียมเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ของธนาคารในสัปดาห์นี้ คาดว่าอาจจะมีผลขาดทุนที่เพิ่มสูงขึ้น จากเดิมที่ประเมินว่าจะขาดทุนที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.4 หมื่นล้านบาท แต่ตัวเลขอาจขึ้นไปถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6.8 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ หนีเสียของธนาคารเอชเอสบีซีในครึ่งแรกของปีนี้มีมูลค่า 6,350ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.15 แสนล้านบาท พุ่งขึ้นถึง 63% จากช่วงเดียวกันในปี 49 จากวิกฤติ Subprime
3 ธนาคารยักษ์ใหญ่ เห็นชอบโครงสร้างกองทุน ซุปเปอร์ฟันด์
3 ธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ นำโดย ธนาคารซิตี้กรุ๊ป ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส และธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา ประกาศเห็นชอบในโครงสร้างของเงินกองทุน ที่จะใช้สนับสนุนการจัดตั้งกองทุนที่มีชื่อว่า ซุปเปอร์ฟันด์ ที่มีมูลค่าระหว่าง 7.5 - 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.5 - 2.7 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ โครงสร้างใหม่ไม่มีความซับซ้อนมากนัก เมื่อเทียบกับในครั้งแรกที่มีการนำเสนอ คาดว่ากองทุนซุปเปอร์ฟันด์นี้ จะเข้าซื้อตราสหารนี้เสียในสิ้นปีนี้ โดยจะขอให้ 60 สถาบันการเงินสนับสนุนเงินในอีก 10 วันข้างหน้า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
news12/11/07
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 12, 2007 8:09 pm
โดย chartchai madman
ปี 2005 เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่า เพราะ Subprime และฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก
ในยุคปี 2005 เป็นต้นมา ผลจากภาวะการขาดดุลแฝดของสหรัฐ ซึ่งเกิดขึ้นจากการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล และการขาดดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าขนาดใหญ่ เช่น จีนแผ่นดินใหญ่ จนมาถึงการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐ ที่เกิดขึ้นจากวงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดภาวะฟองสบู่แตก วิกฤติสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยประเภทด้อยคุณภาพ หรือสินเชื่อ Subprime ลุกลามเป็นวิกฤติตราสารหนี้ซีดีโอสินเชื่อ Subprime เกิดเป็นวิกฤติสภาพคล่องในสหรัฐที่เลวร้ายเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐ ทำสถิติอ่อนค่างลงไม่สิ้นสุด
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx