ผิดคาด !!! FED ลดดอกเบี้ย 2 ประเภท อย่างละ 0.5%
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, September 19, 2007
FED ลดดอกเบี้ยระยะสั้น และดอกเบี้ยกู้ยืมกับแบงก์พาณิชย์อย่างละ 0.5%
นายเบน เบอร์นันเก้ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สร้างความประหลาดใจ และเหนือความคาดหมาย ด้วยการประกาศปรับลดดอกเบี้ยทั้ง 2 ประเภทลงอย่างละ 0.5% ในคราวเดียวกัน ได้แก่ ดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Fund Rate) จากระดับ 5.25% ลงมาเหลือเพียง 4.75% และดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง FED และธนาคารพาณิชย์ (Discount Rate) จากระดับ 5.75% เหลือเพียง 5.25% เมื่อคืนที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงจากคระกรรมการทั้งหมดอย่างเอกฉันท์ ส่งผลแบงก์พาณิชย์ชั้นนำหลายแห่ง ลดดอกเบี้ยมากขึ้นทันที
FED ชี้สินเชื่อตึงตัวกระทบเศรษฐกิจทั่วไป และเป็นการป้องกันภาวะตกต่ำ
คณะกรรมการนโยบายการเงินของ FED ให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจสหรัฐขายตัวปานกลางในครึ่งแรกของปีนี้ แต่สภาพสินเชื่อที่ตึงตัว ส่งผลให้เกิดการปรับตัวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างรุนแรง และจำกัดการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยทั่วไป การตัดสินในลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ เพื่อต้องการป้องกันภาวะที่ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากความปั่นป่วนในตลาดเงิน ในขณะเดียวกัน เป็นผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวปานกลางในระยะต่อไป ด้านเงินเฟ้อขั้นพื้นฐาน ปรับขึ้นปานกลางปีนี้ แต่ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง
FED ชี้ วิกฤติตลาดทุน สร้างความไม่แน่นอนมากขึ้นต่อเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ความคืบหน้าของภาวะตลาดเงิน และตลาดทุนในช่วงที่ผ่านมา ได้เพิ่มความไม่แน่นอนต่อมุมมองเศรษฐกิจ ดังนั้น คณะกรรมการยังคงเฝ้าประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น และเฝ้าจับตาดูพัฒนาการด้านอื่นๆของเศรษฐกิจสหรัฐอย่างใกล้ชิดต่อไป ขณะเดียวกัน จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งทันที หากมีความจำเป็นเกิดขึ้น เพื่อรักษาภาวะเงินเฟ้อให้มีเสถียรภาพ และภาวะเศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ปรับลดดอกเบี้ยดิสเค้าท์เรต ตามคำขอจาก FED 7 สาขา จากทั้งหมด 12 สาขา
ดอกเบี้ย FED ลดครั้งสุดท้ายเมื่อ 4 ปีผ่านมา เหลือเพียง 1%
ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของ FED ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ปี 2003 หรือปี 2546 หรือในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ในยุคอดีตประธาน FED อลัน กรีนสแปน ซึ่งผู้ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของ FED โดยในครั้งนั้นเป็นการปรับลดลงเพียง 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะสั้นในครั้งนั้นลงมาอยู่ในระดับ 1% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 46 ปีที่ผ่านมา หลังจากในครั้งนั้น ดอกเบี้ยดังกล่าวไม่ได้รับการปรับขึ้นแต่อย่างใดจนกระทั่งถึงวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2004 หรือในปี 2547
ดอกเบี้ยกู้ยืมให้กับแบงก์พาณิชย์ ปรับขึ้น 2 ครั้งในรอบ 1 เดือนเศษ
หลังจากวันดังกล่าว ดอกเบี้ยระยะสั้นปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปถึง 17 ครั้งติดต่อกัน ในอัตราครั้งละ 0.25% จากระดับ 1% ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.25% ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงของประธาน FEDคนปัจจุบัน เบน เบอร์นันเก้ นอกจากนี้ นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนในปี 2549 ดอกเบี้ยระยะสั้นดังกล่าว ทรงตัวมาตลอดในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินทั้งหมด 9 ครั้งติดต่อกันจนถึงก่อนการประชุมเมื่อคืนที่ผ่านมา ด้านดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง FED และแบงก์พาณิชย์ ปรับลดครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมปีนี้ และครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
ดาวโจนส์พุ่งขึ้นเกิน 300 จุดและพุ่งขึ้นมากที่สุดภายใน 1 วัน
ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก สหรัฐ ตอบรับการตัดสินใจที่เหนือความคาดหมายจาก FEDทันที และตลอดทั้งวันของการซื้อขาย โดยดัชนีหุ้นดาวโจนส์พุ่งขึ้น 335 จุด ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปรับเพิ่มขึ้น 10% จากต้นปีถึงปัจจุบัน และเพิ่มขึ้น 19% ในรอบ 1ปีที่ผ่านมา และปรับเพิ่มขึ้นถึง 83% นับตั้งแต่เดือนมีนาคมในปี 2003 หรือในรอบกว่า 4 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นดังกล่าวเพิ่มมากกว่า 300 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ 15 ตุลาคม ปี 2002 หรือในปี 2545 ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดใน 1 วัน นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน ปี 2002 หรือปี 2545 อีกด้วย
เงินเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ เชื่อ อาจลดดอกเบี้ยอีกในปลายปี
ค่าเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญเช่น เหรียญยูโร ปรับอ่อนค่าลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ตลอดทั้งวันของการซื้อขาย ลงมาอยู่ที่ 1.3980 เหรียญ ด้านผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นจาก 4.74% มาอยู่ที่ 4.76% เนื่องจาก ตลาดเงินตื่นตระหนกกับการตัดสินใจของ FED ที่เหนือความคาดหมาย นอกจากนี้ ยังมีการประเมินแนวโน้มการตัดสินใจของ FEDว่า มีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก ในการประชุมที่เหลือของปีนี้อีก 2 ครั้ง ครั้งต่อไป วันที่ 31 ตุลาคม และครั้งสุดท้ายในวันที่ 11 ธันวาคม
ทองคำพุ่งสูงสุดในรอบ 27 ปี
ผลการตัดสินในปรับลดดอกเบี้ยทั้ง 2 ประเภทของ FED ส่งผลกระทบราคาทองคำตลาดนิวยอร์กทะยานขึ้นทำลายสถิติสูงสุดในรอบ 27 ปี โดยมีราคาซื้อขายในระบบอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดเอเชียล่าสุดที่ออนซ์ละ 735.50 เหรียญ นับเป็นราคาสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 1980 หรือเมื่อปี 2523 ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดนิวอยร์ก พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 24 ปี ใน 5 วันทำการติดต่อกัน ปิดที่บาร์เรละ 81.51 เหรียญสหรัฐ ล่าสุด ราคาซื้อขายในเอเชียพุ่งขึ้นต่อเนื่องอีก 1.81 เหรียญสหรัฐ อยู่ที่บาร์เรลละ 82.38 เหรียญสหรัฐ
ธุรกิจรับสร้างบ้านในสหรัฐเลวร้ายที่สุดในรอบ 16 ปี และ 6 เดือนข้างหน้าแย่สุดใน 23 ปี
กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านในสหรัฐ เปิดเผยว่า ผลสำรวจของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านแห่งชาติ สหรัฐ ล่าสุด ชี้ชัดเจนว่า ภาวะธุรกิจรับสร้างบ้านในสหรัฐ ไม่เพียงย่ำแย่มากที่สุดในรอบ 16 ปีที่ผ่านมา หนือนับตั้งแต่สงครามอ่าวในเดือนมกราคม ปี 1991 หรือเมื่อปี 2534 โดยมีค่าดัชนีดังกล่าวทรุดตัวลงจากระดับ 22 จุดในเดือนสิงหาคม ลงมาอยู่ที่ระดับ 20 จุดในเดือนกันยายนเท่านั้น แต่ค่าดัชนีดังกล่าวยังทรุดตัวลงต่อเนื่องถึง 7 เดือนติดต่อกันในปีนี้ และมุมมองต่อธุรกิจดังกล่าวในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ยังคงเลวร้ายอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าดัชนีเหลือเพียง 26 จุดซึ่งต่ำสุดในรอบ 23 ปี
ผิดนัดชำระหนี้ และหนี้สูญ บ้านในสหรัฐ พุ่งอีก 36% เดือนสิงหาคม
การผิดนัดชำระหนี้ และหนี้สูญของสินเชื่อบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐประจำเดือนสิงหาคม พุ่งขึ้นถึง 36% และยังเพิ่มสูงมากกว่า 2 เท่า ในช่วงเดี่ยวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนมากถึง 243,947 หน่วย ซึ่งเปิดเผยโดยสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญด้านตลาดบ้านในสหรัฐมีชื่อว่า เรียลตี้ แทร็ค นอกจากนี้ เรีลยตี้ แทร็ค ยังประมินว่า อัตราหนี้สูญจะพุ่งขึ้นถึง 2 ล้านหน่วยภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจาก เดือนหน้าจะเป็นเดือนเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยกู้ยืมของสินเชื่อบ้านที่เรียกว่า Adjustable Mortgage Rate
อลัน กรีนสแปน ชี้ ลดดอกเบี้ยทั้ง 2 ประเภท อาจช่วยกองทุน Hedge Fund ทางอ้อม
อดีตประธาน FED อลัน กรีนสแปน ให้สัมภาษณ์ภายหลังการตัดสินใจปรับลดอกเบี้ยทั้ง 2 ประเภทของ FED ว่า หากมองว่าการปรับลดดังกล่าว เป็นมาตรการทางอ้อม ที่ต้องการจะเข้าไปช่วยเหลือนักลงทุนในตลาดทุนของสหรัฐ โดยเฉพาะบรรดากองทุนประกันความเสี่ยง หรือ เฮ็จฟันด์นั้น ก็นับว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเป้าหมายอยู่ที่ต้องการสร้างความมีเสถียรภาพต่อระบบเศรษฐกิจ หรือไม่ต้องการให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อดีตประธาน FED ย้ำว่า สาเหตุแห่งวิกฤติสภาพคล่องมาจากการขาดข้อมูล และความตื่นตกใจกลัว ที่เปิดปัญหาการเงินของนักลงทุน
นักวิชาการไทยมอง FED ตัดสินใจตามสภาพคล่องมากกว่าดูจากสภาพเศรษฐกิจ
นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวผ่านรายการ Morning Brief ว่า การตัดสินใจที่เหนือความคาดหมายของ FED เป็นไปตามข้อมูลที่ได้รับมาใหม่ โดยเฉพาะการที่ธนาคารของอังกฤษและยุโรปมีปัญหาและอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก เพราะไม่แน่ใจว่าสถาบันการเงินต่าง ๆ เข้าไปลงทุนในตราสารที่มีสินทรัพย์อ้างอิง (Collateralized Debt Obligation: CDO) แล้วขาดทุนหรือไม่ โดยปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ตรงที่การไม่สามารถชำระหนี้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าที่มีเครดิตต่ำกว่ามาตรฐาน (Subprime Mortgage Loan) แต่อยู่ที่การเข้าไปลงทุนในอนุพันธ์ที่ถือกำเนิดมาจากหนี้เสียที่ผ่านการตกแต่งแล้ว อย่างไรก็ตามแม้ FED จะมีความพยายามแก้ปัญหาด้วยการออกนโยบายมาเมื่อได้รับข้อมูลเพิ่มเติม แต่ก็ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่รากฐานที่แท้จริง ทั้งจากการไม่สามารถชำระหนี้ของผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จะนำไปสู่การล้มละลาย และการขาดทุนของสถาบันการเงิน
สำหรับประเทศไทยหากต้องการรักษาค่าเงินบาทให้ใกล้เคียงกับดอลลาร์สหรัฐฯ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 1 วันตามมาจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 3.25% อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะต้องติดตามก็คือ ความผันผวนในตลาดทุนโลกเพราะยังไม่ชัดเจนว่า มีผู้ที่ลงทุนใน CDO มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ สภาพคล่องในระบบของไทยในขณะนี้ยังเรียกว่าล้นเกินอยู่ และค่าเงินบาทก็ไม่ผันผวนหรือแข็งค่ามากเหมือนกับช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้านี้
ผู้เชี่ยวชาญของไทยเชื่อตลาดคลายกังวลหลัง FED ปรับลดดอกเบี้ย
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการ Pre Opening เชื่อว่า จะมีผลตอบรับในทางที่ดีจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย FED โดยอาจสร้างเสถียรภาพต่อระบบการเงิน และส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในสหรัฐฯได้ ที่ผ่านมาปัญหาแม้ว่าปัญหา Subprime จะยังไม่ได้คลี่คลายลงไปมาก แต่ก็เชื่อว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในครั้งนี้ จะทำให้ตลาดลดความกังวลลงได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็ยังควรติดตามผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯที่จะทยอยประกาศออกมาว่าจะได้รับผลกระทบจากตราสาร CDO หรือไม่
สำหรับตลาดเงิน โดยเฉพาะส่วนของการซื้อขายตราสารพาณิชย์ (Commercial Paper) ในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้ซบเซาลงค่อนข้างมาก ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถหาเงินทุนในการดำเนินงานได้ยากขึ้น จึงกดดันให้การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานนอกภาคเกษตร และมีผลต่อเนื่องไปยังรายได้และการบริโภคของสหรัฐฯได้อีก จึงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไปว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะมีผลดีต่อ Commercial Paper หรือไม่ เพราะจะมีผลเกี่ยวเนื่องต่อสภาพคล่องภายในประเทศด้วย
นายกอบสิทธิ์กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ได้รับความเห็นชอบโดยเอกฉันท์ของคณะกรรมการนโยบายการเงินของ FED ซึ่งในระยะนี้ก็เป็นช่วงการติดตามผล โดยหากทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ มีทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว การประชุม FED ครั้งหน้า ก็อาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ได้ แต่หลังจากนั้น FED ก็อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ปัจจุบันเงินเยนเริ่มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องแล้ว ซึ่งอาจเกิดจากการคลายกังวลในตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาดทุนทั่วโลก จึงส่งผลให้มีการกู้เงินเยนไปลงทุน (Yen Carry Trade) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะมีขึ้นนั้น นายกอบสิทธิ์มองว่า การที่นายชินโซ อาเบะ ได้ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อไม่นานมานี้ ก็จะมีผลให้การกำหนดนโยบายเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจนมากนัก โดยเฉพาะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ยิ่งเป็นไปได้ยาก เนื่องจากจะเป็นแรงกดดันต่อผลกระโยชน์ที่ได้รับจากค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลงในขณะนี้ได้ และอาจกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศญี่ปุ่นได้อีกด้วย นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นยังเป็นสิ่งที่ไม่น่ากังวล จึงเชื่อว่าเป็นไปได้ยากที่ญี่ปุ่นจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
ลดดอกเบี้ยสะท้อน FED กังวลกับระบบเศรษฐกิจ ส่อแววลดดอกเบี้ยได้อีก
นส. เกวลิน หวังพิชญสุข นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวในรายการ Trading Hour ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระดับ 0.5% เป็นการป้องกันล่วงหน้าเพื่อลดโอกาสที่เศรษฐกิจจะอ่อนตัวลง เพราะขณะนี้ก็มีความเสี่ยงว่าเศรษฐกิจของอังกฤษและยุโรปอาจประสบกับภาวะถดถอย และ FED ก็กังวลว่าอาจลุกลามมาสู่เศรษฐกิจโดยรวม แต่การลดอัตราดอกเบี้ยก็เป็นเพียงการบรรเทาผลกระทบจาก Subprime ลง ช่วยให้การบริโภคและเศรษฐกิจโดยรวมมีตัวช่วยมากขึ้น แต่คงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ทั้งนี้ FED ให้ความสำคัญกับปัญหา Subprime มาโดยตลอด สังเกตได้จากการปรับลด Discount Rate เมื่อกลางเดือนที่แล้วลง 0.5% จาก 6.25% เหลือ 5.75%
นส. เกวลินยังเชื่อว่า การเคลื่อนไหวของเงินทุน (Fund Flow) น่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า แม้ว่ายอดเงินสุทธิที่ลงทุนในสินทรัพย์ของสหรัฐฯในเดือนที่ผ่านมาจะลดลง แต่ถ้าทุกคนกระหน่ำขายสินทรัพย์ที่ลงทุนในสหรัฐฯออกมาพร้อมกันน่าจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม
ขณะนี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่จะอ่อนค่าลง ขณะที่เงินเยนก็อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯเช่นกัน หรืออาจกล่าวได้ว่าแข็งค่าในอัตราที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับเงินยูโร สำหรับเงินบาทของไทยก็มีแนวโน้มที่จะแข็งค่า เพราะผลจากความผันผวนของตลาดเงินโลก
สำหรับราคาน้ำมันที่ทำสถิติสูงสุดอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะถัดไปได้ แต่ก็จะต้องจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน ประกอบกันด้วย รวมไปถึงความผันผวนของตลาดเงินจากปัญหา Subprime ว่าจะปรากฏผลรุนแรงมากหรือน้อยในอนาคต และมีความเป็นไปได้ที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก แต่อาจจะไม่มากเท่ากับครั้งนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx