หน้า 4 จากทั้งหมด 6

news24/11/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 24, 2007 2:52 pm
โดย chartchai madman
ธุรกิจร้านอาหารในประเทศปี51 : มูลค่าตลาด 100,000 ล้านบาท...ขยายตัว 5%

23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 16:35:00

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :    ท่ามกลางปัญหาราคาน้ำมันที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า ทำให้คนไทยต้องเน้นประหยัดมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามธุรกิจร้านอาหารก็ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากแนวโน้มของการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ความเร่งรีบทำให้ไม่มีเวลาในการประกอบอาหารที่บ้าน ความต้องการเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อผ่อนคลายความเครียด การแสวงหาความสุขสนุกสนานในครอบครัวหรือในกลุ่มเพื่อนฝูง

  อย่างไรก็ตามบรรดาผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารต่างก็ต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจในคุณค่าของอาหารที่รับประทานมากขึ้น และยังเน้นประหยัดค่าใช้จ่าย กล่าวคือผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารหันมาเน้นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพและราคาประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับการทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน รวมทั้งเน้นการเพิ่มบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะการบริการส่งอาหารนอกสถานที่ไปยังทั้งที่ทำงานและที่บ้าน รวมทั้งเพิ่มบริการจัดงานเลี้ยงส่วนบุคคล โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปิดตัวสินค้าและบริการ หรือในเทศกาลเฉลิมฉลองช่วงปลายปี ดังนั้นธุรกิจร้านอาหารในประเทศนับว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ

   บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่ามูลค่าธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยในปี 2551 สูงถึงประมาณ 100,000 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวประมาณ 5.0% โดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายในการบริโภคอาหารนอกบ้านของคนไทย รวมกับค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ กล่าวคือค่าใช้จ่ายในการบริโภคอาหารนอกบ้านของคนไทยเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 927 บาทต่อครัวเรือน  ซึ่งค่าใช้จ่ายในการบริโภคอาหารนอกบ้านของคนไทยในแต่ละครัวเรือนเฉลี่ยต่อเดือนนั้นจะแตกต่างกันในแต่ละภาค กล่าวคือ กรุงเทพฯและปริมณฑล 2,158 บาท ภาคกลาง 1,007 บาท ภาคใต้ 876 บาท ภาคเหนือ 555 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 519 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเฉลี่ยต่อปีประมาณร้อยละ 18.0 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ  

   ปัจจุบันร้านอาหารในประเทศมีจำนวน 64,113 ร้าน แยกเป็นร้านอาหารในกรุงเทพฯ จำนวน 12,000 ร้าน และในต่างจังหวัดจำนวน 52,113 ร้าน  จำนวนร้านอาหาร/ภัตตาคารมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 3.0% ต่อปี ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

    1.ร้านอาหารรายย่อย (ไม่รวมธุรกิจร้านจำหน่ายอาหารประเภทแผงลอยและรถเข็น) ธุรกิจร้านอาหารประเภทนี้เจ้าของกิจการจะเป็นนักลงทุนรายย่อย รวมถึงนักลงทุนรายใหม่ที่ต้องการลงทุนเปิดธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจร้านอาหารรายย่อยนี้ใช้เงินลงทุนในเบื้องต้นที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารประเภทอื่น และมีระยะเวลาในการคืนทุนค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารประเภทอื่น คาดการณ์ว่าในปี 2551 มูลค่าตลาดของร้านอาหารรายย่อยในประเทศไทยนั้นมีสัดส่วนประมาณ 70.0% ของมูลค่าธุรกิจร้านอาหารทั้งหมด และเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัว 5.2%

    2.ร้านอาหารต่างประเทศและร้านอาหารหรู คาดว่าในปี 2551 มีสัดส่วนทางการตลาด 10.0% และเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวเพียง 2.0% อย่างไรก็ตามธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมีการเติบโตที่โดดเด่นอย่างมาก ซึ่งบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด สำรวจคนกรุงเทพฯที่เลือกลิ้มลองอาหารต่างชาติเมื่อต้องรับประทานอาหารนอกบ้าน และสามารถจัดลำดับอาหารต่างชาติยอดนิยม 5 อันดับแรกได้ดังนี้  อาหารญี่ปุ่นครองอันดับหนึ่ง รองลงมาคืออาหารจีน อาหารอเมริกัน อาหารเวียดนาม และอาหารอิตาเลี่ยน คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยยังจะขยายตัวได้อีกค่อนข้างมาก  ปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น คือ การปรับรสชาติอาหารให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย การเลือกทำเลให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรับรู้ข้อมูลและข่าวสารที่ถูกต้อง และการมีบุคลากรระดับบริหารที่มีความรู้ความเข้าใจ นอกจากนี้ผู้ประกอบการร้านอาหารญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จต้องมุ่งเน้นการรักษาคุณภาพของอาหาร โดยเฉพาะความสดใหม่ของอาหาร เนื่องจากเป็นหัวใจสำคัญของอาหารญี่ปุ่น รวมทั้งเน้นบริการที่ดีเยี่ยมเป็นที่ประทับใจของลูกค้า ซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์ที่มีอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอย่างมาก

    3.ร้านอาหารประเภทบริการด่วน (Quick Service Restaurant) ปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารประเภทนี้มีการเติบโตในอัตราสูงสุดในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย คาดการณ์ว่าสัดส่วนตลาดของธุรกิจประเภทนี้ประมาณ 20.0% ของมูลค่าธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย และเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวถึง 5.0% โดยตลาดของธุรกิจร้านอาหารประเภทนี้เกือบ 90% เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ประเภทฟาสต์ฟู้ดส์ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเป็นไก่ 40% แฮมเบเกอร์ 20% พิซซ่า 15%  ไอศกรีม 10% และอื่นๆ 15% ปัจจุบันในประเทศไทยมีสาขาร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดส์กว่า 1,000 แห่ง ส่วนธุรกิจร้านอาหารประเภทบริการด่วนที่เหลืออีกร้อยละ 10 นั้นเป็นธุรกิจอาหารนานาประเภท

   สำหรับธุรกิจร้านอาหารประเภทบริการด่วนที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจร้านติ่มซำ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เป็นแนวรุกของร้านอาหารจีน โดยหันมาเน้นการให้บริการที่ความรวดเร็ว อร่อย สะอาด อีกทั้งยังสามารถตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นการกำจัดจุดอ่อนของร้านอาหารจีน คือ การไปรับประทานอาหารจีนต้องไปรับประทานเป็นกลุ่ม และมีราคาแพง แต่ในปัจจุบันสามารถไปรับประทาน 1-2 คน และราคาไม่แพง ทำให้ร้านอาหารประเภทนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก

   นโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมธุรกิจร้านอาหารคือการรณรงค์เผยแพร่ภาพลักษณ์ด้านคุณภาพ และมาตรฐานด้านสุขอนามัยของร้านอาหาร ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547 เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงต่อความปลอดภัยด้านอาหารเกิดขึ้นได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบไปจนกระทั่งอาหารถึงมือผู้บริโภค ซึ่งร้านอาหารนั้นอยู่ในขั้นตอนของการปรุงและจำหน่าย มาตรการตรวจสอบสถานที่จำหน่ายอาหารแยกเป็นร้านอาหาร แผงลอยจำหน่ายอาหาร และรถเร่จำหน่ายอาหาร ในปัจจุบันจำนวนสถานที่จำหน่ายอาหารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

  เนื่องจากประชาชนหันมาประกอบธุรกิจด้านการจำหน่ายอาหารมากขึ้น จากการสำรวจมาตรฐานร้านอาหารในเดือนกันยายน 2550 ของกองสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขพบว่าจากจำนวนร้านอาหารทั้งหมดที่ได้มีการสำรวจปรากฏว่ามีร้านอาหารที่ได้มาตรฐานและได้รับป้าย Clean Food Good Taste 68.1% ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับในปี 2547 ที่มีสัดส่วนเพียง 29.4% เท่านั้น

   บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มีความเห็นว่าการเข้ามาจัดระเบียบร้านอาหารนี้จะเป็นแนวคิดที่พลิกโฉมหน้าธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย เนื่องจากเมื่อก่อนคนส่วนใหญ่จะคิดว่าเมื่อไม่ทราบว่าจะทำธุรกิจอะไรก็จะเปิดร้านอาหาร เพราะเข้าใจว่าธุรกิจร้านอาหารเปิดง่ายที่สุด ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ราชการจากหน่วยงานต่างๆเข้ามาควบคุม แต่หลังจากมีการเข้มงวดในเกณฑ์มาตรฐานของร้านอาหารแล้วความคิดนี้จะเปลี่ยนไป เพราะการจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจร้านอาหารอย่างถูกต้องตาม  กฎหมายจะมีการดำเนินการและขั้นตอนที่เป็นระเบียบเข้มงวดมากขึ้น ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ปรุง และผู้จำหน่ายอาหารจะต้องได้มาตรฐานในเรื่องความสะอาด จึงจะได้รับใบอนุญาต รวมทั้งการเปิดธุรกิจร้านอาหารจะต้องมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องว่าเป็นร้านอาหาร ซึ่งจะมีผลในการควบคุมมาตรฐานในด้านสุขอนามัยที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้บริโภค เนื่องจากความไม่สะอาดและไม่ปลอดภัยของอาหารส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยจะเห็นได้จากอัตราป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารที่เพิ่มขึ้นในกรณีที่ไม่มีการควบคุมมาตรฐานด้านสุขอนามัยอย่างจริงจัง

   ธุรกิจร้านอาหารนับว่าเป็นธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้แม้ว่าปัญหาน้ำมันแพง และหลากหลายปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้า ส่งผลให้บรรดาผู้บริโภคต่างเน้นประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ผู้บริโภคบางส่วนได้เปลี่ยนพฤติกรรมโดยลดความถี่ในการบริโภคอาหารนอกบ้าน ในขณะที่ยังมีผู้บริโภคบางส่วนที่ยังคงนิยมรับประทานอาหารนอกบ้านก็ปรับพฤติกรรมหันไปเลือกรับประทานที่ร้านอาหารทั่วไปแทนการรับประทานในร้านอาหารต่างประเทศหรือร้านหรู

  นอกจากนี้ผู้บริโภคบางส่วนก็ยังคงพฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้านไว้ โดยยังคงไปรับประทานที่ร้านที่โปรดปราน แต่หันไปปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในด้านอื่นๆแทน รวมทั้งบรรดาผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคทั้งในด้านความสนใจในเรื่องสุขภาพและการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมไปถึงการตอบโจทย์ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วธุรกิจร้านอาหารจึงยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

   อย่างไรก็ตามปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหม่ทยอยเข้ามาในตลาด โดยเฉพาะในตลาดร้านอาหารรายย่อย อันเป็นผลมาจากการลงทุนไม่สูงมากนักและระยะเวลาในการคืนทุนค่อนข้างสั้น ทำให้ผู้ประกอบการทั้งรายเก่าและรายใหม่ต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด นอกจากต้องจับตาการปรับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารแล้ว ประเด็นที่น่าสนใจคือมาตรการจัดระเบียบร้านอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการความปลอดภัยด้านอาหารก็นับว่าเป็นมาตรการที่น่าจับตามอง เนื่องจากจะเป็นมาตรการที่จะพลิกโฉมธุรกิจร้านอาหารในประเทศ

ที่มา : บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
 http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=205251

news26/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 26, 2007 2:25 pm
โดย chartchai madman
พาณิชย์ลุ้นคำตัดสินคดีภาษีกุ้ง

โพสต์ทูเดย์ พาณิชย์ เตรียมอุทธรณ์ คำตัดสินคดีไทยฟ้องสหรัฐ เก็บภาษีกุ้งซ้ำซ้อน หลังคณะลูกขุนด้อยประสบการณ์


แหล่งข่าว จากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะลูกขุน ภายใต้องค์กรระงับข้อพิพาท ที่แต่งตั้งโดยองค์การ การค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) เพื่อพิจารณาคดีที่ไทยฟ้องร้องให้สหรัฐยกเลิกเก็บภาษีสินค้ากุ้งไทยซ้ำซ้อน โดยเก็บทั้งอากรการทุ่มตลาด (เอดี) และพันธบัตรค้ำประกัน 100% ของอากรเอดี รวมถึงยังต้องการให้คิดส่วนเหลื่อม การเก็บอากรเอดีกุ้งไทยใหม่ เพราะการคำนวณแบบซีโรอิ้งไม่เป็นธรรมกับไทย ได้ส่งคำตัดสินอย่างไม่เป็นทางการมายังคู่กรณี ทั้งไทย และสหรัฐ เพื่อให้พิจารณาคำตัดสินแล้ว

ทั้งนี้ ในคำตัดสินดังกล่าว ระบุว่า สหรัฐไม่สามารถดำเนินการเรียกเก็บซี-บอนด์ได้ ยกเว้นกรณีที่มีความเสี่ยงว่า ผู้ส่งออกสินค้ากุ้งจะไม่ยอมจ่ายอากรเอดี ซึ่งในประเด็นนี้ ไทยมีความคิดเห็นส่งกลับไปว่า คณะลูกขุนน่าจะพิจารณาเฉพาะกรณีของประเทศไทย ไม่ควรเอาประเทศอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะความเสี่ยงกรณีที่ผู้ส่งออกกุ้งไม่ยอมจ่าย ค่าอากรเอดีนั้น ไม่ได้เกิดจากผู้ส่งออกไทย แต่เป็นผู้ส่งออกจากจีนมากกว่า ซึ่งการที่สหรัฐเรียกเก็บซี-บอนด์เพิ่มขึ้นเพราะต้องการแก้ปัญหาผู้ส่งออกจีนไม่ยอมจ่ายอากร เอดีมากกว่า ไม่ใช่ไทย

อย่างไรก็ตาม หากคณะลูกขุนไม่ยอมเปลี่ยนแปลงคำตัดสิน และประกาศคำตัดสินออกมาเช่นนั้น ไทยก็จะอุทธรณ์ เพื่อให้ คณะลูกขุนมีคำตัดสินที่ชัดเจนมากกว่านี้ ซึ่งคาดว่า คณะลูกขุนจะประกาศคำตัดสินอย่างเป็นทางการประมาณกลางเดือน ธ.ค.นี้ หากคณะลูกขุนรับคำอุทธรณ์ของไทย คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนพิจารณาคดีนี้ใหม่

ส่วนการที่ไทยฟ้องร้องเรื่องการคิดส่วนเหลื่อมการเก็บอากรเอดีกุ้งอย่างไม่เป็นธรรมนั้น คณะลูกขุนตัดสินให้ไทยชนะ โดย ระบุว่า การคำนวณแบบซีโรอิ้งผิดหลักการ ดับบลิวทีโอ ซึ่งจะทำให้สหรัฐต้องคิดอากร เอดีที่เก็บจากสินค้ากุ้งของไทยใหม่

ทั้งนี้ ไทยได้ยื่นฟ้องสหรัฐต่อดับบลิวทีโอตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.2549 และดับบลิวทีโอได้ตั้งคณะลูกขุนพิจารณากรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 26 ม.ค 2550 โดยมีหลายประเทศร่วมให้การต่อคณะลูกขุนด้วย ทั้งบราซิล ชิลี จีน เอกวาดอร์ สหภาพยุโรป (อียู) อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เม็กซิโก และเวียดนาม อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์มีความเห็นว่า คณะลูกขุนที่ดับบลิวทีโอแต่งตั้งนั้นอาจยังอ่อนประสบการณ์ แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ด้วย จึงอาจเป็นเหตุให้มีคำตัดสินออกมาในลักษณะคลุมเครือ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205708

news26/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 26, 2007 3:41 pm
โดย chartchai madman
โลกจะขาดแคลนอาหาร?

26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 10:52:00

MoneyPro: วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ [email protected]

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ (CLSA) ได้จัดงานสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน และได้เชิญมิสเตอร์ฮิวจ์ เพย์แมน (Hugh Peyman) มาพูดเกี่ยวกับงานวิจัยเรื่องสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอาหาร ดิฉันเห็นว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรม จึงขอนำมาเล่าสรุปให้ท่านในวันนี้

มิสเตอร์เพย์แมนชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ราคาที่แท้จริงของสินค้าเกษตรประเภทอาหาร เมื่อปรับค่าเงินเฟ้อแล้ว ตกลงไปถึง 70% โดยมีช่วงตกต่อเนื่องถึง 15 ปีตั้งแต่ปี 1988 และเพิ่งจะขยับขึ้นมาได้ 4-5 ปีนี้ โดยมีตัวเร่งหลายประการ คือ ผลผลิตที่ลดลงจากการที่พื้นผลิตลดลง ส่วนหนึ่งเพราะราคาตกต่ำ และอีกส่วนหนึ่งเนื่องจากมีพื้นที่ที่มีความเจริญและมีการพัฒนาเป็นเมืองมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อประชากรมีรายได้สูงขึ้น การบริโภคก็เพิ่มขึ้น

ยกตัวอย่างของประเทศจีน ซึ่งเคยเป็นผู้ผลิตข้าวโพดส่งออกถึง 15.2 ล้านตันในปี 2002 ในปัจจุบันส่งออกข้าวโพดเพียง 3 ล้านตัน และคาดว่าจะส่งออกได้เพียง 1.2 ล้านตันในปี 2012 และอาจจะต้องกลายเป็นผู้นำเข้าข้าวโพด ข้าวสาลี และสินค้าโภคภัณฑ์อาหารอื่นๆ ในไม่ช้า

นอกจากนี้ ในช่วงที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นใน 5-6 ปีที่ผ่านมา ยังมีความต้องการพืชไปผลิตเชื้อเพลิงประเภทไบโอ (Bio-fuel) จึงทำให้พืชผลเกษตรที่ผลิตออกมาถูกส่งไปป้อนโรงงานเหล่านี้ด้วย จึงทำให้ปริมาณอาหารถูกนำไปใช้ในการอื่น นอกเหนือจากการบริโภค ซึ่งเป็นผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจ

จีนเป็นประเทศที่ตระหนักถึงความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นดี และเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารเป็นอย่างมาก ท่านที่ติดตามข่าวคงจะจำได้ว่าจีนมีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงในปีนี้ โดยราคาอาหารเป็นส่วนประกอบถึง 80% ของการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อของจีน

นอกจากนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงคือปริมาณสต็อกอาหารเพื่อการบริโภค ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ 7 ปีก่อน ประมาณว่าในปีนี้ มีการเก็บข้าวโพดไว้ในสต็อกเพียง 11.5% ของปริมาณการใช้ทั้งปี เมื่อเทียบกับ 28% ในปี 2000 เก็บข้าวไว้เพียง 17.2% เมื่อเทียบกับ 35.7% ในปี 2000 เก็บข้าวสาลี 18.2% ของปริมาณการใช้ เมื่อเทียบกับ 35.1% ในปี 2000 เก็บน้ำมันที่ผลิตจากถั่วเหลือง 6.1% ของการใช้ในปีนี้ เมื่อเทียบกับ 10.3% ในปี 2000 เป็นต้น

อย่างไรก็ดี สินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์เบาคือ พวกอาหาร เป็นสินค้าที่มีความผันผวนของราคาสูง ดังนั้นเราคงจะไม่สามารถคาดหวังที่จะเห็นราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แนวโน้มระยะปานกลางยังน่าจะเพิ่มขึ้น จากตารางด้านล่างจะเห็นว่าราคาที่แท้จริงของสินค้าโภคภัณฑ์เบา (ปรับค่าเงินเฟ้อแล้ว) ยังอยู่ห่างไกลจากจุดที่ราคาขึ้นไปสูงสุด ในขณะที่ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์หนัก เช่น น้ำมัน โลหะ ได้ขึ้นไปใกล้จุดที่ราคาเคยสูงสุดมากกว่า โดยในขณะนี้ราคาน้ำมันก็ขึ้นไปทำลายสถิติสูงสุดแล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อดูจุดสูงสุดของราคาสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละประเภท จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือช่วงเกิดความไม่สงบในประเทศที่เป็นแหล่งน้ำมัน ซึ่งต้องถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เพราะผู้คนมากมายต้องอยู่ในสนามรบ แรงงานที่จะมาทำกิจกรรมขุดน้ำมัน ขุดแร่ ปลูกพืชผลตามปกติ หายไป เพราะฉะนั้น เราคงไม่คาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ จะต้องขึ้นไปถึงราคาสูงสุดที่เคยเป็นมาในอดีตค่ะ เพียงแต่ หากไทยเราต้องการใช้ประโยชน์จากข้อมูลนี้ในฐานะประเทศเกษตรกรรม เราควรจะเร่งผลิตอาหาร (ที่มีคุณภาพ) ป้อนโลก โดยเฉพาะป้อนประเทศในเอเชียที่การบริโภคกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น จีน ทั้งนี้มิสเตอร์เพย์แมนคาดว่าในรอบนี้ราคาอาหารจะยังคงปรับเพิ่มขึ้นอีก 2-4 ปีค่ะ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=205671

news29/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 29, 2007 6:57 pm
โดย chartchai madman
ยางพาราไทย...ตกอันดับโลก...?

Posted on Thursday, November 29, 2007
นายบุญหาญ อู่อุดมยิ่ง ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ปัจจุบันไทยเป็นผู้ผลิตยางพาราอันดับ 1 ของโลก เพราะสามารถผลิตยางพาราได้ปีละ 3 ล้านตัน จากพื้นที่ 13 ล้านไร่ คิดเป็น 37 38% ของปริมาณยางพาราทั่วโลก ที่มีประมาณ 8.8 ล้านตัน ขณะที่อินโดนีเซีย ซึ่งมีพื้นที่กว่า 31 ล้านไร่ กลับผลิตได้เพียงปีละ 2 2.1 ล้านตัน เนื่องจากเกษตรกรไม่มีคุณภาพ ส่วนมาเลเซียก็นำพื้นที่ไปเพาะปลูกปาล์มน้ำมันแทน และเวียดนามก็มีปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติ นอกจากนี้ไทยยังเป็นผู้กำหนดราคายางพาราในตลาดโลกด้วย

นายบุญหาญบอกว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไทยได้ขยายพื้นที่เพาะปลูกยางในภูมิภาคต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยพันธุ์ยางที่นำมาปลูกนั้น หน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ได้ช่วยกันคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุด และหลังจากนี้อีก 4 ปี ก็จะสามารถกรีดน้ำยางได้

ส่วนที่มีผู้เป็นห่วงว่า การขยายพื้นที่อาจจะทำให้ยางพาราล้นตลาดจนกระทบต่อราคาขายนั้น ก็ไม่อยากให้เป็นห่วง เพราะผลการศึกษาของ International Rubber Study Group (IRSG) ระบุว่า อีก 4 5 ปีข้างหน้า จีนจะยังมีความต้องการยางพาราอยู่ จากการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้ IRSG ยังระบุว่า อัตราการปลูกยางพาราในอาเซียนไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ของจีนด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบันทั่วโลกใช้ยางสังเคราะห์คิดเป็น 60% ของปริมาณการใช้ยางทั้งหมด และใช้ยางพารา 40% ซึ่งการปรับราคาของยางทั้ง 2 ชนิดจะมีทิศทางเดียวกัน แต่ราคายางพาราจะสูงกว่ายางสังเคราะห์ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งมีผลผลิตยางพารารวมกันถึง 70% ของผลผลิตรวมทั่วโลก แสดงความจำนงว่า ต้องการลดการผลิตยางพารา เพื่อรักษาระดับราคาไว้ จึงมีผลให้ราคายางพาราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประธานกลุ่มยางฯ คาดว่า ปี 2550 การส่งออกยางพาราของไทยจะมีมูลค่า 1.8 1.9 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 2549 ที่มีมูลค่า 2.05 แสนล้านบาท เนื่องจากในช่วงเดือน มิ.ย. 2549 ราคายางพาราได้พุ่งสูงถึง 104 บาท/กก. ก่อนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 60 70 บาท/กก. จนถึงสิ้นปี ขณะที่ราคายางปีนี้อยู่ที่ประมาณ 78 บาท/กก. ส่วนปีหน้าคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นเป็น 85 บาท/กก.

สำหรับการส่งเสริมโครงการรถยนต์นั่งประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากล (ECO Car) ของภาครัฐ เชื่อว่า จะไม่มีผลกระทบต่อราคายางมากนัก ถึงแม้ว่าปริมาณการใช้ยางรถยนต์ต่อคันจะลดลง แต่ปริมาณรถที่เพิ่มขึ้น ก็จะสามารถทดแทนกันได้

นายบุญหาญเชื่อว่า ไทยจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยางพาราต่อไป ถ้าหากภาครัฐมีการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจัง รวมทั้งมีการดูแลผู้ผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำด้วย

นายชานนทน์ ภู่เจริญยศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.เจเอสพี ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า ในช่วงแรกราคายางพาราที่หาดใหญ่ต้องอิงกับตลาด TOCOM ของญี่ปุ่น แต่เมื่อไทยได้จัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ราคายางพาราที่หาดใหญ่ก็กลับมาอิงกลับตลาด AFET ทำให้ไทยเป็นผู้กำหนดทั้งราคาซื้อขายจริงและตลาดล่วงหน้า

สำหรับการซื้อขายยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) ในตลาด AFET นั้น ปัจจัยจากภายนอกประเทศ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน และราคาน้ำมัน จะมีผลกระทบต่อราคายางมากที่สุด โดยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น จะมีผลให้ราคายางพาราเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ราคายางพาราก็จะลดลงเช่นกัน ส่วน Demand และ Supply จะเพิ่มขึ้นในระดับที่ทรงตัว คือ ปีละประมาณ 1 - 2% ดังนั้น จึงไม่กระทบต่อราคายางมากนัก ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ เช่น ปัญหาการเมือง และสภาพเศรษฐกิจ จะไม่มีผลกระทบต่อราคายาง ทั้งนี้ ราคายางเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 78 บาท/กก. สูงกว่าปี 2549 ที่ 75 บาท/กก.

นายชานนทน์ยังแนะนำนักลงทุนที่ต้องการซื้อ RSS3 ด้วยว่า ให้ทยอยซื้อสะสมไว้ และควรถือระยะยาว 1 2 ปี เพราะราคาน้ำมัน และความต้องการใช้ยางที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคายางอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ราคายางที่ลดลงในช่วงนี้ เกิดจากปัญหา Subprime และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับการซื้อขายข้าวขาว 5% ในตลาด AFET นั้น ปัจจุบันนักลงทุนก็เริ่มให้ความสนใจ และมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะราคาข้าวได้เพิ่มสูงขึ้นจากปัญหาน้ำท่วม และเวียดนามหยุดการส่งออกข้าว โดยขณะนี้ราคาข้าวอยู่ที่ 11.70 บาท/กก.
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx

news30/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 30, 2007 12:57 pm
โดย chartchai madman
ชี้ช่องส่งมังคุดลุยตลาดยุโรป

โพสต์ทูเดย์ ชี้ช่องเพิ่มส่งออกมังคุดไทยไปตลาดยุโรป ผู้บริโภคนิยม แต่ต้องวางมาตรฐานสินค้า การจัดส่ง และประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจน


นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวในงานสัมมนา เรื่อง โอกาสและความท้าทายของผลไม้เมืองร้อนในตลาดอียู ว่า ผลไม้เมืองร้อนโดยเฉพาะมังคุดของไทยมีโอกาสเข้าไปเจาะตลาดสหภาพยุโรป (อียู) ได้อีกมาก แต่ที่ผ่านมาการส่งออกมังคุดยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพและมาตรฐานไม่สม่ำเสมอ

นอกจากนี้ ยังพบว่าการขนส่งมีปัญหาเพราะมังคุดเก็บไว้ได้ไม่นาน อีกทั้งการจำหน่ายในอียูส่วนใหญ่ยังเป็นการฝากขายในร้านทั่วๆ ไป ไม่ได้เจาะตลาดโดยตรง ทั้งที่ความต้องการของผู้บริโภคมีมาก แต่ต้องเน้นประชาสัมพันธ์ หากรุกตลาดอย่างจริงจัง เชื่อว่าภายใน 2 ปี มังคุดจะส่งออกได้ถึง 2 พันล้านบาท จากที่ส่งออกได้ 800-900 ล้านบาท

นางโจเซลีน แนวพนิช ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ สถาบันอาหาร กล่าวว่า พื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออกของไทยแต่ละปีมีผลผลิตมังคุดมากเกินไป โดยปี 2548 มีผลิตถึง 4 แสนตัน ส่วนใหญ่เป็นมังคุดเกรดต่ำ ทำให้เกษตรกรขายไม่ได้ราคา การเชื่อมโยงตลาดก็มีน้อย ขาดการวางแผนเกี่ยวกับการแปรรูป จึงส่งออกได้ไม่มาก สิ่งที่ต้องเร่งให้ความสำคัญ คือหาช่องทางส่งมังคุดเข้าสู่ตลาด รวมถึงปรับปรุงคุณภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าทั้งสดและแปรรูป

ทั้งนี้ ประเทศไทยส่งออกมังคุดรายใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งตลาดถึง 80% ปี 2549 ประเทศไทยส่งออกผลไม้มูลค่า 4.79 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการส่งออกมังคุด 300 ล้านบาท ลดลงจากปี 2548 ที่ส่งออกได้ 900 ล้านบาท เกิดจาก ผลผลิตลดลง

นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ ประธานกรรมการ บริษัท กำแพงแสนคอมเมอร์เชียล กล่าวว่า ตลาดอียูให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานของผักผลไม้ที่จะส่งเข้าไปจำหน่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นผู้ส่งออกต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐาน หากไม่เร่งปรับตัวและเตรียมพร้อมจะทำให้สูญเสียตลาดให้คู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามได้ ซึ่งทั้งมะม่วงและมังคุดจัดเป็นผลไม้ที่มีคุณภาพในตลาดอียู เพียงแต่ต้องแก้ไขปัญหาการดูแลจัดส่งให้ดี

ปีหน้า บริษัทวางแผนที่จะส่งออกผลไม้ไปอียูเพิ่มอีก 200-300 ล้านบาท จากปัจจุบันมีรายได้จากการส่งออกผักและผลไม้ปลอดภัยปีละ 400 ล้านบาท ผลไม้ทั้งหมดที่ส่งออกผลิตจากฟาร์มที่ได้รับรองมาตรฐาน แบ่งเป็นมะม่วง 100 ตัน และมังคุด 200 ตัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206497

news01/12/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 01, 2007 12:51 pm
โดย chartchai madman
พาณิชย์อนุมัติน้ำมันพืชปรับ2บาทต่อขวดลิตรกลางเดือนธ.ค.

30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 16:19:00

ผู้บริโภคอ่วม พาณิชย์อนุมัติปรับราคาน้ำมันพืช 2 บาทต่อขวดลิตรกลางเดือนธ.ค.เผยราคาน้ำมันพืชปาล์มพุ่ง 43.50บาทต่อขวดลิตร น้ำมันถั่วเหลือง 45 .50 บาทต่อขวดลิตร สั่งตรวจสอบร้านค้าก๊าซปฎิเสธการจำหน่าย

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :  นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯได้หารือกับผู้ประกอบการน้ำมันพืชทั้งจากปาล์มและภั่วเหลือง เพื่อทบทวนต้นทุนสินค้าใหม่หลังจากขอปรับราคาเข้ามา ซึ่งพบว่าต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจริง จากราคาวัตถุดิบ ดังนั้นจึงอนุมัติให้ปรับราคาเร็วขึ้น จากเดิมน้ำมันพืชจากปาล์มได้อนุมัติให้ปรับราคาจาก 38 บาทต่อขวดลิตรเป็น 41 บาทต่อขวดลิตรมีผลไปแล้ว และคำนวนต้นทุนให้ปรับได้อีกครั้งหลังจากปีใหม่เป็น 43.50 บาทต่อขวดลิตร แต่ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วผู้ประกอบการร้องเรียนมาก จึงอนุมัติให้ปรับเร็วขึ้นช่วงกลางเดือนธ.ค.นี้ ขณะที่ราคาน้ำมันพืชจากถั่วเหลืองอนุมัติให้ปรับราคาเช่นเดียวกัน โดยราคาสูงกว่าน้ำมันพืชจากปาล์ม 2 บาทต่อขวดลิตร

นายยรรยง กล่าวต่อว่า กรมฯสั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกตรวจการซื้อขายก๊าซหุงต้ม หลังจากกระทรวงพลังงานประกาศลอยตัวก๊าซหุงต้ม  ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค หลังจากได้รับการร้องเรียนว่ามีการปฏิเสธจำหน่ายก๊าซหุงต้ม โดยหลังจากกระทรวงพลังงานประกาศลอยตัวแล้ว ผู้ค้าก๊าซฯ สามารถปรับราคาจำหน่ายได้ทันที และให้แจ้งกรมการค้าภายในภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนโรงบรรจุก๊าซจะต้องแจ้งราคาภายใน 2 วัน อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบร้านขายก๊าซฯ รายใดปฏิเสธการจำหน่ายให้แจ้งมายังสายด่วนแม่บ้าน 1569
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/3 ... sid=207376

news05/12/07

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 05, 2007 10:39 pm
โดย chartchai madman
สถาบันวิจัยนโยบายอาหารสากล ชี้ ชาติยากจนกำลังเผชิญภัยคุกคามใหม่ ราคาอาหารแพงขึ้น

Posted on Tuesday, December 04, 2007

สถาบันวิจัยนโยบายอาหารสากล หรือ ไอเอฟพีอาร์ไอ ออกรายงานเตือนในกรุงปักกิ่งของจีน ว่าราคาอาหารที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก กำลังเป็นภัยคุกคามต่อประเทศยากจน

ในรายงาน ที่มีชื่อว่า " สถานการณ์อาหารโลก : แรงขับเคลื่อนใหม่และต้องการการลงมือปฏิบัติจริง " ระบุว่า ปัจจัยการเติบโตของรายได้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพบรรยากาศโลก ต้นทุนค่าพลังงานที่แพงขึ้น กระแสโลกาภิวัฒน์ และการขยายตัวของเมือง ทำให้ความต้องการบริโภคอาหารทั่วโลกเติบโตเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มการปรับเพิ่มของราคาขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจสร้างอันตรายต่อการดำรงชีวิตและโภชนาการของประชาชนในประเทศกำลังพัฒนา

ทั้งนี้ รายงานฉบับดังกล่าว ถูกเปิดเผยออกมาในช่วงที่มีการประชุมประจำปีของกลุ่มที่ปรึกษาว่าด้วยการวิจัยเกษตรกรรมสากล (ซีจีไอเออาร์) ซึ่งระบุว่า ราคาอาหารลดลงเรื่อย ๆ ในช่วงแห่งการปฏิวัติสีเขียว แต่วันเวลาเหล่านั้นอาจจะสิ้นสุดลงแล้ว การเติบโตทางเศรษฐกิจช่วยลดความหิวโหย แต่โชคร้ายที่การเติบโตไม่ได้เข้าถึงคนที่ยากจนที่สุดเสมอไป  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news06/12/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2007 1:36 pm
โดย chartchai madman
ชี้เปิดเอฟทีเอ ผักและผลไม้ ไทยได้ดุลจีน

โพสต์ทูเดย์ พาณิชย์ แจง ไทยได้ดุลการค้าผักและผลไม้กับจีน หลังเปิดเอฟทีเอ ยันกระเทียมและหอมหัวใหญ่ที่ทะลัก ส่วนใหญ่นอกโควตา


น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ผลการลดภาษีสินค้าผักและผลไม้ภายใต้เขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-จีน ซึ่งได้เปิดเสรีนำร่องก่อนกรอบเอฟทีเออาเซียน-จีน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2546 ปรากฏว่า การค้ามีการขยายตัวมาโดยตลอด และไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าจีนทั้งผักและผลไม้

ทั้งนี้ ในส่วนของผักช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2547-2549) การส่งออกขยายตัวสูงถึง 41.10% ต่อปี ส่วนการนำเข้าขยายตัว 30.15% ต่อปี และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2550 (ม.ค.-ต.ค.) ไทยส่งออกได้สูงถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 42.88% และนำเข้า 66.60 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.23% โดยไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า 234 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับผลไม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การส่งออกขยายตัว 16.81% ต่อปี การนำเข้าขยายตัว 13.65% ต่อปี โดยในช่วง 10 เดือนแรก ไทยส่งออกผลไม้ไปจีนแล้ว 107 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.82% นำเข้า 85.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.14% ไทยได้ ดุลการค้า 21.60 ล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ในการเปิดเสรีผักและผลไม้กับจีน แม้ว่ากระเทียมและหอมหัวใหญ่ จะเป็นสินค้าที่อยู่ในรายการลดภาษี และถูกโจมตีมาตลอดว่ามีสินค้าจากจีนทะลักเข้ามา จนกระทบกับเกษตรกรภายในประเทศของไทย

ทั้งนี้ ตามข้อเท็จจริง สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่มีโควตาภาษี ซึ่งอาเซียนและจีนตกลงจะลดภาษีเฉพาะในโควตาเท่านั้น โดยกระเทียมมีโควตานำเข้าปีละ 65 ตัน หอมหัวใหญ่ 365 ตัน และต้องขออนุญาตนำเข้า ดังนั้นสินค้าที่ทะลักเข้ามาส่วนใหญ่เป็นสินค้านอกโควตาและเสียภาษีในอัตราที่สูง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207508

news06/12/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2007 3:07 pm
โดย chartchai madman
พลังงานเร่งปลูกปาล์มผลิตไบโอดีเซล

โดย Post Digital 6 ธันวาคม 2550 11:33 น.

รมว.พลังงาน น้อมรับพระราชดำรัส เร่งปลูกปาล์มผลิตไบโอดีเซล

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว. พลังงาน กล่าวถึงการน้อมรับกระแสพระราชดำรัสเรื่องไบโอดีเซล ว่า ไบโอดีเซลมี 2 ประเภท คือ ไบโอดีเซลชุมชน ที่ผลิตได้เองในชุมชน กระจายอยู่ทั่วไปหลายแห่ง ใช้วัตถุดิบมาจากน้ำมันพืชที่ใช้แล้วและน้ำมันปาล์ม ส่วนไบไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ที่นำมาผสมกับน้ำมันดีเซล แล้วนำไปขายตามปั๊มต่างๆ ที่ผ่านมา พบว่ายอดขายดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมาจากการกำหนดของภาครัฐว่าภายในปี 2551 จะไม่มีน้ำมันเบนซิน 95 จำหน่าย

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสามารถผลิตได้ในปริมาณที่มากพอต่อความต้องการ เพียงแต่ตอนนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการ ยอมรับว่า ปาล์มซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตไบโอดีเซลอาจไม่เพียงพอต่อการผลิตเพื่อนำมาใช้ในปีหน้า ดังนั้น ต้องเร่งขยายพื้นที่การปลูกปาล์ม ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้ว ขณะที่การผลิตไบโอดีเซลในชุมชน ต้องพัฒนากระบวนการผลิต เช่น ของเหลือที่ได้นำมาใช้ประโยชน์.
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=207548

news07/12/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 07, 2007 1:39 pm
โดย chartchai madman
หุ้นพืชพลังงานได้ดี สนองพระราชดำรัส-5 บจ.ทำน้ำมันปาล์มรุ่ง

กระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องของการใช้พลังงานทดแทน ได้แก่ น้ำมันไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอล์ ทำให้ภาครัฐตื่นตัวรีบสนองตอบพระราชดำรัส ธุรกิจที่เกี่ยวกับพืชปาล์มน้ำมัน ได้รับผลดีตามไปด้วย


5 บริษัทจดทะเบียนในตลาดฯที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปาล์มจึงถูกมองว่า น่าจะได้รับประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว ได้แก่ บริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน)(CPI) บริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน)(UPOIC) บริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน)(UVAN) และบริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(LST) และ น้ำมันพืชไทย หรือ TVO

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด(มหาชน)(SYRUS) ให้ความเห็นว่า เรื่องของพลังงานทดแทนยังคงมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ราคาขายน้ำมันปาล์ม และน้ำมันถั่วเหลืองได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องอยู่ ไม่ว่าจะเป็น CPI UVAN UPOIC LST และ TVO แต่หากมองในเรื่องของผลประกอบการ TVO อาจจะยังไม่สะท้อนในเรื่องดังกล่าวเท่าที่ควร เพราะเป็นน้ำมันถั่วเหลือง แต่ก็จะได้ผลดีทางอ้อมที่ยอดขายน้ำมันถั่วเหลืองสูงขึ้น

การที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาจริงจังกับการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ส่งผลดีต่อการใช้น้ำมันปาล์มที่จะเพิ่มอย่างแน่นอน และจะส่งผลทางอ้อมต่อการใช้น้ำมันถั่วเหลือง เนื่องจากน้ำมันปาล์มในตลาดบริโภคจะหายไปเพื่อนำไปทำพลังงานทดแทน คนจึงหันใช้น้ำมันพืชเพิ่มชดเชยในส่วนที่หายไปดังกล่าว แต่อย่าลืมว่าประเทศไทยยังคงต้องมีการนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งต้องมาดูกันอีกว่าระหว่างต้นทุน และปริมาณการขายจะมีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวิเคราะห์ได้ประเมินราคาเป้าหมายของ TVO ปี 51 ไว้ที่ 16 บาท ซึ่งอาจจะทำการปรับราคาใหม่อีกครั้ง หลังจากเข้าพบผู้บริหารวันนี้(7 ธ.ค.) เพื่อสอบถามถึงแผนงานในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับ UPOIC บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด ระบุว่า ผลตอบแทนจากการเพาะปลูกปาล์มของบริษัทจะทำให้ UPOIC มีความสามารถทำกำไรมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น แนะนำ ซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 75 บาท

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรสังเกตการเพิ่มยอดขาย โดยเพิ่มการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ Utilization Rate ของความสามารถในการผลิตส่วนเกินของ UPOIC บริษัทต้องซื้อผลปาล์มสดจากแหล่งเพาะปลูกภายนอก ซึ่งราคาผลปาล์มสดที่สูงขึ้น การขาดแคลนและการเร่งขึ้นของราคาปาล์มน้ำมันดิบสามารถทำให้อัตรากำไรปรับลดลง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด(มหาชน)(UPOIC) ดำเนินธุรกิจทำสวนปาล์มน้ำมัน และผลิตน้ำมันปาล์มดิบจากผลปาล์มดิบ โดยบริษัทเป็นเจ้าของสวนปาล์ม 44,500 ไร่ ในเขตจังหวัดกระบี่ และสุราษฎร์ธานี ซึ่งนับได้ว่ามีพื้นที่รวมของสวนปาล์มมากที่สุดในประเทศไทยในขณะนี้ ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทได้แก่ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันเมล็ดในปาล์ม กากเมล็ดในปาล์ม และเมล็ดในปาล์ม

นอกจากนั้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทมีอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากกำไรสุทธิ งวดเดือนก.ค.-ก.ย.50 ในอัตราหุ้นละ 1.00 บาทต่อหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นตามบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2550 จำนวน 32,405,000 หุ้น เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 32,405,000 บาท โดยกำหนดให้วันที่ 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา 12.00 น. เป็นวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้นในการรับเงินปันผล โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 ธันวาคม 2550

ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง จำกัด(มหาชน)(KEST) ให้ความเห็นว่า ในไตรมาส 4 กำไรของ UVAN จะอ่อนตัวจากช่วงผลปาล์มสดออกสู่ตลาดน้อย แต่คาดหมายว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบจะปรับตัวสูงขึ้นต่อในไตรมาส 4 จากความต้องการไบโอดีเซล และการบริโภคภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 50 ที่ 414 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% จากปีก่อน โดยแนวโน้มในปีหน้าคาดว่าปริมาณผลปาล์มสดจะมากกว่าปีนี้ โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 51 เป็น 447 ล้านบาท (4.76 บาท/หุ้น) เพิ่มขึ้น 8% จากปี 50 แนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยมีมูลค่าหุ้นที่ 47.60 บาท

สำหรับภาครัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาสนองตอบพระราชดำรัส เช่น นายธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) กล่าวว่า เพื่อสนองพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทาง ธ.ก.ส. จึงจัดให้มีโครงการสนับสนุนการปลูกพืชพลังงานทดแทน เช่น อ้อย ปาล์มน้ำมันและมันสำปะหลัง ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยคัดเลือกพื้นที่ปลูกที่มีศักยภาพ และแบ่งวัตถุประสงค์การปลูกพืชพลังงานอย่างชัดเจน โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน ซึ่งตั้งเป้าหมายปลูกปาล์มเพิ่มให้ได้ 700,000 ไร่ ภายในปี 2552 แบ่งเป็นพื้นที่จังหวัดภาคใต้ 500,000 ไร่ และภาคตะวันออกอีก 200,000 ไร่

ขณะเดียวกัน พร้อมสนับสนุนสินเชื่อเพื่อปลูกพืชพลังงานทดแทน โดยตั้งวงเงินรวม 7,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ MRR -0.5 ต่อปี สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการปลูกพืชพลังงานทดแทน ซึ่งวงเงินสินเชื่อดังกล่าวจำนวน 50% ได้มาจากกองทุนน้ำมัน

ด้านนายอภิชาติ จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(ศสก.) เปิดเผยถึงแนวโน้มของพืชพลังงานในปีหน้าว่า จะมีการขยายตัวสูงขึ้นจากภาวะความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยปาล์มน้ำมัน อ้อยและมันสำปะหลังที่เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยปาล์มน้ำมันจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตสูงสุด ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงวางแผนพัฒนาผลผลิตเพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์การให้น้ำมันของผลผลิตปาล์มต่อต้นจากเดิม 17 % เป็น 18.5%

ทั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีของผู้ส่งออกปาล์มน้ำมันไทยที่จะมีรายได้มากขึ้น หลังจากที่สหรัฐอเมริกาไม่อนุญาตให้ใช้น้ำมันถั่วเหลืองในการทอดอาหารที่มีอุณหภูมิสูง เพราะจะมีการตกค้างของสารบางอย่าง จึงมีแนวโน้มว่าจะมีการนำเข้าปาล์มน้ำมันจากไทยมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ราคาขายของผลปาล์มน้ำมันสดจากต้นปีตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ค. ราคาขายอยู่ที่ 3.23 บาท/กิโลกรัม แต่ขณะนี้ราคาขายได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 5.25 บาท/กิโลกรัม จึงเป็นสัญญาณที่ดีที่ภาคเกษตรไทยจะหันมาให้ความสำคัญเรื่องการปลูกปาล์มน้ำมันมากขึ้น
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16

news08/12/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 08, 2007 1:43 pm
โดย chartchai madman
ส่งออกอาหารวืดเป้า6แสนล. ปี51ดีขึ้นแต่กีดกันค้ารอเพียบ  
เป้าปี 2550 ไทยส่งออกสินค้าอาหาร 6 แสนล้านไปไม่ถึงดวงดาว ปัญหาค่าเงินบาท ซับไพรม์สหรัฐ ขาดแคลนวัตถุดิบตัวฉุด สถาบันอาหารชี้ปี 2551 กลับมาขยายตัวได้ดี สินค้าหลายรายการได้อานิสงส์ JTEPA ช่วยดันยอด ด้านสมาคมอาหารสำเร็จรูปเตือนผู้ส่งออกไทยเร่งปรับตัวรับมือ เผยทั้งอียู สหรัฐ ญี่ปุ่น คู่ค้าหลักเตรียมออกกฎใหม่สกัดดาวรุ่งเพียบ

ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากการที่ 3 องค์กร ประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสถาบันอาหารได้คาดการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในปี 2550 จะมีมูลค่าประมาณ 608,047 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่ 7.8% จากการประเมินล่าสุดคาดจะขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย มีปัจจัยสำคัญหลายประการ อาทิ เงินบาทที่แข็งค่าทำให้รายได้รูปเงินบาทลดลง ปัญหาซับไพรม์(หนี้ด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์)ของตลาดหลักคือสหรัฐอเมริกาฉุดกำลังซื้อผู้บริโภคลดลง ทำให้มีการนำเข้าลดลง ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและมีราคาแพงในกลุ่มสินค้าทูน่า เป็นต้น

ทั้งนี้การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยช่วง 9 เดือนแรก มีมูลค่าทั้งสิ้น 445,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8% ส่วนในปี 2551 การส่งออกน่าจะกลับมาขยายตัวดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดญี่ปุ่นซึ่งสินค้าเกษตรและอาหารของไทยหลายรายการได้รับผลดีจากการลดภาษีนำเข้าจากญี่ปุ่นตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA)ที่มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 เช่น สินค้าไก่แปรรูป ทูน่ากระป๋องและอาหารทะเล ผักและผลไม้ รวมทั้งสินค้าที่ญี่ปุ่นให้โควตาปลอดภาษีเช่น กล้วย กากน้ำตาล สับปะรด เป็นต้น ในภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้ 10-12%

"ในปีหน้าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารน่าจะขยายตัวดีกว่าปีนี้ ซึ่งบางตัวมีแนวโน้มที่ดี บางตัวไม่ดีจะชดเชยกันได้ โดยสินค้ากุ้งน่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น เพราะการเลี้ยงกุ้งของเวียดนามอีกหนึ่งคู่แข่งสำคัญประสบปัญหาโรคระบาด สับปะรดได้รับผลดีจากโควตาภาษีที่ได้รับภายใต้เจเทป้า ทูน่ากระป๋องหากบริหารต้นทุนได้ดีน่าจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น ไก่ส่งออกไปญี่ปุ่นจะขยายตัวมากขึ้นจากอัตราภาษีนำเข้าที่ลดลง"

อย่างไรก็ดีดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ในปี 2551แม้จะยังมีแนวโน้มที่ดี แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากคู่ค้าหลักทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู)และญี่ปุ่นได้ออกฎระเบียบใหม่ๆ ในการเพิ่มความเข้มงวดด้านมาตรฐานสินค้ามากขึ้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งวงจรการผลิตของไทยจะต้องให้ความสำคัญในการติดตามข้อมูลข่าวสาร และต้องปฏิบัติให้ได้ตามข้อบังคับของคู่ค้า รวมถึงต้องหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม ที่มีศักยภาพเช่นกลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกา และตะวันออกกลาง

สำหรับมาตรการที่น่าจับตามองและผู้ประกอบการของไทยต้องเร่งปรับตัวรองรับแต่เนิ่นๆ ในส่วนของตลาดอียูคือ กฎระเบียบด้านวัสดุและสิ่งของที่ใช้สัมผัสอาหาร(Food Contact Materials)เพื่อป้องกันสารอันตรายหลุดลอกออกจากวัสดุสัมผัสอาหารปนเปื้อนสู่อาหารได้ โดยกลุ่มที่อียูจับตาเป็นพิเศษคือสารกลุ่มพทาเลท(phthalate) และสาร ESBO(Epoxidised soy bean oil) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2551 เป็นต้นไป อียูจะเริ่มบังคับใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับสาร ESBO ซึ่งจะก่อให้เกิดความยุ่งยากต่อผู้ส่งออกของไทยอย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์บริการเพียงหน่วยงานเดียวที่สามารถตรวจวิเคราะห์การตกค้างของสารกลุ่มพทาเลทได้ แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับของประเทศผู้นำเข้าของอียู

ส่วนสาร ESBO ขณะนี้ไทยยังไม่มีห้องปฏิบัติการใดที่สามารถตรวจวิเคราะห์ได้ ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องส่งตัวอย่างไปวิเคราะห์ที่ประเทศเยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000-30,000 บาท/ตัวอย่าง ทำให้ภาระต้นทุนผู้ประกอบการไทยสูงขึ้น สินค้าที่คาดจะได้รับผลกระทบมากคือกลุ่มเครื่องปรุงรสที่ในปี 2549 ไทยมีการส่งออกไปอียูมูลค่าประมาณ1,761 ล้านบาท

ด้านนางวิไล เกียรติศรีชาติ นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า นอกจากกฎระเบียบด้านวัสดุและสิ่งของที่ใช้สัมผัสอาหารของอียูแล้ว ในส่วนของตลาดสหรัฐก็น่าจับตามองเช่นกัน เนื่องจากล่าสุดประธานาธิบดีสหรัฐร่วมกับ 12 หน่วยงานได้เตรียมผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ สาระสำคัญคือจะเพิ่มกำลังคนในการตรวจสอบการนำเข้าสินค้าอาหารให้มีความเข้มงวดมากขึ้น ที่จะเป็นภาระกับผู้ส่งออกไทยตามกฎหมายฉบับนี้คือ จะต้องเสียค่าสุ่มตรวจสารปนเปื้อนอาหารในอัตรา 50 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,700 บาท/ตัวอย่าง(คำนวณที่ 34 บาท/ดอลลาร์) และต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพผู้บริโภคอีก 20 ดอลลาร์/ล็อต ซึ่งจะเพิ่มภาระต้นทุนผู้ส่งออกไทย ต่อเรื่องกฎระเบียบของคู่ค้านี้ภาครัฐและเอกชนจะต้องประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกได้  
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2276

news10/12/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 10, 2007 12:53 pm
โดย chartchai madman
ร้านอาหารจ่อขยับ ปีหน้าเมนูละ5บาท

โพสต์ทูเดย์ ปีหน้าธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน มีแววขยับราคาอาหารอีก 3-5 บาท


นายเกียรติศักดิ์ ฉมาภิสิษฐ ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอแอนด์ดับบลิว เรสเตอรองต์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มการปรับขึ้นราคาอาหารในปีหน้านั้น คาดว่าธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน หรือคิวเอสอาร์ ผู้ประกอบการทุกรายคงจะต้องปรับราคาขายขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อย 3-5 บาท ตามแต่ละเมนู เนื่องจากราคาสินค้าที่เป็นส่วนประกอบหลักปรับขึ้นทุกรายการ

ขณะที่เอแอนด์ดับบลิวคงต้องรอดูสถานการณ์ว่า ผู้นำตลาดอาหารบริการด่วนจะขึ้นราคาเมื่อไร แต่เอแอนด์ดับบลิวอาจจะไม่ขึ้นราคาตามในทันที เพราะต้องการเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภค

พร้อมกันนี้ บริษัทได้วางแผนงานจะขยายสาขาเพิ่มอย่างน้อย 8 สาขาต่อปี เน้นขยายไปกับปั๊มน้ำมันเป็นหลัก และการเปิดร้านแบบสแตนด์ อโลน โดยการลงทุนสำหรับสาขาในปั๊มน้ำมันอยู่ที่ 2-3 ล้านบาท ส่วนการเปิดสาขาแบบสแตนด์อโลนอัตราการลงทุนอยู่ที่ 8 ล้านบาท

ปัจจุบันเอแอนด์ดับบลิวมีทั้งหมด 31 สาขา อีก 2 ปีข้างหน้าหากการดำเนินการขยายสาขาเป็นไปตามเป้าหมายก็จะมีสาขาครบ 50 สาขา ครอบคลุมพื้นที่โดยรอบกรุงเทพฯ เพียงพอที่จะเพิ่มบริการ เดลิเวอรี และในอีก 5 ปีข้างหน้าก็จะเปิดครบ 100 สาขา

สำหรับการขยายสาขาไปต่างจังหวัดที่ไกลออกไป เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ได้รับการติดต่อจากสถานีให้บริการน้ำมันที่เป็นพันธมิตร แต่บริษัทยังไม่พร้อมทางด้านขนส่งสินค้า ทำได้แค่เพียงขนส่งระยะสั้นเท่านั้น จึงยังไม่สามารถเปิดสาขาเพิ่มในจังหวัดเหล่านั้นได้

สำหรับภาพรวมของเอแอนด์ดับบลิวในปีนี้มีอัตราการเติบโตประมาณ 3% และอัตราการเติบโตของยอดขายต่อสาขาอยู่ที่ 3% เช่นเดียวกัน

ปีหน้าคาดว่าภาพรวมเอแอนด์ดับบลิวจะเติบโตขึ้น 7% ส่วนอัตราการเติบโตของยอดขายแต่ละสาขาตั้งเป้าไว้ที่อัตราเดิม 3% เพราะยังไม่แน่ใจในสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจว่าหลังการเลือกตั้งแล้วจะมีทิศทางที่ดีขึ้นจริงหรือไม่ จึงตั้งตัวเลขไว้เท่าเดิมกับปีนี้ไปก่อน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208164

news10/12/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 10, 2007 8:14 pm
โดย chartchai madman
ไบโอดีเซลเขย่าตลาดปาล์มปั่นป่วน ผลผลิตขาดตลาด ราคาพุ่ง6บาท/กิโล  
 
กระแสไบโอดีเซลทำป่วน ผลปาล์มเริ่มขาดตลาด ดันราคาปาล์มดิบพุ่งพรวดหลายเท่าตัว ผลปาล์มร่วงทะลุกิโลกรัมละ 6 บาท โรงงานปาล์มแย่งรับซื้อผลผลิตตุน ก.พลังงานแจงใช้แค่ปาล์มส่วนเกิน เตรียมทดสอบ B 100 ในรถยนต์

   จากนโยบายพลังงานทดแทนของรัฐบาลที่ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะไบโอดีเซลที่ผลิตจากปาล์มน้ำมัน ทำให้วัตถุดิบไม่เพียงพอ และเกิดการแย่งชิงน้ำมันปาล์มระหว่างอุตสาหกรรมอาหารกับไบโอดีเซล ภาวการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในตลาดปาล์มอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา ขณะนี้กระแสตื่นน้ำมันปาล์มได้ทำให้ราคาปาล์มเพิ่มสูงในรอบสิบปี

นายสมชาย สุทธิรักษาวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชุมพร และผู้จัดการ บริษัท สวีอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กระแสเรื่องน้ำมันไบโอดีเซลขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลว่าจะมีความชัดเจนมากแค่ไหน เพราะขณะนี้ปาล์มน้ำมันใน จ.ชุมพร เริ่มขาดตลาดบ้างแล้ว แต่ยังไม่มีการกักตุน ขณะที่ราคารับซื้อก็สูงขึ้นเป็นอย่างมาก

ล่าสุดปาล์มทะลายขยับจาก 2 บาท/ก.ก. เป็น 5.80 บาท/ก.ก. ส่วนปาล์มร่วงกิโลกรัมละ 6-7 บาท ซึ่งใน จ.ชุมพร มีโรงงานผลิตไบโอดีเซลซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่เพียง 1 แห่ง คือ บริษัท กรีนพาวเวอร์ จำกัด อยู่ที่ อ.ท่าแซะ มีกำลังผลิตวันละ 1 แสนลิตร/วัน ส่วนโรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับปาล์มและน้ำมันพืชมีประมาณ 20 โรง
 
"ก่อนหน้านี้เคยคุยกับหน่วยงานของรัฐแล้วว่า ในอนาคตไบโอดีเซลสูตรบี 2, บี 5 จะเป็นที่ต้องการของประชาชนมาก ดังนั้นจะต้องเริ่มคิดวางแผนปลูกอย่างจริงจัง และตอนนี้มีแนวโน้มว่าจะผลิตไบโอดีเซลไม่พอในภาคพลังงาน จึงขอฝากรัฐบาลว่าให้กำหนดนโยบายให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะเหมือนเอทานอลที่ต้องสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรอย่างมาก ส่วนเงินกู้ที่ ธ.ก.ส.และกระทรวงพลังงานจะให้การสนับสนุนปลูกปาล์มวงเงิน 6 พันล้านบาทนั้น จะต้องติดตามผลให้ดี เพื่อป้องกันการนำเงินไปใช้ทำอย่างอื่น" นายสมชายกล่าว

แหล่งข่าวจากเจ้าของสวนปาล์มที่ จ.สงขลา เปิดเผยว่า ราคาปาล์มน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 โดยปรับระดับขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.60-1.80 บาท จนถึงปัจจุบันราคาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 4.50-6.00 บาท/ก.ก. ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากในรอบ 10 ปี เนื่องจากมีการแข่งขันกันรับซื้อผลปาล์ม ขณะนี้ผลปาล์มเริ่มขาดตลาด ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมสกัดปาล์มน้ำมันในพื้นที่ จ.กระบี่ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ชุมพร จำนวนกว่า 50 โรง สามารถเดินเครื่องผลิตได้ประมาณ 60% เท่านั้น  

ด้านนายทรงชัย คีรีนารถ นักวิชาการ 7 สำนักงานเกษตรจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ขณะนี้จังหวัดสงขลามีพื้นที่ปลูกปาล์มประมาณ 17,000 ไร่เท่านั้น ซึ่งทุกอำเภอใน จ.สงขลา สามารถปลูกปาล์มได้ทุกแห่ง โดยเฉพาะพื้นที่ริมทะเลสาบ และริมทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นนากุ้งร้างและนาข้าวในเขต อ.กระแสสินธุ์ กับ อ.ระโนด มีประมาณ 20,000 ไร่ แต่เกษตรกรยังขาดการสนับสนุนแหล่งเงินทุน

นายทวี ศรีสุคนธ์ นายกสมาคมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาภาครัฐไม่ได้สนใจ และมีนโยบายส่งเสริมการปลูกปาล์มอย่างจริงจัง ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ตนเกรงว่าจะเป็นเพียงกระแสเห่อใช้ไบโอดีเซลในช่วงสั้นๆ เท่านั้น เพราะราคาต่างจากน้ำมันดีเซลไม่กี่บาท เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูง และในพื้นที่ จ.กระบี่ ก็ยังไม่มีปั๊มให้บริการน้ำมันไบโอดีเซลทั้งๆ ที่เป็นเมืองปาล์ม   ส่วนราคาปาล์มที่ปรับตัวสูงขึ้นมากในขณะนี้ส่วนหนึ่งเพราะผลผลิตออกมาน้อยในช่วงฤดูนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันประจำวันที่ 6 ธันวาคม 2550 ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ จำกัด จ.กระบี่ รับซื้อผลปาล์มน้ำมันทั้งทะลาย 5.45 บาท/กิโลกรัม ราคาผลร่วง 6 บาท/กิโลกรัม บริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) จ.ชุมพร รับซื้อผลปาล์มน้ำมันทั้งทะลาย 5.40 บาท/กิโลกรัม ราคาผลร่วง 6.80 บาท/กิโลกรัม บริษัท ทักษิณอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม (1993) จำกัด จ.สุราษฎร์ธานี รับซื้อผลปาล์มน้ำมันทั้งทะลาย 5.30 บาท/กิโลกรัม ราคาผลร่วง 6 บาท/กิโลกรัม

@  15 ปีไทยนำเข้าพันธุ์ปาล์ม 570 ล้าน
    แหล่งข่าวจาก ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา (ปี 2534-2548) ประเทศไทยมีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศทั้งหมด 37.99 ล้านเมล็ด ราคาเฉลี่ยเมล็ดละ 15 บาท คิดเป็นมูลค่าประมาณ 570 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ปลูกประมาณ 1.27 ล้านไร่ ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศคอสตาริกา ปาปัวนิวกินี ไอวอรีโคสต์ แซร์ เบนิน ขณะที่ภาคเอกชนของไทยสามารถผลิตพันธุ์ปาล์มได้เพียง 3 บริษัท อาทิ บริษัท ยูนิวานิช จำกัด (มหาชน) บริษัท เปารงค์ จำกัด จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น

ปัจจุบันศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี กรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานภาครัฐแห่งเดียวที่มีการศึกษาวิจัยในเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมันอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2530 จนถึงปัจจุบันได้พันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสมที่มีศักยภาพดีเด่นได้ตามเกณฑ์มาตรฐานสากล ซึ่งได้รับการรับรองเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตร คือ พันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสมสุราษฎร์ธานี 1, 2, 3, 4, 5, 6 และพันธุ์ลูกผสมเทอเนอร่า สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ปาล์มน้ำมันได้ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา โดยได้เร่งรัดผลิตเมล็ดพันธุ์ให้สามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ของไทยและลดการนำเข้าจากต่างประเทศด้วย

@ ก.พลังงาน แจงใช้แค่ปาล์มส่วนเกิน
   นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นโยบายของกระทรวงพลังงานที่วางกรอบการส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไบโอดีเซลนั้น กำหนดว่าการนำน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์มาใช้ในภาคพลังงานนั้นจะเป็นเพียง "ส่วนเกิน" ที่เหลือจากภาคของการบริโภคเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกปาล์มรวม 3 ล้านไร่ ผลิตเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ได้ 1.1-1.2 ล้านตัน ประมาณ 800,000 ตัน ส่งเพื่อการผลิตเป็นน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภค เพื่อการส่งออกประมาณ 100,000 ตัน ส่วนที่เหลือประมาณ 200,000-300,000 ตันเพื่อการผลิตเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธ์ (B 100) เพื่อนำไปผสมเป็นน้ำมันไบโอดีเซลทั้ง B 2 (เนื้อน้ำมันดีเซล 98% ผสม B 100 2%) และ B 5 (เนื้อน้ำมันดีเซล 90% ผสม B 100 5%) ต่อไป และแม้ว่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 นี้กระทรวงพลังงานเตรียมที่จะประกาศให้มีการจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล (B 2) ในทุกสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศก็ตาม ปริมาณน้ำมันปาล์ม 300,000 ตันที่มีอยู่ยังสามารถรองรับการผลิตไบโอดีเซลได้แน่นอน
ความจริงแล้วกระทรวงพลังงานต้องการส่งเสริมให้มีการจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล (B 5) มากกว่าการส่งเสริมไบโอดีเซล (B 2) แต่เนื่องจากปริมาณน้ำมันปาล์มยังไม่มากพอ ซึ่งในอนาคตจะเร่งไบโอดีเซล (B 5) ต่อไป ด้วยการใช้งบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงานประมาณ 7,000 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรกู้ยืมเพื่อนำไปลงทุนปลูกต้นปาล์มให้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ไม่มีการส่งเสริมเงินลงทุนจากกองทุน จะมีการเพิ่มของพื้นที่เพาะปลูกปาล์มเพียง 400,000 ไร่/ปีเท่านั้น เมื่อกองทุนเข้ามาส่งเสริมจะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกได้ถึง 700,000-1 ล้านไร่/ปี
"แต่การเพาะปลูกปาล์มต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีกว่าที่จะได้ผลผลิต กระทรวงพลังงานจึงต้องเร่งส่งเสริมกันตั้งแต่ปีนี้เลย หากเร่งได้อาจจะส่งเสริมตัว B 5 ให้เร็วขึ้นได้ด้วย หรือหากการปลูกปาล์มได้มากกว่าที่เราคิดไว้ อาจจะส่งเสริมตัวปาล์มบริสุทธิ์ B 100 เพื่อใช้ในรถยนต์ต่อไปก็อาจะเป็นได้" นายประพนธ์กล่าว

นายประพนธ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทั้งกรมธุรกิจพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้รับงบประมาณรวม 60 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อทดสอบการใช้ไบโอดีเซล B 100 ทั้งในรถยนต์ เรือทั่วไปและเรือประมง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาบริษัทต่างๆ ที่สนใจยื่นเงื่อนไขเพื่อรับผิดชอบการทดสอบไบโอดีเซล B 100 เข้ามา ซึ่งเบื้องต้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอเข้ามาแล้วด้วย
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 24&catid=2

news11/12/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 11, 2007 2:21 pm
โดย chartchai madman
น้ำตาลหน้าโรงงานแข่งดุ

โพสต์ทูเดย์ อุตสาหกรรมน้ำตาลแข่งเดือด ขายตัดราคาหน้าโรงงาน หลังมีน้ำตาลค้างโกดังเพียบ เหตุคนไทยกินหวานลดลง


แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาห กรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้โรงงานน้ำตาลทั้ง 46 แห่ง ได้เริ่มจำหน่ายน้ำตาลโควตา ก. (บริโภคในประเทศ) ในลักษณะการขายตัดราคาหน้าโรงงานน้ำตาล เพื่อแย่งชิงลูกค้า ซึ่งเป็นผลมาจากมีปริมาณน้ำตาลเหลือค้างจำนวนมาก

ปัจจุบันราคาน้ำตาลทรายที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ให้โรงงานจำหน่ายน้ำตาลโควตา ก. ขนาดกระสอบ 100 กก. ไม่เกิน กระสอบละ 1.4 พันบาท แต่โรงงานขายส่งเพียงกระสอบละ 1.2 พันบาทเท่านั้น แต่มีเงื่อนไขต้องซื้อขั้นต่ำ 1 คันรถบรรทุกสิบล้อ หรือ 1.3 หมื่นกิโลกรัม

สำหรับสาเหตุของการขายน้ำตาลตัดราคา เพราะในเดือน พ.ย.-ธ.ค. ไม่สามารถขายน้ำตาลได้หมดในแต่ละงวด ซึ่งจนถึงวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำตาลค้างโกดังรวมกันทุกโรงงานรวม 2.6 ล้านกระสอบ ทำให้โรงงานสูญเสียรายได้ไปจำนวนมาก จากที่ในแต่ละปีไม่เคยมีปริมาณน้ำตาลเหลือค้างโกดังมากเท่ากับปีนี้

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ปริมาณน้ำตาลในประเทศล้นตลาด เนื่องจากเศรษฐกิจซบเซา ทำให้ยอดการสั่งซื้อน้ำตาลจากผู้ผลิตขนมเค้กและคุกกี้ลดลงไปจากตามไปด้วย จากปกติจะมียอดสั่งซื้อ เพื่อรองรับช่วงเทศกาลสำคัญ

นอกจากนี้ ธุรกิจน้ำตาลในประเทศยังเผชิญกับกระแสบริโภคอาหารและเครื่องดื่มแบบชูการ์ฟรีที่ไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมทำให้ใช้น้ำตาลน้อยลง

หากตลาดน้ำตาลในประเทศซบเซาเช่นนี้ เร็วๆ นี้ก็มีแนวโน้มว่าร้านค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อ ก็อาจจะเริ่มลดราคาขายปลีกน้ำตาลถุง แก่ประชาชนเพื่อกระตุ้นยอดขาย จากปัจจุบันจำหน่ายที่ 18.25 บาท ต่อ กก. ก็อาจจะขายพ่วง 2 กก. ที่ 35 บาท แหล่งข่าวคาดการณ์

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ทางกลุ่มโรงงานน้ำตาลได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) เพื่อขอให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ทบทวนมติก่อนการกำหนดปริมาณน้ำตาลโควตา ก. ของปีการผลิต 2550/2551 ให้ลดลงเหลือ 18 ล้านกระสอบ จากเดิมที่กำหนดไว้ 20 กระสอบ เพราะเชื่อว่าในปีหน้าเศรษฐกิจก็ยังจะชะลอตัว ทำให้ยอดขายน้ำตาลลดลงเหมือนปีนี้

นอกจากนี้ ยังเสนอขออนุมัติปริมาณน้ำตาลค้างงวดในปีการ ผลิตปัจจุบัน 2.6 ล้านกระสอบ ไปจำหน่ายต่างประเทศในสัดส่วนของ โควตา ค. (ขายต่างประเทศ) แต่ กอน.ได้ยืนยันมติเดิมให้มีการผลิตโควตา ก. ตามเดิม เพราะเกรงว่าจะเกิดการขาดแคลนน้ำตาลในประเทศ

สำหรับเรื่องน้ำตาลค้างงวด จะมีการพิจารณาในเดือน ก.พ. 2551 จะมีมาตรการช่วยเหลือโรงงานน้ำตาลอย่างไรบ้างกับโรงงานน้ำตาล ที่แบกภาระปริมาณน้ำตาลเหลือขายจำนวนมาก อาทิ กลุ่มไทยรุ่งเรือง กลุ่มมิตรผล กลุ่มวังขนาย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208342

news13/12/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 13, 2007 3:22 pm
โดย chartchai madman
วางยุทธศาสตร์ไข่ไก่ เพิ่มบริโภค/ส่งออก

โพสต์ทูเดย์ คลอดยุทธศาสตร์ ไข่ไก่ อัดฉีด 400 ล้าน แก้ผลผลิตล้น ราคาตก ส่งเสริมบริโภค ส่งออก เพิ่ม


แหล่งข่าวทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอเข้าสู่ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี ที่มีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณาผ่านหลัก การร่างยุทธศาสตร์ไก่ไข่ 5 ปี (2551-2555) ใช้งบ 401.5 ล้านบาท

รัฐบาลจะออกมาตรการส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคไข่ไก่ให้ได้ที่ 200 ฟอง/คน/ปี ภายใน 5 ปี คือ ในปี 2555 จากปัจจุบันการบริโภคไข่ไก่อยู่ที่ 160 ฟอง/คน/ปี โดยให้กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้ามาพัฒนาระบบตลาดไข่ไก่ ส่งเสริมให้ไข่ไก่กลายเป็นสินค้าส่งออกติดอันดับต้นๆ ของการส่งออกสินค้าสำคัญโดยรวมของประเทศ และประชาสัมพันธ์ไข่ไก่ผ่านแบรนด์ที่สร้างขึ้นในนามของรัฐบาล

สำหรับงบประมาณที่ตั้งไว้นั้น กรมปศุสัตว์จะจัดสรรจากงบ ประมาณประจำปี 2551 ให้ 5 ล้านบาท เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์ เพิ่มการบริโภคไข่ไก่ โดยขอความร่วมมือจากสมาคมที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการดำเนิน

พร้อมกันนี้ จะได้ประสานกับกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ถ่ายทอดคุณประโยชน์ องค์ความรู้ ด้านคุณประโยชน์ทางโภชนาการ และให้กรมปศุสัตว์ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งงบรองรับยุทธศาสตร์ไก่ไข่ ตั้งแต่ ปีงบประมาณ 2552 เป็นต้น

ที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขปัญหาเรื่องวิกฤตผลผลิตล้นตลาด จากการขยายตัวผลผลิต โดยอาศัยกลไก ของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ พ.ศ. 2549 ในการควบคุมปริมาณการผลิตด้วยมาตรฐานต่างๆ เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์การผลิตและการตลาดดีขึ้น

การออกมาตรการครั้งนี้ เพราะมองว่าแนวโน้มจะเกิดปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาด ความผันผวนด้านราคาสูงต่อเนื่อง แหล่งข่าวกล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208757

news15/12/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 15, 2007 9:40 pm
โดย chartchai madman
'แสนล้าน' ธุรกิจร้านอาหาร ปี 51

15 ธันวาคม พ.ศ. 2550 13:03:00

แนวโน้มการออกไปกินอาหารนอกบ้านที่เพิ่มขึ้น ความเร่งรีบ ความต้องการเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อผ่อนคลายความเครียด การแสวงหาความสุขสนุกสนานในครอบครัวหรือในกลุ่มเพื่อนฝูง ทำให้ธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปิดตัวสินค้าและบริการ หรือในเทศกาลเฉลิมฉลองช่วงปลายปี ถือเป็นช่วง "ไฮ" ของธุรกิจร้านอาหาร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่ามูลค่าธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยในปี 2551 สูงถึงประมาณ 1 แสนล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวประมาณ 5% คิดจากค่าใช้จ่ายในการกินอาหารนอกบ้านของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า คนไทยใช้จ่ายในการกินอาหารนอกบ้านเดือนละ 927 บาทต่อครัวเรือน ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มของนักท่องเที่ยวต่างชาติตกปีละ 18 % ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ธุรกิจร้านอาหารถือว่าแข่งขันกันสูง เพราะมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาต่อเนื่องทั้งใน 3 กลุ่มธุรกิจ คือ ร้านอาหารรายย่อย ร้านอาหารต่างประเทศและร้านอาหารหรู และร้านอาหารบริการด่วน

ร้านอาหารรายย่อย (ไม่รวมแผงลอยและรถเข็น) ถือเป็น "เจ้าตลาด" คือมีจำนวนมากสุด เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารประเภทนี้ใช้เงินลงทุนไม่สูงและคืนทุนเร็ว เจ้าของจึงมีทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนรายใหม่

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ในปี 2551 มูลค่าตลาดของร้านอาหารรายย่อยจะมีสัดส่วนประมาณ 70% ของมูลค่าธุรกิจร้านอาหารทั้งหมด และเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จะมีอัตราการขยายตัว 5.2%

ขณะที่ร้านอาหารต่างประเทศและร้านอาหารหรู คาดว่าในปี 2551 มีสัดส่วนทางการตลาด 10% และมีอัตราการขยายตัว 2% โดยธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมีการเติบโตที่โดดเด่น

สุด เนื่องจากปรับรสชาติอาหารได้ถูกใจลูกค้า เลือกทำเลเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย มีการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูล และมีบุคลากรระดับบริหารที่มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจนี้

ร้านอาหารอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ร้านอาหารประเภทบริการด่วน (Quick Service Restaurant) กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตสูงสุดในกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร สัดส่วนตลาดของธุรกิจประเภทนี้มีประมาณ 20% และเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวถึง 5% โดยตลาดของธุรกิจร้านอาหารประเภทนี้เกือบ 90% เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ประเภทฟาสต์ฟู้ด ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเป็นไก่ 40% แฮมเบอร์เกอร์ 20% พิซซ่า 15% ไอศกรีม 10% และอื่นๆ 15%

ปัจจุบันในประเทศไทยมีสาขาร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดกว่า 1,000 แห่ง ส่วนธุรกิจร้านอาหารประเภทบริการด่วน ที่เหลืออีกร้อยละ 10 นั้น เป็นธุรกิจอาหารนานาประเภท

สำหรับธุรกิจร้านอาหารประเภทบริการด่วนที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจร้านติ่มซำ ซึ่งเป็นธุรกิจแนวรุกของร้านอาหารจีน เน้นการให้บริการที่ความรวดเร็ว อร่อย สะอาด

อีกทั้งยังกำจัดจุดอ่อนของร้านอาหารจีน คือ ต้องไปเป็นกลุ่มและมีราคาแพง แต่ปัจจุบันสามารถไปรับประทาน 1-2 คน และราคาไม่แพง

เพื่อให้ธุรกิจร้านอาหารเติบโตต่อเนื่อง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงแนะนำผู้ประกอบการให้ปรับกลยุทธ์สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ทั้งด้านความสนใจในเรื่องสุขภาพและประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น เน้นเมนูสุขภาพและราคาประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับการทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน บริการส่งอาหารนอกสถานที่ และจัดงานเลี้ยงส่วนบุคคล
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=209889

news15/12/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 15, 2007 11:01 pm
โดย chartchai madman
ศึกชิงปาล์ม"พลังงาน-อาหาร" สบู่-น้ำมันพืช-บะหมี่ระส่ำหนัก

ศึกแย่งชิงน้ำมันปาล์มเปิดฉากแล้ว อุตสาหกรรมอาหารระส่ำ น้ำมันพืช สบู่ เครื่องสำอาง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมข้นหวาน แบกภาระต้นทุนพุ่ง สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มออกโรงขอปรับราคาขึ้นอีกระลอก หลังปาล์มน้ำมันพุ่งแตะ ก.ก.ละ 6 บาทเศษ ด้านผู้ผลิตสบู่เดือดร้อนหนัก นัดถกปัญหาเร็วๆ นี้ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งหาทางออก เพื่อบริหารจัดการกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น แนะต้องวางแผนระยะยาว เพราะน้ำมันปาล์มต้องใช้เวลา 5 ปีกว่าจะได้ผลผลิต

ปัญหาการแย่งชิงน้ำมันปาล์มระหว่างอุตสาหกรรมอาหาร-เครื่องสำอาง กับภาคอุตสาหกรรมพลังงานเริ่มปรากฏชัดขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบได้พุ่งขึ้นไปเกินกว่าระดับ 90 เหรียญ/บาร์เรล ส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรวมทั้งประเทศไทยต่างมุ่งไปที่การแสวงหาพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นเอทานอล ที่ผลิตจากมันสำปะหลัง มาผสมกับน้ำมันเบนซิน กลายเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ (เอทานอล 10% ผสมกับเบนซิน 90%) หรือน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ B100 ที่ผลิตจากปาล์มน้ำมัน มาผสมกับน้ำมันดีเซล กลายเป็นน้ำมันไบโอดีเซล (B100 5% ผสมกับดีเซล 95%)

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความต้องการใช้พลังงานทดแทนทั้งเอทานอลกับน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการค้าพืชน้ำมันภายในประเทศ เมื่อวัตถุดิบส่วนหนึ่งถูกแย่งจากภาคการบริโภคไปใช้ในภาคพลังงานทดแทน เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ และส่งผลต่อเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ และผลิตภัณฑ์อาหาร เพราะทำให้ต้นทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปรับราคาไปแล้วก่อนหน้านี้อาจต้องปรับราคาอีกครั้ง

ขณะที่ราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันก็พุ่งสูงขึ้นหลายเท่า โดยราคาปาล์มทะลายอยู่ที่ 5.45 บาท/ก.ก. ส่วนผลปาล์มร่วงบางแห่งรับซื้อสูงถึง 6.80 บาท/ก.ก.

ปาล์มราคาพุ่ง ขอขึ้นราคาน้ำมันปาล์มรอบ 2

นาวาโทหญิงวรรณพร มาศเกษม นายกสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สมาคมกำลังเป็นห่วงราคาผลปาล์มดิบในปี 2551 จากปัจจุบันที่มีราคาอยู่ที่ ก.ก.ละ 5.40 บาทนั้น มีความเป็นไปได้ที่ราคาผลปาล์มดิบจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6 บาท/ก.ก. เนื่องจากกระทรวงพลังงานได้มีนโยบายส่งเสริมให้ใช้พลังงาน ทดแทนจากไบโอดีเซล B2 (เนื้อน้ำมันดีเซล 98% ผสม B100 สัดส่วน 2%) ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นอีก 30,000 ตัน จากเดิมที่ใช้เพื่อการบริโภคเพียงอย่างเดียว

"ความต้องการน้ำมันปาล์ม B100 เพื่อมาผสมเป็นไบโอดีเซลที่เพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงให้ราคาของน้ำมันปาล์มปรับตัวสูงขึ้นไปอีก ทำให้สมาชิกสมาคมซึ่งเป็นโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เพื่อการบริโภคไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องขอขึ้นราคาน้ำมันปาล์มอีกครั้ง โดยราคาที่เหมาะสมในครั้งนี้จะเพิ่มขึ้นจากครั้งที่ผ่านมาอีก 50 สตางค์ หรือ 48.50 บาท/ขวด (เดิมราคาอยู่ที่ 38 บาท/ขวด และกรมการค้าภายในอนุญาตให้ปรับราคาขึ้นไปเป็น 43.50 บาท/ขวด)"

ทั้งนี้ สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ประเมินปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์มดิบปี 2551 ไว้ว่า จะมีปริมาณ 1.3 ล้านตัน และเมื่อรวมกับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบที่เหลือจากปีนี้ ซึ่งจะมีปริมาณ 100,000 ตันเศษ เท่ากับว่าจะมีปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ 1.5 ล้านตัน ส่วนปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 80,000-90,000 ตัน/เดือน ในด้านการส่งออก ปรากฏในปีหน้าจะมีการส่งออกน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ประมาณร้อยละ 10 ส่วนน้ำมันปาล์มดิบมีการส่งออกสูงกว่าอยู่ที่ร้อยละ 20 ของปริมาณผลผลิต หรือประมาณ 260,000 ตัน แต่หากปริมาณความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น สัดส่วนการส่งออกจะปรับลดลง

"ปี 2551 โครงสร้างการใช้น้ำมันปาล์มจะเปลี่ยนไป จากปีนี้มีเพียงแค่ความต้องการสำหรับการบริโภค แต่ปีต่อไปปาล์มจะถูกดึงไปผลิตพลังงานทดแทนมากขึ้น อีกปัจจัยหนึ่งคือ ราคาปาล์มน้ำมันในตลาดโลกหากปรับขึ้นอีก ผู้ประกอบการคงทนไม่ไหว เพราะการผลิตน้ำมันปาล์มสำหรับบริโภคมีมาร์จิ้นต่ำอยู่แล้ว ส่วนการจะเพิ่มสัดส่วนน้ำมันถั่วเหลืองก็ทำยาก ต้นทุนสูงพอกัน ถั่วเหลือง 100 ถูกนำไปกลั่นได้น้ำมันแค่ 10% ที่เหลือ 80-90 เป็นกากถั่วเหลืองขายต่อก็ยาก เพราะอาหารสัตว์ก็ไม่ใช่ว่าจะดีกว่ากันนัก"

อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบสถานการณ์การผลิตปาล์มน้ำมันของไทย-มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตปาล์มอันดับหนึ่งและสองของโลก จะพบว่าปริมาณผลผลิตของไทยมีเพียง 1 ล้านตันเท่านั้น ขณะที่มาเลเซียและอินโดนีเซียมีปริมาณผลผลิตรวม 25 ล้านตัน/ปี ขณะที่ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของไทยก็ต่ำกว่าด้วย แต่ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มของไทยกลับเพิ่มสูงขึ้นจากพลังงานทดแทนที่มาแย่งภาคการบริโภค ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบขณะนี้ปรับสูงขึ้นถึง 30.50 บาท/ก.ก. จากเดิมอยู่ที่ 26 บาท/ก.ก. ขณะที่ใน 2 ประเทศอยู่ที่ 29 บาท/ก.ก.เท่านั้น

แต่เมื่อเปรียบเทียบนโยบายด้านพลังงานของไทยกับมาเลเซียแล้วจะพบความแตกต่างกันมาก เพราะทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซียเป็นประเทศสมาชิกกลุ่มประเทศผลิตน้ำมันโอเปก และรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศก็ยังให้การสนับสนุน (subsidy) ราคาน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและไบโอดีเซลในมาเลเซียไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ก่อให้เกิดการจูงใจให้ผลิต "ไบโอดีเซล" เหมือนกับไทยที่มีราคาน้ำมันดีเซลสูงถึง 30 บาท/ลิตร กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาปาล์มน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในอนาคต

ด้านนางสาวพิกุล ทักษิณวราจาร รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงสถานการณ์ตรวจสอบสต๊อกปาล์มน้ำมันในขณะนี้ และคาดการณ์ปี 2551 ว่า ปีนี้ไทยสามารถผลิตปาล์มน้ำมันได้ 8.35 ล้านตันผลปาล์ม หรือสกัดได้น้ำมันปาล์ม 1.259 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 12.7

ส่วนปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศมีปริมาณ 860,000 ตัน และที่เหลืออีก 500,000 ตัน ถูกนำไปใช้เพื่อการส่งออก 200,000 ตัน และนำไปใช้ในการผลิตพลังงานทดแทน ไบโอดีเซล สำหรับสถานการณ์การนำเข้าในช่วง 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม) 2550 มีปริมาณ 1,300 ตัน ขณะที่การส่งออกมีปริมาณ 200,000 ตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับปี 2549 โดยราคาน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศอยู่ที่ 29.8 บาท/ ก.ก. สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในต่างประเทศซึ่งอยู่ที่ 29.79 บาท/ก.ก.

แหล่งข่าวจากวงการผู้ผลิตพลังงานทดแทน กล่าวว่า การดำเนินนโยบายด้านการส่งออกไทยควรประยุกต์จากนโยบายของมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมันอันดับหนึ่งและอันดับสองของโลก โดยรัฐบาลควรกำหนดภาษีน้ำมันปาล์มดิบสำหรับการส่งออก

เนื่องจากขณะนี้ไทยไม่มีภาษีส่งออกปาล์มน้ำมัน และอัตราภาษีปาล์มน้ำมันส่งออกจะต้องมีอัตราที่ "สูงกว่า" น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในและการจ้างงาน รวมถึงป้องกันการขาดแคลนน้ำมันปาล์มในอนาคต และปัญหาราคาน้ำมันปาล์มที่พุ่งสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องทำให้ต้องปรับขึ้นราคาตามไปด้วย และกระทบต่อผู้บริโภคสินค้าที่ต้องแบกรับภาระราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปาล์มปรับสูงขึ้นไป

ขณะนี้ต้องระวังว่าปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก ซึ่งจะกระทบกับส่วนของการส่งออกที่มีปริมาณเพียง 200,000 ตัน มีราคาสูงขึ้นและดึงให้ราคาที่ใช้ภายในประเทศอีก 1 ล้านตัน "ปรับสูงขึ้นตามไปด้วย" ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคต่อเนื่องไปจนต้องขอปรับขึ้นราคา เพราะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้นได้ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยควรทบทวนนโยบายด้านการส่งออกปาล์มน้ำมัน โดยใช้โมเดลเดียวกับมาเลเซีย ซึ่งกำหนดภาษีส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ "สูงกว่า" น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมและการจ้างงานภายในประเทศ แต่ขณะนี้ไทยกลับไม่มีภาษีส่งออกน้ำมันปาล์มเลย

รง.ไบโอดีเซลเตรียมเพิ่มการผลิต

นายสณธิพัฒน์ จรัสปรีดาลาภ ผู้จัดการบริษัท กรีนพาวเวอร์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด ผู้ผลิตไบโอดีเซล 100% หรือ B100 แห่งเดียวใน จ.ชุมพร เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทกรีนพาวเวอร์ฯ มีกำลังการผลิตไบโอดีเซลได้เดือนละประมาณ 5 ล้านลิตร หรือประมาณวันละ 2 แสนลิตร แต่ปัจจุบันสามารถผลิตไบโอดีเซลตามออร์เดอร์ของลูกค้าได้ประมาณ 90,000-100,000 ลิตร และขณะนี้ราคาจำหน่ายหน้าโรงงานลิตรละ 36 บาท

ปัจจุบันมีลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นโรงกลั่น 3 แห่ง คือ โรงกลั่นของบริษัทบางจากที่พระโขนง กรุงเทพฯ และโรงกลั่นของบริษัท IRPC ที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ นำไปผลิตเป็นไบโอดีเซล B2 และ B5 ส่วนโรงกลั่นอีกแห่งของ IRPC ที่ ต.ปากน้ำชุมพร อ.เมืองชุมพร รับไปผลิตเป็น ไบโอดีเซล B2 ได้ประมาณวันละ 9,000-10,000 ลิตร และขณะนี้ราคาของไบโอดีเซล B5 หน้าปั๊มจะถูกกว่าดีเซลทั่วไปลิตรละประมาณ 1 บาท ส่วนไบโอดีเซล B2 ยังมีราคาเท่ากับดีเซลธรรมดา

แหล่งข่าวในวงการสวนปาล์มชุมพรเปิดเผยว่า แม้ว่าปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตตลอดทั้งปี แต่ผลผลิตที่ได้ในช่วงต้นปีจะไม่เท่ากับช่วงกลางปีหรือช่วงปลายปี นั่นคือในช่วงต้นปีผลผลิตจะมีเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาปาล์มตามปกติอยู่ที่กิโลกรัมละ 2-3 บาท แต่เมื่อถึงกลางปีผลผลิตจะน้อยลงประมาณ 20% และปลายปีจะลดลงประมาณ 30-40% ทำให้ราคาปาล์มสูงขึ้นกว่าช่วงต้นปี และคาดว่าประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ราคาปาล์มคงกลับมาอยู่ใกล้เคียงกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา หากสูงกว่าก็คงไม่มากนัก

ด้านนายธนารักษ์ พงษ์เภตรา กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท ทักษิณอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม (1993) จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ปาล์มน้ำมันภายในประเทศขณะนี้ว่ามีผลผลิต 1.3 ล้านตัน ปริมาณการส่งออก 200,000 ตันต่อปี ใช้ภายในประเทศ 8-9 แสนตัน แต่ปัจจุบันเมื่อมีการนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนทำให้น้ำมันปาล์มสำหรับการบริโภคลดลงไป ซึ่งไม่ควรจะเข้าแชร์ตลาดส่วนนี้มากจนเกินไป ควรใช้ส่วนที่เหลือจากการบริโภคไปใช้พลังงาน

ส่วนนโยบายของภาครัฐด้านการจัดการปัญหาปาล์มน้ำมันทั้งด้านการบริโภคภายในประเทศ และการใช้เป็นพลังงานทดแทน ต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความสมดุล ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณต้นปาล์ม แต่เน้นการเพิ่มผลผลิตปาล์มให้มากกว่าเดิม

กระบี่ปัดฝุ่นโรงงานไบโอดีเซล

ด้านนายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จังหวัดกระบี่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ของจังหวัดเป็นเมืองแห่งปาล์มน้ำมัน มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันมากที่สุดในประเทศกว่า 7 แสนไร่ มีผลผลิตน้ำมันดิบประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ขณะนี้ราคาปาล์มน้ำมันอยู่ที่กิโลกรัมละ 5-6 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงกว่าที่ผ่านมา ซึ่งทางจังหวัดได้เน้นเรื่องการพัฒนาคุณภาพปาล์มน้ำมันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ปาล์ม รวมถึงเรื่องของการพัฒนาคุณภาพน้ำมันปาล์ม

ผู้ผลิตสบู่นัดถกปัญหาต้นทุนพุ่ง

อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบที่ราคาน้ำมันปาล์มปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง นางสาวนุชนาฎ แก่นทองเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บีเจซี มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสบู่นกแก้ว เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ได้รับผลกระทบมาก จากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตสบู่ โดยในเดือนพฤศจิกายนบริษัทมีการปรับราคาสบู่นกแก้วขึ้นมาแล้ว 6% แต่ถือว่ายังไม่ครอบคลุมต้นทุนทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งขณะนี้ราคาของน้ำมันปาล์มก็ยังคงปรับขึ้นต่อเนื่อง สิ่งที่ทำได้คือการไปปรับลดต้นทุนในด้านอื่นๆ อาทิ วางแผนการผลิต การสั่งซื้อวัตถุดิบ ให้มีประสิทธิ ภาพมากขึ้น

ในส่วนของผู้ประกอบการคาดว่าเร็วๆ นี้จะมีการรวมตัวกันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนำผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแท้จริงมาปรึกษา หารือกัน เพื่อทำเป็นข้อสรุปออกมาในนามของสมาคมสบู่และผงซักฟอกไทย ผ่านไปยังรัฐบาลว่าต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201

news15/12/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 15, 2007 11:11 pm
โดย chartchai madman
"ธนินท์ เจียรวนนท์" ทำการเกษตรอย่างไรให้ไทยอยู่รอด

เมื่อเร็วๆ นี้ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้แสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง "แนวทางการพัฒนาการเกษตร" ระหว่างการเปิดงานครบรอบ 30 ปี หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมกับเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาอุปสรรครวมทั้งแนวทางออกของธุรกิจเกษตรของประเทศไทย ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" ได้เก็บรวบรวมประเด็นเนื้อหาที่น่าสนใจมานำเสนอ

อดีตไทยเคยรวยกว่าไต้หวัน-ฮ่องกง

ย้อนหลังไป 30 ปี ประเทศไทยเคยร่ำรวยกว่าไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย แต่วันนี้ทุกประเทศร่ำรวยแซงหน้าไทยไปหมดแล้ว หากไทยไม่เร่งปรับปรุงตัวเอง ผมเชื่อว่าภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี ภาวะเศรษฐกิจเวียดนามแซงหน้าไทยอย่างแน่นอน ผมมองว่าเราต้องสร้างคนไทยให้เน้นธุรกิจบริการ ซึ่งเป็นอาชีพที่คนไทยเก่ง มีความรู้ความสามารถ ส่วนสินค้าเกษตรถึงเวลาที่จะต้องใช้แรงงานต่างชาติ หากกดราคาสินค้าเกษตรให้ต่ำ คนก็ยากจนลง ปัญหาที่ผมห่วงกลัวที่สุดขณะนี้ก็คือ หากภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงัก คนตกงานจำนวนมาก รัฐบาลจะเก็บภาษีไม่ได้ ก็จะเกิดปัญหาขาดดุลการค้าและอื่นๆ ติดตามอีกมากมาย

มุ่งเพิ่มรายได้สินค้าเกษตรคือทางรอด

สินค้าเกษตรคือทรัพย์สมบัติของชาติ เมื่อราคาสินค้าเกษตรแพงขึ้น จะทำให้เกิดเงินรายได้หมุนเวียนภายในประเทศมากขึ้น รัฐบาลจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อนำมาพัฒนาประเทศชาติได้มากขึ้น ขณะเดียวกันควรปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการและค่าจ้างแรงงานให้สูงขึ้นอย่างสมดุล เช่น จีนและไต้หวัน ซึ่งสินค้าเกษตรมีราคาสูง รัฐจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นก็หันมาเพิ่มเงินเดือนข้าราชการให้สูงขึ้น ตามภาวะราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น

ทุกวันนี้พ่อค้าคนกลางกลับร่ำรวยขึ้น แต่เกษตรกรคนส่วนใหญ่ของประเทศกลับมีฐานะยากจน มีรายได้ต่ำ และแบกรับความเสี่ยงสูงในการลงทุน แนวทางแก้ไขปัญหาก็คือ เร่งยกระดับราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมทั้งประเทศ หากสามารถยกระดับราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นสัก 10% รัฐบาลก็จะมีรายได้จากการเก็บภาษีมากกว่า 10% เนื่องจากจะก่อให้เกิดการกระจายหมุนเวียนรายได้ภายในประเทศไปมากกว่า 10 รอบ ยกตัวอย่าง เช่น ธุรกิจการเลี้ยงไก่ หากกระจายรายได้ให้เพิ่มสูงขึ้นจะเกิดการหมุนเวียนรายได้ในกลุ่มผู้เลี้ยงไก่กระทง กลุ่มผู้เลี้ยงลูกไก่ ผู้ขายไก่ย่าง เกษตรกร ผู้ปลูกข้าวโพด เกิดการจ้างแรงงานในโรงงานแปรรูป กิจการขนส่ง ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ

เลิกทีนโยบายขายของถูก เน้นขายสินค้าแพง

ประเทศที่พัฒนาแล้วจะทำทุกวิถีทางเพื่อสินค้าเกษตรภายในประเทศมีราคาสูงทั้งนั้น เช่น ญี่ปุ่นปลูกและขายข้าวในราคา ก.ก.ละ 200 บาท แต่รัฐบาลญี่ปุ่นจะไม่ยอมซื้อข้าวไทย ก.ก.ละ 20 กว่าบาทเข้าไปขาย เพราะต้องการปกป้องชาวนาญี่ปุ่น เช่นเดียวกันสหรัฐ ไม่ยอมซื้อกุ้งราคาถูกจากไทยเข้าไปขาย เพื่อปกป้องเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งภายในประเทศ ทางออกของไทย คือ ไม่ขายสินค้าราคาถูก แต่ต้องผลิตสินค้าที่ดี มีคุณภาพ เพื่อขายให้ได้ในราคาที่สูงขึ้น

ยกตัวอย่างสินค้าข้าว ที่ผ่านมาไทยผลิตข้าวราคาถูกออกมาเพราะกลัวเวียดนามแย่งตลาด ถือเป็นการกระทำที่ผิด เพราะยิ่งไทยขายถูก เวียดนามก็ต้องแข่งขันราคาให้ขายต่ำกว่าไทยอยู่แล้ว ความจริงปัจจุบันกลุ่มประเทศผู้ส่งออกข้าวทั่วโลก สามารถผลิตและขายข้าวได้เพียง 5-6% ของปริมาณความต้องการตลาดโลกเท่านั้น หากจะปรับราคาขายให้เพิ่มสูงขึ้นอย่างไรก็ขายได้ เพราะตลาดโลกยังมีความต้องการอีกมาก ในอนาคตแทนที่จะไปแข่งกันตัดราคา ไทยควรร่วมมือกับเวียดนาม จีน อินเดีย ร่วมกันกำหนดราคาขายข้าวให้เพิ่มสูงขึ้นดีกว่า เพราะใครๆ ก็อยากขายสินค้าได้ราคาแพงกันทั้งนั้น

เช่นเดียวกับสินค้ายางพารา ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต่างเป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ 80% ของตลาดโลก ที่ผ่านมามีความพยายามกำหนดราคาให้สูงขึ้น แต่ยังไม่ได้ผลเพราะทำไม่ถูกต้อง หากทั้งสามประเทศหันมาร่วมมือในการพัฒนาตลาดยางพาราอย่างเข้มแข็งมากขึ้น เชื่อว่าจะสามารถกำหนดราคายางพาราให้สูงทัดเทียมกับราคาน้ำมันในตลาดโลก เช่นเดียวกับที่กลุ่มโอเปกกำหนดราคาน้ำมันได้อย่างแน่นอน

ขยายสินเชื่อเพื่อการลงทุนภาคเกษตร

เมื่อสินค้าเกษตรมีแนวโน้มราคาที่ดีขึ้น ควรสนับสนุนการขยายสินเชื่อภาคเกษตรเพิ่มขึ้น ธนาคารควรปรับหลักหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้สอดคล้องกับธุรกิจสินค้าเกษตรแต่ละประเภท เนื่องจากสินค้าเกษตรแต่ละชนิดมีระยะเวลาการปลูกและเก็บเกี่ยวแตกต่างกัน ตั้งแต่ 6 เดือน-1 ปี โดยเฉลี่ยจะขายสินค้าได้อย่างน้อย 1-2 ครั้ง/ปีเท่านั้น แต่ปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ แม้กระทั่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กลับใช้หลักเกณฑ์สินเชื่อภาคการเกษตรกรรมในระบบเดียวกับสินเชื่อภาคอุตสาหกรรม คือ หากกู้เงินแล้วไม่ชำระดอกเบี้ยภายใน 3 เดือน ถือเป็นหนี้ NPL ทำให้เกษตรกรเป็นหนี้ตลอดทั้งปี ขายสินค้าได้เมื่อไหร่ก็ต้องนำมาใช้หนี้หมด จึงอยากให้มีการพิจารณาทบทวนระบบสินเชื่อภาคเกษตรให้สอดคล้องกับความเป็นจริงเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

สนับสนุนธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม

เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศเป็นกลุ่มผู้มีความรู้น้อย แต่ต้องแบกรับความเสี่ยงสูงที่สุด เพราะเจอทั้งภัยธรรมชาติ ปัญหาผลผลิตล้นตลาด และขายสินค้าได้ราคาต่ำ ส่วนใหญ่เกิดจากไม่ได้มีการวางแผนปลูกพืชอย่างถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว เกษตรกรควรทำงานร่วมกับผู้มีแหล่งเงินทุน มีความรู้ มีเทคโนโลยี และมีความสามารถทางการตลาด เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางรายได้แก่เกษตรกรและ ประเทศชาติ
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0203

news18/12/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 18, 2007 2:17 pm
โดย chartchai madman
ส่งออกกุ้งขาดทุนยับ ปีหน้าลดผลิตกู้วิกฤต

โพสต์ทูเดย์ กลุ่มผู้เลี้ยงกุ้งรวมตัวลดผลผลิตปีหน้าเหลือ 5 แสนตัน หลังจากประสบปัญหาเงินบาทแข็งค่า ฉุดมูลค่าส่งออกวูบหนัก


นายสมศักดิ์ ปณีตัธยาศัย นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า กลุ่มผู้เลี้ยงกุ้งมีมติร่วมกันให้ลดผลผลิตการเลี้ยงกุ้งปี 2551 เหลือแค่ 5 แสนตัน ลดลง 15-20% จากปี 2550 ที่มีผลผลิตสูงถึง 5.3 แสนตัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน รวมทั้งการแข่งขันตลาดกุ้งทั่วโลกที่รุนแรง ส่งผลให้การส่งออกกุ้งปี 2550 แม้ปริมาณส่งออกจะเพิ่มจากปี 2549 ราว 6% หรือคาดว่าจะส่งออก 3.6 แสนตัน แต่เหลือมูลค่าแค่ 8 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปี 2549 ที่ส่งออกได้ 3.38 แสนตัน มูลค่าสูงถึง 8.67 หมื่นล้านบาท

สาเหตุที่ทำให้มูลค่าส่งออกกุ้งไทยลดลงเป็นผลจากค่าเงินบาทแข็งค่า การแข่งขันจากทั่วโลกรุนแรง แต่ผลผลิตกุ้งไทยกลับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาตกต่ำสุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง เนื่องจากมีผลผลิตมากเกินไป หากลดผลผลิตได้คาดว่าจะทำให้มูลค่าส่งออกปีหน้าเพิ่มเกิน 8 หมื่นล้านบาท โดยมีปริมาณส่งออกที่ระดับ 3.5 แสนตัน ลดลงจากปีนี้ 3%

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมกุ้งไทยในปีหน้าจะเผชิญกับปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้น จากวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาแพงขึ้น 20% ส่งผลให้ ต้นทุนการเลี้ยงเพิ่มขึ้น 15-20% ซึ่งปีนี้ต้นทุนการเลี้ยงเพิ่มขึ้น 5-7% โดยวัตถุดิบที่ใช้ ผลิตอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง จะถูกนำไปใช้ในพลังทดแทนมากขึ้น

นายเอกพจน์ ยอดพินิจ เลขาธิการสมาคมกุ้งไทย ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า การลดผลผลิตกุ้งครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือครั้งแรกของวงการเลี้ยงกุ้งในรอบ 20 ปี ซึ่งต้องทำให้เห็นผลภายในไตรมาส 2 ปีหน้า เมื่อราคาในประเทศมีเสถียรภาพแล้วจะร่วมมือกับประเทศผู้ส่งออกสำคัญสร้างเสถียรภาพราคา คาดว่าจะเริ่มในปี 2552
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209620

news18/12/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 18, 2007 2:19 pm
โดย chartchai madman
เล็งขึ้นน้ำตาล อุ้มชาวไร่อ้อย ชงครม.วันนี้

โพสต์ทูเดย์ ชง ครม. 3 แนวทาง หาทางออกแก้ปัญหาราคาอ้อยขั้นต้น ส่อขึ้นราคาขายปลีกน้ำตาล ซ้ำเติมผู้บริโภคอีก 1 บาท/กก.


แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาห กรรม เปิดเผยว่า ในการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ นาย โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม จะเสนอแนวทางหาเงินชดเชยราคาอ้อยขั้นต้นฤดูกาลผลิต 2549/2550 จำนวน 7 พันล้านบาท ต่อที่ประชุม ครม. ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายของรัฐบาล ชุดปัจจุบัน ซึ่งเดิมสรุปราคาอ้อย ตันละ 600 บาท ให้เพิ่มราคา เป็น 700 บาท

แนวทางหาเงินชดเชยมี 3 แนวทาง คือ
1.ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำตาลทรายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (โควตา ก.) กก.ละ 1 บาท หรือขึ้นราคาน้ำตาลกระสอบขนาด 100 กก. กระสอบละ 100 บาท ขณะนี้มีประมาณ 20 ล้านกระสอบ จะได้เงินเบื้องต้น 2 พันล้านบาท

แนวทางที่ 2.เสนอให้ ครม.อนุมัติงบกลางจำนวน 1 พันล้านบาท เพื่อให้เปล่าแก่ชาวไร่อ้อยในการนำเงินไปบรรเทาปัญหา

แนวทางที่ 3 เสนอให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 7 พันล้านบาท แต่แนวทางนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะกองทุนมีหนี้ค้างชำระ ธ.ก.ส. รวมดอกเบี้ยกว่า 1 หมื่นล้านบาท

สำหรับกรณีที่ชาวไร่อ้อยได้เสนอว่าให้กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์และให้รัฐค้ำประกันเงินเงินกู้ดังกล่าว คงไม่สามารถดำเนินการได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209619

news20/12/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 20, 2007 2:02 pm
โดย chartchai madman
ส่งจม.กดดันอียู ระบุราคาขั้นต่ำ ข้าวโพดกระป๋อง

โพสต์ทูเดย์ พาณิชย์ ทำหนังสือกดดัน อียู กำหนดราคาขั้นต่ำ ข้าวโพดหวานกระป๋อง หวั่นถูกเตะถ่วง ส่งผลกระทบผู้ประกอบการไทยส่งออกไม่ได้


นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ โฆษกกระทรวงพาณิชย์และหัวหน้าตลาดภูมิภาคยุโรป (ฮับอียู) กล่าวว่า กรมการค้าต่างประเทศและสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้ส่งหนังสือไปยังกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) ให้เร่งกำหนดราคาขายขั้นต่ำ (ไพรซ์ อันเดอร์ เทกกิ้ง) สำหรับสินค้าข้าวโพดหวานกระป๋องจากไทย ที่ถูกอียูใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) เพราะหากไม่มีการกำหนดราคาขั้นต่ำ จะทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องถูกเรียกเก็บภาษีเอดี 3.1-12.9%

การทำไพรซ์ อันเดอร์เทกกิ้ง จะทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องขึ้นราคาขายและสามารถมีกำไรได้เท่ากับอัตราภาษีเอดีที่จะต้องเสียไป เช่น บริษัท ก.หากถูกประกาศเรียกเก็บภาษีเอดีในอัตรา 3.1% อียูก็จะกำหนดราคาขายให้ บริษัท ก.มีกำไรได้เพียง 3.1% เท่านั้น แต่กำไรที่ได้บริษัท ก.สามารถนำกลับประเทศได้ โดยไม่ต้องเสียภาษีให้อียู

นายกฤษฎา กล่าวว่า ตลาดอียูในปี 2551 จะเป็นตลาดที่มีอัตราขยายตัวสูงราว 10-12% เนื่องจากภาวะเงินยูโรแข็งค่า ทำให้การส่งออกสินค้าไทยแข่งขันได้ แม้ไทยจะเจอภาวะค่าเงินบาทแข็งค่าก็ตาม อียูจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพทดแทนการชะลอของตลาดสหรัฐ ที่เผชิญปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210066

news24/12/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 24, 2007 9:43 pm
โดย chartchai madman
อุตฯกุมขมับกำหนดราคาอ้อย ไร้แหล่งเงินอุดหนุนช่วยต้นทุน

โพสต์ทูเดย์ ปัญหาราคาอ้อยไม่ได้ข้อสรุป อุตฯ-เกษตรฯ-พาณิชย์-คลัง ถกไม่ตก หาแหล่งเงินที่จะนำมาชดเชยไม่ได้


แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาห กรรม เปิดเผยว่า การแก้ปัญหาราคาอ้อยขั้นต้นฤดูกาลผลิต 2550/51 ยังไม่ได้ข้อสรุป หลังจากที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) สรุปราคาอ้อยขั้นต้นไว้ที่ 600 บาท/ตัน แต่ชาวไร่อ้อยต้องการที่ 700 บาท/ตัน

ทั้งนี้ ชาวไร่อ้อย ระบุว่า ขณะนี้ต้นทุนสูงมาก หากราคาอ้อยอยู่ที่ 600 บาท/ตัน ต้องขาดทุน แม้ว่าขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ เกษตรฯ และคลัง ในฐานะผู้ที่จะหาเงินมาให้ ยังไม่สามารถตกลงกันได้ถึงแหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาชดเชยราคาดังกล่าว

แม้ว่าโรงงานน้ำตาลจะทดรองจ่ายให้ไปก่อน 38 บาท/ตัน แต่ก็ ต้องใช้เงินอีกประมาณ 4,225 ล้านบาท เพื่อนำมาชดเชยราคาให้กับชาวไร่อ้อย

นอกจากนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปฏิเสธที่จะปล่อยกู้ให้ จนกว่าจะมีแผนหารายได้ที่ชัดเจนอีก อย่างไรก็ตาม แผนการหาเงินเบื้องต้นคือ ขึ้นราคาน้ำตาลอย่างน้อย 50 สต./กก. จะมีเงินเข้าสู่ ระบบประมาณ 1 พันล้านบาท หากขึ้นราคา 1 บาท/กก. จะมีเงินเข้าระบบ 2 พันล้านบาท เพื่อนำมาใช้หนี้ใหม่

อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถตกลงในรายละเอียดได้ คงต้องรอให้รัฐบาลชุดหน้าเข้ามาตัดสินใจ และดำเนินการ

ด้านนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รมช.อุตสาหกรรม กล่าวว่า จะพยายามเร่งแก้ปัญหาราคาอ้อยขั้นต้นที่ยังเป็นปัญหาอยู่ ซึ่งนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม กำหนด ว่า จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การประชุม ครม.ในวันที่ 8 ม.ค. 2551 และ ยืนยันว่าจะสรุปให้ได้ภายในรัฐบาลชุดนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210734

news24/12/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 24, 2007 10:18 pm
โดย chartchai madman
.พี.ลุยปลูกปาล์มรับไบโอดีเซลฮิต ฟันธงราคาสินค้าเกษตรปี"51สดใส
"มนตรี คงตระกูลเทียน" กลุ่มพืชครบวงจร ซี.พี. คาดแนวโน้มราคาสินค้าเกษตร กลุ่มพืชน้ำมัน ปาล์ม-อ้อย-มันสำปะหลัง ปี"51 สดใส ชี้เสถียรภาพทางการเมือง-ภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยเสี่ยงในปีหน้า เสนอรัฐบาลใหม่ยกระดับราคาสินค้าเกษตรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโตในปีหน้า เตรียมเกาะกระแสไบโอดีเซลบูม เดินหน้าโครงการปลูกปาล์มครบวงจร พัฒนาพันธุ์ปาล์มน้ำมัน เปิดตัวพันธุ์ยางพารา-ข้าวโพด


นายมนตรี คงตระกูลเทียน ประธานคณะ ผู้บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรในปีหน้า กลุ่มพืชพลังงาน เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง จะขายได้ราคาดี เนื่องจากเป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการสูง แต่ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการแปรรูปน้ำมันและนำเข้าจากต่างประเทศ คงจะมีราคาแพงขึ้น ทำให้ปีหน้าเกษตรกรก็คงต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในปีหน้าที่ยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางใด หากกระทรวงเกษตรฯผู้ที่ดูแล รับผิดชอบนโยบายสินค้าเกษตร มีนโยบายควบคุมราคาสินค้าเกษตรไม่ให้สูงขึ้น เสียหายแน่ หากรัฐบาลชุดใหม่มองว่า สินค้าเกษตรเป็นทรัพย์สินของคนไทย เป็นสินค้าที่มีมูลค่า ก็ต้องทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น ส่งผลดีกับเกษตรกร ผู้รวบรวมสินค้าเกษตร โรงงานแปรรูป จนกระทั่งผู้ส่งออก

ปัจจัยเสี่ยงประการต่อมา คือ ภาวะการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ ตั้งแต่ปี 2547-2550 สังเกตได้ว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอากาศขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก่อนบอกว่ารอช่วงเทศกาลลอยกระทงก่อน น้ำจึงจะท่วม กทม. แต่เดี๋ยวนี้แค่ถึงเดือน ก.ย. ฤดูน้ำหลากก็เกิดขึ้นแล้ว คาดว่าเกิดจากปัญหาโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย จึงอยากให้กรมอุตุนิยมวิทยาเพิ่มอุปกรณ์สำหรับตรวจวัดความเปลี่ยนแปลงทางอากาศและเครื่องตรวจสอบสึนามิ เครื่องวัดแรงลม เครื่องวัดพายุและปริมาณน้ำฝน เครื่องตรวจวัดเมฆเพื่อสังเกตความเปลี่ยน แปลง เพื่อช่วยเหลือภาคการเพาะปลูก

"ปีที่ผ่านมามีปัญหาภัยธรรมชาติเยอะ เวียดนามงดส่งออกข้าว อินเดีย ปากีสถานส่งออกข้าวได้น้อยลงเพราะประสบปัญหาด้านภัย ธรรมชาติด้วยเช่นกัน ในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2549 ไทยส่งออกข้าวได้ 5.77 ล้านตัน แต่ในปีนี้ไทยส่งออกได้ถึง 8.41 ล้านตัน ไทยส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่า แต่กลายเป็นไทยส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้น จนถึงสิ้นปีคาดว่าไทยส่งออกข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 9.9 ล้านตัน เชื่อว่าทำลายสถิติการส่งออกข้าวของทุกปีที่ผ่านมา และขายข้าวได้ราคาดี" นายมนตรีกล่าว

ส่วนการบ้านสำหรับรัฐบาลใหม่ คือ ให้ความสำคัญกับอาชีพผลิตสินค้าเกษตรซึ่งเป็นอาชีพที่คนไทยทำมากที่สุด หากเกษตรกรมีรายได้ต่ำ เศรษฐกิจไทยก็พัง รัฐบาลชุดใหม่ควรให้ความสนใจกับการส่งเสริมราคาสินค้าเกษตรให้เกิดเสถียรภาพทางราคา โดยช่วยให้สินค้าเกษตร เช่น ข้าว ข้าวโพด ปาล์ม และยาง ปรับตัวสูงขึ้น ผมอยากให้เพิ่มรายได้ปลูกข้าวของเกษตรกรด้วยซ้ำไป ข้าวหอมให้ราคา 12,000 บาท/ตัน ข้าวขาวให้ราคา 7-8 พันบาท/ตัน เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ ที่ดีขึ้น วิธีนี้จะทำให้แรงงานในภาคการเกษตรจำนวน 25 ล้านคนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น

สำหรับแผนงานในปี 2551 นายมนตรีระบุว่า ซี.พี.เดินหน้าโครงการปลูกปาล์มครบวงจร ให้เข้าไปรองรับแผนการส่งเสริมการผลิตพืชพลังงานทดแทน หรือไบโอดีเซล ตามนโยบายรัฐบาล จึงพัฒนาปาล์มน้ำมันพันธุ์ "ซี.พี. โกลเด้นเทเนอร่า" ต้นเตี้ย ให้ผลผลิตสูง ตอบสนองต่อสภาพภูมิอากาศของบ้านเรา ให้ผลผลิตสูง 4 ตัน/ไร่ การลงทุนปลูกปาล์มต้องรอปลูก 3 ปี จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ หากเกษตรกรไม่มีทุนก็จะลำบาก ดังนั้นรัฐบาลควรหันมาส่งเสริมปลูกปาล์มเช่นเดียวกับโครงการยางพารา

รวมทั้งวางแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น ยางพาราพันธุ์ใหม่ชื่อ "JVP 80" จำหน่ายกล้ายางชนิดนี้ในอัตราต้นละ 35 บาท หลายคนอาจจะมองว่าเป็นราคาที่สูง หากเปรียบเทียบกับพันธุ์ยางทั่วไปที่จำหน่ายในท้องตลาดราคาต้นละ 20 บาท แต่ ซี.พี.มั่นใจว่า กล้ายางพันธุ์ "JVP 80" จะได้รับความนิยมจากกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางในวงกว้าง เพราะ "JVP 80" มีลักษณะเด่น คือ ให้น้ำยางสูง ต้นโตเร็ว ทนทานต่อโรคและแมลงรบกวน ใบเขียวมีขนาดใหญ่ และที่สำคัญเกษตรกรสามารถเปิดกรีดยางได้นานถึง 30 ปี เมื่อเทียบกับพันธุ์ยางที่รัฐบาลส่งเสริม ที่มีอายุการกรีดยางเพียง 25 ปีเท่านั้น

นอกจากนี้ ซี.พี.วางแผนเปิดตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดตัวใหม่ 4 สายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีจุดเด่นเหมือนกัน คือ อายุเก็บเกี่ยวสั้นเพียง 105-110 วัน ผลผลิตสูง โดย ซี.พี. 888 (ใหม่) เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ราบและทนแล้ง ซี.พี. KKK เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่มีความชื้นแฉะและทนทานต่อโรคราสนิม ซี.พี. QQQ เหมาะสำหรับปลูกในช่วงฤดูแล้ง และ ซี.พี. AAA เหมาะสำหรับปลูกหน้าแล้งที่มีอากาศเย็น เช่น พื้นที่จังหวัดตาก น่าน เลย เชียงราย พะเยา ฯลฯ สามารถปลูกได้ทั้งหน้าฝนและหน้าแล้ง

ส่วนผลประกอบการของกลุ่มพืชครบวงจรปีนี้ คาดว่ามีรายได้รวมของกลุ่มพืชครบวงจรประมาณ 4,000 กว่าล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ประมาณ 7-8% ปัจจุบันสินค้าหลักยังคงเป็นสินค้าเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด จำหน่ายใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน เวียดนาม พม่า ลาว กัมพูชา อินเดีย สำหรับตลาดข้าวโพดในเมืองไทยและเวียดนาม ถูกยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง มาแย่งชิงพื้นที่ปลูก ทำให้ตลาดอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว แต่ในประเทศจีน อินเดีย และพม่า มีปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น

"ในปี 2551 ตั้งเป้าเติบโต 7-8% เท่ากับปี 2550 แผนการตลาดในปีหน้า สำหรับพืชตัวเก่ามุ่งรักษาสัดส่วนอัตราการเติบโตไว้เท่าเดิม และมุ่งสร้างตลาดใหม่ในกลุ่มสินค้าต้นยางชำถุง 15 ล้านต้น พัฒนาตลาดปาล์มน้ำมันและพันธุ์ข้าวลูกผสม ปีนี้มีกำลังผลิต 30 ตัน ปีหน้าจะขยายเพิ่มเป็น 100 ตัน ทั้งนี้ ซี.พี.เตรียมปรับราคาจำหน่ายสินค้าเมล็ดพันธุ์ในปีหน้า เพิ่มขึ้น 5-10% เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะต้นทุนค่าปุ๋ย ค่ายา รวมทั้งต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ซี.พี.วางแผนการขยายตลาดในจีนและอินเดียเนื่องจากเศรษฐกิจดี จะไปลงทุนขยายปลูกข้าวโพด 20% ในอินเดีย ส่วนจีนจะเน้นขยายตลาดปลูกข้าวลูกผสมและข้าวโพด 20%" นายมนตรีกล่าวตอนท้าย
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201

news28/12/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 28, 2007 1:49 pm
โดย chartchai madman
แนวโน้มราคานมโลกพุ่ง

โพสต์ทูเดย์ แนะผู้ประกอบการโคนมไทยฉวยโอกาสราคานมตลาดโลกพุ่ง เร่งปรับตัวรองรับการเปิดเสรีนมผงกับออสเตรเลีย


น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมได้ศึกษาสถานการณ์การผลิต การบริโภค นโยบายการค้านมและผลิตภัณฑ์นมของสหภาพยุโรป (อียู) และออสเตรเลีย พบว่าแนวโน้มราคานมในตลาดโลก จะสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ทำให้ผลผลิตนมลดน้อยลง

ดังนั้น เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย ควรใช้โอกาสนี้เร่งปรับตัว เพื่อให้สามารถแข่งขันกับนมผงที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนมผงที่นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย ภายใต้กรอบเปิดเสรีการค้า (เอฟทีเอ) ที่เตรียมเปิดกว้างมากขึ้นในอนาคต

จากผลการศึกษาพบว่า ราคานำเข้านมผงมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ผู้ใช้นมภายในประเทศชะลอการนำเข้า หันมาใช้ผลิตภัณฑ์นมภายในประเทศมากขึ้น เกษตรกรควรใช้โอกาสนี้ปรับตัว เพื่อให้แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต น.ส.ชุติมา กล่าว

สำหรับรายละเอียดผลการศึกษาสถานการณ์การผลิต การบริโภค นโยบายการค้านมและผลิตภัณฑ์นมของอียูและออสเตรเลีย พบว่าที่ ผ่านมาออสเตรเลียประสบปัญหาสภาวะแห้งแล้ง ส่งผลให้จำนวนโคนมลดน้อยลง ทำให้ผลผลิต น้ำนมดิบลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยผลิตได้ในปี 2547-2548 ปริมาณ 10,125 ล้านลิตร เหลือ เพียง 9,583 ล้านลิตร ในปี 2549-2550

ทั้งนี้ ออสเตรเลีย เป็นแหล่งผลิตนมผงที่สำคัญในภูมิภาคนี้ มีการส่งออกสัดส่วน 85% ของผลผลิต โดยส่งออกนมและผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปีละ 1,540 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

ขณะที่ อียู ผลิตน้ำนมดิบแต่ละปีได้ 130-131 ล้านตัน ปี 2550 ผลิตเพิ่มเพียง 0.8% ใช้บริโภคภายในรูปของน้ำนมดิบ 34 ล้านตัน ที่เหลือใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูปนมอื่นๆ เช่น เนย เนยแข็ง และนมผง

นอกจากนี้ อียู มีการส่งออกผลิตภัณฑ์นมปีละประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกสินค้าเนยแข็งสัดส่วน 51.8% และนมผงสัดส่วน 25.9% โดยตลาดส่งออกส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่ไทยไม่ใช่ตลาดหลัก ส่วนการนำเข้าประมาณปีละ 762 ล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม อียู ได้ใช้มาตรการให้การอุดหนุนภายในมาตลอด แต่ในการปฏิรูปปี 2546 ได้มีการลดราคาแทรกแซงลง ลดการอุดหนุนส่งออก ส่งผลให้อียูส่งออกนมผงสู่ตลาดโลกลดลง ทำให้การผลิตนมผงลดลงจาก 1.9 ล้านตัน ในปี 2548 เหลือ 1.8 ล้านตัน ในปี 2550 จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคานมผงขาดมันเนยในตลาดโลกสูงขึ้นกว่า 50%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=211491

news02/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 02, 2008 8:47 pm
โดย chartchai madman
ธุรกิจเบเกอรี่ระดับล่างกลาง รุ่ง [ ฉบับที่ 858 ประจำวันที่ 27-12-2007 ถึง 5-1-2008]  
การแข่งขันรุนแรง ใช้กลยุทธ์ราคาชูโรง

ธุรกิจเบเกอรี่สำหรับในปีนี้ถือว่าไม่สดใสนัก เนื่องจากประสบปัญหาหลายด้านไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดการชะลอตัวในการจับจ่ายใช้สอย หรือตลาดที่มีการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากคู่แข่งสินค้าประเภทเดียวกัน ในตลาด และคู่แข่งทางอ้อมโดยเฉพาะ ขนมหวานแบบไทยๆ และสินค้าเพื่อสุขภาพอื่นๆ ที่มีผู้บริโภคบางส่วนหันมาบริโภค แต่อย่างไรก็ตามธุรกิจดังกล่าว ก็ยังสามารถเดินต่อไปได้ เนื่อง จากผู้ประกอบการก็ได้มีการปรับกลยุทธ์ การตลาดเพื่อใช้ในการต่อสู้ อาทิ การผลิตเบเกอรี่เพื่อสุขภาพ หรือการเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการใหม่ๆ เข้าไป รวมถึงราคาที่มีการปรับให้สอด รับกับสภาวะเศรษกิจมากขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า สำหรับตลาดเบเกอรี่ในปี 2551 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 5% ซึ่งถือว่ามีการเติบโตน้อยกว่าในปี 2550 ที่

มีการเติบโตประมาณ 5-7% เนื่องจากผู้บริโภคเกิดการชะลอกำลังซื้อสินค้าในกลุ่มนี้ โดยในปี 2551 ตลาดเบเกอรี่ขนาด กลางและล่างจะยังคงได้รับความนิยมและมีอัตราเติบโตที่สูงขึ้นกว่าผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ในตลาดบน เหตุเพราะมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่า ขณะที่รสชาติก็มีความ อร่อยสามารถรับประทานได้

ขณะที่แนวโน้มของตลาดเบเกอรี่เพื่อสุขภาพก็จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น

ด้วย ทั้งนี้เพื่อตอบสนองพฤติกรรมรักสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งรูปแบบที่ขยายเพิ่มขึ้นนั้นจะเป็นลักษณะของร้านจำหน่ายเบเกอรี่ขนาดเล็ก ที่มีการเปิดให้บริการแบบครบวงจร ที่มีทั้งอาหาร

เบเกอรี่ เครื่องดื่ม และไอศกรีมทำเองหรือโฮมเมด ทั้งนี้เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น นอกจากนี้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ตลาดกลางและล่างหันไปจับตลาดบริการรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่มากขึ้น รวมทั้งผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ตลาดบนก็จะหันมาขยายตลาดระดับกลางมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการเบเกอรี่รายใหญ่ ยังจะได้มีการผลิตสินค้าเบเกอรี่วางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อมากขึ้น หลังจากในปีที่ผ่านมาสินค้าเบเกอรี่ที่จำหน่ายในร้านสะดวกซื้อได้รับการตอบรับเป็นอย่าง ดีจากกลุ่มลูกค้าที่เดินทางเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันยังได้ทำการสร้างโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และได้มีการกระจายโรงงานไปยังต่างจังหวัด เช่น พิษณุโลก ขอนแก่น สงขลา เชียงใหม่ เป็นต้น เนื่อง

จากสินค้าผลิตภัณฑ์เบเกอรี่นั้นต้องการความสดใหม่ จึงต้องมีการกระจายโรงงานผลิตให้ครอบคลุมและสามารถส่งให้ผู้บริโภค ได้ทันกับความต้องการ

สำหรับแนวโน้มตลาดที่น่าจับตามองคือ การเข้ามารุกตลาดผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ของ บรรดาธุรกิจฟาสต์ฟู้ด โดยเน้นการจำหน่าย เบเกอรี่พร้อมกับการเปิดมุมจำหน่ายกาแฟพรีเมี่ยม ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ตลาดบนก็เริ่มมีการขยายช่องทางการจำหน่ายเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะสังเกตเห็นได้จากผลิตภัณฑ์เค้กและเบเกอรี่แช่เย็น และแช่แข็ง จะมีความหลากหลายยี่ห้อมากขึ้น โดยบางยี่ห้อเป็นยี่ห้อที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งเดิมการแข่งขันในตลาดนี้ไม่รุนแรงมากนัก เพราะมีคู่แข่งขันน้อยราย แต่ในปัจจุบันบรรดาผู้ประกอบการเบเกอรี่เริ่มขยายการผลิตเข้ามาในตลาด แม้ว่าจะมีราคาอยู่ในเกณฑ์สูง แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากรสชาติ และชื่อเสียงของตรายี่ห้อ ดังนั้นการแข่งขันในตลาดนี้เริ่มเข้มข้นขึ้น

ส่วนร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ลักษณะโฮมเมดนั้นเริ่มมีจำนวนมากขึ้น โดยเป็นการขยายช่องทางการจำหน่ายเพื่อแย่งส่วนตลาดของเบเกอรี่รับสั่งทำตามบ้าน โดยอาศัยจุดเด่นคือ ผลิตภัณฑ์ที่สดใหม่

การเลือกสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สามารถเลือกหาซื้อได้ง่าย สินค้ามีความหลากหลาย ราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพ และสินค้าที่มีรสชาติ ถูกปากกลุ่มผู้บริโภค

สำหรับการปรับกลยุทธ์ของธุรกิจ

เบเกอรี่ จะเน้นในเรื่องคุณภาพของสินค้าและบริการเป็นหลักว่ามีความแตกต่างจากคู่แข่งขันมากน้อยเพียงใด รวมถึงการจับกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับสินค้า เพราะถ้าสินค้าไม่มีความแตกต่างกันในสายตาของผู้บริโภค โอกาสจะอยู่รอดในธุรกิจนี้เป็นไปได้ยาก โดยในปีหน้า

ผู้ประกอบการจะยังคงใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นตัวหลักเช่นเดิม รวมไปถึงการนำเค้กหลายรูปแบบมาให้ลูกค้าได้เลือกมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นกำลังซื้ออีกวิธีการหนึ่ง ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจอยู่รอด เนื่องจากการขึ้นราคาจะมีผลอย่างมากต่อยอดขายในภาวะที่กำลังซื้อโดยรวมของผู้บริโภคยังเพิ่มขึ้นไม่มากนัก รวมทั้งยังพยายามหาทางเจาะตลาดให้สามารถรองรับพฤติกรรม การบริโภคของลูกค้าแต่ละกลุ่มให้เหมาะสมตรงจุดถูกใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยจะเห็นได้จากทุกค่ายจะมีบริการส่งเค้กนอกสถานที่ด้วย และการรับสั่งเค้กผ่านทางอินเตอร์เน็ต นับว่าเป็นกลยุทธ์ในการรุกถึงตัวลูกค้ามากกว่าการรอให้ลูกค้าเข้ามาในร้านเท่านั้น

ทำให้คาดหมายได้ว่าการแข่งขันในธุรกิจเค้กนั้นจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่ก็จะเป็นเฉพาะในกลุ่มของธุรกิจผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ระดับกลางลงมาเท่านั้น ส่วนธุรกิจผลิตภัณฑ์เบเกอรี่พรีเมี่ยมนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากมีลูกค้าประจำอยู่แล้ว และรสชาติ คุณภาพ รวมทั้งยี่ห้อเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยอมรับแล้ว ส่วนคุกกี้และผลิตภัณฑ์

เบเกอรี่อื่นๆ นั้นก็ได้รับความนิยมในการให้เป็นของขวัญและของกำนัลในช่วงต่างๆ เนื่องจากในปัจจุบันคนไทยหันมานิยมรับประทานผลิตภัณฑ์เบ

เกอรี่ต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งผู้ประกอบการมีการปรับกลยุทธ์ทั้งในด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ นับว่าเป็นการเพิ่มยอดจำหน่ายในช่วงเทศกาล เนื่องจากผู้บริโภคหันมาเลือกผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ต่างๆ เป็นของขวัญกันมากขึ้น

ทั้งนี้ คาดว่าตลาดเบเกอรี่ในปี 2551 จะมีมูลค่าสูงถึง 7.1 พันล้านบาท โดยขยายตัวประมาณ 5% ซึ่งต่ำจาก

ปี 2550 ที่ขยายตัว 5-7% เนื่องจากผู้บริโภคเกิดการชะลอตัวในการจับจ่ายซื้อสินค้าในกลุ่มนี้มากขึ้น ขณะที่ตลาดระดับกลางล่างในปีหน้าจะมีอัตราการเติบโตมากกว่าตลาดระดับบน และคาดว่าจะมีการสัดส่วนของตลาดเพิ่มขึ้น

เป็น 57.7% มากกว่าปี 2550 ขณะที่ตลาดบนจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 42.3% ของตลาดผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ทั้งหมด
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... s_id=10235

news02/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 02, 2008 8:51 pm
โดย chartchai madman
อาหารเสริมสุขภาพปีชวดมาแรง [ ฉบับที่ 858 ประจำวันที่ 27-12-2007 ถึง 5-1-2008]  
> หลังคนไทยมุ่งรักษาสุขภาพเชิงป้องกัน

ตลาดอาหารเสริมถือเป็นอีกตลาดที่มีความน่าสนใจ ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะเป็นอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดดังกล่าวมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น แม้ว่าจะยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์อย่างชัดเจน เพราะผู้บริโภคมีความเชื่อว่าการบริโภคอาหารเสริม จะทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วย ตลอดจนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล รวมถึงการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ความกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อม ทำ ให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพมากขึ้น และยอมเสียเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งสุขภาพที่ดี

ดังนั้น คาดว่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโดยรวมในปี 2551 จะมีมูลค่าประมาณ 18,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปี 2550 ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวที่ใกล้เคียงกับปี 2550 โดยแบ่งเป็นตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกายชนิดน้ำ 42% ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วไป ทั้งชนิดเม็ดและผง 35% กลุ่มวิตามิน 16% และกลุ่ม ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับเด็ก 7%

ทั้งนี้ ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมทั่ว

ไป และกลุ่มวิตามินมีแนวโน้มการเติบโตอยู่ในเกณฑ์สูง และมีการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากผู้ประกอบการของอาหารเสริม

ทั้ง 2 กลุ่มมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการพัฒนาผลิต

ภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตามช่วงอายุ และการใช้

ชีวิตของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

นอกจากนี้ คาดว่าตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในเมืองไทยยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้า เนื่องจากคนไทยหันมาให้ความสำคัญ และใส่ใจสุขภาพอนามัยมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคคนไทยมีการใช้จ่ายในเรื่องที่เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาสุขภาพให้แข็ง

แรงมากขึ้นไปด้วย เพราะคนไทยบางส่วนเชื่อว่าการบริโภคอาหารเสริมสุขภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง

ดังนั้น ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจะยังคงมีการขยายตัว ทั้งในแง่ของผลิต ภัณฑ์ และบริษัทรายใหม่ที่ทยอยเข้ามาในตลาด ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภค เนื่องจากการแข่งขันจะทำให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะด้านคุณภาพ มาตรฐานของสินค้า และราคาอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

ทั้งนี้ แนวโน้มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

สุขภาพในตลาดโลกที่จะกระตุ้นการขยายตัวให้รวดเร็วยิ่งขึ้น คือ อาหารเสริมสุขภาพที่มีคุณสมบัติเป็นยา หรือ Nutraceu-tical ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ และท้าทายให้ประเทศต่างๆ ที่มีศักยภาพด้านการผลิต รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาอาหารเสริมสุขภาพประเภทนี้ ต่างเร่งพัฒนาขีดความสามารถเพื่อรองรับตลาดที่มีแนวโน้ม ขยายตัว โดยตลาดหลักคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป

นอกจากนี้ จากการศึกษาถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงระเบียบกฎเกณฑ์ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของประชากร และการศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะ 5

ปีข้างหน้า คือ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพเฉพาะประเภท หรือ Specialty Supplements ขณะที่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพแบบเดิมจะมีแนวโน้มเติบโตไม่สูงมาก

นัก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแร่ธาตุ วิตามิน ผลิตภัณฑ์สมุนไพร Sport Nutrition ซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเฉพาะประเภทจะเป็นตัวผลักดันการขยายตัวของธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนกรุงเทพฯพบว่า 25.7% มีการเปลี่ยนมาบริโภคอาหาร เสริมสุขภาพที่ผลิตในประเทศทดแทนจากบริโภคอาหารเสริมที่ผลิตในต่างประเทศ เพราะมีราคาแพง ส่วนผู้บริโภค 12.6% ลดหรืองดการบริโภคอาหารเสริม โดยผู้บริโภคจะเน้นการประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาสุขภาพ ทำให้เป็นโอกาสในการขยายตลาดของอาหารเสริมที่ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีการปรับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในแง่ของบรรจุภัณฑ์ และความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์

โดยเน้นถึงการผ่านการรับรองขององค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการในธุรกิจผลิตภัณฑ์สมุนไพรอื่นๆ โดยเฉพาะอาหารเสริมสุขภาพจากผลิตภัณฑ์สมุนไพร เนื่อง จากผู้บริโภคส่วนหนึ่งมีความเชื่อว่าการบริโภคอาหารเสริมสุขภาพจากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย นับว่าเป็นการรักษาสุขภาพเชิงป้องกัน เนื่องจากเป็นการเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเมื่อต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน หรือบี

บวกขึ้นไป จะไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการบริโภคอาหารเสริม และยังคงเลือกบริโภคอาหารเสริมที่ผลิตจากต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากมีความเชื่อมั่นคุณภาพของผลิตภัณฑ์

ขณะที่ตลาดฟังชันนัลดริงก์เองก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน เนื่องจากผู้บริโภคคนไทยใส่ใจสุขภาพ และต้องการสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ประกอบกับมีผู้ประกอบการหลายรายได้ลงมาเล่นในตลาดดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยคาดว่าในแต่ละปีตลาดฟังชันนัลดริงก์จะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 100% เป็นเพราะผู้เล่นหลักๆ ในตลาดต่างพยายามโหมการสื่อสารการตลาดอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2551 ตลาดฟังชันนัลดริงก์ จะมีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท เฉพาะช่องทางโมเดิร์นเทรด เพิ่มขึ้นจาก

ปี 2550 ที่มีมูลค่า 1,000 ล้านบาท และใน

ปี 2549 ที่มีมูลค่า 500 ล้านบาท โดยแต่ละปีมีอัตราการเติบโตราว 100% แต่จะเติบโตไปในทิศทางเดียวกันนี้จนถึงปี 2551 เท่านั้น เพราะหลังจากนี้อีกประมาณ 3-5 ปี ตลาดฟังชันนัลดริงก์จะเติบโตเพียง 20% เท่านั้น เพราะฐานกว้างขึ้น โดยในช่วงแรกของการทำตลาดฟังชันนัลดริงก์ ผู้ประกอบ การมักจะนำสารคอลลาเจนมาเป็นจุดขายหลัก เกี่ยวกับผิวพรรณและความสวยความงาม แต่ในปี 2551 จะเป็นการนำฟังชันนัลต่างๆ ออกมาตอบสนองความต้อง การของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่เกี่ยว ข้องกับสมอง ไม่ว่าจะเป็นเปปทีน หรือโคลีน

โดยในปี 2550 บริษัท โอสถสภา

จำกัด โดยไบท์ แบงค็อก ได้เปิดตัวฟังชันนัลดริงก์ ภายใต้แบรนด์ เปปทีน คือ เปปทีน 4000 เครื่องดื่มเปปไทด์จากถั่วเหลือง ขนาด 4000 มก. รสทับทิม ที่สามารถช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้เป็นอย่างดี ราคา 38 บาท มุ่งเจาะกลุ่มนักศึกษา และถือเป็นฟังชันดริงก์ตัวแรกของไบท์ แบงค็อก จากเดิมจะมีสินค้าทั้งหมด 3 แบรนด์ ประกอบด้วยเอ็มแมกซ์ เครื่องดื่มชูกำลังเจาะกลุ่มวัยรุ่น ชาร์ค คูล ไบท์ เครื่องดื่มชูกำลังเจาะตลาดกลางคืน และแฮง เครื่องดื่มแก้อาการเมาค้าง เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และรองรับเทรนด์ ฟังชันนัลดริงก์ที่มาแรงในปี 2551

ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 2551 ไบท์ แบงค็อก เตรียมจะเปิดตัวเครื่องดื่มเปปทีน 8000

รสเกรฟฟรุ๊ต เจาะกลุ่มผู้ที่มีอายุตั้งแต่

40 ปีขึ้นไป มีปริมาณโปรตีน 8 กรัม ขนาด 150 มล. ราคา 68 บาท โดยเครื่องดื่มโปรตีนดังกล่าวได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น ทำให้โอสถสภานำมาวิจัย และพัฒนาลงสู่ตลาดในเมืองไทย โดยนำเข้าโปรตีนจากประเทศญี่ปุ่นมาผลิต

ด้านที.ซี.ยูเนี่ยน โกลบอล เองก็เตรียมรุกตลาดฟังชันนัลดริงก์อย่างจริงจัง โดยในปี 2551 เตรียมออกสินค้าใหม่อีกประมาณ 3 รายการ ภายใต้แบรนด์เวคกี้ และบลิ๊งค์ ทั้งชนิดแคปซูล และเครื่องดื่มในกลุ่มฟังชันนัลดริงก์ ภายใต้กลยุทธ์ Brand Extension โดยจะใช้งบการทำตลาดผลิตภัณฑ์ปี 2551 ประมาณ 80-100 ล้านบาท หลังจากในปี 2550 ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์

เวคกี้รีลีฟ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

และเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มตัวที่ 2 ของ

แบรนด์เวคกี้ ขนาด 100 มล. ราคา 25 บาท เน้นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการดูแลสุขภาพในเวลาที่จำกัด โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2551 จะมีผู้เล่นในตลาดฟังชันนัลดริงก์ไม่ต่ำกว่า 10 ราย

จากปี 2550 ที่มีผู้เล่นหลักๆ ประมาณ 5-6 ราย โดยการออกผลิตภัณฑ์เวคกี้รีลีฟถือเป็นการใช้กลยุทธ์ Brand Extension หรือการขยายตราสินค้า เพื่อขยายโอกาสในการบริโภคเวคกี้ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถ ดื่มได้ตลอด จากเดิมจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เฉพาะเมื่อมีอาการเมาค้างเท่านั้น

สำหรับยอดขายในปี 2550 ประมาณ 280 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% โดยมาจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 70% และฟังชันนัลดริงก์ 30% ส่วนปี 2551 จะปรับสัดส่วนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 55%

และฟังชันนัลดริงก์ 45% เพราะบริษัททำตลาดอย่างจริงจังมากขึ้น และคาดว่าภาย

ใน 3 ปี เวคกี้จะมีส่วนแบ่งในตลาดฟังชันนัลดริงก์ประมาณ 25% และติด 1 ใน 3 ของผู้นำตลาด
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... s_id=10240

news03/01/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 03, 2008 12:55 pm
โดย chartchai madman
ไข่ไก่ส่อแววล้นตลาด รณรงค์กินส่งออกเพิ่ม

โพสต์ทูเดย์ นายกไข่ไก่ออกโรงเตือนเกษตรกรปลดแม่ไก่ หลังปริมาณสูงขึ้นถึง 10 ล้านตัว แนะรณรงค์บริโภคควบเร่ง ส่งออก


นายณรงค์ เจียมใจบรรจง นายกสมาคมผู้ผลิตผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ กล่าวว่า ขณะนี้ปริมาณแม่ไก่ไข่ในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง 10 ล้านตัว หรือจาก 45 ล้านตัว ในปี 2549 เป็น 55 ล้านตัวในปี 2550 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นแนวโน้มการผลิตไข่ไก่ของประเทศว่าอาจจะมีปริมาณสูงถึงวันละ 30 ล้านฟอง ขณะที่อัตราการบริโภคของคนไทยทั้งประเทศมีเพียงวันละ 25 ล้านฟอง

ดังนั้น เมื่อแนวโน้มปริมาณแม่ไก่ไข่ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ผลผลิตไข่ไก่สูงตามไปด้วย แต่กำลังซื้อและการบริโภคไม่ได้สูงขึ้นตาม ขณะที่แนวโน้มต้นทุนการผลิตกลับเพิ่มสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบและค่าพลังงาน ทางสมาคมจึงอยากเตือนให้เกษตรกร ผู้เลี้ยงไก่ไข่ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และหันมาร่วมกันหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง

สำหรับแนวทางแก้ปัญหาที่ทำได้ง่ายและเห็นผลเร็วที่สุดคือ การลดปริมาณแม่ไก่ไข่ยืนกรง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากเกษตรกรทุกรายร่วมกันปลดแม่ไก่ให้เร็วขึ้น ขณะที่ทางสมาคมก็เร่งระบายไข่ส่วนเกินออกสู่ตลาดโลก และมีสมาชิกผู้ผลิตไข่ไก่รายใหญ่ร่วมกันเร่งระบายไข่ไก่ไปยังต่างประเทศแล้ว อาทิ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ ที่ส่งออกมากสุดถึง 71.78% ของจำนวนไข่ที่ส่งออกทั้งหมด ตามด้วยบริษัท ศรีวิโรจน์, เกษมชัยฟาร์ม, ชุนเซ้งฟาร์ม และอื่นๆ

นอกจากนี้ ทางสมาคมจะขอให้ภาครัฐเร่งรณรงค์บริโภคไข่ไก่อย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ ก็กำลังดำเนินการจัดตั้งกองทุนเพื่อนำมารณรงค์ส่งเสริมการบริโภคด้วยเช่นกัน เพื่อช่วยให้ปริมาณการผลิตไข่ไก่และปริมาณความต้องการบริโภคมีความสอดคล้องใกล้เคียงกันมากยิ่งขึ้น

ตัวเลขไข่ส่วนเกินสูงถึงขนาดนี้ สิ่งที่ตามมาก็คือ ภาวะราคาไข่ไก่ตกต่ำ สวนทางกับต้นทุนการผลิตไข่ไก่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงวันนี้ (2 ม.ค. 2551) ต้นทุนอยู่ที่ 2.20 บาท/ฟอง ราคาขายอยู่ที่ 1.70 บาท/ฟอง จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อให้อุตสาหกรรมไข่ไก่อยู่ได้อย่างยั่งยืน นายณรงค์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=212380

news03/01/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 03, 2008 3:44 pm
โดย chartchai madman
ราคาอาหารสัตว์พุ่ง เหตุจากวัตถุดิบถูกนำไปใช้ทำพลังงานทดแทน
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 02, 2008
นายบุญธรรม อร่ามศิริวัฒน์ กรรมการสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ในปี 2550 ราคาอาหารสัตว์ได้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่นำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยข้าวโพดซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์นั้น มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 7.76 บาท/กก. สูงกว่าราคาเฉลี่ยปี 2549 ที่ 6.18 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 25% ส่วนราคากากถั่วเหลืองปี 2550 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.60 บาท/กก. สูงกว่าราคาเฉลี่ยปี 2549 ที่ 10.60 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 20% และขณะนี้ราคากากถั่วเหลืองได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 17 บาท/กก. แล้ว

ขณะที่ราคาวัตถุดิบอื่น ๆ อย่างมันสำปะหลัง และพืชที่ให้โปรตีน ต่างก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาข้าวโพดและกากถั่วเหลือเช่นกัน ส่วนราคาจะปรับเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับผลผลิตและความต้องการใช้วัตถุดิบด้วย

สาเหตุที่ทำให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มสูงขึ้น เป็นเพราะราคาในตลาดโลกได้เพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่ประเทศต่าง ๆ ได้สนับสนุนให้มีการผลิตและใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะสหรัฐฯ สนับสนุนให้มีการนำข้าวโพดมาผลิตเป็นเอทานอล ทำให้เกษตรกรที่เดิมผลิตถั่วเหลืองหันมาปลูกข้าวโพดแทน และแม้ว่าจะมีผลผลิตข้าวโพดออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงส่งผลให้ทั้งราคาข้าวโพดและถั่วเหลืองในตลาดโลกต่างก็เพิ่มสูงขึ้น

นายบุญธรรมคาดว่า ในอีก 1 2 ปีข้างหน้า ถ้าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ที่ 75 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และสภาพอากาศเป็นปกติ วัตถุดิบอาหารสัตว์จะมีการปรับโครงสร้างราคาใหม่ โดยราคาข้าวโพดจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8 10 บาท/กก. ส่วนราคากากถั่วเหลืองจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15 20 บาท/กก. ก็จะมีผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มตามไปด้วย

นายบุญธรรมยังกล่าวถึงราคาเนื้อหมูและไก่ไข่ด้วยว่า มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากปี 2550 มีปัญหาเรื่องต้นทุนการเลี้ยงที่สูงกว่าราคาขาย โดยราคาหมูหน้าฟาร์มต่ำกว่าต้นทุน 3 5 บาท/กก. ทำให้ปี 2551 เกษตรกรบางส่วนจะลดการผลิตลง ซึ่งจะมีผลให้ราคาขายมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ ไม่อยากให้ภาครัฐเข้ามาแทรกแซงราคาสินค้า แต่ควรปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด เพราะการกดราคาสินค้า จะทำให้ผู้ผลิตอยู่ไม่ได้ ขณะเดียวกันสินค้าที่ผลิตออกมาก็อาจจะไม่ได้มาตรฐานด้วย

นายสมศักดิ์ ปณีตัธยาศัย นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า ในรอบปี 2550 อุตสาหกรรมกุ้งไทยได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งปัญหาราคาพลังงานที่กระทบต่อต้นทุนการขนส่ง การแข็งค่าของเงินบาท รวมถึงราคาอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอาหารสัตว์คิดเป็น 40 50% ของต้นทุนการเลี้ยงกุ้ง อย่างไรก็ตามราคาอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นก็ไม่มีผลกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันของผู้เลี้ยงกุ้งมากนัก เนื่องจากเป็นการเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก แต่ผู้เลี้ยงกุ้งก็จำเป็นต้องปรับตัว เพราะไม่สามารถปรับราคาขายตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ โดยปัจจุบันราคากุ้งอยู่ที่ 145 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2550 ที่ระดับ 95 บาท/กก.

ปริมาณการส่งออกกุ้งในปีที่ผ่านมานั้นเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2549 แต่มูลค่าการส่งออกกลับลดลง เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาท ประกอบกับราคากุ้งในตลาดโลกลดลง เพราะในช่วงต้นปี 2550 ผลผลิตกุ้งทั่วโลกมีมากเกินความต้องการ ส่วนราคากุ้งส่งออกในขณะนี้ยังไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ เพราะยังเป็นคำสั่งซื้อเดิม

ปัจจุบันไทยส่งออกกุ้งไปสหรัฐฯคิดเป็น 60% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะเดียวกันภาครัฐก็กำลังจะขยายการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) และกลุ่มประเทศนอก EU เช่น รัสเซีย ให้มากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตามการขยายตลาดส่งออกกุ้งก็จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่ผู้บริโภคของประเทศต่าง ๆ จะให้ความไว้วางใจกุ้งไทย

นายสมศักดิ์บอกว่า ขณะนี้ผู้เลี้ยงกุ้งต่างก็มีแนวคิดที่จะจำกัดปริมาณผลผลิตกุ้ง เพราะถ้าผลิตมากเกินไป ก็จะมีผลกระทบต่อราคาขาย อย่างไรก็ตามผู้เลี้ยงก็ควรปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพของตนเองด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกันก็อยากให้ภาครัฐอธิบายให้ประชาชนเข้าใจถึงเหตุผลเรื่องต้นทุน แต่ไม่ควรให้อุดหนุนเรื่องราคา เพราะไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx

news07/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 07, 2008 9:38 pm
โดย chartchai madman
ทุบสถิติส่งออกข้าวสูงสุดปี50

โพสต์ทูเดย์ ผู้ส่งออกระบุปี 2550 ส่งออกข้าวไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุ 9.5 ล้านตัน ส่วนปีนี้ ตั้งเป้าส่งออกแค่ 8.7 ล้านตัน


นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า ในปี 2550 ที่ผ่านมา ประเทศไทยส่งออกข้าวได้ถึง 9.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.1 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 28% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าส่งออก 3.55 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากปริมาณความต้องการซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่อินเดียและเวียดนามหยุดส่งออกชั่วคราวจึงถือเป็นปีทองของการส่งออกข้าว

สำหรับปีนี้ตั้งเป้าหมายส่งออกข้าวไว้ที่ 8.7-9 ล้านตัน เนื่องจากปริมาณข้าวในประเทศมีไม่มาก โดยสต๊อกข้าวรัฐเหลือเพียง 1.8 ล้านตันเท่านั้น ต่างจากปี 2550 ที่รัฐระบายข้าวในสต๊อกถึง 3 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามคาดว่าจะเริ่มส่งออกได้ประมาณเดือน ก.พ. และราคาคง ต่ำกว่าไทยเช่นเดิม

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาข้าวปีนี้จะสูงขึ้น โดยคาดว่าข้าวขาวราคาส่งออกจะทะลุตันละ 400 เหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันที่ตันละ 380 เหรียญสหรัฐ ส่วนข้าวหอมมะลิน่าจะใกล้เคียงตันละ 700 เหรียญ จากปัจจุบันตันละ 663 เหรียญสหรัฐ

ปีนี้ปริมาณข้าวจะมีไม่มากเท่าปีก่อน เห็นได้จากปริมาณข้าวในโครงการรับจำนำข้าวปี 2550/2551 จนถึงขณะนี้มีข้าวเข้าโครงการเพียง 4-5 หมื่นตัน เทียบกับปีก่อนมีข้าวเข้าโครงการแล้ว 2 ล้านตัน เพราะราคาข้าวในตลาดสูงถึงตันละ1-1.2 หมื่นบาท นายชูเกียรติ กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเงินบาทแข็งค่าและค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นมากจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้การแข่งขันของผู้ส่งออกด้อยกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะเวียดนามที่ผูกกับเงินเหรียญสหรัฐ และมีสายการเดินเรือแห่งชาติ ทำให้ต้นทุนน้อยกว่าผู้ส่งออกไทยมาก

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2550 กรมการค้าต่างประเทศ ประกาศผลการจัดสรรปริมาณข้าวเพื่อการออกหนังสือรับรองการส่งออกไปสหภาพยุโรป (อียู) สำหรับปี 2551 ซึ่งในส่วนของข้าวขาว 2.14 หมื่นตัน ได้จัดสรรให้ผู้ส่งออก 110 ราย โดยบริษัท นครหลวงค้าข้าว ได้รับการจัดสรรมากที่สุดถึง 3,568 ตัน รองลงมาคือบริษัท วุฒิชัยโปรดิวส์ 2,847 ตัน บริษัท ยูนิเวอร์แซลไรซ์ 2,094 ตัน บริษัท ไรส์แลนด์ฟูดส์ 1,494 ตัน บริษัท เอลล์บา บางกอก 1,343 ตัน บริษัท เอเชียโกลเด้นไรซ์ 1,142 ตัน และบริษัทที่ได้รับการจัดสรรน้อยเพียง 1 ตัน มีถึง 22 บริษัท

สำหรับข้าวหัก 5.2 หมื่นตัน บริษัท เจียเม้ง ได้รับการจัดสรรสูงสุด 1.62 หมื่นตัน ตามด้วยบริษัท ชัยประสิทธิ์พืชผล 1.49 หมื่นตัน บริษัท ยูนิเวอร์แซลไรซ์ 1.15 หมื่นตัน บริษัท แคปปิตัลซีเรียลส์ 4.7 พัน บริษัท วิริยะโรจน์ 3,028 ตัน บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด 832 ตัน ส่วนบริษัท เทพพาณิชย์ ได้รับจัดสรรน้อยที่สุด 81 ตัน

เป็นที่น่าสังเกตว่าในปีนี้บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ไม่ได้รับการจัดสรรเลย ทั้งที่เคยมีประวัติ การส่งออกข้าวไปอียูและเคยได้ รับการจัดสรรสูงสุดในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=213046

news08/01/08

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 08, 2008 12:38 pm
โดย chartchai madman
อาหารสัตว์พุ่งทำฟาร์มหมูจุก จำใจลดเลี้ยง

โพสต์ทูเดย์ ฟาร์มหมูเล็งลดการเลี้ยง เลี่ยงขาดทุน หลังต้นทุนอาหารสัตว์พุ่งไม่หยุด


นายอดุลย์ คำพงษ์ เจ้าของจรูญฟาร์ม ผู้เลี้ยงสุกรรายใหญ่ใน จ.นครสวรรค์ กล่าวว่า จะลดจำนวนการเลี้ยงสุกรให้น้อยลง เพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากตลอดปี 2550 ที่ผ่านมา ผู้เลี้ยงสุกรทุกรายเผชิญกับปัญหาราคาเนื้อสุกรตกต่ำ

แม้ว่าราคาสุกรจะทรงตัวใน ช่วงปีใหม่ แต่ก็ยังไม่คุ้มต้นทุน การผลิต ที่สำคัญการทรงตัวของราคายังไม่น่าไว้วางใจว่าจะอยู่นานเพียงใด เพราะเกิดจากเกษตรกร ผู้เลี้ยงร่วมมือกันลดจำนวนแม่พันธุ์สุกร

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ คือ อัตราการบริโภคเนื้อสุกรยังไม่กระเตื้องขึ้น และต้นทุนการผลิตก็สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ และค่าพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่อากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้ต้องเพิ่มการดูแลลูกหมูเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสเกิดความเสียหายกับลูกหมูมากขึ้น

สภาพเศรษฐกิจยังซบเซา ค่าครองชีพก็ปรับตัวสูงขึ้น อาจ ทำให้ประชาชนลดการใช้จ่ายลง อีกทั้งสถานการณ์การเมืองที่ยัง ไม่นิ่ง ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ถือเป็น ปัจจัยเสี่ยงเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องลดจำนวนการเลี้ยงสุกร เพื่อไม่ให้เกิดภาวะขาดทุน นายอดุลย์ กล่าว

ขณะเดียวกันจะเตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายอื่นๆ ให้ระมัดระวังปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น เพราะหากไม่คำนึงถึงความเสี่ยงก็จะขาดทุนโดยไม่จำเป็น

ราคาจำหน่ายสุกรชำแหละ หน้าฟาร์ม ณ วันที่ 7 ม.ค. อยู่ที่ 85-90 บาท/กก. เนื้อสามชั้น 85-90 บาท/กก. มันหมู 38-40 บาท/กก.
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=213289