ใต้ฝุ่นเอ็นพีแอลกระหน่ำ 3 แบงก์รัฐ - 13/8/2550
ใต้ฝุ่นเอ็นพีแอลกระหน่ำ 3 แบงก์รัฐ
++ ครึ่งหลังควักกระเป๋าสำรอง 1.6 หมื่นล.
ธนาคารทหารไทย-กรุงไทย-ไทยธนาคาร อ่วม! ครึ่งปีหลังยังต้องสำรองหนี้เสียอีกกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท กระอักพิษไอเอเอส 39 เอ็นพีแอลไหลย้อนกลับ และถูกบีบจัดชั้นหนี้เชิงคุณภาพ ขณะที่แบงก์อื่นลอยตัวสำรองเบาหวิว เหตุโหมใส่เงินไปตั้งแต่ครึ่งปีแรก ขณะที่นายแบงก์พลิกตำราพัลวันรับมือเอ็นพีแอลพุ่ง ทั้งออกมาตรการคุมเข้มปล่อยสินเชื่อ จับตาธุรกิจเสี่ยงใกล้ชิด และชิงตั้งสำรองตั้งแต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย
กลายเป็นดีเปรสชั่นที่กระหน่ำตรงมายัง ธนาคารพาณิชย์ เมื่อ ผู้บริหารธนาคารหลายรายออกมายอมรับว่า ปัญหาหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) กำลังจะกลับมาอีกครั้ง
โดยเฉพาะครึ่งปีหลังอาจจะมาถึงจุดที่ ดีเปรสชั่น ขยายตัวกลายเป็น ใต้ฝุ่น ! (ปัญหาแรงขึ้น)
อนาคตท่ามกลางใต้ฝุ่นเอ็นพีแอลที่พร้อมพัดกระหน่ำ จะทำให้ธนาคารต้องหาเงินมาตั้งสำรองหนี้อีกมากน้อยเพียงใด..จะส่งผลกระทบต่อฐานะของแบงก์หรือไม่ และธนาคารมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร...
สยามรัฐ จะเป็นผู้ไขคำตอบ
++ แบงก์รับสภาพหนี้เสียพุ่ง
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา จนธุรกิจต้องปิดกิจการไปกว่า1,000 แห่ง คือ หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริหารธนาคารเริ่มหวาดผวา กับความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดน้อยลงของลูกหนี้
หากลูกหนี้รายใดอ่อนแรงจนค้างชำระ 3 เดือน กลายเป็นหนี้เสีย นั้นหมายถึงเป็นภาระของธนาคารที่ต้องหาเงินมาตั้งสำรองเต็ม 100% ของสินเชื่อ (ตามมาตรฐานไอเอเอส 39 ขั้นที่ 3) ซึ่งในที่สุดก็อาจลุกลามจนส่งผลกระทบต่อผลประกอบการและฐานะของธนาคารตามมาเป็นลูกโซ่
อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย ยอมรับโดยดุษฎีว่า เอ็นพีแอลของธนาคารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และจะต่อเนื่องไปยังไตรมาส 3 และ 4 ก่อนถึงจุดสูงสุดของเอ็นพีแอลในปีนี้ ก่อนที่จะให้และจะทยอยลดลงในปีหน้า
สอดคล้องกับความเห็นของ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ที่ระบุว่า ขณะนี้มีบรรยากาศที่จะเกิดเอ็นพีแอลสูง
ขณะที่ตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ก็ยืนยันชัดเจนว่า เอ็นพีแอล ในช่วงไตรมาส 2 ของธนาคารที่จดทะเบียนในประเทศเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกจำนวน 1.42 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 2.49 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลง ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนลดลง
สยามรัฐ รวบรวมตัวเลขการตั้งสำรองหนี้เอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์จำนวน 8 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ทหารไทย กรุงศรีอยุธยา นครหลวงไทย และไทยธนาคาร พบว่าครึ่งแรกตั้งสำรองหนี้เอ็นพีแอลไปแล้วกว่า 38,643 ล้านบาท
ขณะที่ครึ่งปีหลังมีโอกาสที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ จะต้องตั้งสำรองรวมกันประมาณ 2.62 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะ 3 แบงก์รัฐ ธนาคารทหารไทย กรุงไทย ไทยธนาคาร จะต้องตั้งสำรองรวมกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท
++ ทหารไทยเผชิญวิกฤตไอเอเอส 39 เฟส 3
ต้องจับตา ธนาคารทหารไทย ที่นักวิเคราะห์ ประสานเสียงว่า จะต้องตั้งสำรองในครึ่งปีหลังถึง 7 พันล้านบาท เม็ดเงินจำนวนนี้ อาจกระหน่ำซ้ำเติมฐานะของแบงก์ที่วันนี้สั่นคลอนอยู่แล้วให้มากขึ้น
ปัญหาเกิดจากความขัดแย้งในองค์กร และความล่าช้าในการเพิ่มทุนจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท ที่ทำให้ธนาคารต้องติดอันดับบ๊วย กลายเป็นธนาคารแห่งเดียวที่ยังไม่ได้ตั้งสำรอง ตามมาตรฐานบัญชีไอเอเอส 39 ขั้นที่ 3 ที่กำหนดให้ธนาคารต้องตั้งสำรองลูกหนี้เอ็นพีแอลที่ค้างชำระ 3-6 เดือน 100% ภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนั้นยังต้องเผชิญกับปัญหาการจัดชั้นลูกหนี้เชิงคุณภาพ รวมทั้งลูกหนี้เอ็นพีแอลที่อาจเพิ่มขึ้นอีกตามภาวะเศรษฐกิจ
หากประเมินการตั้งสำรองในครึ่งปีแรกที่ 8.2 พันล้านบาท จนทำให้ธนาคารต้องขาดทุนสูงถึง 5.9 พันล้านบาท อาจจะไม่ต้องเอ่ยว่า การตั้งสำรอง 7 พันล้านบาทนี้ จะกระทบกับฐานะการเงินอีกแค่ไหน
ทางแก้ ปัญหาดังกล่าว มีทางเดียว คือ ต้องเร่งการเพิ่มทุนจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาทให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อหาเงินมาตั้งสำรองและพยุงฐานะธนาคาร ซึ่ง สุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทย คาดการณ์ว่าการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะเรียบร้อยภายในเดือนกันยายน
ขณะเดียวกัน
ธนาคารยังมีแผนขายหุ้นที่ถืออยู่ในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก(นอนคอร์)จำนวน 33 บริษัทออกไป เพื่อระดมเงินทุนให้ได้มากที่สุด สำหรับประคองสถานการณ์ให้อยู่รอดได้ต่อไป
นักวิเคราะห์คาดว่าหากธนาคารไม่สามารถเพิ่มทุนได้สำเร็จจะทำให้สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลดลงมาใกล้กับระดับที่แบงก์ชาติกำหนดไว้ที่ 8.5% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 10-11% และอาจทำให้ธนาคารต้องบันทึกผลขาดทุนในปีนี้อีกจำนวน 8.3 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้สถานะของแบงก์เข้าขั้นวิกฤติทันที
++ เพรซิเดนท์ฯ-ซับไพร์ม พ่นพิษ ไทยธนาคาร
ธนาคารไทยธนาคาร เป็นแบงก์ที่มีปัญหาการตั้งสำรองในอันดับรองลงมา หลังจากครึ่งปีแรกสำรองไปแล้ว 916 ล้านบาท จนส่งผลให้กำไรของธนาคารลดลงอย่างมาก ทำให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(FIDF)ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่ามีการกระทำผิดหรือไม่
ปัญหาของ ไทยธนาคารนั้น เกิดจากการปล่อยสินเชื่อที่ผิดพลาดโดยเฉพาะการปล่อยกู้ให้กับบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ซึ่งกำลังถูกตรวจสอบเรื่องการรับจำนำข้าว ช่วงที่ นายวัฒนา เมืองสุข เป็น รมช.พาณิชย์ มูลค่า 1.2 พันล้าน (เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ได้ขอวงเงินกับธนาคารในประเทศและต่างประเทศรวมถึงธนาคารรัฐทุกแห่ง รวม 9 แห่ง ประมาณ 12,000 ล้านบาท)
ดังนั้นครึ่งปีหลังนอกจากต้องตั้งสำรองปกติเดือนละ 80-90 ล้านบาท ตามคำยืนยันของ พีรศิลป์ ศุภผลศิริกรรมการผู้จัดการใหญ่แล้ว ยังต้องตั้งสำรองพิเศษในส่วนที่เหลือจากการปล่อยกู้ให้กับบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำนวน 695 ล้านบาท
ไทยธนาคาร ยังเป็นธนาคารไทย ที่ถูกหางเลขจากปัญหาฟองสบู่เชื่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยคุณภาพต่ำของสหรัฐ หรือ ซับไพร์ม (Sub-Prime : Sub-Prime Residential Mortgage Backed Securities) ด้วย เมื่อธนาคารได้เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทซีดีโอ (CDO : Collateralized Debt Obligation) ซึ่งมีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นซับไพร์ม ต้องตั้งสำรองจำนวน 276 ล้านบาท
รวมแล้วครึ่งปีหลังไทยธนาคารต้องตั้งสำรองราว 1.45 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับธนาคารขนาดเล็กที่มีสินทรัพย์รวมเพียง 2.65 แสนล้านบาท และน่าจะกระทบกับกำไรของแบงก์ช่วงครึ่งปีหลังแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารธนาคารได้พยายามแก้ไขปัญหา ด้วยประกาศยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และฟ้องร้องในทางแพ่งต่อลูกหนี้ เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง กรุ๊ป
ส่วนการลงทุนใน ซีดีโอ นั้น ธนาคารยังมั่นใจว่าจะไม่มีการผิดนัดชำระหนี้เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวยังมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับการลงทุน (BBB-)
++ เอ็นพีแอล กรุงไทย ไหลย้อนกลับ
ฝั่ง ธนาคารกรุงไทย มีภาระต้องตั้งสำรองจำนวนมากเช่นกัน โดย อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการธนาคารระบุว่าการ
ตั้งสำรองของธนาคารจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่ตั้งสำรองไปแล้ว 8 พันล้านบาท หรือต้องตั้งอีกประมาณ 7-8 พันล้านบาท จากปกติที่ตั้งเพียง 300 ล้านบาทต่อไตรมาส
การตั้งสำรองดังกล่าวเป็นผลมาจากเอ็นพีแอลที่สูงขึ้นและลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วกลับมาเป็นเอ็นพีแอลใหม่ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 30% สูงกว่าปีอื่นๆ
อย่างไรก็ตามการตั้งสำรองดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อธนาคารหรือไม่นั้น อภิศักดิ์ยืนยันว่าแบงก์ได้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และครึ่งปีแรกที่ผ่านมาธนาคารได้ตั้งสำรองไปจำนวนมาก เนื่องจากเห็นสัญญาณการเกิดเอ็นพีแอลย้อนกลับ จึงได้ตั้งสำรองครอบคลุมไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้ครึ่งปีหลังไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองพิเศษ และมั่นใจว่าผลประกอบการจะดีกว่าครึ่งปีแรก
++ กรุงเทพ-ไทยพาณิชย์-กสิกรฯ รับอนิสงค์สำรองเกิน
ด้าน
ธนาคารกรุงเทพ มีภาระตั้งสำรองในช่วงครึ่งปีหลังไม่มาก โดย กุลธิดา ศิวยาธร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า
ทั้งปีคาดว่าธนาคารต้องตั้งสำรองประมาณ 4-5 พันล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกสำรองไปแล้ว 2.78 พันล้านบาท
จากคำพูดของผู้บริหารประมาณการณ์ได้ว่าครึ่งปีหลังธนาคารกรุงเทพต้องตั้งสำรองอีกประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นนักวิเคราะห์ที่คาดว่าแบงก์จะตั้งสำรองอีก 2.3 พันล้านบาท และน่าจะเป็นเพียงการตั้งสำรองตามปกติ
นอกจากนี้ กุลธิดายืนยันด้วยว่าการตั้งสำรองเอ็นพีแอลระดับปกติจะเพียงพอรองรับจำนวนเอ็นพีแอลที่อาจเพิ่มขึ้นได้ รวมถึงธนาคารยังมีระดับสำรองส่วนเกินที่สูงถึง 1.27 หมื่นล้านบาท ถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกลุ่มแบงก์ สะท้อนคุณภาพสินเชื่อที่สามารถจัดการได้
ด้าน
ธนาคารไทยพาณิชย์ ไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองมาก เหมือนธนาคารกรุงเทพและกสิกรไทย เนื่องจากเป็นแบงก์ที่ตั้งสำรองไว้เกินเกณฑ์ที่แบงก์ชาติกำหนดไว้ค่อนข้างมาก โดยครึ่งปีแรกธนาคารตั้งสำรองไปแล้ว 2.07 พันล้านบาท
ส่วนครึ่งปีหลัง วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า ธนาคารจะตั้งสำรองอีกเดือนละ 300 ล้านบาท จากปีก่อนที่สำรองเดือนละ 100 ล้านบาท เนื่องจากมีการประเมินว่า ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งเงินสำรองระดับนี้คาดว่าเป็นจำนวนที่เพียงพอแล้ว
ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าธนาคารจะตั้งสำรองอีกประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนการตั้งสำรองแบบพิเศษจะไม่มีให้เห็นในปีนี้ เนื่องจากธนาคารได้ตั้งสำรองไปทั้งหมดตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเฉพาะการตั้งตามมาตรฐานบัญชีไอเอเอส 39
ฝั่ง
ธนาคารกสิกรไทย มีภาระตั้งสำรองไม่มากเช่นกัน เนื่องจากในอดีตธนาคารมีสถิติการตั้งสำรองหนี้เอ็นพีแอล 70.6% สูงสุดในระบบธนาคารพาณิชย์อยู่แล้ว ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองพิเศษ จึงเหลือเพียงการตั้งสำรองปกติทุกไตรมาสเท่านั้น
โดยใน
ครึ่งปีแรกธนาคารตั้งสำรองไปแล้ว 2.3 พันล้านบาท และครึ่งปีหลังก็จะสำรองอีกประมาณ 2.3 พันล้านบาท ตามอัตราปกติของแบงก์ที่มักสำรองช่วงครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ไม่มีผลกระทบพิเศษต่อผลประกอบการหรือฐานะของแบงก์
ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า ปกติแบงก์เข้มงวดกับการตั้งสำรองอยู่แล้ว โดยหากธนาคารพิจารณาแล้วว่าลูกหนี้รายใดควรกันสำรองเพิ่ม ทั้งที่ยังมีการชำระหนี้และดอกเบี้ยตามปกติ ธนาคารก็จะกันสำรองเพิ่ม โดยพิจารณาจากกิจการของลูกหนี้ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์การจัดชั้นเชิงคุณภาพ ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นเอ็นพีแอล
++ 2.4 หมื่นล้านจีอี ปั๊มลมหายใจกรุงศรีฯ
ส่วนธนาคารลูกครึ่งอย่าง กรุงศรีอยุธยา เริ่มหายใจได้คล่องขึ้นภายหลังการเข้ามาของกลุ่มจีอี และในครึ่งปีหลังไม่มีภาระต้องตั้งสำรองมาก โดยผู้บริหารธนาคารเปิดเผยผ่านนักวิเคราะห์ว่าจะตั้งสำรองตามปกติขั้นต่ำไตรมาสละ 750 ล้านบาท รวมแล้วประมาณ 1.5-2 พันล้านบาท เท่านั้น
สาเหตุที่ธนาคารมีภาระตั้งสำรองไม่มากเป็นเพราะ ช่วงครึ่งปีแรกธนาคารสั่งตั้งสำรองพิเศษตามมาตรฐานไอเอเอส 39 ไปแล้วทั้ง 3 เฟส รวมมูลค่ากว่า 1.14 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้แบงก์มีผลประกอบการครึ่งปีแรกขาดทุนถึง 7.6 พันล้านบาท ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป กล่าว
อย่างไรก็ตามฐานะของแบงก์กรุงศรีฯจะไม่สั่นคลอนเหมือนในกรณีของธนาคารทหารไทย เนื่องจากเพิ่งได้เงินเพิ่มทุนจากกลุ่มจีอีเข้ามาถึง 2.4 หมื่นล้านบาทเมื่อช่วงต้นปี และคาดว่าผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาสู่สภาพปติ
++ รับร่างรธน. ช่วยลดเอ็นพีแอล
ปิดท้ายที่ ธนาคารนครหลวงไทย หลังจากครึ่งปีแรกสำรองไปแล้วถึง 2.85 พันล้านบาท ทำให้ในครึ่งปีหลัง ชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ กรรมการผู้จัดการ ยืนยันว่าจะสำรองเพียงประมาณเดือนละ 200 ล้านบาท หรือประมาณ 1.2 พันล้านบาทเท่านั้น ส่วนครึ่งปีแรกที่สำรองไปจำนวนมากเป็นเพราะธนาคารสั่งตั้งสำรองตามมาตรฐานไอเอส 39 ทั้ง 3 เฟสในคราวเดียว ซึ่งจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว
ตอนนี้แบงก์เริ่มจับตาลูกหนี้ในธุรกิจที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นเอ็นพีแอลอย่างใกล้ชิด เช่น ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาท และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีตลาดชัดเจน เพื่อเข้าไปช่วยแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีเมื่อมีปัญหา รวมทั้งระมัดระวังปล่อยกู้มากขึ้น โดยมียอดอนุมัติสินเชื่อเพียง 60-70% ของผู้ขอทั้งหมด จากปกติที่อนุมัติในสัดส่วน 70-80% ชัยวัฒน์ กล่าว
ชัยวัฒน์ ยังทิ้งท้ายด้วยว่า โดยส่วนตัวหวังว่าภายหลังการลงประชามติรัฐธรรมนูญจะทำให้มีกระแสเงินสดออกมาหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเพิ่มกำลังจับจ่ายได้มากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการก็จะดำเนินธุรกิจได้ต่อไป ซึ่งจะช่วยประคับประคองไม่ให้เอ็นพีแอลสูงขึ้นมาก
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179554