ตลาดรถเล็กเดือด รับยุคน้ำมันแพง โฟล์ก-โตโยต้าโดดชิงเค้กอีโคคาร์
ตลาดรถเล็กพร้อมระอุ "โตโยต้า มิตซูบิชิ" ยันไม่ตกขบวนอีโคคาร์ มั่นใจภายใน 20 ธ.ค.นี้ได้รับอนุมัติส่งเสริมแน่นอน มูลค่าโครงการมากกว่า 5,000 ล้านบาท "โฆสิต" แย้มมีโฟล์กสวาเกนเพิ่มอีกราย
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กล่าวว่า โตโยต้าได้ยื่นขอรับการอนุมัติสนับสนุนการลงทุนในโครงการอีโคคาร์ไปก่อนวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา และได้มีการปรับปรุงเงื่อนไขให้ตรงกับแบบฟอร์มของบีโอไอ พร้อมกับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ทันตามกำหนดพอดี
โดยบีโอไอจะพิจารณาข้อขอเสนอของโตโยต้า และผู้ผลิตรถยนต์อีก 3 รายล่าสุดในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ เพื่อให้เสร็จสิ้นก่อนรัฐบาลชุดนี้ สำหรับรายละเอียดใครงการยังไม่สามารถเปิดเผย แต่ทุกอย่างเป็นไปตามหลักเกณฑ์บีโอไอที่กำหนด 5,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน
ส่วนโรงงานผลิต ใช้โรงงานเดิมทั้งเกตเวย์และบ้านโพธิ์ เนื่องจากยังคงมีศักยภาพพอรองรับกับโครงการดังกล่าวได้ แต่ทั้งนี้ก็คงจะต้องมีการพิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง หากมีการส่งออกอีโคคาร์ และตลาดใหญ่ของโตโยต้าก็คาดว่าจะเป็นภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย เอเชีย โอเชียเนีย และนิวซีแลนด์ ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
โดยเบื้องต้น อีโคคาร์จะเป็นรถซับคอมเพล็กซ์ขนาดเล็กกว่ารถในระดับ B เซ็กเมนต์ ส่วนข้อกำหนดในด้านขนาด ตัวถัง และอื่นๆ นั้น วันนี้ถือว่าไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดสำหรับโตโยต้า แต่ในส่วนของตลาดส่งออกนั้นยังถือเป็นเรื่องหนักใจ แต่กว่าจะมีผลผลิตรถอีโคคาร์ออกมาจริงๆ ก็คาดว่าน่าจะได้เห็นในช่วงปี 2553-2554 และกว่าจะมีการส่งออกได้ก็ในปี 2558 ซึ่งยังพอมีเวลาที่จะเตรียมการและยังพอมีเวลาในการศึกษาอยู่
ด้านนายทาเคโอะ ซากุไร ผู้อำนวยการใหญ่สำนักประธาน บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ได้ตัดสินใจนำเสนอแผนการลงทุนในโครงการอีโคคาร์ เบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนขั้นต่ำ 5,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดในข้อกำหนดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวน 100,000 คันภายในปีที่ 5 หรือขนาดตัวถัง มาตรฐานเครื่องยนต์นั้น บริษัทไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และพร้อมที่จะผลิตรถเพื่อให้เข้ากับสเป็กที่รัฐบาลกำหนด
โดยหลักการแล้ว ผมมองว่าคนที่จะยื่นอีโคคาร์นี้จะต้องพิจารณารถยนต์ที่เข้าร่วมระหว่างเซ็กเมนต์ A-B แต่ตลาดในประเทศไทยรถในระดับนี้ยังไม่เป็นที่นิยม และโดยเชื่อว่าตลาดบ้านเราคงจะมีความต้องการรถในระดับนี้ไม่มาก ดังนั้นเราคงจะต้องโฟกัสไปที่ตลาดส่งออกเป็นสำคัญ"
บริษัทไม่ต้องการสร้างความผิดหวังให้กับลูกค้าชาวไทย ซึ่งบริษัทยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ารถที่จะนำมาเข้าร่วมโครงการนี้จะเป็นรถในเซ็กเมนต์ใดระหว่าง A-B แต่ที่สำคัญบริษัทจะต้องกำหนดโมเดลเพื่อทำตลาดในประเทศก่อน
ส่วนตลาดส่งออกนั้น บริษัทคงจะต้องมาพิจารณากันว่าจะส่งรถไปทำตลาดในประเทศใด โดยเฉพาะต้องมีการศึกษาความต้องการของแต่ละตลาดว่ามีความต้องการแบบใดเพราะอย่างน้อยตลาดส่งออกเรายังมีระยะเวลาในการศึกษาอีกระยะ
สำหรับรถยนต์ที่บริษัทจะนำเข้าร่วมโครงการนี้มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นโมเดลที่มีอยู่แล้วในตลาดโลก หรืออาจจะเป็นโมเดลใหม่ เพื่อให้รองรับกับความต้องการของตลาด ส่วนจะมีการลงทุนเพื่อตั้งโรงงานใหม่หรือใช้วิธีขยายพื้นที่โรงงานเดิมหรือไม่นั้นคงจะต้องมีการพิจารณากันอีกที ซึ่งหากระบบโลจิสติกส์ที่โรงงานไม่พอเราก็อาจจะต้องมีการขยายไปที่อื่นด้วย
ทั้งนี้คาดว่าบีโอไอจะนำข้อเสนอของเราขึ้นมาพิจารณาในรอบที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 20 ธ.ค.นี้ พร้อมกับผู้ประกอบรถยนต์รายอื่นๆ ด้านนายสมพงษ์ ผลจิตจรูญ ผู้จัดการทั่วไป-การตลาด บริษัท ทาทา มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้แสดงเจตจำนงและยื่นขอรับการอนุมัติโครงการนี้ไปยังบีโอไอด้วย เพราะหลังจากที่บริษัทได้ตัดสินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเช่นกัน
ขณะที่นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ด BOI) ว่า ที่ประชุมได้มีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือ Eco-Car เพิ่มอีก 2 โครงการ คือ โครงการของบริษัทซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ผลิต Eco-Car และชิ้นส่วน (CKD) มูลค่าเงินลงทุน 9,500 ล้านบาท กำลังการผลิตปีละประมาณ 138,000 คัน จำหน่ายในประเทศร้อยละ 19 และส่งออกร้อยละ 81 ในตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย และแอฟริกา ตั้งโรงงานที่จังหวัดระยอง จะเริ่มการผลิตได้ในปี 2553
กับโครงการของบริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด ผลิต Eco-Car และชิ้นส่วน (CKD) มูลค่าเงินลงทุน 5,550 ล้านบาท กำลังการผลิตปีละประมาณ 120,000 คัน ผลิตเพื่อส่งออกเป็นส่วนใหญ่ ตลาดส่งออก คือ ประเทศในเอเชีย และออสเตรเลีย ตั้งโรงงานอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยเมื่อรวมกับโครงการของบริษัทฮอนด้า ที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมาแล้ว เท่ากับปัจจุบันมีโครงการอีโคคาร์ที่รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 3 โครงการ เงินลงทุนรวมประมาณ 19,000 ล้านบาท
นายโฆสิตได้กล่าวต่อไปว่า นอกเหนือจาก 3 บริษัท บริษัทที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถอีโคคาร์แล้ว ยังมีโครงการของบริษัทรถยนต์ที่ยื่นเสนอ และรอการพิจารณาอยู่อีก 4 โครงการ คือ โครงการของบริษัทมิตซูบิซิ, ทาทา, โตโยต้า และโฟล์กสวาเกน โดยคาดว่าจะผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเข้าสู่การพิจารณาอนุมัติของบอร์ด BOI ได้ภายในเดือนมกราคม 2551 ซึ่งนอกเหนือจากโครงการอีโคคาร์ของทั้ง 7 ค่ายรถยนต์ดังกล่าวแล้ว ก็คงจะไม่มีโครงการอื่นอีก เพราะที่ประชุมมีมติร่วมกันที่จะ "ปิด" รับ และไม่ขยายระยะเวลาการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการอีโคคาร์เพิ่มอีกต่อไป
"สำหรับโครงการอีโคคาร์ของทั้ง 7 บริษัทนี้ ยื่นเสนอโครงการมาทันภายในระยะเวลาที่ BOI กำหนด โดยเฉพาะ 4 บริษัทหลัง ที่ยื่นเสนอโครงการมาวันสุดท้ายที่ BOI กำหนดไว้พอดี คือ วันที่ 30 พฤศจิกายน ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าพึงพอใจสำหรับวิธีการให้ส่งเสริมการลงทุนในลักษณะใหม่ ที่สามารถดึงดูดการลงทุนได้มากขึ้น สร้างประโยชน์อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวคือ เป็นวิธีที่ BOI ประกาศนโยบายส่งเสริม แต่ยังไม่กำหนดสิทธิประโยชน์ที่ชัดเจน โดยให้เอกชนเสนอโครงการ แผนงานการผลิต และความต้องการขอรับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนแทน คิดว่า BOI ก็จะนำวิธีการให้ส่งเสริมการลงทุนในลักษณะดังกล่าวไปใช้กับกิจการอื่นๆ ต่อไป" นายโฆสิตกล่าว
ด้านสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า ในส่วนของ 4 โครงการหลัง ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนได้ แต่อย่างไรก็ตาม แผนการลงทุนก็จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ BOI กำหนด คือ ต้องเสนอการลงทุนเป็นโครงการรวม (package) ทั้งโครงการประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ และการผลิตหรือจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์ มูลค่าการลงทุนรวมไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ปริมาณการผลิต การผลิตไม่ต่ำกว่าปีละ 100,000 คัน ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง 5 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร ได้รับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม EURO 4 หรือสูงกว่า และมาตรฐานความปลอดภัย
"แต่ละโครงการที่เสนอมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทแน่นอน โดยเฉพาะค่ายรถของโฟล์กสวาเกน ที่ปัจจุบันยังไม่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นโครงการผลิตอีโคคาร์จึงถือเป็นโครงการแรกที่ใช้ฐานการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งอาจจะใช้เงินลงทุนสูงกว่ารถยนต์ค่ายอื่น ที่มีฐานการผลิตเดิม และสามารถต่อยอดการผลิตได้" นายสาธิตกล่าว
และนอกเหนือจากกิจการรถยนต์อีโคคาร์แล้ว บอร์ด BOI ยังได้อนุมัติโครงการลงทุนผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอีก 1 โครงการ เป็นของบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าเงินลงทุน 20,893 ล้านบาท มีกำลังการผลิตปีละประมาณ 140,000 คัน ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์สำเร็จรูปปีละประมาณ 42,000 ชุด และมีกำลังการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ปั๊มขึ้นรูปปีละ 105,000 ชิ้น โดยจะจำหน่ายในประเทศร้อยละ 22 และส่งออกร้อยละ 78 ในตลาดแอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และกลุ่มประเทศในอาเซียน ตั้งโรงงานที่จังหวัดระยอง
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 25&catid=1