หน้า 4 จากทั้งหมด 5
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 23, 2007 11:45 pm
โดย metro
[quote="nearly_vi"]ขอขุดกระทู้นี้ขึ้นมาอีกทีครับ
เป็นกระทู้ที่ ได้ความรู้มากๆ อีกกระทู้นึงที่ผมเคยอ่าน (และหายากมากๆ ด้วยเพราะคนตั้งกะคนสอน คนละคนทำให้สับสน)
เหตุผลที่ขอขุด
พอดี ไปอ่านกระทู้นึงที่ อาจารย์หมอ mprandy และ พี่หมอ Eyore กะ พี่พอใจ คุยกันเรื่อง retrospective analysis ประจวบกับไป อ่านๆ เรื่องหุ้นเรือตัวนึง เพราะสะดุดตาว่า PE ต่ำมาก และ นึกถึงกระทู้นี้ขึ้นมา พาลพออ่านใหม่อีกรอบ เลย นึกถึงที่เคยถกเรื่อง ATC
เลยมีเรื่องอยากให้พี่น้องช่วยครับ
1. มอง ATC ใหม่ จากจุดนั้นอีกรอบ (ตอน 30+- บาท ตอนนั้นใครๆ ก็ว่าขาลง) ตอนนี้ จะกลับมาที่จุดเดิมอีกแล้วครับ
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 12:01 am
โดย metro
[quote="nearly_vi"]ขอถามโง่ๆ อีกอย่าง
" ถ่านหิน " นี่เป็น หุ้นวัฏจักร ด้วยรึเปล่าครับ เพราะเป็น commodity
แต่ ที่ขึ้นรอบนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับ cycle ของมัน
ถูกรึเปล่าครับ?
Re: มาแบบนี้ก็ต้องตอบ...
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 12:10 am
โดย metro
[quote="nearly_vi"]
แต่ที่สงสัยคือ ทำไม ถ้าการลดต้นทุนที่เกิดจากข้อ 1 นี่ ทำไมรายได้ไม่เพิ่มมากกว่า
Re: ไม่เข้าใจตรงไหนล่ะครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 12:42 am
โดย metro
[quote="path2544"]
ไม่เข้าใจตรงไหนครับ
คือก่อนอื่น คุณ nearly_vi เข้าใจเรื่องวัฎจักรธุรกิจ หรือวัฎจักรอุตสาหกรรมไหมครับ
อ่านแล้ว งง...
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 8:36 am
โดย path2544
ผมว่าคุณ path2544 อาจจะมองคำว่า วัฏจักรสับสนไปนะครับ คือ วัฏจักรที่ถกกันอยู่นี้น่าจะหมายถึง "วัฏจักรของอุตสาหกรรม" นะครับ ไม่ใช่ "วัฏจักรของธุรกิจ"
ทุกธุรกิจมี การเริ่ม การโต การอิ่มตัว และ การล่าถอยทั้งสิ้น ซึ่งนี่คือ วัฏจักรของทุกธุรกิจครับ
แต่ทุกธุรกิจไม่ได้เป็นธุรกิจที่เป็นธุรกิจที่เป็นวัฏจักรเสมอไปครับ
การที่บอกว่าทุกธุรกิจนั้นมีวัฏจักรของมันทั้งสิ้น ซึ่งในที่นี้คุณ path2544 หมายถึงธุรกิจที่มีวัฏจักรของอุตสาหกรรมซึ่งไม่เว้นแต่วัฏจักรของ BIGC หรือ TF ผมว่ากว่าการที่ธุรกิจพวกนี้จะเจอจุดขาลงของวัฏจักร(หมายถึงการที่ธุรกิจเจอกับอุปสรรคจนต้องมีคู่แข่งปิดตัวลง) รอบวัฏจักรมันยาวอาจจะเป็นหลักร้อยปีก็ได้ ดังนั้นผมไม่อยากให้เรียกธุรกิจพวกนี้ว่าเป็นธุรกิจวัฏจักร เพราะถ้าอย่างนั้นแล้ว คำว่า "ธุรกิจวัฏจักร" คงไม่ต่างกับคำว่า "ธุรกิจ" เลยครับ
กรณีนี้ก็มีคนเคยบอกผม กับ บริษัทหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว และจริงๆ รู้สึกผมก็จะอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งจำชื่อไม่ได้แล้ว ว่า บริษัทนี้จะอยู่คู่ประเทศไทยไปอีกนาน และรอบวัฎจักรมันเป็นร้อยปี
ปัจจุบันเจอช้างเหยียบไปเกือบตาย :?: :?: :?:
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 8:49 am
โดย path2544
อืมมม
ผมคิดว่า ที่ทำได้นี่ต้อง ATC ครับ เพราะ TTA ไม่น่าจะทำได้เลยสักข้อ
ส่วน ATC นี่นี่จะทำได้แน่ๆ คือข้อ 1 และ ข้อ 2
แต่ที่สงสัยคือ ทำไม ถ้าการลดต้นทุนที่เกิดจากข้อ 1 นี่ ทำไมรายได้ไม่เพิ่มมากกว่า ผมเข้าใจกว่า ถ้าเกิดจาก economy of scale น่าจะทำให้รายได้เพิ่มมากกว่า PM โดยสัดส่วนครับ
ขอความรู้ครับ
ขออนุญาต เรียกว่าท่านอาจารย์นะครับ
ขอร้องนะครับ อย่าเรียบแบบนั้น ผมไม่ได้เก่งแบบนั้น และหากเรียกผมจะเลิกตอบ ขอมาพูดคุยกันดีกว่า สงสัยอะไร ก็มาคุยกัน จะ PM มาก็ได้ หากว่างและผมรู้จะตอบให้
อ้อ ผมเสริมให้กรณี TTA ก็คือ ข้อ 3 ครับ
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 9:11 am
โดย qingwen
ตกลงเขาพูดถึงวัฏจักรเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย
วัฏจักรของสินค้า/บริการ หรือวัฏจักรของบริษัท หรือมันเหมือนกัน
Re: อ่านแล้ว งง...
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 10:55 am
โดย metro
path2544 เขียน:
กรณีนี้ก็มีคนเคยบอกผม กับ บริษัทหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว และจริงๆ รู้สึกผมก็จะอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งจำชื่อไม่ได้แล้ว ว่า บริษัทนี้จะอยู่คู่ประเทศไทยไปอีกนาน และรอบวัฎจักรมันเป็นร้อยปี
ปัจจุบันเจอช้างเหยียบไปเกือบตาย
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 11:11 am
โดย AiBook
ขอเดาว่าเป็น เบียร์สิงห์ หรือเปล่าครับ คุณ path ช่วยเฉลยหน่อย
ครับผม..
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 11:18 am
โดย path2544
ท่านบอกว่า
ผมว่ากว่าการที่ธุรกิจพวกนี้จะเจอจุดขาลงของวัฏจักร(หมายถึงการที่ธุรกิจเจอกับอุปสรรคจนต้องมีคู่แข่งปิดตัวลง) รอบวัฏจักรมันยาวอาจจะเป็นหลักร้อยปีก็ได้ ดังนั้นผมไม่อยากให้เรียกธุรกิจพวกนี้ว่าเป็น
ธุรกิจวัฏจักร เพราะถ้าอย่างนั้นแล้ว คำว่า "ธุรกิจวัฏจักร" คงไม่ต่างกับคำว่า "ธุรกิจ" เลยครับ
ผมก็ยกตัวอย่างให้ดูไงครับ ว่า มีบริษัท เจ้าตลาดของธุรกิจอยู่ตัวหนึ่งในอดีตที่มีคนวิเคราะห์ไว้ว่าจะอยู่กับประเทศไทยไปตลาด และก็มีคนเคยพูดว่า วัฎจักรใช้กับบริษัทนี่ไม่ได้
ตอนนี้ส่วนแบ่งตลาดหดหาย และตามคู่แข่งไม่ทัน
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 11:19 am
โดย path2544
AiBook เขียน:ขอเดาว่าเป็น เบียร์สิงห์ หรือเปล่าครับ คุณ path ช่วยเฉลยหน่อย
ครับผม
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 11:29 am
โดย สามัญชน
[quote="nearly_vi"]ครับ ผมโง่
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 11:30 am
โดย สามัญชน
น้อง sunrise บอกว่า
sunrise เขียน:ATC
จังหวะเด้งในขาลงครับ
ผมเชื่อว่า วงจรมันหมดแล้ว แต่ว่าเป็นการลงอย่างช้าๆ แล้วจะมีสะอึก ดีๆหายๆ เป็นพักๆ
ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับน้องกบนะครับ ว่า รอบใหญ่นั้นมีโอกาสสูงที่จะเป็นขาลงส่วนรอบเล็กๆอาจจะขึ้นได้สบายๆ แม้รอบเล็กๆราคา ATC ก็ขึ้นเกือบหนึ่งเด้งได้ แต่ถ้าเทียบกับรอบใหญ่ที่ขึ้นยี่สิบเด้งแล้วความเสี่ยงและผลตอบแทนต่างกันลิบลับ
สาเหตุที่เคมีเด้งกลับในช่วงนี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะเคมีผูกพันกันแนบแน่นพอสมควรกับกลุ่มปิโตร สองตัวนี้ผูกติดกันจนคนส่วนใหญ่เรียกรวมๆกันไปเลยว่ากลุ่มปิโตรเคมี
ทีนี้กลุ่มปิโตรเมื่อหลายร้อยปีก่อนกับปัจจุบันนั้นต่างกันพอสมควรและมีปัจจัยที่มา interfere ที่สำคัญคือ น้ำมันใกล้จะหมดโลกแล้ว ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าประมาณสัก 45 ปี น้ำมันทั้งหมดที่สำรวจพบทั้งหมดก็จะถูกใช้หมด
เรื่องวัฏจักที่มีขึ้นมีลงเป็นลูกคลื่นนั้น คล้ายๆกับคลื่นที่เกิดจากเส้นเชือกที่เราเอามาแกว่งเล่น ถ้าปลายเชือกเป็นอิสระ ลูกคลื่นก็มักจะซ้ำๆกับรูปแบบเดิมๆ แต่ถ้าปลายเชือกถูกตอกติดกับฝา ตัวคลื่นที่อยู่ปลายๆเชือกกับที่อยู่ติดฝาจะแตกต่างกัน
งงมั้ยครับ ผมก็งงเหมือนกันครับ แต่ธรรมชาติของคลื่นเป็นอย่างนั้นจริงๆ
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 11:30 am
โดย สามัญชน
เอาใหม่ นึกถึงคลื่นสึนามินะครับ
คลื่นสึนามิที่อยู่กลางทะเลจะไม่สูงมากและจะคล้ายๆกันทุกคลื่น แต่เมื่อไหร่ที่เข้าใกล้ฝั่ง(หมายถึงระยะทางที่คลื่นจะวิ่งต่อไปเริ่มหมดแล้ว ซึ่งเปรียบได้กับน้ำมันที่ใกล้จะหมดโลกแล้ว) คลื่นตัวนี้จะมี amplitude ที่ผันผวนมากๆทั้งสูงมากและต่ำมาก
สูงมากหมายถึงคนจะแย่งกันใช้อย่างรุนแรง ต่ำมากหมายถึงคนจะเลิกใช้ไปเลยแล้วหันไปหาทางเลือกอื่น
ผมเข้าใจว่าเป้นอย่างนั้นนะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าถูกหรือผิด ก็เป็นแนวคิดที่พยายามตอบคำถามคุณหมอครับ
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 11:31 am
โดย สามัญชน
ส่วนเรื่องเรือนั้น ถ้าเปรียบเป็นคลื่นจะเปรียบไม่ได้เหมือน ATC เพราะเรือยังมีอยู่คู่โลกเราไปอีกยาวนาน
ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะเรือเทกองขนาดเล็กนั้น มีจำนวน 30+% ที่จะหมดอายุตามสภาพและต้องปลดประจำการ ลองค้นดูพบข้อมูลเมื่อ jan 04 ว่า
สามัญชน เขียน:
เดิมทีผมเป็นห่วงประเด็นจำนวนเรือที่จะมาแข่งขันกันในอนาคต
จากข้อมูล CSR/Aries
ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของจำนวนเรือประเภทต่างๆ
...........................2537-2546.........................2547-2550E
..................................................มีการปลดเรือ>27ปี.....ไม่ปลดเรือ>27ปี
Small Handy.........(30.6)..................(40.0)....................3.8
Handymax.............26.5...................(27.0)..................13.4
Super Handymax.....0.0.....................10.1...................20.6
Panamax................37.4.....................(2.8 )..................18.1
Capesize.................27.1.....................10.0...................29.4
ซึ่งผมเดาว่าเจ้าของคงไม่ยอมปลดระวางเรือในขณะที่ค่าระวางเรือยังอยู่ในระดับที่สูงคุ้มค่าอย่างนี้แน่ ประเด็นที่ผมเป็นห่วง คือเรือที่มีขนาดใหญ่กว่า PSL ซึ่งได้แก่ ระดับ handymax ขึ้นไป น่าจะมีการเพิ่มขึ้นของ supply พอสมควร น่าจะค่อนข้างมากด้วย โดยเฉพาะรุ่น super handymax เพิ่มถึง 20.6 % ซึ่งถ้าเอา 1.5 คูณเข้าไป ในแง่ของน้ำหนักบรรทุกจะเพิ่มถึง 30 % เลยทีเดียว ( เมื่อเทียบกับน้ำหนักบรรทุกของ small handy ) เช่นเดียวกับpanamax เมื่อเอา 2 คูณเข้าไป supplyจะเพิ่มถึง 36 % ไม่ต้องพูดถึง capesize เมื่อเอา 3 คูณเข้าไป จะเพิ่มถึง 90 % เลยทีเดียว โอ.....พระเจ้า... และคงจะทำให้ค่าระวางเรือตกลงมาไม่น้อยเลยทีเดียว
คำถามก็คือลูกค้าของ PSL จะสามารถเปลี่ยนไปใช้บริการของเรือขนาดใหญ่ขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน
นับจากวันนั้นมีเหตุการณสำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น คือ เรือขนาดยักษ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นมหาศาลแม้เรือขนาดเล็กอย่าง TTA PSL จะมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนมากๆก็ตามและไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นได้โดยเร็วเพราะอู่ต่อเรือนิยมทำเรือใหญ่มากกว่าเพราะกำไรมากกว่า
แต่ตลาดคาดการณ์ว่าค่าระวางเรือจะต้องดิ่งลงเพราะมีเรือใหม่เข้ามามาก แต่การณ์กลับปรากฎว่า เรือใหญ่นั้นไม่สามารถทดแทนเรือเล็กได้มากตามมุมมองของคุณคาลิดซึ่งปรากฏว่าถ้ามองณ.ปัจจุบันแล้ว แนวคิดของคุณคาลิดถูกต้อง
ข้อมูลล่าสุดจากน้อง sunrise พบว่าเกิดการขาดแคลนเรือเล็กถึงขั้นที่มีบางแห่งต้องใช้เรือตู้ขนสินค้าเทกองแทน แต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก
ประกอบกับเมื่อค่าระวางเรือลงมาถึงจุดซึ่งเจ้าของเรือไม่คุ้มที่จะดันทุรังใช้เรือที่ถึงกำหนดปลดระวางต่อไป ค่าระวางเรือก็เลยพุ่งกลับขึ้นไปคืนมั้งครับ
ทั้งหมดนี้ เดาล้วนๆครับ :lol:
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 11:46 am
โดย path2544
ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับน้องกบนะครับ ว่า รอบใหญ่นั้นมีโอกาสสูงที่จะเป็นขาลงส่วนรอบเล็กๆอาจจะขึ้นได้สบายๆ แม้รอบเล็กๆราคา ATC ก็ขึ้นเกือบหนึ่งเด้งได้ แต่ถ้าเทียบกับรอบใหญ่ที่ขึ้นยี่สิบเด้งแล้วความเสี่ยงและผลตอบแทนต่างกันลิบลับ
สาเหตุที่เคมีเด้งกลับในช่วงนี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะเคมีผูกพันกันแนบแน่นพอสมควรกับกลุ่มปิโตร สองตัวนี้ผูกติดกันจนคนส่วนใหญ่เรียกรวมๆกันไปเลยว่ากลุ่มปิโตรเคมี
ทีนี้กลุ่มปิโตรเมื่อหลายร้อยปีก่อนกับปัจจุบันนั้นต่างกันพอสมควรและมีปัจจัยที่มา interfere ที่สำคัญคือ น้ำมันใกล้จะหมดโลกแล้ว ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าประมาณสัก 45 ปี น้ำมันทั้งหมดที่สำรวจพบทั้งหมดก็จะถูกใช้หมด
เรื่องวัฏจักที่มีขึ้นมีลงเป็นลูกคลื่นนั้น คล้ายๆกับคลื่นที่เกิดจากเส้นเชือกที่เราเอามาแกว่งเล่น ถ้าปลายเชือกเป็นอิสระ ลูกคลื่นก็มักจะซ้ำๆกับรูปแบบเดิมๆ แต่ถ้าปลายเชือกถูกตอกติดกับฝา ตัวคลื่นที่อยู่ปลายๆเชือกกับที่อยู่ติดฝาจะแตกต่างกัน
งงมั้ยครับ ผมก็งงเหมือนกันครับ แต่ธรรมชาติของคลื่นเป็นอย่างนั้นจริงๆ
คือ ไม่ได้ว่า ท่านประธานผิดนะครับ แต่อยากให้ ลองเอาหลักของ Porter (ไม่รู้พิมพ์ผิดเปล่า) มาจับก่อนที่จะบอกว่า มันเป็นขาขึ้นหรือลง
กรณีน้ำมันจะหมดโลก อีก 45 ปี มันไกลมานะครับ
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 12:02 pm
โดย sunrise
ผมเคยพลาดอย่างจังมานักต่อนักครับในเรื่อง หุ้น cycle
ทั้งๆที่ทำงานในบริษัทเอง
ข้อมูลเปลี่ยนไวมาก
ปลายๆปีที่แล้ว ทางบริษัทผม มี strategic ว่าเรือจะไม่ได้โตมากนัก
ปรากฎว่า ผิดเต็มประตู
ผมเคยทำนายว่า rclจะลำบาก ก็ไม่จริงเพียงแต่กำไรไม่มาก
ผมเห็นว่าสินค้าที่เปลี่ยนจากเรือเทกองมาเป็นเรือตู้ ยังไม่ดีมากนัก
ตอนนี้ก็เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ประเด็นที่สำคัญคือ เราจับวงจรใหญ่ได้หรือเปล่า ถ้าเราจับถูกต้องก็ win ครับ
ถ้าเราไม่มั่นใจก็อย่าไปยุ่งกะมัน :lol:
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 12:15 pm
โดย metro
ขอบคุณสำหรับไอเดียดีๆของพี่หมอศรรามครับ
ขอบคุณครับ :D
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 1:08 pm
โดย nearly_vi
การเดาของ ท่านอาจารย์สามัญชนนี่ล่ะครับ ที่เป็นประโยชน์อย่างสูง
การเรียนรู้ นี่ยากนะครับ ต้องเรียนทฤษฎีให้แม่นก่อน
ต้องดูให้ เป็นก่อน ครูพักก็ลักจำ
ได้ช่วย มีคนจับมือสอน จนได้ความรู้สึก
แล้วทำเป็นภายใต้การควบคุม
แล้วค่อยออกศึกจริง
ผมว่าคนส่วนมากความรู้ทางทฤษฎี ไม่น้อยครับ
แต่ขาดคนช่วย แนะแนว หรือ ประยุกต์ ความคิด ให้ดูให้ฟัง
ผมไม่ได้ต้องการคำตอบที่เป๊ะ ๆ หรอกครับ แค่อยากให้มีคน คิดประยุกต์นำความรู้มาใช้ให้ดูเป็นตัวอย่าง
เหมือนการรักษาคนล่ะครับ เรียนมาเยอะแยะ รู้ไปหมด แต่ ตราบใดทียังไม่เคย เอาความรู้นั้นมาใช้ และมี อาจารย์ confirm หลายๆ รอบ (เน้นว่าต้องหลายรอบเลย ถึงจะ ค่อยมั่นใจได้ระดับนึง) ถึงจะกล้าเอาไปใช้จริงได้ เหมือนกับกล้าเอา
กระบวนการคิดนี้ไปใช้ประโยชน์ได้
ขอบคุณอาจารย์พี่สามัญชนมากๆครับ
ได้ความรู้ ตั้งแต่ต้นกระทู้ ยัน ตอนนี้
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 1:09 pm
โดย Linzhi
คุณหมอ เขียนเรื่องคลืน น่าอ่าน และเห็นภาพจริง ๆ
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 24, 2007 1:15 pm
โดย nearly_vi
path2544 เขียน:คือ ไม่ได้ว่า ท่านประธานผิดนะครับ แต่อยากให้ ลองเอาหลักของ Porter (ไม่รู้พิมพ์ผิดเปล่า) มาจับก่อนที่จะบอกว่า มันเป็นขาขึ้นหรือลง
กรณีน้ำมันจะหมดโลก อีก 45 ปี มันไกลมานะครับ
ผมว่าท่านประธาน ตอบไว้เรียบร้อยในคำตอบอ่ะคับ
และ 45 ปี จะว่าไกลก็ไกล ใกล้ก็ใกล้นะครับ แล้วแต่จะมอง แต่ผมเชื่อที่ท่านประธานบอกว่า ช่วงเวลาที่คาดว่าเหลือนี้แหละ น่าจะเป็นตัวชี้นำคลื่นใหญ่ ว่าเป็นขาไหน แต่ ปัญหาคือ ไม่มมีใครรู้ 8)
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 29, 2007 12:53 pm
โดย InnoVI
ขอเรียนด้วยคยครับ
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 07, 2008 8:58 am
โดย samahara
เรื่องดีๆครับ..เอากลับมาฝาก
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 10, 2008 1:24 am
โดย V_accy
ขอบคุณพี่samahara ที่ดึงกระทู้นี้ขึ้นมา
และขอขอบคุณพี่ๆ(หรือลุงๆ)ทุกท่านที่ช่วยให้ความรู้ครับ
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 10, 2008 10:52 am
โดย สวนหย่อม
ขอบคุณมากครับ ที่ขุดขึ้นมา เพิ่งเคยเห็นกระทู้นี้เหมือนกัน
อย่างนี้ต้องปริ๊นท์เก็บไว้เลย อิอิ
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 15, 2008 4:53 pm
โดย jetmanpo
ขอบคุณครับ
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 18, 2009 7:57 pm
โดย golfkinmon
จังหวะเข้าซื้อหุ้นกลุ่มยานยนต์
อ้างอิงจากหนังสือ ลงทุนอย่าง...ปีเตอร์ ลินซ์ Beating the Street ปี 2548
บทที่ 15 หุ้นวัฏจักร:อะไรที่แย่เดี่ยวมันก็ดี
เมื่อไรก็ตามที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มดูซบเซา ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพจะเริ่มคิดถึงการลงทุนในหุ้นวัฏจักร การขึ้นๆ ลงๆ ของบริษัทอลูมิเนียม, บริษัทเหล็ก, บริษัทผู้ผลิตกระดาษ,
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์, บริษัทสารเคมี และสายการบินเป็นรูปแบบ ซึ่งมีการรับรู้กันเป็นอย่างดีและมีความเชื่อถือได้พอๆ กับการเปลี่ยนฤดูกาล
ประเด็นที่เป็นปัญหาก็คือ การที่ผู้จัดการกองทุนมักจะกระตือรือร้นอยากที่จะ
เข้าไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรก่อนคนอื่นๆ มันดูเหมือนว่า วอลล์ สตรีทจะคาดการณ์วงจรขาขึ้นของอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักร
เร็วเกินกว่าความเป็นจริงไปมาก ซึ่งเหตุนี้มันไปทำให้การลงทุนในหุ้นวัฏจักรเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยกลเม็ดเด็ดพรายมากยิ่งขึ้น
ตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ตัวหนึ่งที่สามารถนำมาใช้บอกว่า เราควรจะซื้อหุ้นบริษัทรถยนต์เมื่อไรก็คือ
ราคารถมือสอง เมื่อไรก็ตามที่เต๊นท์รถมือสองลดราคารถยนต์ของพวกเขาลง มันหมายถึงว่า พวกเขามีปัญหาในการขายรถ ซึ่งตลาดรถมือสองที่ว่าแย่แล้ว ตลาดรถใหม่จะย่ำแย่ยิ่งกว่านั้นอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อไรที่ราคารถมือสองมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น มันจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงอนาคตที่สดใสขี้นสำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์
ตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ตัวเลข "การชะลอตัวของความต้องการซื้อรถ"
ในช่วงระยะเวลาสีปีนับจากปี 1980 ถึงปี 1983 ซึ่งเศรษฐกิจมีภาวะซบเซาและผู้คนต่างก็พยายามที่จะประหยัดเงิน ยอดขายรถที่เกิดขึ้นจริงมีจำนวนน้อยกว่ายอดขายรถที่ควรจะเป็น (แนวโน้ม) ถึงเจ็ดล้านคัน (คนจำนวนเจ็ดล้านคนที่ควรจะซื้อรถยนต์และรถบรรทุกไปแล้วได้เลื่อนการซื้อของพวกเขาออกไป) ตัวเลขนี้บอกเราว่า การบูมของยอดขายรถมันน่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเราก็ได้เห็นการบูมเกิดขึ้นจริงๆ ในช่วงปี 1984 ถึงปี 1989 ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ยอดขายรถที่เกิดขึ้นจริงมีจำนวนสูงกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นถึง 7.8 ล้านคัน
หลังจากช่วงระยะเวลาที่ยอดขายจริงมั่นต่ำกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นผ่านไปได้สีหรือห้าปี ช่วงระยะเวลาที่ยอดขายจริงสูงกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นจะกินเวลาอีกสีหรือห้าปีกว่าที่ตลาดรถมันจะกลับมามีความสมดุล
หากคุณไม่รู้ข้อมูลนี้ คุณอาจจะขายหมู ตัวอย่างเช่น หลังจากการบูมในปี 1983 ซึ่งยอดขายรถได้เพิ่มขึ้นจาก 10.5 ล้านคันไปเห้น 12.3 ล้านคัน คุณอาจจะตัดสินใจขายหุ้น Ford หรือ Chrysler ออกไป เนื่องจากคุณคิดว่าการบูมของตลาดรถยนต์มันจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ถ้าหากคุณได้เกาะติดแนวโน้ม คุณจะเห็นว่า มันยังมีการชะลอตัวของความต้องการซื้อรถที่หลงเหลืออยู่มากกว่า 7 ล้านคัน ซึ่งกว่ามันจะถูกดูดซับหมดก็ปาเข้าไปปี 1988
ปีที่คุณควรจะขายหุ้นบริษัทรถยนต์ออกไปก็คือปี 1988 (ประมาณปีที่ 7-8 หลังวิกฤติ) ซึ่งเป็นปีที่การชะลอตัวของความต้องการซื้อรถที่สะสมมาตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ได้ถูกดูดซับไปหมดแล้ว ผู้คนได้ซื้อรถใหม่ไปกว่า 74 ล้านคันในช่วงระยะเวลาห้าปีและแนวโน้มของยอดขายก้น่าจะเป็นไปในทิศทางขาลง มากกว่าที่จะเป็นขาขึ้น กระทั่งในปี 1989 ซึ่งเป้นปีที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดี ยอดขายรถก็ยังลดลงไป 1 ล้านคัน ซึ่งมันไปทำให้ราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ลดลงตามไปด้วย
นับจากปี 1990 เราก็เริ่มต้นสะสมตัวเลขการชะลอตัวของความต้องการซื้อรถกันอีกครั้ง เรามียอดขายที่ต่ำกว่ายอดขายที่ควรจะเป็นติดต่อกันสองปี หากแนวโน้มยังเป็นแบบนี้ต่อไป เราจะมีตัวเลขการชะลอตัวของความต้องการซื้อรถจำนวน 5.6 ล้านคันภายในสิ้นปี 1993 และมันน่าจะก่อให้เกิดการบูมของยอดขายรถในช่วงปี 1994-1996 (สี่ปีอีกแล้วครับพี่น้อง
)
การรู้วัฏจักรของธุรกิจรถยนต์เป็นเพียงครึ่งเดียวของเรื่องราวทั้งหมดอีก
ครึ่งหนึ่งที่เหลือก้คือการคัดเลือกบริษัทที่จะให้ผลตอบแทนสูงสุด หากคุณคิดถูกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมแต่เลือกลงทุนผิดบริษัท คุณก็สามารถที่จะขาดทุนได้พอๆ กับกรณีที่คุณคิดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมผิด
ในช่วงขาขึ้นที่เริ่มต้นในปี 1982 (สองปีหลังวิกฤติ :idea: ) ผมมีข้อสรุปว่า 1. มันเป็นช่วงเวลาที่ดีของการลงทุนในหุ้นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 2.Chrysler, Ford และ Volvo น่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า General Motors คุณอาจจะคิดว่า GM น่าจะเป็นหุ้นที่ดีที่สุด เนื่องจาก GM เป็นบริษัทผูผลิตรถยนต์อันดับหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ชื่อเสียงในด้านความเป็นเลิศของ GM มันยิ่งใหญ่เกินกว่าความปราถนาของบริษัทในการที่จะรักษามันเอาไว้ บริษัททั้งหยิ่งยโส ทั้งมองระยะสั้นๆ และยึดติดกับความสำเร็จของมัน อย่างไรก็ตาม หากเราไม่มองถึงประเด็นเหล่านี้แล้วบริษัทก็ถือได้ว่าอยู่ในสภาพที่ดี
ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Roger & Me ไม่ใช่คนที่ประสบกับความยุ่งยากในการเข้าไปในอาคารของ GM เพียงคนเดียว ครั้งหนึ่ง ผมได้รับการนัดหมายให้ไปพบกับเจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์ที่หาศูนย์วิจัยและการพัฒนาของ GM ที่มีขนาดพอๆ กับวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ไม่พบ พวกเราสองคนต้องใช้เวลาสองสามชั่วโมงในการเสาะหาที่ตั้งของมัน หากกระทั่งคนในแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ยังไม่รู้ว่า ส่วนต่างๆ ของบริษัทตั้งอยู่ที่ไหน คุณสามารถที่จะตั้งสมมติฐานไว้ได้เลยว่า คนอื่นๆ ในบริษัทก็คงจะไม่รู้เช่นกัน
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 GM ได้สร้างความประทับใจอันเลวร้ายไว้กับผู้ซื้อหุ้นของบริษัท ในช่วงระยะเวลา 10 ปี ราคาหุ้นของ GM ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า อย่างไรก็ตามคนที่ซื้อหุ้น Chrysler ในช่วงใกล้จุดต่ำสุดในปี 1982 จะได้กำไรเกือบ 50 เท่าภายในระยะเวลาห้าปี และคนที่ซื้อหุ้น Ford จะได้กำไรถึง 17 เท่า พอมาถึงในช่วงสิ้นทศวรรษ ความอ่อนแอของ GM ก็เป็นสิ่งที่มีการรับรู้กันโดยทั่วไป คนที่เดินตามท้องถนนจะสามารถบอกกับคุณว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของอเมริกาได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปต่อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น
.....................................................................
สรุปว่า
1.วัฏจักรของอุตสาหกรรมยานยนต์ 1 รอบประมาณ 7-8 ปี
2.สองปีหลังวิกฤตจะเป็นช่วงเริ่มต้นขาขึ้นของอุตสาหกรรมยานยนต์ และเป็นเวลาเหมาะสมในการเริ่มลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
3.อุตสาหกรรมยานยนต์จะพีคตอนปีที่ 4 หรือ 5 หลังวิกฤต แต่ยังไม่ต้องรีบขายเพราะคุณอาจขายหมู :lol:
4.เตรียมขายในปีที่ 7 หรือ 8 ซึ่งเป็นปีที่การชะลอตัวของความต้องการซื้อรถที่สะสมมาในช่วงวิกฤติหมดไป
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2009 7:32 pm
โดย nw108
ผมสนใจหุ้นกลุ่มยานยนต์เหมือนกันครับ ลงทุนยาวๆ5ปี++
ทยอยซื้อเข้าพอร์ทเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร
คิดดี ทำดี พูดดี
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 18, 2009 3:19 pm
โดย Hughes
ช่วงนี้ หุ้นวัฏจักรราคาลงไปมาก
แต่ว่า P/E ก็ยังต่ำอยู่ (สงสัยมี Delay ปีนี้คงเห็นว่าสูงขึ้น)
ไม่ทราบว่าท่านๆคิดว่าการที่จะเข้าไปเก็บตอนนี้จะเร็วไปไหมครับ?
เพราะเห็น Peter Lynch บอกว่าให้เก็บตอน P/E สูงๆ?
ผมเน้นแต่พวกต่ำกว่าบุ๊คตอนนี้
Investing in Cylical Stocks
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 30, 2009 2:22 pm
โดย javoel
น้องใหม่มาฟังด้วยคนครับ