หน้า 4 จากทั้งหมด 4
แล้วความเสี่ยงล่ะ
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 19, 2006 10:23 pm
โดย picatos
ผมว่านอกจาก expected value ที่ 10*0.5-5*0.5 = 2.5 ตามทฤษฏีแล้ว
ผมว่าเราน่าจะดูเรื่องความเสี่ยงหน่อยนะครับ
ดูว่า return ที่ได้เมื่อเทียบกับความเสี่ยงมันมากน้อยขนาดไหน แล้วเรารับได้รึเปล่า (ใช่พวก Sharp Ratio, หรือพวก Information Ratio รึเปล่านะ... จำไม่ค่อยได้ซะด้วยสิ)
แต่สำหรับ VI พันธุ์แท้... ผมว่าคำตอบจากโจทย์ข้อนี้ไม่น่าจะสำคัญเท่ากับคำถามที่ว่า Value บริษัทนี้มันเท่ากับเท่าไหร่ นา...
ปริศนาการลงทุน
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 19, 2006 10:59 pm
โดย prin
อิอิ...ปริศนา ของคุณสุมาอี้ ชักจะถูกโยงเข้าเรื่องจริงของการลงทุนแล้วครับ
เมื่อเข้าสู่เรื่องจริง ก็ยิ่งหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะจะเริ่มมีปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกควบคุมเข้ามาอีกตรึม
คุณสุมาอี้ ได้ให้ข้อมูลว่า...
ต้นทุนยานั้นเป็นต้นทุนเม็ดยาประมาณ 1% อีก 99% เป็นทุนวิจัย
บริษัทต้องลงทุนทำ Clinical Trial Phase I, II, III เป็นเงินประมาณ 12000 ล้านบาท เพื่อพิสูจน์ให้ FDA เห็นว่ายาไม่มีอันตราย ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ที่ใช้หมดไปกับค่าตอบแทนมนุษย์ที่มาทดลอง
เฉพาะยาที่ผ่าน Phase III ได้เท่านั้นที่จะเริ่มผลิตเม็ดยา ซึ่งมีแค่ 1% ของยาทั้งหมดที่ทดสอบ
ตอนแรกผมนึกว่า Amgen บริษัทด้าน biotech ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาคงมี products หลายตัว อาจจะสัก 100 ตัวมั้ง แต่ที่จริงแล้ว Amgen ทั้งบริษัทมี products ที่สร้างรายได้ให้บริษัทอยู่แค่ 5 ตัวเท่านั้น (แต่ละตัวยอดขายไตรมาสเดียวก็มากกว่า 12000 ล้านบาทแล้ว)
แต่ ณ ขณะหนึ่งๆ Amgen มียาที่รอผล Clinical Trial อยู่เป็นผูงๆ แต่ในจำนวนนี้จะมีแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นที่รอดจนผ่าน Phase III ได้
ธุรกิจอย่างนี้น่าลงทุนหรือเปล่า?
ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ คือ ต้นทุน ต่อให้มากมหาศาลก็ตาม
ส่วนจะขายเท่าไร ก็ต้องมีกำไรที่คุ้มค่าอยู่ดี
อาวุธที่ร้ายแรง ต้นทุนที่สูง ยังทำขายได้
แล้วทำไมยารักษาโรค ต้นทุน(เท่าไรนะ?) ที่ช่วยมนุษย์โลกจะขายไม่ได้
ผมสรุปส่วนตัวเองว่า ยังคงน่าลงทุน ยิ่งมีคนทำน้อย ยิ่งน่าลงทุน
ผิดถูก ความเห็นผมคนเดียว :)
ปริศนาการลงทุน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 20, 2006 11:38 am
โดย สามัญชน
บริษัทต้องลงทุนทำ Clinical Trial Phase I, II, III เป็นเงินประมาณ 12000 ล้านบาท
แต่ละบริษัทย่อมจะใช้เงินในจุดนี้แตกต่างกันและขึ้นอยู่กับประเภทของยาด้วย
แต่เอาหละสมมติว่า ใช้เงิน 12000 ลบ.จริง
เราก็ต้องมองต่อว่าสัดส่วนแต่ละเฟสก็ไม่ได้เท่ากันอยู่ดี เฟส I จะใช้น้อยกว่าและเฟส IIIจะใช้มากกว่า นี่ยังไม่รวมเฟส IV และ V และขั้นตอนในสัตว์ทดลองนะครับ
ผมจะเรียงลำดับในการผลิตยาแต่ละตัวนะครับ
เริ่มต้นที่ สัตว์เซลเดียว(รวมๆทั้งไวรัสแบคทีเรียและอื่นๆ)---->หลายเซล----> เซลซับซ้อน--->เยอะแยะ--->หนู--->สุนัข--->ลิง--->คน(เฉพาะคนนะครับที่เราเรียกว่า Clinical Trial Phase I, II, III ,IV และ V)
ค่าใช้จ่ายจะเริ่มที่ เล็กน้อย--->มากขึ้น--->มากเรื่อยๆ--->มากมายมหาศาล ถ้าเป็นกราฟก็จะเป็นรูป
พาราโบลา หรือลำดับเรขาคณิต
ปริศนาการลงทุน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 20, 2006 11:41 am
โดย สามัญชน
คำถาม 1.
คุณคิดว่าการใช้เงินจำนวนเยอะมากในเฟส III นี้ ทำไปโดยมีความน่าจะเป็นที่จะสำเร็จเพียง 50% หรือไม่
คำตอบ
ไม่มีทางครับ ถ้าบริษัทไหนฝืนทำก็เจ๊งลูกเดียวครับแต่ที่จริงถึงจะฝืนทำก็ทำไม่ได้เพราะกฏหมายไม่ให้ทำอยู่แล้ว การที่จะทดลองในคนได้นั้นนอกจากจะต้องใช้เงินมหาศาลแล้วยังมีเรื่องจริยธรรมซึ่งจะต้องรับประกันความปลอดภัยด้วย
ความน่าจะเป็นที่จะไม่เกิดอันตรายจะต้องสูงมาก ผมไม่ทราบว่าตัวเลขจริงๆเป็นเท่าไหร่แต่ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 99%(เผลอๆตัวเลขนี้จะน้อยไปด้วยซ้ำ) ตัวเลข 50%ไม่มีทางจริงๆครับ และแม้ในเฟส V เอง ถ้าพบว่ามีผลข้างเคียงร้ายแรงเกิดขึ้น แม้จะพบแค่หนึ่งในแสนของประชากรที่ใช้ยา ยาตัวนี้ก็จะถูกประกาศห้ามใช้ทันที และบริษัทมักจะเป็นฝ่ายเรียกเก็บจากตลาดคืนก่อนด้วยซ้ำไปเพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบและชื่อเสียงชองบริษัท
คำถาม 2.
แล้วในเฟส I และ II โอกาสที่จะสำเร็จมีเพียง 50% ได้หรือไม่
คำตอบ
ไม่มีทางเช่นเดียวกัน(เฟส Iก็ทดลองในคนนะครับ) แม้โอกาสที่จะสำเร็จอาจจะน้อยกว่าเฟส III แต่ก็อยู่ในระดับที่สูงอยู่ดีน่าจะใกล้ๆ 99%
ปริศนาการลงทุน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 20, 2006 11:43 am
โดย สามัญชน
คุณนันถามว่า
กลายเป็นอันนี้ นี่ดีหรือไม่ดีครับ
ผมว่าดีสุดยอดเลยครับ เพราะถ้าเราซื้อที่ 13 บาท ความน่าจะเป็นที่จะขึ้นไปอีก 7 บาท ก็จะเป็น 100% (ตามเงื่อนไขของโจทย์หลังจากข่าวดีออกครับ)
โอกาสที่ราคาจะลงจากเดิมก็เป็น 0.00 % (ตามเงื่อนไขของโจทย์หลังจากข่าวดีออกเช่นเดียวกันครับ)
ซึ่งเท่ากับ
expected value = 7*1.0 - 0*0= +7
ปริศนาการลงทุน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 20, 2006 11:48 am
โดย สามัญชน
อืม....คำถาม 3. (ที่จริงโพสท์ไปก่อนแต่ไม่ติด ขอโพสท์เพิ่มครับ)
แล้วขั้นตอนไหนที่ความน่าจะเป็นไม่สูงนักที่อยู่ในช่วง 50%
คำตอบ
ขั้นตอนแรกๆครับ อาจจะเป็นขั้นทดลองกับหนูหรือต่ำกว่า แต่ขั้นตอนสัตว์เซลเดียวหลายเซลนั้นมีโอกาสสำเร็จน้อยมาก น้อยกว่า 1% ด้วยซ้ำ เผลอๆทำหมื่นครั้งสำเร็จครั้งเดียวก็มี แต่เขาไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถ้าไม่สำเร็จก็เพียงแต่โยนกระบะแบคทีเรียทิ้งเท่านั้นเองแล้วก็ลองตัวใหม่ไปเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายไม่ได้เป็นสัดส่วนที่มากมายอะไรในการลองแต่ละครั้ง ตรงนี้แหละครับที่เราเรียกหนวดกุ้งฝอยตกปลากระพง เขาถึงสามารถลองได้เป็นหมื่นๆแสนๆครั้งไงครับ
ดังนั้นเงินวิจัยในส่วนที่ลงทุนหนักๆจึงไม่ได้ทำโดยที่มี โอกาสสำเร็จเพียง 50% แต่อย่างใด
ปริศนาการลงทุน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 20, 2006 6:20 pm
โดย สุมาอี้
งานวิจัยที่ผ่านหนูทดลองมีแล้วเท่านั้น บริษัทยาจึงจะลงทุนทำ Clinical Trials ครับ แต่ถึงกรองแล้วก็ยังมีโอกาสผ่านแค่ 1% เพราะ FDA โหดมากๆ มีข้อสงสัยว่าจะมีผลข้างเคียงที่อันตรายนิดๆ หน่อยๆ ก็จะตกไปเลย
ส่วนพวกที่ยังอยู่ใน lab หนูนั้น มีโอกาสผ่านอาจจะแค่ 1 ใน 10000 หรือ 1 ใน 100000 เท่านั้นเอง
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็เช่นกัน ปีหนึ่งมีหนังไทยเข้าฉาย 50 เรื่อง ขาดทุน 42 เรื่อง กำไร 8 เรื่องเท่านั้น ในจำนวนนี้มีที่กำไรมากๆ 2 เรื่อง ความน่าจะเป็นจึงแค่ 15% เท่านั้น
สังเกตว่าอเมริกาแข็งเรื่อง ยา และ ภาพยนตร์ เพราะตลาดทุนของอเมริกามีพัฒนาการสูงกว่าชาติอื่นมาก โครงการที่เสี่ยงสูงเหล่านี้จึงหานายทุนได้ ทำให้ประเทศอื่นตามไม่ทัน ทั้งที่บุคลากรก็เก่งเท่าๆ กัน
ปริศนาการลงทุน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 20, 2006 7:11 pm
โดย สามัญชน
เห็นด้วยเลยครับว่าเรื่องอุตสาหกรรมภาพยนต์นั้นเขาเสี่ยงที่จะสร้างแม้โอกาสที่จะทำกำไรสูงๆจะมีน้อย แต่ก็ยังทำ อาจจะเป็นเพราะใจรักด้วยกระมังครับ
บางคนขอให้ได้ทำแม้จะขาดทุนก็ยอม(เอากะเขาดูสิ) เลยเป็นเหตุให้บริษัททำหนังในบ้านเราไม่ค่อยโตได้มากนัก จะหวังโตเคียงบ่าเคีบงไหล่ระดับโลกนั้นยากมาก หรือเขาอาจจะชอบลุ้นก็ได้ แบบว่าถ้าสำเร็จก็รวยไปเลย ถ้าจนก็สู้ใหม่ หรือเขาอาจจะเชื่อมั่นในแนวคิดตนเองมากๆซึ่งทำให้เขาลำเอียงเข้าข้างตัวเองโดยไม่รู้ตัวก็มีเยอะซึ่งเจอได้บ่อยๆสำหรับคนหัวศิลป์
ที่จริงจะโทษเขาก็ไม่ถูกเสียทีเดียวเพราะการทำวิจัยเกี่ยวกับหนังไม่ค่อยได้ผลที่น่าพอใจมากนัก เพราะว่าไม่ใช่ศาสตร์ตรงๆที่จะวัดเป็นตัวเลขเป๊ะๆ แต่เป็นศิลป์เสียเยอะ เป็นความชอบไม่ชอบซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในชั่วค่ำคืนเดียว ปีที่แล้วเคยชอบแนวนี้ คาดว่าปีนี้น่าจะชอบคล้ายๆเดิม อ้าว.....พอสร้างเสร็จหันไปชอบหนังเกาหลีแทนซะเนี่ย.......เอาใจยากจริงๆ
แต่ก็เอาใจช่วยคนทำหนังครับ
ปริศนาการลงทุน
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 04, 2008 1:15 am
โดย crazyrisk
กระทู้ดีๆแบบนี้ ขอเซฟฟฟฟฟ
ปริศนาการลงทุน
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 04, 2008 1:55 am
โดย สวนหย่อม
ขอบคุณที่ขุดมาครับ :8)
ปริศนาการลงทุน
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 11, 2008 10:37 pm
โดย Nstar
ขอบคุนเช่นกันครับ