|0 คอมเมนต์
Nutth147 เขียน:"ลาออกมาเล่นหุ้น" (ซะเมื่อไหร่)
(Theenuch_Team Money Talk 4)
บทความนี้ก็สนุกดีครับ พี่นุชครับถ้าผมมีการ รีเควส์ บทความจะขอมากไปไหมครับ ?
คือ บทความส่วนมากจะเน้นไปที่การเริ้มต้น หรือ inspire ให้คนคิด หรือ ลงมือทำ
ผมอ่านจะอ่านมาจนถึงจุดหนึ่งก็จะรู้สึกว่า เข้าใจและลงมือทำแล้ว ...... คราวนี้แหละตัวยาก คือ ถ้าพี่นุชพอมีเวลา ช่วงรบกวนเล่าเรื่องเกี่ยวกับช่วงเวลาใกล้ถึงจุดหมายของการลงทุน หรือ หลักวิธีการที่ตัวพี่ใช้ในการคำนวนหรือทบทวนจำนวนเงินที่เพียงพอ หรือคำแนะนำหรือข้อผิดพลาดที่พี่ได้เจอก็ได้ครับ (ผมแอบชอบพวกบทความที่พี่ยกตารางหรือกราฟมาเปรียบเทียบ มันทำให้นำไปลองปรับใช้ตามได้ดีครับ)
ว่าแต่ว่า ปีใหม่นี้ แต่ละท่านไปไหนกันครับ ผมกลับบ้านที่ เชียงใหม่ ครับ
สีน้ำเงินนั่นไม่ขอมากไปหรอกค่ะน้องนัท แต่...ตอบยากเหลือเกิน
เพราะ
"ช่วงเวลาใกล้ถึงจุดหมายของการลงทุน" ของแต่ละคนไม่เท่ากันค่ะ
เปรียบให้เข้าใจง่ายๆ เหมือนภาวะโภชนาการ
.
คนที่มีโครงร่างเล็ก จะต้องการแคลอรี (พลังงานจากการรับประทานอาหาร)
น้อยกว่าคนที่มีโครงสร้างร่างกายใหญ่
.
ผู้ชาย ต้องการแคลอรี่ มากกว่าผู้หญิง
.
เด็กต้องการโปรตีนและแคลเซียมและธาตุเหล็ก มากกว่าผู้ใหญ่
.
ถ้าคนโครงร่างเล็กทานอาหารที่มีแคลอรี่เยอะเกินก็จะอ้วน
คนโครงร่างใหญ่ได้อาหารน้อยไปก็จะค่อยๆ ผอมลง
.
ใครก็ตามได้รับสารอาหารใดๆ ไม่พอนานๆ ก็จะเจ็บป่วย
.............
ความต้องการ passive income ไว้ใช้ยามเกษียณก็ทำนองเดียวกันค่ะ
1. คนโสด_พ่อแม่เป็นข้าราชการเบิกค่ารักษาพยาบาลได้...อาศัยอยู่บ้านพ่อแม่...คงต้องการไม่มาก
2. คนโสด_พ่อเสียไปแล้ว เหลือแต่แม่ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังไม่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลใดๆ...คงต้องการมากกว่าคนแรก
3. ครอบครัวมีลูก 1 คน_พ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย สิทธิเบิกค่ารักษาราชการ (เหมือนครอบครัวพี่)
ก็ต้องการให้พอค่าเรียนลูกและค่าใช้จ่ายในแต่ละปี เราก็เลือกสะสมหุ้นปันผลที่ให้ปันผลเป้นเงินสด
เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าว (แม้ตอนนี้ยังมีรายรับเข้า....แฟนพี่ยังทำงาน)...อนาคตไม่แน่นอน
เผื่อเขาต้องจากไปกระทันหัน พี่กับลูกจะต้องอยู่ได้ด้วย
passive income ก้อนนี้ สมมติให้เป็น A
(เฉพาะปันผลเท่านั้น...โดยไม่ต้องขายหุ้นออกมา หรือไม่ต้องขายเพื่อหวัง cap gain มาใช้จ่ายเป้นครั้งๆ)
4. ครอบครัวมีลูก 2 คน_พ่อเกษียณจากเอกชนแม่เป็นแม่บ้านไม่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล
แน่นอนครอบครัวนี้ต้องการ passive income มากกว่าครอบครัวพี่
5. ครอบครัวที่ไม่มีลูกเลยทำงานเงินเดือนมากทั้งคู่_พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายฐานนะดีมากมีมรดกให้ลูกมากมาย
(แบบนี้สบายที่สุดเลย...ยินดีด้วยค่ะ)
......................
ตอนนี้พี่สะสมหุ้นสองแบบ
แบบแรกปันผลเป็นเงินสด (ที่ให้ passive income A ณ ปัจจุบัน)
และอีกแบบปันผลเป็นหุ้นเพราะบริษัทนำเงินสดไปขยายกิจการ
............
ปัจจุบัน จึงไม่ค่อยรับรู้ผลประโยชน์จากหุ้นที่ปันผลเป็นหุ้นนี้
แต่วันใดที่กิจการของบริษัทถึงจุดอิ่มตัว และจ่ายปันผลเป็นเงินสด
เมื่อนั้นพี่ก็จะได้ปันผล = จำนวนหุ้น x เงินปันผล/หุ้น
เพิ่มขึ้นมาจาก passive income A
.
ทำให้คาดการณ์ได้ว่านับจากนี้...ไม่มีทางถอยหลัง
เพราะนับเฉพาะ passive income Aก็อยู่ได้แล้วในปัจจุบัน
วันข้างหน้าหากมีปันผลจากหุ้นที่จ่ายปันผลเป็นหุ้นเพิ่มเข้ามาอีก
ก็เดาอนาคตได้เลยว่าจะดีขึ้นกว่าวันนี้อีก...(อิ อิ หรือเปล่านะ)
.
แต่อย่าลืมว่าพี่เป็นคนประหยัด ดังนั้น เงินจำนวนที่พอสำหรับพี่
เงินจำนวนนี้ อาจไม่พอสำหรับครอบครัวอื่นก็เป็นได้ค่ะ....(อธิบายรู้เรื่องไหมเนี่ย 55+)
.
(ค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุดคือค่าเล่าเรียนลูกค่ะ...ตอนนี้อยู่ ม.2 (ต้องส่งเรียนอีก 8 ปี ) )
แต่...ค่าเทอมมหาวิทยาลัยไทย (ภาคอินเตอร์) ถูกกว่าค่าเทอมปัจจุบันที่เขาเรียนอยู่
(รร.อินเตอร์ระดับมัธยมต้น...ค่าเทอมสูงกว่า SIIT และวิศวะจุฬาอินเตอร์ (สืบไว้ล่วงหน้าแล้ว)
ม.ปลายจะแพงขึ้นอีก ดังนั้น...พอถึงระดับมหาวิทยาลัยค่าเรียนลูกจะถูกลงแน่นอนค่ะ)
................
ด้านบนนั้นเป็นการอธิบายถึงกระแสเงินสด
.
มาดู "สินทรัพย์" และ "หนี้สิน" บ้าง
มีที่ดินที่อ่างทองไม่กี่ไร่ (ปลอดภาระจำนอง)ให้คนเช่าทำนาอยู่
.
รถยนต์สองคัน (ไม่ติดภาระผ่อน) ที่จริงไม่อยากจะนับเพราะมูลค่ามันมีแต่จะลดลง
แต่อายุการใช้งานยังน้อย 3 ปี กับ 2 ปี (นับเสียหน่อยก็ได้เนอะ)
.
บ้าน...เมื่อก่อนพี่นับเป็น "หนี้สิน" เพราะเรากู้แบงค์ (ราคาประเมิน 4.29 ล้าน)
แต่ตอนนี้พี่นับเป็น "สินทรัพย์" แล้ว เพราะเหลือยอดหนี้เพียง 90,000 บาท +
(ไม่สามารถปิดบัญชีได้เพราะ refinance จากแบงค์เดิมไม่ครบ 3 ปี
ถ้าครบจะปิดบัญชีทันที...มีนาคม 58...ตอนนี้ผ่อนเดือนละ 15,200 บาท)
ทำไมจึงนับเป็น "สินทรัพย์" เพราะวงเงินประกันคุ้มครองผู้ส่งเบี้ยคุ้มครองไว้ตั้ง 1.4 ล้าน
แต่เราเหลือยอดหนี้ 9 หมื่นกว่าบาท ถ้าผู้ส่งเบี้ยเสียชีวิต เราก็ไม่ต้องจ่ายแบงค์แล้วค่ะ
และเงินฝากประจำ (เงินเผื่อฉุกเฉิน) ของแบงค๋เดียวกัน...มากกว่ายอดหนี้ที่เหลือประมาณ 5 เท่า
.
ยังมีที่ดินเล็กๆ ที่ขอนแก่น (แค่ 100 ตารางวา) อยู่ในเมือง (ผ่อนหมดนานแล้ว)
.
หุ้นที่จ่ายปันผลเป็นหุ้นตัวนั้น ...ปี 58 จำนวนหุ้นจะครบ 1 ล้านหุ้น
(คำนวณแบบสมมติให้บริษัทจ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตราต่ำๆ 2 รอบ..ภาวนาไม่ให้จ่ายเป็นเงินสด 55+)
.................
จากสถานะทางการเงินตามที่เล่ามา...พี่เลยคิดว่าพี่พออยู่ได้แล้วค่ะ
จากวันนี้ คิดว่าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้หวังสูงอะไรค่ะ
.................
ข้อผิดพลาด
.
ที่จริงระมัดระวังสูงมากเพราะเราหาเงินมายาก
เคย cut loss ครั้งนึง 58,000 บาท (จำแม่นเลย)
อันนี้เป็นอดีตไปแล้ว คงบอกชื่อหุ้นได้ คือ CPF
.
สาเหตุคือ ไม่ได้เลือกเอง แฟนพี่เค้าอยากให้ซื้อ
ตั้งแต่เริ่มลงทุนมาไม่รู้เป็นอะไรเค้าอยากจะได้แต่ CPF
พูดจนพี่หูชา...และเงินที่เราเอามาลงทุนก็เงินเค้าทั้งนั้น..เลยซื้อตามใจให้เสียหน่อย
ตัวพี่เองไม่เคยสนใจ CPF ตั้งแต่เริ่มลงทุนมา
เพราะมองว่ามีปัจจัยที่บริษัทควบคุมไม่ได้เยอะเกิน
ไม่ว่าจะโรคระบาด (ไม่กระทบโดยตรง แต่ทันทีที่ระบาดมีผลทางจิตวิทยาของผู้บริโภค)
ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ก็ไม่นิ่ง และเวลามีภัยธรรมชาติก็กระทบกับพืชอาหารสัตว์
และช่วงนั้นมีหุ้นกู้ครบกำหนด หัวปี ท้ายปี ต่อเนื่องหลายปี ฯลฯ
แต่ ช่วงนั้นราคาหุ้น CPF เคยขึ้นไปสูงสุดเท่าไหร่พี่จำไม่ได้แล้ว
แล้วลงมา 36 แฟนพี่ก็มาบอกให้ซื้อๆ เราจะเป็นครัวของโลก 55+
ซื้อเสร็จค่อยๆ ลงมา 33 (ราคายังลงไม่มาก แต่จำนวนหุ้นเยอะอยู่)
3-4 เดือน ผ่านไป ไม่เห็นที่ท่าว่าจะดีขึ้น (ได้รับปันผล .60 ด้วย 1 ครั้ง)
พอดีหุ้นต้วที่พี่หมายตาไว้ (มีอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว)
ราคาตกลงมามากผิดปกติถึงจุดที่พี่เล็งไว้ พี่เลยขาย CPF ทิ้งหมด
และใช้เงินจำนวนนั้นซื้อหุ้นดังกล่าวเพิ่ม (ปัจจุบันยังคงถืออยู่)
.
หลังจากนั้น แฟนพี่เลยเลิกสนใจหุ้นไปเลย
(ที่จริงอาจจะสนใจ...แต่ไม่ให้รหัสดู port ละ
เพราะเขาไม่นิ่งพอ..ถ้าพูดเยอะเราจะเครียดไปด้วย)
...................
ข้อผิดพลาดไม่เยอะค่ะ
แต่ก็ต้องยอมรับผลตอบแทนที่ไม่หวือหวานัก แต่มันก็สบายใจดีนะ (จริงๆ)
มีหุ้นอยู่ในความดูแลไม่กี่ตัวเอง มี watch list บ้าง
แต่หุ้นที่เราถืออยู่ก็ยังเติบโต...ไม่มีเหตุผลที่จะไปขายทิ้ง
ทุกวันนี้ก็ลงทุนเพิ่มเท่าที่จะมีโอกาสค่ะ
.................
ทีผ่านมามีการปรับ port ใหญ่ๆ บ้าง
เช่น เคยซื้อหุ้น turn around แล้วพอ turn เสร็จกำไรสองร้อยกว่า %
ก็ขายหมด
นำเงินมาสะสมหุ้นเติบโต
.
เคยมีหุ้นปันผลดีตัวนึงราคาขึ้นมา 100% (หลังรับปันผลประมาณ 6-8 % มาหลายรอบ)
แต่ดูเหมือนชะลอตัวจากลงทุนสร้าง line ผลิตเพิ่มเพื่อ รอ order
ปรากฎว่าใช้งานไม่เต็มกำลังการผลิต...เลยชะลอตัว
ก็เลยขายทิ้งหมด....
นำมาสะสมหุ้นเติบโต
.
และตอนเริ่มต้นลงทุนสองตัวแรกคือหุ้นวัฏจักรเลย (ไม่น่าเชื่อ)
แต่จังหวะดีทั้งราคายางพาราช่วงนั้นก็ดี และหุ้นทั้งสอง
มีการแตกพาร์ ตัวนึง จ่ายปันผลเป็นหุ้นสัดส่วนเยอะตัวนึง
พอกำไรถึงจุดนึงก็ขายทิ้งหมดเลยค่ะ....
นำเงินมาสะสมหุ้นเติบโต
และหุ้นปันผลสูงที่ รายรับเพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม และถือมาจนปัจจุบัน
................
ที่จริงพี่ว่าการลงทุนของพี่ "พื้นๆ" สุดๆ
ชีวิตการลงทุนไม่ตื่นเต้นโลดโผนอะไรเลย
แบบ "บ้านๆ" สมชื่อจริงๆ ค่ะ
.
ถ้าให้วิเคราะห์...ลักษณะเด่นของตัวเอง...คงเป็น "บ้าพลัง"
ชอบสร้างตารางคำนวณต่างๆ
ที่ฉายภาพอนาคตทั้งใกล้ ไกลได้
ทำให้มองเห็นภาพชัดเจนข้อผิดพลาดจึงน้อย
.
ตอนเปลี่ยนตัวจาก CPF ก็คำนวณนะ
ว่าขาดทุนเท่านี้ ราคาหุ้นใหม่ที่เราจะไปเข้าเท่านี้
ถ้าขึ้นมาเป็นเท่าไหร่จะได้คืนส่วนที่ขาดทุนไป 58,000 บาท นั้น
และถ้าขึ้นไม่ถึงก็รับปันผลสักรอบสองรอบก็ได้คืนหมด
เมื่อเห็นตัวเลขแบบนั้น ก็ cut CPF ทันใด...แล้วซื้อหุ้นตัวนั้นทันที
.
และตอนหุ้นยางสองตัวแรกนั้น ตารางคำนวณ....เป๊ะมาก!
เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ตัดสินใจแบบเห็นภาพ
(จะว่าไปคือเห็นจำนวนเงิน...นั่นเองค่ะ)
.
ขอดีอีกข้อคือ "นิ่ง" ใจหนักแน่นมากๆ
.
ข้อดีถัดมา..ขยันมาก (อยากชมตัวเองข้อนี้มากค่ะ)
ช่วงที่เกี่ยวข้องกับหุ้นยางอ่านทุกอย่างที่จะช่วยให้เราเข้าใจ
เพิ่งลงทุนด้วย ต้องทำความเข้าใจพร้อมกันหลายเรื่อง
คืนวันศุกร์-เสาร์ ชอบอ่านจนเช้าเลย บ่อยๆ
ทั้งเรื่องของการลงทุนเอง และเรื่องของยางพาราทุกซอกมุม
เช่น ราคายางก็ดูของต่างประเทศด้วย ความต้องการการใช้งาน
โอกาสที่จะมีสินค้าอื่นมาทดแทน เช่น ยางสังเคราะห์
ก็พยายามดูต้นทุนการใช้วัตถุดิบอื่นและสัดส่วนความต้องการ
บริษัทขายของให้ใครดูจากเว็บไซต์เค้าแล้วก็ตามไปดูลูกค้าเค้าด้วย
..............
อ่านสุดชีวิตค่ะ
..............
ตอนหุ้น turn around ก็จะอ่านข่าวต่างประเทศด้วย
สมมติว่าบริษัทให้ข่าวว่าประเทศจีน และอินเดียอาจจะตกลงเป็นลูกค้า
ก็จะตามไปอ่านว่าปัจจุบันจีนและอินเดียใช้บริการดังกล่าวจากใครอยู่บ้าง
และเพื่อเช็คข่าวด้วยว่าจริงหรือไม่? ก็อ่านเยอะค่ะ
..............
นานๆ ครั้งก็ลงทุนในหุ้นวัฏจักรบ้าง (กันเงินสดไว้บางส่วนเพื่อการนี้)
เวลาเข้าไปลงทุนจะอ่านเยอะมากเช่นเคยซื้อ
PTTEP 143 รับปันผล 3 บาทด้วย แล้วไปขาย 165
คือมันต้องขายทิ้งหมดเพราะคือหุ้นวัฏจักร
ขณะถืออยู่ก็ไปอ่านเรื่อง shale gas ด้วยนะคะ
และเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบตอนนี้กับราคาน้ำมัน
เพราะต้นทุนการผลิตต่ำ ก็อ่านพวกเทคโนโลยีที่ใช้ในการนำ shale gas มาใช้
...............
สรุปคือ...ไปเกี่ยวข้องกับอะไรก็จะตามไปอ่านละเอียด...รู้สึกสนุกและได้ความรู้ไปด้วย
................
ข้อเสีย (หรือเปล่านะ)...ไม่เคยสนใจหุ้นปั่น และหุ้นวิ่งหวือหวา
แม้จะลองคำนวณเล่นแล้วพบว่าหากซื้อเท่านี้ ขายเท่านี้ ก็น่าจะทำกำไรได้
แต่กลัวออกไม่ทัน และรู้สึกไม่ดีที่จะไปยุ่งเกี่ยวค่ะ
เลยไม่ได้ผลตอบแทนดีๆ ที่เขาได้กันช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้
................
เลือกความสุขใจ และสบายใจมากกว่าค่ะ
พอละ....ยาวมากๆ.....เล่าละเอียดๆ ให้เห็นวิธีคิด
อย่างที่น้องนัทถามว่า จะประเมินจุดที่เราจะพอใช้ได้อย่างไร
ก็ต้องประเมินรอบด้านตามที่เล่ามาค่ะ...ใครอ่านจบช่วยรายงานตัวด้วยนะคะ...ขอชื่นชม 55+