VI หาดใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 841
มาแล้วจร้า..
ผมจดมาแต่ไม่ได้หาข้อมูล ไปดูจากกุ๊กกู๋เจอในข่าวหุ้น
อยู่ตำ= utran(s?) ทะลึ่งจดเป็น utam ,ธิดา = teda
พาอาจารย์กะสมาชิกออกทะเลเข้าป่าไปเลย ฮ่า..
เรื่องเอ็นผักกะไอ้อีซี้(เบ้งเท่งทึง)ของอ.lekyนี่มันส์จิงๆฮะ
ช่วงนี้โบรคกะนักวิแคะชักจะเพี้ยนๆกันใหญ่ หุ้นพิกลพิการก็ขุดขึ้นมาขาย
แบบที่โบราณเค้าว่าช่วงใหนมีสัตว์ประหลาดเกิดขึ้นจะมีอาเพศมั้งฮะ
โบรคยุ่นก็ลงกราฟpeตลาด กะepsให้ดูทุกวัน
ว่าepsโค้งลง แต่peส่ายขึ้นไปเรื่อยๆ
แบบขาแช่งรอลุ้นว่ามันจะตีลังกาหลังสามตลบลงมาก้นจ้ำเบ้าหรือยืนขาชิดชูสองมือได้ป่าว
วีไอ แปลงร่างสลับไปมาระหว่างวีอ๋อยกะวีเอ๋ง ส่งคำตอบ..
ผมจดมาแต่ไม่ได้หาข้อมูล ไปดูจากกุ๊กกู๋เจอในข่าวหุ้น
อยู่ตำ= utran(s?) ทะลึ่งจดเป็น utam ,ธิดา = teda
พาอาจารย์กะสมาชิกออกทะเลเข้าป่าไปเลย ฮ่า..
เรื่องเอ็นผักกะไอ้อีซี้(เบ้งเท่งทึง)ของอ.lekyนี่มันส์จิงๆฮะ
ช่วงนี้โบรคกะนักวิแคะชักจะเพี้ยนๆกันใหญ่ หุ้นพิกลพิการก็ขุดขึ้นมาขาย
แบบที่โบราณเค้าว่าช่วงใหนมีสัตว์ประหลาดเกิดขึ้นจะมีอาเพศมั้งฮะ
โบรคยุ่นก็ลงกราฟpeตลาด กะepsให้ดูทุกวัน
ว่าepsโค้งลง แต่peส่ายขึ้นไปเรื่อยๆ
แบบขาแช่งรอลุ้นว่ามันจะตีลังกาหลังสามตลบลงมาก้นจ้ำเบ้าหรือยืนขาชิดชูสองมือได้ป่าว
วีไอ แปลงร่างสลับไปมาระหว่างวีอ๋อยกะวีเอ๋ง ส่งคำตอบ..
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 843
เรื่องตึกสูงเนี่ย
สามปีก่อนมั้ง ผมฟังอ.เค้าบรรยายหลักสูตรอสังหาฯRE-CU(สำส่อนแทรกซึมกะเค้าไปทั่ว อิอิ)
อ.เค้าให้ข้อสังเกตุว่า เมื่อไรมีตึกสูงทำลายสถิติในประเทศใด แสดงว่า"สูงสุดยอด"แล้ว
จะตามมาด้วยเศรษฐกิจตกต่ำหลังจากนั้นไปอีกพักนึงฮะ
อ.เอารูปใบหยกสอง ตามด้วยต้มยำกุ้ง เบิร์จดูใบ(ตอนนั้นยังไม่เสร็จ)
และก็ตึกไรไม่รู้ที่จีนจำสถานที่ไม่ได้ (ไม่แน่ใจว่าเซี่ยงไฮ้ป่าว)กำลังสร้างอยู่ตามหลังดูใบ
เพราะตึกสูงทำลายสถิติถือเป็นความฟุ่มเฟือยเกินeconomy of scaleที่ไม่คุ้มค่าการลงทุนฮะ
เมกกะโปรเจคโบราณเช่น ปีรามิด ก็มโนกันว่า เพราะเหลือสมบัติเยอะ กลัวโดนปล้น
เลยเอามาทำหลุมศพให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไรราวๆนี้
ว่าแต่ว่างานหนังสือเที่ยวนี้ ท่านaricaเล็งๆหนังสือไรไว้ มาแนะนำกันนิสนึงนะฮะ
ถ้าผมได้ไป ผมเล็งหนังสือนวลนางของprof. John(จำได้แต่ชื่อพ่อ ฮา..)ฮะ
ถ้าหาอะไรน่าสนใจไม่ได้ ว่าจะทำการบ้านส่งอ.ลูกอิสานดีก่า..(margin of safety,seth klarman)
มีคนมาย่อความลงไว้ในเน็ต ผมแปลมาน่าจะมั่วสองต่อไปเลยมั้งฮะ
เพราะหนังสือตัวจริงไม่พิมพ์อีกแล้ว ประมูลขายกัน700ดอลล์แน่ะ จัดเป็นหนังสือลงทุนแพงที่สุดมั้งฮะ..
สามปีก่อนมั้ง ผมฟังอ.เค้าบรรยายหลักสูตรอสังหาฯRE-CU(สำส่อนแทรกซึมกะเค้าไปทั่ว อิอิ)
อ.เค้าให้ข้อสังเกตุว่า เมื่อไรมีตึกสูงทำลายสถิติในประเทศใด แสดงว่า"สูงสุดยอด"แล้ว
จะตามมาด้วยเศรษฐกิจตกต่ำหลังจากนั้นไปอีกพักนึงฮะ
อ.เอารูปใบหยกสอง ตามด้วยต้มยำกุ้ง เบิร์จดูใบ(ตอนนั้นยังไม่เสร็จ)
และก็ตึกไรไม่รู้ที่จีนจำสถานที่ไม่ได้ (ไม่แน่ใจว่าเซี่ยงไฮ้ป่าว)กำลังสร้างอยู่ตามหลังดูใบ
เพราะตึกสูงทำลายสถิติถือเป็นความฟุ่มเฟือยเกินeconomy of scaleที่ไม่คุ้มค่าการลงทุนฮะ
เมกกะโปรเจคโบราณเช่น ปีรามิด ก็มโนกันว่า เพราะเหลือสมบัติเยอะ กลัวโดนปล้น
เลยเอามาทำหลุมศพให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไรราวๆนี้
ว่าแต่ว่างานหนังสือเที่ยวนี้ ท่านaricaเล็งๆหนังสือไรไว้ มาแนะนำกันนิสนึงนะฮะ
ถ้าผมได้ไป ผมเล็งหนังสือนวลนางของprof. John(จำได้แต่ชื่อพ่อ ฮา..)ฮะ
ถ้าหาอะไรน่าสนใจไม่ได้ ว่าจะทำการบ้านส่งอ.ลูกอิสานดีก่า..(margin of safety,seth klarman)
มีคนมาย่อความลงไว้ในเน็ต ผมแปลมาน่าจะมั่วสองต่อไปเลยมั้งฮะ
เพราะหนังสือตัวจริงไม่พิมพ์อีกแล้ว ประมูลขายกัน700ดอลล์แน่ะ จัดเป็นหนังสือลงทุนแพงที่สุดมั้งฮะ..
samatah
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 845
แล้วจุดพีคมันอยู่ตอนโม้ว่าจะสร้าง ตอนกำลังสร้าง หรือตอนสร้างใกล้เสร็จครับ?dr1 เขียน:เรื่องตึกสูงเนี่ย
สามปีก่อนมั้ง ผมฟังอ.เค้าบรรยายหลักสูตรอสังหาฯRE-CU(สำส่อนแทรกซึมกะเค้าไปทั่ว อิอิ)
อ.เค้าให้ข้อสังเกตุว่า เมื่อไรมีตึกสูงทำลายสถิติในประเทศใด แสดงว่า"สูงสุดยอด"แล้ว
จะตามมาด้วยเศรษฐกิจตกต่ำหลังจากนั้นไปอีกพักนึงฮะ
อ.เอารูปใบหยกสอง ตามด้วยต้มยำกุ้ง เบิร์จดูใบ(ตอนนั้นยังไม่เสร็จ)
และก็ตึกไรไม่รู้ที่จีนจำสถานที่ไม่ได้ (ไม่แน่ใจว่าเซี่ยงไฮ้ป่าว)กำลังสร้างอยู่ตามหลังดูใบ
เพราะตึกสูงทำลายสถิติถือเป็นความฟุ่มเฟือยเกินeconomy of scaleที่ไม่คุ้มค่าการลงทุนฮะ
เมกกะโปรเจคโบราณเช่น ปีรามิด ก็มโนกันว่า เพราะเหลือสมบัติเยอะ กลัวโดนปล้น
เลยเอามาทำหลุมศพให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไรราวๆนี้
ถ้าเป็นอย่างแรกจะได้รีบเก็บข้าวของ แต่ถ้าเป็นอย่างหลังสุดจะได้นั่งเล่นนอนเล่นชิวๆ ไปอีกสัก 3-4 ปีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 846
น่าจะตอนกำลังสร้างมั้ยฮะ ท่านดำ
เพราะเห็นด้วยตากันทุกคน คนสร้างก็ต้องโม้เต็มที่ คนขายนายหน้าก็ร่วมด้วยช่วยกัน
สื่อมวลชนหนังสืือพิมพ์ก็มีซัพพลีเมนท์เป็นปึกๆ คนซื้อก็มโนกันไป ต่างต่างนานา
เคยอ่านว่าตึกคู่เวิร์ลเทรดที่ราบไปแล้วนั่น หลังสร้างก็ว่างๆอยู่หลายปีนะฮะ
ตอนก่อนต้มยำกุ้งจำได้ว่ามีใต้หวันออกข่าวว่าจะทำตึกสูงสุดที่พระรามเก้า แล้วเงียบไป
ไปโผล่เป็นไทเป101นั่นมั้ยก็ไม่รุ แล้วก็ต่อมาเป็นใบหยกสอง(ใช้งานเต็มพื้นท่ีป่าวเอ่ย?)
ตามด้วยปิโตรนาสตึกแฝด แล้วก็ดูใบ ที่พอเสร็จก็เปลี่ยนเจ้าของพอดี(ทุ่มหมดตัวจริงๆ)
แต่ผมว่าอาคารสูง ทั้งตึกหรือหอคอย ถ้าจะทำให้เป็นแลนด์มาร์ค หรือที่ท่องเที่ยวละก็
1.ดีไซน์ ต้องดูสวยจากทุกมุมฮะ ความสูงทำลายสถิติไม่สำคัญหรอก ต้องดูแล้วแตกต่าง รู้เลยว่าประเทศไหน
ผมยกให้ไอเฟล ปิรามิดอียิปต์ เจดีย์ที่ศรีลังกา
เมืองไทยผมให้วัดอรุณ รองลงมาก็พระปฐมเจดีย์ กะภูเขาทอง
2.พื้นที่รอบๆ ตองมีบริเวณให้คนไปนั่งเล่น นอนเล่น นั่งเรือ นั่งรถ ดูตัวตึกไป ถ่ายรูปไป ผมยกให้ไอเฟลอีก
โตเกียวสกายทรี กะหอโตเกียวเค้าไม่มีที่รอบๆฮะ สู้หอคอยบรรหารที่สุพรรณยังไม่ได้เลย
3.บนตัวตึก ผมว่างั้นๆนะฮะ ยิ่งต้องเข้าคิวขึ้นลิฟท์ เดินดูวิวรอบๆแป๊บเดียวก็เบื่อแระ
ตกลงตอนนี้ตึกแหว่งที่สาธรนั่น เค้าทำลายสถิติ หรือสติถิป่าวฮะนั่น..
เพราะเห็นด้วยตากันทุกคน คนสร้างก็ต้องโม้เต็มที่ คนขายนายหน้าก็ร่วมด้วยช่วยกัน
สื่อมวลชนหนังสืือพิมพ์ก็มีซัพพลีเมนท์เป็นปึกๆ คนซื้อก็มโนกันไป ต่างต่างนานา
เคยอ่านว่าตึกคู่เวิร์ลเทรดที่ราบไปแล้วนั่น หลังสร้างก็ว่างๆอยู่หลายปีนะฮะ
ตอนก่อนต้มยำกุ้งจำได้ว่ามีใต้หวันออกข่าวว่าจะทำตึกสูงสุดที่พระรามเก้า แล้วเงียบไป
ไปโผล่เป็นไทเป101นั่นมั้ยก็ไม่รุ แล้วก็ต่อมาเป็นใบหยกสอง(ใช้งานเต็มพื้นท่ีป่าวเอ่ย?)
ตามด้วยปิโตรนาสตึกแฝด แล้วก็ดูใบ ที่พอเสร็จก็เปลี่ยนเจ้าของพอดี(ทุ่มหมดตัวจริงๆ)
แต่ผมว่าอาคารสูง ทั้งตึกหรือหอคอย ถ้าจะทำให้เป็นแลนด์มาร์ค หรือที่ท่องเที่ยวละก็
1.ดีไซน์ ต้องดูสวยจากทุกมุมฮะ ความสูงทำลายสถิติไม่สำคัญหรอก ต้องดูแล้วแตกต่าง รู้เลยว่าประเทศไหน
ผมยกให้ไอเฟล ปิรามิดอียิปต์ เจดีย์ที่ศรีลังกา
เมืองไทยผมให้วัดอรุณ รองลงมาก็พระปฐมเจดีย์ กะภูเขาทอง
2.พื้นที่รอบๆ ตองมีบริเวณให้คนไปนั่งเล่น นอนเล่น นั่งเรือ นั่งรถ ดูตัวตึกไป ถ่ายรูปไป ผมยกให้ไอเฟลอีก
โตเกียวสกายทรี กะหอโตเกียวเค้าไม่มีที่รอบๆฮะ สู้หอคอยบรรหารที่สุพรรณยังไม่ได้เลย
3.บนตัวตึก ผมว่างั้นๆนะฮะ ยิ่งต้องเข้าคิวขึ้นลิฟท์ เดินดูวิวรอบๆแป๊บเดียวก็เบื่อแระ
ตกลงตอนนี้ตึกแหว่งที่สาธรนั่น เค้าทำลายสถิติ หรือสติถิป่าวฮะนั่น..
samatah
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 847
จารย์หมอหนึ่ง
กำลังแปล เวอร์จิ้นออฟเซฟตี้ หรือครับ เอ๊ย มาร์จิ้นออฟเซฟตี้
เป็นหนังสือที่ดีมากครับ
กำลังแปล เวอร์จิ้นออฟเซฟตี้ หรือครับ เอ๊ย มาร์จิ้นออฟเซฟตี้
เป็นหนังสือที่ดีมากครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 848
อ่านบทความล่าสุดของอ.นิเวศน์แล้ว มีความเห็นว่าไงกันบ้างครับ หรือมันจะสิ้นยุคทองแล้วจริง ๆ แต่ยังไง สำหรับผม ยิ่งอ.นิเวศน์บอกว่ามันกำลังจะสิ้นยุคทอง กลับยิ่งทำให้ผมอยากจะพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นครับ
Monday, 20 October 2014
สิ้นสุดยุคทองของ VI
« บัฟเฟตต์กับหุ้นเทสโก้ | Main
ผมเป็นคนที่เชื่อในเรื่องของ “สัจธรรม” ข้อหนึ่งที่ว่า อะไรก็ตาม เมื่อมันดี โต ก้าวหน้า ไปมากและยาวนานเกินกว่าที่เคยเป็นมาในอดีตหรือเกินกว่าสิ่งอื่นหรือคนอื่นที่เป็นคู่แข่งกัน ในที่สุดมันก็ต้องชะลอและกลับตัวลงมาเพื่อที่จะทำให้มันไม่ดีเกินไป โตเกินไป หรือก้าวหน้ามากเกินไป มิฉะนั้น ในระยะยาวแล้ว มันก็จะโตเกินกว่าที่เป็นไปได้ตาม “ธรรมชาติ” ผมมีความเชื่อว่าธรรมชาตินั้น ในระยะยาวแล้วไม่มีความ “ลำเอียง” มันจะพยายามปรับให้เกิดความ “สมดุล” ที่ไม่มีอะไรที่ใหญ่หรือ “ดีเด่น” เกินไปจนทำให้สิ่งอื่นนั้นเล็กเกินไปและ “ด้อย” กว่าจนอยู่ไม่ได้ ภาษาทางปรัชญาอาจจะเรียกปรากฏการณ์แบบนี้ว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ” ภาษาทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “Regression to the Mean” หรือแนวโน้มทางสถิติของสิ่งต่าง ๆ ในทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตที่จะวิ่งเข้าหาอัตราการเติบโตหรือตัวเลขของ “ค่าเฉลี่ย” โดยที่ไม่ต้องไปคิดหาเหตุผลว่าอะไรทำให้มันเป็นเช่นนั้น เหตุผลนั้น แน่นอนต้องมี เพียงแต่ว่าเราอาจจะยังไม่รู้หรือมันอาจจะยังไม่เกิด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์นั้นมีอาชีพต้องหาเหตุผล เพื่อที่จะบอกว่าอะไรที่จะทำให้การเติบโตนั้นจะต้องช้าลงกว่าเดิมไปอีกหลายปีเพื่อที่มันจะวิ่งเข้าสู่ค่าเฉลี่ย
ผมกำลังจะบอกว่าความสำเร็จ หรือความก้าวหน้าของการลงทุน หรือผลตอบแทนที่นักลงทุนโดยรวมและเฉพาะอย่างยิ่ง VI ของไทยเคยทำได้มายาวนานกว่า 10 ปีที่ผ่านมานี้ มันอาจจะถึงเวลาที่จะต้องชะลอตัวลง การลงทุนที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนต่อปีที่เกิน 20%-30% แบบทบต้นในระยะยาวเป็น 10 ปีขึ้นไปนั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ที่สามารถทำผลตอบแทนสูงในระดับนี้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาของตลาดหุ้นไทยนั้น ผมเชื่อว่ามีไม่น้อย และมันทำให้เกิด “ภาพลวง” ว่า การทำผลตอบแทนเกินกว่า 20%-30% ต่อปี ในระยะยาวนั้นเป็นไปได้ไม่ยาก แต่ในความคิดของผมแล้ว นี่อาจจะเป็นเวลาที่แนวโน้มการทำกำไรงดงามอย่างง่าย ๆ ของนักลงทุนในตลาดหุ้นกำลังเปลี่ยนไป นี่อาจจะเป็นเวลาที่ “ยุคทองของ VI” ที่ดำเนินมามากกว่า 10 ปี กำลังหมดลง ภายในเวลา 10 ปีข้างหน้านั้น การทำผลตอบแทนได้ปีละ 15%-20% แบบทบต้นอาจจะเป็นสิ่งที่ “ดีสุดยอด” แล้ว เพราะนั่นสำหรับหลาย ๆ คนจะเป็นสถิติระดับโลกที่สามารถทำผลตอบแทนในระดับ 20% ขึ้นไปเป็นเวลาอาจจะ 20 ปีติดต่อกัน น้อยคนมากที่จะทำได้!
เหตุผลที่ผมคิดว่ายุคทองของตลาดหุ้นไทยนั้นใกล้จบลงมีหลาย ๆ เรื่อง และมันคือเหตุผลที่ทำให้เกิดยุคทองหรือทศวรรษทองของตลาดหุ้นไทยในทางตรงกันข้าม พูดง่าย ๆ สิ่งที่ขับดันราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นมาตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้น กำลังหมดพลังลงหรือเปลี่ยนทิศ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นต้องบอกว่าอยู่ในระดับปานกลางคือช่วงหลังจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 มานั้นเราโตปีละประมาณ 5% จากประมาณ 7% ก่อนหน้านั้น จนถึงประมาณปี 2550 หลังจากนั้นเศรษฐกิจไทยก็เริ่มชะลอตัวลงมาค่อนข้างมากเหลือแค่ 3%-4% ผมเองไม่รู้ว่านี่เป็นการชะลอตัวลงอย่างถาวรแล้วหรือไม่ เหตุผลก็เพราะว่าคนไทยนั้นเริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว เด็กเกิดใหม่มีน้อยลงมาก กำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็น้อยลงและในอนาคตก็อาจจะเริ่มลดลง และหากเป็นอย่างนั้น ไทยก็อาจจะเหมือนประเทศของคนสูงอายุในยุโรปหรือในญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจเติบโตยาก ตลาดหุ้นก็จะไปไม่ได้
สิ่งสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเติบโตสูงมากในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นผมคิดว่าคือเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มลดลงมาอย่างรวดเร็วหลังวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2542 ที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารขนาดใหญ่ลดลงจากประมาณ 5% เหลือ ไม่ถึง 4% พอถึงปี 2543 ดอกเบี้ยลดลงอีกเหลือประมาณ 2.5% และลดลงต่อเนื่องจนเหลือเพียงประมาณ 1% ในปี 2546 หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยก็ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอดจนถึงวันนี้ และนี่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนถอนเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นต่อเนื่องยาวนานและทำให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นมาตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยนับจากวันนี้ดูเหมือนว่ามันคงไม่สามารถลงต่อไปได้อีกและมีแต่จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากนโยบายของสหรัฐที่จะลดสภาพคล่องทางการเงินโดยการยกเลิก QE และหากอัตราดอกเบี้ยของไทยเริ่มปรับตัวขึ้น โอกาสก็เป็นไปได้ที่คนจะถอนเงินออกจากตลาดและทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลงหรือขึ้นต่อไปได้ยากขึ้น
ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2543 เริ่มปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นสอดคล้องกับเวลาที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลงอย่างชัดเจน จนถึงวันนี้เป็นเวลา 14 ปี ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนปีละประมาณ 16%-17% แบบทบต้น เงินลงทุน 1 ล้านบาท กลายเป็นประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่สูงมากในระยะเวลาที่ยาวมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ประเด็นก็คือ อนาคตอีก 10 ปีข้างหน้านั้น ผมคิดว่าตลาดจะปรับตัวดีแบบเดิมคงเป็นไปได้ยากมาก เพราะมันจะทำให้ตลาดหุ้นไทยใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับศักยภาพของประเทศ
การปรับตัวของหุ้นไทยยังน่าจะมาจากการที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้นหลังจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 และการปรับโครงสร้างทางการเงินในช่วง 2-3 ปีต่อมา ในช่วงเวลาประมาณ 12 ปีที่ผ่านมาจนถึงล่าสุด กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นประมาณ 117% หรือโตปีละประมาณ 6.7% แบบทบต้น แต่ดัชนีตลาดหรือราคาหุ้นนั้นปรับตัวขึ้นถึงประมาณ 260% หรือเพิ่มขึ้นปีละกว่า 13% คิดเป็น 2 เท่าของกำไร ดังนั้น ราคาหุ้นของไทยในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมานั้นไม่ได้ขึ้นเพียงเพราะกำไรบริษัทเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้นด้วย “พลังเงิน” ของนักลงทุนที่ทำให้หุ้นแพงขึ้น ซึ่งตัวเลขค่า PE ของตลาดมีการปรับตัวขึ้นจากค่า PE ในช่วงหลังวิกฤติใหม่ ๆ ไม่เกิน 10 เท่าก็กลายเป็นประมาณ 18 เท่าในปัจจุบัน
ประเด็นก็คือ การเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนนั้น เร่งตัวขึ้นในช่วงหลังจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ แต่ในช่วงปีหรือสองปีนี้ กำไรกลับไม่ได้โตขึ้นเท่าไรนัก อาจจะมาจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเนื่องจากวิกฤติการเมืองหรือภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่เอื้ออำนวยหรืออาจจะมาจากผลของการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ อาจจะดีขึ้นตามที่นักวิเคราะห์คาด แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็ดูเหมือนว่าจะไม่โดดเด่นนัก นอกจากนั้น ค่า PE ก็คงมีโอกาสสูงขึ้นยากและอาจจะมีแนวโน้มที่ลดลงได้หากเกิดเหตุการณ์ไม่ดีอะไรบางอย่าง ดังนั้น ความหวังที่จะเห็นหุ้นปรับตัวดีขึ้นไปอีกจากปัจจุบันก็อาจจะไม่เป็นจริงได้
ทั้งหมดที่ผมพูดมานั้น ดูเหมือนจะเกี่ยวกับตลาดหุ้นและบริษัทจดทะเบียนโดยรวมมากกว่า บางคนอาจจะเถียงว่าหุ้น VI อาจจะไม่ได้เข้าข่ายดังกล่าว ดังนั้น มันอาจจะไม่ใช่การหมด “ยุคทองของ VI” ในประเด็นนี้ผมเองกลับเห็นว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นในระยะกว่า 10 ปี ที่ผ่านมานั้น หุ้นที่เรียกว่า “VI” นั้น มีการปรับตัวขึ้นมามากกว่าหุ้นกลุ่มอื่น และการปรับตัวขึ้นของมันเองนั้นก็มาจากเรื่องของกำไรที่เพิ่มมากขึ้นของบริษัทและการปรับตัวขึ้นของค่า PE เช่นเดียวกับหุ้นทั่วไป สิ่งที่แตกต่างนั้น ผมกลับคิดว่าหุ้นที่เรียกว่า VI นั้น มีการปรับตัวขึ้นของ PE มากกว่าการเพิ่มขึ้นของกำไร หรือพูดง่าย ๆ โดยเปรียบเทียบแล้ว หุ้น VI นั้น มีราคาแพงขึ้นมากกว่าหุ้นธรรมดา ดังนั้น โอกาสที่หุ้น VI จะทำผลตอบแทนดีกว่าหุ้นทั่วไปในอีก 10 ปีข้างหน้าก็อาจจะยากขึ้นกว่าในอดีตมาก และนี่ทำให้ผมมีความรู้สึกว่า มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ใกล้หมดยุคทองของ VI อย่างไรก็ตาม การลงทุนแบบ VI เองนั้น ก็ยังเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด เพียงแต่อย่าหวังว่ามันจะทำกำไรได้มหาศาลเหมือนเดิม ตัวเลขที่หวังนั้น ผมคิดว่าควรกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 10%-15% ต่อปีในระยะยาวซัก 5-10 ปีข้างหน้า
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 849
มันคงเป็นความรู้สึกเหมือนตอนผมเล่นเอ็นผักมั๊งครับ แบบว่า "ช่องเดียวออก" ยังไงขอให้รับที่ราคาต่ำ ๆ ไว้ก่อน ถ้าโชคดีก็ได้มากกว่าช่องเดียวMarcus เขียน:อันนี้ขอบ่นนิดหน่อยนะครับ ช่วงนี้คนรอบข้างผมหลายคนพูดถึง ไอ้อีซี้กันหนาหูมาก ไม่รุ้เห็นอะไรดีกับหุ้นตัวนี้ ผมนี่รำคานจนหูแทบจะอักเสบเลยคับ
ด้วยความที่เป็นหุ้นราคาแค่ 5-6 สต. ความรู้สึกของคนทั่วไปก็อาจจะรู้สึกว่ามัน "ไม่แพง" ซึ่งจริง ๆ ถ้าประเมินจากมูลค่าของกิจกาจมันคงไม่ใช่แบบนั้น ยิ่งถ้าคิดไปถึงว่าถ้ามันขึ้นไป "แค่" 5 ช่อง ก็เหนาะ ๆ 1 เด้ง มันก็เลยรู้สึกว่า "ตรูรวยแน่ ๆ แล้ว" ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง จากประสบการณ์ที่เคยติดอยู่กับหุ้นแบบนี้ราวหนึ่งปี ผมว่ามันยากมากครับ ยกเว้นว่าจะโชคดีมากที่ซื้อไปแล้วมันเป็นจังหวะที่ข่าวดีและอะไรหลาย ๆ อย่างประดังเข้ามาพร้อมกันพอดีจนหุ้นวิ่งขึ้น ตอนผมเคยติดเอ็นผักนั้น ที่แสบสุดคือ วันสิ้นปี ดันมีคนทำราคาปิดที่ 1 สต. ปีนั้นผมตอบแทนของพอร์ตผมเลยแพ้ตลาดยับเยิน
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 850
ถ้าอ.leky ว่างั้น ผมก็ขอว่าด้วยอีกคนครับleky เขียน:อ่านบทความล่าสุดของอ.นิเวศน์แล้ว มีความเห็นว่าไงกันบ้างครับ หรือมันจะสิ้นยุคทองแล้วจริง ๆ แต่ยังไง สำหรับผม ยิ่งอ.นิเวศน์บอกว่ามันกำลังจะสิ้นยุคทอง กลับยิ่งทำให้ผมอยากจะพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นครับ
ที่จริงนักลงทุนวีไอก็ควรจะรู้ด้วยตนเอง (โดยที่ไม่ต้องรอให้อ.นิเวศน์มาบอก) อยู่แล้วว่า "ตลาดโดยรวม" ตอนนี้มันไม่ถูก
ส่วนตัวคิดว่าดร.ออกมาบอกแบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ (รวมทั้ง case ของบัฟเฟตต์กับ Tesco ด้วย) เผื่อว่าในอนาคตผมอาจจะได้สอย Super stock เข้าพอร์ตกะเค้าบ้าง บอกตรงๆ ครับ ทุกวันนี้แม้ผมจะยอมจ่ายพรีเมียมส่วนนึงเพื่อแลกกับคุณภาพระยะยาวของกิจการ แต่้ถ้าเล่นบวกพรีเมียมขนาดต้องจ่ายที่ระดับ P/E 30-40 เท่าอย่างทุกวันนี้ ต่อให้คุณภาพดีแค่ไหนผมก็ทำใจจ่ายไม่ลงครับ
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 852
พูดถึงบทความของ ดร. ล่าสุด
ผมนึกถึงหนังสือเรื่องoutlier เขาก็บอกถึงเรื่อง คนสำเร็จบนโลก มีความเกี่ยวข้องของช่วงเวลาด้วย
เซียนหุ้นรายใหญ่หลายคนของไทย ก็เกิดมาช่วงหลังต้มยำกุ้ง
ในหนังสือก็ยังบอกถึงกฎ10,000ชั่วโมง ฝึกฝนฝีมือ เพื่อรอโอกาสเข้ามา
บ่อน เอ้ย ตลาดหุ้นเปิดตลอด ผมก็ยังเชื่อว่า โอกาสยังคงมีเสมอ
เป้าหมายมันอยู่กับที่ ถ้าไม่หยุดเดิน สักวันก็ต้องไปถึง
ผมนึกถึงหนังสือเรื่องoutlier เขาก็บอกถึงเรื่อง คนสำเร็จบนโลก มีความเกี่ยวข้องของช่วงเวลาด้วย
เซียนหุ้นรายใหญ่หลายคนของไทย ก็เกิดมาช่วงหลังต้มยำกุ้ง
ในหนังสือก็ยังบอกถึงกฎ10,000ชั่วโมง ฝึกฝนฝีมือ เพื่อรอโอกาสเข้ามา
บ่อน เอ้ย ตลาดหุ้นเปิดตลอด ผมก็ยังเชื่อว่า โอกาสยังคงมีเสมอ
เป้าหมายมันอยู่กับที่ ถ้าไม่หยุดเดิน สักวันก็ต้องไปถึง
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 856
พูดถึงบทความของดร.นิเวศน์ ในความเห็นของผมนั้น ส่วนหนึ่งมันก็ถูกอย่างที่อ.เค้าบอก หมายถึงในแง่ภาพใหญ่ของตลาดในอนาคต แต่สิ่งที่ผมคิดว่าผมกับอ.ไม่เหมือนกันก็คือ พอร์ตของอ.เค้าใหญ่มาก นั่นแปลว่าการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนทำได้ค่อนข้างจะลำบาก สำหรับเงินเป็นพัน ๆ ล้านนั้น แค่หาหุ้นที่จะลงทุนในเงินระดับนั้น ผมว่าทำได้ยากครับ ต่อให้เจอหุ้นที่น่าสนใจ ถ้าหุ้นตัวนั้นมี market cap ไม่มาก ก็ไม่สามารถซื้อหุ้นในปริมาณมาก ๆ ได้ ซึ่งก็อาจจะหลายเป็นว่าต้องซื้อหุ้นกระจายมาก 20-30 ตัวเป็นอย่างน้อย ผมถึงไม่แปลกใจว่าทำไมสุดท้ายอ.ถึงไปลงทุนที่เวียดนาม เพราะไม่อย่างน้้นแล้วก็คงหนีไม่พ้นหุ้นสถาบัน ซึ่งอย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่ว่าราคาหุ้นมันจะไม่เคลื่อนไหวผันผวนรุนแรง
จะว่าไปถ้าอ่านบทความของอ.มาเรื่อย ๆ ในช่วง 2-3 ปีมานี้ อ.มักจะบอกบ่อย ๆ ว่าหุ้นไทย "ไม่ถูก" เหมือนเมื่อก่อน แต่เอาเข้าจริงถึงราคาหุ้นโดยรวมจะไม่ถูก แต่หุ้นก็ไม่ลงไปที่จุดที่ต่ำกว่าพันจุด
นอกจากนั้นหุ้นหลัก ๆ ที่อ.ถือก็คือ CPALL นั้น ผมคิดว่าถึงแม้จะยังคงเป็น super stock แต่มันก็คงยากที่ราคามันจะขึ้นมาแรง ๆ เป็นเด้ง ๆ แบบเมื่อก่อน ซึ่งถ้าดูในหนังสือของอ.เล่มล่าสุด ผมก็ไม่แปลกใจว่าปีที่แล้ว พอร์ตของอ.เติบโตค่อนข้างน้อย
ส่วนนลท.รายเล็ก ๆ แบบผมซึ่งยังไม่ติดข้อจำกัดในเรื่องดังกล่าว ผมคิดว่ายังอาจจะหาหุ้นขนาดเล็กที่ยังพอลงทุนได้ครับ
จะว่าไปถ้าอ่านบทความของอ.มาเรื่อย ๆ ในช่วง 2-3 ปีมานี้ อ.มักจะบอกบ่อย ๆ ว่าหุ้นไทย "ไม่ถูก" เหมือนเมื่อก่อน แต่เอาเข้าจริงถึงราคาหุ้นโดยรวมจะไม่ถูก แต่หุ้นก็ไม่ลงไปที่จุดที่ต่ำกว่าพันจุด
นอกจากนั้นหุ้นหลัก ๆ ที่อ.ถือก็คือ CPALL นั้น ผมคิดว่าถึงแม้จะยังคงเป็น super stock แต่มันก็คงยากที่ราคามันจะขึ้นมาแรง ๆ เป็นเด้ง ๆ แบบเมื่อก่อน ซึ่งถ้าดูในหนังสือของอ.เล่มล่าสุด ผมก็ไม่แปลกใจว่าปีที่แล้ว พอร์ตของอ.เติบโตค่อนข้างน้อย
ส่วนนลท.รายเล็ก ๆ แบบผมซึ่งยังไม่ติดข้อจำกัดในเรื่องดังกล่าว ผมคิดว่ายังอาจจะหาหุ้นขนาดเล็กที่ยังพอลงทุนได้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 858
ผมเคยอ่านครับ เนื้อหาจะประมาณว่า จังหวะเวลา สภาพแวดล้อมของยุคสมัย มีส่วนสำคัญกับความสำเร็จครับleky เขียน:เคยได้ยินหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว คงต้องหาทางหามาอ่านซักเล่มครับromee เขียน:
ผมนึกถึงหนังสือเรื่องoutlier เขาก็บอกถึงเรื่อง คนสำเร็จบนโลก มีความเกี่ยวข้องของช่วงเวลาด้วย
ยกตัวอย่าง คนที่เข้าไปลงทุนหุ้น Commodities ช่วง 4-5 ปีก่อน กับคนที่เข้าไปลงทุนช่วงไม่นานมานี้ แม้ว่าส่วนตัวจะเก่งพอๆ กัน แต่ผลตอบแทนไม่ใกล้เคียงกัน
จะสรุปจากในหนังสือว่า คนเราก็เป็น Cycle ก็คงพอได้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 859
ฟังเพื่อนๆกะอ. เม้นท์กันเรื่องกระแสหลักวีไอยุคทองกำลังจะผ่านไปแล้ว ก็เหี่ยว(สลด)ลงไปนิสนึงฮะ
แต่ก็ยังใจชื้น ที่อ.และเพื่อนๆกัลยาณมิตรในที่นี้ยังคอยให้กำลังใจ และพากันก้าวเดินในแนวทางวีไอต่อไปนะฮะ
ผมไปประชุมอัพเดทความรู้มา สังเกตุเหมือนกันว่าแทบทุกวงการ แทบทุกอาชีพ
ดูเหมือนจะมา"สุดทาง" ราวๆไม่มีอะไรใหม่แล้ว เลือกได้แต่จะหลุดพ้น หรือเวียนว่ายกันต่อไปในวงจรวัฎฎะ
ครั้งนี้ อ.อาวุโสท่านนึง ท่านสอนให้เตือนตัวเอง (โดยเฉพาะยิ่งแก่ ไม่มีใครเตือน) ว่าระวัง4อ.ฮะ
1. อัตตา (หลงตน)
2. อคติ(ลำเอียง หลงผิด)
3. อวิชชา(หลงโง่ ไม่เรียนรู้)
4. อุตริ(มี1,2,3แล้วยังดึงดันทำผิด)
เอามาใช้กับการลงทุนน่าจะพอได้ฮะ
เรื่องหนังสือ อ.โอนีล อ่านที่อ.NBแปลสัมภาษณ์อ.เกรแฮมแล้วติดใจฮะ(อ.น่าจะแปลอีกสักเล่มเนอะ)
ส่วนเรื่องmargin of safety เด๋วผมจะใช้ประสบการณ์จบอ๊อกซ์ฝอร์ดป.4เล่มสองเทอมปลาย แปลดูฮะ
เรื่องที่ผมพูดฝรั่งเศสกับสเปนได้("ฝรั่งเศสกับเสปน"ชัดมั้ยฮะ.. อีกครั้งก็ได้ "ฝรั่งเศสกับเสปน")คงไม่ใช้มาแปลฮะ
แต่ก็ยังใจชื้น ที่อ.และเพื่อนๆกัลยาณมิตรในที่นี้ยังคอยให้กำลังใจ และพากันก้าวเดินในแนวทางวีไอต่อไปนะฮะ
ผมไปประชุมอัพเดทความรู้มา สังเกตุเหมือนกันว่าแทบทุกวงการ แทบทุกอาชีพ
ดูเหมือนจะมา"สุดทาง" ราวๆไม่มีอะไรใหม่แล้ว เลือกได้แต่จะหลุดพ้น หรือเวียนว่ายกันต่อไปในวงจรวัฎฎะ
ครั้งนี้ อ.อาวุโสท่านนึง ท่านสอนให้เตือนตัวเอง (โดยเฉพาะยิ่งแก่ ไม่มีใครเตือน) ว่าระวัง4อ.ฮะ
1. อัตตา (หลงตน)
2. อคติ(ลำเอียง หลงผิด)
3. อวิชชา(หลงโง่ ไม่เรียนรู้)
4. อุตริ(มี1,2,3แล้วยังดึงดันทำผิด)
เอามาใช้กับการลงทุนน่าจะพอได้ฮะ
เรื่องหนังสือ อ.โอนีล อ่านที่อ.NBแปลสัมภาษณ์อ.เกรแฮมแล้วติดใจฮะ(อ.น่าจะแปลอีกสักเล่มเนอะ)
ส่วนเรื่องmargin of safety เด๋วผมจะใช้ประสบการณ์จบอ๊อกซ์ฝอร์ดป.4เล่มสองเทอมปลาย แปลดูฮะ
เรื่องที่ผมพูดฝรั่งเศสกับสเปนได้("ฝรั่งเศสกับเสปน"ชัดมั้ยฮะ.. อีกครั้งก็ได้ "ฝรั่งเศสกับเสปน")คงไม่ใช้มาแปลฮะ
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 860
เกริ่นแนะนำอ.เซธ คลาร์แมน กันหน่อย
จากหนังสือ "การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หลักสูตรม.โคลัมเบีย" ที่อ.webแปลมา
อ.เซธเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังไม่มีใบขับขี่ เรียนฮาวาร์ด ฝึกงานกับแม็กซ์ ไฮนี(เซียนบ.ล้มละลาย)และไมเคิลไพรซ์
จบ1982มาตั้งกองทุนBaupost โดยมีกฎสองข้อ คือ1. อย่าขาดทุนและ2. อย่าลืมกฏข้อแรก
เขียนหนังสือ margin of safety: risk-averse value investing strategies for the thoughful investor 1991
Margin of safety ของอ.seth
ประเมินหลายทาง pbv, pe, p/cf ,break- up value, dividen yield, private ,market value
ยังมี ผบห.ซื้อหุ้น ,การซื้อหุ้นคืน รวมๆแล้วแบ่งตัววัดเป็น1. สินทรัพย์ 2. ผลกำไร
อ.สบายใจที่สุดเมื่อได้ซื้อของถูกที่"มูลค่าสินทรัพย์ถูกสนับสนุนด้วยศักยภาพการทำกำไร"
หลักการของอ.เซธ
1. ประเมินความเสี่ยงเป็นอันดับแรก
คือโอกาสและขนาดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
ไม่นิยมการhedge(พยายามทำกำไรทั้งซื้อและขาย)เพราะตัดสินใจสองครั้งยากกว่าครั้งเดียว
โดยเฉพาะการกู้เงิน แต่ก็ซื้อput optionsดัชนี เหมือนซื้อประกันกรณีตลาดตก
2. หาผู้ขายที่มีแรงกระตุ้น
คือเหตุผลขายไม่ได้มาจากทางธุรกิจ เช่น
2.1 หุ้นถูกตัดออกจากดัชนี(จะถูกกองทุนเทขาย)
2.2 spin-offs ที่ไม่ใช่ipo กองทุนใหญ่ที่ถือหุ้นแม่จะไม่มีเวลาและไม่อยากถือหุ้นลูกเล็กๆ มักจะขายลูกออกเลย
2.3 บ.ที่ยื่นขอล้มละลาย เพื่อป้องกันตัวจากเจ้าหนี้ จะโดนกองทุนถล่มขายเช่นกัน
2.4 อสังหาริมทรัพย์ ที่ยึดจากลูกหนี้ ที่ธนาคารขายออกมาถูกๆเพราะไม่ใช่ธุรกิจหลัก
3. ของที่ไม่มีผู้ซื้อ
เช่น ขนาดเล็ก ไม่มีใครวิเคราะห์ หนี้สินบ.ไกล้เจ๊ง ผอร์ทอสังหาจาก resolution trust company
จะไม่มีคู่แข่งมาแย่งซื้อ พอมีคนมาสนใจมากขึ้นจนเป็นงานประมูล ก็จะย้ายไปหาของที่อื่นต่อไป
4. ตัวเร่งที่ไม่เกี่ยวกับตลาด
4.1 เงินปันผล ที่สูงกว่าบอนด์ยาวๆ มากกว่า4% หรือ6%นานๆที
แต่เมื่อไรที่หุ้นแพงจนปันผลน้อยกว่า2% ก็จะไปหาการลงทุนที่ไม่ขึ้นกับตลาด
โดยมุ่ง"ผลตอบแทนเชิงสัมบูรณ์"(คือบวกทุกปีเทียบกับตัวเอง,ไม่เทียบกับชาวบ้าน)
เช่นบอนด์ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่ทุกหกเดือนและคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด
4.2 หนี้สินบ.ล้มละลาย (distressed debt)เช่นหุ้นกู้ผิดนัดชำระ
ต้องมีทรัพย์สินหนุนหลังมากพอจะได้เงินคืน(ขึ้นกับกระบวนการล้มละลายมากกว่าขึ้นกับตลาด)
4.3 การขายทอดกิจการ(liquidation)
อาจได้เงินเป็นช่วงๆตามแผน ต้องดูความแน่นอนของแผนเรื่องเงินและเวลา
4.4 การเทคโอเวอร์
ขึ้นกับข้อตกลง ไม่ขึ้นกับตลาด ยิ่งแน่นอนผลตอบแทนยิ่งลดลง
Bottom up
วิเคราะห์บริษัท(bottom up) ง่ายกว่าวิเคราะห์เศรษฐกิจ(top down)
และบางครั้งก็มีแบบออกข้างๆ คือหุ้นทั้งกลุ่มเป็นโอกาสการลงทุน
เช่นกรณี saving &loanเปลี่ยนรูปแบบจากสหกรณ์ไปเป็นบริษัทในยุค90 เป็นต้น
เวลาใหม่ คู่แข่งใหม่ ตลาดใหม่
อ.เซธใช้วิธีย้ายไปเรื่อยๆเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
จากหนี้บ.ล้มละลาย ไปผอร์ทอสังหาของRTC ไปหุ้นขนาดเล็ก ไปยุโรปตะวันตก ไปประเทศคอมมิวนิสต์ ฯลฯ
จากหนังสือ "การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หลักสูตรม.โคลัมเบีย" ที่อ.webแปลมา
อ.เซธเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังไม่มีใบขับขี่ เรียนฮาวาร์ด ฝึกงานกับแม็กซ์ ไฮนี(เซียนบ.ล้มละลาย)และไมเคิลไพรซ์
จบ1982มาตั้งกองทุนBaupost โดยมีกฎสองข้อ คือ1. อย่าขาดทุนและ2. อย่าลืมกฏข้อแรก
เขียนหนังสือ margin of safety: risk-averse value investing strategies for the thoughful investor 1991
Margin of safety ของอ.seth
ประเมินหลายทาง pbv, pe, p/cf ,break- up value, dividen yield, private ,market value
ยังมี ผบห.ซื้อหุ้น ,การซื้อหุ้นคืน รวมๆแล้วแบ่งตัววัดเป็น1. สินทรัพย์ 2. ผลกำไร
อ.สบายใจที่สุดเมื่อได้ซื้อของถูกที่"มูลค่าสินทรัพย์ถูกสนับสนุนด้วยศักยภาพการทำกำไร"
หลักการของอ.เซธ
1. ประเมินความเสี่ยงเป็นอันดับแรก
คือโอกาสและขนาดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
ไม่นิยมการhedge(พยายามทำกำไรทั้งซื้อและขาย)เพราะตัดสินใจสองครั้งยากกว่าครั้งเดียว
โดยเฉพาะการกู้เงิน แต่ก็ซื้อput optionsดัชนี เหมือนซื้อประกันกรณีตลาดตก
2. หาผู้ขายที่มีแรงกระตุ้น
คือเหตุผลขายไม่ได้มาจากทางธุรกิจ เช่น
2.1 หุ้นถูกตัดออกจากดัชนี(จะถูกกองทุนเทขาย)
2.2 spin-offs ที่ไม่ใช่ipo กองทุนใหญ่ที่ถือหุ้นแม่จะไม่มีเวลาและไม่อยากถือหุ้นลูกเล็กๆ มักจะขายลูกออกเลย
2.3 บ.ที่ยื่นขอล้มละลาย เพื่อป้องกันตัวจากเจ้าหนี้ จะโดนกองทุนถล่มขายเช่นกัน
2.4 อสังหาริมทรัพย์ ที่ยึดจากลูกหนี้ ที่ธนาคารขายออกมาถูกๆเพราะไม่ใช่ธุรกิจหลัก
3. ของที่ไม่มีผู้ซื้อ
เช่น ขนาดเล็ก ไม่มีใครวิเคราะห์ หนี้สินบ.ไกล้เจ๊ง ผอร์ทอสังหาจาก resolution trust company
จะไม่มีคู่แข่งมาแย่งซื้อ พอมีคนมาสนใจมากขึ้นจนเป็นงานประมูล ก็จะย้ายไปหาของที่อื่นต่อไป
4. ตัวเร่งที่ไม่เกี่ยวกับตลาด
4.1 เงินปันผล ที่สูงกว่าบอนด์ยาวๆ มากกว่า4% หรือ6%นานๆที
แต่เมื่อไรที่หุ้นแพงจนปันผลน้อยกว่า2% ก็จะไปหาการลงทุนที่ไม่ขึ้นกับตลาด
โดยมุ่ง"ผลตอบแทนเชิงสัมบูรณ์"(คือบวกทุกปีเทียบกับตัวเอง,ไม่เทียบกับชาวบ้าน)
เช่นบอนด์ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่ทุกหกเดือนและคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด
4.2 หนี้สินบ.ล้มละลาย (distressed debt)เช่นหุ้นกู้ผิดนัดชำระ
ต้องมีทรัพย์สินหนุนหลังมากพอจะได้เงินคืน(ขึ้นกับกระบวนการล้มละลายมากกว่าขึ้นกับตลาด)
4.3 การขายทอดกิจการ(liquidation)
อาจได้เงินเป็นช่วงๆตามแผน ต้องดูความแน่นอนของแผนเรื่องเงินและเวลา
4.4 การเทคโอเวอร์
ขึ้นกับข้อตกลง ไม่ขึ้นกับตลาด ยิ่งแน่นอนผลตอบแทนยิ่งลดลง
Bottom up
วิเคราะห์บริษัท(bottom up) ง่ายกว่าวิเคราะห์เศรษฐกิจ(top down)
และบางครั้งก็มีแบบออกข้างๆ คือหุ้นทั้งกลุ่มเป็นโอกาสการลงทุน
เช่นกรณี saving &loanเปลี่ยนรูปแบบจากสหกรณ์ไปเป็นบริษัทในยุค90 เป็นต้น
เวลาใหม่ คู่แข่งใหม่ ตลาดใหม่
อ.เซธใช้วิธีย้ายไปเรื่อยๆเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
จากหนี้บ.ล้มละลาย ไปผอร์ทอสังหาของRTC ไปหุ้นขนาดเล็ก ไปยุโรปตะวันตก ไปประเทศคอมมิวนิสต์ ฯลฯ
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 1112
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 861
ขอบพระคุณครับ คุณหมอที่รีวิว สงสัยต้องไปค้น จากตู้มาอ่านบ้างแล้ว ซื้อเก็บดองไว้นานเกินdr1 เขียน:เกริ่นแนะนำอ.เซธ คลาร์แมน กันหน่อย
จากหนังสือ "การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หลักสูตรม.โคลัมเบีย" ที่อ.webแปลมา
อ.เซธเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังไม่มีใบขับขี่ เรียนฮาวาร์ด ฝึกงานกับแม็กซ์ ไฮนี(เซียนบ.ล้มละลาย)และไมเคิลไพรซ์
จบ1982มาตั้งกองทุนBaupost โดยมีกฎสองข้อ คือ1. อย่าขาดทุนและ2. อย่าลืมกฏข้อแรก
เขียนหนังสือ margin of safety: risk-averse value investing strategies for the thoughful investor 1991
Margin of safety ของอ.seth
ประเมินหลายทาง pbv, pe, p/cf ,break- up value, dividen yield, private ,market value
ยังมี ผบห.ซื้อหุ้น ,การซื้อหุ้นคืน รวมๆแล้วแบ่งตัววัดเป็น1. สินทรัพย์ 2. ผลกำไร
อ.สบายใจที่สุดเมื่อได้ซื้อของถูกที่"มูลค่าสินทรัพย์ถูกสนับสนุนด้วยศักยภาพการทำกำไร"
หลักการของอ.เซธ
1. ประเมินความเสี่ยงเป็นอันดับแรก
คือโอกาสและขนาดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
ไม่นิยมการhedge(พยายามทำกำไรทั้งซื้อและขาย)เพราะตัดสินใจสองครั้งยากกว่าครั้งเดียว
โดยเฉพาะการกู้เงิน แต่ก็ซื้อput optionsดัชนี เหมือนซื้อประกันกรณีตลาดตก
2. หาผู้ขายที่มีแรงกระตุ้น
คือเหตุผลขายไม่ได้มาจากทางธุรกิจ เช่น
2.1 หุ้นถูกตัดออกจากดัชนี(จะถูกกองทุนเทขาย)
2.2 spin-offs ที่ไม่ใช่ipo กองทุนใหญ่ที่ถือหุ้นแม่จะไม่มีเวลาและไม่อยากถือหุ้นลูกเล็กๆ มักจะขายลูกออกเลย
2.3 บ.ที่ยื่นขอล้มละลาย เพื่อป้องกันตัวจากเจ้าหนี้ จะโดนกองทุนถล่มขายเช่นกัน
2.4 อสังหาริมทรัพย์ ที่ยึดจากลูกหนี้ ที่ธนาคารขายออกมาถูกๆเพราะไม่ใช่ธุรกิจหลัก
3. ของที่ไม่มีผู้ซื้อ
เช่น ขนาดเล็ก ไม่มีใครวิเคราะห์ หนี้สินบ.ไกล้เจ๊ง ผอร์ทอสังหาจาก resolution trust company
จะไม่มีคู่แข่งมาแย่งซื้อ พอมีคนมาสนใจมากขึ้นจนเป็นงานประมูล ก็จะย้ายไปหาของที่อื่นต่อไป
4. ตัวเร่งที่ไม่เกี่ยวกับตลาด
4.1 เงินปันผล ที่สูงกว่าบอนด์ยาวๆ มากกว่า4% หรือ6%นานๆที
แต่เมื่อไรที่หุ้นแพงจนปันผลน้อยกว่า2% ก็จะไปหาการลงทุนที่ไม่ขึ้นกับตลาด
โดยมุ่ง"ผลตอบแทนเชิงสัมบูรณ์"(คือบวกทุกปีเทียบกับตัวเอง,ไม่เทียบกับชาวบ้าน)
เช่นบอนด์ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่ทุกหกเดือนและคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด
4.2 หนี้สินบ.ล้มละลาย (distressed debt)เช่นหุ้นกู้ผิดนัดชำระ
ต้องมีทรัพย์สินหนุนหลังมากพอจะได้เงินคืน(ขึ้นกับกระบวนการล้มละลายมากกว่าขึ้นกับตลาด)
4.3 การขายทอดกิจการ(liquidation)
อาจได้เงินเป็นช่วงๆตามแผน ต้องดูความแน่นอนของแผนเรื่องเงินและเวลา
4.4 การเทคโอเวอร์
ขึ้นกับข้อตกลง ไม่ขึ้นกับตลาด ยิ่งแน่นอนผลตอบแทนยิ่งลดลง
Bottom up
วิเคราะห์บริษัท(bottom up) ง่ายกว่าวิเคราะห์เศรษฐกิจ(top down)
และบางครั้งก็มีแบบออกข้างๆ คือหุ้นทั้งกลุ่มเป็นโอกาสการลงทุน
เช่นกรณี saving &loanเปลี่ยนรูปแบบจากสหกรณ์ไปเป็นบริษัทในยุค90 เป็นต้น
เวลาใหม่ คู่แข่งใหม่ ตลาดใหม่
อ.เซธใช้วิธีย้ายไปเรื่อยๆเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
จากหนี้บ.ล้มละลาย ไปผอร์ทอสังหาของRTC ไปหุ้นขนาดเล็ก ไปยุโรปตะวันตก ไปประเทศคอมมิวนิสต์ ฯลฯ
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 862
น่าสนใจดีครับ
2 โรงเรียน 2 ประเทศ 1 แนวคิด : พึ่งตนเองด้านพลังงาน / ประสาท มีแต้ม
http://www.manager.co.th/South/ViewNews ... 0000126181
2 โรงเรียน 2 ประเทศ 1 แนวคิด : พึ่งตนเองด้านพลังงาน / ประสาท มีแต้ม
http://www.manager.co.th/South/ViewNews ... 0000126181
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 863
อ.ประสาท ท่านสอนแคลคูลัสตอนผมเรียนปี1.โน่นฮะ
แต่กว่าจะได้สอน ท่านก็จะพูดเรื่องอื่นๆซะครึ่งนึง สอนเรื่องชีวิต ความคิดฯลฯ
อีกท่านที่คล้ายกันคือ อ.วิจารณ์ (เข้าใจว่าท่านยังอยู่ สกว.)
ส่วนเรื่องโซล่าร์เซลล์ ล่าสุดไปเดินเล่นงานอสังหาฯ เจอบูทขายระบบ
เค้าแนะนำว่า ตอนนี้ แบบที่คุ้มที่สุดคือต่อแผงบนหลังคา (แอบ)เชื่อมระบบเข้ากับไฟบ้าน
จ่ายไฟย้อนเข้าระบบช่วงกลางวันตอนเราไม่อยู่บ้าน เพื่อลดค่าไฟลง (คืนทุนใน5ปี)แบตไม่ต้องเพราะแพงมาก
แต่ตอนไปงานเอกซ์โปสองปีก่อน เห็นเขาขายเปลือกแบต เลยมโนเอาว่า น่าจะมีใครขายชิ้นส่วนแบบdiy
ซื้อเปลือกมา อีเล็คโตรไลท์แบบผงมาผสมเอง แผ่นธาตุแบบเปลี่ยนได้ ไม่ต้องทิ้งทั้งลูก
ส่วนแผงก็มาสำเร็จรูปขนาดเท่ากระเบื้อง(เคยเห็นเท่าโมเนียแผ่นเล็ก น่าจะยุ่งยากข้อต่อ)
หรือเมทัลชีตหลังคาเลย เอามาแทนหลังคา (เคยเห็นแบบม้วนเหมือนเสื่อไว้เดินทาง แต่คงไม่ทนและไฟออกน้อย)
อินเวอร์เตอร์อีกหน่อยคงถูกลงและเล็กลงเรื่อยๆ(เอายูพีเอสพังๆมาทำได้ป่าว?)
เรื่องไฟคงได้ข้อสรุปแล้ว ว่าไปทางLED เหลือแต่แอร์ว่าจะลงตัวแบบไหน
เอาตู้เย็นมาทำน้ำแข็งเก็บไว้ตั้งแต่กลางวัน แล้วใช้พัดลมเป่าเป็นแอร์ตอนกลางคืนได้มั้ยไม่รุ จะได้ประหยัดแบต
เพราะเรื่องเก็บอาหารคงไม่ใช้ (จะงดมื้อเย็น) ทีวีก็คงเหลือแต่จอเล็กแทปเลทมั้งฮะ
แต่กว่าจะได้สอน ท่านก็จะพูดเรื่องอื่นๆซะครึ่งนึง สอนเรื่องชีวิต ความคิดฯลฯ
อีกท่านที่คล้ายกันคือ อ.วิจารณ์ (เข้าใจว่าท่านยังอยู่ สกว.)
ส่วนเรื่องโซล่าร์เซลล์ ล่าสุดไปเดินเล่นงานอสังหาฯ เจอบูทขายระบบ
เค้าแนะนำว่า ตอนนี้ แบบที่คุ้มที่สุดคือต่อแผงบนหลังคา (แอบ)เชื่อมระบบเข้ากับไฟบ้าน
จ่ายไฟย้อนเข้าระบบช่วงกลางวันตอนเราไม่อยู่บ้าน เพื่อลดค่าไฟลง (คืนทุนใน5ปี)แบตไม่ต้องเพราะแพงมาก
แต่ตอนไปงานเอกซ์โปสองปีก่อน เห็นเขาขายเปลือกแบต เลยมโนเอาว่า น่าจะมีใครขายชิ้นส่วนแบบdiy
ซื้อเปลือกมา อีเล็คโตรไลท์แบบผงมาผสมเอง แผ่นธาตุแบบเปลี่ยนได้ ไม่ต้องทิ้งทั้งลูก
ส่วนแผงก็มาสำเร็จรูปขนาดเท่ากระเบื้อง(เคยเห็นเท่าโมเนียแผ่นเล็ก น่าจะยุ่งยากข้อต่อ)
หรือเมทัลชีตหลังคาเลย เอามาแทนหลังคา (เคยเห็นแบบม้วนเหมือนเสื่อไว้เดินทาง แต่คงไม่ทนและไฟออกน้อย)
อินเวอร์เตอร์อีกหน่อยคงถูกลงและเล็กลงเรื่อยๆ(เอายูพีเอสพังๆมาทำได้ป่าว?)
เรื่องไฟคงได้ข้อสรุปแล้ว ว่าไปทางLED เหลือแต่แอร์ว่าจะลงตัวแบบไหน
เอาตู้เย็นมาทำน้ำแข็งเก็บไว้ตั้งแต่กลางวัน แล้วใช้พัดลมเป่าเป็นแอร์ตอนกลางคืนได้มั้ยไม่รุ จะได้ประหยัดแบต
เพราะเรื่องเก็บอาหารคงไม่ใช้ (จะงดมื้อเย็น) ทีวีก็คงเหลือแต่จอเล็กแทปเลทมั้งฮะ
samatah
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 864
บนฟ้ามีเมฆลอย.....
บนดอยมีเมฆบัง...........
บนดอยมีเมฆบัง...........
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 866
ภายใต้กติกาเดียวกันแล้ว การเก็งกำไรและการลงทุน เปรียบเสมือนหมัดแย็บและหมัดฮุค
โผน กิ่งเพชร ได้รับคำยกย่องเรื่องความเร็ว แม้แต่ สด จิตรลดา ได้แนวทางของโผนมา
ในขณะที่ ไอ้แสบ แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ โดนเท่าไรไม่ว่า ขอจัง ๆ ทีเดียว
โผน กิ่งเพชร ได้รับคำยกย่องเรื่องความเร็ว แม้แต่ สด จิตรลดา ได้แนวทางของโผนมา
ในขณะที่ ไอ้แสบ แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ โดนเท่าไรไม่ว่า ขอจัง ๆ ทีเดียว
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 867
มีสาวงามชื่อดัง........Nevercry.boy เขียน:บนฟ้ามีเมฆลอย.....
บนดอยมีเมฆบัง...........
อยู่หลังแดนดงป่า...........
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 737
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 868
Nevercry.boy เขียน:มีสาวงามชื่อดัง........Nevercry.boy เขียน:บนฟ้ามีเมฆลอย.....
บนดอยมีเมฆบัง...........
อยู่หลังแดนดงป่า...........
มีกะลา ล่าเซอ
มีหนุ่มๆ เผลอฮ้องหา
มีสาวงาม ขึ้นมา แล้วมี...
SURE I AM OF THIS
THAT YOU HAVE ONLY TO ENDURE
TO CONQUER
THAT YOU HAVE ONLY TO ENDURE
TO CONQUER
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 869
เม่า(ซื้อ)ดะcomrade เขียน:Nevercry.boy เขียน:มีสาวงามชื่อดัง........Nevercry.boy เขียน:บนฟ้ามีเมฆลอย.....
บนดอยมีเมฆบัง...........
อยู่หลังแดนดงป่า...........
มีกะลา ล่าเซอ
มีหนุ่มๆ เผลอฮ้องหา
มีสาวงาม ขึ้นมา แล้วมี...
ปล.ช่วงนี้พี่ที่ทำงานราชการ บอกว่า งบเบิกจ่ายเริ่มกลับมาแล้ว งานค้างที่จำเป็นต้องเบิก ต้องใช้ น่าจะรีบทำกันช่วงนี้ และหลังปีใหม่
เงินน่าจะสะพัดเข้ามาในระบบช่วงหลังปีใหม่อย่างเห็นได้ชัดนะครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 870
ฟังเพลงน้าจรัลแล้วนึกถึง
เชียงใหม่ กะที่ฟังเพลงเพราะๆ
เฮือนสุนทรี ต้มเปอะกะใส้อั่วอร่อย ไม่รุน้าสุนทรียังร้องอยู่มั้ย น้องลานนา คัมมิ่นส์(นามสกุลคุณพ่อเหมือนรถแทรกเตอร์, น่าจะเรียกแบบไทยว่า ขมิ้น)
บร๊าซเซอรี่ น้าตุ๊ก(ฝรั่งยกให้เป็นเฮนดริกซ์เมืองไทย)คนนี้อารงค์(น้าหงาเคยตามลองเป็นนักเขียนพักนึง)บอกว่า
ร้องเพลงรางวัลแด่คนช่างฝัน เพราะที่สุด
แต่เอ๊..รึว่าอ.NBใบ้หุ้นมิดะ ที่เป็นลีสซิ่งเสี่ยก.หว่า...
เชียงใหม่ กะที่ฟังเพลงเพราะๆ
เฮือนสุนทรี ต้มเปอะกะใส้อั่วอร่อย ไม่รุน้าสุนทรียังร้องอยู่มั้ย น้องลานนา คัมมิ่นส์(นามสกุลคุณพ่อเหมือนรถแทรกเตอร์, น่าจะเรียกแบบไทยว่า ขมิ้น)
บร๊าซเซอรี่ น้าตุ๊ก(ฝรั่งยกให้เป็นเฮนดริกซ์เมืองไทย)คนนี้อารงค์(น้าหงาเคยตามลองเป็นนักเขียนพักนึง)บอกว่า
ร้องเพลงรางวัลแด่คนช่างฝัน เพราะที่สุด
แต่เอ๊..รึว่าอ.NBใบ้หุ้นมิดะ ที่เป็นลีสซิ่งเสี่ยก.หว่า...
samatah