โพสต์
เศรษฐกิจ มติชน 2 ธันวาคม 2555
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า จากการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการประชุมองค์กร ก.ล.ต.นานาชาติในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (IOSCO APRC) เมื่อวันที่ 28-30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในที่ประชุมได้มีความเป็นห่วงการซื้อขายหุ้นผ่านโปรแกรมซื้อขายหุ้นแบบส่งคำสั่งอัตโนมัติ ที่มีการใช้แพร่หลายในหลายประเทศ เนื่องจากโปรแกรมดังกล่าวจะมีการเขียนโปรแกรมเพื่อส่งคำสั่งซื้อขายตามภาวะตลาดตามที่ต้องการได้ โดยมีข้อดีคือทำให้ปริมาณการซื้อขายของตลาดมีมากขึ้น รวมถึงอำนวยความสะดวกในการซื้อขายและสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้เอง แต่ในอีกมุมหนึ่งโปรแกรมดังกล่าวอาจส่งคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง จนทำให้ตลาดหุ้นเกิดปัญหาขึ้นได้ ซึ่งในที่ประชุมได้มีการหารือถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการหาแนวทางการป้องกันขึ้นมารองรับหรือเตรียมพร้อม เช่น การหยุดการซื้อขายชั่วคราวหากมีการซื้อขายผิดปกติ หรือปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ให้มีความรัดกุมมากขึ้น
นายวรพลกล่าวว่า นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้มีการพูดคุยถึงการผลักดันธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ให้สามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ง่ายขึ้น รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนในประเทศต่างๆ ลงทุนกองทุนประเภทต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันประชากรผู้สูงอายุจะมีมากขึ้น ทำให้การออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณอย่างกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) เป็นสิ่งสำคัญ
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนทหารไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในปีหน้าของตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังมีความน่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปี และในปีหน้าราคาปิดกำไรต่อหุ้น (พีอี) ของตลาดน่าจะอยู่ที่ 12 เท่า แม้ในช่วงครึ่งหลังของปีจะไม่มีเงินทุนไหลเข้าก็ตาม
"ผมคิดว่าเราไม่ควรจะหวังเงินทุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ที่จะไหลเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากเงินเหล่านี้เป็นการลงทุนระยะสั้นและไม่สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นไทยที่เหมาะแก่การลงทุนระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งอยากให้นักลงทุนดูพื้นฐานของตลาดที่แท้จริงมากกว่า เพราะครึ่งปีหลัง 2555 พบว่ามีเงินทุนไหลเข้าน้อยมาก" นายสมจินต์กล่าว
นายสมจินต์กล่าวอีกว่า หุ้นที่มีความน่าสนใจในปีหน้าจะมีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ คือ 1.กลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตในประเทศ และมีความพร้อมที่จะออกไปเปิดตลาดต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่มสื่อสาร 2.หุ้นที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลกที่มีคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่างหุ้นของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ที่มีการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก และ 3.หุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตภายในประเทศอย่างหุ้นในกลุ่มบริษัทค้าปลีก
วันที่ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2555
บันทึกไม่สำเร็จ