ภาพรวมเศรษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/04/08
โพสต์ที่ 751
แนวโน้มหุ้น"SET50"เด่น ราคาต่ำกว่าเป้าหมายโบรก
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2551 09:54 น.
เปิดโผหุ้น SET50 ยังมีส่วนต่างให้ทำกำไรได้ หลังจากพบราคาบนกระดาน ณ สิ้นไตรมาสแรกต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ประเมินไว้ มีเพียง 3 บริษัท "LH-KSL-BECL" ที่มีส่วนต่างติดลบ ขณะที่ "CCET-TTA-TPIPL" มีโอกาสทำกำไรได้อีกมาก มีส่วนต่างสูงกว่า 40% ด้านโบรกเกอร์แนะลงทุนหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จะได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ผู้จัดการฯ ได้ทำการสำรวจราคาหลักทรัพย์ใน SET 50 ด้วยการเปรียบเทียบระหว่างราคาเป้าหมาย หรือราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ได้จากการวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หลายๆ แห่ง กับราคาปิดบนกระดานหลักทรัพย์ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 ปรากฏว่า ราคาปิดส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายของโบรกเกอร์ ซึ่งถือว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังน่าสนใจเข้าไปลงทุน เพราะมีโอกาสและความสามารถในการทำกำไรจากการลงทุนได้
สำหรับราคาเป้าหมายเฉลี่ยในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ได้จากการวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ อาทิ บล.แอ๊ดคินซัน, บล.เอเซีย พลัส, บล.บีฟิท, บล.พัฒนสิน, บล.เคจีไอ(ประเทศไทย), บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย),บล.นครหลวงไทย, บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) และบล.โกลเบล็ก ฯลฯ
โดยหลักทรัพย์ที่มีราคาเป้าหมายต่ำกว่าราคาปิดเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 51 สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ราคาเป้าหมาย 9.35 บาท ราคาปิด 9.75 บาท ส่วนต่างติดลบ 0.40 บาท หรือคิดเป็น 4.10% บมจ.น้ำตาลขอนแก่น หรือ KSL ราคาเป้าหมาย 12.91 บาท ราคาปิด 13.40 บาท ติดลบ 0.49 บาท หรือ 3.66% และบมจ.ทางด่วนกรุงเทพ หรือ BECL ราคาเป้าหมาย 27.51 บาท ราคาปิด 28.50 บาท ติดลบ 0.99 บาท หรือ 3.47% (ตารางประกอบข่าว)
ขณะที่หลักทรัพย์ที่ราคาเป้าหมายยังสูงกว่าราคาปิด สูงสุด 3 อันดับแรก บมจ. แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ CCET ราคาเป้าหมาย 7.66 บาท ราคาปิด 5.25 บาท ยังมีส่วนต่าง 2.41 บาท หรือ 45.90% บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA ราคาเป้าหมาย 61.46 บาท ราคาปิด 42.50 บาท หรือ 45.79% และบมจ.ทีพีไอ โพลีน จำกัด หรือ TPIPL ราคาเป้าหมาย 9.36 บาท ราคาปิด 6.60 บาท ส่วนต่าง 2.79 บาท หรือ 42.27%
ส่วนหลักทรัพย์อื่นๆ ใน SET50 ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่ถือเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีนั้น ราคาปิดล่าสุดน่าสนใจเข้าไปลงทุนหรือต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ประเมินไว้ โดย บมจ.บ้านปู หรือ BANPU ยังมีส่วนต่างอยู่ 18.95% ราคาเป้าหมาย 494.82 บาท สูงกว่าราคาปิดที่ 416.00 บาท ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก 78.82 บาท บมจ. ปตท. หรือ PTT ราคาเป้าหมาย 439.80 บาท ราคาปิด 316.00 บาท ส่วนต่าง 123.80 บาท หรือ 39.18% เช่นเดียวกับบริษัทในกลุ่มทั้ง PTTEP และPTTCH ที่ยังมีส่วนต่างสูงถึง 28.84 บาท และ 35.32 บาทตามลำดับ
ด้านกลุ่มธนาคารพาณิชย์นั้น ราคาหุ้นส่วนใหญ่ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นหาราคาเป้าหมายได้อีก ได้แก่ บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY, บมจ.ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL, บมจ.ธนาคารนครหลวงไทย หรือ SCIB และบมจ.ธนาคารทหารไทย หรือ TMB ที่ยังมีส่วนต่างอยู่ 24.72%, 10.04%, SCIB 10.35% และ 12.98% ตามลำดับ
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า หุ้นบมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR ยังน่าลงทุน โดยคาดว่าไตรมาส 1/51 ผลการดำเนินงานจะขยายตัวในทิศทางที่ดี และมีโอกาสการทำกำไรจากราคาหุ้นค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาจากราคาหุ้นปัจจุบันที่ 37.75 บาท เทียบกับราคาพื้นฐานหรือราคาเป้าหมาย ขณะเดียวกัน PTTAR จะได้รับผลประโยชน์จากช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 2 ของทุกปี รวมถึงประโยชน์จากการควบรวมในปี 52 หลังโรงงาน ATC 2 เปิดดำเนินงานประมาณไตรมาส 3/51
ส่วนบมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ยังมีโอกาสทำกำไรได้ดี จากค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างดีในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้า เพราะจะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขับขี่ (Driving Season) ในสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่พื้นฐานบริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2551 จากการขยายกำลังการผลิตจากธุรกิจที่มีอยู่ (โรงกลั่นจาก 225 KBD เป็น 275 KBD และปิโตรเคมีจาก 4.2 แสนตันต่อปี เป็น 9 แสนตันต่อปี)
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้ประเมินหลักทรัพย์รายตัวดังนี้ CCET มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แนะนำให้ซื้อลงทุนในระยะกลาง เพราตามวงจรธุรกิจเทคโนโลยีที่จะต่ำสุดในไตรมาส 1 ก่อนจะเริ่มขยับขึ้นในไตรมาส 2 และดีที่สุดในไตรมาส 3 ขณะที่หุ้น TTA เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากในปีหน้าธุรกิจจะมีการแข่งขันที่รุนแรงจากจำนวนกองเรือเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าในปีนี้กำไรของบริษัทจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ส่วนหุ้น TPIPL หลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะสั้น แม้จะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี แต่ยังมีความเสี่ยงจากคดีความค่าปรับ 6.9 พันล้านบาท ที่ยังไม่สามารถประเมินความเสี่ยงได้ หุ้น TOP สามารถลงทุนทั้งระยะสั้น กลาง และระยะยาวได้ พื้นฐานดี คาดว่าปีนี้จะมีการเติบโตที่ดีจากการขยายกำลังการผลิต หุ้น PTTAR เหมาะกับการลงทุนระยะยาว ซึ่งคาดว่าโรงงานใหม่จะแล้วเสร็จช่วงปลายปี และจะช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างชัดเจนในปีหน้า จึงไม่เหมาะลงทุนในระยะสั้น
หุ้นบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท หรือ PS และ LH เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่เน้นกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดอัตราภาษี ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมาราคาปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง ซึ่งในระยะสั้นจะต้องติดตามผลการดำเนินงานไตรมาส 1/51 อย่างใกล้ชิด และจากราคาที่ปรับขึ้นมาค่อนข้างสูง ทำให้ในระยะสั้นมีโอกาสที่ราคาจะมีการปรับฐาน จึงแนะนำขายทำกำไร แล้วค่อยไปเก็บเพื่อลงทุนในระยะกลาง และระยะยาว
ส่วนหุ้น KSL เหมาะกับการลงทุนระยะกลางและระยะยาว บริษัทมีการขยายงาน มีโอกาสทำกำไรอยู่ แต่หุ้นไม่ค่อยมีสภาพคล่อง และหุ้นบมจ.ไทยพาณิชย์ (SCBX กลุ่มแบงก์ปีนี้จะกลับมาโดดเด่น จากการฟื้นตัวของการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการไม่ต้องตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่เหมือนปีที่ผ่านมา และแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาลง เหมาะกับการลงทุนทั้งระยะสั้น กลาง และระยะยาว
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000044122
3ตัวที่ราคาเกินกว่าราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ น่าจะเป็น LH,KSL,BEC นะผมว่า ไม่น่าใช่ BECL
:lol: :lol: :lol:
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2551 09:54 น.
เปิดโผหุ้น SET50 ยังมีส่วนต่างให้ทำกำไรได้ หลังจากพบราคาบนกระดาน ณ สิ้นไตรมาสแรกต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ประเมินไว้ มีเพียง 3 บริษัท "LH-KSL-BECL" ที่มีส่วนต่างติดลบ ขณะที่ "CCET-TTA-TPIPL" มีโอกาสทำกำไรได้อีกมาก มีส่วนต่างสูงกว่า 40% ด้านโบรกเกอร์แนะลงทุนหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จะได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ผู้จัดการฯ ได้ทำการสำรวจราคาหลักทรัพย์ใน SET 50 ด้วยการเปรียบเทียบระหว่างราคาเป้าหมาย หรือราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ได้จากการวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หลายๆ แห่ง กับราคาปิดบนกระดานหลักทรัพย์ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 ปรากฏว่า ราคาปิดส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายของโบรกเกอร์ ซึ่งถือว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังน่าสนใจเข้าไปลงทุน เพราะมีโอกาสและความสามารถในการทำกำไรจากการลงทุนได้
สำหรับราคาเป้าหมายเฉลี่ยในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ได้จากการวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ อาทิ บล.แอ๊ดคินซัน, บล.เอเซีย พลัส, บล.บีฟิท, บล.พัฒนสิน, บล.เคจีไอ(ประเทศไทย), บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย),บล.นครหลวงไทย, บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) และบล.โกลเบล็ก ฯลฯ
โดยหลักทรัพย์ที่มีราคาเป้าหมายต่ำกว่าราคาปิดเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 51 สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ราคาเป้าหมาย 9.35 บาท ราคาปิด 9.75 บาท ส่วนต่างติดลบ 0.40 บาท หรือคิดเป็น 4.10% บมจ.น้ำตาลขอนแก่น หรือ KSL ราคาเป้าหมาย 12.91 บาท ราคาปิด 13.40 บาท ติดลบ 0.49 บาท หรือ 3.66% และบมจ.ทางด่วนกรุงเทพ หรือ BECL ราคาเป้าหมาย 27.51 บาท ราคาปิด 28.50 บาท ติดลบ 0.99 บาท หรือ 3.47% (ตารางประกอบข่าว)
ขณะที่หลักทรัพย์ที่ราคาเป้าหมายยังสูงกว่าราคาปิด สูงสุด 3 อันดับแรก บมจ. แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ CCET ราคาเป้าหมาย 7.66 บาท ราคาปิด 5.25 บาท ยังมีส่วนต่าง 2.41 บาท หรือ 45.90% บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA ราคาเป้าหมาย 61.46 บาท ราคาปิด 42.50 บาท หรือ 45.79% และบมจ.ทีพีไอ โพลีน จำกัด หรือ TPIPL ราคาเป้าหมาย 9.36 บาท ราคาปิด 6.60 บาท ส่วนต่าง 2.79 บาท หรือ 42.27%
ส่วนหลักทรัพย์อื่นๆ ใน SET50 ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่ถือเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีนั้น ราคาปิดล่าสุดน่าสนใจเข้าไปลงทุนหรือต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ประเมินไว้ โดย บมจ.บ้านปู หรือ BANPU ยังมีส่วนต่างอยู่ 18.95% ราคาเป้าหมาย 494.82 บาท สูงกว่าราคาปิดที่ 416.00 บาท ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก 78.82 บาท บมจ. ปตท. หรือ PTT ราคาเป้าหมาย 439.80 บาท ราคาปิด 316.00 บาท ส่วนต่าง 123.80 บาท หรือ 39.18% เช่นเดียวกับบริษัทในกลุ่มทั้ง PTTEP และPTTCH ที่ยังมีส่วนต่างสูงถึง 28.84 บาท และ 35.32 บาทตามลำดับ
ด้านกลุ่มธนาคารพาณิชย์นั้น ราคาหุ้นส่วนใหญ่ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นหาราคาเป้าหมายได้อีก ได้แก่ บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY, บมจ.ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL, บมจ.ธนาคารนครหลวงไทย หรือ SCIB และบมจ.ธนาคารทหารไทย หรือ TMB ที่ยังมีส่วนต่างอยู่ 24.72%, 10.04%, SCIB 10.35% และ 12.98% ตามลำดับ
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า หุ้นบมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR ยังน่าลงทุน โดยคาดว่าไตรมาส 1/51 ผลการดำเนินงานจะขยายตัวในทิศทางที่ดี และมีโอกาสการทำกำไรจากราคาหุ้นค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาจากราคาหุ้นปัจจุบันที่ 37.75 บาท เทียบกับราคาพื้นฐานหรือราคาเป้าหมาย ขณะเดียวกัน PTTAR จะได้รับผลประโยชน์จากช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 2 ของทุกปี รวมถึงประโยชน์จากการควบรวมในปี 52 หลังโรงงาน ATC 2 เปิดดำเนินงานประมาณไตรมาส 3/51
ส่วนบมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ยังมีโอกาสทำกำไรได้ดี จากค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างดีในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้า เพราะจะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขับขี่ (Driving Season) ในสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่พื้นฐานบริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2551 จากการขยายกำลังการผลิตจากธุรกิจที่มีอยู่ (โรงกลั่นจาก 225 KBD เป็น 275 KBD และปิโตรเคมีจาก 4.2 แสนตันต่อปี เป็น 9 แสนตันต่อปี)
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้ประเมินหลักทรัพย์รายตัวดังนี้ CCET มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แนะนำให้ซื้อลงทุนในระยะกลาง เพราตามวงจรธุรกิจเทคโนโลยีที่จะต่ำสุดในไตรมาส 1 ก่อนจะเริ่มขยับขึ้นในไตรมาส 2 และดีที่สุดในไตรมาส 3 ขณะที่หุ้น TTA เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากในปีหน้าธุรกิจจะมีการแข่งขันที่รุนแรงจากจำนวนกองเรือเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าในปีนี้กำไรของบริษัทจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ส่วนหุ้น TPIPL หลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะสั้น แม้จะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี แต่ยังมีความเสี่ยงจากคดีความค่าปรับ 6.9 พันล้านบาท ที่ยังไม่สามารถประเมินความเสี่ยงได้ หุ้น TOP สามารถลงทุนทั้งระยะสั้น กลาง และระยะยาวได้ พื้นฐานดี คาดว่าปีนี้จะมีการเติบโตที่ดีจากการขยายกำลังการผลิต หุ้น PTTAR เหมาะกับการลงทุนระยะยาว ซึ่งคาดว่าโรงงานใหม่จะแล้วเสร็จช่วงปลายปี และจะช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างชัดเจนในปีหน้า จึงไม่เหมาะลงทุนในระยะสั้น
หุ้นบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท หรือ PS และ LH เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่เน้นกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดอัตราภาษี ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมาราคาปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง ซึ่งในระยะสั้นจะต้องติดตามผลการดำเนินงานไตรมาส 1/51 อย่างใกล้ชิด และจากราคาที่ปรับขึ้นมาค่อนข้างสูง ทำให้ในระยะสั้นมีโอกาสที่ราคาจะมีการปรับฐาน จึงแนะนำขายทำกำไร แล้วค่อยไปเก็บเพื่อลงทุนในระยะกลาง และระยะยาว
ส่วนหุ้น KSL เหมาะกับการลงทุนระยะกลางและระยะยาว บริษัทมีการขยายงาน มีโอกาสทำกำไรอยู่ แต่หุ้นไม่ค่อยมีสภาพคล่อง และหุ้นบมจ.ไทยพาณิชย์ (SCBX กลุ่มแบงก์ปีนี้จะกลับมาโดดเด่น จากการฟื้นตัวของการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการไม่ต้องตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่เหมือนปีที่ผ่านมา และแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาลง เหมาะกับการลงทุนทั้งระยะสั้น กลาง และระยะยาว
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000044122
3ตัวที่ราคาเกินกว่าราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ น่าจะเป็น LH,KSL,BEC นะผมว่า ไม่น่าใช่ BECL
:lol: :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/04/08
โพสต์ที่ 752
หุ้นนิมเฮปีแห่งการลงทุน
ริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด ได้วิเคราะห์ถึง นโยบายรัฐ
ริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด ได้วิเคราะห์ถึง นโยบายรัฐ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/04/08
โพสต์ที่ 753
ม.หอการค้าปรับเป้าจีดีพีปี51โต5.1%
17 เมษายน พ.ศ. 2551 12:46:00
ม.หอการค้าไทย ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 51 โต 5.1% ได้อานิสงส์กำลังซื้อประชาชนเพิ่มขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่เงินเฟ้อยังหลอนพุ่ง 4.8% ระบุเงื่อนไขการเมืองนิ่ง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยในการแถลงข่าวเรื่องสรุปภาวะเศรษฐกิจไทยแนวโน้มทั้งปี 51 ว่า ทั้งปี 51 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายต้วเพิ่มขึ้น ในระดับ 5.1%หรืออยู่ในกรอบ 5-5.5% ภายใต้สมมติฐาน ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปี 85-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล เงินเฟ้อระดับ 4.8% จากสาเหตุรคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน การส่งออกขยายตัว 10-12.5% เงินบาทอยู่ในกรอบ 30-31
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
การคาดการณ์เศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น จากคาดการณ์เดิมที่กำหนดไว้ 4..5-5% และปรับเพิ่มเป็น 5-5.5% มาจากทิศทางเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวได้ช่วงครึ่งหลังของปีจากกำลังซื้อประชาชนและการลงทุน แต่อัตราขยายตัวนี้จะเป็นไปได้กรณีที่การเมืองนิ่ง หรือมีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการประชาธิปไตย ดร.ธนวรรธน์ กล่าว
http://www.bangkokbiznews.com/2008/04/1 ... sid=248921
17 เมษายน พ.ศ. 2551 12:46:00
ม.หอการค้าไทย ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 51 โต 5.1% ได้อานิสงส์กำลังซื้อประชาชนเพิ่มขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่เงินเฟ้อยังหลอนพุ่ง 4.8% ระบุเงื่อนไขการเมืองนิ่ง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยในการแถลงข่าวเรื่องสรุปภาวะเศรษฐกิจไทยแนวโน้มทั้งปี 51 ว่า ทั้งปี 51 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายต้วเพิ่มขึ้น ในระดับ 5.1%หรืออยู่ในกรอบ 5-5.5% ภายใต้สมมติฐาน ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปี 85-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล เงินเฟ้อระดับ 4.8% จากสาเหตุรคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน การส่งออกขยายตัว 10-12.5% เงินบาทอยู่ในกรอบ 30-31
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
การคาดการณ์เศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น จากคาดการณ์เดิมที่กำหนดไว้ 4..5-5% และปรับเพิ่มเป็น 5-5.5% มาจากทิศทางเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวได้ช่วงครึ่งหลังของปีจากกำลังซื้อประชาชนและการลงทุน แต่อัตราขยายตัวนี้จะเป็นไปได้กรณีที่การเมืองนิ่ง หรือมีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการประชาธิปไตย ดร.ธนวรรธน์ กล่าว
http://www.bangkokbiznews.com/2008/04/1 ... sid=248921
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/04/08
โพสต์ที่ 754
หุ้นเช้าปิดบวก 11.38 จุด ตามหุ้นโลก Flow ไหลกลับ/Big cap
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 เมษายน 2551 13:06 น.
ภาวะตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับขึ้นตามคาด ทีดีกว่าคาดคือทะลุแนวต้าน 840 จุดขึ้นมา ในรอบสั้นอาจจะไป test high เดิมที่ 848-850 จุด เหตุนักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มนำเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นทั่วโลก หลังงบฯเริ่มทยอยออกมาในสหรัฐไม่ได้ย่ำแย่กว่าที่คาด ทำให้ความกลัวลดลงส่งผลให้ Flow เข้าต่อเนื่องในหุ้น Big cap โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน outperform ที่สุดในรอบนี้
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(17 เม.ย.) ดัชนีปิดตลาดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 844.76 จุด เพิ่มขึ้น 11.38 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +1.37% มูลค่าการซื้อขาย 14,915 ล้านบาท โดยบรรยากาศการซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 845.43 จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 838.54 จุด
แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุน เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นเช้านี้ปรับขึ้นตามที่คาด แต่ที่ดีกว่าคาดคือทะลุแนวต้านที่ 840 จุดขึ้นมาในรอบสั้นๆ อาจจะไป test ระดับ high เดิมที่ 848-850 จุด สาเหตุหลักน่าจะมาจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มนำเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นทั่วโลกหลังจากที่งบการเงินเริ่มมีการทยอยออกมาในสหรัฐไม่ได้ย่ำแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ น่าจะทำให้ความกลัวของตลาดหุ้นทั่วโลกลดลง
"คิดว่า Flow คงจะเข้ามาอย่างต่อเนื่องและคงจะเป็นหุ้น Big cap เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานน่าจะเป็นกลุ่มที่ outperform ที่สุดในรอบนี้"น.ส.มยุรี กล่าว
ทิศทางช่วงบ่ายคาดว่าจะยืนแถวๆนี้ ไม่น่าจะทะลุ 845 จุดไปได้ น่าจะ sideway ตรงนี้ เพราะตลาดหุ้นบ้านเราก็บวกขึ้นมาแรงวันนี้เป็นวันที่ 2 วอลุ่มเทรดหนาแน่นพอสมควร แต่คงไม่ได้เป็นขาขึ้นรวดเดียว
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
TOP มูลค่าการซื้อขาย 1,861.60 ล้านบาท ปิดที่ 75.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,802.72 ล้านบาท ปิดที่ 330.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท
PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 940.17 ล้านบาท ปิดที่ 39.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 718.00 ล้านบาท ปิดที่ 164.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท
IEC มูลค่าการซื้อขาย 626.47 ล้านบาท ปิดที่ 2.64 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000044931
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 เมษายน 2551 13:06 น.
ภาวะตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับขึ้นตามคาด ทีดีกว่าคาดคือทะลุแนวต้าน 840 จุดขึ้นมา ในรอบสั้นอาจจะไป test high เดิมที่ 848-850 จุด เหตุนักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มนำเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นทั่วโลก หลังงบฯเริ่มทยอยออกมาในสหรัฐไม่ได้ย่ำแย่กว่าที่คาด ทำให้ความกลัวลดลงส่งผลให้ Flow เข้าต่อเนื่องในหุ้น Big cap โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน outperform ที่สุดในรอบนี้
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(17 เม.ย.) ดัชนีปิดตลาดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 844.76 จุด เพิ่มขึ้น 11.38 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +1.37% มูลค่าการซื้อขาย 14,915 ล้านบาท โดยบรรยากาศการซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 845.43 จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 838.54 จุด
แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุน เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นเช้านี้ปรับขึ้นตามที่คาด แต่ที่ดีกว่าคาดคือทะลุแนวต้านที่ 840 จุดขึ้นมาในรอบสั้นๆ อาจจะไป test ระดับ high เดิมที่ 848-850 จุด สาเหตุหลักน่าจะมาจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มนำเงินกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นทั่วโลกหลังจากที่งบการเงินเริ่มมีการทยอยออกมาในสหรัฐไม่ได้ย่ำแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ น่าจะทำให้ความกลัวของตลาดหุ้นทั่วโลกลดลง
"คิดว่า Flow คงจะเข้ามาอย่างต่อเนื่องและคงจะเป็นหุ้น Big cap เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานน่าจะเป็นกลุ่มที่ outperform ที่สุดในรอบนี้"น.ส.มยุรี กล่าว
ทิศทางช่วงบ่ายคาดว่าจะยืนแถวๆนี้ ไม่น่าจะทะลุ 845 จุดไปได้ น่าจะ sideway ตรงนี้ เพราะตลาดหุ้นบ้านเราก็บวกขึ้นมาแรงวันนี้เป็นวันที่ 2 วอลุ่มเทรดหนาแน่นพอสมควร แต่คงไม่ได้เป็นขาขึ้นรวดเดียว
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
TOP มูลค่าการซื้อขาย 1,861.60 ล้านบาท ปิดที่ 75.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,802.72 ล้านบาท ปิดที่ 330.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท
PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 940.17 ล้านบาท ปิดที่ 39.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 718.00 ล้านบาท ปิดที่ 164.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท
IEC มูลค่าการซื้อขาย 626.47 ล้านบาท ปิดที่ 2.64 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000044931
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/04/08
โพสต์ที่ 755
ม.หอการค้าไทยคาดส่งออกปีนี้โต 12.8%
Posted on Monday, April 21, 2008
นายอัทธ์ พิศาลวนิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า การส่งออกของไทยปีนี้จะขยายตัว 12.8% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.72 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราค่าเงินบาทที่ระดับ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่คาดว่าการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ จะติดลบ 0.32% ซึ่งถือเป็นการส่งออกที่ติดลบต่อเนื่องจากปี 2550 ที่ติดลบอยู่ที่ 1.2% เนื่องจากปัญหา Subprime
ทั้งนี้ จากผลสำรวจผู้ส่งออกทั่วประเทศ 7 สาขาหลัก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์พลาสติก พบว่า ผู้ส่งออกส่วนใหญ่กว่า 54% เห็นว่า ปัญหา Subprime สหรัฐฯ ไม่กระทบต่อการส่งออก ขณะที่ผู้ส่งออกเกือบ 46% เห็นว่า ปัญหา Subprime จะกระทบต่อการส่งออก และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวช่วงไตรมาสที่ 1/2552
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกมากที่สุด คือ ค่าเงินบาท 60.39% รองลงมาคือ ปัญหา Subprime 25.32% และปัจจัยราคาน้ำมัน 9.09%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Monday, April 21, 2008
นายอัทธ์ พิศาลวนิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า การส่งออกของไทยปีนี้จะขยายตัว 12.8% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.72 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราค่าเงินบาทที่ระดับ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่คาดว่าการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ จะติดลบ 0.32% ซึ่งถือเป็นการส่งออกที่ติดลบต่อเนื่องจากปี 2550 ที่ติดลบอยู่ที่ 1.2% เนื่องจากปัญหา Subprime
ทั้งนี้ จากผลสำรวจผู้ส่งออกทั่วประเทศ 7 สาขาหลัก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์พลาสติก พบว่า ผู้ส่งออกส่วนใหญ่กว่า 54% เห็นว่า ปัญหา Subprime สหรัฐฯ ไม่กระทบต่อการส่งออก ขณะที่ผู้ส่งออกเกือบ 46% เห็นว่า ปัญหา Subprime จะกระทบต่อการส่งออก และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวช่วงไตรมาสที่ 1/2552
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกมากที่สุด คือ ค่าเงินบาท 60.39% รองลงมาคือ ปัญหา Subprime 25.32% และปัจจัยราคาน้ำมัน 9.09%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/04/08
โพสต์ที่ 756
Breaking News
AYS+FES+SCIBS+DBSV เชื่อสัปดาห์นี้ หุ้นไทยแกว่งแคบ ๆ แนะรอจังหวะซื้อ BANK+PROP
Posted on Monday, April 21, 2008
โดยฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา (AYS) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มทิศทางบวกในระยะสั้น โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และหุ้นใหญ่หลายตัว ดันดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้ทดสอบ 860 - 870 จุด
แต่กลยุทธ์การลงทุนจะมี 2 แนวทางคือ ผู้ที่ถือครองหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีให้ Let the profit run หรือถือต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่ยังไม่มีการถือครองหุ้น แนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นสำคัญคือ PTT, PTTEP, และ TOP และกลุ่มธนาคารเช่น KBANK, SCB และหุ้นสื่อสารที่คาดว่าจะมีผลประกอบการดีเช่น DTAC
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคาร ได้ประกาศกำไรในบางธนาคารใหญ่และส่วนที่เหลือจะประกาศครบในต้นสัปดาห์นี้ โดยภาพรวมแล้วออกมาดีกว่าคาด ไม่ว่าจะเป็น BBL, KBANK, TMB, SCIB, และ KTB (ในส่วนของ KTB ที่ดีกว่าคาด เป็นผลมาจากกำไรจากเงินลงทุนที่สูงกว่าคาดมาก แต่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยังมีความกังวลต่อหนี้ NPL ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกดดันให้ Coverage Ratio ลดลงอยู่ที่เพียง 34.9%)
อย่างไรก็ตาม อาจมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มธนาคารเมื่อมีการประกาศผลกำไรหรือที่เรียกว่า Sell on Fact เกิดขึ้น ดังนั้น หากมีการอ่อนตัวลงของกลุ่มจะเป็นจังหวะที่สามารถซื้อเก็งกำไรสั้นได้
สำหรับกลุ่มพลังงาน ในระยะสั้นคาดว่าจะมีแรงซื้อเข้าสู่กลุ่มพลังงานมากขึ้นด้วยราคาขึ้นมันที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยเงื่อนเวลาที่จะประกาศผลประกอบการของกลุ่มจะอยู่ในช่วงต้นเดือน หรือกลางเดือนพฤษภาคม คาดว่าหุ้นพื้นฐานใหญ่ทั้ง 3 คือ PTT, PTTEP และ TOP จะมีแรงซื้อที่ต่อเนื่องและจะเป็นกลุ่มที่ป้องกันความเสี่ยงทางลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้
ส่วนกลุ่มสื่อสารและกลุ่มที่ดิน คาดว่ากลุ่มสื่อสารใหญ่เช่น ADVANC และ DTAC จะมีแรงซื้อเช่นกัน ตามความคาดหวังเรื่องผลประกอบการที่จะเติบโตเช่นกัน ในขณะที่กลุ่มที่ดินนั้นได้มีการปรับตัวของราคาหุ้นค่อนข้างสูงจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ แต่จากการคาดการณ์ว่าแนวโน้มผลประกอบการรวมทั้งกลุ่ม ในไตรมาสแรก จะยังไม่มีนัยสำคัญหรือดีมากพอ (ยังไม่ได้รับผลสะท้อนเชิงบวกจากมาตรการดังกล่าว) ซึ่งอาจจะส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มที่ดินมีการปรับฐานทางลงสวนกับสภาวะตลาดขาขึ้นได้
ด้านฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเกอร์ส (DBSV) ชี้ว่า สัปดาห์นี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ น่าจะปรับขึ้นก่อนในช่วงต้น เพราะ 3 เหตุผล ประการแรก แรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาสแรก ประการที่สอง ไม่มีปัจจัยลบใหม่ ๆ ในประเทศ และประการที่สาม ความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศน้อยลง หลังผลประกอบการ
หลายบริษัทยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริษัทที่มีแหล่งรายได้จากต่างประเทศ และมีความหวังว่าวิกฤติสินเชื่อใกล้สิ้นสุดแล้ว อย่างไรก็ตามมีสิทธิตามมาด้วยการแกว่งหรืออ่อนตัว ทั้งนี้เพราะปัจจัยภายในและภายนอกยังไม่นิ่งและราบรื่นเสียทีเดียว
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน จะต้องเล่นรอบ ซื้อตามด้วยค่าบวกที่ไม่กระโดดมาก แต่ถ้าปรับขึ้นแรงให้ปรับกลยุทธ์เป็นขายทำกำไรออกไปก่อน โดยหุ้นเด่นประจำสัปดาห์ ได้แก่ BBL, KTB, THCOM, BGH, AP, QH, PS, ROJANA และ CPF
ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย (SCIBS) มองว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องในต้นสัปดาห์นี้ ก่อนเผชิญแรงเทขายทำกำไรในช่วงกลางสัปดาห์ เนื่องจากการกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดเอเซีย และ ตลาดหุ้นไทย (Fund flows) ได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ แต่ในรอบสัปดาห์นี้ ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก เพราะตลาดได้คาดการณ์ไว้แล้วว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Funds) 0.25% ในการประชุมวันที่ 29 - 30 เมษายนนี้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้กองทุนสามารถกลับมามีทำ Yen carry trade ได้
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนประจำสัปดาห์นี้ SCIBS แนะซื้อหุ้นกลุ่ม commodities (PTTEP,TSTH,TVO,TTA) จากแนวโน้มราคา น้ำมันดิบ, เหล็ก, ถ่านหิน, สินค้าเกษตร และ ค่าระวางเรือ ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรกดี อย่าง TOP,AMATA รวมถึง TSTH ด้วย
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคาร แนะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว เพราะประเมินว่า จะมีแรงขายทำกำไรออกมา (Sale on fact) หลังจากรายงานผลประกอบการ
นอกจากนั้น นักลงทุนจะต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย โดยเฉพาะการประกาศอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางแคนาดา ในคืนวันนี้ ต่อด้วยยอดขายบ้านมือสองสหรัฐ ในคืนวันอังคาร ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และยอดขายบ้านใหม่ ในคืนวันพฤหัสบดี และดัชนีความเชื่อมั่น ที่จัดทำโดยรอยเตอร์ และมหาวิทยาลัยมิชิแกน ในคืนวันศุกร์
ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ (FES) เชื่อว่า ในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะถูกกดดันจากแรงขายทำกำไรบางส่วนสำหรับหุ้นกลุ่ม Bank เช่นเดียวกับกลุ่มพลังงานที่อาจถูกขายทำกำไรหากราคาน้ำมันปรับลงจาก New High จึงแนะนำให้หาจังหวะขายทำกำไรกลุ่มพลังงานออกบางส่วน
ส่วนหุ้น IPO อย่าง ESSO ที่เริ่มจองวันนี้และวันพรุ่งนี้ แนะนำเพียงจองซื้อเพื่อเก็งกำไร เนื่องจากหากกำหนดราคา IPO ในขั้นสูงจากช่วงราคา 9 - 13 บาท ระดับ P/E ปีนี้ จะอยู่ที่ราว 7 เท่าซึ่งใกล้เคียงกับ TOP ทำให้ TOP น่าสนใจมากกว่า
ด้านหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง สัปดาห์นี้มีข่าวบวกจาก รฟม. ที่จะขายซองประมูลสายสีม่วงในวันนี้ แนะนำเก็งกำไร ITD,CK, STEC พร้อมกับเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเหล็กแนะนำ TSTH, GSTEEL เพื่อเก็งผลประกอบการไตรมาสแรกด้วย
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แม้จะมีการขยายมาตรการกระตุ้นธุรกิจเพิ่มเติม โดยลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2.00% เหลือ 0.01% ให้กับประชาชนที่ปลูกที่อยู่อาศัยเองบนที่ดินขนาดไม่เกิน 1 ไร่ แนะนำตั้งรับซื้อ โดยทยอยสะสม QH, LH, PF, AMATA ส่วน BANK แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ยังไม่ประกาศผลประกอบการคือ SCB, BAY ตามด้วย Theme Commodity Boom แนะนำ TTA,UMS และ TVO
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
AYS+FES+SCIBS+DBSV เชื่อสัปดาห์นี้ หุ้นไทยแกว่งแคบ ๆ แนะรอจังหวะซื้อ BANK+PROP
Posted on Monday, April 21, 2008
โดยฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา (AYS) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มทิศทางบวกในระยะสั้น โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และหุ้นใหญ่หลายตัว ดันดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้ทดสอบ 860 - 870 จุด
แต่กลยุทธ์การลงทุนจะมี 2 แนวทางคือ ผู้ที่ถือครองหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีให้ Let the profit run หรือถือต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่ยังไม่มีการถือครองหุ้น แนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นสำคัญคือ PTT, PTTEP, และ TOP และกลุ่มธนาคารเช่น KBANK, SCB และหุ้นสื่อสารที่คาดว่าจะมีผลประกอบการดีเช่น DTAC
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคาร ได้ประกาศกำไรในบางธนาคารใหญ่และส่วนที่เหลือจะประกาศครบในต้นสัปดาห์นี้ โดยภาพรวมแล้วออกมาดีกว่าคาด ไม่ว่าจะเป็น BBL, KBANK, TMB, SCIB, และ KTB (ในส่วนของ KTB ที่ดีกว่าคาด เป็นผลมาจากกำไรจากเงินลงทุนที่สูงกว่าคาดมาก แต่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยังมีความกังวลต่อหนี้ NPL ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกดดันให้ Coverage Ratio ลดลงอยู่ที่เพียง 34.9%)
อย่างไรก็ตาม อาจมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มธนาคารเมื่อมีการประกาศผลกำไรหรือที่เรียกว่า Sell on Fact เกิดขึ้น ดังนั้น หากมีการอ่อนตัวลงของกลุ่มจะเป็นจังหวะที่สามารถซื้อเก็งกำไรสั้นได้
สำหรับกลุ่มพลังงาน ในระยะสั้นคาดว่าจะมีแรงซื้อเข้าสู่กลุ่มพลังงานมากขึ้นด้วยราคาขึ้นมันที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยเงื่อนเวลาที่จะประกาศผลประกอบการของกลุ่มจะอยู่ในช่วงต้นเดือน หรือกลางเดือนพฤษภาคม คาดว่าหุ้นพื้นฐานใหญ่ทั้ง 3 คือ PTT, PTTEP และ TOP จะมีแรงซื้อที่ต่อเนื่องและจะเป็นกลุ่มที่ป้องกันความเสี่ยงทางลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้
ส่วนกลุ่มสื่อสารและกลุ่มที่ดิน คาดว่ากลุ่มสื่อสารใหญ่เช่น ADVANC และ DTAC จะมีแรงซื้อเช่นกัน ตามความคาดหวังเรื่องผลประกอบการที่จะเติบโตเช่นกัน ในขณะที่กลุ่มที่ดินนั้นได้มีการปรับตัวของราคาหุ้นค่อนข้างสูงจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ แต่จากการคาดการณ์ว่าแนวโน้มผลประกอบการรวมทั้งกลุ่ม ในไตรมาสแรก จะยังไม่มีนัยสำคัญหรือดีมากพอ (ยังไม่ได้รับผลสะท้อนเชิงบวกจากมาตรการดังกล่าว) ซึ่งอาจจะส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มที่ดินมีการปรับฐานทางลงสวนกับสภาวะตลาดขาขึ้นได้
ด้านฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเกอร์ส (DBSV) ชี้ว่า สัปดาห์นี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ น่าจะปรับขึ้นก่อนในช่วงต้น เพราะ 3 เหตุผล ประการแรก แรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาสแรก ประการที่สอง ไม่มีปัจจัยลบใหม่ ๆ ในประเทศ และประการที่สาม ความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศน้อยลง หลังผลประกอบการ
หลายบริษัทยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริษัทที่มีแหล่งรายได้จากต่างประเทศ และมีความหวังว่าวิกฤติสินเชื่อใกล้สิ้นสุดแล้ว อย่างไรก็ตามมีสิทธิตามมาด้วยการแกว่งหรืออ่อนตัว ทั้งนี้เพราะปัจจัยภายในและภายนอกยังไม่นิ่งและราบรื่นเสียทีเดียว
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน จะต้องเล่นรอบ ซื้อตามด้วยค่าบวกที่ไม่กระโดดมาก แต่ถ้าปรับขึ้นแรงให้ปรับกลยุทธ์เป็นขายทำกำไรออกไปก่อน โดยหุ้นเด่นประจำสัปดาห์ ได้แก่ BBL, KTB, THCOM, BGH, AP, QH, PS, ROJANA และ CPF
ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย (SCIBS) มองว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องในต้นสัปดาห์นี้ ก่อนเผชิญแรงเทขายทำกำไรในช่วงกลางสัปดาห์ เนื่องจากการกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดเอเซีย และ ตลาดหุ้นไทย (Fund flows) ได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ แต่ในรอบสัปดาห์นี้ ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก เพราะตลาดได้คาดการณ์ไว้แล้วว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Funds) 0.25% ในการประชุมวันที่ 29 - 30 เมษายนนี้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้กองทุนสามารถกลับมามีทำ Yen carry trade ได้
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนประจำสัปดาห์นี้ SCIBS แนะซื้อหุ้นกลุ่ม commodities (PTTEP,TSTH,TVO,TTA) จากแนวโน้มราคา น้ำมันดิบ, เหล็ก, ถ่านหิน, สินค้าเกษตร และ ค่าระวางเรือ ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรกดี อย่าง TOP,AMATA รวมถึง TSTH ด้วย
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคาร แนะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว เพราะประเมินว่า จะมีแรงขายทำกำไรออกมา (Sale on fact) หลังจากรายงานผลประกอบการ
นอกจากนั้น นักลงทุนจะต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย โดยเฉพาะการประกาศอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางแคนาดา ในคืนวันนี้ ต่อด้วยยอดขายบ้านมือสองสหรัฐ ในคืนวันอังคาร ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และยอดขายบ้านใหม่ ในคืนวันพฤหัสบดี และดัชนีความเชื่อมั่น ที่จัดทำโดยรอยเตอร์ และมหาวิทยาลัยมิชิแกน ในคืนวันศุกร์
ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ (FES) เชื่อว่า ในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะถูกกดดันจากแรงขายทำกำไรบางส่วนสำหรับหุ้นกลุ่ม Bank เช่นเดียวกับกลุ่มพลังงานที่อาจถูกขายทำกำไรหากราคาน้ำมันปรับลงจาก New High จึงแนะนำให้หาจังหวะขายทำกำไรกลุ่มพลังงานออกบางส่วน
ส่วนหุ้น IPO อย่าง ESSO ที่เริ่มจองวันนี้และวันพรุ่งนี้ แนะนำเพียงจองซื้อเพื่อเก็งกำไร เนื่องจากหากกำหนดราคา IPO ในขั้นสูงจากช่วงราคา 9 - 13 บาท ระดับ P/E ปีนี้ จะอยู่ที่ราว 7 เท่าซึ่งใกล้เคียงกับ TOP ทำให้ TOP น่าสนใจมากกว่า
ด้านหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง สัปดาห์นี้มีข่าวบวกจาก รฟม. ที่จะขายซองประมูลสายสีม่วงในวันนี้ แนะนำเก็งกำไร ITD,CK, STEC พร้อมกับเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเหล็กแนะนำ TSTH, GSTEEL เพื่อเก็งผลประกอบการไตรมาสแรกด้วย
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แม้จะมีการขยายมาตรการกระตุ้นธุรกิจเพิ่มเติม โดยลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2.00% เหลือ 0.01% ให้กับประชาชนที่ปลูกที่อยู่อาศัยเองบนที่ดินขนาดไม่เกิน 1 ไร่ แนะนำตั้งรับซื้อ โดยทยอยสะสม QH, LH, PF, AMATA ส่วน BANK แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ยังไม่ประกาศผลประกอบการคือ SCB, BAY ตามด้วย Theme Commodity Boom แนะนำ TTA,UMS และ TVO
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/04/08
โพสต์ที่ 757
10กองทุนยักษ์เพิ่มน้ำหนักเอเชีย
โพสต์ทูเดย์ ธนาคารเอชเอสบีซี สำรวจผู้จัดการกองทุนชั้นนำ 10 แห่ง พบไตรมาสแรกเน้นถือเงินสดมากกว่าลุยหุ้นและพันธบัตร
ผลสำรวจของธนาคารเอชเอส บีซี เปิดเผยว่า ผู้จัดการกองทุน 62% ให้น้ำหนักมากขึ้นกับการถือเงินสด เทียบกับการสำรวจช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา พบว่ามีเพียง 25% เท่านั้น นอกจากนี้ 38% ของผู้จัดการกองทุนเหล่านี้ยังได้ ลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหุ้น โดยให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นในเอเชียแปซิฟิก ด้านตลาดพันธบัตร กลุ่มสำรวจให้น้ำหนักน้อยลง 50%
ผู้จัดการกองทุนที่ร่วมในการสำรวจครั้งนี้ทั้ง 10 แห่ง ได้แก่ อลิอันซ์ เบิร์นสไตน์ อินเวสเมนท์, อลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์, แบริ่ง แอสเซ็ท แมเนจเมนท์, แบล็คร็อค เมอร์ริล ลินช์ แมเนเจอร์, ฟิเดลิตี้ อินเวสเมนท์ แมเนจเมนท์, อินเวสโค แอสเส็ท แมเนจเมนท์ และ เจเอฟ แอสเส็ท แมเนจเมนท์ แอนด์ ชโรเดอร์
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2007 ยอดเงินกองทุนภายใต้การบริหารของบริษัทจัดการกองทุนที่ร่วมในการสำรวจทั้ง 10 แห่ง มีจำนวน 4.85 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 152 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2006 คิดเป็น 16.2%
นายบรูโน ลี ผู้อำนวยการ บริหาร แผนกบริหารความมั่งคั่ง ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวว่า นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะรักษาสภาพคล่องในมือไว้ให้พร้อมสำหรับการลงทุนเมื่อตลาดเปิดโอกาสและให้ผลตอบแทนที่ดี
นักลงทุนยังเป็นห่วงผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตซับไพรม์และภาวะวิกฤตของตลาดสินเชื่อทั่วโลก พันธบัตรจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเลี่ยงความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก นายลี กล่าว
นายลี กล่าวว่า ในไตรมาส สุดท้ายของปีที่แล้ว ผู้จัดการกองทุนหลายแห่งพักเงินไว้ในกองทุน ที่ลงทุนในตลาดเงิน ซึ่งภายในไตรมาสเดียวให้ผลตอบแทนสูงถึง 7.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=233905
โพสต์ทูเดย์ ธนาคารเอชเอสบีซี สำรวจผู้จัดการกองทุนชั้นนำ 10 แห่ง พบไตรมาสแรกเน้นถือเงินสดมากกว่าลุยหุ้นและพันธบัตร
ผลสำรวจของธนาคารเอชเอส บีซี เปิดเผยว่า ผู้จัดการกองทุน 62% ให้น้ำหนักมากขึ้นกับการถือเงินสด เทียบกับการสำรวจช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา พบว่ามีเพียง 25% เท่านั้น นอกจากนี้ 38% ของผู้จัดการกองทุนเหล่านี้ยังได้ ลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหุ้น โดยให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นในเอเชียแปซิฟิก ด้านตลาดพันธบัตร กลุ่มสำรวจให้น้ำหนักน้อยลง 50%
ผู้จัดการกองทุนที่ร่วมในการสำรวจครั้งนี้ทั้ง 10 แห่ง ได้แก่ อลิอันซ์ เบิร์นสไตน์ อินเวสเมนท์, อลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์, แบริ่ง แอสเซ็ท แมเนจเมนท์, แบล็คร็อค เมอร์ริล ลินช์ แมเนเจอร์, ฟิเดลิตี้ อินเวสเมนท์ แมเนจเมนท์, อินเวสโค แอสเส็ท แมเนจเมนท์ และ เจเอฟ แอสเส็ท แมเนจเมนท์ แอนด์ ชโรเดอร์
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2007 ยอดเงินกองทุนภายใต้การบริหารของบริษัทจัดการกองทุนที่ร่วมในการสำรวจทั้ง 10 แห่ง มีจำนวน 4.85 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 152 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2006 คิดเป็น 16.2%
นายบรูโน ลี ผู้อำนวยการ บริหาร แผนกบริหารความมั่งคั่ง ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวว่า นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะรักษาสภาพคล่องในมือไว้ให้พร้อมสำหรับการลงทุนเมื่อตลาดเปิดโอกาสและให้ผลตอบแทนที่ดี
นักลงทุนยังเป็นห่วงผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตซับไพรม์และภาวะวิกฤตของตลาดสินเชื่อทั่วโลก พันธบัตรจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเลี่ยงความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก นายลี กล่าว
นายลี กล่าวว่า ในไตรมาส สุดท้ายของปีที่แล้ว ผู้จัดการกองทุนหลายแห่งพักเงินไว้ในกองทุน ที่ลงทุนในตลาดเงิน ซึ่งภายในไตรมาสเดียวให้ผลตอบแทนสูงถึง 7.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=233905
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/04/08
โพสต์ที่ 758
ข้าวขายดีดันดุลการค้าฟื้น
โพสต์ทูเดย์ ส่งออก มี.ค. ทำลายสถิติสูงสุดอีกแล้ว มูลค่าทะลุ 1.47 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.4% พลิกกลับมาเกินดุล 160 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ส่งออกเดือน มี.ค. มีมูลค่า 14,764 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.4% เป็นตัวเลขการส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับการนำเข้ามีมูลค่า 14,604 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 32.68% ส่งผลให้ไทยกลับมาเกินดุลการค้าครั้งแรกรอบปีนี้ 160 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ในช่วง 2 เดือนแรกขาดดุลการค้าติดต่อกัน
ขณะที่การส่งออกสินค้าเฉลี่ย 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) ปีนี้ มีมูลค่า 41,716 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม ขึ้น 20.8% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 42,898 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 38% ส่งผลให้ดุลการค้าไทย 3 เดือนแรก ไทยยังขาดดุลอยู่ 1,182 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทประมาณ 53,660 ล้านบาท
การส่งออกในเดือน มี.ค. ที่ ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นนั้น เป็นผลจาก สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ส่วนใหญ่ส่งออกได้เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า โดยมีการขยายตัวสูงถึง 32%
สินค้าสำคัญที่ส่งออกได้เพิ่มขึ้น เช่น ข้าว เพิ่มขึ้น 143.8% อาหารทะเลกระป๋อง เพิ่มขึ้น 29.6% กุ้งแช่แข็งและแปรรูป 1.6% ยางพารา เพิ่มขึ้น 23.9% ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพิ่มขึ้น 39.7% อาหาร เพิ่มขึ้น 17.5%
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 11.8% สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นเกิน 15% เช่น ยานยนต์และส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น 10-15% เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัชและเครื่องมือแพทย์
สำหรับการนำเข้าในเดือน มี.ค. ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 64.7%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=233893
โพสต์ทูเดย์ ส่งออก มี.ค. ทำลายสถิติสูงสุดอีกแล้ว มูลค่าทะลุ 1.47 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.4% พลิกกลับมาเกินดุล 160 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ส่งออกเดือน มี.ค. มีมูลค่า 14,764 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.4% เป็นตัวเลขการส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับการนำเข้ามีมูลค่า 14,604 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 32.68% ส่งผลให้ไทยกลับมาเกินดุลการค้าครั้งแรกรอบปีนี้ 160 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ในช่วง 2 เดือนแรกขาดดุลการค้าติดต่อกัน
ขณะที่การส่งออกสินค้าเฉลี่ย 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) ปีนี้ มีมูลค่า 41,716 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม ขึ้น 20.8% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 42,898 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 38% ส่งผลให้ดุลการค้าไทย 3 เดือนแรก ไทยยังขาดดุลอยู่ 1,182 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทประมาณ 53,660 ล้านบาท
การส่งออกในเดือน มี.ค. ที่ ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นนั้น เป็นผลจาก สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ส่วนใหญ่ส่งออกได้เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า โดยมีการขยายตัวสูงถึง 32%
สินค้าสำคัญที่ส่งออกได้เพิ่มขึ้น เช่น ข้าว เพิ่มขึ้น 143.8% อาหารทะเลกระป๋อง เพิ่มขึ้น 29.6% กุ้งแช่แข็งและแปรรูป 1.6% ยางพารา เพิ่มขึ้น 23.9% ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพิ่มขึ้น 39.7% อาหาร เพิ่มขึ้น 17.5%
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 11.8% สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นเกิน 15% เช่น ยานยนต์และส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น 10-15% เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัชและเครื่องมือแพทย์
สำหรับการนำเข้าในเดือน มี.ค. ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 64.7%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=233893
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/04/08
โพสต์ที่ 759
ธปท.ปรับขึ้นเศรษฐกิจ 51 โต 4.8-6% [23 เม.ย. 51 - 04:24]
นางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายนโยบายการเงิน แถลงข่าวปรับขึ้นประมาณการเศรษฐกิจปี 2551 เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และราคาสินค้าเกษตรที่ดีขึ้นในตลาดโลกที่ดีขึ้นมาก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกปีนี้ของไทยไม่ลดต่ำลงอย่างที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวดีขึ้น นอกจากนั้น ยังมีผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จึงปรับขึ้นประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้เป็น 4.8-6% จากประมาณการเดิมที่ 4.5-6%
ทั้งนี้ ธปท.ได้ปรับขึ้นการคาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรสำคัญ 12 ชนิด ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกของไทยจากเดิมคาดว่าราคาจะสูงขึ้น 7% เพิ่มขึ้นเป็น 35% จากระยะเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มการคาดการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจาก 4.8% เป็น 14.2% รวมทั้งปรับเพิ่มประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2551 จาก 85.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็น 112.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ได้ปรับลดประมาณการกดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงจากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 4.9% ลงมาเหลือ 4.5%
ราคาสินค้า และราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งมาตรการควบคุมราคาของรัฐที่อาจจะไม่ทำให้ราคาลดลงมากนัก ส่งผลให้แรงส่งผ่านของปัจจัยราคาต่อต้นทุนการผลิตจะรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ธปท.จึงได้ปรับประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้น จาก 2.8-4% เป็น 4-5% และเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อพื้นฐานจาก 1.3-2.3% เป็น 1.5-2.5% โดยความเสี่ยงที่สำคัญในขณะนี้ คือ ความเชื่อมั่นของประชาชน และนักลงทุน ซึ่งยังไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ หากสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ก็จะส่งผลดีต่อการลงทุน และการบริโภค
ด้านนายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า ในเดือน มี.ค.51 มีมูลค่าส่งออก 14,764.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 14.4% ขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 14,604.7 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 32.68% เกินดุลการค้า 159.8 ล้านเหรียญฯ โดยสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร ขยายตัวสูงถึง 32%
ส่วนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นมาก โดยน้ำมันมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 21% จากเดิม 10% นอกจากนั้น การนำเข้าสินค้าทุน และวัตถุดิบก็เพิ่มขึ้น ขณะที่ 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) 51 มีมูลค่าส่งออก 41,715.9 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 20.8% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 42,898.3 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 38% ขาดดุลการค้า 1,182.4 ล้านเหรียญฯ.
http://www.thairath.co.th/news.php?sect ... tent=87113
นางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายนโยบายการเงิน แถลงข่าวปรับขึ้นประมาณการเศรษฐกิจปี 2551 เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และราคาสินค้าเกษตรที่ดีขึ้นในตลาดโลกที่ดีขึ้นมาก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกปีนี้ของไทยไม่ลดต่ำลงอย่างที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวดีขึ้น นอกจากนั้น ยังมีผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จึงปรับขึ้นประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้เป็น 4.8-6% จากประมาณการเดิมที่ 4.5-6%
ทั้งนี้ ธปท.ได้ปรับขึ้นการคาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรสำคัญ 12 ชนิด ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกของไทยจากเดิมคาดว่าราคาจะสูงขึ้น 7% เพิ่มขึ้นเป็น 35% จากระยะเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มการคาดการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจาก 4.8% เป็น 14.2% รวมทั้งปรับเพิ่มประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2551 จาก 85.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็น 112.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ได้ปรับลดประมาณการกดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงจากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 4.9% ลงมาเหลือ 4.5%
ราคาสินค้า และราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งมาตรการควบคุมราคาของรัฐที่อาจจะไม่ทำให้ราคาลดลงมากนัก ส่งผลให้แรงส่งผ่านของปัจจัยราคาต่อต้นทุนการผลิตจะรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ธปท.จึงได้ปรับประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้น จาก 2.8-4% เป็น 4-5% และเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อพื้นฐานจาก 1.3-2.3% เป็น 1.5-2.5% โดยความเสี่ยงที่สำคัญในขณะนี้ คือ ความเชื่อมั่นของประชาชน และนักลงทุน ซึ่งยังไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ หากสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ก็จะส่งผลดีต่อการลงทุน และการบริโภค
ด้านนายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า ในเดือน มี.ค.51 มีมูลค่าส่งออก 14,764.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 14.4% ขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 14,604.7 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 32.68% เกินดุลการค้า 159.8 ล้านเหรียญฯ โดยสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร ขยายตัวสูงถึง 32%
ส่วนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นมาก โดยน้ำมันมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 21% จากเดิม 10% นอกจากนั้น การนำเข้าสินค้าทุน และวัตถุดิบก็เพิ่มขึ้น ขณะที่ 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) 51 มีมูลค่าส่งออก 41,715.9 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 20.8% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 42,898.3 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 38% ขาดดุลการค้า 1,182.4 ล้านเหรียญฯ.
http://www.thairath.co.th/news.php?sect ... tent=87113
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/04/08
โพสต์ที่ 760
หุ้นเกษตร-อาหารยิ้มรับส่งออก
หุ้นส่งออกลิงโลดรับยอดส่งออกมี.ค.พุ่ง 14.41% โดยเฉพาะกลุ่มเกษตร และอาหาร สดใสแซงกลุ่มอื่น ได้ทีราคาสินค้าขยับขึ้นตามราคาข้าว ส่วนยานยนต์รับอานิสงส์ค่ายรถยักษ์ใหญ่สั่งออร์เดอร์เพิ่ม ขณะที่กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ยังโดนพิษบาทแข็ง รอลุ้นออร์เดอร์เพิ่มหนุนราคาหุ้น ชูCPF-TVO-TIPCO-TUF รับประโยชน์สูงสุด ตามด้วยSTANLEY และSAT
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบ็ก จำกัด กล่าวว่า ยอดส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคม2551ขยายตัวขึ้น 14.41% หรือคิดเป็นมูลค่า 14,764 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเกษตร และอาหาร ซึ่งราคาสินค้ามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามราคาข้าว ซึ่งหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลดี ได้แก่ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) CPF จากราคากุ้งแช่แข็งมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และ บริษัทไทยยูเนียน โปรเซ่นส์ โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) TUF เนื่องจากราคาปลาทูน่าที่เพิ่มสูงขึ้น
ยอดส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มการเกษตร และกลุ่มอาหารที่มีราคาที่เพิ่มขึ้นตามราคาข้าว นายวรุตม์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มยานยนต์ได้รับผลดีจากราคาหุ้นที่จะปรับเพิ่มขึ้น คือ บริษัท ไทยสแตนเลย์-การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) STANLY และบริษัท สมบูรณ์ แอ็ดวานซ์ จำกัด (มหาชน) SAT เนื่องจากบริษัทฮอนด้า และบริษัทโตโยต้า ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และสั่งซื้อสินค้าจาก STANLY และ SATเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อาจส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้ส่งออกอิงกับเงินดอลลาร์มีต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้นแต่ผลกำไรกลับลดลง ขณะเดียวกันในเดือนมี.ค.2551 ไทยยังมีดุลการค้าเกินดุล และเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ส่วนการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพราะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ยังตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถ้าเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ ดังนั้นคาดว่ายอดส่งออกในไตรมาส 2/2551อาจชะลอตัวลง
ไทยยังเป็นคู่ค้ากับสหรัฐถึง 11% ขณะเดียวกันถ้าภาคส่งออกของไทยไม่มีการหาตลาดใหม่เข้ามาทดแทนสหรัฐ และเชื่อว่าในไตรมาส 2/2551 ภาคส่งออกจะชะลอตัว นายวรุตม์ กล่าว
นายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มหลักที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการส่งออกคือ กลุ่มเกษตรเป็นหลัก โดยหุ้นที่น่าสนใจและแนะนำซื้อ ได้แก่ CPF ให้ราคาเหมาะสม 6.00-7.00 บาท เพราะคาดว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าหากวิกฤติราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์เพราะเป็นบริษัทที่ผลิตอาหารแบบครบวงจร และจะเป็นบริษัทที่ส่งออกมากที่สุด
ส่วนบริษัทน้ำมันพืชไทย จำกัด(มหาชน)TVO แนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสม 22.00 บาทเพราะจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาน้ำมันพืชด้วยขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาน้ำมันพืชปรับราคาเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนบริษัท สับปะรดไทย จำกัด (มหาชน) TIPCO แนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสม 6.50-7.00 บาท และTUF ให้ราคาเหมาะสม 22.00-23.00 บาท เพราะราคาที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องและมองว่าในอนาคตยอดส่งออกจะเติบโตดีต่อเนื่องเช่นกัน
ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ มองว่ายังได้รับแรงกดดันของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และยอดสั่งซื้อของต่างประเทศอาจลดน้อยลง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าเงินอ่อนค่า เช่น อินเดียอาจจะมีออร์เดอร์สั่งซื้อสูงกว่าประเทศไทย
ด้านน.ส.จิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอาจทำให้การลงทุนในกลุ่มส่งออกเบาบางลง โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีรายได้อิงกับดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก แต่หากมีบริษัทใดบริษัทหนึ่งมียอดสั่งซื้อเข้ามามากขึ้นจะเห็นราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้นได้ สำหรับหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ เช่น CCET และ SVI ส่วนส่งออกประเภทอาหารแช่แข็ง คือ CPF จะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกั้นภาษีของสหภาพยุโรป (EU) ทำให้ยอดส่งออกอาจลดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม สินค้าที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากส่งออกที่ขยายตัวมากที่สุด คือ สินค้าเกษตรเนื่องจากราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้แม้ว่าภาคส่งออกไทยจะขยายตัว แต่ปัญหาสหรัฐไม่คลี่คลาย ทำให้ยอดส่งออกของกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ และCPF อาจได้รับผลกระทบ ซึ่งหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อคือ TVO ให้ราคาเหมาะสม 26.50 บาท ซึ่งเชื่อว่าจะเติบโตดีสุดในกลุ่ม
TVO(24 เม.ย.)ปิดที่ 22.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 76.67 ล้านบาท
http://www.thunhoon.com/home/
หุ้นส่งออกลิงโลดรับยอดส่งออกมี.ค.พุ่ง 14.41% โดยเฉพาะกลุ่มเกษตร และอาหาร สดใสแซงกลุ่มอื่น ได้ทีราคาสินค้าขยับขึ้นตามราคาข้าว ส่วนยานยนต์รับอานิสงส์ค่ายรถยักษ์ใหญ่สั่งออร์เดอร์เพิ่ม ขณะที่กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ยังโดนพิษบาทแข็ง รอลุ้นออร์เดอร์เพิ่มหนุนราคาหุ้น ชูCPF-TVO-TIPCO-TUF รับประโยชน์สูงสุด ตามด้วยSTANLEY และSAT
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบ็ก จำกัด กล่าวว่า ยอดส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคม2551ขยายตัวขึ้น 14.41% หรือคิดเป็นมูลค่า 14,764 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเกษตร และอาหาร ซึ่งราคาสินค้ามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามราคาข้าว ซึ่งหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลดี ได้แก่ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) CPF จากราคากุ้งแช่แข็งมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และ บริษัทไทยยูเนียน โปรเซ่นส์ โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) TUF เนื่องจากราคาปลาทูน่าที่เพิ่มสูงขึ้น
ยอดส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มการเกษตร และกลุ่มอาหารที่มีราคาที่เพิ่มขึ้นตามราคาข้าว นายวรุตม์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มยานยนต์ได้รับผลดีจากราคาหุ้นที่จะปรับเพิ่มขึ้น คือ บริษัท ไทยสแตนเลย์-การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) STANLY และบริษัท สมบูรณ์ แอ็ดวานซ์ จำกัด (มหาชน) SAT เนื่องจากบริษัทฮอนด้า และบริษัทโตโยต้า ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และสั่งซื้อสินค้าจาก STANLY และ SATเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อาจส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้ส่งออกอิงกับเงินดอลลาร์มีต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้นแต่ผลกำไรกลับลดลง ขณะเดียวกันในเดือนมี.ค.2551 ไทยยังมีดุลการค้าเกินดุล และเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ส่วนการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพราะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ยังตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถ้าเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ ดังนั้นคาดว่ายอดส่งออกในไตรมาส 2/2551อาจชะลอตัวลง
ไทยยังเป็นคู่ค้ากับสหรัฐถึง 11% ขณะเดียวกันถ้าภาคส่งออกของไทยไม่มีการหาตลาดใหม่เข้ามาทดแทนสหรัฐ และเชื่อว่าในไตรมาส 2/2551 ภาคส่งออกจะชะลอตัว นายวรุตม์ กล่าว
นายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มหลักที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการส่งออกคือ กลุ่มเกษตรเป็นหลัก โดยหุ้นที่น่าสนใจและแนะนำซื้อ ได้แก่ CPF ให้ราคาเหมาะสม 6.00-7.00 บาท เพราะคาดว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าหากวิกฤติราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์เพราะเป็นบริษัทที่ผลิตอาหารแบบครบวงจร และจะเป็นบริษัทที่ส่งออกมากที่สุด
ส่วนบริษัทน้ำมันพืชไทย จำกัด(มหาชน)TVO แนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสม 22.00 บาทเพราะจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาน้ำมันพืชด้วยขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาน้ำมันพืชปรับราคาเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนบริษัท สับปะรดไทย จำกัด (มหาชน) TIPCO แนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสม 6.50-7.00 บาท และTUF ให้ราคาเหมาะสม 22.00-23.00 บาท เพราะราคาที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องและมองว่าในอนาคตยอดส่งออกจะเติบโตดีต่อเนื่องเช่นกัน
ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ มองว่ายังได้รับแรงกดดันของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และยอดสั่งซื้อของต่างประเทศอาจลดน้อยลง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าเงินอ่อนค่า เช่น อินเดียอาจจะมีออร์เดอร์สั่งซื้อสูงกว่าประเทศไทย
ด้านน.ส.จิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอาจทำให้การลงทุนในกลุ่มส่งออกเบาบางลง โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีรายได้อิงกับดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก แต่หากมีบริษัทใดบริษัทหนึ่งมียอดสั่งซื้อเข้ามามากขึ้นจะเห็นราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้นได้ สำหรับหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ เช่น CCET และ SVI ส่วนส่งออกประเภทอาหารแช่แข็ง คือ CPF จะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกั้นภาษีของสหภาพยุโรป (EU) ทำให้ยอดส่งออกอาจลดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม สินค้าที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากส่งออกที่ขยายตัวมากที่สุด คือ สินค้าเกษตรเนื่องจากราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้แม้ว่าภาคส่งออกไทยจะขยายตัว แต่ปัญหาสหรัฐไม่คลี่คลาย ทำให้ยอดส่งออกของกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ และCPF อาจได้รับผลกระทบ ซึ่งหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อคือ TVO ให้ราคาเหมาะสม 26.50 บาท ซึ่งเชื่อว่าจะเติบโตดีสุดในกลุ่ม
TVO(24 เม.ย.)ปิดที่ 22.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 76.67 ล้านบาท
http://www.thunhoon.com/home/