ผมนึกว่าคุณ tumH ไปอยู่วัดเสียอีก
การปฏิบัติถ้าทำถูกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ แต่อยู่ที่วัดข้อดีคือไม่ค่อยมีคนรบกวน จะทำให้ภาวนาง่ายโดยเฉพาะการละกิเลสอย่างหยาบขึ้นไปจนถึงกิเลสอย่างละเอียด
เดี๋ยวนี้ผมเห็นคนเข้าใจผิดกันมากเรื่องทำทาน คือแทนที่จะถือศีล ทำสมาธิ แล้วเจริญปัญญาก่อน กลับทำทานก่อน เปรียบเหมือนแทนที่จะกินอาหารหลักก่อนดันไปกินอาหารเสริม บางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ทาน ศีล5กลับละเลยไม่ใส่ใจ
การปฏิบัติภาวนาที่แท้จริงนั้นต้องเริ่มจากศีล5เป็นพื้นแล้วค่อยฝึกสมาธิเจริญปัญญา ส่วนทานถ้ามีโอกาสเมื่อไรค่อยทำ มันไม่จำเป็นที่จะต้องรีบทำ (หมายถึงทานที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงิน) มันกลับหัวกลับหางไปหมด ถ้าเราพิจารณาให้ดีจะพบว่าศีล5คือการละเว้นทำความเบียดเบียนผู้อื่นทางกาย วาจา ส่วนการงดเบียดเบียนตัวเองต้องรักษาศีล8 ส่วนการเบียดเบียนทางใจซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาต้องฝึกทำสมาธิ(เคยเห็นไหมครับ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็ปรุง เกี๋ยวก็ไปสร้างภพ) ถ้าอยากหลุดพ้นก็ต้องเจริญปัญญา การตั้งใจรักษาศีล5ท่านว่าจะทำให้เรากลับมาเป็นมนุษย์ข้อนี้มันก็จริงแต่ไม่ถูกเสียทั้งหมดถ้าเรารักษาศีล5มาตั้งแต่เกิดจนตายแบบนี้ได้แน่ แต่ความเป็นจริงเราไม่เคยรักษากันเลยพอใกล้ตายเพิ่งจะมาสนใจ ทำชั่วมาเป็นสิบๆปีมารักษาศีลกันปีสองปี แล้วบอกว่าเรารักษาศีล5คงไม่ตกนรกแล้วมั้ง จริงๆมันก็ดีแต่มันช้าไปหรือป่าว?
เวลาตายบางทีเวทนาทางกายเกิดขึ้นมาแรงๆมันเอาไม่อยู่นะครับ ต้องฝึกสมาธิ ถ้าเจริญปัญญาด้วย อาจจะทำให้พ้นอบายได้ ต้องไปวัดกันเวลาใกล้ตายนั้นแหละ
เคยสังเกตุเห็นหมาแมวจิ้งจกตุ้กแกหรือสัตว์อื่นๆไหมครับมันหลงสุดขีด หลงจนไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร
เรื่องการคุยกันเป็นเรื่องที่เดี๋ยวนี้ผมพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ค่อยอยากเล่าอะไรมาก เล่าไปมีแต่เสีย คนไม่รู้มาฟังมันก็ไม่รู้อยู่ดี บางทีก็เหมือนอวด ผมเคยโดนหลวงปู่ดุ (ไม่รู้ท่านรู้ได้อย่างไร หลวงปู่นี่สุดยอดจริงๆ ไว้หลวงปู่ไม่อยู่ผมจะมาเล่าให้ฟัง )เลยไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไร ยิ่งเล่าในโซเชียลคนหมู่มากยิ่งอันตราย ถ้าอยากเล่าไว้ไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังดีกว่า ผมเคยเล่าเรื่องภาวนาให้หลวงปู่ฟังยังโดนท่านดุเอาเลยท่านว่าตัวเราเองภาวนาเป็นอย่างไรไม่รู้เหรอ จะต้องไปเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟัง หลวงปู่ท่านดุจริงๆ เคยมีพระถามว่าระหว่างหลวงปู่JRกับหลวงปู่Bใครดุกว่ากัน ผมเคยไปอยู่มาทั้ง2ท่าน ตอนแบบไม่ลังเลเลยว่าหลวงปู่B(ที่อยู่สกลฯ)ดุกว่าเยอะ ขนาดลากลับบ้านยังโดนดุ ท่านว่ามาไม่ทันไรจะกลับอีกแล้ว(ผมอยู่ทีนึงเป็นเดือนยังโดนเลย) เวลาจะลาท่านกลับต้องรอให้คนเยอะๆเเล้วรีบเข้าไปลาท่าน ถ้าคนน้อยๆท่านจะซัก กลับไปทำอะไร ยังไง กลับไปสามวันก็พอแล้วฯลฯ
คนที่เก่งจริงๆมักไม่ค่อยอวดครับคนที่ภาวนากระยองกะเเยง(อย่างผม)เนี่ยชอบอวดชอบคุย
ตอนนี้ผมบอกแม่แล้วว่าจะบวชแม่ก็เห็นดีด้วยแกว่าจะไปบวชอยู่กับผมด้วย ผมเลยบอกให้แม่ขายบ้าน ขายที่ดินให้หมด แต่ตอนนี้ยังขายไม่ได้ไม่รู้เมื่อไรแล้วแต่เวรแต่กรรมแหละครับ ถ้าขายได้ก็จะไปทำบุญสร้างรพ.40% อีก60%ให้แม่เก็บไว้ทำบุญสร้างวัดสร้างกุฎิ เพราะอีกหน่อยจะมีพระมาอยู่กับผมเยอะ ตัวผมไม่ต้องการอะไร เพราะเคยบวชมาแล้ว อยู่ได้สบาย
อาการปวดหลังก็ดีขึ้นมากๆ เป็นมาสิบปีแล้วปกติปวดตลอด24ชม.ยกเว้นตอนหลับ ตอนเป็นแรกๆบางทีก็เดินไม่ได้ ตั้งแต่อธิษฐานขอบวช อาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่อยมีความหวังขึ้นมาว่าจะต้องได้บวชแน่ๆ ถ้ายังปวดอยู่แล้วไปบวชผมกลัวจะเป็นภาระให้พระท่านอื่น ผมทำตามนี้ครับ
https://youtu.be/aUnLDZwidME
ทำครั้งแรกก็ดีขึ้นเลย เมื่อก่อนเที่ยวไปรักษาทั่ว ไม่หายหมดเงินหมดทองกันไม่รู้เท่าไร พอเจอคลิปนี้ดีขึ้นมากๆเลย แล้วก็ไปปล่อยปลาปล่อยสัตว์ที่เค้าจะโดนฆ่าตามตลาด ปีนี้แค่สองเดือนผมช่วยสัตว์ไปหมื่นกว่าชีวิตแล้วครับ หลวงปู่ท่านทำบ่อยผมเลยทำตามท่าน ใครที่ปวดหลังหรือเป็นโรคอื่นลองทำตามผมดูนะครับ ทำให้อาการป่วยดีขึ้นจริงๆ
อาการปวดหายไปเยอะเเล้ว เหลือเรื่องขายที่ขายบ้านนี่แหละ ถ้าหมดภาระเมื่อไรก็จะบวชเลย
ใจผมมันไม่เอาเรื่องทางโลกแล้วครับ อยู่ๆไปอย่างนั้นไม่เห็นมีอะไร เมื่อก่อนลำบากมากเดี๋ยวนี้ผมสบายสุดแสนสบาย เงินทองมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ อยากไปไหนก็ได้ไปอยากกินอะไรก็ได้กินแรกๆก็เหมือนจะสุข เพราะไม่เคยมีแบบเค้า เดี๋ยวนี้เฉยๆไม่เห็นจะสุขตรงไหนเลย ใจมันนึกถึงแต่ตอนที่ลำบากเข็ดขยาดกับชีวิตที่ผ่านมา ไม่เอาอีกเเล้วครับลำบากเหลือเกิน ทำงานตั้งแต่เด็กๆ โดนเค้าใช้เพราะเป็นหลานผู้ชายคนโต ใครๆก็ใช้ ใช้กันทั้งบ้านลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายแม้แต่คนข้างบ้านก็ยังใช้ยังวานให้ทำโน่นทำนี่ จำได้ดีไม่เคยลืมเลย ตั้งแต่ประถม พออยู่ม1 เวลาจะกลับบ้านหลังเลิกเรียนก็ต้องปั่นจักรยานไปเอาอาหารกุ้ง(เมื่อก่อนที่บ้านเลี้ยงกุ้งก้ามกราม)ใส่ท้ายจักรยานไปด้วยหนัก50กก เราตัวจิ้ดเดียวปั่นกลับบ่อกุ้ง6กม ทางเมื่อก่อนก็ไม่ดีเป็นทางลูกรัง บางทีก็กระเด้งอาหารกุ้งหล่น เราก็ต้องยกขึ้นท้ายจักรยาน ยกเเทบไม่ไหว บางทีก็ล้มทุเรศทุรัง กว่าจะถึงบ่อ ถึงแล้วก็ต้องแบกใส่บ่ายกไปที่กระท่อมแล้วก็ช่วยแม่หว่านอาหารกุ้ง ทำแบบนี้ทุกวันสามปี พออยู่ม.ปลายย้ายไปอยู่ระยอง แม่ไปทำไร่มัน ไร่สับปะรด เมื่อก่อนไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเองก็ต้องจ้างเค้า บางทีเค้าก็ต้องทำของเค้าก่อน คนงานที่หาไว้เค้ารอไม่ไหวก็ไปทำที่ไร่คนอื่น พอรถยนต์ว่างคนงานก็ไม่อยู่แล้วก็ต้องทำกันสองคนแม่ลูก ตัดเองถอนเอง แบกเอง ทำสามสิบไร่แบกกันหลังแทบหัก บางทีทำไม่ทันสับปะรดก็เน่า เสียหายขาดทุนอีก จบม.ปลายเอ็นทรานส์ติดเเต่ไม่ได้เรียนก็ต้องทำงาน ทำทุกอย่างสารพัด ไปซื้อรถมือสองผ่อนเดือนละ6000กว่าบาท วิ่งกันล้อแทบหลุด เดี๋ยวเดือนๆ หาเงินผ่อนรถต่อ ไปหาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ออกจากระยองตีห้า วิ่งไปชุมพร แล้วตีรถไปกาญจนบุรีกว่าจะถึงบ้านสี่ห้าทุ่ม แทบทุกวันชีวิตอยู่แต่บนถนน พอเอนทรานส์ใหม่คราวนี้ได้เรียนเลยไปหาที่ขายของลองขายไปเรื่อยๆ เอาขนุนสัประรดไปขาย ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดรถไฟศิริราชก็เคยขายขายตรงท่ารถไฟตรงข้ามสถานีตำรวจ(เดี๋ยวนี้รื้อไปแล้ว) ยุงก็กัด นอนหน้ารถไม่ได้อาบน้ำทีนึงหลายวัน สุดท้ายไปได้ที่ขายของตรงตลาดบางชันมีนบุรี เช่าห้องพักแถวนั้นแหละเป็นตึกแถว ห้องแบบเล็กๆประมาณ3x4เมตรได้ นอนสองคนกับแม่ เเทบกระดิกขยับไปไหนไม่ได้เลยห้องมันเล็กมากๆ ห้องน้ำรวม (เค้าเอาไม้อัดมาซอยเป็นหลายๆห้องเช่าเดือนนึง400บาท) ขายจนเรียนจบ ก็ไม่ได้สบายกับเค้าเสาร์อาทิตย์ไม่มีเรียนก็ต้องขับรถไปหาซื้อขนุนตามไร่มาให้แม่แกะขาย ตัดเองปีนเองแบกเอง บางทีปีนขึ้นไปเจอมดแดงกัด ก็ต้องกระโดดลงมาดีที่ขาไม่หัก(ฮา บ่อยเลยครับมดแดงกัดเนี่ย) กว่าจะเรียนจบได้ จบแล้วระหว่ารองานก็ไปขายของตามตลาดนัดกับแม่ นัดเช้านัดบ่ายยกของขึ้นลง ลำบากจริงๆ กระดูกสันหลังเลยคด หมอนรองกระดูกไม่เหลือเเล้วครับ
ชีวิตผมนี่มันทุกข์ทรหดจริงๆ ผ่านอะไรมาเยอะ เดี๋ยวนี้สบายก็จริงแต่มันไม่เคยลืมถึงความลำบากที่ผ่านมาเลย
เล่าชีวิตมาซะยาว มาได้ไงก็ไม่รู้ คุยเรื่องธรรมะอยู่ดีๆ ฮา
ผมนี่เวลาไปอยู่วัดแล้วไม่อยากกลับบ้าน แต่ยังมีภาระต้องมาดูสวนยาง แม่ก็เริ่มอายุมากเข้ารพกันแทบทุกเดือน
เรื่องการภาวนาเนี่ยเวลาเจอสภาวะอะไรอย่าไปเชื่อมันนะครับ บางทีเป็นกิเลส เป็นอาการของสมาธิก็มี ต้องอาศัยครูบาอาจารย์คอยชี้เเนะ ถ้าห่างท่านก็ต้องคอยสังเกตุแยบคาย บางทีอะไรขึ้มาแว้บๆก็คิดว่าได้โสดาแล้วมั้ง บางทีอยู่วัดนานๆพิจารณาอสุภะกามหายไปเลยแล้วก็คิดว่าได้อนาคาก็มี ครูบาอาจารย์จะเป็นที่พึ่งให้เรา แต่ถ้าไม่แน่ใจในครูบาอาจารย์ก็ไปถามหลายๆที่ครับ ผมเห็นเยอะเลยพอสนใจเข้าวัดก็ไปมันวัดเดียวไม่เคยเปรียบเทียบ เค้ายัดเค้าสอนอะไรมาก็เชื่อหมด บางทีก็โดนหลอกให้ทำบุญควักกระเป๋าหมดเงินหมดทอง บุญจากทานก็ไม่ได้จริงเพราะไปทำกับพวกอลัชชี โดนหลอกให้ภาวนาผิดๆอีก ซวยจริงๆ น่าสงสารมาก จะเข้าวัดทั้งทีครูบาอาจารย์ดีๆเยอะแยะไม่ไป ดันไปหาพวกอลัชชี ปีที่แล้วเจอมากับตัว ไปอยู่กับหลวงพ่อท่านนึงกันดารมากไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี พักภาวนาอยู่หลายวัน วันนึงมีพวกปั่นจักรยานขับรถขึ้นมามาใส่บาตร พอได้เวลากินข้าวเราก็ชวนเค้าตามมารยาท ผมก็กินไปคนเดียวเงียบๆแกคงฟุ้งมากมาเทศน์ให้ผมฟังทั้งๆที่ผมกำลังกินข้าวพูดมันอยู่นั่นแหละไม่มีใครถามก็พูดคนเดียว เราก็ไม่กล้าขัดเค้าปล่อยให้แกเล่าไปฟังดูก็รู้ว่าเรียนมาจากไหน เพ่งอย่างเดียวอยากไปสวรรค์ก็เพ่ง อยากไปนิพพานก็เพ่งเอา แกบอกถ้าไปสวรรค์ก็ต้องทำทานเยอะๆเดี๋ยวหมดบุญมาจะได้เสวยบุญต่อ เป็นเศรษฐีเลย ผมฟังไปสงสารไป จะบอกจะสอนเค้าก็ไม่ใช่เรื่อง ก็ปล่อยไป ดูอาชีพการงานก็ดี มีจักรยานแพงๆขี่แต่ซวยสุดขีดไปเรียนกับพวกอลัชชีเข้า เวรจริงๆ
มีหลายอย่างครับกิเลสมีหยาบมีละเอียด ไม่ติดตรงนี้ก็ไปติดตรงโน้น บางคนยังไม่ได้โสดาเลย อยากจะละกาม ละเท่าไรก็ไม่ได้ เพราะมันคนละชั้นกัน
...
มาคิดดูก็แปลก
พระโสดาบันเห็นร่างกายไม่ใช่เรา จิตและเจตสิกก็ไม่ใช่เรา เห็นแค่นี้
กิเลสประเภทกามก็เห็นแล้วว่ามันมาแล้วก็ไปแต่ทำไมทำลายมันไม่ได้ทั้งๆที่ก็เห็นแล้วว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งไร้สาระ ลอยๆมาแล้วก็หายไป ทำไมเวลากามเกิดแล้วกลับต้องอยู่ในอำนาจมัน
เวลากามเกิดนี่มันเป็นเรื่องของนามธรรมทั้งนั้นไม่ได้เกี่ยวกับกายตรงไหน ไม่ใช่ว่าต้องเห็นผู้หญิงสวยๆแล้วกามราคะถึงจะเกิด ไม่ต้องเห็นไม่ต้องได้ยิน อยู่คนเดียวแท้ๆเลยกามยังเกิดขึ้นได้(สังเกตุกันไหมครับ จิตมันถูกห่อหุ้มด้วยกาม มันมีกามผสมอยู่ตลอดเวลาเพียงแต่เราไม่รู้ เวลามีอะไรมากระตุ้นอายตนะทั้ง6 มันก็ปรุงกามทันทีเพราะมันเป็นของเก่า ทางเก่าๆที่เราคุ้นเคย)แถมก็เห็นแล้วว่าเดี๋ยวมันก็ดับไป แค่เห็นแค่นี้ก็น่าจะพอเข้าใจได้แล้วนี่ แต่ทำไมต้องกระวนกระวายหงุดหงิดเมื่อไม่ได้เสพย์ ไม่ได้สนองมัน
ดูสาวๆสวยๆเผินๆแหมสวยจริง พอดูให้ละเอียดโอ้โห สกปรกจะตาย มองทะลุหนังลงไปเห็นแต่เนื้อ เลือดไหลเวียนอยู่ข้างใน ตับไตใส้พุง ลำไส้เป็นขดๆ มีขี้เต็มเลย ลึกลงไปก็เห็นแต่กระดูก ไม่เห็นสวยตรงไหน เป็นโครงกระดูกกันทั้งนั้น เอาโครงกระดูกมาเรียงกันไม่เห็นมีใครสวยเลยเสมอกันหมดไม่เห็นให้ค่าความสวยเลย ปากก็เหม็น เนื้อตัวลองไม่ได้อาบน้ำสัก10ชม.แค่นี้แหละไม่ต้องหลายวันหรอก เหม็นจะตาย ตดมาทีนึงก็เหม็น ลองเข้าไปดูในส้วมสิ ขี้ก็เหม็น ร่างกายเก็บของเน่าเหม็นไว้เต็มเลย ภายใต้หนังบางๆนี่มีแต่ของเน่าเหม็น กินอะไรเข้าปากมองเผินๆก็ว่าหอมว่าอร่อย มันเปลี่ยนสภาพปกปิดสภาวะที่แท้จริง อาหารอะไรที่ว่าอร่อยลองเคี้ยวสักทีนึงแล้วคายให้เมียรักเรากินต่อซิ เค้าว่าอร่อยไหม หรือทิ้งไว้สัก10ชม เราไปกินสิกินลงไหม แป้บเดียวก็บูดเน่าแล้ว แล้วเรากลืนลงไปอยู่ในท้องหลายวันมันจะไม่เน่าเหม็นหรือ อวัยะเพศหญิงชาย แหมเวลาเราเห็นนี่กามทำงานเด้งดึ๋งทันทีทั้งๆที่มีแต่ของสกปรกไหลออกมาทั้งนั้น ของเน่าออกมาขนาดนั้นทำไมเรายังเห็นว่าสวย ก่อนเสพย์กามกระวนกระวายจะเป็นจะตายเหม็นแค่ไหนก็หอมก็ดม พอเสร็จกามกิจแล้ว สบ๊ายสบาย เดี๋ยวก็ต้องเสพย์อีก เสพมาเป็นสิบๆปีแล้วไม่เห็นมันได้อะไรเลย ได้อะไรขึ้นมา เสพย์กันมานับภพชาติไม่ถ้วน เวียนตายเวียนเกิดก็เพราะมัน กามนี่เป็นของลึกลับมาก(ผมจำคำพูดของหลวงตามหาบัวมานะครับ)
เค้าบอกว่าพระอนาคามีวางกายได้ กายนี่มันหยาบกว่าจิตนี่ วางกับเห็นนี่มันคนละเรื่องเลย เค้าใช้คำถูกแล้วครับ มันเป็นกิเลสคนละชั้นกัน
ทำไมเราต้องพิจารณา กรรมฐาน5 อาการ32 ฯลฯ ทำไมเราไม่พิจารณากามลงไปเลย ไปอ้อมทำไม พิจารณาตรงๆไปมันทำได้แต่ยากครับ เค้าเลยต้องทำอ้อมๆ ไล่ตีวงเข้ามาๆ ตล่อมเข้ามาจนวางกายได้ เมื่อวางกายได้กามซึ่งเป็นผลจากกายมันก็ขาดไปเอง
....
เรื่องสมาธิกับฌาณนี่ก็อีกเรื่องครับ สงสัยกันจังบางคนก็ท่องนะฌาณ1เป็นอย่างนี้ ฌาณ2 3 4 เป็นอย่างนี้ เวลาทำได้จะรู้เลยว่าแต่ละขั้นๆ 1 ไป2 2ไป3 4 เเต่ละขั้นมันไวมาก บางทีได้3แล้วลงมา1ใหม่ แล้วไล่ไป4 อย่างรวดเร็ว มันไวมากๆครับ ถอยเข้าถอยออก
...
ความสบายเป็นข้าศึกต่อการปฏิบัติภาวนานะครับ ตอนนี้หลายๆคนมีเงินเยอะ ชีวิตสะดวกสบาย แต่สังเกตุไหมว่าการภาวนาของเราทำไมมันไม่ก้าวหน้า บางทีก็ถอยหลัง บางคนถอยหลังสุดๆจนต้องตกนรกแน่ๆ เรื่องจนรวยไม่ได้สำคัญ ต่อการปฏิบัติภาวนาเลย ความรวยมองเผินๆนึกว่าดีถ้าเราทำตัวเหลวไหลยิ่งภาวนาถอยหลังนะครับ ความจนถ้าจนมากๆก็ไม่ดีภาวนาไม่ได้อีกมัวเเต่เครียดเรื่องปากท้อง
นานๆมาทียาวหน่อยนะครับ ^_^ ขาดตกบกพร่องอะไรก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ