ภาพรวมเศรษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/02/08
โพสต์ที่ 691
สหพัฒน์จี้อุ้มรากหญ้า
โพสต์ทูเดย์ บิ๊กสหพัฒน์ แนะรัฐกระตุ้นรากหญ้า อัดมาตรการสำรองเงิน 30% ไม่สมเหตุสมผล นักลงทุนมั่นใจรัฐบาลจากเลือกตั้ง
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า เรื่องด่วนที่ต้องรีบดำเนินการคือ การกระตุ้นกำลังซื้อระดับรากหญ้าให้ฟื้นคืนโดยเร็ว เพราะหากกำลังซื้อระดับรากหญ้ากลับคืนมา ย่อมส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น และนำมาซึ่งการลงทุนในด้านต่างๆ ต่อไป
ปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยเหมือนกับรถลงจากเขาและเบรกแตก ทำให้ต้องหยุดเพื่อรอดูสถานการณ์ แต่ขณะนี้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ จะเพิ่มความมั่นใจให้นักลงทุนเปรียบ เหมือนรถลงเขาแล้วต้องวิ่งต่อไป แต่ต้องเปลี่ยนเป็นรถโฟร์วีลไดรฟ์ นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
ดังนั้น หากรัฐบาลสามารถกระตุ้นรากหญ้าให้ฟื้นตัวได้ เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนผลิตภัณฑ์พื้นบ้านให้อยู่รอดได้ เช่นผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น หรือโอท็อป
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าการ นำมาตรการสำรองเงิน 30% มาใช้ ถือว่าไม่สมเหตุสมผล เพราะหากนักลงทุนต้องการลงทุนอย่างแท้จริง ก็พร้อมที่จะลงทุน แต่ไม่มีใครอยากเอาเงินมากองไว้โดยเปล่าประโยชน์ ผู้ที่ออกมาตรการควรคิดแบบ นักธุรกิจ ไม่ใช่คิดแบบข้าราชการ หากต้องการดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ทั้งนี้ นายบุณยสิทธิ์ มีท่าที ไม่เห็นด้วยกับมาตรการ 30% อย่างชัดเจนและเปิดใจว่า อึดอัดกับภาวะทางการเมืองและเศรษฐกิจ ในปีที่ผ่านมา จึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดูแลปัญหาที่เกิดขึ้น และหากจะยกเลิกมาตรการ 30% ก็ควรมีมาตรการอื่นมารองรับ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการลงทุน
ขณะเดียวกันต้องดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพหรือย่างน้อย ต้องไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งกว่าประเทศรอบข้าง ไม่ควรอ่อนไหวตามค่าเงินสหรัฐมากเกินไป
สำหรับความเห็นที่มีต่อรัฐบาลชุดนี้ นายบุณยสิทธิ์ เชื่อว่าน่า จะมีทิศทางที่ดีขึ้นหรืออย่างน้อย ก็สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนมากกว่ารัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติ เมื่อนักลงทุนมีความ มั่นใจในระดับหนึ่ง จากภาวะทางการเมืองเชื่อว่าจะเกิดการลงทุนตามมา รวมถึงการดูแลอัตราดอกเบี้ยด้วย เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220323
โพสต์ทูเดย์ บิ๊กสหพัฒน์ แนะรัฐกระตุ้นรากหญ้า อัดมาตรการสำรองเงิน 30% ไม่สมเหตุสมผล นักลงทุนมั่นใจรัฐบาลจากเลือกตั้ง
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า เรื่องด่วนที่ต้องรีบดำเนินการคือ การกระตุ้นกำลังซื้อระดับรากหญ้าให้ฟื้นคืนโดยเร็ว เพราะหากกำลังซื้อระดับรากหญ้ากลับคืนมา ย่อมส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น และนำมาซึ่งการลงทุนในด้านต่างๆ ต่อไป
ปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยเหมือนกับรถลงจากเขาและเบรกแตก ทำให้ต้องหยุดเพื่อรอดูสถานการณ์ แต่ขณะนี้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ จะเพิ่มความมั่นใจให้นักลงทุนเปรียบ เหมือนรถลงเขาแล้วต้องวิ่งต่อไป แต่ต้องเปลี่ยนเป็นรถโฟร์วีลไดรฟ์ นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
ดังนั้น หากรัฐบาลสามารถกระตุ้นรากหญ้าให้ฟื้นตัวได้ เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนผลิตภัณฑ์พื้นบ้านให้อยู่รอดได้ เช่นผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น หรือโอท็อป
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าการ นำมาตรการสำรองเงิน 30% มาใช้ ถือว่าไม่สมเหตุสมผล เพราะหากนักลงทุนต้องการลงทุนอย่างแท้จริง ก็พร้อมที่จะลงทุน แต่ไม่มีใครอยากเอาเงินมากองไว้โดยเปล่าประโยชน์ ผู้ที่ออกมาตรการควรคิดแบบ นักธุรกิจ ไม่ใช่คิดแบบข้าราชการ หากต้องการดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ทั้งนี้ นายบุณยสิทธิ์ มีท่าที ไม่เห็นด้วยกับมาตรการ 30% อย่างชัดเจนและเปิดใจว่า อึดอัดกับภาวะทางการเมืองและเศรษฐกิจ ในปีที่ผ่านมา จึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดูแลปัญหาที่เกิดขึ้น และหากจะยกเลิกมาตรการ 30% ก็ควรมีมาตรการอื่นมารองรับ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการลงทุน
ขณะเดียวกันต้องดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพหรือย่างน้อย ต้องไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งกว่าประเทศรอบข้าง ไม่ควรอ่อนไหวตามค่าเงินสหรัฐมากเกินไป
สำหรับความเห็นที่มีต่อรัฐบาลชุดนี้ นายบุณยสิทธิ์ เชื่อว่าน่า จะมีทิศทางที่ดีขึ้นหรืออย่างน้อย ก็สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนมากกว่ารัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติ เมื่อนักลงทุนมีความ มั่นใจในระดับหนึ่ง จากภาวะทางการเมืองเชื่อว่าจะเกิดการลงทุนตามมา รวมถึงการดูแลอัตราดอกเบี้ยด้วย เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220323
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/02/08
โพสต์ที่ 692
เลี้ยบ ปาดเหงื่อ ครม.ไม่กดดันเลิก 30% โยนคลัง-แบงก์ชาติฟัดกันเอง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 กุมภาพันธ์ 2551 13:39 น.
ขุนคลังเลี้ยบ เผยที่ประชุม ครม.ไม่ได้หารือกดดันยกเลิกมาตรการ 30% สมัคร ระบุ เป็นหน้าที่คลัง-ธปท.ต้องไปหาข้อสรุปร่วมกัน
วันนี้ (12 ก.พ.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เช้าวันนี้ โดยระบุว่า ที่ประชุมวันนี้ ครม.ไม่ได้หยิบยกเรื่องการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เงินทุนนำเข้าระยะสั้น ขณะที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะไปหารือร่วมกัน
รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ได้หารือถึงแนวนโยบายรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีการเน้นการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ โดยไม่ได้ระบุถึงเป้าหมายอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้
การผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวอาจจะต้องมีการปรับโครงสร้างระบบการผลิตด้วยการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เน้นด้านทักษะ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างมูลค่าเพิ่ม สำหรับการผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพนั้น เพื่อไม่ให้แกว่งตัวทั้งในด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยน
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000017661
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 กุมภาพันธ์ 2551 13:39 น.
ขุนคลังเลี้ยบ เผยที่ประชุม ครม.ไม่ได้หารือกดดันยกเลิกมาตรการ 30% สมัคร ระบุ เป็นหน้าที่คลัง-ธปท.ต้องไปหาข้อสรุปร่วมกัน
วันนี้ (12 ก.พ.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เช้าวันนี้ โดยระบุว่า ที่ประชุมวันนี้ ครม.ไม่ได้หยิบยกเรื่องการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เงินทุนนำเข้าระยะสั้น ขณะที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะไปหารือร่วมกัน
รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ได้หารือถึงแนวนโยบายรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีการเน้นการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ โดยไม่ได้ระบุถึงเป้าหมายอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้
การผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวอาจจะต้องมีการปรับโครงสร้างระบบการผลิตด้วยการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เน้นด้านทักษะ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างมูลค่าเพิ่ม สำหรับการผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพนั้น เพื่อไม่ให้แกว่งตัวทั้งในด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยน
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000017661
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/02/08
โพสต์ที่ 693
SET Corner: เปิดชื่อหุ้นปันผลสูงสุดปี 2550
Posted on Monday, February 11, 2008
ตลอดปีที่ผ่านมาหากใครเป็นนักลงทุนอาจจะคาดเดาว่าหุ้นทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่จ่ายปันผลสูงๆ น่าจะเป็นหุ้นที่คุ้นเคยกัน เป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูงๆ ทว่าคำตอบที่ได้อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล 5 อันดับแรกของปี 2550 ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อันดับ 1 ได้แก่ บมจ.ซีเอส ล็อกอินโฟ (CSL) โดยให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 20.30%
อันดับ 2 ที่จ่ายเงินปันผลสูงสุดในปีที่แล้ว ได้แก่ บมจ.จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS) โดยให้อัตราเงินปันผลตอบแทนในปีที่แล้ว 19.70%
อันดับ 3 ได้แก่ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) (TRUBB) โดยให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 19.23%
อันดับที่ 4 ได้แก่ บมจ.บางสะพานบาร์มิล (BSBM) โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 16.81%
อันดับ 5 ได้แก่ บมจ.แปซิฟิกไพพ์ (PAP) เป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตท่อเหล็กของประเทศไทย ซึ่งมีประสบการณ์ในการผลิตท่อเหล็กมานานกว่า 20 ปี โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 16.37%
หันดูหุ้นที่จ่ายปันผล 5 อันดับสูงสุดประจำปี 2550 ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
อันดับ 1 ได้แก่ บมจ.ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ (CMO) โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 21.23%
อันดับ 2 ได้แก่ บมจ.สตีล อินเตอร์เทค (STEEL) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลังคาเหล็กแผ่น (เมทัลชีท) ภายใต้เครื่องหมายการค้า ROLLFORM โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 19.80%
อันดับ 3 ได้แก่ บมจ.พรพรหมเม็ททอล (PPM) เจ้าของธุรกิจเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โลหะเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 14.29%
อันดับ 4 ได้แก่ บมจ.ชูโอ เซ็นโก (ประเทศไทย) (CHUO) เจ้าของธุรกิจนายหน้าตัวแทนและรับจ้างทำโฆษณาแบบครบวงจร โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 12.94%
อันดับที่ 5 ได้แก่ บมจ.124 คอมมิวนิเคชั่นส (PR124) ผู้ให้บริการด้านประชาสัมพันธ์ชั้นนำแห่งหนึ่งของเมืองไทย โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 12.56% http://www.moneychannel.co.th/MoneyChan ... fault.aspx
Posted on Monday, February 11, 2008
ตลอดปีที่ผ่านมาหากใครเป็นนักลงทุนอาจจะคาดเดาว่าหุ้นทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่จ่ายปันผลสูงๆ น่าจะเป็นหุ้นที่คุ้นเคยกัน เป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูงๆ ทว่าคำตอบที่ได้อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล 5 อันดับแรกของปี 2550 ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อันดับ 1 ได้แก่ บมจ.ซีเอส ล็อกอินโฟ (CSL) โดยให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 20.30%
อันดับ 2 ที่จ่ายเงินปันผลสูงสุดในปีที่แล้ว ได้แก่ บมจ.จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS) โดยให้อัตราเงินปันผลตอบแทนในปีที่แล้ว 19.70%
อันดับ 3 ได้แก่ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) (TRUBB) โดยให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 19.23%
อันดับที่ 4 ได้แก่ บมจ.บางสะพานบาร์มิล (BSBM) โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 16.81%
อันดับ 5 ได้แก่ บมจ.แปซิฟิกไพพ์ (PAP) เป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตท่อเหล็กของประเทศไทย ซึ่งมีประสบการณ์ในการผลิตท่อเหล็กมานานกว่า 20 ปี โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 16.37%
หันดูหุ้นที่จ่ายปันผล 5 อันดับสูงสุดประจำปี 2550 ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
อันดับ 1 ได้แก่ บมจ.ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ (CMO) โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 21.23%
อันดับ 2 ได้แก่ บมจ.สตีล อินเตอร์เทค (STEEL) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลังคาเหล็กแผ่น (เมทัลชีท) ภายใต้เครื่องหมายการค้า ROLLFORM โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 19.80%
อันดับ 3 ได้แก่ บมจ.พรพรหมเม็ททอล (PPM) เจ้าของธุรกิจเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โลหะเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 14.29%
อันดับ 4 ได้แก่ บมจ.ชูโอ เซ็นโก (ประเทศไทย) (CHUO) เจ้าของธุรกิจนายหน้าตัวแทนและรับจ้างทำโฆษณาแบบครบวงจร โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 12.94%
อันดับที่ 5 ได้แก่ บมจ.124 คอมมิวนิเคชั่นส (PR124) ผู้ให้บริการด้านประชาสัมพันธ์ชั้นนำแห่งหนึ่งของเมืองไทย โดยในปีที่แล้วให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 12.56% http://www.moneychannel.co.th/MoneyChan ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/02/08
โพสต์ที่ 694
เอกชนรอจังหวะลงทุนเพิ่ม แนะรัฐบาลเร่งเมกะโปรเจ็กต์ Posted on Thursday, February 14, 2008
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในรายการ Trading Hour ทาง Money Channel ว่า หลังจากที่รัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจแต่ละคนเริ่มเข้าทำงานและเผยให้เห็นนโยบายก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชน อาทิ น.พ.สุรพงศ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ยังไม่ตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และขอรอฟังข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเป็นคนมีเหตุผล โดยเลือกพิจารณาข้อมูลในหลาย ๆ ด้านประกอบกัน แสดงให้เห็นว่าการเมืองไม่เข้ามาก้าวก่ายกับการทำงานข้าราชการประจำ การตัดสินใจนี้ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการและผู้ส่งออกให้มากขึ้นอีกด้วย
ปัจจุบันภาคเอกชนได้ใช้กำลังการผลิตไปถึง 76% แล้ว และเชื่อว่าปีนี้จะต้องมีการลงทุนเพิ่มตามมาอย่างแน่นอน แต่หากรัฐบาลเดินหน้าลงทุนโครงการต่าง ๆ นำร่องไปก่อน ก็จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนตัดสินใจลงทุนตามมาได้ เพราะก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการขาดความมั่นใจที่จะลงทุนเพิ่มเติม ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปัญหาในการประกอบการอย่างมากในปีที่ผ่านมา เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็เริ่มปรับตัวมากขึ้น มีการขยายไปหาแรงงานในต่างจังหวัดเพิ่มเติม พร้อมกับรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเขามา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในรายการ Trading Hour ทาง Money Channel ว่า หลังจากที่รัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจแต่ละคนเริ่มเข้าทำงานและเผยให้เห็นนโยบายก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชน อาทิ น.พ.สุรพงศ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ยังไม่ตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และขอรอฟังข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเป็นคนมีเหตุผล โดยเลือกพิจารณาข้อมูลในหลาย ๆ ด้านประกอบกัน แสดงให้เห็นว่าการเมืองไม่เข้ามาก้าวก่ายกับการทำงานข้าราชการประจำ การตัดสินใจนี้ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการและผู้ส่งออกให้มากขึ้นอีกด้วย
ปัจจุบันภาคเอกชนได้ใช้กำลังการผลิตไปถึง 76% แล้ว และเชื่อว่าปีนี้จะต้องมีการลงทุนเพิ่มตามมาอย่างแน่นอน แต่หากรัฐบาลเดินหน้าลงทุนโครงการต่าง ๆ นำร่องไปก่อน ก็จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนตัดสินใจลงทุนตามมาได้ เพราะก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการขาดความมั่นใจที่จะลงทุนเพิ่มเติม ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปัญหาในการประกอบการอย่างมากในปีที่ผ่านมา เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็เริ่มปรับตัวมากขึ้น มีการขยายไปหาแรงงานในต่างจังหวัดเพิ่มเติม พร้อมกับรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเขามา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/02/08
โพสต์ที่ 695
หมอคุมหัวใจ แบ่งกรมภาษี ลั่น6เดือนฟื้น
โพสต์ทูเดย์ เลี้ยบ คุมยุทธศาสตร์ดันประชานิยม ประดิษฐ คุมสรรพากร-ศุลกากร พยาบาลดูสรรพสามิต
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ได้แบ่งงานให้ รมช.คลังแล้ว โดยจะดูแลสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เกษตร (ธ.ก.ส.) และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ดูแลกรมสรรพากร กรมศุลกากร โรงงานยาสูบ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และเอสเอ็มอีแบงก์
ขณะที่ ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมช.คลัง จะดูแลกรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลาง กรมธนารักษ์ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) องค์การสุรา องค์การไพ่ และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ผมมีเป้าหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มีภาพรวมที่ดีขึ้นใน 6 เดือน จึงขอเน้นดูหน่วยงานยุทธศาสตร์ เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไข ในส่วนของ ธ.ก.ส.ก็มีแนวคิดว่าจะให้พัฒนาชนบท เพื่อดูแลกองทุนหมู่บ้าน แปลงสินทรัพย์เป็นทุน รมว.คลัง กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220992
โพสต์ทูเดย์ เลี้ยบ คุมยุทธศาสตร์ดันประชานิยม ประดิษฐ คุมสรรพากร-ศุลกากร พยาบาลดูสรรพสามิต
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ได้แบ่งงานให้ รมช.คลังแล้ว โดยจะดูแลสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เกษตร (ธ.ก.ส.) และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ดูแลกรมสรรพากร กรมศุลกากร โรงงานยาสูบ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และเอสเอ็มอีแบงก์
ขณะที่ ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมช.คลัง จะดูแลกรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลาง กรมธนารักษ์ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) องค์การสุรา องค์การไพ่ และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ผมมีเป้าหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มีภาพรวมที่ดีขึ้นใน 6 เดือน จึงขอเน้นดูหน่วยงานยุทธศาสตร์ เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไข ในส่วนของ ธ.ก.ส.ก็มีแนวคิดว่าจะให้พัฒนาชนบท เพื่อดูแลกองทุนหมู่บ้าน แปลงสินทรัพย์เป็นทุน รมว.คลัง กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220992
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/02/08
โพสต์ที่ 696
เชื่อธปท.คุมบาทไม่ให้หลุด32.7
โพสต์ทูเดย์ คาด ธปท.ไม่ปล่อยให้ค่าบาทแข็งค่าทะลุ 33.7 บาท/เหรียญสหรัฐ ธนาคารต่างชาติอ่อย 8.5% ดูดเงินลงทุนนอก
นักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ในระยะอันใกล้นี้เชื่อว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.7-32.8 บาท/เหรียญสหรัฐ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้ามาดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าทะลุ 32.7 บาท/เหรียญสหรัฐ
ค่าเงินบาทจะแข็งค่าต่อไปอีกต่อเนื่องจนกว่าจะถึงวันที่ 27 ก.พ. ซึ่งจะเป็นวันที่มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หากมีการปรับลดดอกเบี้ยถึง 0.5% ก็อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ แต่ถ้าปรับลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% ก็อาจไม่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทเท่าใดนัก
นักค้าเงินกล่าวว่า ในระยะที่ผ่านมาผู้ส่งออกขายเงินเหรียญสหรัฐออกไปเกินกว่าครึ่งหนึ่งที่ต้องขายแล้ว ขณะที่ผู้นำเข้ายังรอดูสถานการณ์
แหล่งข่าวจากนักค้าเงินกสิกรไทย เปิดเผยว่า ไม่พบว่ามีเงินทุนขนาดใหญ่หรือกองทุนนำเงินเข้ามาในระยะนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าการจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ควรจะต้องดำเนินการในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม ไม่ควรยกเลิกในช่วงที่เงินเหรียญสหรัฐแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักเพียงทิศทางเดียว และต้องส่งสัญญาณด้านนโยบายที่ชัดเจนให้กับตลาด มีมาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยนั้น เห็นว่าไม่ควรที่จะนำไปผูกโยงควบคู่ไปกับการประกาศยกเลิกมาตรการ 30% โดยอัตโนมัติ เพราะควรที่จะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
ด้านธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย เสนอผลตอบแทนสุดพิเศษเมื่อลูกค้าลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund (FIF)) ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิลงทุนในตั๋วแลกเงินระยะเวลา 1 เดือน และรับผลตอบแทนสูงถึง 8.5% เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220990
โพสต์ทูเดย์ คาด ธปท.ไม่ปล่อยให้ค่าบาทแข็งค่าทะลุ 33.7 บาท/เหรียญสหรัฐ ธนาคารต่างชาติอ่อย 8.5% ดูดเงินลงทุนนอก
นักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ในระยะอันใกล้นี้เชื่อว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.7-32.8 บาท/เหรียญสหรัฐ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้ามาดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าทะลุ 32.7 บาท/เหรียญสหรัฐ
ค่าเงินบาทจะแข็งค่าต่อไปอีกต่อเนื่องจนกว่าจะถึงวันที่ 27 ก.พ. ซึ่งจะเป็นวันที่มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หากมีการปรับลดดอกเบี้ยถึง 0.5% ก็อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ แต่ถ้าปรับลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% ก็อาจไม่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทเท่าใดนัก
นักค้าเงินกล่าวว่า ในระยะที่ผ่านมาผู้ส่งออกขายเงินเหรียญสหรัฐออกไปเกินกว่าครึ่งหนึ่งที่ต้องขายแล้ว ขณะที่ผู้นำเข้ายังรอดูสถานการณ์
แหล่งข่าวจากนักค้าเงินกสิกรไทย เปิดเผยว่า ไม่พบว่ามีเงินทุนขนาดใหญ่หรือกองทุนนำเงินเข้ามาในระยะนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าการจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ควรจะต้องดำเนินการในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม ไม่ควรยกเลิกในช่วงที่เงินเหรียญสหรัฐแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักเพียงทิศทางเดียว และต้องส่งสัญญาณด้านนโยบายที่ชัดเจนให้กับตลาด มีมาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยนั้น เห็นว่าไม่ควรที่จะนำไปผูกโยงควบคู่ไปกับการประกาศยกเลิกมาตรการ 30% โดยอัตโนมัติ เพราะควรที่จะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
ด้านธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย เสนอผลตอบแทนสุดพิเศษเมื่อลูกค้าลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund (FIF)) ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิลงทุนในตั๋วแลกเงินระยะเวลา 1 เดือน และรับผลตอบแทนสูงถึง 8.5% เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220990
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/02/08
โพสต์ที่ 697
คนอั้นใช้เงินยังผวารัฐบาล
โพสต์ทูเดย์ 5 นายกสมาคมเห็นพ้องเศรษฐกิจไทยยังไม่น่าไว้ใจ รัฐบาลใหม่ไม่ทำให้คนกล้าใช้จ่าย
นายพจน์ ใจชาญสุขกิจ นายกสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะมีรัฐบาลใหม่ และ จะมีการแถลงนโยบายต่อสภา มีนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลจะใช้จ่าย แต่ผลปรากฏว่าความเชื่อมั่นของประชาชนก็ยังไม่กลับมาตามที่มีการคาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ
นอกจากนี้ การแสดงออกของผู้นำประเทศก็มีผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ เวลาจะพูดอะไรก็ต้องระมัดระวังไม่ให้สื่อต่างชาตินำไปเขียนในทางที่ไม่ดี เช่น นายกฯ ยอมรับกับสื่อต่างชาติว่าหน้าตารัฐบาลนี้ขี้เหร่ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นและเอพีก็นำไปเขียน ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยต่อต่างประเทศ
นายวิทวัส ชัยปาณี นายกสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้ตัวเลขการส่งออกของไทยอาจจะประสบปัญหา เพราะเศรษฐกิจในทวีปยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดนำเข้าสินค้าหลักจากไทยชะลอตัวลง ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้น จีดีพีของไทยปีนี้อาจจะไม่ได้มาจากการส่งออกเหมือนในปีที่ผ่านมา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220998
โพสต์ทูเดย์ 5 นายกสมาคมเห็นพ้องเศรษฐกิจไทยยังไม่น่าไว้ใจ รัฐบาลใหม่ไม่ทำให้คนกล้าใช้จ่าย
นายพจน์ ใจชาญสุขกิจ นายกสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะมีรัฐบาลใหม่ และ จะมีการแถลงนโยบายต่อสภา มีนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลจะใช้จ่าย แต่ผลปรากฏว่าความเชื่อมั่นของประชาชนก็ยังไม่กลับมาตามที่มีการคาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ
นอกจากนี้ การแสดงออกของผู้นำประเทศก็มีผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ เวลาจะพูดอะไรก็ต้องระมัดระวังไม่ให้สื่อต่างชาตินำไปเขียนในทางที่ไม่ดี เช่น นายกฯ ยอมรับกับสื่อต่างชาติว่าหน้าตารัฐบาลนี้ขี้เหร่ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นและเอพีก็นำไปเขียน ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยต่อต่างประเทศ
นายวิทวัส ชัยปาณี นายกสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้ตัวเลขการส่งออกของไทยอาจจะประสบปัญหา เพราะเศรษฐกิจในทวีปยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดนำเข้าสินค้าหลักจากไทยชะลอตัวลง ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้น จีดีพีของไทยปีนี้อาจจะไม่ได้มาจากการส่งออกเหมือนในปีที่ผ่านมา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220998
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/02/08
โพสต์ที่ 698
ฐานะการคลังขาดดุล 1.5 แสนล.พุ่งขึ้น 185% แฉขิงแก่เร่งใช้เงินทิ้งทวน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2551 14:28 น.
คลังเปิดเผยฐานะการคลัง 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมกว่า 150,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2550 กว่าร้อยละ 185 โดยระบุเป็นผลจากการเร่งใช้จ่ายด้านการลงทุนของรัฐบาลที่ขยายตัวขึ้นมาก พร้อมคาดการณ์ GDP ปี 51 ยังโตได้ 4.5-5.5% โดยยังไม่รวมผลจากมาตรการกระตุ้น ศก.หมัก 1
วันนี้(15 ก.พ.) นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แถลงฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า รัฐบาลขาดดุลเงินสดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 จำนวน 34,621 ล้านบาท ส่งผลให้ช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 150,267 ล้านบาท สูงกว่าการขาดดุลช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2550 ร้อยละ 185 โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 121,390 ล้านบาท และการขาดดุลเงินนอกงบประมาณ 28,877 ล้านบาท ซึ่งการขาดดุลเงินสดที่เพิ่มขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2551 เป็นผลมาจากการเร่งการใช้จ่ายด้านการลงทุนของรัฐบาลที่ขยายตัวถึงร้อยละ 237.3
ทั้งนี้ ในเดือนมกราคม 2551 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 100,715 ล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 6,320 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.9 เนื่องจากมีการจัดสรรเงินให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 10,015 ล้านบาท นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และรายได้นำส่งคลังของรัฐวิสาหกิจยังต่ำกว่าปีที่แล้ว
ขณะที่รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 158,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 63.2 โดยเฉพาะรายการเบิกจ่ายที่ขยายตัวขึ้นมากคือรายจ่ายลงทุน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 40,832 ล้านบาท หรือร้อยละ 336 ขณะที่รายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 25.3 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนมกราคม 2551 ขาดดุล 57,687 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณซึ่งเกินดุล 23,066 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุล 34,621 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลด้วยการออกพันธบัตรจำนวน 16,500 ล้านบาท
โดยช่วง 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 430,286 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2550 ร้อยละ 4.5 โดยรายได้จัดเก็บที่เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีงบประมาณที่แล้ว ที่สำคัญ ได้แก่ ภาษียาสูบ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลมีจำนวน 551,676 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2550 ร้อยละ 38.9 แบ่งเป็นรายจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบัน 504,812 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 30.4 ของวงเงินงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท และรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 46,864 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 121,390 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 28,877 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุล 150,267 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลชดเชยการขาดดุลดังกล่าวโดยการออกพันธบัตร 59,000 ล้านบาท และใช้เงินคงคลัง 91,267 ล้านบาท
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000019289
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2551 14:28 น.
คลังเปิดเผยฐานะการคลัง 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมกว่า 150,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2550 กว่าร้อยละ 185 โดยระบุเป็นผลจากการเร่งใช้จ่ายด้านการลงทุนของรัฐบาลที่ขยายตัวขึ้นมาก พร้อมคาดการณ์ GDP ปี 51 ยังโตได้ 4.5-5.5% โดยยังไม่รวมผลจากมาตรการกระตุ้น ศก.หมัก 1
วันนี้(15 ก.พ.) นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แถลงฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า รัฐบาลขาดดุลเงินสดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 จำนวน 34,621 ล้านบาท ส่งผลให้ช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 150,267 ล้านบาท สูงกว่าการขาดดุลช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2550 ร้อยละ 185 โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 121,390 ล้านบาท และการขาดดุลเงินนอกงบประมาณ 28,877 ล้านบาท ซึ่งการขาดดุลเงินสดที่เพิ่มขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2551 เป็นผลมาจากการเร่งการใช้จ่ายด้านการลงทุนของรัฐบาลที่ขยายตัวถึงร้อยละ 237.3
ทั้งนี้ ในเดือนมกราคม 2551 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 100,715 ล้านบาท ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 6,320 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.9 เนื่องจากมีการจัดสรรเงินให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 10,015 ล้านบาท นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และรายได้นำส่งคลังของรัฐวิสาหกิจยังต่ำกว่าปีที่แล้ว
ขณะที่รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 158,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 63.2 โดยเฉพาะรายการเบิกจ่ายที่ขยายตัวขึ้นมากคือรายจ่ายลงทุน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 40,832 ล้านบาท หรือร้อยละ 336 ขณะที่รายจ่ายประจำขยายตัวร้อยละ 25.3 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนมกราคม 2551 ขาดดุล 57,687 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณซึ่งเกินดุล 23,066 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดขาดดุล 34,621 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลด้วยการออกพันธบัตรจำนวน 16,500 ล้านบาท
โดยช่วง 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 430,286 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2550 ร้อยละ 4.5 โดยรายได้จัดเก็บที่เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีงบประมาณที่แล้ว ที่สำคัญ ได้แก่ ภาษียาสูบ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลมีจำนวน 551,676 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2550 ร้อยละ 38.9 แบ่งเป็นรายจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบัน 504,812 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 30.4 ของวงเงินงบประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท และรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 46,864 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 121,390 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 28,877 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุล 150,267 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลชดเชยการขาดดุลดังกล่าวโดยการออกพันธบัตร 59,000 ล้านบาท และใช้เงินคงคลัง 91,267 ล้านบาท
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000019289
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/02/08
โพสต์ที่ 699
เล็งรีดภาษีอีก2.3หมื่นล.
โพสต์ทูเดย์ คลังเดินหน้ารีดภาษีโปะรายได้ปี 2551 หวั่นต่ำกว่าเป้า 1.49 ล้านล้านบาท
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ได้สั่งให้กรมสรรพากรเก็บภาษีเพิ่มอีก 1.3 หมื่นล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 1.2 ล้านล้านบาท และให้กรมศุลกากรเก็บภาษีเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาทจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8.78 หมื่นล้านบาท รวมต้องเก็บเพิ่ม 2.3 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ เนื่องจากประเมินว่าการจัดเก็บรายได้รวมของรัฐบาลปีงบประมาณ 2551 จะต่ำกว่าเป้า โดยเฉพาะกรมสรรพสามิตเก็บภาษีรถยนต์ต่ำกว่าเป้า 6 พันล้านบาท และการนำส่งรายได้ของ รัฐวิสาหกิจต่ำกว่าเป้าประมาณ 8 พันล้านบาท เพราะบริษัท ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม ไม่ส่งรายได้ให้รัฐบาล เนื่องจากมีปัญหาฐานะการเงิน
คลังไม่ต้องการให้การเก็บรายได้รัฐบาลภาพรวมต่ำกว่า 1.49 ล้านล้านบาท ตามที่ระบุไว้ในเอกสารงบประมาณ แหล่งข่าวเปิดเผย
ทั้งนี้ กรมสรรพากร จะ เก็บภาษีจากบุคคลธรรมดาและ ผู้ประกอบการมากขึ้น ขณะที่กรมศุลกากรที่ต้องเก็บเพิ่มจากการนำเข้าสินค้าบริโภคและสินค้าทุน
อย่างไรก็ตาม นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร และนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมศุลกากร พยายามต่อรอง ที่จะไม่เก็บภาษีเพิ่มขึ้น เพราะเกรงจะถูกต่อว่าเป็นการขูดรีดจากรัฐบาล แต่ไม่เป็นผล
ขณะที่นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะ กรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่พยายามต่อรองลดเป้าการส่ง รายได้รัฐวิสาหกิจเหลือ 8 หมื่นล้านบาท แต่นายศุภรัตน์ให้ยืน ตัวเลขการนำส่งไว้เท่าเดิม
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การเก็บรายได้รัฐบาลที่มีปัญหา ทำให้การดำเนินนโยบายลดภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจมีปัญหาตามไปด้วย จากเดิมที่กรมสรรพากรเสนอให้มีการหักรายจ่ายลดหย่อนภาษีเพิ่มจาก 6 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท คงไม่สามารถทำได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=news&id=221439
โพสต์ทูเดย์ คลังเดินหน้ารีดภาษีโปะรายได้ปี 2551 หวั่นต่ำกว่าเป้า 1.49 ล้านล้านบาท
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ได้สั่งให้กรมสรรพากรเก็บภาษีเพิ่มอีก 1.3 หมื่นล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 1.2 ล้านล้านบาท และให้กรมศุลกากรเก็บภาษีเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาทจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8.78 หมื่นล้านบาท รวมต้องเก็บเพิ่ม 2.3 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ เนื่องจากประเมินว่าการจัดเก็บรายได้รวมของรัฐบาลปีงบประมาณ 2551 จะต่ำกว่าเป้า โดยเฉพาะกรมสรรพสามิตเก็บภาษีรถยนต์ต่ำกว่าเป้า 6 พันล้านบาท และการนำส่งรายได้ของ รัฐวิสาหกิจต่ำกว่าเป้าประมาณ 8 พันล้านบาท เพราะบริษัท ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม ไม่ส่งรายได้ให้รัฐบาล เนื่องจากมีปัญหาฐานะการเงิน
คลังไม่ต้องการให้การเก็บรายได้รัฐบาลภาพรวมต่ำกว่า 1.49 ล้านล้านบาท ตามที่ระบุไว้ในเอกสารงบประมาณ แหล่งข่าวเปิดเผย
ทั้งนี้ กรมสรรพากร จะ เก็บภาษีจากบุคคลธรรมดาและ ผู้ประกอบการมากขึ้น ขณะที่กรมศุลกากรที่ต้องเก็บเพิ่มจากการนำเข้าสินค้าบริโภคและสินค้าทุน
อย่างไรก็ตาม นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร และนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมศุลกากร พยายามต่อรอง ที่จะไม่เก็บภาษีเพิ่มขึ้น เพราะเกรงจะถูกต่อว่าเป็นการขูดรีดจากรัฐบาล แต่ไม่เป็นผล
ขณะที่นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะ กรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่พยายามต่อรองลดเป้าการส่ง รายได้รัฐวิสาหกิจเหลือ 8 หมื่นล้านบาท แต่นายศุภรัตน์ให้ยืน ตัวเลขการนำส่งไว้เท่าเดิม
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การเก็บรายได้รัฐบาลที่มีปัญหา ทำให้การดำเนินนโยบายลดภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจมีปัญหาตามไปด้วย จากเดิมที่กรมสรรพากรเสนอให้มีการหักรายจ่ายลดหย่อนภาษีเพิ่มจาก 6 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท คงไม่สามารถทำได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=news&id=221439
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/02/08
โพสต์ที่ 700
คลังงัดที่ราชพัสดุค้ำวายุภักษ์2
โพสต์ทูเดย์ คลังเข็นกองทุน วายุภักษ์ 2 สั่งเอ็มเอฟซีหาช่องดึงที่ราชพัสดุหนุนหลัง
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง และนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย รัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้เรียกนายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี เข้าพบเพื่อวางกรอบการตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 มูลค่า 1 แสนล้านบาท โดยให้เอ็มเอฟซีเป็นผู้วางรูปแบบที่เหมาะสม
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เอ็มเอฟซียังต้องศึกษาการใช้ที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ที่มีรายได้เชิงพาณิชย์ มาค้ำประกันรายได้ของกองทุน เนื่องจากขณะนี้กระทรวงการ 8 คลัง ไม่มีหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นมาค้ำประกันเหมือนกองทุนวายุภักษ์ 1 เนื่องจากหลักทรัพย์รัฐวิสาหกิจหลายตัว รัฐ ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ทำให้รัฐวิสาหกิจ นั้นกลายสภาพเป็นบริษัทเอกชน
หุ้นของคลังดีๆ จำนวนมาก ถูกขายให้กองทุนวายุภักษ์ 1 และธนาคารออมสิน เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย ทำให้เหลือหุ้นดีจำนวนไม่มาก แหล่งข่าวเปิดเผย
การตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 ยัง คงแนวทางเดิม คือเป็นช่องทางการ บริหารสินทรัพย์ของกระทรวงการ คลัง และยังเป็นทางเลือกให้กับ ผู้ลงทุนรายย่อยมีทางเลือกลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนกว่าฝากเงิน โดยการขายหน่วยลงทุนยังต้องให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายย่อยก่อนนักลงทุนสถาบัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=221514
โพสต์ทูเดย์ คลังเข็นกองทุน วายุภักษ์ 2 สั่งเอ็มเอฟซีหาช่องดึงที่ราชพัสดุหนุนหลัง
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง และนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย รัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้เรียกนายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี เข้าพบเพื่อวางกรอบการตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 มูลค่า 1 แสนล้านบาท โดยให้เอ็มเอฟซีเป็นผู้วางรูปแบบที่เหมาะสม
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เอ็มเอฟซียังต้องศึกษาการใช้ที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ที่มีรายได้เชิงพาณิชย์ มาค้ำประกันรายได้ของกองทุน เนื่องจากขณะนี้กระทรวงการ 8 คลัง ไม่มีหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นมาค้ำประกันเหมือนกองทุนวายุภักษ์ 1 เนื่องจากหลักทรัพย์รัฐวิสาหกิจหลายตัว รัฐ ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ทำให้รัฐวิสาหกิจ นั้นกลายสภาพเป็นบริษัทเอกชน
หุ้นของคลังดีๆ จำนวนมาก ถูกขายให้กองทุนวายุภักษ์ 1 และธนาคารออมสิน เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย ทำให้เหลือหุ้นดีจำนวนไม่มาก แหล่งข่าวเปิดเผย
การตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 ยัง คงแนวทางเดิม คือเป็นช่องทางการ บริหารสินทรัพย์ของกระทรวงการ คลัง และยังเป็นทางเลือกให้กับ ผู้ลงทุนรายย่อยมีทางเลือกลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนกว่าฝากเงิน โดยการขายหน่วยลงทุนยังต้องให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายย่อยก่อนนักลงทุนสถาบัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=221514
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/02/08
โพสต์ที่ 701
CLSA ออกงานวิจัยล่าสุด เพิ่มน้ำหนักการลงทุน BAY+HANA นอกเหนือจาก MINT+DTAC+AP+CPN+KBANK+BBL+BANPU
Posted on Monday, February 18, 2008
CLSA Asia-Pacific nwewly research today still stated our positive view on Thailand Stock as we see more stable politics, the end of a long earnings downcycle, locals (who account for about 70% of the market) starting to buy, and consumers eventually starting to spend. We would consider four themes in Thailand:
1) Short term mega project hype 2) Consumption recovery
3) Capex cycle return and 4) A coal price super cycle.
In this new report we review our third theme, capex, and show that it is further away than most realize, so play consumption first. To play the consumer we have recently completely removed externally driven energy stocks from our top picks list and have gone heavily overweight the largest domestic sector, banks.
Our bank?s analyst, James Moss, makes a strong positive argument for
consumer and SME focused banks KBANK and BAY, where he sees strong loan growth and high margins. Due to a slow pick up in large corporate capex James? expects only a 200bp pick up in loan growth at BBL in 2008, but for the growth to hit 14% in 2009 and accelerate to 16% in 2010 as the capex cycle firmly kicks in.
Despite our expectation that large corporate capex will take time to recover we have BBL in our top picks because first, we expect 17% 2008 earnings growth, driven by steady loan growth and margins, but mainly from strong cost control and an absence of exceptional US CDO losses in 2008. In addition, the bank is historically cheap at 1.3x PB, while the valuation gap between SCB, trading now on 2.4x, is the largest it has ever been.
In our 4 February report Crazy positive 1: we reviewed the mega hype theme and nine stocks which could move on that theme. Mega projects pumped up the prior Thaksin administration and we think they are coming back. We call it hype because stocks fly, but the real work takes a lot longer than expected. Play the ST hype, and get out quick. We highlighted nine companies which could benefit from the mega hype theme.
Two steel companies: Bangsaphan Barmill and Tata Steel Thai; Three contractors: Italian-Thai Dev, Ch Karnchang, and Sino Thai E&C; Two banks: Krung Thai Bank and TMB Bank; and two cement companies: Siam Cement, Siam City Cement. On average these stocks are up about 10% since the issuance of that report, we think there could be another leg to mega hype as the government starts announcing its new mega project plans. Just remember to get out once we get through that period.
Crazy positive theme 2: Consumer recovery is next driver and highlighted five leading consumption indicators. We believe that there will be a consumer recovery which will drive economic growth and the stock market. Hence, we have positioned our top picks for this recovery. Consumption growth has been below average for about eight quarters, starting with the lifting of the diesel subsidy in July 2005, diesel prices were up 60% in that year. That cost-push brought inflation to 6% until 2Q06. This was followed by another year or so of political turmoil.
We argue that after recovering from these blows and facing a slightly more stable political environment, Thais are ready to spend.
Consumption is important as it accounts for 63% of Thai GDP. Five statistics which have historically been leading indicators of consumption growth and market performance: car sales growth, retail sales growth, advertising spending growth, consumer confidence and inflation (inverse relationship).
Four are either very low or bouncing back. The risk is inflation which has risen to long term average levels. The latest January 2008 numbers released out of the five are advertising spending which was down 7% YoY, and consumer confidence which was up slightly to 78% vs. 77% in December 2007. So the consumption recovery remains our expectation, not yet firmly reality.
Crazy positive theme 3 ? we focus our top picks on the consumption theme as we believe that the capex upcycle theme will take time to arrive. This is because capacity utilization may not be as full as it appears. Thailand?s capacity utilization, as announced by the Bank of Thailand, at slightly over 76%, it appears that capacity is approaching full, possibly leading to an investment and lending boom. Moreover, it shows the possibility of this boom more dramatically when plotted against GDP and loan growth, both of which have been very weak for years, despite the rising capacity utilization.
The BOT capacity utilization data only goes back to 1995, which was the last year of nine which experienced an amazingly high average 29% loan growth,this collapsed after 1995. It would seem that the massive lending and investment boom that happened from 1987 to 1995 would have brought capacity utilization down by 1995. Hence we suspect that the prior peak of about 80% in 1995 was not the prior peak, but rather just the earliest data released by the BOT.
To test this we plot a comparable bottom up ratio, asset turnover
(revenue/assets), from an aggregate of 200 listed companies back to 1991.We then assume that the ratio of capacity utilization to asset turnover was the same in prior years and use this to plot our estimated line of where capacity utilization theoretically was. We accept the weakness of extrapolating, but would argue that at least we can see that if capacity utilization were revealed it would show that 80% was not the prior peak. This method shows a theoretically estimated average capacity utilization rate from 1992 to 1994 of 98%. We later questioned the BOT staff who concurred that 80% was unlikely the prior peak.
Our conclusion is that we do not see a broad based investment upcycle just yet. In addition, if the US economy were to weaken it could cause Thai exports to slow, taking pressure off of these factories. Lastly, the sectors which are at full capacity (hard disk drives, commercial car production, and petrochemicals throughout the whole stream) are sophisticated factories built and/or run by some of the brightest minds and companies in Thailand and the world and hence could possibly be expected to run near full capacity for years.
We make no changes to our top picks this week after last week?s removal of PTT (PTT Bt332.0 - BUY), this was due mainly to our heightened focus on the domestic sector, rather than PTT?s fundamentals which remain strong. We continue to be strongly overweight consumer and SME banks KBANK and BAY.
We are less positive on SCB and willing to get into BBL, despite its strong
capex exposure, because it is historically cheap at 1.3x PB, while the
valuation gap between SCB, trading now on 2.4x, is the largest it has ever been.
We have shifted energy to underweight, taken out PTT and added BAY and HANA
Company Story
Bangkok Bank (BBL ? Bt125.0 ? BUY ) Profits to rise 50% by 2010CL, liquidity rundown to raise returns, undervalued franchise
Kasikornbank (KBANK ? Bt90.0 ? BUY ) Profits to rise 76% by 2010CL from SMEs and an aggressive cross-selling drive
Bank of Ayudhya (BAY TB ? Bt24.8 ? BUY ) Profitability doubling from aggressive retail push; 2010CL is 60% above consensus
Banpu (BANPU TB ? Bt472.0 ? BUY ) Expect 08E earnings to jump 50% driven by high coal prices amid tight regional mkt
Central Pattana (CPN TB ? Bt26.8 ? BUY ) Expect 20%+ EPS growth in 2008CL driven by improved confidence post the election
Asian Property (AP TB ? Bt6.6 ? BUY ) Expect 30%+ EPS growth in 2008CL driven by strong condo backlog
Total Access Comm. (DTAC TB ? Bt47.0 ? BUY ) 40% 2008CL profit inc due to falling reg costs&organic growth. More reg upside ahead
Hana Microelec. (HANA TB ? Bt19.3 ? BUY ) Cheap, trading 2 stdev below avg PB & PE. Will survive & thrive w/ $100m net cash
Minor Inter. (MINT TB ? Bt15.8 ? BUY ) Expect 35% 08CL profit growth from new hotels in high-end tourist destination
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, February 18, 2008
CLSA Asia-Pacific nwewly research today still stated our positive view on Thailand Stock as we see more stable politics, the end of a long earnings downcycle, locals (who account for about 70% of the market) starting to buy, and consumers eventually starting to spend. We would consider four themes in Thailand:
1) Short term mega project hype 2) Consumption recovery
3) Capex cycle return and 4) A coal price super cycle.
In this new report we review our third theme, capex, and show that it is further away than most realize, so play consumption first. To play the consumer we have recently completely removed externally driven energy stocks from our top picks list and have gone heavily overweight the largest domestic sector, banks.
Our bank?s analyst, James Moss, makes a strong positive argument for
consumer and SME focused banks KBANK and BAY, where he sees strong loan growth and high margins. Due to a slow pick up in large corporate capex James? expects only a 200bp pick up in loan growth at BBL in 2008, but for the growth to hit 14% in 2009 and accelerate to 16% in 2010 as the capex cycle firmly kicks in.
Despite our expectation that large corporate capex will take time to recover we have BBL in our top picks because first, we expect 17% 2008 earnings growth, driven by steady loan growth and margins, but mainly from strong cost control and an absence of exceptional US CDO losses in 2008. In addition, the bank is historically cheap at 1.3x PB, while the valuation gap between SCB, trading now on 2.4x, is the largest it has ever been.
In our 4 February report Crazy positive 1: we reviewed the mega hype theme and nine stocks which could move on that theme. Mega projects pumped up the prior Thaksin administration and we think they are coming back. We call it hype because stocks fly, but the real work takes a lot longer than expected. Play the ST hype, and get out quick. We highlighted nine companies which could benefit from the mega hype theme.
Two steel companies: Bangsaphan Barmill and Tata Steel Thai; Three contractors: Italian-Thai Dev, Ch Karnchang, and Sino Thai E&C; Two banks: Krung Thai Bank and TMB Bank; and two cement companies: Siam Cement, Siam City Cement. On average these stocks are up about 10% since the issuance of that report, we think there could be another leg to mega hype as the government starts announcing its new mega project plans. Just remember to get out once we get through that period.
Crazy positive theme 2: Consumer recovery is next driver and highlighted five leading consumption indicators. We believe that there will be a consumer recovery which will drive economic growth and the stock market. Hence, we have positioned our top picks for this recovery. Consumption growth has been below average for about eight quarters, starting with the lifting of the diesel subsidy in July 2005, diesel prices were up 60% in that year. That cost-push brought inflation to 6% until 2Q06. This was followed by another year or so of political turmoil.
We argue that after recovering from these blows and facing a slightly more stable political environment, Thais are ready to spend.
Consumption is important as it accounts for 63% of Thai GDP. Five statistics which have historically been leading indicators of consumption growth and market performance: car sales growth, retail sales growth, advertising spending growth, consumer confidence and inflation (inverse relationship).
Four are either very low or bouncing back. The risk is inflation which has risen to long term average levels. The latest January 2008 numbers released out of the five are advertising spending which was down 7% YoY, and consumer confidence which was up slightly to 78% vs. 77% in December 2007. So the consumption recovery remains our expectation, not yet firmly reality.
Crazy positive theme 3 ? we focus our top picks on the consumption theme as we believe that the capex upcycle theme will take time to arrive. This is because capacity utilization may not be as full as it appears. Thailand?s capacity utilization, as announced by the Bank of Thailand, at slightly over 76%, it appears that capacity is approaching full, possibly leading to an investment and lending boom. Moreover, it shows the possibility of this boom more dramatically when plotted against GDP and loan growth, both of which have been very weak for years, despite the rising capacity utilization.
The BOT capacity utilization data only goes back to 1995, which was the last year of nine which experienced an amazingly high average 29% loan growth,this collapsed after 1995. It would seem that the massive lending and investment boom that happened from 1987 to 1995 would have brought capacity utilization down by 1995. Hence we suspect that the prior peak of about 80% in 1995 was not the prior peak, but rather just the earliest data released by the BOT.
To test this we plot a comparable bottom up ratio, asset turnover
(revenue/assets), from an aggregate of 200 listed companies back to 1991.We then assume that the ratio of capacity utilization to asset turnover was the same in prior years and use this to plot our estimated line of where capacity utilization theoretically was. We accept the weakness of extrapolating, but would argue that at least we can see that if capacity utilization were revealed it would show that 80% was not the prior peak. This method shows a theoretically estimated average capacity utilization rate from 1992 to 1994 of 98%. We later questioned the BOT staff who concurred that 80% was unlikely the prior peak.
Our conclusion is that we do not see a broad based investment upcycle just yet. In addition, if the US economy were to weaken it could cause Thai exports to slow, taking pressure off of these factories. Lastly, the sectors which are at full capacity (hard disk drives, commercial car production, and petrochemicals throughout the whole stream) are sophisticated factories built and/or run by some of the brightest minds and companies in Thailand and the world and hence could possibly be expected to run near full capacity for years.
We make no changes to our top picks this week after last week?s removal of PTT (PTT Bt332.0 - BUY), this was due mainly to our heightened focus on the domestic sector, rather than PTT?s fundamentals which remain strong. We continue to be strongly overweight consumer and SME banks KBANK and BAY.
We are less positive on SCB and willing to get into BBL, despite its strong
capex exposure, because it is historically cheap at 1.3x PB, while the
valuation gap between SCB, trading now on 2.4x, is the largest it has ever been.
We have shifted energy to underweight, taken out PTT and added BAY and HANA
Company Story
Bangkok Bank (BBL ? Bt125.0 ? BUY ) Profits to rise 50% by 2010CL, liquidity rundown to raise returns, undervalued franchise
Kasikornbank (KBANK ? Bt90.0 ? BUY ) Profits to rise 76% by 2010CL from SMEs and an aggressive cross-selling drive
Bank of Ayudhya (BAY TB ? Bt24.8 ? BUY ) Profitability doubling from aggressive retail push; 2010CL is 60% above consensus
Banpu (BANPU TB ? Bt472.0 ? BUY ) Expect 08E earnings to jump 50% driven by high coal prices amid tight regional mkt
Central Pattana (CPN TB ? Bt26.8 ? BUY ) Expect 20%+ EPS growth in 2008CL driven by improved confidence post the election
Asian Property (AP TB ? Bt6.6 ? BUY ) Expect 30%+ EPS growth in 2008CL driven by strong condo backlog
Total Access Comm. (DTAC TB ? Bt47.0 ? BUY ) 40% 2008CL profit inc due to falling reg costs&organic growth. More reg upside ahead
Hana Microelec. (HANA TB ? Bt19.3 ? BUY ) Cheap, trading 2 stdev below avg PB & PE. Will survive & thrive w/ $100m net cash
Minor Inter. (MINT TB ? Bt15.8 ? BUY ) Expect 35% 08CL profit growth from new hotels in high-end tourist destination
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/02/08
โพสต์ที่ 702
ASP ชี้ KBANK+MINT+TPIPL+GSTEEL+CK เป็นหุ้น Top pick ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลมากสุด
Posted on Monday, February 18, 2008
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASP) ได้ออกงานวิจัย ล่าสุด ระบุว่า การแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันนี้ ถือได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินหน้าแผนลงทุนของรัฐบาลใหม่ มูลค่า 1.59 ล้านล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ในอัตรา 4 - 5% ซึ่งหากการดำเนินงาน ยังเป็นไปตามแผนงานเดิม ฝ่ายวิจัย ASP คาดว่า น่าจะมีเม็ดเงินถูกใช้ในโครงการ Mega Projects 2.82 แสนล้านบาท ในปีงบประมาณ 2551 นี้ ก่อนเพิ่มเป็น 3.75 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2552
ดังนั้น เมื่อมีการผลักดันโครงการ Mega Projects ก็ทำให้มีโครงการลงทุนหลายโครงการ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ โครงการลงทุนด้านที่อยู่อาศัย โครงการ Mass Transit และการลงทุนในด้านพลังงาน สื่อสาร และการท่องเที่ยว ตามมา ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ธนาคารพาณิชย์ หรือโรงแรม จะได้ประโยชน์จากแผนลงทุนภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะได้รับนั้น กลับแตกต่างกันไปตามการตัดสินใจทางการเมือง ดังนั้น เมื่อให้เลือกธุรกิจที่น่าสนใจ ฝ่ายวิจัย ASP มีความเห็นว่า กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง น่าจะได้ประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนภาครัฐสูงที่สุด
โดยกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะได้รับกระแสจากความคืบหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการทางด้าน Mass Transit เป็นแรงสนับสนุนมากที่สุด แนะนำให้ ซื้อ CK ( มูลค่าเหมาสะม 10.22 บาท ) เป็น Top Pick
ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เชื่อว่าธุรกิจปูนซิเมนต์ ได้ผ่านจุดต่ำสุดของการทำกำไรในปีที่ผ่านมาได้แล้ว และสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งเมื่อเลือกหุ้นที่ราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ได้ TPIPL ( ราคาเหมาะสมที่ หุ้นละ 9.56 บาท ) เป็น Top Pick
สำหรับธุรกิจเหล็ก จะได้รับผลดีจากราคาเหล็ก และความต้องการที่ปรับขึ้น เลือก GSTEEL ( ราคาเหมาะสม ที่ 1.09 บาท ) เป็น Top Pick เพราะราคาปัจจุบันต่ำกว่า Book Value ถึง 30%
ด้านกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของสินเชื่อ ซึงคาดว่า ในปีนี้ จะเติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมจะขยายตัวกว่า 17% และน่าจะเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตของกำไรสูงที่สุดของตลาดหลักทรัพย์ โดยให้น้ำหนักกับ KBANK ( ราคาเหมาะสม 110 บาท ) เป็น Top Pick
ขณะที่กลุ่มโรงแรม ซึ่งได้รับผลดีจาแนวนโยบายการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศ ให้ได้เป้าหมาย 8 แสนล้านบาท เลือก MINT ( ราคาเหมาะสม 19.27 บาท ) เป็น Top Pick
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, February 18, 2008
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASP) ได้ออกงานวิจัย ล่าสุด ระบุว่า การแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันนี้ ถือได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินหน้าแผนลงทุนของรัฐบาลใหม่ มูลค่า 1.59 ล้านล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ในอัตรา 4 - 5% ซึ่งหากการดำเนินงาน ยังเป็นไปตามแผนงานเดิม ฝ่ายวิจัย ASP คาดว่า น่าจะมีเม็ดเงินถูกใช้ในโครงการ Mega Projects 2.82 แสนล้านบาท ในปีงบประมาณ 2551 นี้ ก่อนเพิ่มเป็น 3.75 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2552
ดังนั้น เมื่อมีการผลักดันโครงการ Mega Projects ก็ทำให้มีโครงการลงทุนหลายโครงการ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ โครงการลงทุนด้านที่อยู่อาศัย โครงการ Mass Transit และการลงทุนในด้านพลังงาน สื่อสาร และการท่องเที่ยว ตามมา ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ธนาคารพาณิชย์ หรือโรงแรม จะได้ประโยชน์จากแผนลงทุนภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมจะได้รับนั้น กลับแตกต่างกันไปตามการตัดสินใจทางการเมือง ดังนั้น เมื่อให้เลือกธุรกิจที่น่าสนใจ ฝ่ายวิจัย ASP มีความเห็นว่า กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง น่าจะได้ประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนภาครัฐสูงที่สุด
โดยกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะได้รับกระแสจากความคืบหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการทางด้าน Mass Transit เป็นแรงสนับสนุนมากที่สุด แนะนำให้ ซื้อ CK ( มูลค่าเหมาสะม 10.22 บาท ) เป็น Top Pick
ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เชื่อว่าธุรกิจปูนซิเมนต์ ได้ผ่านจุดต่ำสุดของการทำกำไรในปีที่ผ่านมาได้แล้ว และสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งเมื่อเลือกหุ้นที่ราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ได้ TPIPL ( ราคาเหมาะสมที่ หุ้นละ 9.56 บาท ) เป็น Top Pick
สำหรับธุรกิจเหล็ก จะได้รับผลดีจากราคาเหล็ก และความต้องการที่ปรับขึ้น เลือก GSTEEL ( ราคาเหมาะสม ที่ 1.09 บาท ) เป็น Top Pick เพราะราคาปัจจุบันต่ำกว่า Book Value ถึง 30%
ด้านกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของสินเชื่อ ซึงคาดว่า ในปีนี้ จะเติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมจะขยายตัวกว่า 17% และน่าจะเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตของกำไรสูงที่สุดของตลาดหลักทรัพย์ โดยให้น้ำหนักกับ KBANK ( ราคาเหมาะสม 110 บาท ) เป็น Top Pick
ขณะที่กลุ่มโรงแรม ซึ่งได้รับผลดีจาแนวนโยบายการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศ ให้ได้เป้าหมาย 8 แสนล้านบาท เลือก MINT ( ราคาเหมาะสม 19.27 บาท ) เป็น Top Pick
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/02/08
โพสต์ที่ 703
5 โบรกเกอร์แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นสัปดาห์นี้ เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้น BANK+PROP ขนาดกลาง และหุ้นพลังงาน
Posted on Monday, February 18, 2008
บล.กิมเอ็ง (KEST) ชี้ว่า ตลาดหลักทรัพย์น่าจะแกว่งตัวขึ้นไปที่ดัชนี 840 จุด ในสัปดาห์นี้ โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ตลาดหุ้นไทยจะยังคงมีผลงานดีกว่าหุ้นในภูมิภาค เพราะปัจจัยบวกจากนโยบายการเร่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ การไหลเข้าของเม็ดเงินต่างประเทศ และโอกาสการเข้าซื้อหุ้นใหญ่ในกลุ่ม PTT ที่จะทำให้น้ำหนักตลาดเป็นบวก
อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์ ยังมีโอกาสที่จะเกิดผันผวนขึ้นได้อีก โดยนอกจากปัจจัยภายนอก คือภาวะวิตกเศรษฐกิจสหรัฐแล้ว ยังมีปัจจัยการเมืองเข้ามาแทรกด้วย โดยเฉพาะกรณีการส่งฟ้องคดียุบพรรคพลังประชาชน จากข้อหาทุจริตเลือกตั้ง ที่จังหวัดเชียงราย
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่ม PTT ยังคงจะเป็นหุ้นหัวจักรนำดัชนีขึ้น เพราะมีน้ำหนักในการถ่วงตลาดมากรับเม็ดเงินไหลเข้าได้ดี มีคุณภาพกำไรดี และ ได้รับประโยชน์จากราคาพลังงานระดับสูง
นอกจากนั้น หุ้นธนาคารที่ยังมีราคาต่ำ เช่น BBL, BAY และ SCIB ก็มีโอกาสขึ้นได้อีก รวมไปถึงหุ้นมีประเด็น MCOT, CPF, BJC, AP, PS และ UMS ตลอดจนหุ้รนขนาดเล็กที่น่าสนใจ อย่าง MFEC, TPC, MCS, SIS, และ PTL
สำหรับหุ้นในกลุ่มที่อยู่ในลักษณะขายออกไปก่อนเพราะได้ขึ้นมามากแล้วแม้พื้นฐานจะดี หรือราคาแพงเกินมูลค่าที่ควรเป็น ได้แก่ SCB, ADVANC, KTB, LH, ITD, และ STEC ส่วน BANPU และ TTA ก็ให้หาจังหวะขายทำกำไรออกไปจากข่าวดีที่วิ่งเข้ามาดันราคา
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Monday, February 18, 2008
บล.กิมเอ็ง (KEST) ชี้ว่า ตลาดหลักทรัพย์น่าจะแกว่งตัวขึ้นไปที่ดัชนี 840 จุด ในสัปดาห์นี้ โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ตลาดหุ้นไทยจะยังคงมีผลงานดีกว่าหุ้นในภูมิภาค เพราะปัจจัยบวกจากนโยบายการเร่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ การไหลเข้าของเม็ดเงินต่างประเทศ และโอกาสการเข้าซื้อหุ้นใหญ่ในกลุ่ม PTT ที่จะทำให้น้ำหนักตลาดเป็นบวก
อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์ ยังมีโอกาสที่จะเกิดผันผวนขึ้นได้อีก โดยนอกจากปัจจัยภายนอก คือภาวะวิตกเศรษฐกิจสหรัฐแล้ว ยังมีปัจจัยการเมืองเข้ามาแทรกด้วย โดยเฉพาะกรณีการส่งฟ้องคดียุบพรรคพลังประชาชน จากข้อหาทุจริตเลือกตั้ง ที่จังหวัดเชียงราย
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่ม PTT ยังคงจะเป็นหุ้นหัวจักรนำดัชนีขึ้น เพราะมีน้ำหนักในการถ่วงตลาดมากรับเม็ดเงินไหลเข้าได้ดี มีคุณภาพกำไรดี และ ได้รับประโยชน์จากราคาพลังงานระดับสูง
นอกจากนั้น หุ้นธนาคารที่ยังมีราคาต่ำ เช่น BBL, BAY และ SCIB ก็มีโอกาสขึ้นได้อีก รวมไปถึงหุ้นมีประเด็น MCOT, CPF, BJC, AP, PS และ UMS ตลอดจนหุ้รนขนาดเล็กที่น่าสนใจ อย่าง MFEC, TPC, MCS, SIS, และ PTL
สำหรับหุ้นในกลุ่มที่อยู่ในลักษณะขายออกไปก่อนเพราะได้ขึ้นมามากแล้วแม้พื้นฐานจะดี หรือราคาแพงเกินมูลค่าที่ควรเป็น ได้แก่ SCB, ADVANC, KTB, LH, ITD, และ STEC ส่วน BANPU และ TTA ก็ให้หาจังหวะขายทำกำไรออกไปจากข่าวดีที่วิ่งเข้ามาดันราคา
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news19/02/08
โพสต์ที่ 704
Stock in Focus
เปิดโผหุ้นเติบโตเด่น Growth Stock Top Pick 20 ตัว ชี้หุ้นพลังงานยังมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง
Posted on Tuesday, February 19, 2008
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการสายงานศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวผ่านรายการ Stock in Focus ว่า จากการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เล็งเห็นถึงความสนใจลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีอัตราการเติบโตสูงของกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้ร่วมมือกับสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ในการคัดเลือกหุ้น 20 ตัว ที่มียอดขายและกำไรเติบโตต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 3 ปี และสภาพคล่องหุ้นสูง เพื่อยืนยันว่า บริษัทจดทะเบียนนั้นสามารถผ่านพ้นสถานการณ์การเมืองที่ไม่มั่นคงได้ และยังมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนอีกด้วย โดยหุ้น 20 ตัวที่ผ่านการคัดเลือกมานี้ มีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นอยู่ที่ 29.3% และคาดว่าจะมีอัตราการจ่ายปันผลได้เฉลี่ยที่ 5.62%
สำหรับเกณฑ์การคัดเลือก นายวิเชฐเปิดเผยว่า จะใช้มาตรฐานเดียวกันในการคำนวณทุกตัว และใน 20 ตัวนี้ก็มีแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ดังนี้
- บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ)
- บมจ. แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN)
- บมจ. นวนคร (NNCL)
- บมจ. ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH)
- บมจ. สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJANA)
- บมจ. แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET)
- บมจ. ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA)
- บมจ. เอสวีไอ (SVI)
- บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH)
- บมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล (KH)
- บมจ. โรงพยาบาล นนทเวช (NTV)
- บมจ. สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT)
- บมจ. ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY)
- บมจ. บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS)
- บมจ. ลานนารีซอร์สเซส (LANNA)
- บมจ. กระเบื้องหลังคาตราเพชร (DRT)
- บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO)
- บมจ. กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส (KCAR)
- บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR)
- บมจ. เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC)
นายวิเชฐเชื่อว่า การร่วมมือกับสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในการค้นหาหุ้นที่เติบโตสูง แต่ยังไม่ได้รับความสนใจในช่วงที่ผ่านมามาประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้นนั้น จะทำให้นักวิเคราะห์หันมาให้ความสนใจออกบทวิเคราะห์หลีกทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนได้ และในปีนี้ตลท.ก็มีแผนเพิ่มจำนวนนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริษัทประกันที่มีอัตราการขยายตัวของสินทรัพย์สูงมากและมักจะให้ความสนใจลงทุนหุ้นระยะยาว
ขณะที่ธุรกิจกองทุนรวมก็สนใจหุ้นเติบโตสูงมากขึ้น จึงควรมีบทวิเคราะห์หุ้นที่ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อตอบสนองนักลงทุนกลุ่มนี้ด้วย และตลท.จะพยายามจัดทำข้อมูลการลงทุนในลักษณะต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หุ้นที่มีราคาไม่เคลื่อนไหวให้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะขับเคลื่อนมูลค่าตลาดของตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Sto ... fault.aspx
เปิดโผหุ้นเติบโตเด่น Growth Stock Top Pick 20 ตัว ชี้หุ้นพลังงานยังมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง
Posted on Tuesday, February 19, 2008
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการสายงานศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวผ่านรายการ Stock in Focus ว่า จากการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เล็งเห็นถึงความสนใจลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีอัตราการเติบโตสูงของกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้ร่วมมือกับสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ในการคัดเลือกหุ้น 20 ตัว ที่มียอดขายและกำไรเติบโตต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 3 ปี และสภาพคล่องหุ้นสูง เพื่อยืนยันว่า บริษัทจดทะเบียนนั้นสามารถผ่านพ้นสถานการณ์การเมืองที่ไม่มั่นคงได้ และยังมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนอีกด้วย โดยหุ้น 20 ตัวที่ผ่านการคัดเลือกมานี้ มีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นอยู่ที่ 29.3% และคาดว่าจะมีอัตราการจ่ายปันผลได้เฉลี่ยที่ 5.62%
สำหรับเกณฑ์การคัดเลือก นายวิเชฐเปิดเผยว่า จะใช้มาตรฐานเดียวกันในการคำนวณทุกตัว และใน 20 ตัวนี้ก็มีแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ดังนี้
- บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ)
- บมจ. แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN)
- บมจ. นวนคร (NNCL)
- บมจ. ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH)
- บมจ. สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJANA)
- บมจ. แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET)
- บมจ. ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA)
- บมจ. เอสวีไอ (SVI)
- บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH)
- บมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล (KH)
- บมจ. โรงพยาบาล นนทเวช (NTV)
- บมจ. สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT)
- บมจ. ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY)
- บมจ. บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS)
- บมจ. ลานนารีซอร์สเซส (LANNA)
- บมจ. กระเบื้องหลังคาตราเพชร (DRT)
- บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO)
- บมจ. กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส (KCAR)
- บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR)
- บมจ. เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC)
นายวิเชฐเชื่อว่า การร่วมมือกับสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในการค้นหาหุ้นที่เติบโตสูง แต่ยังไม่ได้รับความสนใจในช่วงที่ผ่านมามาประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้นนั้น จะทำให้นักวิเคราะห์หันมาให้ความสนใจออกบทวิเคราะห์หลีกทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนได้ และในปีนี้ตลท.ก็มีแผนเพิ่มจำนวนนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริษัทประกันที่มีอัตราการขยายตัวของสินทรัพย์สูงมากและมักจะให้ความสนใจลงทุนหุ้นระยะยาว
ขณะที่ธุรกิจกองทุนรวมก็สนใจหุ้นเติบโตสูงมากขึ้น จึงควรมีบทวิเคราะห์หุ้นที่ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อตอบสนองนักลงทุนกลุ่มนี้ด้วย และตลท.จะพยายามจัดทำข้อมูลการลงทุนในลักษณะต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หุ้นที่มีราคาไม่เคลื่อนไหวให้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะขับเคลื่อนมูลค่าตลาดของตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Sto ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/02/08
โพสต์ที่ 705
สถาบันในประเทศปรับพอร์ตอีก ปล่อยให้รายย่อยจับมือต่างชาติซื้อ 529 ล้านบาท
Posted on Wednesday, February 20, 2008
นักลงทุนต่างชาติ จับมือรายย่อย ซื้อหุ้นที่สถาบันในประเทศ ขายปรับพอร์ต 529 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอดรวมสุทธิเดือนกุมภาพันธ์ ต่างชาติยังซื้อต่อเนื่อง เพิ่มยอดซื้อใกล้ทะลุ 2.8 หมื่นล้านบาท ฉุดยอดขายสุทธิที่โหมกระหน่ำเข้ามาตลอดเดือนมกราคม ให้หดเหลือราว 7.2 พันล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 10,563.23 ขาย 10,304.07 รวม ซื้อสุทธิ 259.16
สถาบันในประเทศ ซื้อ 3,083.79 ขาย 3,612.86 รวม ขายสุทธิ 529.07
ต่างประเทศ ซื้อ 6,019.92 ขาย 5,750.01 รวม ซื้อสุทธิ 269.91
ยอดสะสม ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 161,119.01 ขาย 177,775.97 รวม ขายสุทธิ 16,656.96
สถาบันในประเทศ ซื้อ 43,276.96 ขาย 54,546.93 รวม ขายสุทธิ 11,269.97
ต่างประเทศ ซื้อ 111,101.85 ขาย 83,174.92 รวม ซื้อสุทธิ 27,926.93
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2551 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 402,629.44 ขาย 393,942.71 รวม ซื้อสุทธิ 8,686.73
สถาบันในประเทศ ซื้อ 120,007.72 ขาย 121,476.79 รวม ขายสุทธิ 1,469.06
ต่างประเทศ ซื้อ 219,316.63 ขาย 226,534.28 รวม ขายสุทธิ 7,217.65
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Wednesday, February 20, 2008
นักลงทุนต่างชาติ จับมือรายย่อย ซื้อหุ้นที่สถาบันในประเทศ ขายปรับพอร์ต 529 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอดรวมสุทธิเดือนกุมภาพันธ์ ต่างชาติยังซื้อต่อเนื่อง เพิ่มยอดซื้อใกล้ทะลุ 2.8 หมื่นล้านบาท ฉุดยอดขายสุทธิที่โหมกระหน่ำเข้ามาตลอดเดือนมกราคม ให้หดเหลือราว 7.2 พันล้านบาท
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551
(หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 10,563.23 ขาย 10,304.07 รวม ซื้อสุทธิ 259.16
สถาบันในประเทศ ซื้อ 3,083.79 ขาย 3,612.86 รวม ขายสุทธิ 529.07
ต่างประเทศ ซื้อ 6,019.92 ขาย 5,750.01 รวม ซื้อสุทธิ 269.91
ยอดสะสม ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 161,119.01 ขาย 177,775.97 รวม ขายสุทธิ 16,656.96
สถาบันในประเทศ ซื้อ 43,276.96 ขาย 54,546.93 รวม ขายสุทธิ 11,269.97
ต่างประเทศ ซื้อ 111,101.85 ขาย 83,174.92 รวม ซื้อสุทธิ 27,926.93
ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2551 (หน่วย / ล้านบาท)
ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 402,629.44 ขาย 393,942.71 รวม ซื้อสุทธิ 8,686.73
สถาบันในประเทศ ซื้อ 120,007.72 ขาย 121,476.79 รวม ขายสุทธิ 1,469.06
ต่างประเทศ ซื้อ 219,316.63 ขาย 226,534.28 รวม ขายสุทธิ 7,217.65
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/02/08
โพสต์ที่ 706
คลังยึกยักเลิก30%หวั่นครหาล้วงลูก
โพสต์ทูเดย์ คลังซื้อเวลาเลิกมาตรการ 30% อีก 3 เดือน ส่งผลธปท.แทรกค่าบาทหนัก
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหล เข้า 30% ภายใน 3 เดือน โดยในช่วงนี้ ธปท. ต้องเข้าไปแทรกแซง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก มีการเก็งกำไรขายเงินเหรียญสหรัฐ เพราะเชื่อว่าหลังยกเลิกมาตรการ 30% ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น
การยกเลิกมาตรการ 30% คงไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ เพราะ ธปท.ต้องการยกเลิกมาตรการ 30% โดยที่ไม่ให้คนรู้สึกว่าการยกเลิกมาตรการเพราะได้รับแรงกดดันจากผู้บริหารกระทรวงการคลัง แหล่งข่าวระบุ
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า เรื่องการทบทวนมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30% นั้น เป็นสิ่งที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จะเป็นผู้ให้ข่าวเอง
พร้อมกันนี้ นางธาริษา ปฏิเสธให้ความชัดเจนเรื่องการส่งข้อมูล ที่ น.พ.สุรพงษ์ ขอเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาการยกเลิกมาตรการ 30% ว่าเป็นข้อมูลอะไร และ ธปท.จะจัดส่งให้คลังได้เมื่อไหร่
นอกจากนี้ ยังปฏิเสธให้ความเห็นกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผยว่า จะมีความชัดเจนยกเลิกมาตรการ 30% ภายใน 2 เดือน
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่ากระทรวงการคลัง และ ธปท.ควรมีความชัดเจนมาตรการ 30% ออกมาให้เร็วที่สุดว่าจะยกเลิกหรือจะไม่ยกเลิก เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการเก็งกำไรค่าเงินบาทอย่างที่เป็นอยู่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=221911
โพสต์ทูเดย์ คลังซื้อเวลาเลิกมาตรการ 30% อีก 3 เดือน ส่งผลธปท.แทรกค่าบาทหนัก
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหล เข้า 30% ภายใน 3 เดือน โดยในช่วงนี้ ธปท. ต้องเข้าไปแทรกแซง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจาก มีการเก็งกำไรขายเงินเหรียญสหรัฐ เพราะเชื่อว่าหลังยกเลิกมาตรการ 30% ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น
การยกเลิกมาตรการ 30% คงไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ เพราะ ธปท.ต้องการยกเลิกมาตรการ 30% โดยที่ไม่ให้คนรู้สึกว่าการยกเลิกมาตรการเพราะได้รับแรงกดดันจากผู้บริหารกระทรวงการคลัง แหล่งข่าวระบุ
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า เรื่องการทบทวนมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30% นั้น เป็นสิ่งที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จะเป็นผู้ให้ข่าวเอง
พร้อมกันนี้ นางธาริษา ปฏิเสธให้ความชัดเจนเรื่องการส่งข้อมูล ที่ น.พ.สุรพงษ์ ขอเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาการยกเลิกมาตรการ 30% ว่าเป็นข้อมูลอะไร และ ธปท.จะจัดส่งให้คลังได้เมื่อไหร่
นอกจากนี้ ยังปฏิเสธให้ความเห็นกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผยว่า จะมีความชัดเจนยกเลิกมาตรการ 30% ภายใน 2 เดือน
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่ากระทรวงการคลัง และ ธปท.ควรมีความชัดเจนมาตรการ 30% ออกมาให้เร็วที่สุดว่าจะยกเลิกหรือจะไม่ยกเลิก เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการเก็งกำไรค่าเงินบาทอย่างที่เป็นอยู่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=221911
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/02/08
โพสต์ที่ 707
"เลี๊ยบ" โชว์กึ๋นแก้วิกฤติ ชี้ศก.ไทยโคม่าหลังน้ำมันทะลุ 100 ดอลลาร์
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2551 13:58 น.
รมว.คลัง ยอมรับหนักใจ ศก.ไทยกำลังเจอปัญหาหนัก หลังราคาน้ำมันทะลุระดับ 101.32 ดอลลาร์/บาเรล พร้อมส่งสัญญาณรื้อโครงสร้าง-ล้างบางครั้งใหญ่ ชี้ปัญหา 30% ละเอียดอ่อนเกินไป-อ้าปากแล้วพูดไม่ออก ส่วนการแถลงนโยบาย 3 วัน พร้อมนำข้อเสนอแนะไปทำแผนฯ
วันนี้(21 ก.พ.) น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาตลอด 3 วันที่ผ่านมา โดยระบุว่า รัฐบาลได้ประโยชน์จากการเสนอแนะจากทุกฝ่าย และพร้อมที่จะนำข้อเสนอแนะมาทำให้เกิดประโยชน์ รัฐบาลจะนำข้อมูลที่มีการอภิปรายไปจัดทำประกอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนี้ การอภิปรายอาจมีเรื่องการโต้แย้งกันบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ โดยภาพรวมทั้งหมดที่ออกมาถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
น.พ.สุรพงษ์ กล่าวถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีการปรับตัวสูงขึ้นืลุระดับ 101.32 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหาหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา รัฐบาลจึงอาจต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่
"เรื่องนี้กำลังพิจารณาว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศไทยหรือไม่ เรื่องบางเรื่องที่ผ่านมาอาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากเกินไปที่จะอธิบายให้สาธารณชนทราบในขณะนี้ เพราะเกรงว่าจะมีการคาดการณ์ของบุคคลบางกลุ่มจนนำไปสู่การเก็งกำไร หรือมีข่าวไม่ดีออกมาได้ ดังนั้น จึงต้องระมัดระวัง"
น.พ.สุรพงษ์ ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้หนักใจการทำงานในกระทรวงการคลัง เพราะในกระทรวงการคลังมีผู้เชี่ยวชาญ และผู้รู้จำนวนมากที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ยอมรับว่ารัฐบาลไม่มีเวลาฮันนีมูน เพราะประชาชนต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา และในหลายเรื่องเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจทันที ขณะนี้ทุกกระทรวงจะเดินหน้าทำงานอย่างเต็ม
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000021670
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2551 13:58 น.
รมว.คลัง ยอมรับหนักใจ ศก.ไทยกำลังเจอปัญหาหนัก หลังราคาน้ำมันทะลุระดับ 101.32 ดอลลาร์/บาเรล พร้อมส่งสัญญาณรื้อโครงสร้าง-ล้างบางครั้งใหญ่ ชี้ปัญหา 30% ละเอียดอ่อนเกินไป-อ้าปากแล้วพูดไม่ออก ส่วนการแถลงนโยบาย 3 วัน พร้อมนำข้อเสนอแนะไปทำแผนฯ
วันนี้(21 ก.พ.) น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาตลอด 3 วันที่ผ่านมา โดยระบุว่า รัฐบาลได้ประโยชน์จากการเสนอแนะจากทุกฝ่าย และพร้อมที่จะนำข้อเสนอแนะมาทำให้เกิดประโยชน์ รัฐบาลจะนำข้อมูลที่มีการอภิปรายไปจัดทำประกอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนี้ การอภิปรายอาจมีเรื่องการโต้แย้งกันบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ โดยภาพรวมทั้งหมดที่ออกมาถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
น.พ.สุรพงษ์ กล่าวถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีการปรับตัวสูงขึ้นืลุระดับ 101.32 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหาหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา รัฐบาลจึงอาจต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่
"เรื่องนี้กำลังพิจารณาว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศไทยหรือไม่ เรื่องบางเรื่องที่ผ่านมาอาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากเกินไปที่จะอธิบายให้สาธารณชนทราบในขณะนี้ เพราะเกรงว่าจะมีการคาดการณ์ของบุคคลบางกลุ่มจนนำไปสู่การเก็งกำไร หรือมีข่าวไม่ดีออกมาได้ ดังนั้น จึงต้องระมัดระวัง"
น.พ.สุรพงษ์ ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้หนักใจการทำงานในกระทรวงการคลัง เพราะในกระทรวงการคลังมีผู้เชี่ยวชาญ และผู้รู้จำนวนมากที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ยอมรับว่ารัฐบาลไม่มีเวลาฮันนีมูน เพราะประชาชนต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา และในหลายเรื่องเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจทันที ขณะนี้ทุกกระทรวงจะเดินหน้าทำงานอย่างเต็ม
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000021670
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/02/08
โพสต์ที่ 708
ดัชนีความเชื่อมั่น พุ่งสูงสุดรอบ 8 เดือน ขานรับ "สมัคร" แถลงนโยบายฯ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2551 09:54 น.
ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ดีดรับรัฐบาลสมัครแถลงนโยบายฯ อยู่ที่ 86.0 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ ระบุ ตัวเลขผลิตรถเพิ่มขึ้น 25% และคนไทยซื้อรถเพิ่มขึ้น 10%
นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนมกราคม 2551 ที่พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมช่วงดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 86.0 เพิ่มขึ้นจาก 79.8 ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งปรับตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของยอดคำสั่งซื้อ ยอดขาย ปริมาณการผลิต และผลประกอบการที่มียอดสูงจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปี เนื่องจากการปรับขึ้นเงินเดือนและโบนัสข้าราชการ นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการในทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับตลาดต่างประเทศ แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลง แต่ตลาดยุโรป , ออสเตรเลีย , ญี่ปุ่นและอาเซียน ยังคงขยายตัวดีอยู่ โดยคาดการณ์ว่าดัชนีความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้าจะอยู่ในระดับ 102.6 ซึ่งจะเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 14 เดือน แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในนโยบาย รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
"สิ่งที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกัน คือ รัฐควรกำหนดมาตรการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนและลดต้นทุนการผลิต เร่งการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ" นายอดิศักดิ์กล่าว
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เปิดเผยการผลิตและการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศเมื่อ ม.ค.ที่ผ่านมาว่า มีจำนวน 108,129 คัน เพิ่มขึ้น 25.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศสูงถึง 46,069 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนถึง 10% แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นและกำลังบริโภคดีขึ้น ขณะที่มูลค่าส่งออกรถยนต์เดือน ม.ค.51 มีมูลค่า 38,463.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 43.44% และมูลค่าส่งออกรถจักรยานยนต์เดือน ม.ค.51 อยู่ที่ 3,176.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.79%
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000021398
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2551 09:54 น.
ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ดีดรับรัฐบาลสมัครแถลงนโยบายฯ อยู่ที่ 86.0 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ ระบุ ตัวเลขผลิตรถเพิ่มขึ้น 25% และคนไทยซื้อรถเพิ่มขึ้น 10%
นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนมกราคม 2551 ที่พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมช่วงดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 86.0 เพิ่มขึ้นจาก 79.8 ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งปรับตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของยอดคำสั่งซื้อ ยอดขาย ปริมาณการผลิต และผลประกอบการที่มียอดสูงจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปี เนื่องจากการปรับขึ้นเงินเดือนและโบนัสข้าราชการ นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการในทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับตลาดต่างประเทศ แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลง แต่ตลาดยุโรป , ออสเตรเลีย , ญี่ปุ่นและอาเซียน ยังคงขยายตัวดีอยู่ โดยคาดการณ์ว่าดัชนีความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้าจะอยู่ในระดับ 102.6 ซึ่งจะเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 14 เดือน แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในนโยบาย รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
"สิ่งที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกัน คือ รัฐควรกำหนดมาตรการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนและลดต้นทุนการผลิต เร่งการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ" นายอดิศักดิ์กล่าว
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เปิดเผยการผลิตและการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศเมื่อ ม.ค.ที่ผ่านมาว่า มีจำนวน 108,129 คัน เพิ่มขึ้น 25.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศสูงถึง 46,069 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนถึง 10% แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นและกำลังบริโภคดีขึ้น ขณะที่มูลค่าส่งออกรถยนต์เดือน ม.ค.51 มีมูลค่า 38,463.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 43.44% และมูลค่าส่งออกรถจักรยานยนต์เดือน ม.ค.51 อยู่ที่ 3,176.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.79%
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000021398
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/02/08
โพสต์ที่ 709
สุวิทย์เผยนักลงทุนญี่ปุ่นพร้อมเข้าลงทุนในไทยเพิ่ม
22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 13:08:00
สุวิทย์ เผย นักธุรกิจเขตคันไซญี่ปุ่น มั่นใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่ม ไทย แจง นโยบายไทยแลนด์ อินเวนต์เมนต์ เยียร์ พร้อมตั้งกองทุนพัฒนาขีดความสามารถรองรับการลงทุน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายฮิโรชิ ชิโมซุม่า ประธานสมาพันธ์เศรษฐกิจแห่งเขตคันไซ-คันเคเรนและนักธุรกิจจากญี่ปุ่น ได้เข้าพบ โดยนักธุรกิจจากเขตคันไซชี้แจงว่าสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น เพราะญี่ปุ่นมองว่าอาเซียนกำลังเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะทำให้การค้าและการลงทุนในอาเซียนมีความคล่องตัวมากขึ้น และนักธุรกิจญี่ปุ่นได้แสดงความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยและพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายปีแห่งการลงทุน 2551-2552 หรือ ไทยแลนด์ อินเวนต์เมนต์ เยียร์ โดยมีการชี้แจงว่าจะมีการตั้งกองทุนพัฒนาความสามารถในการแข่งขันและการลงทุน เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมให้มีการปรับตัวและสนับสนุนการลงทุนของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงและใช้พลังงานน้อย ซึ่งจะมีการพัฒนาบุคลากรรองรับการลงทุนของภาคเอกชน
นอกจากนี้ ได้ชี้แจงว่าไทยจะมีการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ที่ไทยมีศักยภาพสูง เช่น อาหาร ยานยนต์ ปิโตรเคมี เหล็ก พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เป็นฐานการผลิตในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งจะมีการส่งเสริมการลงทุน หรือให้สิทธิพิเศษกับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ รวมทั้งจะมีการจัดหาพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม สำหรับรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะ 20 ปี ข้างหน้า โดยจะคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่
http://www.bangkokbiznews.com/2008/02/2 ... sid=232178
22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 13:08:00
สุวิทย์ เผย นักธุรกิจเขตคันไซญี่ปุ่น มั่นใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่ม ไทย แจง นโยบายไทยแลนด์ อินเวนต์เมนต์ เยียร์ พร้อมตั้งกองทุนพัฒนาขีดความสามารถรองรับการลงทุน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายฮิโรชิ ชิโมซุม่า ประธานสมาพันธ์เศรษฐกิจแห่งเขตคันไซ-คันเคเรนและนักธุรกิจจากญี่ปุ่น ได้เข้าพบ โดยนักธุรกิจจากเขตคันไซชี้แจงว่าสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น เพราะญี่ปุ่นมองว่าอาเซียนกำลังเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะทำให้การค้าและการลงทุนในอาเซียนมีความคล่องตัวมากขึ้น และนักธุรกิจญี่ปุ่นได้แสดงความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยและพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายปีแห่งการลงทุน 2551-2552 หรือ ไทยแลนด์ อินเวนต์เมนต์ เยียร์ โดยมีการชี้แจงว่าจะมีการตั้งกองทุนพัฒนาความสามารถในการแข่งขันและการลงทุน เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมให้มีการปรับตัวและสนับสนุนการลงทุนของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงและใช้พลังงานน้อย ซึ่งจะมีการพัฒนาบุคลากรรองรับการลงทุนของภาคเอกชน
นอกจากนี้ ได้ชี้แจงว่าไทยจะมีการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ที่ไทยมีศักยภาพสูง เช่น อาหาร ยานยนต์ ปิโตรเคมี เหล็ก พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เป็นฐานการผลิตในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งจะมีการส่งเสริมการลงทุน หรือให้สิทธิพิเศษกับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ รวมทั้งจะมีการจัดหาพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม สำหรับรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะ 20 ปี ข้างหน้า โดยจะคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่
http://www.bangkokbiznews.com/2008/02/2 ... sid=232178
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/02/08
โพสต์ที่ 710
สุวิทย์เผยนักลงทุนญี่ปุ่นพร้อมเข้าลงทุนในไทยเพิ่ม
22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 13:08:00
สุวิทย์ เผย นักธุรกิจเขตคันไซญี่ปุ่น มั่นใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่ม ไทย แจง นโยบายไทยแลนด์ อินเวนต์เมนต์ เยียร์ พร้อมตั้งกองทุนพัฒนาขีดความสามารถรองรับการลงทุน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายฮิโรชิ ชิโมซุม่า ประธานสมาพันธ์เศรษฐกิจแห่งเขตคันไซ-คันเคเรนและนักธุรกิจจากญี่ปุ่น ได้เข้าพบ โดยนักธุรกิจจากเขตคันไซชี้แจงว่าสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น เพราะญี่ปุ่นมองว่าอาเซียนกำลังเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะทำให้การค้าและการลงทุนในอาเซียนมีความคล่องตัวมากขึ้น และนักธุรกิจญี่ปุ่นได้แสดงความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยและพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายปีแห่งการลงทุน 2551-2552 หรือ ไทยแลนด์ อินเวนต์เมนต์ เยียร์ โดยมีการชี้แจงว่าจะมีการตั้งกองทุนพัฒนาความสามารถในการแข่งขันและการลงทุน เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมให้มีการปรับตัวและสนับสนุนการลงทุนของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงและใช้พลังงานน้อย ซึ่งจะมีการพัฒนาบุคลากรรองรับการลงทุนของภาคเอกชน
นอกจากนี้ ได้ชี้แจงว่าไทยจะมีการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ที่ไทยมีศักยภาพสูง เช่น อาหาร ยานยนต์ ปิโตรเคมี เหล็ก พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เป็นฐานการผลิตในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งจะมีการส่งเสริมการลงทุน หรือให้สิทธิพิเศษกับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ รวมทั้งจะมีการจัดหาพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม สำหรับรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะ 20 ปี ข้างหน้า โดยจะคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่
http://www.bangkokbiznews.com/2008/02/2 ... sid=232178
22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 13:08:00
สุวิทย์ เผย นักธุรกิจเขตคันไซญี่ปุ่น มั่นใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่ม ไทย แจง นโยบายไทยแลนด์ อินเวนต์เมนต์ เยียร์ พร้อมตั้งกองทุนพัฒนาขีดความสามารถรองรับการลงทุน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายฮิโรชิ ชิโมซุม่า ประธานสมาพันธ์เศรษฐกิจแห่งเขตคันไซ-คันเคเรนและนักธุรกิจจากญี่ปุ่น ได้เข้าพบ โดยนักธุรกิจจากเขตคันไซชี้แจงว่าสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น เพราะญี่ปุ่นมองว่าอาเซียนกำลังเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะทำให้การค้าและการลงทุนในอาเซียนมีความคล่องตัวมากขึ้น และนักธุรกิจญี่ปุ่นได้แสดงความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยและพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายปีแห่งการลงทุน 2551-2552 หรือ ไทยแลนด์ อินเวนต์เมนต์ เยียร์ โดยมีการชี้แจงว่าจะมีการตั้งกองทุนพัฒนาความสามารถในการแข่งขันและการลงทุน เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมให้มีการปรับตัวและสนับสนุนการลงทุนของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงและใช้พลังงานน้อย ซึ่งจะมีการพัฒนาบุคลากรรองรับการลงทุนของภาคเอกชน
นอกจากนี้ ได้ชี้แจงว่าไทยจะมีการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ที่ไทยมีศักยภาพสูง เช่น อาหาร ยานยนต์ ปิโตรเคมี เหล็ก พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เป็นฐานการผลิตในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งจะมีการส่งเสริมการลงทุน หรือให้สิทธิพิเศษกับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ รวมทั้งจะมีการจัดหาพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม สำหรับรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะ 20 ปี ข้างหน้า โดยจะคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่
http://www.bangkokbiznews.com/2008/02/2 ... sid=232178
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/02/08
โพสต์ที่ 711
เศรษฐกิจไทยปีนี้ขึ้นกับปัจจัยในประเทศ
โดย Post Digital 22 กุมภาพันธ์ 2551 12:30 น.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 51 ต้องพึ่งพาปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างรุนแรงในช่วงครึ่งปีแรก และมองเห็นถึงความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงสั้นๆ โดยเฉพาะการส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ตามภาวะเศรษฐกิจหลักของโลก ดังนั้นจึงคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศโดยรวม
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 51 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการว่า อาจขยายตัวในระดับใกล้เคียงกับปี 50 ที่ร้อยละ 4.0-5.2 หรือเฉลี่ยร้อยละ 4.6 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการชะลอตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงครึ่งปีแรก และปัญหาราคาน้ำมันที่ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การส่งออกของไทยอาจชะลอตัวลงมาก
นอกจากนี้ ปัญหาราคาน้ำมันจะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้เร่งตัวสูงขึ้นมาอยู่ระหว่างร้อยละ 2.7-4.0 เฉลี่ยร้อยละ 3.3 จากระดับร้อยละ 2.3 ในปี 50
ดังนั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจึงจำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น จึงเป็นที่คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งน่าจะดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว เพื่อเป็นกลจักรกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศโดยรวม
สิ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยนับจากนี้ คือ ประเด็นเฉพาะหน้าหลายประการที่ยังต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ อาทิ แนวทางการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ แผนการที่ชัดเจนของโครงการลงทุนของรัฐที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งต้องคำนึงถึงฐานะการคลังในระยะปานกลางถึงระยะยาวควบคู่ไปด้วย ตลอดจนการกำหนดแนวทางของมาตรการกันสำรอง 30% และแผนการรองรับผลกระทบจากการเก็งกำไรค่าเงินบาท รวมทั้งการตัดสินใจของทางการต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ก็เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างประเทศกำลังเฝ้าติดตาม
สำหรับประเด็นที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจในระยะปานกลาง ที่สำคัญได้แก่ เสถียรภาพของรัฐบาลและเอกภาพในการบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลผสม 6 พรรค ในการที่จะกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศในระยะยาว ซึ่งนโยบายที่มุ่งให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลักนี้ ไม่ควรนำมาใช้นานจนเกินไป เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจก่อให้เกิดการผลักดันเศรษฐกิจให้มีอัตราการเติบโตสูงในระยะสั้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว อาจเป็นปัญหาตามมาในอนาคต
ทั้งนี้ ตามนโยบายของรัฐบาลมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมาก จึงต้องมีแผนบริหารการจัดหาเงินลงทุนอย่างเหมาะสม ซึ่งรัฐบาลมีแนวโน้มจำเป็นที่จะต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อไปอีกในปีข้างหน้า โดยข้อมูลของกระทรวงการคลังเบื้องต้นระบุถึงการเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 52 ว่าอาจจะตั้งวงเงินขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นกว่าในปี 51
แต่อย่างไรก็ตาม ทางการควรพิจารณาขอบเขตการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างเหมาะสม โดยดูแลสถานะการคลังไม่ให้ขาดดุลต่อเนื่องนานเกินไป เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อระดับหนี้สาธารณะในอนาคต อีกทั้งการขาดดุลงบประมาณควรมุ่งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาความสามารถใน
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=222441
โดย Post Digital 22 กุมภาพันธ์ 2551 12:30 น.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 51 ต้องพึ่งพาปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างรุนแรงในช่วงครึ่งปีแรก และมองเห็นถึงความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงสั้นๆ โดยเฉพาะการส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ตามภาวะเศรษฐกิจหลักของโลก ดังนั้นจึงคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศโดยรวม
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 51 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการว่า อาจขยายตัวในระดับใกล้เคียงกับปี 50 ที่ร้อยละ 4.0-5.2 หรือเฉลี่ยร้อยละ 4.6 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการชะลอตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงครึ่งปีแรก และปัญหาราคาน้ำมันที่ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การส่งออกของไทยอาจชะลอตัวลงมาก
นอกจากนี้ ปัญหาราคาน้ำมันจะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้เร่งตัวสูงขึ้นมาอยู่ระหว่างร้อยละ 2.7-4.0 เฉลี่ยร้อยละ 3.3 จากระดับร้อยละ 2.3 ในปี 50
ดังนั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจึงจำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น จึงเป็นที่คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งน่าจะดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว เพื่อเป็นกลจักรกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศโดยรวม
สิ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยนับจากนี้ คือ ประเด็นเฉพาะหน้าหลายประการที่ยังต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ อาทิ แนวทางการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ แผนการที่ชัดเจนของโครงการลงทุนของรัฐที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งต้องคำนึงถึงฐานะการคลังในระยะปานกลางถึงระยะยาวควบคู่ไปด้วย ตลอดจนการกำหนดแนวทางของมาตรการกันสำรอง 30% และแผนการรองรับผลกระทบจากการเก็งกำไรค่าเงินบาท รวมทั้งการตัดสินใจของทางการต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ก็เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างประเทศกำลังเฝ้าติดตาม
สำหรับประเด็นที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจในระยะปานกลาง ที่สำคัญได้แก่ เสถียรภาพของรัฐบาลและเอกภาพในการบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลผสม 6 พรรค ในการที่จะกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศในระยะยาว ซึ่งนโยบายที่มุ่งให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลักนี้ ไม่ควรนำมาใช้นานจนเกินไป เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจก่อให้เกิดการผลักดันเศรษฐกิจให้มีอัตราการเติบโตสูงในระยะสั้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว อาจเป็นปัญหาตามมาในอนาคต
ทั้งนี้ ตามนโยบายของรัฐบาลมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมาก จึงต้องมีแผนบริหารการจัดหาเงินลงทุนอย่างเหมาะสม ซึ่งรัฐบาลมีแนวโน้มจำเป็นที่จะต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อไปอีกในปีข้างหน้า โดยข้อมูลของกระทรวงการคลังเบื้องต้นระบุถึงการเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 52 ว่าอาจจะตั้งวงเงินขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นกว่าในปี 51
แต่อย่างไรก็ตาม ทางการควรพิจารณาขอบเขตการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างเหมาะสม โดยดูแลสถานะการคลังไม่ให้ขาดดุลต่อเนื่องนานเกินไป เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อระดับหนี้สาธารณะในอนาคต อีกทั้งการขาดดุลงบประมาณควรมุ่งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาความสามารถใน
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=222441
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/02/08
โพสต์ที่ 712
ประเดิมปี 2551 ส่งออกพุ่ง 33.3% แต่นำเข้า ทะยาน 49.1% ส่งผลขาดดุลการค้า 653 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Posted on Friday, February 22, 2008
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศ ประจำเดือนมกราคมที่ผ่านมา ไทยสามารถส่งออกได้ทั้งสิ้น 13,959.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 33.3%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 14,613 .2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระโดดจากช่วงเดียวกันปีก่อน 49.1% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 653.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ การส่งออกขยายตัวในสินค้าแทบทุกรายการ โดยสินค้าประเภทอาหาร ขยายตัว 27.5% ไก่แช่แข็ง และไก่แปรรูป ขยายตัว 86.6% ขณะที่สิ่งทอขยายตัว 9.8% และอัญมณี กับเครื่องประดับขยายตัว 137.4% ขณะที่ตลาดส่งออกขยายตัวสูงทุกตลาดเช่นเดียวกัน โดยตลาดญี่ปุ่น ขขายตัว 11.4% ตลาดสหรัฐ ขยายตัว 16% ส่วนตลาดยุโรป กับตลาดอาเซียน ขยายตัว 21.5% และ 32.9% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดจีน ขยายตัวสูงถึง 45.5%
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Friday, February 22, 2008
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศ ประจำเดือนมกราคมที่ผ่านมา ไทยสามารถส่งออกได้ทั้งสิ้น 13,959.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 33.3%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 14,613 .2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กระโดดจากช่วงเดียวกันปีก่อน 49.1% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 653.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ การส่งออกขยายตัวในสินค้าแทบทุกรายการ โดยสินค้าประเภทอาหาร ขยายตัว 27.5% ไก่แช่แข็ง และไก่แปรรูป ขยายตัว 86.6% ขณะที่สิ่งทอขยายตัว 9.8% และอัญมณี กับเครื่องประดับขยายตัว 137.4% ขณะที่ตลาดส่งออกขยายตัวสูงทุกตลาดเช่นเดียวกัน โดยตลาดญี่ปุ่น ขขายตัว 11.4% ตลาดสหรัฐ ขยายตัว 16% ส่วนตลาดยุโรป กับตลาดอาเซียน ขยายตัว 21.5% และ 32.9% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดจีน ขยายตัวสูงถึง 45.5%
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/02/08
โพสต์ที่ 713
คลังเตรียมรับข้อมูลยกเลิกกันสำรอง 30% จากแบงก์ชาติสัปดาห์หน้า ข่าว 18.00 น.
Posted on Friday, February 22, 2008
น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกว่า ขณะนี้ได้เร่งรัดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำส่งข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนำมาประกอบการพิจารณายกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของเงินทุนนำเข้าระยะสั้น ซึ่งคาดว่าจะกระทรวงการคลังได้รับข้อมูลดังกล่าวภายในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะเร่งตัดสินใจนโยบายกันสำรอง 30% ให้เร็วที่สุด
น.พ.สุรพงษ์ยืนยันว่า ขณะนี้ยังสามารถทำงานร่วมกันได้ดีกับ ธปท. และจะไม่นำมาตรการกันสำรอง 30% มาเป็นสาเหตุการปลดนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. แน่นอน
ด้านนางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. บอกว่า การแข็งค่าของเงินบาทในระยะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขายดอลลาร์สหรัฐของผู้ส่งออกที่คาดการณ์ว่าทางการจะยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ซึ่งส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้ดูแลค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและได้ป้องกันความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นขณะนี้ ถือเป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค และยังแข็งค่าน้อยกว่าประเทศฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น
นางสุชาดาบอกด้วยว่า การกระชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ จะนำประเด็นเรื่องราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจไทยมาพิจารณาด้วยว่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ก่อนจะพิจารณากำหนดดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ลงเหลือ 1.3-2% นับเป็นเรื่องที่ ธปท.ประมาณการไว้อยู่แล้ว
ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.ภัทร บอกว่า หากรัฐบาลต้องการเปิดรับเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาซื้อพันธบัตรสร้างเมกะโปรเจ็กต์ ก็ควรมีความชัดเจนที่จะยกเลิกมาตรการ 30% และไม่ควรมีมาตรการใดๆ ควบคุมการไหลเข้าออกของเงินทุน เพราะหากมีมาตรการกันสำรอง 30% ต่างชาติจะไม่สนใจ และจะยิ่งทำให้ต้นทุนในการระดมทุนของรัฐเพิ่มอีกด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Friday, February 22, 2008
น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกว่า ขณะนี้ได้เร่งรัดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำส่งข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนำมาประกอบการพิจารณายกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของเงินทุนนำเข้าระยะสั้น ซึ่งคาดว่าจะกระทรวงการคลังได้รับข้อมูลดังกล่าวภายในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะเร่งตัดสินใจนโยบายกันสำรอง 30% ให้เร็วที่สุด
น.พ.สุรพงษ์ยืนยันว่า ขณะนี้ยังสามารถทำงานร่วมกันได้ดีกับ ธปท. และจะไม่นำมาตรการกันสำรอง 30% มาเป็นสาเหตุการปลดนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. แน่นอน
ด้านนางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. บอกว่า การแข็งค่าของเงินบาทในระยะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขายดอลลาร์สหรัฐของผู้ส่งออกที่คาดการณ์ว่าทางการจะยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ซึ่งส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้ดูแลค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและได้ป้องกันความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นขณะนี้ ถือเป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค และยังแข็งค่าน้อยกว่าประเทศฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น
นางสุชาดาบอกด้วยว่า การกระชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ จะนำประเด็นเรื่องราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจไทยมาพิจารณาด้วยว่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ก่อนจะพิจารณากำหนดดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ลงเหลือ 1.3-2% นับเป็นเรื่องที่ ธปท.ประมาณการไว้อยู่แล้ว
ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.ภัทร บอกว่า หากรัฐบาลต้องการเปิดรับเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาซื้อพันธบัตรสร้างเมกะโปรเจ็กต์ ก็ควรมีความชัดเจนที่จะยกเลิกมาตรการ 30% และไม่ควรมีมาตรการใดๆ ควบคุมการไหลเข้าออกของเงินทุน เพราะหากมีมาตรการกันสำรอง 30% ต่างชาติจะไม่สนใจ และจะยิ่งทำให้ต้นทุนในการระดมทุนของรัฐเพิ่มอีกด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/02/08
โพสต์ที่ 714
สภาพัฒน์: ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 และทั้งปี 2550 และแนวโน้มปี 2551
Posted on Monday, February 25, 2008
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสี่ปี 2550 ขยายตัวร้อยละ 5.7 สูงกว่าการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 4.4 ในสามไตรมาสแรก และการขยายตัวเริ่มมีความสมดุลมากขึ้นแม้ว่าการส่งออกสุทธิจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก แต่การใช้จ่ายรัฐบาลก็เพิ่มขึ้นมากและการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ทั้งปี 2550 เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 4.8
ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีเสถียรภาพต่อแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ในไตรมาสสี่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 2.9 สูงกว่าเฉลี่ยร้อยละ 2.0 ในสามไตรมาสแรก ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 6.18 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งปีอัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ 2.3 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 14.92 พันล้านดอลลาร์หรือร้อยละ 6.1 ของ GDP ของอัตราการว่างงานเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 1.4
อัตราเงินเฟ้อในตลาดเงินทรงตัว สินเชื่อเร่งตัวมากขึ้น ในขณะที่เงินฝากชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้สภาพคล่องเริ่มลดลง แต่โดยรวมสภาพคล่องยังอยู่ในระดับสูง ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. แต่ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงอ่อนค่าลง ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นแม้ว่าจะมีความผันผวนมากขึ้นตามการเคลื่อนบ้านเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ
ฐานะการคลังขาดดุลงบประมาณขาดดุลเงินสด ซึ่งเป็นไปตามการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2550 เท่ากับร้อยละ 38.2 ลดลงจากร้อยละ 40.4 ณ สิ้นปี 2549 แต่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 37.84 ณ สิ้นไตรมาสสาม
ตลอดปี 2550 ที่ผ่านมามีปัจจัยที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ภาวะเศรษฐกิจของประเทศส่งออกสำคัญของไทยขยายตัวสูงและเอื้อประโยชน์ต่อการส่งออกของไทย การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลและงบลงทุนรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง อัตราดอกเบี้ยต่ำลงในครึ่งแรกของปี และความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจเริ่มดีขึ้นในช่วงปลายปี
ในปี 2551 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 4.5-5.5 สูงกว่าที่คาดไว้เดิมร้อยละ 4.0 - 5.0 เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ ปี 2550 และการส่งออกในช่วงปลายปีและในเดือนมกราคมยังแสดงถึงแนวโน้มที่ดีสำหรับสินค้าข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา อิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ การขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2551 จะมีลักษณะที่สมดุลมากขึ้นจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ สนับสนุนโดยหลายปัจจัย ได้แก่ การดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลและการดำเนินนโยบายเร่งด่วนเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยต่ำ อัตราการว่างงานต่ำ ความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจดีขึ้น แต่แรงกดดันจากต้นทุนรคาน้ำมันจะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.2-3.7 และยังมีข้อจำกัดจากปัจจัยภายนอกทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกนำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯในปี 2551 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลประมาณร้อยละ 3.0 ของ GDP
ที่มา: สำนักวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ www.nesdb.go.th
http://www.moneychannel.co.th/MoneyChan ... fault.aspx
Posted on Monday, February 25, 2008
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสี่ปี 2550 ขยายตัวร้อยละ 5.7 สูงกว่าการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 4.4 ในสามไตรมาสแรก และการขยายตัวเริ่มมีความสมดุลมากขึ้นแม้ว่าการส่งออกสุทธิจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก แต่การใช้จ่ายรัฐบาลก็เพิ่มขึ้นมากและการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ทั้งปี 2550 เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 4.8
ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีเสถียรภาพต่อแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ในไตรมาสสี่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 2.9 สูงกว่าเฉลี่ยร้อยละ 2.0 ในสามไตรมาสแรก ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 6.18 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งปีอัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ 2.3 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 14.92 พันล้านดอลลาร์หรือร้อยละ 6.1 ของ GDP ของอัตราการว่างงานเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 1.4
อัตราเงินเฟ้อในตลาดเงินทรงตัว สินเชื่อเร่งตัวมากขึ้น ในขณะที่เงินฝากชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้สภาพคล่องเริ่มลดลง แต่โดยรวมสภาพคล่องยังอยู่ในระดับสูง ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. แต่ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงอ่อนค่าลง ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นแม้ว่าจะมีความผันผวนมากขึ้นตามการเคลื่อนบ้านเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ
ฐานะการคลังขาดดุลงบประมาณขาดดุลเงินสด ซึ่งเป็นไปตามการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2550 เท่ากับร้อยละ 38.2 ลดลงจากร้อยละ 40.4 ณ สิ้นปี 2549 แต่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 37.84 ณ สิ้นไตรมาสสาม
ตลอดปี 2550 ที่ผ่านมามีปัจจัยที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ภาวะเศรษฐกิจของประเทศส่งออกสำคัญของไทยขยายตัวสูงและเอื้อประโยชน์ต่อการส่งออกของไทย การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลและงบลงทุนรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง อัตราดอกเบี้ยต่ำลงในครึ่งแรกของปี และความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจเริ่มดีขึ้นในช่วงปลายปี
ในปี 2551 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 4.5-5.5 สูงกว่าที่คาดไว้เดิมร้อยละ 4.0 - 5.0 เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ ปี 2550 และการส่งออกในช่วงปลายปีและในเดือนมกราคมยังแสดงถึงแนวโน้มที่ดีสำหรับสินค้าข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา อิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ การขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2551 จะมีลักษณะที่สมดุลมากขึ้นจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ สนับสนุนโดยหลายปัจจัย ได้แก่ การดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลและการดำเนินนโยบายเร่งด่วนเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยต่ำ อัตราการว่างงานต่ำ ความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจดีขึ้น แต่แรงกดดันจากต้นทุนรคาน้ำมันจะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.2-3.7 และยังมีข้อจำกัดจากปัจจัยภายนอกทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกนำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯในปี 2551 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลประมาณร้อยละ 3.0 ของ GDP
ที่มา: สำนักวางแผนเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ www.nesdb.go.th
http://www.moneychannel.co.th/MoneyChan ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/02/08
โพสต์ที่ 715
สศช.ปรับเป้าจีดีพี4.5-5.5%
สภาพัฒน์ขยับเป้าจีดีพีปี51โต 4.5-5.5% จากเป้าเดิม 4-5% ส่วนดุลการค้าคาดเกินดุล 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และดุลบัญชีฯเกินดุล 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะเห็นสัญญาณใช้จ่ายและลงทุนเอกชนเพิ่มขึ้น แถมรัฐเร่งเบิกใช้จ่ายงบประมาณฟื้นความเชื่อมั่น คาดเงินบาททั้งปีเฉลี่ย 32-33 บาทต่อดอลล์ หวั่นปัจจัยเสี่ยงน้ำมันพุ่งและเศรษฐกิจโลกถ่วงเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เปิดเผยคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ในปี 2551 จะขยายตัวประมาณ 4.5-5.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4-5% ได้ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศทั้งในเรื่องการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชน ประกอบกับการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณจะฟื้นตัวขึ้น
สำหรับประมาณการตัวเลขดุลการค้าในปี 2551 มีมูลค่าเกินดุลอยู่ที่ 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะเกินดุลอยู่ที่ 6.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2551 คาดว่าจะมีมูลค่าเกินดุลอยู่ที่ 8.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 3% ของจีดีพี ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ที่ 9.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากรัฐบาลจะต้องเร่งการลงทุน ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบเพื่อการผลิตเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ รัฐบาลจะยังเร่งฟื้นความเชื่อมั่นด้านการลงทุน โดยเฉพาะเร่งการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทั้งสถานการณ์การเมือง ความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจ และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำด้วย
อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงในปี 2551 ยังเป็นราคาน้ำมันและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้โดยสภาพัฒน์ ได้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2551 จะอยู่ที่ 80-85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงขึ้นจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากพบว่าในเดือนม.ค. และ ก.พ 2551 ราคาน้ำมันดิบยังสูงต่อเนื่อง
จึงคาดว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อยในครึ่งปีหลัง ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ที่คาดการณ์ว่าจะเริ่มทรงตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี สำหรับตัวเลขจีดีพีในปี 2550 ที่ผ่านมาขยายตัวอยู่ที่ 4.8% เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 4.5% แต่ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปี 2549 ที่อยู่ที่ 5.1% เนื่องจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนเป็นหลัก
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการรายย่อย ส่วนรายใหญ่ได้ปรับโครงสร้างการผลิตไว้รองรับผลกระทบแล้ว ซึ่งแม้ว่าในปี 2550 เงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 7% แต่อุตสาหกรรมส่งออกหลักที่ช่วยขับเคลื่อนส่งออกยังขยายตัวได้สูงเกินกว่า 25% ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ ,อิเล็คทรอนิกส์ ,อาหาร และปิโตรเคมี จึงคาดว่าปี 2551 ค่าเงินบาทจะอยู่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
http://www.thunhoon.com/home/
สภาพัฒน์ขยับเป้าจีดีพีปี51โต 4.5-5.5% จากเป้าเดิม 4-5% ส่วนดุลการค้าคาดเกินดุล 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และดุลบัญชีฯเกินดุล 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะเห็นสัญญาณใช้จ่ายและลงทุนเอกชนเพิ่มขึ้น แถมรัฐเร่งเบิกใช้จ่ายงบประมาณฟื้นความเชื่อมั่น คาดเงินบาททั้งปีเฉลี่ย 32-33 บาทต่อดอลล์ หวั่นปัจจัยเสี่ยงน้ำมันพุ่งและเศรษฐกิจโลกถ่วงเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เปิดเผยคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ในปี 2551 จะขยายตัวประมาณ 4.5-5.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4-5% ได้ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศทั้งในเรื่องการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชน ประกอบกับการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณจะฟื้นตัวขึ้น
สำหรับประมาณการตัวเลขดุลการค้าในปี 2551 มีมูลค่าเกินดุลอยู่ที่ 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะเกินดุลอยู่ที่ 6.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2551 คาดว่าจะมีมูลค่าเกินดุลอยู่ที่ 8.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 3% ของจีดีพี ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ที่ 9.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากรัฐบาลจะต้องเร่งการลงทุน ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบเพื่อการผลิตเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ รัฐบาลจะยังเร่งฟื้นความเชื่อมั่นด้านการลงทุน โดยเฉพาะเร่งการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทั้งสถานการณ์การเมือง ความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจ และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำด้วย
อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงในปี 2551 ยังเป็นราคาน้ำมันและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้โดยสภาพัฒน์ ได้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2551 จะอยู่ที่ 80-85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงขึ้นจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากพบว่าในเดือนม.ค. และ ก.พ 2551 ราคาน้ำมันดิบยังสูงต่อเนื่อง
จึงคาดว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อยในครึ่งปีหลัง ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ที่คาดการณ์ว่าจะเริ่มทรงตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี สำหรับตัวเลขจีดีพีในปี 2550 ที่ผ่านมาขยายตัวอยู่ที่ 4.8% เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 4.5% แต่ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปี 2549 ที่อยู่ที่ 5.1% เนื่องจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนเป็นหลัก
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการรายย่อย ส่วนรายใหญ่ได้ปรับโครงสร้างการผลิตไว้รองรับผลกระทบแล้ว ซึ่งแม้ว่าในปี 2550 เงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 7% แต่อุตสาหกรรมส่งออกหลักที่ช่วยขับเคลื่อนส่งออกยังขยายตัวได้สูงเกินกว่า 25% ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ ,อิเล็คทรอนิกส์ ,อาหาร และปิโตรเคมี จึงคาดว่าปี 2551 ค่าเงินบาทจะอยู่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
http://www.thunhoon.com/home/
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/02/08
โพสต์ที่ 716
สศช.หนุนรัฐบาลประกาศปีการลงทุน
โพสต์ทูเดย์ สศช.หนุนรัฐบาลประกาศปี 2551-2552 เป็นปีแห่งการลงทุน
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานภาวะเศรษฐกิจในปี 2550 และแนวโน้มปี 2551 โดยระบุว่า จะขยายตัวได้ดีในระดับ 4.5-5.5% เพราะการฟื้นตัวของการลงทุน ภาคเอกชนที่เร่งตัวเร็วกว่าที่คาดไว้
ทั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้า และกระตุ้นการลงทุน สศช.จึงสนับสนุนให้รัฐบาลเร่งดำเนินนโยบายในการผลักดัน และส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยประกาศให้ปี 2551-2552 เป็น ปีแห่งการลงทุน เพราะจะช่วยให้เอกชนเพิ่มการลงทุนมากขึ้น
ปัจจุบันมีธุรกิจหลายประเภท มีแผนการลงทุนที่ชัดเจนมากขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้นตามลำดับ และเกือบเต็มกำลัง อาทิ ปิโตรเคมี กระดาษ ผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ยานยนต์ โลหะสังกะสี ยางรถยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และควรเน้นตลาดตะวันออกกลางให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มยานยนต์ และรองรับการขยายฐานการผลิตของบรรษัทข้ามชาติ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=223260
โพสต์ทูเดย์ สศช.หนุนรัฐบาลประกาศปี 2551-2552 เป็นปีแห่งการลงทุน
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานภาวะเศรษฐกิจในปี 2550 และแนวโน้มปี 2551 โดยระบุว่า จะขยายตัวได้ดีในระดับ 4.5-5.5% เพราะการฟื้นตัวของการลงทุน ภาคเอกชนที่เร่งตัวเร็วกว่าที่คาดไว้
ทั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้า และกระตุ้นการลงทุน สศช.จึงสนับสนุนให้รัฐบาลเร่งดำเนินนโยบายในการผลักดัน และส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยประกาศให้ปี 2551-2552 เป็น ปีแห่งการลงทุน เพราะจะช่วยให้เอกชนเพิ่มการลงทุนมากขึ้น
ปัจจุบันมีธุรกิจหลายประเภท มีแผนการลงทุนที่ชัดเจนมากขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้นตามลำดับ และเกือบเต็มกำลัง อาทิ ปิโตรเคมี กระดาษ ผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ยานยนต์ โลหะสังกะสี ยางรถยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และควรเน้นตลาดตะวันออกกลางให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มยานยนต์ และรองรับการขยายฐานการผลิตของบรรษัทข้ามชาติ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=223260
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/02/08
โพสต์ที่ 717
มูดี้ส์คาดธปท.หั่นดอกเบี้ย หนุนเศรษฐกิจไทยโตพรวด
โพสต์ทูเดย์ มูดี้ส์ ชี้ ธปท.มีสิทธิลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวระดับ 5.5%
บริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.25% เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 5.5% หลังจากที่ปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยขยายตัว 4.8%
มูดี้ส์ เปิดเผยว่า ไทยจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่จะมีอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วกว่าเดิมในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในปี 2550 เนื่องจากปัญหาทางการเมือง หลังจากที่ไทยได้รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย โดยเสถียรภาพและความแน่นอน ที่มีมากขึ้นเพราะรัฐบาลชุดใหม่ รวมทั้งช่วงเวลายุ่งยากวุ่นวาย หลังจากการปฏิวัติเมื่อปลายปี 2549 ที่สิ้นสุดลง จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะที่นักลงทุนต่างชาติที่ เคยหวาดหวั่นกับรัฐบาลที่อยู่ภายใต้ การดูแลของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ก็กลับมาเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และลงทุนมากขึ้น
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 27 ก.พ.นี้ มีโอกาสที่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลง แต่ต้องดูเรื่องการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ด้วย เพราะหากเลิกมาตรการดังกล่าว ก็จะต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ที่จะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการ ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ก็น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ 3.25% เนื่องจากปัจจุบันภาวะเงินเฟ้อยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงเหนือระดับ 4% จากราคาน้ำมัน ที่เพิ่มขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=223262
โพสต์ทูเดย์ มูดี้ส์ ชี้ ธปท.มีสิทธิลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวระดับ 5.5%
บริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.25% เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 5.5% หลังจากที่ปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยขยายตัว 4.8%
มูดี้ส์ เปิดเผยว่า ไทยจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่จะมีอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วกว่าเดิมในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในปี 2550 เนื่องจากปัญหาทางการเมือง หลังจากที่ไทยได้รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย โดยเสถียรภาพและความแน่นอน ที่มีมากขึ้นเพราะรัฐบาลชุดใหม่ รวมทั้งช่วงเวลายุ่งยากวุ่นวาย หลังจากการปฏิวัติเมื่อปลายปี 2549 ที่สิ้นสุดลง จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะที่นักลงทุนต่างชาติที่ เคยหวาดหวั่นกับรัฐบาลที่อยู่ภายใต้ การดูแลของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ก็กลับมาเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และลงทุนมากขึ้น
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 27 ก.พ.นี้ มีโอกาสที่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลง แต่ต้องดูเรื่องการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ด้วย เพราะหากเลิกมาตรการดังกล่าว ก็จะต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ที่จะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการ ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ก็น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ 3.25% เนื่องจากปัจจุบันภาวะเงินเฟ้อยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงเหนือระดับ 4% จากราคาน้ำมัน ที่เพิ่มขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=223262
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/02/08
โพสต์ที่ 718
คลังตีปี๊บ ศก.ปี 51 โตได้ถึง 6% แนะรัฐบาลระวัง 3 ปัจจัยเสี่ยง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2551 12:15 น.
สศค.มองศก.ปี 51 มีโอกาสโตได้ถึง 6% หลังประกาศมาตรการกระตุ้นศก.ภายใน 1-2 สัปดาห์ ชี้ปัจจัยการบริโภค-การลงทุน ฟื้นตัวเห็นได้ชัดเจน โดยมีปัจจัยเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน และเสถียรภาพการเมือง
วันนี้(28 ก.พ.) นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 51 อาจเติบโตได้ในระดับ 6% ซึ่งสูงกว่าเดิมที่ สศค.คาดการณ์ไว้ที่ 4.5-5.5% เนื่องจากรัฐบาลกำลังจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน 1-2 สัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยสำคัญหลายด้านมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่องชัดเจน ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน ค่าเงินบาท และสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการช่วงชิงอำนาจในพรรคขั้วรัฐบาล
นอกจากนี้ ปัจจัยบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่ การบริโภคและการลงทุนที่ฟื้นตัวชัดเจน การส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงที่กดดันเรื่องเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าปี 51 เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่เฉลี่ย 4% รวมทั้ง เศรษฐกิจโลกที่ชะลอต้ว โดยเฉพาะสหรัฐที่ปีนี้จะชะลอตัวค่อนข้างมาก จะส่งผลให้เกิดความผันผวนของเศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม สศค.จะมีการทบทวนตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจอีกครั้งในเดือนมี.ค.ตามกำหนดปกติ ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ราคาน้ำมัน ซึ่งเดิม สศค.ได้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบไว้ที่ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หากแนวโน้มยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะต้องดูว่าต้องปรับสมมติฐานหรือไม่
นอกจากนั้น ค่าเงินบาท และเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน รวมทั้งปัจจัยการเมืองในประเทศก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม ซึ่งวานนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก็เนื่องมาจากความใกงวลเงินเฟ้อทีเพิ่มสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน
สศค.ยอมรับว่าปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อและต้นทุนที่สูงขึ้นเป็นปัญหาที่สำคัญ ซึ่งเป็นประเด็นสืบเนื่องจากการบริโภคและลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาในระยะสั้นต้องดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินไป ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ ส่วนในระยะยาว รัฐบาลคงต้องเร่งรณรงค์ประหยัดพลังงาน และการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สศค.คาดว่า การลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนมีแนวโน้มจะขยายตัวต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี หลังจากไตรมาส 1/51 มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน เป็นผลมาจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นตัวติดต่อเป็นเดือนที่ 3 ส่วนหนึ่งมาจากการเมืองมีความชัดเจน มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ขณะเดียวกันรายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจก็ขยายตัวดีขึ้น
ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทนั้นจากการประชุมภายในของหน่วยงานกระทรวงการคลังวานนี้ได้ปรับสมมติฐานค่าเงินบาทเฉลี่ยทั้งปี 51 มาที่ 32.00-33.00 บาท/ดอลลาร์ จากเดิม 32.50-33.50 บาท/ดอลลาร์
นายเอกนิติ กล่าวว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วในระยะเวลาที่ผ่านมา มีทั้งผลดีและผลเสีย โดยด้านผลดี ช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อ และไทยสามารถนำเข้าน้ำมันได้ในราคาถูกลง ซึ่งเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นเกิดจากราคาน้ำม้นและราคาอาหารและสินค้าที่สูงขึ้น โดยใน ม.ค. 51 เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาที่ 4.3%
หากมองในทางตรงกันข้าม การแข็งค่าของเงินบาทก็ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออกที่ลดลง ซึ่งอย่างไรก็ตาม การบริหารเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนในหลักการ ควรต้องคำนึงถึงเสถียรภาพของค่าเงินมากกว่า
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000024685
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2551 12:15 น.
สศค.มองศก.ปี 51 มีโอกาสโตได้ถึง 6% หลังประกาศมาตรการกระตุ้นศก.ภายใน 1-2 สัปดาห์ ชี้ปัจจัยการบริโภค-การลงทุน ฟื้นตัวเห็นได้ชัดเจน โดยมีปัจจัยเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน และเสถียรภาพการเมือง
วันนี้(28 ก.พ.) นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 51 อาจเติบโตได้ในระดับ 6% ซึ่งสูงกว่าเดิมที่ สศค.คาดการณ์ไว้ที่ 4.5-5.5% เนื่องจากรัฐบาลกำลังจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน 1-2 สัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยสำคัญหลายด้านมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่องชัดเจน ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน ค่าเงินบาท และสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการช่วงชิงอำนาจในพรรคขั้วรัฐบาล
นอกจากนี้ ปัจจัยบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่ การบริโภคและการลงทุนที่ฟื้นตัวชัดเจน การส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงที่กดดันเรื่องเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าปี 51 เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่เฉลี่ย 4% รวมทั้ง เศรษฐกิจโลกที่ชะลอต้ว โดยเฉพาะสหรัฐที่ปีนี้จะชะลอตัวค่อนข้างมาก จะส่งผลให้เกิดความผันผวนของเศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม สศค.จะมีการทบทวนตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจอีกครั้งในเดือนมี.ค.ตามกำหนดปกติ ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ราคาน้ำมัน ซึ่งเดิม สศค.ได้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบไว้ที่ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หากแนวโน้มยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะต้องดูว่าต้องปรับสมมติฐานหรือไม่
นอกจากนั้น ค่าเงินบาท และเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน รวมทั้งปัจจัยการเมืองในประเทศก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม ซึ่งวานนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก็เนื่องมาจากความใกงวลเงินเฟ้อทีเพิ่มสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน
สศค.ยอมรับว่าปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อและต้นทุนที่สูงขึ้นเป็นปัญหาที่สำคัญ ซึ่งเป็นประเด็นสืบเนื่องจากการบริโภคและลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาในระยะสั้นต้องดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินไป ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ ส่วนในระยะยาว รัฐบาลคงต้องเร่งรณรงค์ประหยัดพลังงาน และการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สศค.คาดว่า การลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนมีแนวโน้มจะขยายตัวต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี หลังจากไตรมาส 1/51 มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน เป็นผลมาจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นตัวติดต่อเป็นเดือนที่ 3 ส่วนหนึ่งมาจากการเมืองมีความชัดเจน มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ขณะเดียวกันรายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจก็ขยายตัวดีขึ้น
ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทนั้นจากการประชุมภายในของหน่วยงานกระทรวงการคลังวานนี้ได้ปรับสมมติฐานค่าเงินบาทเฉลี่ยทั้งปี 51 มาที่ 32.00-33.00 บาท/ดอลลาร์ จากเดิม 32.50-33.50 บาท/ดอลลาร์
นายเอกนิติ กล่าวว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วในระยะเวลาที่ผ่านมา มีทั้งผลดีและผลเสีย โดยด้านผลดี ช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อ และไทยสามารถนำเข้าน้ำมันได้ในราคาถูกลง ซึ่งเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นเกิดจากราคาน้ำม้นและราคาอาหารและสินค้าที่สูงขึ้น โดยใน ม.ค. 51 เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาที่ 4.3%
หากมองในทางตรงกันข้าม การแข็งค่าของเงินบาทก็ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออกที่ลดลง ซึ่งอย่างไรก็ตาม การบริหารเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนในหลักการ ควรต้องคำนึงถึงเสถียรภาพของค่าเงินมากกว่า
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000024685
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/02/08
โพสต์ที่ 719
ม.หอการค้าคาดเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกโต 4.5 - 5% - ข่าว 18.00 น.
Posted on Thursday, February 28, 2008
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ น่าจะขยายตัวในระดับ 4.5 - 5% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวอยู่ที่ 4.8% ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาต (สศช.) ได้ประกาศไว้ ภายใต้สมมุติฐานการส่งออกขยายตัว 10-12.5% เกินดุลการค้า 3 - 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เกินดุลบัญชีเดินสะพัด 7 - 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.3-4% อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ น้ำมันดิบไม่เกิน 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
นายธนวรรธน์บอกอีกว่า ปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังคงเป็นปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งส่งผลให้การส่งออกอาจชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจไทยอาจจะขยายตัวลดลงจาก 4.5% หากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ และรุนแรงจนต้องยุบพรรคการเมือง หรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
ส่วนการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักลงทุนส่วนใหญ่จะติดตามอย่างใกล้ชิด แต่จากการสำรวจ เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเหตุต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงจนกระทบต่อการเมืองอีกครั้ง ให้น้ำหนักเพียง 1 ใน 4 ส่วน หรือไม่เกิน 10-20% แต่ประชาชนก็ยังไม่สบายใจต่อเสถียรภาพทางการ
ด้านนางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกถึงภาวะเศรษฐกิจรายภูมิภาคปี 2550 ว่า ทั่วทุกภูมิภาคเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน โดยเศรษฐกิจภาคกลางมีการขยายตัวสูงสุดที่ 5.8% รองลงมาคือ กรุงเทพและปริมณฑลขยายตัว 4.7% ส่วนพื้นที่ภาคใต้มีการขยายตัวต่ำสุดที่ 3.4%
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาส 1/2551 ภาคกลางจะยังคงมีการขยายตัวสูงสุดที่ 5.9% รองลงมาเป็นกรุงเทพและปริมณฑล 4.5% และภาคใต้ยังคงขยายตัวต่ำสุดที่ 3.3%
นางเสาวณีย์บอกว่า การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อมาเข้าขบวนการแก้ต่างของศาล ไม่น่าจะมีผลต่อการก่อความไม่สงบ แต่อาจมีการประท้วงเล็กน้อย เพราะเชื่อว่าประชาชนเห็นบทเรียนที่เกิดขึ้นมาแล้วใน 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนเหตุการณ์ไม่สงบมีผลต่อการชะลอการลงทุนบ้าง แต่ที่ต่างชาติต้องการคือ ความชัดเจนในเรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และทบทวนมาตรการกันสำรอง 30%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
///
กรมการค้าภายใน เชื่อ ศุกร์นี้มีข่าวดีสำหรับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ส่วนสัปดาห์หน้า มีลุ้นค่ารักษาพยาบาล
Posted on Wednesday, February 27, 2008
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการปรับลดค่าโทรศัพท์มือถือเพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน โดยระบุว่า รัฐบาลให้เวลาผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือทั้ง 4 ราย ได้แก่ AIS, DTAC, TRUEMOVE และ HUTCH ไปศึกษารายละเอียด การปรับลดค่าบริการเป็นแพ็คเกจใหญ่ เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมต่อประชาชนผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย แล้วกลับมาให้คำตอบภายในวันศุกร์นี้
สำหรับแนวทางการปรับลดราคา จากการหารือในเบื้องต้น คาดว่า อาจดำเนินการได้ 2 ทาง คือ ลดราคาจากค่าบริการรายเดือน หรือบัตรเติมเงิน กับการลดราคาตัวซิมโทรศัพท์ โดยพบว่าปัจจุบันค่าบริการรายเดือนที่ผู้ประกอบการกำหนดไว้ต่ำสุดอยู่ที่ เดือนละ 200 บาท ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องไปตกลงว่า สามารถลดค่าบริการให้กับประชาชนได้เท่าไร เป็นเวลานานเท่าไร
อธิบดีกรมการค้าภายใน ยังบอกอีกว่า ในสัปดาห์นี้ จะหารือกับผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชน เพื่อขอให้ปรับโครงสร้างราคายา และค่ารักษาพยาบาลให้เป็นธรรมกับประชาชน หลังจากที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่าคิดค่ายาและค่ารักษาสูงมาก ซึ่งการหารือร่วมกันครั้งนี้จะมีการเปรียบเทียบโครงสร้างราคายาระหว่างโรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่ไม่ควรจะมีความแตกต่างกันมากนัก และโรงพยาบาลเอกชนจะต้องให้คำตอบว่า สามารถปรับลดลงได้หรือไม่ภายในวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคมนี้
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Thursday, February 28, 2008
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ น่าจะขยายตัวในระดับ 4.5 - 5% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวอยู่ที่ 4.8% ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาต (สศช.) ได้ประกาศไว้ ภายใต้สมมุติฐานการส่งออกขยายตัว 10-12.5% เกินดุลการค้า 3 - 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เกินดุลบัญชีเดินสะพัด 7 - 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.3-4% อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ น้ำมันดิบไม่เกิน 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
นายธนวรรธน์บอกอีกว่า ปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังคงเป็นปัญหาค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งส่งผลให้การส่งออกอาจชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจไทยอาจจะขยายตัวลดลงจาก 4.5% หากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ และรุนแรงจนต้องยุบพรรคการเมือง หรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
ส่วนการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักลงทุนส่วนใหญ่จะติดตามอย่างใกล้ชิด แต่จากการสำรวจ เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเหตุต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงจนกระทบต่อการเมืองอีกครั้ง ให้น้ำหนักเพียง 1 ใน 4 ส่วน หรือไม่เกิน 10-20% แต่ประชาชนก็ยังไม่สบายใจต่อเสถียรภาพทางการ
ด้านนางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกถึงภาวะเศรษฐกิจรายภูมิภาคปี 2550 ว่า ทั่วทุกภูมิภาคเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน โดยเศรษฐกิจภาคกลางมีการขยายตัวสูงสุดที่ 5.8% รองลงมาคือ กรุงเทพและปริมณฑลขยายตัว 4.7% ส่วนพื้นที่ภาคใต้มีการขยายตัวต่ำสุดที่ 3.4%
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาส 1/2551 ภาคกลางจะยังคงมีการขยายตัวสูงสุดที่ 5.9% รองลงมาเป็นกรุงเทพและปริมณฑล 4.5% และภาคใต้ยังคงขยายตัวต่ำสุดที่ 3.3%
นางเสาวณีย์บอกว่า การกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อมาเข้าขบวนการแก้ต่างของศาล ไม่น่าจะมีผลต่อการก่อความไม่สงบ แต่อาจมีการประท้วงเล็กน้อย เพราะเชื่อว่าประชาชนเห็นบทเรียนที่เกิดขึ้นมาแล้วใน 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนเหตุการณ์ไม่สงบมีผลต่อการชะลอการลงทุนบ้าง แต่ที่ต่างชาติต้องการคือ ความชัดเจนในเรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และทบทวนมาตรการกันสำรอง 30%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
///
กรมการค้าภายใน เชื่อ ศุกร์นี้มีข่าวดีสำหรับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ส่วนสัปดาห์หน้า มีลุ้นค่ารักษาพยาบาล
Posted on Wednesday, February 27, 2008
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการปรับลดค่าโทรศัพท์มือถือเพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน โดยระบุว่า รัฐบาลให้เวลาผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือทั้ง 4 ราย ได้แก่ AIS, DTAC, TRUEMOVE และ HUTCH ไปศึกษารายละเอียด การปรับลดค่าบริการเป็นแพ็คเกจใหญ่ เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมต่อประชาชนผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย แล้วกลับมาให้คำตอบภายในวันศุกร์นี้
สำหรับแนวทางการปรับลดราคา จากการหารือในเบื้องต้น คาดว่า อาจดำเนินการได้ 2 ทาง คือ ลดราคาจากค่าบริการรายเดือน หรือบัตรเติมเงิน กับการลดราคาตัวซิมโทรศัพท์ โดยพบว่าปัจจุบันค่าบริการรายเดือนที่ผู้ประกอบการกำหนดไว้ต่ำสุดอยู่ที่ เดือนละ 200 บาท ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องไปตกลงว่า สามารถลดค่าบริการให้กับประชาชนได้เท่าไร เป็นเวลานานเท่าไร
อธิบดีกรมการค้าภายใน ยังบอกอีกว่า ในสัปดาห์นี้ จะหารือกับผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชน เพื่อขอให้ปรับโครงสร้างราคายา และค่ารักษาพยาบาลให้เป็นธรรมกับประชาชน หลังจากที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่าคิดค่ายาและค่ารักษาสูงมาก ซึ่งการหารือร่วมกันครั้งนี้จะมีการเปรียบเทียบโครงสร้างราคายาระหว่างโรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่ไม่ควรจะมีความแตกต่างกันมากนัก และโรงพยาบาลเอกชนจะต้องให้คำตอบว่า สามารถปรับลดลงได้หรือไม่ภายในวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคมนี้
มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/02/08
โพสต์ที่ 720
เรตติ้งประเทศไทยผงกหัว หลังได้รัฐบาลจากเลือกตั้ง
โพสต์ทูเดย์ เรตติ้งประเทศไทยเริ่มผงกหัว หลังได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า เมื่อกลางเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา บริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส ได้เดินทางมาเก็บข้อมูลจากกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ ในเดือน มี.ค. จะมีสถาบันจัดอันดับ J&C และฟิทซ์ เรทติ้งส์ เข้ามาเก็บข้อมูล และช่วงต่อไปทางบริษัท เอสแอนด์พี จะเข้ามาเก็บข้อมูล ซึ่งเชื่อว่าทุกแห่งน่าจะปรับมุมมองเครดิตของประเทศเป็นบวกทั้งหมด
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า สถาบันจัดอันดับ R&I ของประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศยืนยัน เครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ อยู่ที่ระดับ BBB+ โดยปรับแนวโน้มของเครดิตจากระดับที่มีเสถียรภาพเป็นระดับที่เป็นบวก และยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ อยู่ที่ระดับ a-2
นอกจากนี้ ยังยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทที่ระดับ A- โดยปรับแนวโน้มของเครดิตจากระดับที่มีเสถียรภาพเป็นระดับที่เป็นบวก ซึ่งแสดงถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับเพิ่มระดับเครดิตของประเทศไทยในอนาคต
ทั้งนี้ R&I ให้เหตุผลของการยืนยันระดับเครดิตของไทย เพราะ การเมืองในประเทศไทยเริ่มกลับเข้าสู่รัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตย การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2551 ขณะที่ภาระผูกพันที่เกิดจากหนี้สาธารณะลดลงและเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับ ที่สูงเกินกว่าภาระหนี้ต่างประเทศ
สำหรับมุมมองทางการเมือง ยังคงมีปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนอยู่ โดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาลผสม และการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอกจากนี้ ยังเชื่อว่ามี ความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า กระทรวงการคลัง เห็นว่าการปรับแนวโน้มเครดิตครั้งนี้ถือเป็นการปรับครั้งแรก หลังจากที่มีการปรับครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2546 และน่าจะเป็นขั้นตอนแรกของการปรับระดับเครดิตของประเทศขึ้นไปสู่ระดับ A โดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ ซึ่งจะมีผลทำให้การระดม ทุนของรัฐบาล เอกชน และของประเทศ โดยรวมมีต้นทุนต่ำลง และเอื้อต่อการฟื้นตัวของการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=223692
โพสต์ทูเดย์ เรตติ้งประเทศไทยเริ่มผงกหัว หลังได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า เมื่อกลางเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา บริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส ได้เดินทางมาเก็บข้อมูลจากกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ ในเดือน มี.ค. จะมีสถาบันจัดอันดับ J&C และฟิทซ์ เรทติ้งส์ เข้ามาเก็บข้อมูล และช่วงต่อไปทางบริษัท เอสแอนด์พี จะเข้ามาเก็บข้อมูล ซึ่งเชื่อว่าทุกแห่งน่าจะปรับมุมมองเครดิตของประเทศเป็นบวกทั้งหมด
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า สถาบันจัดอันดับ R&I ของประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศยืนยัน เครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ อยู่ที่ระดับ BBB+ โดยปรับแนวโน้มของเครดิตจากระดับที่มีเสถียรภาพเป็นระดับที่เป็นบวก และยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ อยู่ที่ระดับ a-2
นอกจากนี้ ยังยืนยันระดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทที่ระดับ A- โดยปรับแนวโน้มของเครดิตจากระดับที่มีเสถียรภาพเป็นระดับที่เป็นบวก ซึ่งแสดงถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับเพิ่มระดับเครดิตของประเทศไทยในอนาคต
ทั้งนี้ R&I ให้เหตุผลของการยืนยันระดับเครดิตของไทย เพราะ การเมืองในประเทศไทยเริ่มกลับเข้าสู่รัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตย การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2551 ขณะที่ภาระผูกพันที่เกิดจากหนี้สาธารณะลดลงและเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับ ที่สูงเกินกว่าภาระหนี้ต่างประเทศ
สำหรับมุมมองทางการเมือง ยังคงมีปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนอยู่ โดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาลผสม และการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอกจากนี้ ยังเชื่อว่ามี ความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า กระทรวงการคลัง เห็นว่าการปรับแนวโน้มเครดิตครั้งนี้ถือเป็นการปรับครั้งแรก หลังจากที่มีการปรับครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2546 และน่าจะเป็นขั้นตอนแรกของการปรับระดับเครดิตของประเทศขึ้นไปสู่ระดับ A โดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ ซึ่งจะมีผลทำให้การระดม ทุนของรัฐบาล เอกชน และของประเทศ โดยรวมมีต้นทุนต่ำลง และเอื้อต่อการฟื้นตัวของการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=223692