Main Story: ทางเลือกลงทุนท่ามกลางวิกฤติ Hamburger Crisis ?
Posted on Monday, February 11, 2008
เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติระลอกใหม่ ซึ่งครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องมาจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ หรือที่เรียกว่า Subprime ที่เกิดขึ้นเด่นชัดในปีที่ผ่านมา และมีนักวิเคราะห์หลายคนออกมาพูดก่อนหน้านี้แล้วว่าวิกฤติ Subprime จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอย่างรุนแรงในปีนี้ ซึ่งก็เป็นจริงเช่นนั้นเพราะตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งในสหรัฐต้องมีการตั้งสำรองหนี้สูญอันเกิดจากสินเชื่อ Subprime ขณะเดียวกันสำนักวิจัยชั้นนำหลายค่ายต่างออกมาปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่สุดของโลก
เราจึงได้เห็นราคาหุ้นและดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนมกราคม จนในที่สุดธนาคารกลางสหรัฐได้จัดการประชุมฉุกเฉินและประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (FED Funds Rate) ลงรวดเดียว 0.75% จาก 4.25% เหลือ 3.5% ถือเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยมากสุดในรอบ 23 ปี เพื่อชะลอไม่ให้เศรษฐกิจทรุดหนักจนอาจจะฉุดเศรษฐกิจโลกให้ทรุดตามเป็นลูกโซ่ไปด้วย ซึ่งวิกฤติที่เกิดขึ้นในสหรัฐครั้งนี้ได้ชื่อว่า Hamburger Crisis เหมือนกับเมื่อปี 2540 ที่วิกฤติเศรษฐกิจในไทยส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย จึงได้รับการเรียกขานว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง (Tom Yam Kung Crisis)
เมอร์ริล ลินช์ สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลกสำรวจความคิดเห็นผู้จัดการกองทุน 195 รายทั่วโลกประจำเดือนมกราคมที่ผ่านมา 70% มองว่าเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะ อ่อนแอ ลงใน 12 เดือนข้างหน้า
ส่วนเจพี มอร์แกน สถาบันการเงินชั้นนำของโลกอีกแห่ง คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะย่ำแย่ที่สุดในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมองว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 0% หรือไม่เติบโตเลย
จัดพอร์ตด้วย หุ้น กองทุนรวม และทองคำ
จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล บล.ภัทร กล่าวว่าหากนักลงทุนยังคงชื่นชอบการลงทุนในตลาดหุ้นจะต้องลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องการบริโภคภายในประเทศ คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงานเนื่องเพราะดอกเบี้ยยังถูก และเชื่อว่าดอกเบี้ยไทยยังไม่ขยับขณะที่หุ้นเกี่ยวข้องกับการส่งออกจะแผ่วลงไป
ถ้าหากจัดพอร์ตแบบ สายกลาง โดยภาพรวมแล้ว จิรวัฒน์แนะนำให้ลงทุนในหุ้น 50% ลงทุนในตราสารหนี้ 50% โดยตราสารหนี้แบ่งออกได้เป็นลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีสภาพคล่องสูง ได้แก่ กองทุน Money market Fund และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หากสนใจการลงทุนระยะยาวให้มองกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
การลงทุนในหุ้น ครึ่งหนึ่งลงทุนในหุ้นไทย หุ้นบลูชิปสัก 5 ตัว หรือจะซื้อผ่านกองทุนหุ้นก็ได้ โดยลงทุนในกองทุนรวมประเภท Defensive และ Growth อย่างละครึ่ง อีกครึ่งให้มองหุ้นต่างประเทศผ่าน FIF โดยให้มองตลาดยุโรปตะวันออก หรือซื้อกองทุนรวม BRIC และกองทุนพลังงานทางเลือก ที่สำคัญอย่าลืมซื้อทองติดพอร์ตไว้สัก 5% ของเม็ดเงินการลงทุน จิรวัฒน์ กล่าว
จิรวัฒน์กล่าวว่านักลงทุนต้องเข้าใจว่าด้วยสภาพแบบนี้ต้องให้ความสำคัญต่อการลงทุนอย่างไรให้มีความปลอดภัย นักลงทุนอย่าพึ่งพาตลาดการลงทุนตลาดเดียว ต้องกระจายความเสี่ยง และอย่านั่งรอตลาดหุ้นตลาดเดียว ที่สำคัญตลาดการลงทุนมีความสลับซับซ้อนจึงไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้อีกต่อไป ต้องหาผู้ช่วยและที่ปรึกษาการลงทุนเป็นคำตอบที่น่าสนใจ
ปีแห่งความผันผวน
พวกเราประเมินว่าตลาดหุ้นครึ่งปีแรกจะค่อนข้างผันผวน ทางเทคนิคพบว่าช่วงเดือน กุมภาพันธ์นี้ตลาดจะปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยจะแกว่งตัวอยู่ระหว่างแนวตั้งที่ 830850 จุด ส่วนแนวรับน่าจะอยู่ที่ 780785 จุด วิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายลูกค้าบุคคล หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค (รักษาการ) บล.ทิสโก้ บอก
ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในสภาวะคลุมเครือและมีบรรยากาศที่ไม่น่าลงทุนมากนัก จึงมองว่าทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจนอกเหนือจากการถือเงินสดไว้ก็อาจจะเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ซึ่งน่าจะให้ดอกเบี้ยในอัตราที่ระดับน่าพอใจ
ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นปีนี้ไม่สามารถกำหนดกลยุทธ์ระยะยาวได้เลย อย่างมากก็เดือนต่อเดือน สำหรับนักลงทุนที่จะลงทุนระยะยาวแนะนำว่าให้รอลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่า ส่วนระยะสั้นที่เล่นเป็นรอบๆ ต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด
สำหรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุน วิวัฒน์แนะนำว่าความเหมาะสมยังให้น้ำหนักกับกลุ่มพลังงาน 30% กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 20% นอกจากนั้นให้กระจายไป เพราะเชื่อว่าในภาวะตลาดหมีเช่นนี้สิ่งที่จะได้เห็น ก็คือ การกลับมาของหุ้นเก็งกำไร
แนะนำว่าหากนักลงทุนที่นิยมหุ้นเก็งกำไรต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก วิวัฒน์ บอก
วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ช่วยคุณได้ในการบริหารพอร์ตการลงทุน
อดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน กลุ่มลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีความยืดหยุ่นสูง เพราะสามารถปรับตัวเองได้ดีโดยใช้ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และเป็นวิธีการมองเข้าไปถึงผลลัพธ์ของสาเหตุ ดังนั้นสามารถประหยัดเวลาในการกำหนดกลยุทธ์ได้ รวมถึงสามารถช่วยดูความเคลื่อนไหวราคาได้อย่างรวดเร็ว และเห็นภาพตลาดโดยรวมได้กว้าง และที่สำคัญ เป็นการบอกถึงจังหวะการเข้าหรือออกจากตลาด เพราะสัญญาณทางเทคนิคจะบอกว่าช่วงไหนควรซื้อหรือขาย หรือไม่มีความจำเป็นในการเร่งรีบตัดสินใจ
ถ้าดูทฤษฎีคลื่นของอีเลียต เวฟช่วงนี้จะอยู่ในขา C หมายความว่า การจบรอบกำลังจะเกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้ สังเกตจากตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และทำสถิติต่ำสุดครั้งใหม่ (New Low) ดังนั้นสัญญาณทางเทคนิคถัดไปจะเป็นสัญญาณขาขึ้น และเป็นช่วงรอจังหวะซื้อ แต่จะบอกว่าเมื่อไรจะถึงจังหวะซื้อไม่สามารถบอกได้ บอกได้แต่เพียงว่าใกล้เป็นจังหวะซื้อครั้งสำคัญเป็นอย่างมาก อดิพงษ์กล่าวถึง ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันเมื่อพิจารณาจากปัจจัยด้านเทคนิคเป็นหลัก
ทว่า ข้อเสียของการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ ทุกอย่างสะท้อนอยู่ในราคาหุ้น ดังนั้นหากใครเป็นนักลงทุนประเภทเก็งกำไร ที่มีเงินลงทุนมากและต้องการสร้างภาพลวงตา ก็สามารถที่จะใช้จุดนี้ไปสร้างราคาหุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แบบที่ไม่เป็นธรรมชาติรวมทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น จึงอาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการลงทุนของนักลงทุน ทั้งๆที่พื้นฐานของเศรษฐกิจ หรือบริษัทอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยด้วยซ้ำไป
อยากให้นักลงทุนเปิดใจกับการเรียนรู้การวิเคราะห์หุ้นหลายๆ ประเภทในการวางกลยุทธ์การซื้อขายและอย่าสับสนในการวิเคราะห์ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ทำยาก และอาจมีไม่กี่คนที่จะสามารถแยกแยะความรู้สึกและเหตุผลได้และประสบความสำเร็จอย่างมากมาย แต่ก็ถือว่าควรศึกษา อดิพงษ์ แนะนำ
กองทุนหุ้นกองทุนผสม ยังต้องมี
แม้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกจะย่ำแย่แค่ไหนกองทุนรวมประเภทกองทุนหุ้นและกองทุนผสมที่มีหุ้นในพอร์ต ก็ยังมีความน่าสนใจอยู่ เพราะข้อมูลในอดีตพิสูจน์แล้วว่าการลงทุนในระยะยาว หุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหลักทรัพย์อย่างอื่น แต่ในปีนี้อาจลดน้ำหนักการลงทุนส่วนนี้ลงสำหรับผู้ที่ไม่มั่นใจในตลาด และต้องทำการบ้านเพื่อคัดเลือกกองทุนที่เหมาะกับสถานการณ์มากขึ้น
กองทุนดัชนี สำหรับคนชอบหุ้นแต่ไม่ชัวร์ผู้จัดการกองทุน
เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ชอบการลงทุนในหุ้นแต่ไม่อยากเสี่ยงกับผู้จัดการกองทุน เพราะกองทุนดัชนีลงทุนโดยหวังผลตอบแทนที่ขึ้นลงตาม SET Index และ SET50 Index การบริหารกองทุนจะใช้โปรแกรมที่ทำให้ NAV ขึ้นลงในสัดส่วนเดียวกับดัชนีอ้างอิง แต่ยังได้ประโยชน์ของเงินปันผลจากหุ้นที่ถืออยู่ ปัจจุบันกองทุนดัชนีของไทยเกือบทั้งหมดจะเป็นกองทุน SET50 มี SET Index เพียงของ บลจ.ไทยพาณิชย์ และมีกองทุนกลุ่ม Jumbo เป็นกองทุนที่อ้างอิงกับดัชนีพิเศษที่จัดทำขึ้นของ บลจ.ทหารไทย ให้เลือกตามความชอบของแต่ละคน
TDEX กองทุนสำหรับคนชอบเทรด
กองทุนไทยเด็กซ์เซ็ท 50 อีทีเอฟ หรือ TDEX เป็นกองทุนดัชนีอิงกับ SET50 ที่เปิดให้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นนวัตกรรมใหม่ของไทยที่เกิดขึ้นสำหรับคนชอบเทรดกองทุน สามารถซื้อขายได้ระหว่างวัน รู้ราคาแน่นอน โดยไม่มีปัญหาสภาพคล่องเพราะมีการแต่งตั้งโบรกเกอร์เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องให้ราคาอยู่ในระดับเดียวกับ NAV ของกองทุนทุกวันด้วย
กองทุนตราสารหนี้ Rating ดี Yield สูง ยังมี
หลังจาก พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ประกาศใช้ เชื่อว่ากองทุนตราสารหนี้จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากมายแน่นอน เพราะกองทุนตราสารหนี้ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องความปลอดภัยที่สูงกว่ากองทุนหุ้นมาก ปัจจุบันผู้จัดการกองทุนต่างๆ ก็ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากขึ้น เพราะสามารถเลือกลงทุนตราสารหนี้คุณภาพสูงของต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ปีที่แล้วตราสารการเงินของสถาบันการเงินในยุโรป อย่าง Euro commercial Paper (ECP) เป็นที่นิยมมากเพราะให้ผลตอบแทนหลังปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้วก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรในประเทศไทย ระยะเวลาการลงทุนก็ไม่นานมาก และยังมีให้ลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ด้วย รวมถึงพันธบัตรของประเทศใหม่ๆ ที่นักลงทุนไทยยังไม่คุ้นเคยแต่มีอันดับเรทติ้งดีมาก เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ก็เริ่มมีให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมแล้ว
สิ่งที่ต้องระมัดระวังสำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่ไปซื้อตราสารต่างประเทศ คือเรื่องระยะเวลาลงทุน และความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนจำเป็นต้องดูให้ดีว่าปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ ถ้าไม่ปิด ทำไมจึงไม่ปิด และตราสารต่างประเทศที่ไปลงทุนมีระยะเวลานานแค่ไหน เพราะพันธบัตรรัฐบาลของต่างประเทศหลายแห่งที่กองทุนรวมไปซื้อมีอายุยาวมากกว่า 1 ปี
กองทุนรวมตลาดเงิน ทางเลือกที่มาแทนเงินฝากออมทรัพย์
กลายเป็นกองทุนสามัญประจำบ้านที่ทุกบริษัทจัดการต้องมีเพราะคุณสมบัติที่ดี ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากออมทรัพย์ ความปลอดภัยสูง และสภาพคล่องสูง ขายเพียง 1 วันก็ได้เงิน กองทุนรวมตลาดเงินหรือ Money Market Fund จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการใช้แทนบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แต่สิ่งที่ต้องพึงระวังก็คือ กองทุนที่ซื้อนั้น บริษัทจัดการมีเงื่อนไขการโอนเงินคืนอย่างไร สามารถโอนเงินคืนเข้าบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารใดบ้าง ไม่เช่นนั้นหากต้องจ่ายคืนเป็นเช็ค ข้อดีเรื่องสภาพคล่องจะกลายเป็นปัญหาในทันที
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กำลังกลับมา
มาตรการกันสำรอง 30% ที่ประกาศโดย ธปท. เมื่อปลายปี2549 เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของกองทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างช่วยไม่ได้ เพราะกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ๆ จำเป็นต้องมีนักลงทุนสถาบันจากต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุน ที่ผ่านมากองทุนอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนได้ตามที่ประกาศไว้ แต่ยังมีปัญหาสภาพคล่องการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เงินที่จะซื้อจึงต้องมั่นใจว่าเป็นเงินเย็น ที่นำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็บกินผลตอบแทนแบบสม่ำเสมอได้ ซึ่งเงินปันผลที่ได้รับย่อมดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอย่างแน่นอน
ในปีนี้จะมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นอีกหลายกองทุน และจะเพิ่มมากขึ้นอีกหากรัฐบาลใหม่และ ธปท. ยกเลิกมาตรการ 30% สำหรับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วย
อสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนจะซื้อมาลงทุนก็จะมีความหลากหลายมากขึ้น เดิมจะเป็นอาคารพาณิชย์ ศูนย์การค้า โรงงาน ที่อยู่อาศัย แต่หลังจากนี้เราจะเห็นรีสอร์ท โรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจเฉพาะด้านมากขึ้น ดังนั้นก่อนผู้ลงทุนจะเข้าไปซื้อจึงควรให้น้ำหนักเรื่องพื้นฐานธุรกิจมากขึ้นด้วย
กองทุนต่างประเทศ ยังดีอยู่หรือ
กองทุน FIF มีความหลากหลาย เพราะมีทั้งกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสมแบบ Asset Allocation กองทุนที่ลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์หรือทองคำ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ดังนั้น การเลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศจึงต้องพึงระลึกเสมอว่าความเสี่ยงในคุณสมบัติของตราสารแต่ละชนิดยังคงอยู่ ไม่ได้หายไป แต่โอกาสการคัดเลือกสินค้าเพื่อลงทุนมีมากขึ้น ในปีที่ผันผวนเช่นนี้ การมีตราสารการลงทุนให้เลือกเพิ่มขึ้น ไม่จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทยก็เป็นสิ่งที่ดีมิใช่ฤา
การคัดเลือกกองทุนต่างประเทศเพื่อลงทุนจึงจำเป็นต้องศึกษาถึงตราสารที่ลงทุนให้ดีว่าเป็นอะไร ภูมิภาคไหน เป็นหุ้น ตราสารหนี้แบบไหน หรือเป็นกองทุนผสม มีอะไรบ้างผสมอยู่ในนั้น และการบริหารของผู้จัดการกองทุนใช้วิธีใด เป็นกองทุนเชิงรุกแบบ Active หรือเป็นกองทุนดัชนี เพราะแต่ละแบบก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
กองทุนต่างประเทศกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเป็นทางเลือกเพื่อกระจายทรัพย์สินลงทุนได้ดี นั่นคือ กองทุนที่ไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั้งกองทุนที่ลงทุนในทองคำอย่างเดียว และกองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์หลากหลาย เพราะเป็นประเภทหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ถูกจับตามากในปีนี้ว่าจะให้ผลตอบแทนงามด้วย
กองทุนนวัตกรรมใหม่
กองทุนรวมประเภทสุดท้ายที่สามารถใช้เป็นทางเลือกการลงทุนได้คือกองทุนที่ใช้โมเดลทางการเงินในการออกแบบกองทุน เช่น การใช้ Structure Note โดยส่วนใหญ่กองทุนกลุ่มนี้จะออกแบบให้คุ้มครองเงินต้นของผู้ลงทุน แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นโดยการอิงกับดัชนีอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือขึ้นกับกระบวนการที่กองทุนได้ทำสัญญาไว้ กองทุนประเภทนี้จะซับซ้อนมากกว่ากองทุนทั่วๆ ไป เข้าใจได้ยากในส่วนของโมเดลที่ออกแบบ จำเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนต้องศึกษาถึงวิธีการได้กำไรขาดทุนของกองทุน แต่ไม่ถึงขนาดต้องไปแกะโมเดลสัญญาของกองทุนที่ยุ่งยากเกินกว่าที่นักลงทุนทั่วไปพึงรับรู้
ตลาดตราสารหนี้ คาดเดาได้ยาก
ดร.สันติ กีระนันท์ ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ (BEX) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แนะนำว่า สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่สนใจลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ในปีนี้ยังมีทางเลือกในการลงทุนอยู่ 23 ทางให้เลือกตามความเหมาะสม โดยการลงทุนในตลาดแรกนั้นอาจเลือกการลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ ซึ่งปกติทางกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินต่างๆ ทยอยออกทุกๆ เดือนอยู่แล้ว หรือสำหรับผู้ที่สนใจหุ้นกู้ภาคเอกชนอดใจรอ เพราะอีกไม่นานเกินรอภาคเอกชนหลายรายมีความสนใจออกหุ้นกู้และเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไป (PO) ในปีนี้
ความจริงแล้วการลงทุนในตราสารหนี้อาจจะมีขั้นตอนมากและดูเหมือนจะยากในช่วงแรก แต่หากเกิดความเข้าใจแล้วจะสามารถคาดการณ์ได้ง่ายกว่าหุ้นมาก เพราะปัจจัยที่จะเข้ามากำหนดราคาตราสารหนี้นั้นก็มีเพียง Yield หรืออัตราดอกเบี้ย ขณะที่หุ้นนั้นต้องเผชิญกับปัจจัยนับไม่ถ้วน ดังนั้นหากได้ทดลองลงทุนตราสารหนี้ช่วงแรกๆ อาจจะต้องลงแรงหาข้อมูล และเรียนรู้ หลังจากนั้นก็จะเกิดความชำนาญ ดร.สันติ กล่าว
ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนยังไม่เข้าใจอยู่มาก ก็คือ คำว่า Yield กับ อัตราดอกเบี้ย ก็ต้องอธิบายว่า Yield คือผลตอบแทน ส่วนดอกเบี้ย คือ เงินที่จ่ายในแต่ละงวดซึ่งโดยปกติหุ้นกู้หรือพันธบัตรที่จ่ายอัตราคงที่นั้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน Yield คือ ผลตอบแทนที่ปรับเปลี่ยนไปได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ อาจจะมากหรือน้อยกว่าดอกเบี้ยก็ได้ ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้มีการเคลื่อนไหว นี่คือสิ่งที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจเป็นพื้นฐาน
หากนักลงทุนมีความเข้าใจ สามารถดู Yield ในตลาดเป็นก็จะสามารถเทรดทำกำไรได้เพิ่มขึ้น เช่นอาจจะขายในช่วงที่ Yield ลงและซื้อตอนที่ Yield ขึ้นซึ่งจะได้อัตราผลตอบแทนโดยรวมตลอดอายุตราสารหนี้มากกว่าการรอรับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ดร.สันติ ทิ้งท้าย
เป็นปีที่จับทิศทางราคาทองคำได้ยากมาก
ผมอยู่ในวงการทองคำมา 50 ปี ยังไม่ค่อยกล้าวิจารณ์สถานการณ์ในตอนนี้ เพราะถือเป็นรอบที่ดูไม่ออกจริงๆ ทุกอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก จึงค่อนข้างเป็นห่วงมาก
จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่าในอดีตสามารถพิจารณาได้จากการปรับตัวขึ้นลงของราคาน้ำมันเนื่องจากราคาทองคำจะปรับตัวในทิศทางเดียวกัน แต่ปัจจุบันแม้ราคาน้ำมันจะปรับลดลง แต่ราคาทองคำยังคงขึ้นต่อเนื่อง ทว่าราคาทองคำที่ปรับขึ้นในช่วงนี้ ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และจากประสบการณ์และเก็บสถิติต่างๆ การปรับราคาขึ้นในช่วงนี้ถือว่ารวดเร็วเกินไป โดยราคาปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,000 บาทภายในเวลาไม่ถึง 10 วันและยังปรับเพิ่มต่อเนื่อง ลักษณะดังกล่าวอาจส่งผลต่อความเสถียรภาพของราคาทองคำ และในอนาคตยังมีความเสี่ยงที่ราคาจะปรับลดอย่างรวดเร็วอีกด้วย
อย่างไรก็ตามเขาคิดว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับการลงทุนในปีนี้ แต่ต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง สำหรับนักลงทุนระยะยาวจริงๆ ต้องถือว่าจังหวะ ซื้อ ได้ผ่านไปแล้วตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แต่หากสนใจลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงแนะนำให้ใช้เงินสัดส่วนประมาณ 20 30% ของพอร์ตการลงทุน ส่วนผู้ที่หวังจะเข้ามาเก็งกำไรไม่แนะนำเพราะค่อนข้างอันตราย
ถือว่าประเทศไทยได้เงินบาทที่แข็งค่ามาช่วยทำให้ราคาทองคำยังขึ้นไม่แรงไปกว่านี้ แต่ถ้านำราคาทองคำปัจจุบันไปเทียบกับดอลลาร์เมื่อปีก่อน ราคาจะไปอยู่แถวๆ 16,000 บาท ซึ่งหากมองในมุมนักลงทุนก็ถือว่าโชคดี จิตติทิ้งท้าย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx