หุ้นโรงพยาบาล-ท่องเที่ยวยังน่าสนใจ ส่วนหุ้นกลุ่มบันเทิงยังมีหลายปัจจัยเสี่ยง
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, January 29, 2008
คาดกลุ่มท่องเที่ยวมีปัจจัยบวกรอหนุน
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้าบุคคล 15 บล. ธนชาต กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลดีทางจิตวิทยาต่อประชาชน เพราะมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ขณะที่ประชากรในวัยทำงานของไทยที่มีจำนวน 2 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ต้องการการพักผ่อนมากขึ้น ขณะที่ระบบคมนาคมสะดวกขึ้นกว่าในอดีต และมีต้นทุนการเดินทางลดลง ทำให้ประชากรเหล่านี้วางแผนการท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งจะมีผลให้การท่องเที่ยวมีทิศทางที่สดใสได้ในระยะยาว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมในไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีทั้งหมด 3 ราย คือ
บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERAWAN) และ บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) โดยบริษัทเหล่านี้ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะตกต่ำในตลาดหุ้น และยังลงทุนสร้างโรงแรมใหม่เพิ่ม ขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. เอเซียพลัส กล่าวว่า ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น สึนามิ รัฐประหาร โรคซาร์ส การก่อการร้าย ที่กดดันให้อุตสาหกรรมชะลอตัวลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าหากรัฐบาลมีเสถียรภาพ ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นได้ เพราะยังมีปัจจัยบวกที่รอสนับสนุนอีกมาก เช่น สนามบินสุวรรณภูมิที่เพิ่งสร้างเสร็จที่จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และงประชากรในประเทศเพื่อนบ้านที่ไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจขยายตัว เป็นต้น และแม้ว่าดัชนีหุ้นจะตกต่ำ แต่ราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ทั้ง ERAWAN และ CENTEL ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และยังได้ลงทุนสร้างโรงแรมใหม่ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนความสำเร็จ (Key Driver) ของบริษัทให้โดดเด่นได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธุรกิจโรงแรมจะต้องใช้เงินลงทุนขยายกิจการสูงมาก ทำให้มีอัตราหนี้สินต่อทุนไม่ต่ำกว่า 2 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ ขณะที่ ERAWAN ก็ออกวอแรนท์ , CENTEL ได้ขายหุ้นเพิ่มทุน (Public Offering) และ MINT ใช้ธุรกิจอาหารเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้ในธุรกิจโรงแรม ซึ่งถือเป็นการบริหารจัดการกระแสเงินสดที่ดี และจะลดภาระหนี้ลงได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหุ้นกลุ่มโรงแรมมีสภาพคล่องไม่มากนัก และยังจ่ายปันผลไม่สูง จึงควรลงทุนโดยมองที่ปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนให้บริษัทเติบโตในอนาคตหรือลงทุนระยะยาว
คาดโรงพยาบาลมีแนวโน้มดีในระยะยาว
นายพิชัยกล่าวว่า กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว เพราะประชาชนที่เข้าโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท และโครงการประกันสังคม เป็นกลุ่มคนจำนวนมากของประเทศ ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลยังสามารถเติบโตได้ตามการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลรายหัว นอกจากนี้ จากโครงสร้างประชากรของไทยที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมาก และภาครัฐได้ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของเอเชีย ก็จะทำให้จำนวนคนไข้ในระบบเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว แต่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มนี้อาจไม่โดดเด่นมากนักเพราะได้มีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนสร้างอาคารใหม่เพิ่มขึ้น แต่ก็จะเป็นฐานรายได้ที่สนับสนุนการเติบโตได้ในอนาคต นอกจากนี้ กลุ่มโรงพยาบาลยังมีความเสี่ยงในธุรกิจน้อยมาก เพราะมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งอีกด้วย
ด้านนางภรณีกล่าวว่า ความต้องการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง และโรคภัยที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้คนไข้ในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่คนไข้ต่างชาติก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของไทยมีราคาถูก และมีคุณภาพการรักษาที่ดี โดยจะสามารถแบ่งกลุ่มโรงพยาบาลได้ ดังนี้
- โรงพยาบาลระดับบน มีศักยภาพขยายตัวได้อีกมาก ได้แก่ บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ
(BGH) ที่เติบโตจากการซื้อโรงพยาบาลอื่นมาเป็นบริษัทในเครือ และ บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
(BH) ที่เติบโตจากการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ แต่การที่โรงพยาบาลกลุ่มนี้เน้นกลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก จึงอาจได้รับผลกระทบบ้างหากสถานการณ์ระหว่างประเทศไม่สงบ นอกจากนี้ หุ้น BGH และ BH ยังซื้อขายกันที่ระดับ P/E สูงถึง 20-30 เท่า เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 40% ตลาดจึงยอมรับราคาหุ้นที่สูงได้
- โรงพยาบาลระดับกลาง เป็นโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสังคม จึงสามารถสามารถขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะใช้พื้นที่ได้ค่อนข้างเต็มแล้ว และมีฐานลูกค้าที่จำกัด
- โรงพยาบาลระดับล่าง รับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท และโครงการประกันสังคมจึงมีประสิทธิภาพทำกำไรที่ไม่ดีนัก เพราะต้องรับค่ารักษาพยาบาลรายหัว ดังนั้น หากมีคนไข้ที่เข้าโครงการมารักษาเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้กำไรลดลงได้
นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีผลประกอบการตามวัฏจักรธุรกิจเช่นกัน โดยจะเข้าสู่ช่วงสูดสุดของธุรกิจในไตรมาส 2-3 ของทุกปี แต่เนื่องจากจ่ายปันผลได้ไม่สูงมากนัก ทำให้ราคาหุ้นไม่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น จึงควรซื้อเมื่อมีจังหวะที่เหมาะสม เช่น กำไรมีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นเกินคาดในไตรมาสนั้น ๆ
คาด AOT เป็นเสือนอนกิน - THAI เจอพิษน้ำมันแพง
สำหรับบมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) นั้น นางภรณีมองว่า เป็นบริษัทที่มีรายได้ที่แน่นอนจากการค่าเช่าพื้นที่ในสนามบิน และหากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ก็จะมีโอกาสได้รับรายได้ในส่วนค่าธรรมเนียมสนามบินเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนปัญหากรณีของบริษัทคิงเพาเวอร์นั้น แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน แต่เชื่อว่าหลังจัดตั้งรัฐบาลก็จะมีความชัดเจนมากขึ้นได้
ส่วนบมจ. การบินไทย (THAI) นั้น ได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีต้นทุนน้ำมันสูงถึง 30% ของต้นทุนรวม และราคาน้ำมันก็ยังไม่มีแนวโน้มลดลงอีกด้วย เพราะเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ยกเว้นว่า THAI จะหาพลังงานทางเลือกอื่นมาใช้แทนน้ำมัน ก็จะส่งผลดีต่อ THAI ได้
MCOT สดใสกว่าใครเพื่อน
น.ส. ธริศา ชัยสุนทร โยธิน รองผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ (TV Broadcaster) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน ได้แก่ บมจ. บีอีซี เวิลด์ (BEC) และ บมจ. อสมท. (MCOT)
ที่ผ่านมาราคาหุ้น MCOT ลดลงมากหลังจากที่พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ได้ พาดพิงถึงเม็ดเงินสัญญาสัมปทานที่ MCOT ได้รับจาก BEC และ ทรู วิชั่นส์ ที่จะต้องเสียให้กับกระทรวงการคลังแทน แต่หลังจากที่ผลการตัดสินพลิกโผ ทำให้ BEC และทรูวิชั่นส์จะต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับ MCOT ตามเดิม จึงมีผลให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น ส่วนการที่มีสถานีโทรทัศน์ TPBS ขึ้นมาแทนที่ช่องทีไอทีวี และไม่สามารถโฆษณาได้นั้น ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อ MCOT เพราะมีระดับค่าโฆษณาใกล้เคียงกัน และการที่ราคาหุ้นในขณะนี้ยังไม่สูงมากนัก และมีอัตราการจ่ายปันผลที่ดี จึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้
ธุรกิจ Content Provider มีแนวโน้มแข่งดุ
สำหรับกลุ่มผู้จัดทำรายการโทรทัศน์ (Content Provider) นั้น น.ส. ธริศากล่าวว่า มีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นมากในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีปิดตัวไป จะทำให้ผู้จัดทำรายการโทรทัศน์ต้องไปหาช่องอื่นเพื่อมารองรับรายการของตนเองมากขึ้น ส่งผลให้ บมจ. เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะมีผังรายการที่จำกัด ส่วนกันตนาที่ย้ายไป MCOT นั้น ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
นอกจากนี้ น.ส. ธริศายังเชื่อว่า พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานีโทรทัศน์เพิ่มจำนวนมากขึ้นแต่อาจต้องรอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เสียก่อน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ และบล. กสิกรไทยยังเชื่อว่า จะเห็นการควบรวมกิจการ (M&A) ระหว่างผู้จัดทำรายการโทรทัศน์เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
คาด GRAMMY โดดเด่นเหนือคู่แข่ง
สำหรับบมจ. จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) นั้น น.ส. ธริศามองว่า ยังมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นจากบริษัทย่อย คือ บมจ. จีเอ็มเอ็ม มีเดีย (GMMM) และอื่น ๆ ที่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ GRAMMY ยังสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถต่อยอดธุรกิจได้โดยไม่มีต้นทุนเพิ่ม จึงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีมาก และ GRAMMY ยังมีความพร้อมที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้ประกอบการโทรทัศน์ได้ ขณะที่ยังเป็นผู้นำในธุรกิจเพลงอีกด้วย ส่งผลให้บมจ. อาร์เอส (RS) ไม่ใช่คู่แข่งที่สำคัญของ GRAMMY อีกต่อไป เพราะ RS ได้เริ่มจับธุรกิจถ่ายทอดกีฬาฟุตบอลด้วยการซื้อลิขสิทธิ์มาจากต่างประเทศ แทนที่จะเน้นธุรกิจเพลงแบบเดิม แต่รายได้ก็ยังผันผวนได้อีก เพราะไม่ได้เป็นการซื้อลิขสิทธิ์ระยะยาว จึงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของ RS ด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Sto ... fault.aspx