หน้า 21 จากทั้งหมด 26

news11/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 11, 2008 8:28 pm
โดย chartchai madman
หนี้สาธารณะ ต.ค.50 พุ่งทะลุ 3 ล้านล้านบาท ข่าว 21.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 11, 2008
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) บอกว่า ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2550 มีจำนวน 3,182,820 ล้านบาท หรือ 37.95% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมปี 2549 พบว่าเพิ่มขึ้น 3,383 ล้านบาท

การเพิ่มขึ้นสุทธิของหนี้สาธารณะ เกิดจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกันโดยมีการเบิกจ่ายเงินกู้สุทธิเพิ่มขึ้น 16,190 ล้านบาท ประกอบกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การเคหะแห่งชาติ และการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ออกพันธบัตรในประเทศวงเงินรวม 5,800 ล้านบาท

ส่วนหนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลไม่ได้ค้ำประกันเพิ่มขึ้น 3,270 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ และการเบิกจ่ายเงินกู้จากแหล่งเงินกู้สูงกว่าการชำระคืนต้นเงินกู้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news11/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 11, 2008 9:30 pm
โดย chartchai madman
ส่งออกสะดุ้งบาทแข็งค่าปีนี้ส่อแววแตะ 30-31 บ. [ ฉบับที่ 861 ประจำวันที่ 12-1-2008 ถึง 15-1-2008]  
ธาริษา ยันคุมค่าบาทปกติ สวนมวยภาคส่งออก ต้องปรับตัวเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะที่ทิศทางค่าเงินบาทส่อเค้าแข็งค่าต่อเนื่อง นักวิเคราะห์ประเมินปัจจัยเงินหยวนแข็ง ศก.สหรัฐฯ ยังโงหัวไม่ขึ้น เทรนด์ ดอลลาร์ร่วง คาดปี 51 เงินบาท แข็งค่าแตะ 30-31 บาท เตือน คุมค่าเงินเกินตัวระวังเงินเฟ้อโผล่ ธปท.เผยดัชนีความเชื่อมั่น กระเตื้องเล็กน้อย ภาคก่อสร้าง ปรับเพิ่ม การค้า-ลอจิสติกส์ ลดลง

> ภาวะดอกเบี้ยในประเทศ 3 ด.แรก เป็นขาขึ้น

ภาวะดัชนีความเชื่อมั่น ที่สะท้อนภาพเศรษฐกิจไทย เริ่มมีแนวดน้มไปในทางที่ดี หลังจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผย รายงานการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ 3 เดือน นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2550 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 พบว่านักธุรกิจส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นทางธุรกิจมากขึ้น ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2551 ซึ่งเป็นแนวโน้มทางความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ในช่วงปลายปี หลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นในส่วนของภาคก่อสร้างเพิ่มขึ้นมากที่สุดในระบบ ซึ่งปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.1 จากในช่วง 3 เดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.9 ส่วนภาคธุรกิจการเงินดัชนีเพิ่มปรับมาอยู่ที่ระดับ 54.3 จาก 52.0 ในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมยังทรงตัวอยู่ที่ 50.1 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการของทั้ง 3 ภาคธุรกิจดังกล่าวมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น

ขณะที่ภาคสาธารณูปโภค ภาคการค้า ภาคขนส่งและคลังสินค้า และภาคบริการ ดัชนีความเชื่อมั่นปรับลดลง โดยภาคสาธารณูปโภคดัชนีลดลงจาก 53.1 มาอยู่ที่ 46.9 ภาคการค้าดัชนีลดลงจาก 51.6 มาอยู่ที่ 49.7 และภาคขนส่งและคลังสินค้า ดัชนีลดลงจาก 44.8 มาอยู่ที่ 43.8 ส่วนภาคบริการดัชนีปรับลดลงจาก 52.0 ลงมาอยู่ที่ 48.1 เนื่องจากผู้ประกอบการยังไม่มั่นใจกับภาวะเศรษฐกิจและการเมือง ถึงแม้ว่าจะมีการเลือกตั้งแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการมองว่าภายใต้แนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้น เป็นข้อจำกัดอันดับแรกของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งเป็นแรงกดดันด้านต้นทุนของสินค้าและบริการ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 4.1% ในช่วงก่อนหน้า เป็นเฉลี่ย 4.4% อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการจะขอปรับขึ้นราคาสินค้าจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2551 น่าจะดำเนินการได้ยากกว่าในปีที่ผ่านมา

โดยความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นมาจากแนวโน้มการจ้างงานและการปรับอัตราค่าจ้างที่ดีขึ้น เนื่องจากพบว่า จำนวนชั่วโมงทำงานล่วงเวลาต่อวันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการผลิตและระดับการจ้างงานที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนผู้ประกอบการที่มีการจ้างทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้นจาก 63.0% ในเดือนต.ค.50 มาเป็น 65.5% ในเดือน พ.ย. สำหรับแนวโน้มการปรับอัตราค่าจ้างในปี 2551 ปรับเพิ่มขึ้น โดยค่าเฉลี่ยการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างสูงขึ้นจาก 2.8% ต่อปี เพิ่มเป็น 3.1% ต่อปีในเดือนนี้ ซึ่งสะท้อนคำสั่งซื้อที่มีมากขึ้นและภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัวมากขึ้น

ขณะที่ในด้านการเงินและสภาพคล่องของภาคธุรกิจ พบว่า ภาระดอกเบี้ยและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น เป็นผลจากการใช้เงินทุนหมุนเวียนมากขึ้นตามราคาวัตถุดิบและปริมาณการค้าที่เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนผู้ประกอบการที่เห็นว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 25.1% จาก 15.3% ในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้มีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นเป็น 18.9% ที่เห็นว่าจะภาระการผ่อนส่งดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจาก 16.3% ในช่วงก่อนหน้า

ส่วนสภาพคล่องของผู้ประกอบการทั้งในปัจจุบันและในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะลดลงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลของการให้สินเชื่อการค้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงินน้อยลง ในขณะที่ผู้ประกอบการ 64.7% กังวลกับค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐ จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ด้านภาวะค่าเงินบาท ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในวันพุธที่ 9 มกราคม 2551 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ 33.21 บาท-ระดับ 33.27 บาท ซึ่งยังเป็นการแข็งค่าต่อเนื่องมาจากต้นสัปดาห์ แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ ระบุว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้ เกิดจากนักลงทุนและผู้ส่งออกยังเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐ ออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่ลผให้ให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องไปจนถึงสัปดาห์หน้า ซึ่งแนวรับสุดท้ายน่าจะอยู่ที่ 33.50 บาทแนวต้านจะอยู่ที่ 3.10-3.20 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามปัจจัยการเทขายดอลลาร์ออกมาในช่วงนี้ น่าจะมีผลมาจากการราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เกิดความผันผวน และเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค้าเงินดอลลาร์ในระยะยาว

ในขณะที่ปัจจัยค่าเงินหยวนเองกส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์ การคาดการเศรษฐกิจจีนเกี่ยวกับการลดดุลการค้า ยังคงเป็นเรื่องที่น่าจับตา เพราะมีผลทำให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้เชื่อว่าในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากมีการแทรกแซงค่าเงินบาทจากธปท. มีผลให้เกิดความวิตกกังวลต่อภาวะค่าเงินบาท ที่อาจจะกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคส่งออก ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต

ภาพของเงินบาทเวลานี้ มีความผันผวน แนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งการแทรกแซงจากธปท.จะมีผลต่อตลาดเงินในสัปดาห์หน้านี้ และเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดู หากมีการแทรกแซงเข้ามาอีก เทรนของค่าเงินบาทจะกลายเป็นอ่อนค่า แต่หากต้นสัปดาห์ แข็งค่าตามการแทรกแซงของธปท.ที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ที่แล้ว ก็น่าจะเป็นผลดี ที่สำคัญคือต้องจับตาดูในสัปดาห์หน้าว่าจะมีการแทรกแซงจากธปท.จุดนี้จะเป็นจุดชี้วัดเสถียรภาพและแนวโน้มของค่าเงินได้อีกจุดหนึ่ง และสำคัญที่สุดการแทรกแซงค่าเงินบาจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเรื่องนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องควรต้องให้ความระมัดระวัง เนื่องจากปัจจัยราคาน้ำมันที่ยังคงมีความผันผวนแหล่งข่าวนักวิเคราะห์กล่าว

อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์ว่า การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในช่วงสิ้นเดือน ม.ค.นี้ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25 ซึ่งจะเป็นจุดพลิกผันอีกจุดหนึ่งที่สำคัญของค่าเงินดอลลาร์ ที่อาจจะอ่อนค่าลงไปได้อีก

แหล่งข่าวด้านการเงินรายหนึ่งเปิดเผยว่า หากมองจากเทรนค่าเงินดอลลาร์ เศรษฐกิจสหรัฐ ประกอบกับการแข็งค่าของค่าเงินหยวนแล้ว คาดการณ์ปี 2551 นี้ คาการณ์ว่า ค่าเงินบาทเองน่าจะอยู่ที่ระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแหล่งข่าวกล่าว

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจุบันธปท.ยังคงดูแลค่าเงินบาทตามปกติ เพื่อให้ผู้ส่งออกไทยสามารถแข่งขันกับประเทศคู่ค้าได้โดยไม่เสียเปรียบมากเกินไป ขณะเดียวกันผู้ส่งออกไทยก็มีการปรับตัวกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นได้บ้างแล้ว โดยกระจายการส่งออกไปยังตลาดใหม่มากขึ้น แทนที่จะยึดติดกับตลาดสหรัฐฯ แต่สิ่งที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติมคือ ประสิทธิภาพของสินค้าที่ส่งออก
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... s_id=10499

news12/01/08

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 12, 2008 9:02 pm
โดย chartchai madman
อุ๋ยการันตีศก.โต5%

โพสต์ทูเดย์ หม่อมอุ๋ย คาดเศรษฐกิจไทย 2551 โตขึ้น ราว 4.5-5% เชื่อการลงทุนรัฐและเอกชนเป็นตัวนำ


ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวในการสัมมนา ดุลยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยภายใต้การค้าเสรี จัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ว่า การลงทุนภาครัฐน่าจะดีขึ้นหลัง มีรัฐบาลใหม่ เพราะทุกพรรคการเมืองหาเสียงเกี่ยวกับการลงทุนในระบบขนส่งมวลชน เช่น รถไฟฟ้ามูลค่านับแสนล้านบาท และอีกหลายโครงการที่อั้นมา ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ทำให้เชื่อว่าในปี 2551 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 4.5-5%

ใครที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากนี้ จะมีงานทำมากและค่อนข้างโชคดี เพราะภาคราชการจะเร่งผลักดันโครงการต่างๆ เข้ามามาก และในภาคเอกชน การ ลงทุนปี 2550 เติบโต 1.1% แต่ในปี 2551 น่าจะเติบโต ถึง 2% ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

นอกจากนั้น หากมีโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ดในภาคใต้จะดีมาก เพราะจะเป็นการสร้างงานและดึงนักลงทุนเข้ามาลงทุนมาก รวมทั้งมีนิคมอุตสาหกรรม เพราะภาคธุรกิจ เคมีภัณฑ์และพลังงาน และธุรกิจน้ำมัน ซึ่งลูกค้าหลัก คือ ประเทศจีน ญี่ปุ่น สนใจซื้อพลังงานแน่นอน โดยได้ยื่นหนังสือขอรัฐบาลเพื่อจะลงทุนมานับปีแล้ว มูลค่า 1.6 แสนล้านบาท

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า สิ่งที่รัฐน่าจะทำ คือรถไฟสาย จ.ขอนแก่น-นครราชสีมา-แหลมฉบัง และสายนครสวรรค์-แหลมฉบัง เพื่อรองรับกับการขนส่งมวลชน และปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงแพง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214133

news12/01/08

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 12, 2008 9:03 pm
โดย chartchai madman
แทรกบาทดันทุนสำรองปูด

โพสต์ทูเดย์ ทุนสำรองทะยานเฉียด 9 หมื่นล้านเหรียญ หลัง ธปท.แทรกค่าเงินบาทอย่างหนัก


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศล่าสุด ณ วันที่ 4 ม.ค. 2550 อยู่ที่ 8.93 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาท จากสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ 8.76 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ทางด้านสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศแลกกับเงินบาทล่วงหน้า (ฟอร์เวิร์ด) อยู่ที่ 1.86 หมื่น ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ 1.91 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของทุนสำรองระหว่างประเทศสะท้อนภาระการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท.จำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ที่ค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้นมาตลอด ตามการอ่อนค่าลงของค่าเงินเหรียญสหรัฐ

นักค้าเงินธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ค่าเงินบาทวันที่ 11 ม.ค. ปิดตลาดที่ 33.15-33.16 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบ กับช่วงเปิดตลาดที่ระดับ 33.11-33.14 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ค่าเงินบาทค่อนข้างทรงตัวกระทั่งอ่อนค่าลง เนื่องมาจากการเข้าแทรกแซงของ ธปท.เพื่อพยุงค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน นักค้าเงินระบุ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า หากรัฐบาลใหม่แต่งตั้ง นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรอง นายกรัฐมนตรี เป็น รมว.คลัง เชื่อว่าจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ค่าเงินบาทได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคล ที่มีความชาญฉลาดในการรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดี

ในตอนนั้น รมว.คลัง คนใหม่ของไทย และผู้ว่าการ ธปท. น่าจะทำงานร่วมกันได้อย่างดี เพื่อรับมือกับปัญหาของสหรัฐได้ เพราะเชื่อว่าหากเกิดปัญหาในสหรัฐจริง คราวนี้จะรุนแรงมาก กองทุนเฮจด์ฟันด์ บางแห่งอาจจะล้ม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

สำหรับการดำเนินนโยบายดูแลค่าเงินบาทขณะนี้ถือว่าถูกจุดพอสมควร ซึ่งตอนแรกก็ถูกหลายฝ่ายโจมตี แต่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มนิ่งแล้ว และหากเทียบค่าเงินหยวนของจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ถือว่าแข็งค่าใกล้เคียงกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 16 ม.ค. 2551 นี้ น่าจะมีมติให้ตรึงอัตรา ดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร ระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมที่ 3.25% เนื่อง จากความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อที่มี แนวโน้มเร่งสูงขึ้น จากการขึ้นราคาสินค้าในประเทศ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214132

news14/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 14, 2008 7:30 pm
โดย chartchai madman
ต่างชาติยังมีหุ้นให้ขุดขายต่อ ประเดิมสัปดาห์ใหม่อีก 2.1 พันล้านบาท เพิ่มยอดขายสุทธิใกล้ 2.0 หมื่นล้านบาท
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 14, 2008

ต่างชาติ ขายหุ้นปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่อง วันนี้อีก 2.1 พันล้านบาท เพิ่มยอดขายสุทธิรวมเกือบครึ่งเดือนแรกของปีใหม่ ทะลุ 1.9 หมื่นล้านบาท ปล่อยให้รายย่อยซื้อรับเหมาเป็นหลัก เบ็ดเสร็จเดือนนี้ ยอดซื้อสุทธิพุ่งทะลุ 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนสถาบันในประเทศ ซื้อจิ๊บจ๊อย 1.0 พันล้านบาท

ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2551
(หน่วย / ล้านบาท)


ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 6,829.66 ขาย 4,705.36 รวม ซื้อสุทธิ 2,124.30
สถาบันในประเทศ ซื้อ 1,962.99 ขาย 1,967.47 รวม ขายสุทธิ 4.48
ต่างประเทศ ซื้อ 2,426.20 ขาย 4,546.02 รวม ขายสุทธิ 2,119.82

ยอดสะสม ตลอดเดือนมกราคม 2551 (หน่วย / ล้านบาท)

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 87,682.59 ขาย 69,630.26 รวม ซื้อสุทธิ 18,052.33
สถาบันในประเทศ ซื้อ 25,764.02 ขาย 24,689.45 รวม ซื้อสุทธิ 1,074.57
ต่างประเทศ ซื้อ 32,843.48 ขาย 51,970.38 รวม ขายสุทธิ 19,126.90

ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 87,682.59 ขาย 69,630.26 รวม ซื้อสุทธิ 18,052.33
สถาบันในประเทศ ซื้อ 25,764.02 ขาย 24,689.45 รวม ซื้อสุทธิ 1,074.57
ต่างประเทศ ซื้อ 32,843.48 ขาย 51,970.38 รวม ขายสุทธิ 19,126.90
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news15/01/08

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 15, 2008 1:20 pm
โดย chartchai madman
แนะรัฐตั้งงบขาดดุล3แสนล.ยาว3ปี

โพสต์ทูเดย์ เวทีสภาปรึกษาฯ แนะเร่งสมานฉันท์ ฟื้นความเชื่อมั่นและการลงทุน เสนอรัฐขาดดุลเพิ่มเป็น 3 แสนล้าน ติดต่อกัน 3 ปี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดต้นทุนขนส่ง


นายจิรายุ วสุรัตน์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวในการสัมมนาเรื่อง นโยบายเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้รัฐบาลพันทาง... จะไปไหวหรือไม่ ซึ่งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดขึ้นว่า ภาคการเมืองควรจะมีความสมานฉันท์โดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และนำไปสู่การเดินหน้านโยบายการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และอยากเสนอให้รัฐบาลจัดทำงบประมาณขาดดุลอีก 1 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 3 แสนล้านบาท ติดต่อกัน 3 ปี เพื่อนำเงินดังกล่าวไปลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และพัฒนาเศรษฐกิจระดับรากหญ้า

นายจิรายุ กล่าวว่า ตอนนี้ การลงทุนในการวางระบบน้ำทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตร และเร่งรัดการสร้างพลังงานทดแทนเป็นเรื่องสำคัญ หากรัฐบาลดำเนินการในเรื่องนี้เชื่อว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจในปี 2551 ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 56%

ทั้งนี้ เชื่อว่าการทำงบประมาณขาดดุล 3 แสนล้านบาทที่มาจากการกู้เงินในระบบเพิ่มจะไม่ส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง เพราะจะทำให้ยอดหนี้สาธารณะเพิ่มจาก 37% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) ในปัจจุบัน เป็น 40% ของจีดีพี แต่ในทางกลับกัน งบประมาณที่อัดฉีดเข้าระบบจะกลับคืนมาในรูปของยอดภาษีที่สูงขึ้น

ขณะนี้ประเทศไทยถูกจัดอันดับเรตติ้งเท่ากับไนจีเรียแล้ว ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งสร้างความสมานฉันท์ และต้องขาดดุลเพิ่มขึ้นเพื่อนำเงินไปลงทุน รวมถึงการให้ความสำคัญ โลกใหม่ คือการหันมาทำการค้า กับประเทศอาเซียนด้วยกัน เพื่อลดผลกระทบที่มาจากเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังถดถอย นายจิรายุ กล่าว

นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักเขียน กล่าวว่า รัฐบาลควรนึกถึงภาคประชาชนเป็นหลักใหญ่ ในที่สุดแล้วไม่ว่าพรรคการเมืองไหนจะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลก็อยู่ได้ไม่ครบเทอม หรืออย่างกรณีที่บอกว่าผู้ใหญ่จัดตั้งรัฐบาลได้ ถามว่าผู้ใหญ่ได้นึกถึงคนข้างล่างอย่างแท้จริง หรือไม่ ตอนนี้ผู้ใหญ่ที่ว่านี้ต้องการใช้พลังประชาชนไปขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ตอนนี้เชื่อว่า คนเริ่มรู้ทันและไม่ต้องการถูกใช้อีก จึงน่าจะปล่อยให้แก้ไขปัญหาเองก่อนและภาคประชาชนจะคอย จับตามอง

นายวีรชัย วงศ์บุญสิน กรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัญหาระยะสั้นที่ต้องการให้รัฐบาลเข้มาแก้ไข ได้แก่ การพัฒนาภาคการเกษตร และเร่งรัดการลงทุนเพื่อเปลี่ยนระบบโลจิสติกส์ทั้ง น้ำ บก อากาศ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตให้ภาคเอกชน เนื่องจากปัจจุบันเอกชนไทยยังมีต้นทุนทางด้านระบบขนส่งสูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามและจีนถึง 20%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214631

news15/01/08

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 15, 2008 1:23 pm
โดย chartchai madman
ธาริษาคำราม ไม่หวั่นเงินเฟ้อ ลุ้นคงดอกเบี้ย

โพสต์ทูเดย์ ธปท. ยืนกรานเงินเฟ้อยังไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจ เหตุยังไม่เห็นผลกระทบ ระบุ กนง. 16 ม.ค. นี้จะชั่งน้ำหนักคู่กับการขยายตัว


นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แม้ภาวะราคาน้ำมันแพงในช่วงนี้จะเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อ แต่ขณะนี้ประเด็นเงินเฟ้อยังไม่เป็นปัญหา เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งกลัวไปก่อน และราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราว ดังนั้น เงินเฟ้อขณะนี้จึงไม่ใช่ประเด็นที่น่าจะกังวลไปก่อนล่วงหน้า เนื่องจาก ธปท.ดูแลใกล้ชิดอยู่แล้ว

นางธาริษา กล่าวว่า ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นนั้น ขณะนี้มันยังไม่เกิดผลกระทบระลอกสองต่อภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น ไม่ควรตกใจ

เอาไว้ถึงเวลาค่อยมาดูกันอีกครั้ง แต่ตอนนี้เราอย่าตกใจไปก่อน เพราะมันยังไม่เกิด ส่วนราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นตอนนี้น่าจะเป็นเพราะคนตกใจไปก่อน คิดว่าอะไรๆ ก็ต้องขึ้น เป็นเพียงการคาดการณ์ไปก่อนเท่านั้นเอง ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว

นางธาริษา กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบาย การเงิน (กนง.) ในวันที่ 16 ม.ค. ที่จะถึงนี้ จะพิจารณาว่าเรื่องอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดูแลเงินเฟ้ออะไรมีปัญหามากกว่ากัน และมีความสำคัญมากกว่ากัน จึงต้องพิจารณาความเสี่ยงทั้งหมด

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ถ้า ธปท.ไม่ห่วงเงินเฟ้อเป็นไปได้ที่จะคงดอกเบี้ย

ทั้งนี้ ธปท.จะมีการประมาณการเศรษฐกิจใหม่ในวันที่ 25 ม.ค. นี้ จากที่ประเมินไว้ว่าปีนี้เศรษฐกิจจะโต 4.5-6% เงินเฟ้อทั่วไป 1.5-2.8% เงินเฟ้อพื้นฐาน 1-2%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214633

news15/01/08

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 15, 2008 2:29 pm
โดย chartchai madman
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดหุ้นไทยปลายปี มีโอกาสแตะ1,000จุด

15 มกราคม พ.ศ. 2551 14:10:00

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงกับความผันผวนของตลาดทุนโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังเชื่อหลังสถานการณ์การเมืองในประเทศคลี่คลาย การบริโภค-ลงทุนฟื้น ดันดัชนีปลายปีมีสิทธิแตะ1,080จุด

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด วิเคราะห์แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ว่า จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดทุนโลกอย่างต่อเนื่องจากในปีที่ผ่านมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยแนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้าหรือในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ นอกจากปัจจัยต่างประเทศ ประกอบด้วยความปั่นป่วนทางการเงิน เนื่องจากตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ในสหรัฐมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปในปีนี้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ราคาน้ำมัน

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยร่วงลงไปมากเมื่อเทียบกับบรรดาตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาคจากการได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง และการที่นักลงทุนต้องการรอความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ส่งผลให้คาดว่า หากปัจจัยที่เป็นข้อกังวลของนักลงทุน ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศคลี่คลายไปในทิศทางที่ชัดเจนขึ้น ย่อมจะส่งผลให้มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาในตลาดได้อีกครั้ง

นอกจากปัจจัยทางการเมืองแล้ว การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยจะขึ้นอยู่กับการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ความคาดหวังเชิงบวกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคและนักลงทุนหลังสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจน น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในปีนี้แทนที่การส่งออก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงจากปัญหาทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และทิศทางการแข็งค่าของเงินบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประมาณการการขยายตัวของจีดีพีภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันที่แตกต่างกัน โดยประเมินผลกระทบราคาน้ำมันแบ่งเป็น 3 กรณี คือ กรณีพื้นฐาน โดยให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2551 อยู่ภายในช่วงร้อยละ 4.5 กรณีมุมมองเชิงบวก เป็นกรณีที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนในตลาดหุ้นมากที่สุด ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นในอัตราที่ไม่รุนแรงนัก

โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์มีค่าเฉลี่ยประมาณ 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อัตราเงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.0 คาดว่าจีดีพีของไทยจะขยายตัวค่อนข้างดี คือประมาณร้อยละ 5.2 กรณีเลวร้าย เป็นกรณีซึ่งจะกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นโดยรวม และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนมากที่สุด หากราคาน้ำมันมีค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปีนี้ การเติบโตของจีดีพีอาจจะต่ำลงมาอยู่ในช่วงร้อยละ 4.0 โดยในกรณีนี้คาดว่าอัตราเงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นสู่ร้อยละ 4.0

อย่างไรก็ตาม หากปัจจัยที่เป็นข้อกังวลของนักลงทุน ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศมีการคลี่คลายไปในทิศทางที่ชัดเจนขึ้น ย่อมจะส่งผลให้มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาในตลาดได้อีกครั้ง ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทยมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มที่อยู่อาศัย กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม คาดการณ์ระดับเป้าหมายของดัชนีหุ้น ณ ปลายปี 2551 จะอยู่ที่ระดับ 1,080 จุด
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/1 ... sid=220297

news16/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 16, 2008 9:26 pm
โดย chartchai madman
บอร์ด กนง.มีมติให้คงดอกเบี้ยที่ 3.25% กังวลภาวะต้นทุนผลัก-ราคาสินค้าพุ่ง  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
16 มกราคม 2551 14:44 น.
 
 บอร์ด กนง.มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 3.25% เพื่อดูทิศทางเงินเฟ้อ ชี้ราคาน้ำมันแพง และเศรษฐกิจโลกถดถอย ยังแป็นตัวแปรสำคัญ พร้อมระบุ ภาวะต้นทุนผลัก และราคาสินค้าพื้นฐานพุ่ง กำลังเป็นตัวแปรกดดันที่สำคัญ
     
      วันนี้ (16 ม.ค.) นางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันนี้ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร 1 วัน หรืออัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับ 3.25% ต่อปี
     
      ทั้งนี้ กนง.มองว่า อุปสงค์ในประเทศเริ่มมีการฟื้นตัว ทั้งจากการบริโภคและการลงทุนรวมถึงการส่งออกที่ยังขยายตัวดี แต่แนวโน้มราคาน้ำมัน และโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะชะลอตัวในระยะต่อไป อาจมีผลกระทบเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะด้านเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากราคาน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่สูงขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก็จะปรับตัวสูงตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัว และการส่งผ่านต้นทุน แต่อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก็ยังอยู่ในเป้าหมายเดิมตลอด 8 ไตรมาสข้างหน้าที่ระดับ 1-2%
     
      ราคาน้ำมันจะยังปรับตัวสูงขึ้นอีกระยะหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็ครึ่งแรกของปีนี้ แต่ก็เชื่อว่าจะมีผลต่อเงินเฟ้อในครึ่งปีหลังไม่มากนัก นางสาวดวงมณี กล่าว
     
      ก่อนหน้านี้ นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการ กนง. กล่าวว่า การประชุมวันนี้เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ คือ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.25% ไม่มีอะไรตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีความเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชะลอตัว และราคาน้ำมันที่พูดกันมา 5-6 เดือนแล้ว
     
      นายจักรมณฑ์ ประเมินว่า ราคาน้ำมันยังมีโอกาสปรับขึ้นในปี 2551 เฉลี่ยทั้งปีน่าจะอยู่ประมาณ 80 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ซึ่งราคานี้ก็จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกพอสมควร แม้เงินเฟ้อจะขึ้นมาระดับหนึ่งแล้วแต่ยังอยู่ในกรอบประมาณการของ ธปท.
     
      ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2551 คาดว่า จะดีกว่าปี 2550 โดย GDP ปี 2551 น่าจะขยายตัวอยู่ประมาณ 4.5-5.5% จึงไม่ห่วง Growth มาก และเป็นเหตุผลให้ดอกเบี้ยไม่ขยับ
     
      สำหรับเรื่องค่าเงินบาทพยายามที่จะดูแลให้เคลื่อนไหวไปตามภูมิภาค ไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป ซึ่งขณะนี้พยายามดูแลอยู่ แต่จะไม่ดูแลให้อ่อนหรือนิ่ง แต่ถ้าสกุลอื่นแข็งค่าก็ต้องปล่อยให้บาทแข็งค่าตามไปด้วย ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000006310

news17/01/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 17, 2008 2:26 pm
โดย chartchai madman
ของเล่นไทยขายดีหลังจีนเดี้ยง

โพสต์ทูเดย์ ผู้ผลิตของเล่นไทย สบช่องเพิ่มยอดขายไม่ต่ำกว่า 5% หลังจีนคู่แข่งรายสำคัญยังคงเจอวิกฤตเรียกคืนของเล่นปนเปื้อนสารพิษนับล้านชิ้น


นายอมรชัย นาคศุภมิตร อุปนายกสมาคมผู้ผลิตของเล่นไทย เปิดเผยถึงกรณีที่จีนเรียกคืนของเล่นนับล้านชิ้น หลังพบว่ามีการปนเปื้อนสารพิษในสีทาของเล่น และมีการตรวจเข้มสินค้าที่จะส่งออกมากขึ้นว่า เป็นโอกาสที่ทำให้ผู้ผลิตในไทยมียอดสั่งซื้อจากตลาดหลักอย่างสหรัฐเพิ่มขึ้น โดยในปลายปีที่แล้วมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างเห็น ได้ชัด

สาเหตุมาจาก ผู้ซื้อต้องการกระจายความเสี่ยง เพราะการที่จีนเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าก่อนส่งออก ทำให้สินค้าหลายชนิดไม่สามารถส่งมอบได้ทันกับความต้องการ

ทั้งนี้ เชื่อว่ายอดส่งออกของเล่นในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น 5% จากมูลค่าการส่งออกประมาณ 8-9 พันล้านบาท ในปีที่แล้วซึ่งติดลบ 4%

สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แม้จะถือเป็นปัจจัยเสี่ยงแต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะ ผู้ผลิตทำสัญญากำหนดค่าเงินที่ตายตัวไว้แล้ว โดยส่วนใหญ่กำหนดค่าเงินไว้ที่ 32 บาท/เหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ไม่สามารถประมาทคู่แข่งที่สำคัญอย่างจีนได้ แม้จะอยู่ในช่วงขาลง แต่เชื่อว่าจีนมีศักยภาพในการฟื้นตัวได้เร็วภายใน 2 ปี เพราะได้เปรียบด้านราคา ผู้ผลิตจึงต้องปรับตัวเพื่อรับมือ และสร้างความแข็งแกร่งเพื่อให้อยู่รอดได้อย่างยั่งยืน เพราะต้นทุนราคาวัตถุดิบทั้งเคมีภัณฑ์ พลาสติก ผ้า เหล็ก ไม้ และ ยางพาราปรับเพิ่มขึ้นกว่า 10% ตั้งแต่ปีที่แล้ว

สมาคมได้วางนโยบายคือ พยายามชักจูงให้แต่ละคนสร้างแบรนด์ของตัวเองและสร้างมูลค่าเพิ่มรวมทั้งมีการคิดค้นฟังก์ชันใหม่ๆ ให้กับของเล่น จะได้มีปัจจัย ที่ดึงดูดลูกค้าและสามารถแข่งขันได้ นายอมรชัย กล่าว

ตลาดส่งออกของเล่นหลักของไทยยังคงเป็นสหรัฐ โดยมีการส่งออกของเล่นประเภทสื่อการเรียนการสอนและการพัฒนาเด็กเล็กตั้งแต่วัย 6 ปีลงมา ส่วนการขยายตลาดใหม่ๆ ยอมรับว่าค่อนข้างยากเพราะเศรษฐกิจของหลายประเทศซบเซา

นายอมรชัย ระบุว่า ตลาดของเล่นในประเทศยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่มั่นใจว่าจะมียอดขายลดลง เพราะยอดการนำเข้าของเล่นลดลงประมาณ 20-30% ซึ่งการนำเข้าที่ลดลงดังกล่าว ยังเป็นดัชนีชี้วัดได้ว่าเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215150

news18/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 18, 2008 7:44 pm
โดย chartchai madman
ธปท.เผยทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มอยู่ที่8.96หมื่นล้าน$

18 มกราคม พ.ศ. 2551 15:47:00

ธนาคารแห่งประเทศไทยเผยทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ วันที่ 11 ม.ค. เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8.96 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานตัวเลขทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไทย ณ วันที่11 ม.ค.อยู่ที่ 8.96 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 8.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ขณะเดียวกัน ณ 11 ม.ค. ฐานะฟอร์เวิร์ดสุทธิของไทย อยู่ที่ +2.04 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก +1.86 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ 4 ม.ค.
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/1 ... sid=221535

news18/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 18, 2008 8:04 pm
โดย chartchai madman
แบงก์คาด ศก.ไทยปีนี้โตได้แค่ 4% แนะลด ดบ.กระตุ้นการบริโภค

โดย ผู้จัดการออนไลน์
18 มกราคม 2551 12:23 น.

 แบงก์ต่างประเทศ มองภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ คาดจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคการส่งออก ส่งผลให้จีดีพีโตได้แค่ 4% แนะลดดอกเบี้ยตามทิศทาง เฟด เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น และกระตุ้นบริโภค
     
      ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) คาดเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะอยู่ที่ 4% ต่ำกว่าที่ทางการคาด เนื่องจากมองว่าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อภาคการส่งออก และการเมืองหลังการเลือกตั้งยังไม่ชัดเจน ประกอบกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งค่าเงินบาทจะแข็งค่าต่อเนื่องทดสอบระดับ 32.50 บาท/ดอลลาร์ ก่อนอ่อนค่าในช่วงครึ่งหลังของปี
     
      น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) กล่าวในการสัมมนา เศรษฐกิจโลกปี 51 โดยระบุว่า กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรจะใช้นโยบายการเงินเข้ามากระตุ้นในช่วงที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่เข้ามาดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในทิศทางเดียวกับธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพราะขณะนี้เงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เนื่องจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะราคาน้ำมัน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่แล้ว และเป็นปัญหาเดียวกับทั่วโลก
     
      การลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นให้ภาคเอกชน และผู้บริโภคมั่นใจและใช้จ่ายมากขึ้น เพราะกว่าที่รัฐบาลใหม่ที่เข้ามา และสามารถดำเนินนโยบายด้านการคลังได้ก็คงเกิดขึ้นในราวไตรมาส 2/2551 เป็นต้นไป ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณรายจ่าย เพื่อหวังกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น
     
      สำหรับค่าเงินบาท มองว่า ครึ่งปีแรกยังคงแข็งค่าตามเงินสกุลอื่นๆ ของโลก เนื่องจากแนวโน้มเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่าลง คาดว่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าทดสอบระดับ 32.50 บาท/ดอลลาร์ แต่คาดว่าจะเห็นเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2551
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000007280

news18/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 18, 2008 9:07 pm
โดย chartchai madman
ฝรั่งทิ้งหุ้นหอบเงิน2หมื่นล้านกลับ "บาท"ไม่สะเทือน3เดือนแข็งทะลุ33

แบงก์ชาติจับตาเงินบาทใกล้ชิด ยอมรับต้องแทรกแซง "ซื้อเวลา" เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ยืนยันไม่ฝืนตลาด พร้อมมีเครื่องมือใหม่-ข้อมูลเรียลไทม์มั่นใจดูแลได้ ระบุตลาดมองต่างมุม "ดอลลาร์ สไมล์" มีทั้งแข็งและอ่อน ขณะที่นักค้าเงินฟันธงภายใน 3 เดือนบาทแข็งทะลุ 33 บาทแน่ ส่วนต่างชาติทิ้งหุ้นหอบเงินกลับบ้านกว่า 1.9 หมื่นล้าน

แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ต่อกรณีประเด็นการดูแลค่าเงินบาทของ ธปท. ที่ถูกมองว่าทำให้ตลาดเดาทิศทางได้ว่า ในระยะสั้นเงินดอลลาร์ค่อนข้างชัดเจนว่าจะอ่อนค่าลงอีก ดังนั้นเงินบาทก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นเช่นกัน ซึ่งทั้งตลาดก็มองไปในทิศทางนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในระยะกลางมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูงยากจะคาดการณ์ว่าเงินดอลลาร์จะแกว่งไปทิศทางไหน

โดยขณะนี้ตลาดมองทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐว่ามีโอกาสเกิดขึ้นใน 2 ทิศทางที่เรียกว่า ดอลลาร์สไมล์ (dollar smile) กล่าวคือ เงินดอลลาร์มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างแกว่งขึ้นลง ดังนั้นค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าขณะนี้ก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ คาดกันว่าอาจเห็นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นช่วงไตรมาสที่สามหรือไตรมาสที่สี่ หรืออาจเป็นช่วงปลายปีก็ได้ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ ธปท.ต้องติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด และหากเกิดความผันผวนก็ต้องเข้าแทรกแซง และดูแลให้ค่าเงินบาทปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อ "ซื้อเวลา" ให้ภาคเศรษฐกิจต่างๆ ปรับตัวได้

"ธปท.ยืนยันว่าไม่ได้ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสนับสนุนภาคส่งออกเพียงอย่างเดียว โดยคำนึงถึงเศรษฐกิจส่วนรวม และมีนโยบายชัดเจนว่า จะดูแลให้เงินบาทเกาะกลุ่มไปกับสกุลเงินในภูมิภาค ไม่ฝืนกระแสตลาด เพราะดัชนีค่าเงินบาทจะสะท้อนถึงขีดความสามารถแข่งขันทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก"

ส่วนค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปแตะ 30 บาท/ ดอลลาร์ เหมือนกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์หรือไม่นั้น แหล่งข่าว ธปท.ระบุว่า ขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์จะร่วงลงไปอีกหรือไม่ แต่สิ่งที่ ธปท. ดำเนินการได้ คือ ดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถดูแลได้ เพราะมีเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินเพิ่มขึ้นตามกฎหมายใหม่

นอกจากนี้ ธปท.ยังได้ปรับปรุงเกี่ยวกับการรายงานข้อมูลเงินทุนไหลเข้า โดยหากมีเงินทุนไหลเข้าตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป สถาบันการเงินจะต้องรายงานข้อมูลให้ ธปท.ทราบ เป็นการปรับปรุงระบบการรายงานข้อมูลให้เป็นเรียลไทม์ สามารถทราบการเคลื่อนไหวของเงินทุนได้ทันที

ขณะที่นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงการหารือกับนายกรัฐมนตรีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (ศุกร์ที่ 11 ม.ค.) ว่า นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ทำอยู่เป็นแนวทางเหมาะสมแล้ว และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ไม่ได้แข็งมากกว่าเงินสกุลอื่นๆ

3 เดือนบาทแข็งทะลุ 33 บาท

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารธุรกิจ ตลาดทุนธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มค่าเงินบาทระยะนี้ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยหลักๆ มาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐที่กำลังอยู่ในเทรนด์การอ่อนค่าตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย ประกอบกับผู้ส่งออกได้เร่งขายดอลลาร์ ซื้อเงินบาทล่วงหน้า

โดยช่วงนี้ธนาคารได้แนะนำลูกค้าผู้ส่งออกให้ป้องกันความเสี่ยงด้วยการซื้อเงินบาทล่วงหน้าไว้ประมาณ 6 เดือน เพราะยังมองว่าเงินบาทยังคงจะแข็งค่า นอกจากจะมาจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าแล้ว การส่งออกก็ยังน่าจะยังไปได้ดีทำให้ยังมีเงินดอลลาร์ไหลเข้ามา ขณะการนำเข้าที่เคยมีการคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นนั้นก็ยังไม่แน่นอนก็ยังดูความชัดเจนทางการเมืองก่อนว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้และมีโครงการลงทุนต่างๆ เพียงใด

"จากนี้ไปประมาณ 3 เดือนเงินบาทคงหลุดระดับ 33 บาท/ดอลลาร์แน่นอน มองแนวรับสำคัญเงินบาทไว้ที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการเข้าดูแลของแบงก์ชาติจะมากเพียงใด"

นายธิติกล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้น 1.7% ขณะที่ดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้น 0.7% เปโซฟิลิปปินส์แข็งขึ้น 1.8% หยวนแข็งขึ้น 0.7% ริงกิตมาเลเซียแข็งขึ้น 1.5% ดอลลาร์ไต้หวันแข็งขึ้น 4% ยูโรแข็งขึ้น 1.7% และเงินเยนแข็งขึ้น 3.4% ตามการทำ unwind carry trade ที่มากขึ้นในช่วงที่เงินดอลลาร์อ่อนค่า

นักค้าเงินจากธนาคารไทยธนาคาร กล่าวว่า หากเทียบการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทกับสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค ยังถือว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไม่มาก แต่บาทก็ยังอยู่ในแนวโน้มที่แข็งค่าขึ้น โดยไทยธนาคารให้กรอบการขึ้นลงจากระดับปัจจุบันบวกลบ 0.33 บาท/ดอลลาร์

"ตอนนี้แนะนำลูกค้าถ้าเป็นผู้ส่งออกก็ให้ซื้อเงินบาทเก็บไว้ดีกว่า ส่วนผู้นำเข้าก็ทยอยทำรายการตามออร์เดอร์เพราะยังไงเงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นอีก แต่จะมาก เพียงเราต้องรอดูนโยบายแบงก์ชาติว่าจะเข้ามาดูแลมากเพียงใด"

หอบเงินออกไม่สะเทือน

นักค้าเงินกล่าวว่า ที่ค่าเงินบาทไม่ได้ปรับตัวอ่อนค่าลง แม้ปรากฏว่าตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมานักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ขายสุทธิออกมา คาดว่าเพราะนักลงทุนยังไม่ได้แลกเงินและนำเงินออกไป เพราะตามเกณฑ์ ธปท.นักลงทุนที่นำเงินเข้ามาซื้อหุ้นสามารถฝากเงินไว้ในบัญชีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อหุ้น (SNS)ได้โดยไม่จำกัดระยะเวลาที่ต้องแลกเงินออกไป

นักค้าเงินอีกรายกล่าวว่า แม้นักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ฯมีการแลกเงินที่ขายสุทธิออกไปทั้งหมด ที่มีการขายสุทธิประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท ก็จะไม่ทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวมากนัก เพราะเป็นระดับ ที่ ธปท.สามารถดูแลได้ เห็นจากระดับการแทรกแซงของ ธปท.ตั้งแต่ปลายปีก่อนจนถึงต้นปีนี้เฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 1,000 ล้านดอลลาร์

"ตอนนี้ดูลักษณะการเข้าแทรกแซงของแบงก์ชาติก็ค่อยๆ ทำให้เงินบาทไม่แข็งค่าเร็วเกินไป แต่ถ้าจะดูแลให้ได้อย่างนี้ตลอดจะต้องใช้เงินไม่น้อย"

นักค้าเงินกล่าวว่า การที่เงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงเนื่องจากนักลงทุนกังวลมากขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของสหรัฐ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25-0.50% จากระดับ 4.25% ในปัจจุบัน

และในการประชุมวันที่ 29-30 ม.ค.นี้ หลังจากปรับลดมาแล้วรวม 1% ตั้งแต่กลางเดือน ก.ย. เป็นต้นมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากสหรัฐเผชิญปัจจัยลบต่างๆ อาทิ ภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัยที่ย่ำแย่สุดในรอบ 50 ปี, อัตราการจ้างงานในระดับต่ำ, ข้อมูลการผลิตย่ำแย่ และความไม่เต็มใจในการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์, ความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงภาวะขาดทุนและขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงินต่างๆ ในสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม เฟดได้แถลงว่า จะปรับเพิ่มปริมาณการประมูลวงเงินกู้ในเดือน ม.ค.สู่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ภายใต้วงเงินประมูลใหม่เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระดับธนาคารและกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐปล่อยกู้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสอนุมัติการปรับลดภาษีลงอย่างถาวรเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอีกทางหนึ่งนอกเหนือจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ให้ความเห็นว่า ตั้งแต้ต้นปีถึงขณะนี้ (15 มกราคม 2551) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขายต่อเนื่องมาตั้งแต่ตุลาคม-ธันวาคม 2550 ที่ขายสุทธิ 46,000 ล้านบาท, 38,000 ล้านบาท และ 16,000 ล้านบาท ตามลำดับ และเชื่อว่ามีการนำเงินออกไป ทั้งนี้แม้จะนำเงินออกไปบาทก็ยังแข็งค่าอยู่ เพราะไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201

news18/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 18, 2008 9:28 pm
โดย chartchai madman
ธุรกิจชี้ไตรมาส1อึมครึม! + สินค้าอุปโภค-บริโภค/เครื่องใช้ไฟฟ้า-ค้าปลีกยังมีหวัง/โฆษณาน่าห่วง

ธุรกิจประสานเสียงไตรมาส 1 ยังอึมครึมการเมืองไม่ชัดเจน ไลอ้อนชี้สินค้าอุปโภค-บริโภคยังไปได้คาดโต 3-4 % ขณะที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า "โตชิบา" แห่อัดโปรโมชั่นเรียกลูกค้าตั้งแต่ต้นปี ด้านค้าปลีก "ดิ เอ็มโพเรียม" บอกประเมินยากขอดูทีมรัฐบาลก่อน ธุรกิจบันเทิง,อีเวนท์ ยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะธุรกิจโฆษณายอดติดลบในรอบ 8 ปี

ผ่านมาแล้ว 2 สัปดาห์กับปี 2551 หลังพรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมากและเป็นฝ่ายฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ประกอบกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้า ราคาน้ำมัน แก๊สหุงต้ม และปัจจัยลบอื่นๆรอบด้าน ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภค-บริโภค,เครื่องใช้ไฟฟ้า,ค้าปลีก,โฆษณา-บันเทิง ต่างออกมาประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ-การเมือง และความพร้อมในการทำธุรกิจในช่วงไตรมาส 1 ว่าจะก้าวเดินอย่างไร ท่ามกลางความไม่ชัดเจนทางการเมือง

++สินค้าคอนซูเมอร์ยอดซื้อยังพุ่ง

ด้านนายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคภายใต้แบรนด์เปา โคโดโมะ ซิสเท็มม่า กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค หรือคอนซูเมอร์โปรดักส์ไตรมาสแรก คาดว่าจะเติบโตเล็กน้อยเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการเติบโตราว 3-4% แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในขณะนี้หลายคนจะมองว่ายังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับความสับสนทางด้านการเมือง แต่ส่งผลแค่เพียงด้านจิตวิทยาเท่านั้น เนื่องจากสินค้ามีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม แผนการรุกตลาดของไลอ้อน ไม่ได้อิงกับปัจจัยภายนอกเป็นหลัก แม้การเมืองจะส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แต่บริษัทยังคงยึดในเรื่องของประชากรศาสตร์ด้านความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก การใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ โดยยังคงเน้นนวัตกรรมสินค้าเพื่อสุขภาพเหมือนเช่นที่ผ่านมา

+ เครื่องใช้ไฟฟ้าโหมโปรโมตแต่ไก่โห่

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รองประธาน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2551 สถานการณ์ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่าเกือบ 8 หมื่นล้านบาท (ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มภาพ และเสียง (AV): 43,200 ล้านบาท/ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน (HA): 34,000 ล้านบาท) จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากเทียบกับสถานการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะโหมทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตั้งแต่ไตรมาสแรกเพื่อเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค

เช่นเดียวกันกับบริษัท และมีการลอนช์ผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าทำตลาด อาทิ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น ภายใต้คอนเซปท์ "Major Change" โดยชูจุดเด่นในเรื่องของนวัตกรรมที่แปลกใหม่เพื่อเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโตช่วงไตรมาสแรกไว้ที่ 5% โดยแบ่งเป็นธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน (HA) จะมีอัตราการเติบโตที่ 3-5% , ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มภาพ และเสียง (AV) โดยเฉพาะแอลซีดี ทีวี จะมีอัตราการเติบโตเชิงปริมาณมากกว่า 10% และผลิตภัณฑ์กลุ่มไอที (IT) จะมีอัตราการเติบโตที่ตัวเลขสองหลัก

++ค้าปลีกขอรอดูรัฐบาลชุดใหม่

นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ดิ เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ กล่าว ว่า ขณะนี้เป็นการยากที่จะประเมินภาพรวมของไตรมาส 1 ว่าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าคงจะไม่มีอะไรที่แย่ลงอีกแล้ว จากปีก่อนที่ทุกคนทุกฝ่ายต้องประสบปัญหาต่างๆมากมาย รวมทั้งคงต้องรอดูการจัดรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งการที่มีรัฐบาลใหม่ก็สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศได้ในระดับหนึ่ง สิ่งสำคัญที่ตอนนี้รัฐบาลใหม่ต้องจัดการคือเรื่องของเมกะโปรเจ็คท์ ส่งออก นักท่องเที่ยวที่จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมกลับมา

++ธุรกิจอีเวนท์-บันเทิง-โฆษณายังน่าเป็นห่วง

นายวิทวัส ชัยปานี นายกสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทครีเอทีพ จูซจีวัน กล่าวว่า ตอนนี้ทุกอย่างยังต้องรอเรื่องการเมือง ว่าใครจะเข้ามาเป็นนายก ใครจะเป็นรัฐมนตรีที่ดูแลทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องรอดูสถานการณ์อีกไม่เกิน 6 เดือน ว่าบุคคลที่เข้ามาจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศได้มากน้อยแค่ไหน ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมโฆษณามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเพียง 2% ตัวเลขการเติบโตดังกล่าว ถือเป็นตัวเลขที่ติดลบสำหรับอุตสาหกรรม และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ที่ธุรกิจโฆษณาหดตัวเช่นนี้

หากสถานการณ์ทางการเมืองไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและภาพธุรกิจโดยรวมได้ ซึ่งแนวโน้มปัจจุบันเอนเอียงไปในทางลบ จะส่งผลให้อุตสาหกรรมโฆษณาค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยสื่อจะไม่มีการเติบโตและยังคงติดลบเหมือนเช่นปีที่ผ่านมา ส่วนสื่อที่อาจจะขยับตัว น่าจะเป็นสื่อในโรงภาพยนตร์ และสื่อในห้าง (Instore Media) เช่นเดียวกับปีนี้ เพราะถือเป็นสื่อที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และมีความพร้อมในการทำกิจกรรมการตลาดให้กับสินค้าต่างๆ

นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยทางด้านความไม่ชัดเจนทางด้านการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ ได้ส่งผลให้ธุรกิจอีเวนต์ในไตรมาสแรก น่าจะมีมูลค่าลดลง 10% หรือ 200 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าในช่วงเวลาดังกล่าว 2,400 ล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่มการจัดงานอีเวนต์งานบันเทิง และอีเวนต์ของภาครัฐ ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่เป็นอีเวนต์จากการจัดกิจกรรมทางการตลาดยังคงมีการจัดงานอยู่ แต่จะมีการปรับลดสัดส่วนด้านบันเทิงลง เพราะในไตรมาสแรกนี้ประชาชนคนไทยต่างร่วมไว้อาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ของพระพี่นาง

อย่างไรก็ตาม หากภายหลังจากการที่ประเทศไทยได้มีการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีเสียงข้างมากตั้งแต่ 300 เสียงขึ้นไป ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม เชื่อว่าธุรกิจอีเวนต์จะกลับมาเติบโตได้ในปีนี้ ในอัตรา 10-12% จากมูลค่าธุรกิจอีเวนต์ในรอบปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 14,000 ล้านบาท เพราะภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเชื่อว่าจะมีการส่งเสริมการลงทุน การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และการกระตุ้นการจัดงานอีเวนต์โดยเฉพาะในส่วนของการท่องเที่ยวด้วย

ด้านนายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาสแรกของปี ถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจเอ็นเตอร์เทนอยู่แล้ว โดยเฉพาะปีนี้ ไตรมาสแรกธุรกิจบันเทิงต้องมีการเลื่อนกำหนดการออกไป ทำให้มีผลกระทบบ้าง แต่ไม่มาก สำหรับอาร์เอส มีการเลื่อนกำหนดงานออกไปประมาณ 3-4 งาน

สำหรับปีนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ปัจจัยในประเทศ เพราะปัจจัยด้านน้ำมันถือเป็นผลกระทบโดยรวมที่ทุกธุรกิจและทุกประเทศได้รับ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้องค์กรของอาร์เอสปรับตัวจนเข้าที่แล้ว และบริษัทเชื่อมั่นว่าคนไทยยังมีเงินอยู่ เพียงแต่มีการชะลอการตัดสินใจ หากการเมืองยังไม่ชัดเจน ทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบต่อ ประชาชนอาจหมดเงินจริงๆ ซึ่งตรงนั้นจะได้รับผลกระทบหนัก ตอนนี้รอเพียงให้มีการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อให้ทุกอย่างเข้าระบบ ไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหารประเทศ ก็ถือว่าปัญหาต่างๆ จะมีผู้เข้ามาดำเนินการแก้ไข เมื่อทุกอย่างเดินได้ เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามา  
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2288

news21/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 21, 2008 1:52 pm
โดย chartchai madman
ทุนนอกไหลกลับสหรัฐ

โพสต์ทูเดย์ นักเศรษฐศาสตร์ผวาเงินทุนไหลกลับสหรัฐเพื่อเพิ่มทุนสถาบันการเงิน สกัดปัญหาซับไพรม์ลุกลาม ทำเงินบาทผันผวน


น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐ ศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า การทยอยขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปี 2551 มีมูลค่ารวม 26,550 ล้านบาท สะท้อนภาวะที่นักลงทุนต่างประเทศดึงเงินกลับเพื่อเพิ่มทุน หลังสถาบันการเงินและเศรษฐกิจในสหรัฐได้รับผลกระทบจากปัญหาหลักประกันสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยค่า (ซับไพรม์) ทำให้ช่วงนี้การเคลื่อนย้ายเงินทุนอาจเร่งตัวขึ้น

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สภาพคล่องในประเทศไทยยังมีเพียงพอ ไม่ได้เกิดภาวะตึงตัว จึงไม่เป็นปัญหา เพียงแต่การที่นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นก็จะมีผลต่อความเชื่อมั่น เป็นผลในด้านจิตวิทยา ซึ่งไม่ถึงขั้นที่จะเห็นดอกเบี้ยภายในประเทศปรับขึ้น

นายณัฐวุฒิ สัจจพุทธวงค์ นักเศรษฐศาสตร์การเงินอาวุโส กลุ่มบริหารการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการดึงสภาพคล่องกลับสหรัฐ หากสถาบันการเงินในสหรัฐต้องการเงินเพิ่มทุนจากปัญหาซับไพรม์ ซึ่งอาจทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่า แต่คงไม่มาก เพราะปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศเป็นฝ่ายขายหุ้นสุทธิ แต่เงินบาทก็แข็งค่าต่อ เพราะยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัด

ตอนนี้สถานการณ์ในต่างประเทศยังคงมีความผันผวนสูงขึ้น มีความเสี่ยงต่อค่าเงินบาท ฉะนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องระมัดระวัง นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า การขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั่วโลกของสถาบันการเงินสหรัฐที่ขาดทุนจากซับไพรม์นั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อปัญหาลุกลามขึ้นติดต่อกันหลายไตรมาส แต่เชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2550 ที่เพิ่งทยอยประกาศออกมา สถาบันการเงินเหล่านี้จะหาทางรับรู้ส่วนที่สูญเสียได้เกือบทั้งหมด เพราะไม่เช่นนั้นปัญหาก็จะลุกลามเชื่อมไปถึงการลดการจ้างงาน, สินเชื่อบัตรเครดิต, สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ กระทั่งเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยมาก ซึ่งต้องรอดูว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.5% ในปลายเดือนนี้ตามที่ตลาดคาดหรือไม่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215881

news21/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 21, 2008 1:59 pm
โดย chartchai madman
บาทแข็งเกิน ฉุดส่งออกซึม โตไม่ถึง10%

โพสต์ทูเดย์ ส.อ.ท. ชี้ บาทแข็งค่าเร็ว ฉุดส่งออกปีนี้อาจโตไม่ถึง 10%


นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจ และจะส่งผลให้การส่งออกในปีนี้ขยายตัวไม่ถึง 10%

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจประเทศ ทั้งราคาน้ำมันที่พุ่งสูงตั้งแต่ช่วงต้นปี และค่าแรงงานที่มีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี ในแง่ของภาพรวมเศรษฐกิจ ยังมองว่าน่าจะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า ปีที่แล้ว เนื่องจากปีนี้มีความชัดเจนเรื่องการเมือง คาดว่าการลงทุนจากภาคเอกชนจะขยายตัว 5% ส่วนรัฐ 8%

แหล่งข่าวจากวงการ อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หากเงินบาทอยู่ที่ 31-32 บาท/ เหรียญสหรัฐ อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากสุด คือ อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานและใช้วัตถุดิบในประเทศ และพึ่งพาส่งออกเป็นหลัก เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า อาหารเกษตรแปรรูป และอาหารกระป๋อง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215906

news21/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 21, 2008 7:17 pm
โดย chartchai madman
สถาบันในและเทศ จับมือขายหุ้นวันนี้ 2.5 พันล้านบาท ปล่อยให้รายย่อยซื้อ จนยอดสะสมทะลุ 2.3 หมื่นล้านบาท
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 21, 2008

ต่างชาติ และสถาบันในประเทศ กังวลผลกระทบจากวิกฤตซับไพร์ม จะกดดันเศรษฐกิจสหรัฐให้ชะลอตัวรุนแรง จนเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) กดดันหมให้นักลงทุนรายย่อยรับเหมาซื้อหุ้นต่ออีก 2.5 พันล้านบาท ส่งผลยอดขายสุทธิรวมต่างชาติประเดิมปี 2551 ทะลุ 3.0 หมื่นล้านบาท ปล่อยให้นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 23.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่สถาบันในประเทศ 6.3 พันล้านบาท


ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2551
(หน่วย / ล้านบาท)

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 15,308.45 ขาย 12,768.80 รวม ซื้อสุทธิ 2,539.65
สถาบันในประเทศ ซื้อ 4,434.78 ขาย 4,821.83 รวม ขายสุทธิ 387.05
ต่างประเทศ ซื้อ 8,096.10 ขาย 10,248.70 รวม ขายสุทธิ 2,152.60


ยอดสะสม ตลอดเดือนมกราคม 2551 (หน่วย / ล้านบาท)

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 144,671.10 ขาย 120,916.66 รวม ซื้อสุทธิ 23,754.44
สถาบันในประเทศ ซื้อ 48,677.10 ขาย 42,322.35 รวม ซื้อสุทธิ 6,354.75
ต่างประเทศ ซื้อ 57,514.79 ขาย 87,623.97 รวม ขายสุทธิ 30,109.19

ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 144,671.10 ขาย 120,916.66 รวม ซื้อสุทธิ 23,754.44
สถาบันในประเทศ ซื้อ 48,677.10 ขาย 42,322.35 รวม ซื้อสุทธิ 6,354.75
ต่างประเทศ ซื้อ 57,514.79 ขาย 87,623.97 รวม ขายสุทธิ 30,109.19
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news21/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 21, 2008 7:28 pm
โดย chartchai madman
สรุปตัวเลขส่งออกปี 50 โต 17.5% - ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 21, 2008
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บอกว่า มูลค่าการส่งออกของไทยตลอดปี 2550 มีมูลค่าทั้งสิ้น 152,470 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโตกว่าปี 2549 ถึง 17.5% มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ 12.5% โดยเป็นการเติบโตของสินค้าส่งออกทุกหมวด อาทิ สินค้าในหมวดเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม

สำหรับการส่งออกเฉพาะเดือนธันวาคม 2550 มีมูลค่าทั้งสิ้น 13,266 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการขยายตัวที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนการนำเข้าเดือนธันวาคม 2550 ขยายตัว 8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 12,040 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งยอดส่งออกที่มากกว่ายอดนำเข้า ส่งผลทำให้ดุลการค้าเดือนธันวาคม 2550 เกินดุล 1,220 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์บอกว่า สำหรับการส่งออกในปีนี้ เดิมตั้งเป้าจะขยายตัว 10 12.5% แต่ตัวเลขแท้จริงเป็นอย่างไร จะขึ้นอยู่กับการดำเนินงานของรัฐบาลใหม่

สำหรับการส่งออกไตรมาสที่ 1/2551 ยังไม่มีความกังวลแต่อย่างใด เนื่องจากยังมีแรงผลักดันจากการส่งออกที่ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่ต้องจับตาดูไตรมาสที่ 2/2551 ที่การส่งออกอาจจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว และค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยผู้ส่งออกควรที่จะปรับโครงสร้างให้เข้มแข็งมากขึ้น และควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยี

นายเกริกไกรฝากรัฐบาลชุดต่อไปด้วยว่า ควรเร่งสร้างความสมดุลระหว่างผู้ประกอบการและผู้บริโภค และเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้มากขึ้น รวมไปถึงการสนับสนุนให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรี รวมไปถึงการคำนึงถึงความจำเป็นเรื่องกฎหมายคุ้มครองค้าปลีกค้าส่งด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news21/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 21, 2008 8:03 pm
โดย chartchai madman
กูรูหุ้น ทั้งใน+ต่างประเทศ แนะนักลงทุนทำใจรับความผันผวนตลาดหุ้นไทยปีนี้ แต่ยังมั่นใจหุ้นไทยมีอนาคต
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 21, 2008


นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ให้ความเห็นถึงการที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับฐานลงมาอย่างต่อเนื่อง ตามแรงขายของกองทุนต่างชาติ ทำให้ที่ระดับดัชนี 789 - 790 จุด ราคาหุ้นไทยซื้อขายกันที่ P/E ประมาณ 10 - 11 เท่า ซึ่งถูกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ประกอบกับเมื่อประเมินอัตราผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลในปีที่ผ่านมา ในอัตราประมาณ 3% ทำให้เชื่อมั่นว่า หากมีเงินทุนไหลเข้ามาตลาดทุนอีกครั้ง จะมีผลให้แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยปีนี้ มีโอกาสปรับขึ้นไปแตะระดับ 1,000 จุดได้ หรือมี Upside ประมาณ 25%

อย่างไรก็ตาม ทิศทางตลาดหุ้นไทยปีนี้ จะผันผวนมาก ตามปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว และผลกระทบจากวิกฤตหนี้ด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือปัญหาซับไพร์ม กดดันให้ภาคส่งออกไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วย เพราะไทยมีการส่งออกไปสหรัฐ ในสัดส่วนสูงถึง 15% แต่กระนั้น หากใช้สมมติฐานว่า เศรษฐกิจสหรัฐปีนี้สามารถขยายตัวได้ในอัตรา 1% ก็จะประเมินได้ว่า เศรษฐกิจไทยอาจโตได้ในระดับ 5% และมีผลต่อเนื่องให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในปีหน้า ไม่ย่ำแย่ลงไป

ในทางกลับกัน หากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ และวิกฤตซับไพร์มมีผลต่อเนื่องตลอดปีนี้ จนทำให้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐไม่สดใส ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวตามกระแสการไหลเข้าหรือไหลออกของเงินทุนต่างชาติ ก่อนจะเริ่มสดใสในปี 2554 เพราะปกติแล้ว วัฎจักรเศรษฐกิจสหรัฐช่วงที่มีปัญหาในอดีต จะใช้เวลาแก้ไขประมาณ 1 ปีครึ่ง และหลังจากนั้น ก็จะขยายตัวต่อเนื่องได้ถึง 7 ปี

ส่วนสำหรับปัจจัยภายในประเทศ เขาให้ความสำคัญกับแนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะแนวนโยบายด้านตลาดการเงิน ทั้งเรื่องสัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ การแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการเงิน และค้าปลีก-ค้าส่ง รวมถึงร่างพระราชบัญญัติการประกอบอาชีพของคนต่างด้าว เพราะประเด็นเหล่านี้จะมีผลตรงต่อการสร้างความเชื่อมั่น จนทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนโดยตรง และลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

" ตลาดหุ้นเกิดใหม่น่าสนใจกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว ตลาดหุ้นไทยเองก็ต้องดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่างชาติให้ได้ เพราะที่ผ่านมาเงินลงทุนประมาณ 1,500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาลงทุนในไทยเพียง 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1% เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก "

ปัจจุบัน กระแสการไหลของเงินทุนมีมูลค่าราว 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากจำนวนกองทุนทั่วโลก 9.7 พันกองทุน

ด้านนายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี ประเทศไทย และคุณอาชัญ จามพันธ์ ผอ.ฝ่ายปรึกษาการลงทุน ธนาคาร อีเอฟจี สาขาสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ อันดับ 3 ของสวิสเซอร์แลนด์ และ Top 10 ของโลก ตอบตรงกันว่า มีแนวโน้มผันผวนตลอดทั้งปี เนื่องจากสองสาเหตุ

ประการแรก การที่ภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐ และกลุ่มสหภาพยุโรป ชะลอตัวลง และถูกกดดันมากขึ้นจากปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาน้ำมัน และการทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภค กับผลกระทบที่เกิดจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ (Subprime) ซึ่งบานปลายไปสู่ภาคการเงิน และภาคการผลิตจริง ผลักดันให้ธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องปรับกลยุทธ์ในการบริหารนโยบายการเงิน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดอกเบี้ย หรือนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ให้สอดคล้องกันระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อ และการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ จนทำให้เกิดความผันผวนของกระแสเงินทุนที่รวดเร็วขึ้น

ประการที่สอง ปัญหา Subprime ทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาในภาคสถาบันการเงิน จนสถาบันการเงินมีความไม่ไว้วางใจกัน ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อระหว่างกัน สังเกตได้จากการที่ดอกเบี้ยอ้างอิงในการกู้ยืม (LIBOR) ไม่ได้ปรับลดตามดอกเบี้ยนโยบายในระยะสั้น (Fed Funds Rate) ทั้งที่ธนาคารกลางหลายแห่ง นำโดยธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) จะช่วยกันอัดฉีดเงินเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินโลก จนปริมาณเงินในระบบการเงินโลกปัจจุบันทำสถิติสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

นอกจากนั้น การที่ไม่มีใครประเมินออกว่า ผลกระทบที่เกิดจากปัญหา Subprime ได้บทสรุปชัดเจนแล้วหรือยัง จึงทำให้ผู้บริหารกองทุนจำเป็นต้องปรับพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ให้สอดคล้องกับภาวะการณ์ หุ้นซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนการลงทุนมากกว่าตราสารทางการเงินประเภทอื่นๆ จึงถูกปรับลดน้ำหนักการลงทุนมากที่สุด

อย่างไรก็ดี ทั้งคุณมาริษ และคุณอาชัญ ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า หลังจากสถานการณ์โดยรวมกลับสู่ภาวะปกติ และผู้บริหารกองทุนเริ่มประเมินออกว่า ควรจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไร เม็ดเงินจะหวนกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นอีกครั้ง ซึ่งหากให้ประเมินสถานการณ์ในวันนี้ ทั้ง 2 ผู้บริหารกองทุน คาดว่า น่าจะเริ่มเห็นความสดใสในตลาดหุ้นได้ช่วงครึ่งปีหลัง  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news21/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 21, 2008 8:06 pm
โดย chartchai madman
บล.ทิสโก้ยังหวังหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 1,000 จุดหลังปัจจัยบวกรอหนุน
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 21, 2008
บล.ทิสโก้เชื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอ แต่ไม่ ถดถอย

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล. ทิสโก้ กล่าวผ่านรายการ Stock in Focus ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปีนี้อย่างแน่นอน โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียง 1-2% เท่านั้น แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น ถดถอย เพราะรายได้ประชากรสหรัฐฯยังเพิ่มขึ้นจากยอดจัดเก็บภาษีของเงินเดือนที่ยังเพิ่มขึ้น 6-7% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการที่นายเบน เบอร์นันกี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกมาสนับสนุนให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ของสหรัฐฯที่อยู่ในระดับเพียง 2% รวมถึงเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งจะกดดันให้ราคาน้ำมันปรับลดลง ก็ล้วนแต่เป็นสาเหตุสนับสนุนที่ทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงที่จะ ถดถอย น้อยลงได้

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังควรติดตามปริมาณการบริโภคภายในประเทศของสหรัฐฯด้วย เพราะถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯให้ดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้

ชี้เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ส่วนประเทศในเอเชียเอง ก็มีบางประเทศที่พึ่งพาการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศเป็นหลัก และบางประเทศก็พึ่งพาการส่งออกอย่างเต็มที่ เช่น สิงคโปร์ จึงได้รับผลกระทบมากหากเศรษฐกิจของคู่ค้าซบเซาลง ส่วนประเทศไทยเอง ก็พึ่งพาทั้งการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศควบคู่กันไป จึงยังรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจไว้ได้

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของเอเชียก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยตรงมากอยู่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์ต่างชาติก็ยังคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ในเอเชียยังสามารถขยายตัวได้เฉลี่ย 4% (โดยคาดว่าจีนจะมีแนวโน้มโตสูงถึง 10% ขณะที่อินเดียจะขยายตัวได้ 8%) ส่วนประเทศไทยก็สามารถรับมือกับยอดส่งออกไปสหรัฐฯที่ติดลบได้ดีด้วยการหันไปส่งออกในตลาดอื่นมากขึ้นแทน เช่น ประเทศแถบตะวันออกกลางที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น จึงเชื่อว่าในระยะนี้จะมีทิศทางที่ดีขึ้นได้

ต่างชาติยังรอการเมืองในประเทศชัดก่อนตัดสินใจลงทุน

นายไพบูลย์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้มีกระแสคาดการณ์ว่า หากการเลือกตั้งในไทยเกิดขึ้น จะทำให้ความเสี่ยงทางการเมืองลดลงได้ แต่จะเห็นว่าแม้ว่าในขณะนี้จะผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว แต่การจัดตั้งรัฐบาลก็ยังไม่ชัดเจน ทำให้ความเสี่ยงดังกล่าวยังคงมีอยู่ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติยังลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยลง และได้ส่งแรงเทขายออกมามากตลอดช่วงที่ผ่านมา

คาดหุ้นไทยปี 51 พุ่งเพราะ P/E ยังต่ำและกำไรบจ.มีแนวโน้มขยายตัว 20%

นายไพบูลย์กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีระดับ P/E เพียง 10 เท่า ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2551 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากยอดใช้จ่ายของผู้บริโภคที่จะเพิ่มขึ้นหากการเมืองชัดเจนในครึ่งปีหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยบวกที่พร้อมจะสนับสนุนดัชนีหุ้นไทยแล้ว เหลือแต่เพียงปัจจัยกระตุ้นเท่านั้น โดยในระยะนี้จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อหุ้น เพราะจะสามารถซื้อของได้ในราคาถูก โดยเหมาะกับการลงทุนระยะยาว 3-6 เดือน ขณะที่นักเก็งกำไรหรือนักลงทุนระยะสั้นอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของดัชนีได้

แนะติดตามหุ้นพลังงาน-แบงก์-อสังหาฯและหุ้นปันผล

ส่วนหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในขณะนี้ นายไพบูลย์แนะนำว่า ยังเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากสินเชื่อยังสามารถเติบโตได้ ขณะที่ยังมีราคาหุ้นไม่สูงมากนัก และมีแนวโน้มได้รับผลดีมากหากสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งการเมือง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีทิศทางที่ชัดเจนในครึ่งปีหลัง และหากความเชื่อมั่นในการลงทุนเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อเนื่องไปยังกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้มีความน่าลงทุนมากขึ้นได้เช่นกัน

ส่วนหุ้นปันผลนั้น ยังคงสามารถลงทุนได้เพราะเหมาะกับทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะในช่วง 1-2 เดือนนี้ที่จะเป็นการลงทุนในระยะเวลาที่ไม่นานนัก เพราะนักลงทุนจะสามารถรับปันผลได้ในเดือนเมษายน ทั้งนี้ นักลงทุนควรเลือกลงทุนหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลที่ 3% จึงจะคุ้มค่า และควรเลือกหุ้นให้ดีด้วย เพราะราคาหุ้นบางตัวก็มักจะลดลงตามมูลค่าการจ่ายปันผลด้วยเช่นกัน

ยังคงเป้าเดิมที่ 1,000 จุด เพราะปัจจัยบวกรอสนับสนุน

บล. ทิสโก้คาดการณ์ด้วยว่า ดัชนีหุ้นไทยยังสามารถไปได้ถึงระดับ 1,000 จุด ในระดับ P/E ที่ 13 เท่า ซึ่งถือว่ายังไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มโตได้ถึง 20% ขณะที่ดัชนีหุ้นของประเทศอื่นในเอเชียมีระดับ P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 15 เท่า ซึ่งสูงกว่าประเทศไทยด้วย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังควรกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ส่วนจะกระจายมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตนเอง เพราะยังเชื่อว่าดัชนีหุ้นในปีนี้ยังมีความผันผวนต่อไปจากสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน แต่ก็มีโอกาสดีขึ้นได้จากปัจจัยบวกที่รอสนับสนุนอยู่อีกมาก ซึ่งจะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Sto ... fault.aspx

news21/01/08

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 21, 2008 8:09 pm
โดย chartchai madman
ตลาดหุ้นปี 51 โอกาสบนความเสี่ยง
Posted on Monday, January 21, 2008
ในงานสัมมนาทิศทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นปี 51 : โอกาสหรือความเสี่ยง ของงานมหกรรมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ 2551 ปีที่ 6 ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักต่าง ๆ เห็นตรงกันว่า ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกปีนี้ยังคงได้รับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว แต่ไทยควรอาศัยจังหวะเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ดึงเม็ดเงินเข้ามาในไทย

เมื่อโลกหมุนกลับข้างก้าวเข้าสู่ยุค แฮมเบอร์เกอร์ Crisis ที่ต้องอาศัยเศรษฐกิจเอเชียพยุงชาติตะวันตก

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส กล่าวว่า ความเสียหายจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime) ได้สร้างความเสียหายมากกว่าที่คาดกันไว้เดิมว่าน่าจะรุนแรงที่สุดในปลายปี 2550 แต่กลับต่อเนื่องมาจนถึงปี 2551 และส่งผลกระทบไปยังตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น Hamburger Crisis ซึ่งตรงกันข้ามกับในปี 2540 ที่เปลี่ยนจากการที่ชาติตะวันตกต้องนำเงินเข้ามาอุดหนุนเศรษฐกิจของเอเชีย มาเป็นการอัดฉีดเงินจากญี่ปุ่นและตะวันออกกลางเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินของสหรัฐฯแทน คาดกันว่าในปี 2551 นี้ เศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัวได้ถึง 7-8% ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วอยู่ที่ไม่ถึง 2% และของสหรัฐฯน่าจะอยู่ที่ 1%

มูลค่าตลาด (Market Cap) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯเดิมมีสัดส่วน 44% ของตลาดหุ้นทั้งโลก แต่ ณ สิ้นปี 2550 สัดส่วนลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 เช่นเดียวกับมูลค่าการซื้อขายที่ลดลงจสก 56% เหลือ 42% ขณะที่มูลค่าการระดมทุนของบริษัทที่เข้าจดทะเบียนใหม่ (IPO) สูงสุดของโลก 20 ตัว เดิมเคยกระจุกตัวอยู่ในสหรัฐฯ ถึง 8 ใน 20 แต่ในปี 2550 ก็กลับไม่มีหุ้น IPO ที่น่าสนใจเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ

แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วจะอยู่ในช่วงขาลง แต่เงินลงทุนจากทั่วโลกยังคงมีอยู่ และคอยมองหาการลงทุนที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูง จึงนับเป็นโอกาสสำคัญของตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ภูมิภาคที่มีสัดส่วนผลผลิต 30% ของโลก มีส่วนขับเคลื่อนให้ GDP ของโลกเติบโต ประมาณครึ่งหนึ่ง ใช้พลังงานครึ่งหนึ่งของโลก เพื่อเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุด และยังมีเงินสดสำรองสูงถึง 75% ของทั้งโลก ที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยในปีที่แล้วเงินลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินที่ลงทุนในเอชีย (ไม่นับญี่ปุ่น) 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ผู้บริหารบล.เอเซียพลัสยังฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีนโยบายที่ถูกใจคนไทยและต่างชาติเพื่อที่จะดึงเงินมาลงทุนในประเทศได้ และต้องเป็นนโยบายที่รวดเร็วพูดแล้วทได้จริง มีการผลักดันอย่างมีประสิทธิภาพ

เงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยช่วงสั้นเพราะ Yen Carry Trade เชื่อยังมีโอกาสกลับมาในระยะยาว

นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า อยากจะมองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะ ชะลอตัว มากกว่าคำว่า ถดถอย โดยการคาดการณ์การเติบโตของ GDP สหรัฐฯ จากสำนักต่าง ๆ เฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 0.8% ผลกระทบของการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะมีต่อยุโรปมากกว่าในเอเชีย ดังนั้น สกุลเงินต่าง ๆ ของเอเชียเชียจึงแข็งค่ามากกว่าเงินยุโรปเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่แนวโน้มของสินค้าโภคภัณฑ์และสินค้าเกษตรมีความเป็นไปได้ที่จะสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม สาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะมาจากการที่กองทุนเพื่อการเก็งกำไร (Hedge Fund) ที่กู้เงินจากญี่ปุ่น (Yen Carry Trade) ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยถูกเพื่อไปลงทุน ครบกำหนดการชำระเงิน อีกทั้งค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นมากว่า 10% ภายในเวลาเพียง 2-3 เดือนเท่านั้น ทำให้ต้องมีการขายหุ้นในตลาดหุ้นไทย ประกอบกับการดึงเงินส่วนหนึ่งกลับไปยังสหรัฐฯเพื่อเพิ่มทุนให้กับธนาคารและสถาบันการเงินของสหรัฐฯที่ประสบปัญหาสภาพคล่องจากวิกฤติ Subprime

เลขาธิการกบข. มองว่า การประชุมของคณะกรรมการนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 ม.ค. 51 มีความเป็นไปได้ที่จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% หรือ 0.75%

ปัญหา Subprime ระเบิดเวลาที่รอเวลาระเบิดครั้งใหญ่ในปีนี้

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ มองว่า ปัญหา Subprime ที่ทุกฝ่ายประเมินไว้ว่าน่าจะเริ่มดีขึ้นได้ในปีนี้ กลับปรากฏผลที่รุนแรงกว่าที่คิด วงเงินสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่รอการปะทุขึ้นในปีนี้ยังมีมูลค่าสูงถึง 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะสถาบันการเงินชั้นนำต่าง ๆ ก็ลดลงอย่างมาก และมีความพยายามของทางการสหรัฐฯที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯในปีนี้น่าจะลดลงจาก 4.25% เหลือ 3.0-3.25% ในช่วงปลายปี ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันกับอัตราดอกเบี้ยของไทย ทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นได้ในเร็ววัน และมีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อของไทยซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมัน จะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร R/P 1 วัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตในช่วงปี 2546-2549 และอาจเป็นผลกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจต้องลดอัตราดอกเบี้ย R/P ของไทยลงตามไปด้วยก็เป็นได้

ปัญหา Suprime ไม่กินเวลานาน แต่อาจทำให้หลายฝ่ายเจ็บปวด

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ในอัตรา 4 - 4.5% โดยนับจากนี้ไปปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจแทนการส่งออกคือ การลงทุน ที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเร่งผลักดันหลังจากที่ปัญหาการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่ปกคลุมประเทศมานานถึง 2 ปี เริ่มคลี่คลายลงไปตามครรลองของหลักประชาธิปไตย ที่มีการเปิดสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาล และนับเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลจะต้องทำให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นให้ได้ พร้อมกันนี้ยังไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า เศรษฐกิจไทยปีที่แล้วเผาหลอก ปีนี้เผาจริง โดยเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวในระดับที่พอใช้ได้ภายใต้ค่าครองชีพที่สูงขึ้นในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น

สำหรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯเป็นสิ่งที่จะต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกสักระยะ โดยมีความพยายามของทางการสหรัฐฯ ในการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อไม่ให้มูลค่าของสินทรัพย์ลดลงเร็วเกินไป แต่เชื่อว่าการชะลอตัวนี้จะใช้เวลาไม่นานและน่าจะไม่ถดถอยจนทำให้เศรษฐกิจของโลกต้องทรุดตาม เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐฯมีความยืนหยุ่นสูง เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาของการปรับตัวนี้อาจทำให้หลายฝ่ายต้องเจ็บปวดอยู่มาก

คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตยังเตือนให้จับตามองการปรับตัวของบรรษัทข้ามชาติหรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศรวมทั้งไทยที่จะต้องมีการปลดพนักงงานในเดือนมีนาคม เมษายนน 2551 นี้ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติสภาพคล่องในครั้งนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx

news23/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 6:32 pm
โดย chartchai madman
ASP+AYS+KGI+SCIBS แนะเก็บหุ้นพลังงาน+ธนาคาร+ปันผลงาม เข้าพอร์ต เพราะตลาดหุ้นยังไม่สดใส
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008

การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายแบบฉุกเฉิน โดยปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Funds Rate) และดอกเบี้ยมาตรฐาน (Discount Rate) ลงพร้อม ๆ กันในอัตรา 75 Basis points มายืนที่ 3.50% และ 4.00% ตามลำดับ เมื่อคืน เพื่อยุติปัญหาความไม่เชื่อมั่นที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งกดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกทรุดตัว

ในเรื่องนี้ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย (SCIBS) ได้ออกบทวิจัยล่าสุด สรุปสาระสำคัญได้ว่า ความเสี่ยงโดยตรงจากการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ จะมีในวงจำกัด เพราะเมื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ กับเศรษฐกิจไทย จะพบว่า ปัจจุบัน มีความสัมพันธ์น้อยลงจากในอดีต โดยในปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐ มีการขยายตัวต่ำกว่า 1% และมีสัดส่วนประมาณ 14% ในขณะที่มูลค่าการส่งออกของไทยยังคงเติบโตได้ถึง 17%

และยิ่ง FED ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายแบบฉุกเฉินเมื่อคืน คาดว่า จะทำให้ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก มีแนวโน้มทรงตัวขึ้น เนื่องจากความคาดหวังในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมีมากขึ้น และช่วยให้การทรุดตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดน้อยลง คาดว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ น่าจะมีโอกาสปรับฐานต่ำสุดในเดือนนี้ และไม่น่าเกิน 5% หรือไม่หลุด 700 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับการทรุดตัวของตลาดหุ้นไทย ช่วงที่เผชิญวิกฤตต่าง ๆ เพราะตลาดเพิ่งรับทราบผลกระทบจากปัญหาซับไพร์ม และผลกระทบที่เกิดกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐเป็นเดือนแรก

ดังนั้น SCIBS แนะนำ " เก็งกำไร " หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง โดยเฉพาะหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ อย่าง KBANK SCB และ BBL และ " ซื้อสะสม " หุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น PTTEP BANPU EGCO บริเวณดัชนี 700 - 750 จุด เนื่องจากตลาดหุ้นไทย ยังคงเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจลงทุน โดยเฉพาะในประเทศเรื่องมูลค่าที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และราคาหุ้นมีราคาเฉลี่ยต่ำกว่าภูมิภาค นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาสถาบันการเงินอ่อนแอ หรือภาวะฟองสบู่แตก ธุรกิจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือภาคการบริโภค เนื่องจากวัฏจักรเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุด เมื่อครั้งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ไปแล้ว ทำให้มีภูมิคุ้มกันดี พิจารณาได้จากภาคเอกชนส่วนใหญ่มีการก่อหนี้ต่ำ รวมถึงไม่มีการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนั้น เมื่อศึกษาจากเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐมีสัญญาณการชะลอตัวเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ใน 2 รอบที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2533 - 2543 จะพบด้วยว่า มีระยะเวลาประมาณ 9 เดือน และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงได้ 4 - 5%

ด้านฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (KGI) ได้ออกบทวิเคราะห์ ชี้ว่า การลดดอกเบี้ยฉุกเฉินรอบนี้ ไม่น่าส่งผลกระทบให้ค่าเงินบาทแข็ง และ ธปท.จะไม่นำเรื่องนี้มาเป็นปัจจัยปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ที่อ้างอิงจากดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (ดอกเบี้ย R/P) ระยะเวลา 1 วัน ตามสหรัฐแต่อย่างใด ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายตลอดครึ่งปีแรก น่าจะทรงตัว 3.25% แต่ในครึ่งปีหลัง จะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจไทยเอง แต่ประเมินได้ว่า ดอกเบี้ยนโยบาย น่าจะปรับขึ้นได้ 50 basis points สู่ระดับ 3.75%

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นตลอดเดือนมกราคมนี้ KGI เชื่อว่า การรีบาวด์น่าจะเกิดขึ้นในช่วง 3 - 4 วันทำการข้างหน้า ก่อนการประชุม FED ในวันอังคารและวันพุธ ที่ 29 - 30 มกราคมนี้ จึงอยากแนะนำให้นักลงทุนระยะสั้น หาจังหวะขายตามแนวต้าน 767 จุด และ 778 จุด ตามลำดับ แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว การที่ดอกเบี้ยสหรัฐร่วงแรง จะทำให้แนวโน้มราคาโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะทองคำและน้ำมัน ดูดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งราคาปรับตัวลดลงแรงในช่วงที่ผ่านมา เช่น PTT, PTTEP และ TOP ฟื้นตัวก่อนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ และขยายวงไปในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อย่าง KBANK, SCB และ BAY ด้วย

นอกจากนี้ นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงจากภาวะตลาดหุ้นผันผวน น่าจะเข้าซื้อหุ้นปันผล ซึ่งราคาหุ้นเกือบทั้งกระดานมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นมาก หลังดัชนีร่วงแรง โดยเฉพาะ DELTA และ TISCO เพราะฝ่ายวิจัย ประเมินว่า DELTA น่าจะจ่ายปันผล ในอัตราหุ้นละ 1.75 บาท ส่วน TISCO น่าจะอยู่ที่หุ้นละ 2 บาท

สำหรับหุ้นตัวอื่น ๆ ที่น่าสนใจรอง ๆ ลงไป ประกอบไปด้วย SCC ADVANC PSL CCET SCCC TICON TCAP และ LPN เพราะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเป็นส่วนใหญ่

ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา (AYS) บอกว่า คาดหวังการปรับขึ้นของตลาดหลักทรัพย์ จะเป็นเพียงแค่การ Rebound เท่านั้น เนื่องจากหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวช่วงแรก (Early Cycle) ส่วนใหญ่จะมีผลทำให้ตลาดหุ้น Rebound เท่านั้น และจะปรับลดลงต่อ เพราะยังมีความเชื่อว่า จะมีการย้ายเงินทุนจากหุ้นไปตลาดพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนหุ้น นักลงทุนระยะกลาง ถึงระยะยาว ควรถือหุ้นไม่เกิน 50% ต่อไป และแนะนำเพียง Trading Rebound เท่านั้น แต่หากต้องการสะสมหุ้น ควรเลือกหุ้นปันผลดี อย่าง DELTA TISCO SPALI MCS CCET GMMM GRAMMY ADVANC เท่านั้น เพราะน่าจะได้ผลตอบแทนสูงเกิน 5% เมื่อราคาหุ้นยังไม่มีทิศทางปรับตัวเป็นขาขึ้น

ขณะที่ฝ่ายวิจัย บล.เอเชีย พลัส (ASP) ชี้แจงว่า ธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) น่าจะประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 4.00% ลงมาตามการลดดอกเบี้ยของ FED ในการประชุมครั้งถัดไป ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ หลังจากที่ผ่านมา ECB คงดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 7 ครั้งตลอดปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับธนาคารกลางแคนาดา ซึ่งเพิ่งลดดดกเบี้ยนโยบายตาม FED เมื่อคืน ให้ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าลงตามมา เพราะเศรษฐกิจแคนาดาพึ่งพาสหรัฐค่อนข้างมาก

ทั้งนี้ กระแสการลดดอกเบี้ยน่าจะสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยมุมมองของกองทุนต่างประเทศต่างๆ เช่น เมอร์ริล ลินซ์ ยังคงให้การสนับสนุนการลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและสกุลเงินของประเทศเอเชีย รวมถึงภาวะที่ตกต่ำในปัจจุบันทำให้ตลาดหุ้นไทย มีค่า P/E ต่ำมากโดยลงมาอยู่ที่ระดับ 10 เท่า น่าจะเป็นจังหวะเก็บสะสมในหุ้นพื้นฐานกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ นำโดย PTT PTTEP PTTAR TOP BANPU KBANK และ SCB และเก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง อย่าง ITD QH SCCC KEST KGI หรือ BSEC  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news23/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 6:43 pm
โดย chartchai madman
ทีดีอาร์ไอ เตือน ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ อาจกดส่งออกไทยปีนี้ โตไม่ถึง 10% แต่พาณิชย์+อุตฯสิ่งทอคัดค้าน

Posted on Wednesday, January 23, 2008

ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐถดถอยจนส่งผลกระทบไปทั่วโลกขณะนี้เป็นไปตามที่ทีดีอาร์ไอได้ประเมินไว้ และมีทีท่าว่าจะรุนแรงกว่าที่คาดการณ์

ในส่วนของประเทศไทยนั้น นอกจากจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นให้ปรับตัวลดลง จากผลกระทบที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการส่งออกอีกด้วย แม้ไทยจะไม่ได้ทำการค้ากับสหรัฐโดยตรงในสินค้าบางประเภท แต่ประเทศคู่ค้าของไทย อาจได้รับผลกระทบดังกล่าว ส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้าจากไทยลดลง ทำให้คาดว่า การส่งออกทั้งปีอาจขยายตัวไม่ถึง 10%

ดังนั้น เพื่อกระต้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวโดยได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐน้อยที่สุด ผอ.ทีดีอาร์ไอ ได้เสนอแนะให้รัฐบาลชุดใหม่ เร่งเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการลงทุนที่มีการขอส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐจำนวนมากในปีที่ผ่านมา

ด้านนายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่าการส่งออกทั้งปี จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ระหว่าง 10.0 - 12.5% หรือคิดเป็นมูลค่า 165,000 - 169,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมีการลดความสำคัญของตลาดสหรัฐลงมาเหลือ 15 - 16% ในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมา โดยถูกแทนที่ด้วยตลาดอาเซียน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป

นอกจากนี้ ไทยยังเร่งเจาะตลาดใหม่ ๆ เช่น จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง อย่างต่อเนื่อง ช่วยชดเชยตลาดหลักได้ พร้อมกันนั้น กระทรวงพาณิชย์เองพร้อมติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นตลาดที่มีอำนาจการซื้อสูง

อย่างไรก็ดี ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันและเร่งผลักดันการส่งออก เฉลี่ยต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 13,500 - 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงจะทำให้การส่งออกเข้าเป้า

อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของนายเจน นำชัยศิริ ประธานสหพันธ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม กลับมั่นใจว่า อุตสหากรรมสิ่งทอจะไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะมีตลาดอาเซียนเข้ามารองรับแทนตลาดสหรัฐ พร้อมเรียกร้องให้ผู้ส่งออกสิ่งทออย่าตื่นตระหนกกับข่าวเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

โดยตลอดปีนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ ประเมินว่า การส่งออกสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม จะมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยจะมีมูลค่าส่งออกเพิ่มจาก 6,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นมากกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้ กว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจากสิ่งทอ และ 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจากเครื่องนุ่งห่ม
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news23/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 6:54 pm
โดย chartchai madman
นักวิเคราะห์แนะแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยตามเฟด ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บอกว่า ปัญหา Subprime จะส่งผลกระทบต่อปัญหาการเงินและการคลังของสหรัฐฯอีกหลายไตรมาส ซึ่งการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ลดดอกเบี้ยอย่างแรงถึง 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 3.50% จึงถือเป็นการใช้มาตรการที่เหมาะสม และคาดว่าเฟดจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอีก ทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในปีนี้อยู่ที่ระดับ 2.5 - 3% ซึ่งไทยควรลดดอกเบี้ยนโยบายลงตาม ประมาณ 0.25 - 0.5% ภายในช่วงกลางปี เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย และช่วยดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงอีก

นายสมบัติบอกว่า นักลงทุนต่างชาติยังมีโอกาสขายทำกำไรหุ้นไทยออกมาอีกแม้ว่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันจะขายหุ้นออกไปแล้ว 140,000 ล้านบาท แต่หากวัดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสุทธิ หุ้นไทยประมาณ 3 - 4 แสนล้านบาท โดยทางสมาคมจะปรับลดประมาณการณ์ดัชนีหุ้นไทยในปีนี้จาก 1,030 จุด มาอยู่ในระดับ 850 - 900 จุด

เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์บอกด้วยว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ยังไม่จำเป็นต้องหามาตรการมาดูแลตลาดหุ้น แต่ควรให้ข้อมูลพื้นฐานผลกระทบทางเศรษฐกิจและประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ โดยเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/51 ถึงกลางปีนี้

ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.นครหลวงไทย ยอมรับว่า ปัญหา Subprime ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะถูกกระทบไม่มากนัก เพราะมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี เมื่อดัชนีปรับตัวลดลงมากก็จะมีนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้น

ทั้งนี้ ถ้าดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 750 จุด GDP ขยายตัว 4 - 5% ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนขยายตัว 10 - 15% ก็ยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ และถ้าทุกอย่างคลี่คล้ายในทางที่ดีดัชนีก็มีโอกาสที่จะแตะระดับ 800 - 900 จุดได้ ทั้งนี้มองว่า ในเดือนมกราคมตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงสูงสุดแล้ว หลังจากนี้ดัชนีน่าจะเริ่มทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ

นายสุกิจบอกอีกว่า แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% แต่ความผันผวนจากปัญหา Subprime ยังคงมีอยู่ ดังนั้นเชื่อว่า FED จะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมทั้งปีนี้ประมาณ 2 - 3% ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยควรที่จะใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจแทนการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เพราะอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันเพิ่มขึ้นตามต้นทุนราคาน้ำมันเพียงอย่างเดียว โดยมองว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยควรจะมีการลดลงตาม ประมาณ 0.25 - 0.5% ส่วนรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนไทยและต่างชาติ

ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บอกว่า ปัญหา Subprime ที่ลุกลาม มีโอกาสทำให้สถาบันการเงินบางแห่งปิดตัวในอนาคต โดยเชื่อว่าเฟดอาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25-0.50% ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ช่วงสัปดาห์หน้า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการแก้ไขปัญหา แต่สำหรับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ไม่ควรนำการปรับลงอัตราดอกเบี้ยของเฟดมาเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ควรคำนึงถึงปัจจัยเรื่องภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อในประเทศมากกว่า

นายกอบศักดิ์มองว่า ขณะนี้ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยทั้งการบริโภค และการลงทุน เริ่มปรับตัวดีขึ้นมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4/2550 จึงถือว่ามีความพร้อมอย่างมากในการรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแล้ว
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news23/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 6:56 pm
โดย chartchai madman
ธนาคารไทยหนุนเฟดลดดอกเบี้ย ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 23, 2008
นายธิติ ตันติกุลนันท์ ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% คงไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ทันที แต่จะบรรเทาความรุนแรงที่เกิดจากปัญหา Subprime และส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นในสหรัฐฯ ได้ในระดับหนึ่ง และยังเป็นการฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนสหรัฐฯ ในการกู้เงินเพื่อลงทุนและการผ่อนชำระที่อยู่อาศัย โดยคาดว่า การประชุมเฟดสัปดาห์หน้า อาจประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.5%

ส่วนทิศทางดอกเบี้ยในประเทศ นายธิติบอกว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 3.25% จนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากนโยบายการเงินของ ธปท. ยังคงให้ความสำคัญกับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ

ส่วนค่าเงินบาทในปีนี้ ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และปริมาณเงินทุนสำรองของประเทศที่สูงขึ้น 44% จากการแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. รวมทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลอย่างมากในปีก่อน โดยคาดว่าค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ในระดับ 31.5 - 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าใกล้เคียงกับภูมิภาค ขณะที่มาตรการกันสำรอง 30% ยังคงมีประโยชน์ต่อการเก็งกำไรค่าเงินบาท

ด้านนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) บอกว่า เมื่อเฟดลดดอกเบี้ยลง 0.75% แต่หาก ธปท.ไม่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 3.25% ในปัจจุบัน ก็อาจจะทำให้มีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้

ขณะที่นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ยอมรับว่า เฟดปรับลดดอกเบี้ยลงมากเกินคาด หรือถึง 0.75% ซึ่งอาจส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอีก ดังนั้น ผู้ประกอบการควรที่จะกระจายความเสี่ยง โดยการหันไปทำธุรกรรมในสกุลเงินอื่น ๆ ด้วย

นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิช จำกัด (บสก.) เชื่อว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก 0.75% เมื่อคืนนี้ จะเรียกความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจได้พอสมควร และถือเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดในเอเชีย อีกทั้งคาดว่าการประชุมในวาระปกติของเฟดสัปดาห์หน้า อาจจะมีการประกาศปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ส่วนปัญหา Subprime ของสหรัฐฯที่เกิดขึ้น และส่งผลกระทบไปทั่วโลก ยอมรับว่าไทยคงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบได้เช่นกัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx

news23/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 7:39 pm
โดย chartchai madman
อัดเงินลงพื้นที่ 90วัน7แสนล. ขิงแก่จี้เร่งเบิก

โพสต์ทูเดย์ ครม.เร่งเบิกจ่ายงบปี51 กระตุ้นเศรษฐกิจ 3 เดือนแรก อัดสู่ระบบแล้ว 6.8 แสนล้าน


นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน โดยเห็นชอบให้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงิน เพื่อให้ เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการใช้จ่ายงบปี 2551 และงบ เหลื่อมปี พร้อมทั้งเร่งงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ของปีงบประมาณ 2551 มีการเบิกจ่ายไปแล้วกว่า 4.39 แสนล้านบาท คิดเป็น 30% ของงบประมาณในปี 2551 ที่มีทั้งสิ้น 1.66 ล้านล้านบาท สูงกว่าการเบิกจ่ายในช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 10% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเบิกจ่ายที่สูงมากเมื่อเทียบกับในอดีต

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการติดขัดในเรื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับโครงการต่างๆ เช่น ในโครงการมาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งคาดว่าจะมีการเร่งรัดการเบิกจ่ายได้เร็วขึ้นในปี 2551

ทั้งนี้ ยอดการเบิกจ่ายที่ผ่านมาปรากฏว่ามีเงินลงไปในระบบแล้ว 6.82 แสนล้านบาท แยกเป็นงบ ประมาณรายจ่ายปี 2551 จำนวนกว่า 4.39 แสนล้านบาท และงบเหลื่อมปี 2546-2550 อีก 3.96 หมื่นล้านบาท งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 17 แห่ง อีก 2.03 แสนล้านบาท และยังคงเหลือเม็ดเงินอีกกว่า 1.42 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องขับเคลื่อนลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=216323

news23/01/08

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 23, 2008 7:59 pm
โดย chartchai madman
หวังรัฐบาลใหม่ฟื้นเชื่อมั่นอุตฯ

โพสต์ทูเดย์ ฝันร้ายความ เชื่อมั่นอุตสาหกรรมปี50 วูบต่ำสุดรอบ 5 ปี ลุ้นอาการดีขึ้นรับปีใหม่ รัฐบาลใหม่


นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปีนี้คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมจะปรับตัวสูงขึ้นกว่า ปีที่แล้ว เพราะผู้ประกอบการมองว่า แม้ตลาดโลกจะชะลอตัว แต่การเมืองในประเทศคลี่คลายจะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยในภาพรวมขยายตัวได้ดีขึ้น

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ยของปี 2550 อยู่ที่ระดับ 80.9 เป็นค่าดัชนีความ เชื่อมั่น ที่ต่ำสุดในรอบ 5 ปีนับ ตั้งแต่มีการจัดทำดัชนีฯ ในปี 2546

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค. 2550 อยู่ที่ระดับ 79.8 ลดลงจากเดือน พ.ย. ซึ่งอยู่ที่ระดับ 82.3 โดยค่าดัชนีในเดือน ธ.ค. ได้ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา

สาเหตุที่ดัชนีความเชื่อมั่น ภาคอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค. ปรับตัวลดลง เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อ ยอดขายในต่างประเทศปรับตัวลดลงจากเดือน พ.ย. โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก อาหาร พลาสติก เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐอเมริกา

ตลอดจนปัญหาเงินบาทยัง แข็งค่าต่อเนื่องจากเดือน พ.ย. ทำให้ปริมาณการผลิตและผลประกอบการปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับ ผลกระทบจากยอดคำสั่งซื้อและยอดขายที่ลดลงในต่างประเทศ

นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตสำคัญก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้นใน ช่วง 3 เดือน ที่ผ่านมา

โดยรวมความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในด้านต้นทุนยังไม่แข็งแกร่งมากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงจึงไม่สามารถช่วยพยุงดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมในเดือน ธ.ค.ได้ นายอดิศักดิ์ กล่าว

ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า แม้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยในปี 2550 ลดต่ำสุดในรอบ 5 ปี แต่ในปี 2551 มีแนวโน้มค่าดัชนีฯ โดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากประเทศไทยมีรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง และคงจะมีนโยบายที่ชัดเจนออกมา

ทั้งนี้ ปี 2551 การลงทุนจะ ขยายตัวได้ดีกว่าปีที่แล้ว จากการสอบถามประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า หลายกลุ่มยังไปได้ดี ทั้งสินค้าเกษตร สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) จะมีส่วนกระตุ้นอุตสาหกรรมนี้ได้ไม่น้อย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=news&id=216229

news24/01/08

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 24, 2008 9:29 am
โดย chartchai madman
โบรกคัดสุดยอดหุ้นปันผล

โบรกแนะเก็บหุ้นปันผลสูง พื้นฐานซับพอร์ตไม่เสียหาย เจาะตัวเด่นเรียงกลุ่ม ชูหุ้นอิเล็กทรอนิกส์- เดินเรือยังมีอนาคตไกล นำทีมหุ้น DELTA ขึ้นแท่นหุ้นปันผลเด่น จูงมือ PSL และ TISCO ตามติดชาร์ต
    นักวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หุ้นปันผลยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ยังมีความกังวลกับความเสี่ยงจากตลาดหุ้นที่ยังคงมีความผันผวน ซึ่งหากพิจารณาหุ้นปันผลหลายตัวนอกจากจะมีสตอรี่ในเรื่องอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงแล้ว ยังมีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนด้วย
   

news25/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 25, 2008 1:16 pm
โดย chartchai madman
อุ๋ยเตือนซับไพร์มป่วนตลาดเงิน- แนะคงมาตรการ30% เร่งลงทุนเมกะโปรเจ็ก โดย กระแสหุ้น

"ปรีดิยาธร แนะรัฐบาลใหม่หามาตรการรับมือเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย เตือนอย่าเร่งยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เพราะเงินบาทยังแข็งค่ากว่าภูมิภาค เผยเศรษฐกิจอเมริกากระทบหุ้นไทยไม่มาก เหตุเรียลเซ็กเตอร์ยังเดินหน้าต่อไปได้ แนะเร่งลงทุนเมกะโปรเจ็กฟื้นการลงทุนภาคเอกชน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาทางวิชาการเรื่อง "รัฐบาลใหม่ต้องทำอะไร...ต่อไป ?" ว่า สิ่งที่ห่วงและอยากให้รัฐบาลใหม่เตรียมการไว้คือ เตรียมการรองรับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่เกิดจากปัญหาซับไพร์ม ซึ่งจะส่งผ่านผลกระทบมาทางตลาดการเงิน จนทำให้คู่ค้าทางการเงินมีปัญหา ไม่สามารถส่งมอบเงินตามข้อตกลงต่างๆได้ ปัญหาการส่งเงินไม่ได้ จะลามข้ามประเทศ จึงอยากให้รัฐบาลใหม่เตรียมผู้ที่มีความรู้ไว้คอยรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวที่ผ่านทางตลาดการเงินจะกระทบเศรษฐกิจไทยน้อยกว่าประเทศอื่น

ทั้งนี้ มีความกังวลว่ารัฐบาลใหม่จะรีบเร่งยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และอยากให้มาตรการดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไปอีกระยะ เพราะขณะนี้ค่าเงินหยวนของจีนแข็งค่า 13.3% เงินริงกิตของมาเลเซีย 14% และดอลลาร์สิงคโปร์ 13% ซึ่งกำลังแข็งค่าใกล้เคียงกับเงินบาทซึ่งแข็งค่าที่ 15.7% หากค่าเงินสกุลอื่นแข็งค่าใกล้เคียงค่าเงินบาท จึงจะเป็นช่วงเวลาที่สมควรคิดยกเลิกมาตรการกันสำรองได้ดีที่สุด

"การส่งสัญญาณครั้งนี้ เพื่อไม่ให้รัฐบาลใหม่บุ่มบ่ามยกเลิกมาตรการดังกล่าว เพราะไม่ควรดูเฉพาะด้านทฤษฎีเท่านั้น แต่ควรดูทางปฏิบัติด้วย" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

สำหรับผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อตลาดหุ้นไทย เชื่อว่ามีไม่มากนัก เพราะตลาดหุ้นไทยยังมีกลไกบางอย่างปกป้องอยู่บ้าง โดยหากภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงยังเดินหน้าต่อไปได้ ตลาดหุ้นไทยก็ยังเดินหน้าไปได้เช่นกันต่างจากตลาดหุ้นอื่นที่ได้รับผลกระทบมากกว่า

ส่วนปัญหาซับไพร์มของสหรัฐฯนั้น การที่สหรัฐฯซึ่งเป็นประเทศผู้ซื้อสุดท้ายของโลกลดการใช้จ่าย ยอดนำเข้าสินค้าย่อมลดลง ส่งผลกระทบยอดส่งออกทั่วโลกลดลงตามไปด้วย จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ โดยการส่งออกปีนี้จะขยายตัวชะลอลง ประกอบกับรายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น 2-9% ต่างจาก 4-5 ปีที่แล้ว ซึ่งเศรษฐกิจไทยอยู่รอดได้ เพราะรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 20% จึงไม่หวังว่าปีนี้การบริโภคเอกชนจะดีขึ้นมากนัก

อย่างไรก็ตาม หวังว่าการใช้จ่ายของเอกชนในส่วนการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะปิโตรเคมี 11 โครงการประมาณ 200,000 ล้านบาท หากเริ่มต้นทุนได้แม้ 1 ใน 3 และการเป็นโครงการต้นน้ำจะทำให้โครงการปลายน้ำอีก 34 โครงการที่รออยู่ เดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งโครงการเหล่านี้ได้รอการลงทุนมาปีเศษแล้ว เชื่อว่าเดือน มี.ค.นี้ หากมีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการดังกล่าวได้ทั้งหมด จะทำให้การลงทุนปีนี้เติบโตในระดับตัวเลข 2 หลักและอาจจะถึง 20% พร้อมเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะไม่ขวางโครงการเหล่านี้ที่เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวต่อว่า สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องดำเนินการคือ เร่งเปิดประมูลโครงการระบบขนส่งมวลชน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ เร่งการลงทุนภาครัฐในโครงการต่างๆ ที่รออยู่ ผลักดันโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) ที่เริ่มไว้แล้วต่อไป

นอกจากนี้ อยากจะเห็นรัฐบาลใหม่พัฒนาระบบโลจิสติกส์ทั้งระบบรถไฟและทางน้ำ เดินหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (เซาเทิร์นซีบอร์ด) และการจัดสรรทรัพยากรทางน้ำ ขณะที่สิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นอีก ได้แก่ การรับจำนำข้าวสูงกว่าราคาตลาดเหมือนในอดีต การดำเนินโครงการที่เกินกำลังและหมกหนี้ไว้ตามหน่วยงานต่างๆ ส่วนสิ่งที่ควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังคือ เลือกตัวผู้มาแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30%
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO

news25/01/08

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 25, 2008 1:48 pm
โดย chartchai madman
ตลท.ชี้ดัชนีผันผวนยาวถึงปี52- แนะถือบลูชิพ6-12เดือน โดย กระแสหุ้น

ปกรณ์ เผยตลาดหุ้นไทยผันผวนยาวถึงกลางปี 52 ถูกกระทบจากเงินทุนเคลื่อนย้ายที่กังวลซับไพร์ม แต่มั่นใจหากรัฐบาลใหม่บริหารงานดี ฝรั่งไหลเงินกลับมาแน่นอน เพราะหุ้นไทยราคาถูก ด้าน "วิเชฐ" แนะเก็บหุ้นพื้นฐานดีถือยาว 6 เดือน1 ปี เผยสถิติในอดีตหลังวิกฤตเศรษฐกิจดัชนีรีบาวน์กลับมาภายใน 2-4 เดือน

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะผันผวนจนถึงกลางปี 52 เนื่องจากยังมีการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์มที่ยังไม่คลี่คลาย แต่ดัชนีถือได้ว่าปรับลดลงไม่มากนักและอยู่ในอันดับที่ 6 ของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งดีกว่าอีกหลายๆประเทศที่ปรับลดลงค่อนข้างแรง โดยดัชนี ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับลดลงไป 13%

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังคงมีพื้นฐานที่ดี รวมทั้งราคาหุ้นยังถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก ขณะเดียวกันปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนที่ไหลออกไปตั้งแต่ช่วงที่ผ่านมาน่าจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากรัฐบาลชุดใหม่มีการบริหารประเทศได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสถานการณ์ต่างๆคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

เงินทุนกลับเข้ามาลงทุนในไทยอย่างแน่นอน ซึ่งทางตลาดไม่ได้กังวลแม้ว่าตั้งแต่ต้นปีจะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไป 3 หมื่นล้านบาท เพราะเชื่อว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังดี ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน แต่บอกไม่ได้ว่าจะกลับเข้ามาช่วงไหนเพราะคงต้องดูในระยะยาวมากกว่า นายปกรณ์กล่าว

ด้านนายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ในภาวะที่หุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยปรับลดลงรุนแรงนั้น นักลงทุนควรใช้เป็นจังหวะในการซื้อหุ้นพื้นฐานดีราคาถูก ซึ่งปัจจุบันมีหลายหลักทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แต่การลงทุนจะต้องเป็นลักษณะการซื้อและถือระยะยาว 6 เดือนถึง 1 ปี เนื่องจากผลกระทบจากเศรษฐกิจต่างประเทศอาจไม่ได้มีผลโดยตรงกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่มีอัตราการเติบโตดี นอกจากนี้ ยังมองว่าหลังจากที่ปัญหาต่างๆเริ่มคลี่คลายลง ราคาหุ้นจะปรับกลับขึ้นมาสูงอีกครั้งเช่นในอดีตที่ผ่านมาที่ทุกครั้งหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2-4 เดือน ราคาหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว

ส่วนการที่ทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดดอกเบี้ยไปแล้วถึง 0.75% และยังมีแนวโน้มปรับลดลงอีกนั้นย่อมมีผลให้ช่วงห่างระหว่างดอกเบี้ยทั้งในและนอกประเทศมีมากขึ้น และหากทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้ควบคุมระดับอัตราดอกเบี้ยในประเทศให้เหมาะสม ก็อาจจะทำให้เกิดภาวะการไหลเข้าของเงินทุนเป็นจำนวนมาก และสะท้อนผลไปยังค่าเงินบาททำให้มีโอกาสที่จะแข็งค่าเพิ่มขึ้นอีกจากระดับปัจจุบัน

ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมในประเทศถือว่ายังประเมินยาก เพราะปัจจุบันยังไม่มีการวิเคราะห์ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากปัญหาซับไพร์มที่ชัดเจน ซึ่งเรื่องดังกล่าวควรจะต้องให้ผู้ส่งออก แบงก์ชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันก่อนตัดสินใจเรื่องนโยบายดอกเบี้ยในประเทศ

นอกจากนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จะส่งผลบวกหรือลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจเพียงใด ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีความต้องการจะหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้ได้ข้อสรุปเรื่องดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ในส่วนของ ตลท.จะไม่ได้รับผลลบโดยตรง แต่ในส่วนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะประสบปัญหาในการออกขายหุ้นกู้ต่างประเทศซึ่งจะทำได้ยากขึ้นกว่าปกติ
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16