ฝรั่งทิ้งหุ้นหอบเงิน2หมื่นล้านกลับ "บาท"ไม่สะเทือน3เดือนแข็งทะลุ33
แบงก์ชาติจับตาเงินบาทใกล้ชิด ยอมรับต้องแทรกแซง "ซื้อเวลา" เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ยืนยันไม่ฝืนตลาด พร้อมมีเครื่องมือใหม่-ข้อมูลเรียลไทม์มั่นใจดูแลได้ ระบุตลาดมองต่างมุม "ดอลลาร์ สไมล์" มีทั้งแข็งและอ่อน ขณะที่นักค้าเงินฟันธงภายใน 3 เดือนบาทแข็งทะลุ 33 บาทแน่ ส่วนต่างชาติทิ้งหุ้นหอบเงินกลับบ้านกว่า 1.9 หมื่นล้าน
แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ต่อกรณีประเด็นการดูแลค่าเงินบาทของ ธปท. ที่ถูกมองว่าทำให้ตลาดเดาทิศทางได้ว่า ในระยะสั้นเงินดอลลาร์ค่อนข้างชัดเจนว่าจะอ่อนค่าลงอีก ดังนั้นเงินบาทก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นเช่นกัน ซึ่งทั้งตลาดก็มองไปในทิศทางนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในระยะกลางมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูงยากจะคาดการณ์ว่าเงินดอลลาร์จะแกว่งไปทิศทางไหน
โดยขณะนี้ตลาดมองทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐว่ามีโอกาสเกิดขึ้นใน 2 ทิศทางที่เรียกว่า ดอลลาร์สไมล์ (dollar smile) กล่าวคือ เงินดอลลาร์มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างแกว่งขึ้นลง ดังนั้นค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าขณะนี้ก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ คาดกันว่าอาจเห็นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นช่วงไตรมาสที่สามหรือไตรมาสที่สี่ หรืออาจเป็นช่วงปลายปีก็ได้ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ ธปท.ต้องติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด และหากเกิดความผันผวนก็ต้องเข้าแทรกแซง และดูแลให้ค่าเงินบาทปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อ "ซื้อเวลา" ให้ภาคเศรษฐกิจต่างๆ ปรับตัวได้
"ธปท.ยืนยันว่าไม่ได้ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสนับสนุนภาคส่งออกเพียงอย่างเดียว โดยคำนึงถึงเศรษฐกิจส่วนรวม และมีนโยบายชัดเจนว่า จะดูแลให้เงินบาทเกาะกลุ่มไปกับสกุลเงินในภูมิภาค ไม่ฝืนกระแสตลาด เพราะดัชนีค่าเงินบาทจะสะท้อนถึงขีดความสามารถแข่งขันทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก"
ส่วนค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปแตะ 30 บาท/ ดอลลาร์ เหมือนกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์หรือไม่นั้น แหล่งข่าว ธปท.ระบุว่า ขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์จะร่วงลงไปอีกหรือไม่ แต่สิ่งที่ ธปท. ดำเนินการได้ คือ ดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถดูแลได้ เพราะมีเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินเพิ่มขึ้นตามกฎหมายใหม่
นอกจากนี้ ธปท.ยังได้ปรับปรุงเกี่ยวกับการรายงานข้อมูลเงินทุนไหลเข้า โดยหากมีเงินทุนไหลเข้าตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป สถาบันการเงินจะต้องรายงานข้อมูลให้ ธปท.ทราบ เป็นการปรับปรุงระบบการรายงานข้อมูลให้เป็นเรียลไทม์ สามารถทราบการเคลื่อนไหวของเงินทุนได้ทันที
ขณะที่นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงการหารือกับนายกรัฐมนตรีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (ศุกร์ที่ 11 ม.ค.) ว่า นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ทำอยู่เป็นแนวทางเหมาะสมแล้ว และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ไม่ได้แข็งมากกว่าเงินสกุลอื่นๆ
3 เดือนบาทแข็งทะลุ 33 บาท
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารธุรกิจ ตลาดทุนธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มค่าเงินบาทระยะนี้ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยหลักๆ มาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐที่กำลังอยู่ในเทรนด์การอ่อนค่าตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย ประกอบกับผู้ส่งออกได้เร่งขายดอลลาร์ ซื้อเงินบาทล่วงหน้า
โดยช่วงนี้ธนาคารได้แนะนำลูกค้าผู้ส่งออกให้ป้องกันความเสี่ยงด้วยการซื้อเงินบาทล่วงหน้าไว้ประมาณ 6 เดือน เพราะยังมองว่าเงินบาทยังคงจะแข็งค่า นอกจากจะมาจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าแล้ว การส่งออกก็ยังน่าจะยังไปได้ดีทำให้ยังมีเงินดอลลาร์ไหลเข้ามา ขณะการนำเข้าที่เคยมีการคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นนั้นก็ยังไม่แน่นอนก็ยังดูความชัดเจนทางการเมืองก่อนว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้และมีโครงการลงทุนต่างๆ เพียงใด
"จากนี้ไปประมาณ 3 เดือนเงินบาทคงหลุดระดับ 33 บาท/ดอลลาร์แน่นอน มองแนวรับสำคัญเงินบาทไว้ที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการเข้าดูแลของแบงก์ชาติจะมากเพียงใด"
นายธิติกล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้น 1.7% ขณะที่ดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้น 0.7% เปโซฟิลิปปินส์แข็งขึ้น 1.8% หยวนแข็งขึ้น 0.7% ริงกิตมาเลเซียแข็งขึ้น 1.5% ดอลลาร์ไต้หวันแข็งขึ้น 4% ยูโรแข็งขึ้น 1.7% และเงินเยนแข็งขึ้น 3.4% ตามการทำ unwind carry trade ที่มากขึ้นในช่วงที่เงินดอลลาร์อ่อนค่า
นักค้าเงินจากธนาคารไทยธนาคาร กล่าวว่า หากเทียบการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทกับสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค ยังถือว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไม่มาก แต่บาทก็ยังอยู่ในแนวโน้มที่แข็งค่าขึ้น โดยไทยธนาคารให้กรอบการขึ้นลงจากระดับปัจจุบันบวกลบ 0.33 บาท/ดอลลาร์
"ตอนนี้แนะนำลูกค้าถ้าเป็นผู้ส่งออกก็ให้ซื้อเงินบาทเก็บไว้ดีกว่า ส่วนผู้นำเข้าก็ทยอยทำรายการตามออร์เดอร์เพราะยังไงเงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นอีก แต่จะมาก เพียงเราต้องรอดูนโยบายแบงก์ชาติว่าจะเข้ามาดูแลมากเพียงใด"
หอบเงินออกไม่สะเทือน
นักค้าเงินกล่าวว่า ที่ค่าเงินบาทไม่ได้ปรับตัวอ่อนค่าลง แม้ปรากฏว่าตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมานักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ขายสุทธิออกมา คาดว่าเพราะนักลงทุนยังไม่ได้แลกเงินและนำเงินออกไป เพราะตามเกณฑ์ ธปท.นักลงทุนที่นำเงินเข้ามาซื้อหุ้นสามารถฝากเงินไว้ในบัญชีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อหุ้น (SNS)ได้โดยไม่จำกัดระยะเวลาที่ต้องแลกเงินออกไป
นักค้าเงินอีกรายกล่าวว่า แม้นักลงทุนต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ฯมีการแลกเงินที่ขายสุทธิออกไปทั้งหมด ที่มีการขายสุทธิประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท ก็จะไม่ทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวมากนัก เพราะเป็นระดับ ที่ ธปท.สามารถดูแลได้ เห็นจากระดับการแทรกแซงของ ธปท.ตั้งแต่ปลายปีก่อนจนถึงต้นปีนี้เฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 1,000 ล้านดอลลาร์
"ตอนนี้ดูลักษณะการเข้าแทรกแซงของแบงก์ชาติก็ค่อยๆ ทำให้เงินบาทไม่แข็งค่าเร็วเกินไป แต่ถ้าจะดูแลให้ได้อย่างนี้ตลอดจะต้องใช้เงินไม่น้อย"
นักค้าเงินกล่าวว่า การที่เงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงเนื่องจากนักลงทุนกังวลมากขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของสหรัฐ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25-0.50% จากระดับ 4.25% ในปัจจุบัน
และในการประชุมวันที่ 29-30 ม.ค.นี้ หลังจากปรับลดมาแล้วรวม 1% ตั้งแต่กลางเดือน ก.ย. เป็นต้นมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากสหรัฐเผชิญปัจจัยลบต่างๆ อาทิ ภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัยที่ย่ำแย่สุดในรอบ 50 ปี, อัตราการจ้างงานในระดับต่ำ, ข้อมูลการผลิตย่ำแย่ และความไม่เต็มใจในการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์, ความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงภาวะขาดทุนและขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงินต่างๆ ในสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม เฟดได้แถลงว่า จะปรับเพิ่มปริมาณการประมูลวงเงินกู้ในเดือน ม.ค.สู่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ภายใต้วงเงินประมูลใหม่เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระดับธนาคารและกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐปล่อยกู้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสอนุมัติการปรับลดภาษีลงอย่างถาวรเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอีกทางหนึ่งนอกเหนือจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ให้ความเห็นว่า ตั้งแต้ต้นปีถึงขณะนี้ (15 มกราคม 2551) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขายต่อเนื่องมาตั้งแต่ตุลาคม-ธันวาคม 2550 ที่ขายสุทธิ 46,000 ล้านบาท, 38,000 ล้านบาท และ 16,000 ล้านบาท ตามลำดับ และเชื่อว่ามีการนำเงินออกไป ทั้งนี้แม้จะนำเงินออกไปบาทก็ยังแข็งค่าอยู่ เพราะไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201