Re: รวมข่าวท่าเรือน้ำลึกทวาย
โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 18, 2012 11:11 pm
เมียนมาร์จ่อปรับแผนลงทุนทวายหวังดึงไจก้าลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2012 เวลา 22:34 น. คเณ มหายศ ข่าวรายวัน - คอลัมน์ : ข่าวในประเทศ
เมียนมาร์จ่อปรับแผนลงทุนทวาย พร้อมเล็งลดขนาดพื้นที่ลง 50 ตร.กม. เร่งดึงแหล่งทุนญี่ปุ่นร่วมกับอิตาเลียนไทย ยังหวังเงินกู้ไจก้าดอกเบี้ยต่ำหนุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเร่งพัฒนาให้เร็วขึ้น “ชัชชาติ” เผยหลายรายการยังล่าช้าโดยเฉพาะการรื้อย้ายหมู่บ้าน 4 พันหลังคาเรือน ส่วนการเชื่อมมอเตอร์เวย์และทางรถไฟเข้าทวายวงเงิน 3 หมื่นลบ. ยังไม่ตัดสินใจ ยันต้องประเมินความคุ้มค่าก่อน
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเดินทางเยือนเมียนมาร์ร่วมนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะนักธุรกิจไทยเพื่อหารือร่วมกับนายพลเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีเมียนมาร์เกี่ยวกับความร่วมมือในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึกทวายระหว่างวันที่ 14-17 ธันวาคมที่ผ่านมานั้นว่าเมียนมาร์ต้องการนักลงทุนจากประเทศที่ 3 เข้ามาช่วยร่วมลงทุนกับทางบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) หรือ ITD ที่ได้รับสัมปทานโครงการดังกล่าวจากเมียนมาร์ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นทั้ง 100% เพื่อให้โครงการดำเนินไปได้รวดเร็วมากขึ้น เช่น นักลงทุนญี่ปุ่นที่มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(ไจก้า) และเจบิก ซึ่งจะทำให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมีความเป็นไปได้และต้นทุนถูกกว่าแหล่งเงินกู้อื่นที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 7% ที่จะมีผลกระทบต่อค่าผ่านทางและค่าบริการท่าเรือ
ล่าสุดผลการหารือยังพบอีกว่าเมียนมาร์ต้องการปรับลดพื้นที่โครงการลงประมาณ 50 ตารางกม.จากทั้งหมด 204.5 ตารางกม. แต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะนำพื้นที่ดังกล่าวไปทำประโยชน์อะไร ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อตกลงระหว่างเมียนมาร์กับอิตาเลียนไทย โดยจะต้องมีการศึกษาข้อดี-ข้อเสีย ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมให้ชัดเจนก่อน โดยเบื้องต้นเอกชนมองว่าการลดขนาดพื้นที่อาจทำให้โครงการมีปัญหาได้ ดังนั้นจะต้องมีการประชุมในระดับคณะกรรมการประสานงานร่วม(JCC)อีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
นายชัชชาติกล่าวว่าโครงการดังกล่าวต้องใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 2.7 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนในเขตประเทศเมียนมาร์ 1.9 แสนล้านบาทซึ่งเมียนมาร์จะลงทุนประมาณ 9.6 หมื่นล้านบาท ส่วนอิตาเลียนไทยลงทุน 1 แสนล้านบาทซึ่งทางอิตาเลียนไทยอาจรับภาระไม่ไหวจึงต้องการหานักลงทุนมาช่วย และอาจจะต้องปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นโครงการใหม่ด้วย ส่วนการลงทุนขณะนี้มี 2 รูปแบบที่เป็นไปได้ คือ 1. ตั้งโฮลดิ้งถือหุ้นในบริษัทย่อยด้านถนน,ท่าเรือ,นิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ มีข้อดีเพราะจะนำรายได้จากบริษัทย่อยที่มีกำไรมาสนับสนุนบริษัทที่ไม่มีกำไร และ 2. ตั้งบริษัทแยกดำเนินการในแต่ละธุรกิจ
“ตอนนี้ที่ต้องใช้เงินมากคือการเวนคืนย้ายหมู่บ้านที่มีประมาณ 4,000 หลังคาเรือน โดยรื้อย้ายไปได้เพียง 400 หลังคาเรือนเท่านั้น คาดว่าจะใช้ประมาณ 7,500 ล้านบาท และหากดำเนินการล่าช้าก็จะยิ่งใช้งบประมาณสูงขึ้น เพราะราคาที่ดินในพื้นที่ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับในฝั่งไทยนั้นจะมีการลงทุนประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาทประกอบด้วย โครงการทางพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์) สายบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กม. งบประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท โดยอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเชื่อมต่อไปยังด่านชายแดนบ้านพุน้ำร้อนอีกประมาณ 70 กม. วงเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาทหรือไม่ โดยดูจากโครงการทวายว่าจะประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ และการเชื่อมต่อทางรถไฟนั้นภาคเอกชนมองว่าหากมีเส้นทางรถไฟจะทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือทวายต่ำกว่าทางรถยนต์ ดังนั้นอาจจะขอให้ปรับแผนโดยเร่งรัดการลงทุนทางรถไฟจากเดิมที่อยู่ในเฟสสุดท้ายปี 2563 มาดำเนินการในเฟสแรกก่อนเพื่อให้พร้อมรองรับการขนส่งสินค้า”
นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า ประเด็นทางรถไฟนั้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่จะต้องหาข้อสรุปว่าจะก่อสร้างตามแบบที่เมียนมาร์ต้องการคือรางความกว้าง 1.435 เมตร (Standard Gauge) เพื่อสะดวกในการเชื่อมต่อกับรถไฟประเทศจีน ขณะที่ไทยมองว่ารางขนาด 1 เมตร (Meter Gauge) เหมาะสมกว่า เพราะรถไฟในประเทศเมียนมาร์และของไทยเป็นราง 1 เมตร สามารถก่อสร้างเชื่อมต่อกันได้เลย แต่หากเป็น 1.435 เมตร อาจจะต้องเชื่อมกับรถไฟความเร็วสูงซึ่งเส้นทางของไทยจะต้องขยายจากเส้นทางสายใต้ไปเชื่อมต่อ
โดยเชื่อว่าการดำเนินโครงการภาพรวมในเฟสแรกน่าจะเสร็จทันตามแผนในปี 2558 ซึ่งงานก่อสร้างเฉพาะท่าเรือขนาดเล็กมีความคืบหน้าแล้ว 40% แต่ยังมีหลายโครงการยังไม่มีการออกแบบและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก,ปิโตรเคมี ในเรื่องไม่มีวัตถุดิบต้นน้ำ ซึ่งได้มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรม(กนอ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ศึกษารายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามโครงการทวายจะเกิดตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับนักลงทุน ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมองในแง่การตลาดให้มากขึ้นจากที่ผ่านมาจะให้ความสนใจแต่เรื่องวิศวกรรมโดยเฉพาะผู้ลงทุนที่เข้มแข็งและลูกค้าที่จะใช้บริการ ส่วนไทยถือเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำในด้านเทคนิคเพราะมีประสบการณ์มากกว่า และเป็นการมองประโยชน์ของภูมิภาคมากกว่าของเมียนมาร์หรือของไทย โดยหากโครงการทวายไม่เป็นไปตามแผนการลงทุนโครงการต่างๆในส่วนของไทยเพื่อเชื่อมต่อก็คงไม่ดำเนินการ
ที่มา http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=524
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2012 เวลา 22:34 น. คเณ มหายศ ข่าวรายวัน - คอลัมน์ : ข่าวในประเทศ
เมียนมาร์จ่อปรับแผนลงทุนทวาย พร้อมเล็งลดขนาดพื้นที่ลง 50 ตร.กม. เร่งดึงแหล่งทุนญี่ปุ่นร่วมกับอิตาเลียนไทย ยังหวังเงินกู้ไจก้าดอกเบี้ยต่ำหนุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเร่งพัฒนาให้เร็วขึ้น “ชัชชาติ” เผยหลายรายการยังล่าช้าโดยเฉพาะการรื้อย้ายหมู่บ้าน 4 พันหลังคาเรือน ส่วนการเชื่อมมอเตอร์เวย์และทางรถไฟเข้าทวายวงเงิน 3 หมื่นลบ. ยังไม่ตัดสินใจ ยันต้องประเมินความคุ้มค่าก่อน
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเดินทางเยือนเมียนมาร์ร่วมนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะนักธุรกิจไทยเพื่อหารือร่วมกับนายพลเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีเมียนมาร์เกี่ยวกับความร่วมมือในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึกทวายระหว่างวันที่ 14-17 ธันวาคมที่ผ่านมานั้นว่าเมียนมาร์ต้องการนักลงทุนจากประเทศที่ 3 เข้ามาช่วยร่วมลงทุนกับทางบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) หรือ ITD ที่ได้รับสัมปทานโครงการดังกล่าวจากเมียนมาร์ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นทั้ง 100% เพื่อให้โครงการดำเนินไปได้รวดเร็วมากขึ้น เช่น นักลงทุนญี่ปุ่นที่มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(ไจก้า) และเจบิก ซึ่งจะทำให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมีความเป็นไปได้และต้นทุนถูกกว่าแหล่งเงินกู้อื่นที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 7% ที่จะมีผลกระทบต่อค่าผ่านทางและค่าบริการท่าเรือ
ล่าสุดผลการหารือยังพบอีกว่าเมียนมาร์ต้องการปรับลดพื้นที่โครงการลงประมาณ 50 ตารางกม.จากทั้งหมด 204.5 ตารางกม. แต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะนำพื้นที่ดังกล่าวไปทำประโยชน์อะไร ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อตกลงระหว่างเมียนมาร์กับอิตาเลียนไทย โดยจะต้องมีการศึกษาข้อดี-ข้อเสีย ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมให้ชัดเจนก่อน โดยเบื้องต้นเอกชนมองว่าการลดขนาดพื้นที่อาจทำให้โครงการมีปัญหาได้ ดังนั้นจะต้องมีการประชุมในระดับคณะกรรมการประสานงานร่วม(JCC)อีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
นายชัชชาติกล่าวว่าโครงการดังกล่าวต้องใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 2.7 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนในเขตประเทศเมียนมาร์ 1.9 แสนล้านบาทซึ่งเมียนมาร์จะลงทุนประมาณ 9.6 หมื่นล้านบาท ส่วนอิตาเลียนไทยลงทุน 1 แสนล้านบาทซึ่งทางอิตาเลียนไทยอาจรับภาระไม่ไหวจึงต้องการหานักลงทุนมาช่วย และอาจจะต้องปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นโครงการใหม่ด้วย ส่วนการลงทุนขณะนี้มี 2 รูปแบบที่เป็นไปได้ คือ 1. ตั้งโฮลดิ้งถือหุ้นในบริษัทย่อยด้านถนน,ท่าเรือ,นิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ มีข้อดีเพราะจะนำรายได้จากบริษัทย่อยที่มีกำไรมาสนับสนุนบริษัทที่ไม่มีกำไร และ 2. ตั้งบริษัทแยกดำเนินการในแต่ละธุรกิจ
“ตอนนี้ที่ต้องใช้เงินมากคือการเวนคืนย้ายหมู่บ้านที่มีประมาณ 4,000 หลังคาเรือน โดยรื้อย้ายไปได้เพียง 400 หลังคาเรือนเท่านั้น คาดว่าจะใช้ประมาณ 7,500 ล้านบาท และหากดำเนินการล่าช้าก็จะยิ่งใช้งบประมาณสูงขึ้น เพราะราคาที่ดินในพื้นที่ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับในฝั่งไทยนั้นจะมีการลงทุนประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาทประกอบด้วย โครงการทางพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์) สายบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กม. งบประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท โดยอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเชื่อมต่อไปยังด่านชายแดนบ้านพุน้ำร้อนอีกประมาณ 70 กม. วงเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาทหรือไม่ โดยดูจากโครงการทวายว่าจะประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ และการเชื่อมต่อทางรถไฟนั้นภาคเอกชนมองว่าหากมีเส้นทางรถไฟจะทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือทวายต่ำกว่าทางรถยนต์ ดังนั้นอาจจะขอให้ปรับแผนโดยเร่งรัดการลงทุนทางรถไฟจากเดิมที่อยู่ในเฟสสุดท้ายปี 2563 มาดำเนินการในเฟสแรกก่อนเพื่อให้พร้อมรองรับการขนส่งสินค้า”
นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า ประเด็นทางรถไฟนั้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่จะต้องหาข้อสรุปว่าจะก่อสร้างตามแบบที่เมียนมาร์ต้องการคือรางความกว้าง 1.435 เมตร (Standard Gauge) เพื่อสะดวกในการเชื่อมต่อกับรถไฟประเทศจีน ขณะที่ไทยมองว่ารางขนาด 1 เมตร (Meter Gauge) เหมาะสมกว่า เพราะรถไฟในประเทศเมียนมาร์และของไทยเป็นราง 1 เมตร สามารถก่อสร้างเชื่อมต่อกันได้เลย แต่หากเป็น 1.435 เมตร อาจจะต้องเชื่อมกับรถไฟความเร็วสูงซึ่งเส้นทางของไทยจะต้องขยายจากเส้นทางสายใต้ไปเชื่อมต่อ
โดยเชื่อว่าการดำเนินโครงการภาพรวมในเฟสแรกน่าจะเสร็จทันตามแผนในปี 2558 ซึ่งงานก่อสร้างเฉพาะท่าเรือขนาดเล็กมีความคืบหน้าแล้ว 40% แต่ยังมีหลายโครงการยังไม่มีการออกแบบและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก,ปิโตรเคมี ในเรื่องไม่มีวัตถุดิบต้นน้ำ ซึ่งได้มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรม(กนอ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ศึกษารายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามโครงการทวายจะเกิดตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับนักลงทุน ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมองในแง่การตลาดให้มากขึ้นจากที่ผ่านมาจะให้ความสนใจแต่เรื่องวิศวกรรมโดยเฉพาะผู้ลงทุนที่เข้มแข็งและลูกค้าที่จะใช้บริการ ส่วนไทยถือเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำในด้านเทคนิคเพราะมีประสบการณ์มากกว่า และเป็นการมองประโยชน์ของภูมิภาคมากกว่าของเมียนมาร์หรือของไทย โดยหากโครงการทวายไม่เป็นไปตามแผนการลงทุนโครงการต่างๆในส่วนของไทยเพื่อเชื่อมต่อก็คงไม่ดำเนินการ
ที่มา http://www.thannews.th.com/index.php?op ... Itemid=524