ธปท.จับตาซับไพร์มกระทบศก. [ ฉบับที่ 830 ประจำวันที่ 22-9-2007 ถึง 25-9-2007]
> เชื่อเฟดใช้ยาแรงไม่กดดันไทยลดดอกเบี้ยตาม
ผู้ว่าการแบงก์ชาติยันเฟดลดดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ไม่เป็นแรงกดดันให้ไทยต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตาม เผยแค่เอามาประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศในการ ประชุม กนง. 10 ต.ค.นี้ ระบุจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ดูที่อัตราเงินเฟ้อเป็นสำคัญ ด้าน ขุนคลัง มั่นใจหลังเฟดลดดอกเบี้ยจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ หยุดวิกฤติ ซับไพร์ม ไม่ให้ลุกลาม ต่อไป ขณะที่ โฆสิต ชี้ไทยต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาย หลังการเข้าหารือเรื่องภาวะเศรษฐกิจระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.อุตสาหกรรม และนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่า การธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กว่า 2 ชั่วโมงนั้น
นายโฆสิต เปิดเผยภายหลังการหารือดังกล่าวว่า มีการ หารือปัญหาค่าเงินบาท รวมทั้งกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.50 ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจต่างประเทศเกิดความผันผวน จึงต้องระมัดระวังตัว ในส่วนของกระทรวงการคลัง ได้พูดคุยกันว่าจะต้องเดินตามแนวนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่วางไว้ โดยเฉพาะการดูแลความพร้อมการลงทุนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยนายกรัฐมนตรีสอบถามถึงการลงทุนต่างๆ ขณะนี้ ซึ่งได้ราย งานว่า การลงทุนที่ผ่านสำนัก งานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ปีนี้มีปริมาณมาก กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งการลงทุนในประเทศมีการประสานกับกลุ่มลงทุนรายใหญ่สำคัญๆ เช่น นิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด มีการทำ งานร่วมกัน เช่น บริษัทปูนซิเมนต์ ไทยฯ เสนอโครงการมายังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้อนุมัติแล้ว 11 โครงการ ค้างอยู่ 7 โครงการ เป็นต้น
> ขุนคลัง เชื่อ ไทยดูแลสถานการณ์ได้
ด้านดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ตาม ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.50 ไม่อาจสรุปได้ว่าจะทำให้ค่า เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง เพราะในช่วงก่อนที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้ปรับลดลงมากที่สุดเป็น ประวัติการณ์อยู่แล้ว ที่จริงมาตรการของเฟดที่ออกมา อาจ มองในทิศทางตรงกันข้ามได้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้ปัญหาซับไพร์มลุกลามไป ซึ่งก็อาจมีส่วนช่วยให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นได้
ในส่วนของประเทศไทย เมื่อความเชื่อมั่นมีมากขึ้นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่ถูกกระทบ มากไปกว่านี้ โดยจะเห็นได้ชัดจากตลาดหุ้นได้พุ่งขึ้นค่อนข้างแรงและได้ส่งผลต่อไปยังตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่นๆ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย โดยช่วงเช้าดัชนีราคาหุ้นได้ปรับขึ้นไปพอสมควร เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นจุดที่ทำให้มีการมองว่า ปัญหาซับไพร์มคงไม่รุนแรงไปกว่านี้อีก และการที่ทางการสหรัฐฯ มีมาตรการที่ค่อนข้างเข้มข้นที่พอช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็อาจจะทำให้ความเชื่อมั่นกลับขึ้นมาได้เร็ว
ดร.ฉลองภพ กล่าวว่า ตนมองว่าในระยะหลัง ตลาดต่างๆ มีความผันผวนเป็นช่วงๆ โดยบางช่วงปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ปรับทิศลดลงต่อเนื่องค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้น ส่วนที่ได้เห็นในช่วงที่ผ่านมาคือ ตลาดหุ้นทั้งโลกปรับลดลงค่อนข้างมากต่อเนื่องมานาน เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่ตลาดต่างๆ จะกลับมาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีก ซึ่งเป็นปกติของแนวทางตลาดทุน เพราะหากตลาดนิ่งก็ไม่มีใครทำกำไรอะไรได้ จึงจะเห็นวัฏจักรของตลาดเหล่านี้ ไม่ว่าตลาดหลัก ทรัพย์ฯ ตลาดเงินตรา แม้กระทั่งตลาดเกี่ยวข้องกับราคาของสินค้าต่างๆ ที่มักจะขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา เช่น น้ำมัน ปัจจุบันราคาน้ำมันปรับ ขึ้นสูงมาก เพราะฉะนั้น เมื่อเงินเริ่มไหลไปลงทุน ในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ เงินที่จะเก็งกำไรน้ำมัน อาจลดลง ซึ่งในที่สุดอาจเห็นราคาน้ำมันเริ่มลดลงได้
> จับตากนง.ประชุมดบ.อาร์พี 10 ต.ค.นี้
ส่วนอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยจะปรับลดลงหรือไม่ เป็นเรื่องที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะพิจารณา ซึ่งการประชุม กนง.จะมีขึ้น ในวันที่ 10 ตุลาคม 2550 นี้ ก็จะต้องพิจารณา ปัจจัยต่าง ๆ
ดร.ฉลองภพ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความสามารถในการรองรับความผันผวน โดยเฉพาะความผันผวนที่อาจจะกระทบอัตราแลกเปลี่ยน อยู่ในระดับเป็นที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นเชื่อว่า ถึงแม้จะมีความผันผวนเกิดขึ้น ในอนาคตประเทศไทยก็ยังสามารถดูแลสถานการณ์ได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร สำหรับเครื่องมือในการดูแลรองรับความผันผวนทั้งในส่วนของ ธปท. และในส่วนของกระทรวงการคลัง ซึ่งในเดือนหน้าเดือนตุลาคม 2550 จะเริ่มเข้าสู่ปีงบประมาณ 2551 เพราะฉะนั้นเครื่องมือในการบริหารหนี้จะสามารถใช้ได้เต็มที่ก็จะสามารถนำมาช่วยดูแลสถานการณ์ได้หากมีความจำเป็น
> เชื่อช่วยแก้ปัญหาซับไพร์มได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยว่า การลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ น่าจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้พอสมควร เพราะเฟดต้องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ซึ่งนักวิเคราะห์และหลายฝ่ายก็มองว่า การลดดอกเบี้ยดังกล่าว น่าจะทำให้ปัญหาซับไพร์มๆ ไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีก สำหรับการลดดอกเบี้ยลงของเฟดครั้งนี้ อาจส่งผลต่อตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงมาถึงไทยด้วย แต่สำหรับค่าเงินบาทนั้น ต้อง รอดูสภาพตลาดอีกครั้ง
> ธปท.ชี้ลดดบ.หรือไม่อยู่ที่ตัวเลขเงินเฟ้อ
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงกรณีที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.50 ว่า ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ ธปท.จะนำมาประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ แต่จะไม่เป็นแรงกดดันให้ไทยปรับลดดอกเบี้ยในทิศทางเดียวกัน ซึ่งการตัดสินใจทั้งหมดจะอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีการประชุมในครั้งต่อไป วันที่ 10 ตุลาคมนี้
นางธาริษา กล่าวว่า ในส่วนของ ธปท. หวังว่าเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัดส่วนที่มากครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงได้ เนื่องจากระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความสำคัญ หากเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐฯ ชะลอตัว ก็จะส่งผลกระทบต่อความต้องการนำเข้าสินค้า และท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าอื่นๆ ของสหรัฐฯ ส่วนปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพร์ม) นั้น ในส่วนผลกระทบทางตรงที่ไปลงทุนในสินเชื่อดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.1 ถือว่าน้อยมาก จึงไม่น่าจะมีผลกระทบทางตรง ส่วนผลกระทบทางอ้อมจะต้องไปพิจารณาว่าจะมีผลกระทบในทางใดบ้าง
สำหรับปัจจัยที่จะเป็นตัวชี้วัดอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปนั้น นางธาริษา กล่าวว่า นโยบายการเงินของไทยที่ใช้นโยบายการกำหนด เงินเฟ้อเป้าหมายนั้น จะใช้ตัวเลขเงินเฟ้อ ค่าเงินบาท และอัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ เป็นตัวชี้วัด เพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ย
> ออมสิน เผยยังไม่ลดดอกเบี้ย
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี รองผู้อำนวย การธนาคารออมสินอาวุโส กล่าวถึงกรณีที่เฟดประกาศลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง ร้อยละ 0.50 ว่า ธนาคารออมสินยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ โดยจะรอการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในเดือนตุลาคมนี้อีกครั้ง ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตรา ดอกเบี้ยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม ซึ่งธนาคาร พาณิชย์หลายแห่งยังมีการแข่งขันระดมเงินฝาก และธนาคารพาณิชย์บางแห่งก็มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ด้วยซ้ำไป ซึ่งเชื่อว่าจนถึงสิ้นปีนี้ ธนาคารพาณิชย์คงจะปรับลดดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 0.25
> ธอส.ขึ้นดบ.เงินฝาก 0.25%
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าว ว่า ในวันจันทร์ที่ 24 ก.ย.นี้ ธอส.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ร้อยละ 0.25 เพื่อเป็น การรักษาฐานลูกค้าเงินฝากไว้ เนื่องจากขณะนี้มีการแข่งขันระดมเงินฝากจากสถาบันการเงิน โดยมีธนาคารพาณิชย์บางแห่งให้เงินฝากประจำ 18 เดือน สูงถึงร้อยละ 3.75 ประกอบกับสภาพ คล่องของระบบลดลงกว่า 80,000 ล้านบาท หลัง จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกพันธบัตรออมทรัพย์ ซึ่งหาก ธอส.ไม่ต้องการเสียลูกค้าเงินฝาก ก็จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นายขรรค์ กล่าวว่า การที่ธนาคารตัด สินใจขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า ดอกเบี้ยสหรัฐฯ กับไทยไม่มีความสัมพันธ์กัน เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงร้อยละ 0.5 เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาซับไพร์มลุกลามมาถึงลูกค้าชั้นดี และเชื่อ ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.5 ก่อนสิ้นปีนี้ ซึ่งการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยไทย-สหรัฐฯ อยู่ที่ร้อยละ 1.50 ดังนั้น แนวโน้มที่ไทยจะลดดอกเบี้ยลงคงยังไม่มี เพราะ ถือว่าอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=6856