Thai VI

ซะงั้นไป ขอลาไปหาความรู้เพิ่มเติมดีกว่า

แบไต๋ "ประเสริฐ บุญสัมพันธ์" ปีหมู..ที่ไม่หมู สำหรับ "หุ้นปตท."

เกาะติดอนาคตหุ้นปตท.หลัง "ปีทอง" ผ่านพ้นไป "บิ๊กเสริฐ" เผยไต๋กลยุทธ์โตทางลัด หงายไพ่งัดแอ็คชั่น โรงกลั่น SPRC ต่อด้วยควบรวม RRC กับ ATC สร้างพลังหล่อลื่นหุ้นปตท.

ปีหมูปีนี้อาจไม่หมู สำหรับ ปตท. เสียแล้ว ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ให้สัมภาษณ์ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ส่งท้ายปีเก่า ถึงทิศทางอนาคต ปตท.ในปี 2550 ว่า ปีใหม่ปีนี้จะเป็นปีที่ "ท้าทาย" ยิ่งกว่าเก่า

แม้จะยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตของ "ยอดขาย" ได้ไม่น้อยหน้าไปกว่าปี 2549 แต่ถ้าถามว่าจะ "โตกว่า" ในแง่ของ Revenue หรือรายได้รวม ที่มีมิติของ "ราคา" เข้ามาเกี่ยวข้อง...งานนี้ไม่หมู !

"ถ้ามองในเรื่องของ Revenue ราคามันไม่โตขึ้น แต่ปริมาณก็ยังโตตามดีมานด์ ดังนั้นถ้าพูดถึงกำไรสุทธิ การรักษาระดับปี 2550 ให้เทียบเคียงกับปี 2549 ได้ ก็ถือว่าเก่งแล้ว"

หนทางที่จะทำให้โตกว่าปี 2549 บิ๊ก ปตท.บอกว่า เราอาจต้องขายสินทรัพย์บางอันออกไป หรือไม่ก็ต้องไป Acquire (รวม) สินทรัพย์ที่มีกำไรอยู่แล้วเข้ามา คงไม่ใช่การสร้างใหม่ เพราะถ้าสร้างใหม่มันเป็น Long Term

ดังนั้น ถ้าจะเอา Immediate Term (ระยะฉับพลัน) ก็ต้องขายสินทรัพย์ หรือรวมสินทรัพย์ ซึ่งลักษณะของการไป Acquire ซึ่งก็ไม่ง่าย เพราะการรวมตัว Asset ในปัจจุบันมันแพง และอยู่ในช่วงที่ราคาน้ำมันสูง"

ผู้บริหาร ปตท.หงายไพ่ที่ถืออยู่ในมือว่า คงหนีไม่พ้นคิวของธุรกิจโรงกลั่น SPRC (โรงกลั่นน้ำมันสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง) ที่ ปตท.ร่วมทุนกับบริษัทเชฟรอน ที่จะต้องมี แอ็คชั่น เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในปีนี้

อย่าง SPRC เราถือหุ้นอยู่ 36% ระดับนี้ยังไงก็ควรเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2550 แต่ถ้าตลาดมันไม่เปิด ถ้า ปตท.อยากขาย ก็อาจขายให้ Strategic Partner ไป

กรณีถ้าขายออกไป ปตท.ก็จะมีส่วนรับของตัวต้นทุนจากราคาขาย ที่จะบุ๊คเป็นกำไรเข้ามา เพราะยังไงปตท.ก็ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ดี Asset ตรงนี้ถ้าจะขายออกไปก็ไม่ได้กระทบอะไรกับเรา

พูดจบ ประเสริฐรีบย้ำว่า ไม่ได้หมายความว่า ปตท.จะขายนะ มันก็เป็นทางเลือกหนึ่ง ซึ่งจริงๆ ก็ควรจะเข้าตลาด แต่ถ้าตลาดไม่เปิด ก็ต้องมองหาทางอื่น เช่น ถ้าเชฟรอนบอกว่าจะขาย

"กรณีนี้ ผมอาจจะเอา RRC (โรงกลั่นน้ำมันระยอง) เข้ามาเทคโอเวอร์ตัว Asset มันจะได้ควบรวมกิจการกัน

เขายังบอกอีกว่า กรณีนี้ ปตท.ก็อาจจะต้องเพิ่มทุนใน RRC ระดมทุนจากตลาด เข้ามาเทคโอเวอร์ SPRC ซึ่งเท่ากับเป็นการเอาโรงกลั่น SPRC เข้าตลาดทางอ้อมนั่นเอง

มูลค่าของโรงกลั่น SPRC ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าของเราที่อยู่ในนั้นด้วย 36% หมายความว่าของเราก็ประมาณเกือบ 2 หมื่นล้านบาท

ประเสริฐบอกถึงตัวเร่งปฏิกิริยาการเติบโตให้กับ ปตท.ซึ่งเท่าที่เห็นในปี 2550 ก็จะมีแต่เรื่องควบรวมสินทรัพย์ และพวก Organic Growth หรือการเติบโตตามปกติ

หลังจากสะสางเรื่องโรงกลั่น SPRC แล้ว ช่วงปลายปี 2550 คงต้องมามองคู่ของ RRC (โรงกลั่นน้ำมันระยอง) กับ ATC (อะโรเมติกส์) เมื่อนำมาควบรวมกันแล้ว ก็จะไปดูว่าจะทำยังไงกับ IRPC (ทีพีไอเดิม) และจะทำยังไงกับ TOP (ไทยออยล์) ก็ต้องมาดูกันต่อไป

ส่วนนโยบายของ IRPC ในปี 2550 ก็คงเป็นการร่วมมือกันในเชิงให้เกิดซินเนอร์ยี่ทางธุรกิจเท่านั้นเอง เช่น การวมกันซื้อวัตถุดิบ แต่คงไม่มีในเรื่องของการเอาสินทรัพย์มารวมกัน หรือ Cross Holding อะไรอย่างนั้นคงไม่มี

ส่วน ข่าวลบ เกี่ยวกับสมมติฐาน ที่มีการคาดการณ์กันว่าวัฏจักร หรือ Cycle ขาขึ้นของธุรกิจน้ำมันจะเริ่มดาวน์ลงมาในปีนี้ ประเสริฐแจงข้อมูลใหม่ ว่า Cycle ขาลงน่าจะเลื่อนออกไปอีกเป็นปี 2551-2552

"เดิมเราเคยมองไว้ที่ปี 2550 แต่ตอนนี้มันเลื่อนเวลาออกไปเป็นปี 2551-2552 เพราะผู้รับเหมาตอนนี้หายาก ราคาค่าก่อสร้างแพง ดังนั้นโรงกลั่นใหม่ๆ อย่างโรงกลั่นของจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง ที่เคยคิดว่าจะเข้ามาเพิ่มเติม ก็จะเลื่อนขยับออกไปหมด...

ทิศทางราคาน้ำมันในปี 2550 ผมคิดว่าน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับปี 2549 แต่หลังจากนั้นในระยะยาว ปี 2551-2552 มีการคาดการณ์กันว่ามันจะเริ่มลง

ถ้าดูพอร์ตธุรกิจของเราให้ลึกซึ้ง เราค่อนข้าง Distribute ได้ดี เรามี ปตท.สผ.ขุดเจาะสำรวจ เรามีท่อก๊าซ โรงแยกก๊าซ มีโรงกลั่น ธุรกิจปิโตรเคมี ดังนั้น กำไรสุทธิของเราที่เข้ามา มันเข้ามาจากแต่ละเซคเตอร์ สนับสนุนซึ่งกันและกัน

หมายความว่า หุ้น ปตท.มันมีการบริหารความเสี่ยงในตัวเอง ในยามที่ปิโตรเคมีไม่ดี แต่โรงกลั่น ขุดเจาะสำรวจยังดี หรือท่อก๊าซ โรงแยก ยังดี มันจะช่วยบาลานซ์ได้ ไม่มีที่จะไม่ดีทั้งหมดพร้อมกัน แต่มันจะดี-ไม่ดีสลับกัน

มองไปข้างหน้าในปี 2550 บิ๊กปตท.มองภาพธุรกิจในกลุ่มของปตท.ว่า ยังไม่ได้เปลี่ยน Fundamental ไปจากปี 2549 ราคาน้ำมันยังสูง มาร์จินยังดี ยังมีการเติบโต

ดังนั้น โดยภาพรวมก็น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบในปี 2550 มองว่าก็คงจะยังทรงตัวอยู่ในระดับนี้ ทั้งตัว ปตท.สผ.ก็ยังดี ปิโตรเคมี โรงกลั่นก็ยังดีอยู่ บนสมมติฐานนั้น เราจึงคาดว่า ผลการดำเนินงานของ ปตท.ยังจะอยู่ในระดับที่ดี มาร์จินก็น่าจะดีขึ้น...

นอกจากนี้ ความท้าทายในปี 2550 ยังอยู่ที่การ ฟิตเครื่อง ของ ปตท.ให้นักลงทุนเห็นศักยภาพการเติบโตที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการขยายการลงทุนในต่างประเทศ การดำเนินธุรกิจของปตท.สผ. แผนการขยายธุรกิจปิโตรเคมี การลงทุนเรื่อง LNG และธุรกิจก๊าซ

พวกนี้มันจะมาช่วยให้นักลงทุนเห็นศักยภาพการเติบโตของ ปตท.ที่ชัดเจน เวลาที่นักลงทุนเขามอง จะมองว่า 1.บริษัทต้องมีอัตราการเติบโต 2.บริษัทต้องมี Liquidity หรือสภาพคล่องของหุ้น หมายความว่าเป็นหุ้นขนาดใหญ่ จะเข้าจะออกก็ง่าย และ3.คือมี Corporate Good Governance มีความน่าเชื่อถือ

ส่วนอนาคต ราคาหุ้น ของปตท.ที่ผ่านมา ราคาหุ้นขึ้นไม่ถึง Target Price (300 บาท) ก็เพราะว่าในอดีตที่ผ่านมา มันมีปัจจัยเรื่องการเมือง ปัจจัยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ Fundamental แต่ตอนนี้เรื่องการเมืองจบไปแล้ว ก็มามีประเด็นเรื่องศาลปกครอง ว่าจะตัดสินยังไง

แต่ถ้าทุกอย่าง All Clear มันก็กลับมาดูที่ Fundamental กลับมาดูว่ากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)เท่าไหร่ พี/อีเท่าไหร่ ปตท.มี Growth มั้ย! มี Corporate Good Governance มั้ย! มีสภาพคล่องมั้ย! ซึ่งผมว่าเรามีทั้ง 3 ตัว

อย่างไรก็ตาม ปีหมูปีนี้ คงไม่หมูสำหรับ ปตท.เพราะประเสริฐยอมรับว่า เปรียบเทียบกันระหว่างปี 2549 กับปี 2550 ความท้าทายในปีนี้ มากกว่าเดิม...

"มัน Challenge กว่าแน่นอน เพราะปี 2549 ถือว่ามันเป็น Good Year ไปแล้วไง" ประเสริฐ ทิ้งท้าย

กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฉบับที่ 134 ประจำวันที่ 5-11 มกราคม 2550

ขอบคุณครับน่าติดตามตอนต่อไป เพราะถ้าปีที่แล้วพีคจริง เงินเหลือ ปีนี้ก็น่าจะปันผลเยอะ เพราะไม่รู้จะไปซื้ออะไรอีกแล้ว

เดาครับ มาติดตามกันต่อไปครับ

"เดิมเราเคยมองไว้ที่ปี 2550 แต่ตอนนี้มันเลื่อนเวลาออกไปเป็นปี 2551-2552 เพราะผู้รับเหมาตอนนี้หายาก

อิอิ......ทั้งหน้าอ่านแล้วสะดุดตาคำนี้คำเดียว  เพราะผู้รับเหมาตอนนี้หายาก

ใช่เกี่ยวข้องกะหุ้น stpi ของหมู่เฮาไหมเอ่ย

mcs แม้จะขายสินค้าคนละแบบ  แต่ก็ได้งานไปแล้วปีนี้ทั้งปี ก็เหมือนโดนมัดมือมัดแขน จะมาแย่งกะ stpi ก็ยากแล้ว

uec ก็ได้งานไปแล้วเต็มมือ  แฮ่ แฮ่  คู่แข่งโดนมัดมือไปอีกคน

อีกไม่นานคู่แข่งที่อยู่นอกตลาดก็จะโดนจับมัดมือ  หรือว่าโดนไปแล้ว  ถึงบอกว่าเพราะผู้รับเหมาตอนนี้หายาก  อิอิอิ

ผมมีหุ้น ปตท กับปูนใหญ่อยู่นิดหน่อย มูลค่าทุนตัวละประมาณ 10% ของพอร์ท

ตอนซื้อก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าแต่ละตัวเป็นหุ้นใหญ่ มีการกระจายความเสี่ยงในตัวมันเองพอสมควร pe ไม่แพง ปันผลพอได้ และเอาไว้ hedge กรณีน้ำมันแพง

ปตทมีธุรกิจหลักๆที่ทำกำไรคือ การถือหุ้นปตทสผ ประมาณ 30 กว่าเปอร์เซนต์ ธุรกิจก๊าซ ประมาณ30% ปิโตรประมาณ 20% ที่เหลือเป็นธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจน้ำมัน  คิดว่าแต่ละอันคงมี cycle เหลื่อมล้ำกันบ้าง อนาคตอาจไม่โตเร็ว แต่คงไม่ถึงกับเจ๊ง

ส่วนความเสี่ยงเรื่องออกจากตลาด อย่างมากผมก็ตามไปเป็นผู้ถือหุ้นนอกตลาด เท่ห์ดีออก ปันผลสัก 20 ปีคงได้ทุนคืน

แต่ถ้าจะเอาปตทออกนอกตลาดจริง ผมจะไม่ขายปตท จะถือเอาไว้เตือนใจตัวเอง แต่คงล้างพอร์ทตัวอื่นๆไปก่อน เพราะไม่อยากจะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย แค่นี้เราก็มีเรื่อง flip flop มากเกินพอแล้ว

เอ หรือมาตรการไล่นักลงทุนต่างชาติที่ออกมาก่อนนี่เพื่อเตรียมพร้อม delist เพราะถ้าเหลือแต่นักลงทุนชาวไทยก็คงปิดประตูตีแมวได้ โวยไม่ได้ นักลงทุนไทยอดทนอยู่แล้ว เพราะปิดทรัสต์เมื่อตอนต้มยำกุ้ง เสียหายคนละหลายแสนยังทนได้เลย

ผมเดาเล่นๆว่ามาตรการ flip flop ที่ผ่านมาเกียวกับการเมือง แต่ไม่คิดว่าจะแรง

และผมเดาต่อว่า เกียวกับ ptt และกลุ่ม

เรื่องการออกจากตลาด เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ในความคิดของผมดังที่กล่าวแล้วต้นกระทู้ แต่ก็ต้องติดตามตอนต่อไป

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ขึ้นมากๆ ก่อนหน้านี้ ก็มีความสัมพันธ์ กับ ท.

คิดว่าดี  ไม่แพง  ก้อซื้อ ..................

คิดว่าดี  แต่ดอยหรือน้องๆดอย   ก้อไม่ต้องซื้อ ...............

ง่ายๆเลยครับ .................


แต่โดยส่วนตัว ......................

ผมไม่ชอบหุ้นที่  ..................

ีupside จํากัด   แต่ downside เปิดกว้าง .................................

ขอเหตุผลด้วยครับ ว่าเพราะอะไร

ท่าน พลพล

กฏหมายที่ท่านอีโต้ว่า มันอันเดียวกันกับที่ฟ้อง ขายเบียร์พ่วงน้ำ แล้วอีกรุ่นหนึ่งที่ ขายเหล้าพ่วงเบียร์ หรือเปล่าครับ

จริงๆ หุ้นอย่าง PTT downside ก็จำกัดนะ เพราะอย่างมาก ก็แค่ 100%  

WhiskeySierra เขียน:
โดย concept การคุยของเจ้าของ topic ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะให้ข้อมูลคลุมเครือ แต่อ่านแล้วดูดี เรียกว่า ข้อมูล Emotional ได้คะแนน 100% แต่ข้อมูล Rational น้อยไป จึงเรียกว่า Advertising ที่จริงไม่แปลก เพราะบทวิเคราะห์ของหลักทรัพย์ไทย โดยมากเป็น Advertising ทั้งนั้น

8) โดย concept การโพสของพี่ ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะให้ข้อมูลคลุมเครือ แต่อ่านแล้วดูดี เรียกว่า ข้อมูล Emotional ได้คะแนน 100% แต่ข้อมูล Rational น้อยไป จึงเรียกว่า Advertising ที่จริงไม่แปลก เพราะบทวิเคราะห์ของหลักทรัพย์ไทย โดยมากเป็น Advertising ทั้งนั้น
     อยากรู้จักไหมครับrational

Eto Demerzel เขียน:พูดถึง PTT นึกถึงเรื่องนึงขึ้นมาได้ครับ เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว


PTT มีธุรกิจผูกขาดอยู่ในมือจำนวนหนึ่ง ซึ่งถ้าจะมีปัญหาเรื่องการเมือง
ก็เรื่องนี้แหละครับ

ธุรกิจที่ผูกขาด ควรเป็นของรัฐ 100% เพราะไม่เช่นนั้น
จะผิดกฎหมายการค้าซึ่งเพิ่งออกก่อนทรท.ชนะการเลือกตั้งไม่นาน

กฎหมายฉบับนี้ (พรบ.ป้องกันการผูกขาดทางการค้า)
effective แล้ว แต่ไม่เคยเกิดคดีฟ้องถึงศาลแม้แต่คดีเดียว
เพราะอดีตผู้นำดองเอาไว้ ด้วยเหตุผลใดก็คงพอจะเดากันได้

ถ้ากฎหมายนี้ รัฐบาลรื้อขึ้นมาใช้จริงๆ จังๆ เมื่อไหร่
PTT อาจจะต้อง split เอาธุรกิจผูกขาดเหล่านี้
กลับเข้าไปเป็นของรัฐ ถึงแม้ว่า PTT จะไม่ต้อง delist

ธุรกิจผูกขาดนี้ ผมจำได้ว่ามีท่อส่งก๊าซอันหนึ่ง
และสัมปทานการขายก๊าซธรรมชาติอันหนึ่ง
(ที่กดซื้อจาก pttep มา แล้วมาขายต่อทำกำไรง่าย)

มีอะไรอีกหรือเปล่าครับ?

กรณีแยกธุรกิจ ผมว่ามีโอกาสเกิดสูงมาก
ถ้าเกิดจริง กำไรปตท. จะหดไปเท่าไหร่นะ

PTT  เป็นหุ้นตีหนึ่ง หรือ หุ้นบ่ายโมง ครับ ..........................

โห เล่นคำ ไม่รู้ดิ พรุ่งนี้ก็รู้ ว่าตีไร

จำได้ว่าเป็นธุรกิจท่อผ่านก๊าซที่ต้องแยกออกมาเพราะเป็นธุรกิจผูกขาด ทำอยู่เจ้าเดียว และต้องรอนสิทธิ์ประชาชนเนื่องจากต้องเวนคืนที่ดิน จึงควรให้รัฐเป็นเจ้าของ

ถ้าเอาธุรกิจท่อก๊าซและการขายก๊าซออกไป รายได้คงหายไปประมาณ 20กว่า% และเป็นหนึ่งในรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอนไม่เป็นวัฏจักรของปตทเสียด้วย

แต่รัฐจะต้องจ่ายคืนเงินลงทุนที่ปตท ลงไปแล้วในการทำท่อก๊าซที่ทำระหว่างที่เป็นบริษัทมหาชนหรือเปล่า หรือยึดเอาเฉยๆ ได้เลย

แต่อะไรก็เป็นไปได้ในเมืองไทยครับ เรามันพวกลู่ลมอยู่แล้ว

สรุปแล้ว ใครใคร่ขาย ถือ หรือซื้อก็เชิญตามสะดวกครับ สำหรับความคิดเห็นในเวบนี้ผมถือเป็นการ discussion เพราะจริงๆ เราไม่ควรซื้อเพราะคนในเวบซื้ออยู่แล้ว แต่เราจะเอาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ หุ้นทุกตัวเป็นทั้งหุ้นดีและแย่ได้ทั้งนั้น แล้วแต่ว่าซื้อมาราคาไหน

รักกันไว้เถิด  :D  :D  :D  :D  :D  :D  :D  :D  :D  :D  :D  :D  :D

poppo เขียน: แต่ถ้าจะเอาปตทออกนอกตลาดจริง ผมจะไม่ขายปตท จะถือเอาไว้เตือนใจตัวเอง แต่คงล้างพอร์ทตัวอื่นๆไปก่อน

แอบขายอาหารปลาหรือครับคุณหมอ  :P

ใจเย็นๆ กันนะครับทุกคนเราเป็นเพื่อนที่แสดงแลกเปลี่ยนความเห็น แลกเปลี่ยนทัศนะกัน อย่าใช้อารมณ์ ออกตัวก่อนนะครับว่าผมเป็นนักลงทุนที่ไม่มีความรู้ลึกเท่าไรนะครับ การมองจึงได้แค่วิเคราะง่ายง่ายเท่านั้น(จ๊ะ)

ผมมอง ptt ดังนี้ ลักษณะกำไรของ ptt


             รายได้       กำไร
น้ำมัน      68% 4%
กาซ       16% 32%
ปตท.สผ    5% 40%
โรงกลั่น     7% 6%
ปิโตรเคมี   5% 17%

ผมมองว่ารายได้ของ ptt นั้นค่อนข้างซับซ้อนและแบ่งได้ตามหลายลักษณะตามลักษณะหุ้น 6 ประเภทของ ปีเตอร์ ลิ๊น อุ้ยอ้าย โตช้า โตเร็ว วัฏจักร ฟื้นตัว สินทรัพย์ ครับสำหรับ ปตท
ใน 5 อย่างนี้ที่ผมคิดว่าดูอุ่นใจสุดก็คือรายได้ ของ ปตทสผ.และก๊าซ ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่า
กำไรส่วนที่ได้จาก สผ.จะมีการเติบโตได้อีกพอควร ส่วนก๊าซนั้นหน่วยโรงแยกก๊าซที่ 6 ซึ่งน่าจะเป็นหน่วยโรงแยกก๊าซที่ใหญ่สุดในประเทศจะเปิดใช้ในปี 51 น่าจะพอจัดไว้ให้อุ่นใจว่า ไม่น่าจะแย่ลง
ส่วนนำ้มันนา่และโรงกลั่นจะมีความเป็นวัฎจักร นิดนึง แต่ไม่น่าจะเท่ากับปิโตรเคมี (ซึ่งอาจจะคิดว่าในช่วงปีที่แย่ อาจขาดทุนได้ แต่ธุรกิจที่จัดอยู่ในกลุ่มเติบโตน่าจะช่วยได้
ใครลองช่วยแก้ไขโต้แย้งได้นะครับ

ดูคร่าวๆ จาก pe ที่ตำ่ก็คิดว่า ptt ราคานี้มีส่วนเผื่อความปลอดภัยครับ (ในกรณีที่่ท่อก๊าซไม่มีปัญหา) อืม

ประเด็นท่อก๊าซตลาดรับรู้มานานพอสมควร น่าจะสะท้อนลงในราคาบ้างไม่มากก็น้อย ในวงการคาดว่าปตท อาจไม่ถูกออกจากตลาดแต่ต้องเสียสิทธิผูกขาดในกิจการท่อก๊าซไปอ่ะครับ

ยังไงมันก็เป็นแค่การคาดการณ์นะครับ ความคลุมเครือยังคงมีอยู่

ผมมองว่ายังไง ptt ก็ยังเป็นธุรกิจที่ผูกขาด กาซธรรมชาติก็ต้องขายในปริมาณไม่น้อยไปกว่านี้

pe ptt=5-6 เป็นราคาที่ถูกพอควรครับ  แม้แต่ในแง่ของ BV ถ้าเรานำมาปรับแก้ให้เหมาะสม
(คุณ IH เคยวิเคราะห์ ticon ด้วย การปรับแก้ BV จะได้มากกว่าที่บันทึกกว่า 2 เท่า, และยังมี property fund ทำให้นักลงทุนกล้่าซื้อหุ้นตัวนี้ แต่กับ PSL,TTA ที่มี PE ต่ำ กลับไม่มี VI ให้ความสนใจในราคานี้ 48 และ 24
แม้แต่ตอนนี้ PSL ได้ขายเรือออกไปในราคาที่สูงกว่า BV ถึง 8 เ่ท่า ขาย 216 ล้านบาท กำไร 191 ล้านบาท กลับมีคนออกมาให้ความเห็นว่าหุ้นเรือมีความเสี่ยงสูง )

แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลของนักลงทุนคือ ต้นทุนการลงทุนของ กลุ่ม ptt สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้ margin ต่ำลงไปเรื่อยๆ (คล้ายๆกับคนที่มาซื้อเรือต่อจาก PSL)
นั้นเป็นสัญญาการอยู่ที่ปลายวัฏจักร
แต่ไม่มีใครคิดว่า 538,545.72 ล้านบาทสำหรับ PTT นั้นมัมแสนจะถูก

"เคยฟังโฆษณาใหมครับ PTT ลงทุนครั้งแรกด้วยเงินลงทุนเท่าใหร่"

ผมว่า ที่คุณวิสกี้พูด ไม่เเรงนะ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ เเต่ถ้าคนเเปลเป็นไทยเเล้วอาจมีความรู้สึก



ตัว PTT ผมก็สนอยู่ครับ เเต่ติดตรงที่ว่ามันเป็น Holding  company  เวลาวิเคราะห์ ธุรกิจจะยากมาก เหมือนต้อง
วิเคราะห ทำให้ผมไม่กล้าใช้  DCF กับ PTT
- PTTEP
-TOP,RRC,BCP
-PTTCH ATC

มันเลยยากมากๆ ที่จะดู trend  ของทั้งเครือ เเต่ถ้าผ่านจากนี้ซัก 3-4 ปีเเล้ว กำไรของ PTT ไม่ตกเลย เเสดงว่าการ  Diversify  ธุรกิจของเขาได้ผล เเล้วอาจจะเป็นเหมือน  SCC  ต่อไปก็ได้

ความรู้น้อย ขอเเค่นี้นะครับ
 :oops:  :oops:

คุณ BenjaMinburee

ตัวเลขนี้เอามาจากไหน

เท่าที่ผมดูเล่นๆ pttep 9 เดือนกำไร 21,929.08

ptt มีหุ้น ใน pttep 66.10 ถ้าจะแบ่งกำไร ก็เท่ากับ 14495.12

เมื่อเทียบกับกำไร ptt ที่ 79,701.14  

คิดเป็น 18.19 % เองนะครับ ไม่ใช่ 40 %

top 9 เดือนกำไร  14,754.33

ptt มีหุ้น ใน pttep 49.54 ถ้าจะแบ่งกำไร ก็เท่ากับ 7309.30

เมื่อเทียบกับกำไร ptt ที่ 79,701.14  

คิดเป็น 9.17 %

pttch 9 เดือนกำไร 12,948.63

ptt มีหุ้น 50.84 ถ้าแบ่งกำไร ก็เท่ากับ 6583.08

คิดเป็น 8.26 %

atc 9 เดือนกำไร 4,253.70

ptt มีหุ้น 49.84 ถ้าแบ่งกำไร ก็เท่ากับ 2120.04

คิดเป็น 2.66 %

อืม รวมเท่าไรแล้วนี่ อ๋อ pttep + top + pttch + atc กำไรเท่ากับ 30507.54

เท่ากับ เท่ากับ 38 % ของกำไรทั้งหมด

เองนะครับ

rrc 9 เดือนกำไร 6,940.52

ptt มีหุ้น ใน rrc 48.75 % ถ้าจะแบ่งกำไร ก็เท่ากับ 3383.50

เมื่อเทียบกับกำไร ptt ที่ 79,701.14  

คิดเป็น 4.25 %

irpc 9 เดือนกำไร  9,105.13

ptt มีหุ้น ใน irpc 31.50 % ถ้าแบ่งกำไร ก็เท่ากับ 2868.12

คิดเป็น 3.60 %

..................................................................

อืม

กำไร pttep + top + pttch + atc + rrc + irpc = 36759.16

หรือเท่ากับ 46.12 % จากกำไรทั้งหมด 79,701.14

มีบริษัทไหนอีก ที่ ptt ถืออยู่ แล้วยังอยู่ในตลาดครับ

ดูไปดูมา สรุปได้ว่า ptt โดยตัวของ ptt เอง ทำรายได้ให้กับ ptt สูงที่สุด

สมัยแรกๆเคยได้ยินจากวิบูลย์ว่า ptt ไม่มีกำไร และ pttep อยู่ได้เพราะถือหุ้น pttep

แต่เหตุการณ์เปลี่ยนไปมากจริงๆ

ติดตามต่อ หนุกดี

อืมย์ ข้อมูลจากรายงานประจำปี 48(ไม่updateนะครับ) นะครับหน้า 179 หมายเหตุ 32

 ธุรกิจ                       กำไรขั้นต้น
น้ำมัน                         12,481ลบ.
ก๊าซธรรมชาติ                41,290ลบ.
สผ                             44,804ลบ.
การกลั่น                       13,158ลบ.
ปิโตรเคมี                      2,117ลบ.
อื่นๆ                            -
ปรับปรุงบัญชีระหว่างกัน    2,017ลบ.
รวม                             115,871

ตามตัวเลขนี้กำไรจาก สผ. ก็น่าอยู่ในราว 40%
แต่ก็มีค่าเสื่อมมากกเหมือนกัน สำหรับ สผ. ที่ 9,429ลบ.

อย่างไรก็ดีพอพลิกไปหน้า 11 ของงบปีเดียวกัน (ปี48) ส่วนกำไรของ สผ.อยู่ที่ 18% ของกำไรปตท.เท่านั้น

อันนั้นกำไรขั้นต้น สผ เสียภาษี 50 % คับ

มาถึงตรงนี้ส่วนต่างของกำไรของ สผ.(ที่แสดงในงบปี 48 หน้า 11 และหน้า 179) น่าจะอยู่ที่ บ.ย่อยของ สผ.นะครับ PTTEPO,
PTTEP IR, DPC , PTTEPM ข้อมูลจากงบปี 48 หน้า 156 นะครับ ผิดถูกอย่างไรเชิญชี้แนะนะครับ

แสดงว่า ptt กำไรจากก๊าช ที่ซื้อมาจาก สผ. มากจริงๆ

และตอนนี้ก็มีการเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ กันเยอะ

ในขณะที่น้ำมัน ก็อย่างต้นกระทู้ คือ ค่าเงินบาทแข็ง นำเข้า ต้นทุนต่ำ และน้ำมันลง ทำให้ ต้นทุนต่ำเข้าไปอีก

ผมสรุป เหมือนเดิม น่าซื้อมาก

แต่ความเห็นของคุณ eto คือ กฎหมายดั้มปิ้ง + ราคาน่าจะรอที่ 100 ก็น่าสนใจ

อิอิ

อันนั้นกำไรขั้นต้น สผ เสียภาษี 50 % คับ

ขอบคุณคับ