ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เนสเล่ครับ
โพสต์ที่ 61
[quote="Babajack"]เนสเล่
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 62
คงไม่มีใครมี idea อื่นแล้ว
เอาตามนี้เลยก็ได้ครับ รบกวนคุณ hansome ด้วยครับ
ขอบคุณครับ :D
ถ้าเปลี่ยนเป็นมองหาเบอร์หนึ่งที่น่าจะมีโอกาสโตพร้อม
ข้อมูลสั้นๆดีไหมครับเดี๋ยวผมช่วยหาจาก100คน100หุ้น
เอาตามนี้เลยก็ได้ครับ รบกวนคุณ hansome ด้วยครับ
ขอบคุณครับ :D
"Winners never quit, and quitters never win."
- Acumen
- Verified User
- โพสต์: 37
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 64
ข้อมูล TASCO ครับ
ธุรกิจหลัก/ผลิตภัณฑ์หลัก
ผลิตและจำหน่ายยางแอสฟัลท์อิมัลชั่น (Asphalt Emulsion) และยางมะตอยผสม
สำเร็จ (Tipco Premix) สำหรับใช้ในงานสร้างทางและซ่อมบำรุงผิวทางหลวงและผิวจราจร
ต่าง ๆ นอกนี้บริษัทยังเป็นผู้จัดจำหน่ายยางแอสฟัลท์ซีเมนต์ (Asphalt Cement) โพลิเมอร์
โมดิฟายด์แอสฟัลท์ ทิปโก้ จอยท์ ซีลเลอร์ ทิปโก้ จอยท์ พริเมอร์ (Tipco Joint Primer)
ยางแอสฟัลท์ซีเมนต์และเป็นผู้จัดจำหน่ายน้ำมันที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6
เท่าที่ทราบงานที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นงานรัฐครับ ไม่รู้เม็กกะโปรเจ็คมีผลกระทบขนาดไหน
ตกลง KCAR นี่ไม่ใช่ที่หนึ่งใช่ไหมครับ :?:
ธุรกิจหลัก/ผลิตภัณฑ์หลัก
ผลิตและจำหน่ายยางแอสฟัลท์อิมัลชั่น (Asphalt Emulsion) และยางมะตอยผสม
สำเร็จ (Tipco Premix) สำหรับใช้ในงานสร้างทางและซ่อมบำรุงผิวทางหลวงและผิวจราจร
ต่าง ๆ นอกนี้บริษัทยังเป็นผู้จัดจำหน่ายยางแอสฟัลท์ซีเมนต์ (Asphalt Cement) โพลิเมอร์
โมดิฟายด์แอสฟัลท์ ทิปโก้ จอยท์ ซีลเลอร์ ทิปโก้ จอยท์ พริเมอร์ (Tipco Joint Primer)
ยางแอสฟัลท์ซีเมนต์และเป็นผู้จัดจำหน่ายน้ำมันที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6
เท่าที่ทราบงานที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นงานรัฐครับ ไม่รู้เม็กกะโปรเจ็คมีผลกระทบขนาดไหน
ตกลง KCAR นี่ไม่ใช่ที่หนึ่งใช่ไหมครับ :?:
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 65
[quote="Acumen"]ตกลง KCAR นี่ไม่ใช่ที่หนึ่งใช่ไหมครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
- วัวแดง
- Verified User
- โพสต์: 1429
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 68
1.เริ่มที่ pe+pbv ดีมั้ยครับ เช่นpe ไม่เกิน 20 และ pbv ไม่เกิน 2.5 เป็นไงครับ
หรือหาpe+pbvเฉลี่ยย้อนหลัง 5ปี มาเทียบด้วย เพื่อเราจะได้ทราบว่าตอนนี้ราคาสูงมากกว่าอดีตมากน้อยเพียงใด
2.roe หรือ roaมากกว่า 10% ถ้าต่ำกว่านั้น ตัดออก ดีมั้ยครับ
หรือ หาroe,roa เฉลี่ยย้อนหลัง5ปี มาเปรียบเทียบกับค่าปัจจุปัน ว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่
3.การเติบโต ย้อนหลัง5ปี
3.1 รายได้
3.2 กำไร
3.3 ส่วนผู้ถือหุ้น
หรือไงดีครับ
หรือหาpe+pbvเฉลี่ยย้อนหลัง 5ปี มาเทียบด้วย เพื่อเราจะได้ทราบว่าตอนนี้ราคาสูงมากกว่าอดีตมากน้อยเพียงใด
2.roe หรือ roaมากกว่า 10% ถ้าต่ำกว่านั้น ตัดออก ดีมั้ยครับ
หรือ หาroe,roa เฉลี่ยย้อนหลัง5ปี มาเปรียบเทียบกับค่าปัจจุปัน ว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่
3.การเติบโต ย้อนหลัง5ปี
3.1 รายได้
3.2 กำไร
3.3 ส่วนผู้ถือหุ้น
หรือไงดีครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 69
หรือจะเอา quality analysisก่อน quantity analysisดู ทั้งบัฟเฟตต์กับดร.นิเวศน์ชอบใช้นะ
ส่วนตัวผมเห็นว่า คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ เมื่อได้คุณภาพแล้วตะแกรงขั้นที่สามค่อยใช้ปริมาณดีไหมครับ
คุณภาพที่ว่าอาจจะตั้งโจทย์ว่า
เป็นหุ้นที่จะได้กำไรมากขึ้นแน่ๆ จากสาเหตุอะไรก็ตาม เช่น จากการมีคูเมืองกำแพงกั้น หรืออะไรก็ได้ พร้อมกับบอกสาเหตุที่มั่นใจว่ากำไรโตแน่ๆและยาวนานพอสมควร
ดีไหมครับ.......
ส่วนตัวผมเห็นว่า คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ เมื่อได้คุณภาพแล้วตะแกรงขั้นที่สามค่อยใช้ปริมาณดีไหมครับ
คุณภาพที่ว่าอาจจะตั้งโจทย์ว่า
เป็นหุ้นที่จะได้กำไรมากขึ้นแน่ๆ จากสาเหตุอะไรก็ตาม เช่น จากการมีคูเมืองกำแพงกั้น หรืออะไรก็ได้ พร้อมกับบอกสาเหตุที่มั่นใจว่ากำไรโตแน่ๆและยาวนานพอสมควร
ดีไหมครับ.......
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 71
งั้นขออนุญาติสรุปตะแกรงเบอร์ 2
"คุณคิดว่าธุรกิจเบอร์ 1 ทั้งหมด ที่มีอยู่นี้ตัวไหนน่าจะมีการเติบโตของผลกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า พร้อมด้วยเหตุผลสั้นๆ"
สำหรับท่านที่คิดว่าน่าจะมีหุ้นที่ผ่านตะแกรงเบอร์ 1 อีก ก็ทยอยเพิ่มได้นะครับ
ส่วนท่านที่พยายามร่อนตะแกรงเบอร์ 2 ก็เดินหน้าได้เลยครับ
ผมอาจจะไม่ค่อยได้ Post สักพักนึง แต่จะตามดูและ update ย้อนหลังให้ครับ
เชิญร่อนหาหุ้นที่ผ่านตะแกรงรอบ 2 ได้เลยนะครับ...
"คุณคิดว่าธุรกิจเบอร์ 1 ทั้งหมด ที่มีอยู่นี้ตัวไหนน่าจะมีการเติบโตของผลกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า พร้อมด้วยเหตุผลสั้นๆ"
โค้ด: เลือกทั้งหมด
AA กระดาษ
ADVANC มือถือ
AMATA นิคมอุตสาหกรรม
AOT ท่าอากาศยาน
APRINT นิตยสาร
BAFS เชื้อเพลิงเครื่องบิน
BANPU ถ่านหิน
BAT-3K แบตเตอรี่
BBL ธนาคาร
BECL ทางด่วน
BGH โรงพยาบาล
BLAND ศูนย์นิทรรศการ
BOL IT Solution (For SME)
CAWOW Fitness
CP7-11 Convenience Stre
CPF ไก่
CPN ห้างสรรพสินค้า
EASTW น้ำ
GMMM สื่อสาร/บันเทิง
GRAMMY เพลง
HMPRO อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน
ILINK IT (Computer Network)
IRC ยางรถมอเตอร์ไซค์
IT สินค้า IT
ITD รับเหมาก่อสร้าง
JCT พลาสเตอร์ (?)
KCAR ธุรกิจรถเช่า
KEST Broker
LH บ้าน
LPN คอนโด
MACO Cutout
MAJOR โรงภาพยนตร์
MATI หนังสือพิมพ์เชิงคุณภาพ
MINT Pizza / Icecream
MODERN Furniture
OGC ผลิตภัณฑ์จากแก้ว
OISHI ชาเขียว
PATKL Refrigeration & Food Machinery
PB ขนมปัง
PDI สังกะสี
PICNI ถังแก๊สเล็ก
PR ก๋วยจั๊บ โจ๊ก วุ้นเส้น สำเร็จรูป (มาม่า)
PTT พลังงาน (น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ)
PTTEP สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
Q-CON คอนกรีตมวลเบา
S&P เค้ก
S&P Cake
S2Y Mobile Content
SATTEL ดาวเทียม
SAUCE ซ๊อส
SCC ปูนซีเมนต์
SEAFCO ตอกเสาเข็ม
SECC Import Car
SE-ED ขายปลีกหนังสือ
SF Retail real estate developer
SITHAI อุปกรณ์บนโต๊ะอาหาร
SNC ชิ้นส่วนแอร์
SOLAR Solar Cell
SORKON หมูหยอง กุนเชียง
SPORT หนังสือพิมพ์กีฬา
SSC น้ำอัดลม
STANLY ไฟหน้ารถยนตร์
SUC ซิป
TASCO ยางมะตอย
TBSP งานพิมพ์เฉพาะด้าน
TCAP ? (ถามคุณ BSL)
TCB ยางรถยนต์
TF บะหมีกึ่งสำเร็จรูป
THAI สายการบิน
TICON โรงงานให้เช่า
TIPCO น้ำผลไม้
TLUXE อาหารสัตว์น้ำ
TPA อะคริลิค
TRUE IT (Broadband)
TUF ปลาทูน่า
VNG แผ่นไม้ชนิดต่างๆ
WACOAL ชุดชั้นใน
WORK เกมส์โชว์
ส่วนท่านที่พยายามร่อนตะแกรงเบอร์ 2 ก็เดินหน้าได้เลยครับ
ผมอาจจะไม่ค่อยได้ Post สักพักนึง แต่จะตามดูและ update ย้อนหลังให้ครับ
เชิญร่อนหาหุ้นที่ผ่านตะแกรงรอบ 2 ได้เลยนะครับ...
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 73
อาหารญี่ปุ่น ผมเข้าใจว่า ฟูจิครับ
เลยไม่ได้ใส่ไว้
แต่ชาเขียวเนี่ย ค่อนข้างชัวร์ว่า OISHI แน่
(เมื่อก่อน UNIF แต่ OISHI แซงปีที่แล้ว)
และ OISHI ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้มาจากเครื่องดื่มมากกว่าอาหารค่อนข้างมากครับ...
เลยไม่ได้ใส่ไว้
แต่ชาเขียวเนี่ย ค่อนข้างชัวร์ว่า OISHI แน่
(เมื่อก่อน UNIF แต่ OISHI แซงปีที่แล้ว)
และ OISHI ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้มาจากเครื่องดื่มมากกว่าอาหารค่อนข้างมากครับ...
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 74
ผมคิดว่าธุรกิจเบอร์ 1 ทั้งหมด ที่มีอยู่นี้ BOL น่าจะมีการเติบโตของผลกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า พร้อมด้วยเหตุผลสั้นๆ
ข้อมูลทั่วไปใหญ่มากและมีหลากหลาย
--ข้อมูลcompany
--individual-retail
--คนไข้
--automobile
--telephone..fixed&mobile
--ประชากร
--คนต่างด้าว
--นักเรียนนักศึกษา
--ทรัพยากรภูมิศาสตร์
--Household
--สาธารณูปโภค
etc...
พวกนี้เอาไปประมวลได้เยอะแยะ
--banking and finance--loan/ credit bureau
--banking and finance--regulation compliance
--real estate
--hospital
--pension
--communication
--insurance&assurance
--research-science & consumer
--competition
--population/family planning
--traffic planning
--crime surveilence/detective
--investment planning/regulation
--corporate/state strategy planning
--public utility planning--water, electricity,mega projects
ลูกค้าทั้งภาครัฐ, เอกชน -- รายใหญ่และรายเล็กรายย่อย-- กระหายต้องการข้อมูลทั้งนั้น
ข้อมูลทั่วไปใหญ่มากและมีหลากหลาย
--ข้อมูลcompany
--individual-retail
--คนไข้
--automobile
--telephone..fixed&mobile
--ประชากร
--คนต่างด้าว
--นักเรียนนักศึกษา
--ทรัพยากรภูมิศาสตร์
--Household
--สาธารณูปโภค
etc...
พวกนี้เอาไปประมวลได้เยอะแยะ
--banking and finance--loan/ credit bureau
--banking and finance--regulation compliance
--real estate
--hospital
--pension
--communication
--insurance&assurance
--research-science & consumer
--competition
--population/family planning
--traffic planning
--crime surveilence/detective
--investment planning/regulation
--corporate/state strategy planning
--public utility planning--water, electricity,mega projects
ลูกค้าทั้งภาครัฐ, เอกชน -- รายใหญ่และรายเล็กรายย่อย-- กระหายต้องการข้อมูลทั้งนั้น
Rabbit VS. Turtle
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 76
SNC ชิ้นส่วนแอร์ครับ
เพราะว่าจากการเป็นผู้นำในด้านผลิตชิ้นส่วนแอร์แล้ว
ลูกค้าส่วนใหญ่ของ snc มักจะมี product line เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายอย่าง และมักจะเชื่อใจ snc ให้ทำชิ้นส่วนให้
จากผลิตท่อแอร์ ไปแอร์รถ ฝาแอร์ ท่อตู้เย็น ฝาตู้เย็น แม่พิมพ์ และตอนนี้ก็ศึกษาการต่อแอร์ทั้งตู้อยู่ ถ้าจำไม่ผิดฟูจิซึอยากให้ประกอบแอร์ให้ทั้งตู้เลย
ผมว่าอีก 5 ปี คุณสมชัยทำได้แน่ครับ
เพราะว่าจากการเป็นผู้นำในด้านผลิตชิ้นส่วนแอร์แล้ว
ลูกค้าส่วนใหญ่ของ snc มักจะมี product line เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายอย่าง และมักจะเชื่อใจ snc ให้ทำชิ้นส่วนให้
จากผลิตท่อแอร์ ไปแอร์รถ ฝาแอร์ ท่อตู้เย็น ฝาตู้เย็น แม่พิมพ์ และตอนนี้ก็ศึกษาการต่อแอร์ทั้งตู้อยู่ ถ้าจำไม่ผิดฟูจิซึอยากให้ประกอบแอร์ให้ทั้งตู้เลย
ผมว่าอีก 5 ปี คุณสมชัยทำได้แน่ครับ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 77
ต้องการทราบมุมมอง ท่าน Mr.Boo สำหรับ BOL ในประเด็นดังนี้ครับ
1. BOL เป็นบริษัทขนาดเล็ก
ตรงนี้มีมุมมองเกี่ยวกับ Potential Entrants อย่างไร
2. ปัจจุบันมีคู่แข่งหรือเปล่า
3. สำหรับ BOL มีจุดที่ต้องระวังเกี่ยวกับการลิขสิทธิ์
เช่นเดียวกับ Software House ทั่วไปหรือเปล่า
4. ยอดขาย Q1 โต เพราะอะไร
และคิดว่าทั้งปีจะทำกำไรได้เท่าไหร่
อะไรเป็นที่มาของการก้าวกระโดษของผลกำไร
5. ธุรกิจ Software สินค้าก็คือมันสมองของพนักงาน
ระบบการให้บริการดังกล่าว สร้างจากมันสมอง คนไทย/ต่างชาติ?
ปัญหาการซื้อตัว Programmer เก่งๆ?
6. ลูกค้าใช้แล้ว มักติดใจ สมัครใช้บริการซ้ำๆ ใช่มั้ยครับ
หรือพอได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วก็เลิก?
(ขอ comment สั้นๆ ครับ)
1. BOL เป็นบริษัทขนาดเล็ก
ตรงนี้มีมุมมองเกี่ยวกับ Potential Entrants อย่างไร
2. ปัจจุบันมีคู่แข่งหรือเปล่า
3. สำหรับ BOL มีจุดที่ต้องระวังเกี่ยวกับการลิขสิทธิ์
เช่นเดียวกับ Software House ทั่วไปหรือเปล่า
4. ยอดขาย Q1 โต เพราะอะไร
และคิดว่าทั้งปีจะทำกำไรได้เท่าไหร่
อะไรเป็นที่มาของการก้าวกระโดษของผลกำไร
5. ธุรกิจ Software สินค้าก็คือมันสมองของพนักงาน
ระบบการให้บริการดังกล่าว สร้างจากมันสมอง คนไทย/ต่างชาติ?
ปัญหาการซื้อตัว Programmer เก่งๆ?
6. ลูกค้าใช้แล้ว มักติดใจ สมัครใช้บริการซ้ำๆ ใช่มั้ยครับ
หรือพอได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วก็เลิก?
(ขอ comment สั้นๆ ครับ)
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 78
ต้องขอบคุณอุตส่าห์ถาม
แต่ผมติดตามBOLมาแค่ระยะหนึ่ง อาจจะcoverไม่หมด
BOL ขาดทุนอยู่๕ปี
ลองเปรียบเทียบ บริษัท ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด ของธอส.และบริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด ของสมาคมธนาคาร ไม่รอดขาดทุนทั้งคู่ ต้องรวมกันโดยบริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง เป็นแกน ซึ่งคือค่าย BOL
แต่ผมติดตามBOLมาแค่ระยะหนึ่ง อาจจะcoverไม่หมด
เป็นไปได้ครับ แต่ BOL ตั้งมา๑๑ปีกำลังอยู่ในช่วงขายบริการจากที่ได้ลงทุนไปและตัดค่าเสื่อมไปเยอะเอาการ ด้านBOLกำลังรับดอกผล เจ้าใหม่ต้องเริ่มใหม่ เร็วที่สุดก็ล้ำหน้า๓-๕ปี ตลาดไม่ใหญ่ยักษ์ในวันนี้หรอก เจ้าใหม่ผมว่าเหนื่อย ต้องลงทุนสัก๑๐๐ถึง๑๕๐ล้านอย่างต่ำ จะเอา partnerให้ครบทั้งในและตปท ก็มีplayerจำกัด ที่support software, image and recognition, networking and database1. BOL เป็นบริษัทขนาดเล็ก
ตรงนี้มีมุมมองเกี่ยวกับ Potential Entrants อย่างไร
BOL ขาดทุนอยู่๕ปี
ลองเปรียบเทียบ บริษัท ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด ของธอส.และบริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด ของสมาคมธนาคาร ไม่รอดขาดทุนทั้งคู่ ต้องรวมกันโดยบริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง เป็นแกน ซึ่งคือค่าย BOL
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 79
ขอบคุณ ท่าน Mr.Boo สำหรับ comment...
(ท่านใดมีอะไรเสริม เชิญเลยนะครับ)
ผมคิดว่าธุรกิจเบอร์ 1 ทั้งหมด ที่มีอยู่นี้ SE-ED น่าจะมีการเติบโตของผลกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า เนื่องจาก
1. เป็น Market Leader ในปัจจุบัน และมีชื่อเสียงด้านการจัดจำหน่ายหนังสือที่แข็งแกร่ง
2. ฐานประกรในปัจจุบันมีกลุ่มวัยทำงานมากขึ้น
ซึ่งเป็นกลุ่มที่แสวงหาความรู้
3. Knowledge Base Society ->> หนังสือขายดี
4. การมีสาขาจัดจำหน่าย ที่ขยายไปทั่วประเทศกว่า 200 ร้าน
(ท่านใดมีอะไรเสริม เชิญเลยนะครับ)
ผมคิดว่าธุรกิจเบอร์ 1 ทั้งหมด ที่มีอยู่นี้ SE-ED น่าจะมีการเติบโตของผลกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า เนื่องจาก
1. เป็น Market Leader ในปัจจุบัน และมีชื่อเสียงด้านการจัดจำหน่ายหนังสือที่แข็งแกร่ง
2. ฐานประกรในปัจจุบันมีกลุ่มวัยทำงานมากขึ้น
ซึ่งเป็นกลุ่มที่แสวงหาความรู้
3. Knowledge Base Society ->> หนังสือขายดี
4. การมีสาขาจัดจำหน่าย ที่ขยายไปทั่วประเทศกว่า 200 ร้าน
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 80
มี แต่ overlap กันนิดหน่อยHVI เขียน:2. ปัจจุบันมีคู่แข่งหรือเปล่า
ไม่น่า เพราะส่วนใหญ่มาจากบริษัทที่เป็นหุ้นส่วนHVI เขียน:3. สำหรับ BOL มีจุดที่ต้องระวังเกี่ยวกับการลิขสิทธิ์
เช่นเดียวกับ Software House ทั่วไปหรือเปล่า
ผมว่าเขา deal กันสำเร็จ และมาbook ในQ1HVI เขียน:4. ยอดขาย Q1 โต เพราะอะไร
และคิดว่าทั้งปีจะทำกำไรได้เท่าไหร่
อะไรเป็นที่มาของการก้าวกระโดษของผลกำไร
expense หลายตัวได้ตัดๆไปบ้างแล้ว พอbookขายเลยมี marginดี มีกำไรส่วนเกิน แปลว่ามี economy of scale/เกินจุด break-even pointไปหน่อยๆ แล้วแหละ (เหมือนS&Pส่วนลงทุนใหม่ในช่วง๓-๔ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ก็เกินB-E point เหมือนกัน ผมว่านะ)
จริงๆผมว่าเป็นแค่ sign ที่ดีนะที่ bankใหญ่ๆเริ่มยอมรับและซื้อ bankที่เหลือคงทะยอยซื้อตาม แต่ไม่ขายเทน้ำเทท่าหรอก คงมีจังหวะเหมือนกัน
Credit Bureau ก็ไม่ขาดทุนแล้วมั๊ง
ผมว่า น่าจะ 25-30satang dividend 23-25satang(สภาพคล่องเหลือ) เมียผมก็คงไม่ค้อนแล้ว
ผมเดาว่า งานS/W ส่วนใหญ่น่าจะใช้ D&B และ AR Group ของคุณJack ต่างฝ่ายต่างพึ่งกัน programmerจึงน่าจะเป็นปัญหาร่วมกันHVI เขียน:5. ธุรกิจ Software สินค้าก็คือมันสมองของพนักงาน
ระบบการให้บริการดังกล่าว สร้างจากมันสมอง คนไทย/ต่างชาติ?
ปัญหาการซื้อตัว Programmer เก่งๆ?
ตามความคิดผมนะ ลูกค้าต้องproveเองว่าได้ประโยชน์มีค่ามากกว่าเงินที่จ่าย ฉะนั้นลูกค้าต้องใช้ได้ใช้เป็นและมีตังค์ ถ้าได้ประโยชน์จริงๆแล้ว ก็จะใช้ไปเรื่อยๆ เช่นปีนึงมีลูกค้าใหม่เพิ่ม๑๕ราย แต่ต้องคัดออก๑๕ราย ต้องเช็ครวม๓๐ราย suppliersในประเทศก็เช็ค คู่แข่งไม่อยู่ในSETก็เช็ค ผมเคยเช็คโยงไปไขว้มาเจอเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมา๒๐ปีไปเป็นกรรมการใน ilink ??!! เชื่อมะ ??HVI เขียน:6. ลูกค้าใช้แล้ว มักติดใจ สมัครใช้บริการซ้ำๆ ใช่มั้ยครับ
หรือพอได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วก็เลิก?
ผมชอบคำถามของคุณมาก ทำให้ผมรอบคอบขึ้น ขอบคุณที่ถาม
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 81
ขอบคุณท่าน Mr.Boo ที่ชอบคำถาม งั้นเดี๋ยวถามบ่อยๆครับ :D
คิดถึงกระทู้นี้... เลยขุดขึ้นมา
ร่อนกันไปถึงไหนแล้วครับ
สงสัยแอบไปร่อนในใจ แล้วเงียบแน่เลย...
คิดถึงกระทู้นี้... เลยขุดขึ้นมา
ร่อนกันไปถึงไหนแล้วครับ
สงสัยแอบไปร่อนในใจ แล้วเงียบแน่เลย...
"Winners never quit, and quitters never win."
- Raphin Phraiwal
- Verified User
- โพสต์: 1342
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 82
กระทู้นี้สุดยอดครับ
รักในหลวงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 85
แค่อยากให้โพสต่อครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1112
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 86
LOXLEY จ้าวแห่งหวยonline (ที่กำลังติดตั้ง ) พอได้ไหมครับวัวแดง เขียน:อยากให้เพื่อนๆ ที่พอรู้ตัวไหนเข้ามาเยอะๆครับ มีประโยชน์ต่อส่วนรวมแน่นอน (ส่วนผมรู้น้อยกว่าเพื่อนๆในนี้มาก )
ถ้าเรามองจากภาพใหญ่ก่อน แล้วมา กรองที่ล่ะชั้น ผมว่าได้หุ้นที่สุดยอดแน่นอน ระดมความคิดกันหน่อย
ปล.port ผมมีเข้าเค้าบ้างครับ APRINT EASTW SPORT กำลังเล็ง LOX.. อยู่ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 79
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 87
ร่อนกันไปถึงไหนแล้วครับ เห็นเงียบไปเลย กระทู้นี้ดีกับรายใหม่ๆมากเลยอยากให้ร่อนต่อครับ :idea: :idea:
-
- Verified User
- โพสต์: 1061
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 88
ผมคิดว่าอันดับ1 แล้วน่าจะมีโอกาสโตต่อเนื่องคือ ticon
ครับแต่ไม่ค่อยกล้าโพสเพราะผมถืออยู่ตัวเดียวในพอร์ต
เลยครับกลัวจะน่าเกลียดน่ะครับ เหตุผลนะครับคือ
1.ครอง market share อันดับ1
2.ไม่มีคู่แข่งในตลาดระดับเดียว(หมายถึงทำโรงงาน
ขนาดเดียวกันน่ะครับ อมตะจะทำsize เล็กกว่ามาก และ
จากข้อมูลล่าสุดอมตะก็ขายที่ให้ ticon แปลว่าไม่ได้มอง
ว่า ticon เป็นคู่แข่งครับ )กันเลย ได้เปรียบในด้าน
economy of scale มากๆ
3.อยู่ในธุรกิจที่พึ่งจะเริ่มต้นถ้ามองจาก BCG matrix น่า
จะเป็น star ในสายตาผมครับ จากข้อมูลที่อ่านล่าสุดใน
ร้อยคนร้อยหุ้นคือปัจจุบันในประเทศไทยมีโรงงานให้เช่า
เพียงแค่ 1%จากยอดโรงงานทั้งหมดครับ สาเหตุเพราะ
คนไทยยังยึดติดกับการเป็นเจ้าของด้วยตัวเองแต่ก็เริ่มมี
ลูกค้าคนไทยบ้างแล้วในไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งเป็น
สัญญาณที่ดีว่าคนเริ่มเรียนรู้ว่าการเช่าค่อนข้างสะดวก
ช่วยในเรื่อง economy of speed มากๆและสิทธิ
ประโยชน์อื่นๆอีกมากมายที่จะได้จากเช่าโรงงานในนิคม
ครับ ( สังเกตุว่าปัจจุบันบริษัทมักจะนิยมการเช่าพวก
อุปกรณ์เครื่องจักร รถ ที่มีdepreciationและค่า
maintenance สูงเพื่อลด cost และช่วยเพิ่มให้ตัวเลข
ROA ดูดีขึ้นครับ)
และ สังเกตุ
ง่ายๆว่ายังไม่มีคู่แข่งโดดมาช่วยขยายตลาดอย่างจริงจัง
ปัจจุบันมีเพียง 5 บริษัทที่ทำและปริมาณก็เทียบกับ
ticon ไม่ติดครับทำให้กำไรยังคงอยู่ใน
ช่วงที่สูงมาก(แปลว่าถ้ามีการแข่งขันรุนแรงเกิดขึ้นก็
สามารถลดราคาได้ครับ โดยการลด margin ลงบ้าง)
4.จาก research ล่าสุดที่อ่านของ ABN AMRO ( ต้องขอบคุณพี่ๆจากห้อง ticon ด้วยครับ )ได้วิเคราะห์คะแนน ticon
ดังนี้ครับ
Supplier power 3+
Ticon has some bargaining power, as it is a regular buyer of industrial land. However, demand for
industrial land is healthy; hence the power is limited somewhat
Barriers to entry 3-
Any new competitor may enter the market if it has sufficient financial backing. Industry knowledge
(such as marketing and cost control) may take time to build.
Customer power 4+
Customers have limited bargaining power, as only a few factories are available for rent. Stronger
demand for its product is also giving Ticon more bargaining power.
Substitute products 5+
Investors either own a factory or rent one. No other form of substitute product exists now or looks
likely to in future.
Rivalry 5+
Very limited competition, with only five operators in the country. No indication of any new
competitors coming into the market. Thus, low competition is expected to continue.
Scoring range 1-5 (high score is good) Plus = getting better Minus = getting worse
ซึ่งเรื่องคูเมืองวิเคราะห์ได้น่าสนใจแต่ผมกลับมองว่าถ้าเข้ามาทำได้ง่ายจริงๆและสามารถทำกำไรได้มากอย่างที่ ticon ทำได้จริงๆ
rojana amata hemraj คงทำไปนานแล้วครับไม่ปล่อยให้ ticon เก็บกำไรง่ายๆแบบนี้หรอกครับ ต้องมีเหตุผลบางอย่าง
ที่บริษัทเหล่านี้วิเคราะห์แล้วเห็นว่ากำไรไม่ง่ายอย่างที่คาดจึงอยังไม่ทำครับ สรุปคือผมมองว่า barrier ค่อนข้างสูงกว่าที่ประเมิณ
มากครับ อันนี้เป็นความเห็นอาจารย์ invisible hand ครับ
3. ในด้านของคู่แข่งก็เริ่มมีมากทำกันเยอะขึ้นซึ่งค่าใช้จ่ายอาจจะสูงกว่า แต่ผมคิดว่าในอนาคตถ้าเป็นธุระกิจที่ดีเขาคงจะหันมาลดต้นทุนกันได้แน่ๆ ซึ่งอาจจะไม่ในเร็ววันนี้ มีข้อแนะนำยังไงบ้างครับ
- ถ้าคู่แข่งจะลดต้นทุนให้ใกล้เคียงกับ ticon ก็จะต้องสร้างเองครับ เพื่อตัดต้นทุนค่าจ้างผู้รับเหมาไป ซึ่งการสร้างเองนั้นผมมองว่าปัญหาเยอะและไม่ง่ายเลยครับ ดังนั้นการที่ ticon สามารถทำการก่อสร้างโรงงานปีละมากๆ ได้โดยใช้ทรัพยากรในบริษัทจึงถือว่าเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งครับและเป็น entry barrier ด้วย และอีกประการหนึ่งคือ คู่แข่งรายใหม่แม้จะสร้างเอง แต่การที่จำนวนการสร้างในแต่ละปีน้อยก็จะทำให้ไม่เกิด economy of scale ในการซื้อวัสดุ และมี fixed cost สูงที่เกิดจากการจ้างวิศวกร โฟร์แมน ไปๆ มาๆ ค่าก่อสร้างอาจจะสูงกว่าการใช้ผู้รับเหมา อย่างปีหน้า ticon จะสร้างโรงงาน ประมาณ 50 โรงงาน ใช้เงินประมาณ 1300 ล้าน และสร้างโกดังอีกในจำนวนใกล้เคียงกัน ดังนั้นคู่แข่งที่จะมีเงินทุนเท่า ticon เพื่อสร้างโรงงานและโกดังให้ได้ scale เดียวกันผมยังมองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ครับ แม้แต่ amata หรือ hemraj ก็จะสร้างอยู่ปีละ 10-30 โรงงานครับ
5.ในปี 2004 ticon มีโรงงานเพียง 102 โรงครับ ปัจจุบันมีมากกว่า 279 ใน q1 2006 ครับ เท่ากับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามี
growth rate สูงถึง173% ครับและน่าจะโตต่อเนื่องจากที่กล่าวแล้วว่าปัจจุบันมีโรงงานให้เช่าเพียง 1% เมื่อความคิดคน
เอเชียเปลี่ยนแปลงในทางที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในอนาคตครับ อย่าลืมว่า ticon ไม่ได้ทำแค่โรงงานแต่ให้บริการการติดต่อกับ
ทางราชการด้วยซึ่งผมมองว่าตรงคืออีกหนึ่งจุดแข็งครับ เพราะถือว่าเป็น service business ไปในตัว
6. หุ้น Ticon เหมือนเป็น Asset play ไปในตัวแต่ดีกว่านั้นคือเป็นหุ้น Asset play ที่ไม่ต้องรอคนมา unlock ครับ
กุญแจปัจจุบันคือ property fund ครับเรื่องความกังวลว่าจะออกไม่ได้ก็น่าจะเห็นกันมาพอสมควรแล้วว่าขนาดดอกเบี้ยเป็นขา
ขึ้นแต่ ticon ก็ยังสามารถขายหน่วยลงทุนได้หมดและต่อให้ในอนาคตดอกเบี้ยขึ้นสูงอีกสัก 2-3 % ผู้บริหารก็ได้แจ้งแล้วว่าไม่มี
ปัญหาแค่ลด margin จากการขายลงบ้างก็จะทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้นเอง ซึ่งถ้าดอกเบี้ยขึ้นสูงกว่า 10 % ผมว่าหุ้นตัวอื่นๆออก
จะน่าห่วงกว่านะครับ
7. occupancy rate เฉลี่ยตลอด 8 ปี ของ ticon อยู่ที่ 85% ครับถึงแม้จะมีช่วงวิกฤตก็ยังเติบโตได้ครับ โดยใน
q12006 มี occupancy rate สูงถึง 96% ครับ น่าจะพอๆกับห้างสรรพสินค้าดังๆเลยนะครับ ( ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน
ครับ)
8. อันนี้เป็นการวิเคราะห์ของ อาจารย์ invisible hand เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วครับ
ticon มีแผนที่จะนำเงินสดที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้า property fund ไปลงทุนในธุรกิจที่ ticon สนใจแต่ยังไม่ได้ทำเพราะที่ผ่านมามี่ข้อจำกัดด้านเงินทุน ได้แก่ การสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ให้เช่ากับบริษัทข้ามชาติ และการสร้างโกดังให้เช่า ซึ่งเป็นการขยายฐานรายได้ของบริษัทในอนาคต
สำหรับความกังวลเรื่องการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนจะเป็นกำไรที่เกิดขึ้นเพียงปีเดียวหรือไม่ ผมเชื่อว่าบทวิเคราะห์หลายแห่งที่อาจจะออกในวันพรุ่งนี้หรือสัปดาห์หน้า อาจจะเขียนว่าเป็น one-time แต่เท่าที่สอบถามทางบริษัท ticon มีแผนที่จะขายโรงงานให้กับกองทุนอสังหาฯ ในปีต่อๆ ไป โดยกำลังพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเป็นการขายโรงงานให้กับกองทุนอสังหาฯ ที่ออกปีนี้ ( โดยให้กองทุนอสังหาฯ เพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ) หรือ ขายให้กับกองทุนอสังหาฯ ที่ออกใหม่ในปีต่อๆ ไป
ดังนั้น จาก model การขยายธุรกิจซึ่งเพิ่มจากเดิมซึ่งทำเพียงการสร้างโรงงานขนาดเล็กให้เช่า เป็น ทั้งการสร้างโรงงานขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ และการสร้างโกดังเก็บสินค้า ทำให้ผมมองว่า ticon น่าจะมีการเติบโตของรายได้ในระดับที่สูงใน 2-3 ปีข้างหน้า และน่าจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้า property fund อย่างต่อเนื่อง และฐานรายได้จากการให้เข่าก็สูงขึ้น รวมทั้งการได้รับค่า fee จากการบริหารกองทุน ที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงประมาณอย่างคร่าวๆ ว่ากำไรต่อหุ้นในปี 2549 น่าจะอยู่ในระดับที่เกิน 2 บาทได้ครับ
หากมองในแง่ downside risk หากคิดราคาที่ ticon ขายโรงงานให้กองทุนอสังหาฯ 40 โรงงาน มูลค่า 1750 ล้าน ซึ่งประเมินได้ว่าราคานี้เป็นมูลค่าที่ยุติธรรมตามราคาตลาด
จะได้ว่า ปัจจุบัน ticon มีโรงงานให้เช่า และโรงงานที่พร้อมจะมีรายได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้าประมาณ 165 แห่ง
โรงงาน 40 โรงงาน มูลค่า 1750 ล้าน
ดังนั้น โรงงาน 165 โรงงาน จะมีมูลค่า 1750*165/40 = 7218 ล้าน
ticon มีหนี้ประมาณ 2000 ล้านบาท แต่นอกจากโรงงาน 165 แห่งแล้ว ticon ยังมีโรงงานที่กำลังก่อสร้างและที่ดินรอการสร้างประมาณ 80 แห่ง หรือมีมูลค่าประมาณ 2000 ล้านบาท
ดังนั้น adjusted NAV = 7218 + 2000 - 2000 = 7218 ล้าน
หรือ 7218 / 512 = 14.1 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ ticon ตามราคาตลาดครับ
มีหลายคนถามว่าการออก property fund type 1 ทำให้ ticon มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยพื้นฐานอย่างไรบ้าง ผมขอสรุปดังนี้นะครับ
1 ทำให้ลดความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนไปได้อีกนาน เนื่องจากหาก ticon ไม่ออก property fund และยังขยายการสร้างโรงงานในระดับเดียวกับปี 2004 ไปเรื่อยๆ ticon จะจำเป็นต้องเพิ่มทุนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า การออก property fund ทำให้ ticon ได้รับเงินจากการขายถึงประมาณ 1750 * 66.7% = 1167 ล้านบาท และจะมี equity เพิ่มจากการขายสินทรัพย์อีก 595 ล้านบาท ซึ่งหาก ticon มี d/e 1.5 เท่าซึงหมายความว่า ticon จะก่อหนี้ได้เพิ่ม 1.5 เท่าของ equity ที่เพิ่มขึ้น หรือประมาณ 900 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2548 ticon จะมีเงินลงทุนถึง 2000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับจำนวนเงินตามแผนการลงทุนพอดี ( เงิน 2000 ล้านสามารถสร้างโรงงานขนาดที่ ticon ทำอยู่ได้ถึง 80 โรงงาน )
2. การออก property fund เป็นการ re-rating หุ้น ticon ขึ้นมา เนื่องจากในทางทฤษฎี และสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดต่างประเทศคือ หุ้นอสังหาฯ ที่ทำธุรกิจให้เช่าจะมี p/e สูงกว่าหุ้นที่ทำธุรกิจให้ขาย ค่อนข้างมาก เพราะว่าธุรกิจให้เช่ามีความผันผวนของรายได้น้อยกว่าจึงมีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก เช่น ธุรกิจให้เช่าจะมี p/e 15-20 เท่า แต่ธุรกิจสร้างขายจะมี p/e 10 เท่า แต่กรณีของตลาดไทย นักลงทุนและนักวิเคราะห์กลับให้ p/e ของธุรกิจให้เช่าเท่ากับธุรกิจขาย หรือบางครั้งต่ำกว่าด้วยเหตุผลเรื่องสภาพคล่อง ดังนั้นในความเป็นจริง ราคาตามพื้นฐานของ ticon นั้นสูงกว่าราคาหุ้นในปัจจุบันค่อนข้างมาก การออก property fund จึงเป็นการเปลี่ยนจากธุรกิจให้เช่าเป็นทั้งธุรกิจให้เช่าและขาย ซึ่งจะทำให้ eps สูงขึ้น
เพื่อเป็นการอธิบายข้อ 2 ให้เข้าใจง่ายขึ้นนะครับ
ถ้ามีบริษัทบ้านจัดสรร เช่น House & Land ออกมาบอกว่าจะเลิกสร้างบ้านขายแล้ว แต่จะสร้างให้เช่าอย่างเดียว
คิดว่าหุ้นจะลงมั้ยครับ แม้ว่าความเสี่ยงของบริษัทจะลดลง และสินทรัพย์ก็ไม่ได้ลดลงแถมเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ขายบ้านออกไป แต่กำไรของบริษัทคงลดลงเยอะมากเลยครับ
ตอนนี้ gross margin จากการขายบ้านคือ 40% หมายความว่า ทุน 100 จะขายได้ประมาณ 167 บาท
ขาย 167 บาท จะได้กำไร 40% จาก 167 บาท คือ 67 บาท
คือ ลงทุน 100 บาท กำไร 67 บาท
แต่ถ้าสร้างให้เช่า จะได้ yield ประมาณ 15% คือ จะมีกำไร 15 บาทจากทุน 100 บาท
ดังนั้น ลงทุน 100 บาท ถ้าสร้างเพื่อขาย จะกำไร 67 บาท ในปีนั้น ผลตอบแทน 67% ต่อปี
ลงทุน 100 บาท ถ้าสร้างเพื่อให้เช่า จะกำไร 15 บาท ในปีนั้น ผลตอบแทน 15% ต่อปี
หากปีนั้นที่สร้างให้ขายหมุนเงินได้ 2 รอบ คือ เงินก้อนเดียวกันนำมาหมุนแล้วขายได้ 2 หลัง ก็จะได้กำไร 134 บาทจากทุน 100 บาท หรือผลตอบแทน 134%
ดังนั้น หุ้นที่ทำบ้านจัดสรร หากเมื่อไหร่เปลี่ยนมาทำธุรกิจให้เช่ามาทำธุรกิจขาย ก็คงจะมีกำไรลดลงมาก
ถ้าอย่างนั้น หากหุ้นที่เคยทำธุรกิจให้เช่า เปลี่ยนมาเป็นทำธุรกิจสร้างเพื่อขายบ้าง จะเป็นอย่างไร?
Asset turnover ROE ROA Economic value added EPS คงจะดีขึ้นมาก
แม้ว่าธุรกิจขายจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่หากสามารถสร้างเพิ่มขึ้นมาใหม่ให้มากกว่าหรือเท่ากับที่ขายไปได้ รายได้จากการให้เช่าก็ยังไม่ลดลงครับ และการขายโรงงานเข้า property fund นั้น เสี่ยงน้อยกว่าการขายบ้านเสียอีก เพราะสามารถกำหนดมูลค่าการขาย และขายได้ง่ายกว่าการขายบ้านเสียอีกครับ ตราบใดที่ yield ของ property fund ( ประมาณ 6-7% ) ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในระดับหนึ่ง
ข้อดีของการออก property fund ( ต่อ )
3 เนื่องจาก ticon ไม่ต้องการที่จะ revalue ตัวสินทรัพย์ ซึ่งจริงๆ แล้วมีมูลค่าประมาณ 2 เท่าของมูลค่าที่บันทึกในงบดุล ซึ่งทำให้มีข้อเสียคือ จะทำให้ bv ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และการที่ equity ต่ำเกินจริง ทำให้ความสามารถในการก่อหนี้ลดลงด้วย เพราะการ control d/e ทำให้หาก e ต่ำ ก็จะกู้ได้น้อย
ดังนั้นการออก property fund จึงเป็นการ re-value สินทรัพย์ทางอ้อม คือ กำไรจากการขายสินทรัพย์จำนวนมากจะทำให้ book value ของบริษัทเพิ่มขึ้นผมคิดว่าเรื่อง property fund type 1 นี้เป็นเรื่องใหม่ ซึ่งนักวิเคราะห์และนักลงทุนจำนวนมากยังติดภาพ property fund ว่าจะต้องเป็น type 3-4 ซึ่งจะมี structure ไม่ต่างจากหุ้นกู้ และไม่ได้ทำให้มูลค่าของกิจการที่ออก property fund นั้นเปลี่ยน แต่การออก property fund type 1 ทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยน
ผมจึงคิดว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมากโอกาสหนึ่งที่เราจะสามารถอาศัยการที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน ก่อนทีทุกๆ คนจะเริ่มมาเข้าใจ ซึ่งตอนนั้นหุ้นน่าจะสะท้อนพื้นฐานไปเยอะแล้ว หากให้เปรียบเทียบก็คล้ายๆ กับเมื่อ 3-4 ปีก่อน ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือเช้าใจธุรกิจเดินเรือ แม้ ticon คงจะไม่สามารถให้กำไรได้ 10-20 เท่าเหมือนหุ้นเรือ แต่ผมมั่นใจว่า ticon น่าจะให้ผลตอบแทนทีดี ทั้งในด้าน capital gain และ dividend ที่ดีมากบริษัทหนึ่ง น่าจะมีผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดใน 3-4 ปีข้างหน้า และมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่อยู่ใน SET50 ภายใน 5 ปีข้างหน้าครับขอบคุณมากครับคุณ yongyee ที่ช่วย update ข้อมูลที่ภูเก็ตให้ ยังไงหากมีอะไรน่าสนใจช่วยมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ
ข้อมูลทั้งหมดผมนำมาจาก ร้อยคนร้อยหุ้น ห้อง ticon นะ
ครับขอบคุณพี่ๆทุกท่านด้วยนะครับ ถ้าผิดพลาดอย่างไร
แนะนำด้วยนะครับ
ครับแต่ไม่ค่อยกล้าโพสเพราะผมถืออยู่ตัวเดียวในพอร์ต
เลยครับกลัวจะน่าเกลียดน่ะครับ เหตุผลนะครับคือ
1.ครอง market share อันดับ1
2.ไม่มีคู่แข่งในตลาดระดับเดียว(หมายถึงทำโรงงาน
ขนาดเดียวกันน่ะครับ อมตะจะทำsize เล็กกว่ามาก และ
จากข้อมูลล่าสุดอมตะก็ขายที่ให้ ticon แปลว่าไม่ได้มอง
ว่า ticon เป็นคู่แข่งครับ )กันเลย ได้เปรียบในด้าน
economy of scale มากๆ
3.อยู่ในธุรกิจที่พึ่งจะเริ่มต้นถ้ามองจาก BCG matrix น่า
จะเป็น star ในสายตาผมครับ จากข้อมูลที่อ่านล่าสุดใน
ร้อยคนร้อยหุ้นคือปัจจุบันในประเทศไทยมีโรงงานให้เช่า
เพียงแค่ 1%จากยอดโรงงานทั้งหมดครับ สาเหตุเพราะ
คนไทยยังยึดติดกับการเป็นเจ้าของด้วยตัวเองแต่ก็เริ่มมี
ลูกค้าคนไทยบ้างแล้วในไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งเป็น
สัญญาณที่ดีว่าคนเริ่มเรียนรู้ว่าการเช่าค่อนข้างสะดวก
ช่วยในเรื่อง economy of speed มากๆและสิทธิ
ประโยชน์อื่นๆอีกมากมายที่จะได้จากเช่าโรงงานในนิคม
ครับ ( สังเกตุว่าปัจจุบันบริษัทมักจะนิยมการเช่าพวก
อุปกรณ์เครื่องจักร รถ ที่มีdepreciationและค่า
maintenance สูงเพื่อลด cost และช่วยเพิ่มให้ตัวเลข
ROA ดูดีขึ้นครับ)
และ สังเกตุ
ง่ายๆว่ายังไม่มีคู่แข่งโดดมาช่วยขยายตลาดอย่างจริงจัง
ปัจจุบันมีเพียง 5 บริษัทที่ทำและปริมาณก็เทียบกับ
ticon ไม่ติดครับทำให้กำไรยังคงอยู่ใน
ช่วงที่สูงมาก(แปลว่าถ้ามีการแข่งขันรุนแรงเกิดขึ้นก็
สามารถลดราคาได้ครับ โดยการลด margin ลงบ้าง)
4.จาก research ล่าสุดที่อ่านของ ABN AMRO ( ต้องขอบคุณพี่ๆจากห้อง ticon ด้วยครับ )ได้วิเคราะห์คะแนน ticon
ดังนี้ครับ
Supplier power 3+
Ticon has some bargaining power, as it is a regular buyer of industrial land. However, demand for
industrial land is healthy; hence the power is limited somewhat
Barriers to entry 3-
Any new competitor may enter the market if it has sufficient financial backing. Industry knowledge
(such as marketing and cost control) may take time to build.
Customer power 4+
Customers have limited bargaining power, as only a few factories are available for rent. Stronger
demand for its product is also giving Ticon more bargaining power.
Substitute products 5+
Investors either own a factory or rent one. No other form of substitute product exists now or looks
likely to in future.
Rivalry 5+
Very limited competition, with only five operators in the country. No indication of any new
competitors coming into the market. Thus, low competition is expected to continue.
Scoring range 1-5 (high score is good) Plus = getting better Minus = getting worse
ซึ่งเรื่องคูเมืองวิเคราะห์ได้น่าสนใจแต่ผมกลับมองว่าถ้าเข้ามาทำได้ง่ายจริงๆและสามารถทำกำไรได้มากอย่างที่ ticon ทำได้จริงๆ
rojana amata hemraj คงทำไปนานแล้วครับไม่ปล่อยให้ ticon เก็บกำไรง่ายๆแบบนี้หรอกครับ ต้องมีเหตุผลบางอย่าง
ที่บริษัทเหล่านี้วิเคราะห์แล้วเห็นว่ากำไรไม่ง่ายอย่างที่คาดจึงอยังไม่ทำครับ สรุปคือผมมองว่า barrier ค่อนข้างสูงกว่าที่ประเมิณ
มากครับ อันนี้เป็นความเห็นอาจารย์ invisible hand ครับ
3. ในด้านของคู่แข่งก็เริ่มมีมากทำกันเยอะขึ้นซึ่งค่าใช้จ่ายอาจจะสูงกว่า แต่ผมคิดว่าในอนาคตถ้าเป็นธุระกิจที่ดีเขาคงจะหันมาลดต้นทุนกันได้แน่ๆ ซึ่งอาจจะไม่ในเร็ววันนี้ มีข้อแนะนำยังไงบ้างครับ
- ถ้าคู่แข่งจะลดต้นทุนให้ใกล้เคียงกับ ticon ก็จะต้องสร้างเองครับ เพื่อตัดต้นทุนค่าจ้างผู้รับเหมาไป ซึ่งการสร้างเองนั้นผมมองว่าปัญหาเยอะและไม่ง่ายเลยครับ ดังนั้นการที่ ticon สามารถทำการก่อสร้างโรงงานปีละมากๆ ได้โดยใช้ทรัพยากรในบริษัทจึงถือว่าเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งครับและเป็น entry barrier ด้วย และอีกประการหนึ่งคือ คู่แข่งรายใหม่แม้จะสร้างเอง แต่การที่จำนวนการสร้างในแต่ละปีน้อยก็จะทำให้ไม่เกิด economy of scale ในการซื้อวัสดุ และมี fixed cost สูงที่เกิดจากการจ้างวิศวกร โฟร์แมน ไปๆ มาๆ ค่าก่อสร้างอาจจะสูงกว่าการใช้ผู้รับเหมา อย่างปีหน้า ticon จะสร้างโรงงาน ประมาณ 50 โรงงาน ใช้เงินประมาณ 1300 ล้าน และสร้างโกดังอีกในจำนวนใกล้เคียงกัน ดังนั้นคู่แข่งที่จะมีเงินทุนเท่า ticon เพื่อสร้างโรงงานและโกดังให้ได้ scale เดียวกันผมยังมองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ครับ แม้แต่ amata หรือ hemraj ก็จะสร้างอยู่ปีละ 10-30 โรงงานครับ
5.ในปี 2004 ticon มีโรงงานเพียง 102 โรงครับ ปัจจุบันมีมากกว่า 279 ใน q1 2006 ครับ เท่ากับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามี
growth rate สูงถึง173% ครับและน่าจะโตต่อเนื่องจากที่กล่าวแล้วว่าปัจจุบันมีโรงงานให้เช่าเพียง 1% เมื่อความคิดคน
เอเชียเปลี่ยนแปลงในทางที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในอนาคตครับ อย่าลืมว่า ticon ไม่ได้ทำแค่โรงงานแต่ให้บริการการติดต่อกับ
ทางราชการด้วยซึ่งผมมองว่าตรงคืออีกหนึ่งจุดแข็งครับ เพราะถือว่าเป็น service business ไปในตัว
6. หุ้น Ticon เหมือนเป็น Asset play ไปในตัวแต่ดีกว่านั้นคือเป็นหุ้น Asset play ที่ไม่ต้องรอคนมา unlock ครับ
กุญแจปัจจุบันคือ property fund ครับเรื่องความกังวลว่าจะออกไม่ได้ก็น่าจะเห็นกันมาพอสมควรแล้วว่าขนาดดอกเบี้ยเป็นขา
ขึ้นแต่ ticon ก็ยังสามารถขายหน่วยลงทุนได้หมดและต่อให้ในอนาคตดอกเบี้ยขึ้นสูงอีกสัก 2-3 % ผู้บริหารก็ได้แจ้งแล้วว่าไม่มี
ปัญหาแค่ลด margin จากการขายลงบ้างก็จะทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้นเอง ซึ่งถ้าดอกเบี้ยขึ้นสูงกว่า 10 % ผมว่าหุ้นตัวอื่นๆออก
จะน่าห่วงกว่านะครับ
7. occupancy rate เฉลี่ยตลอด 8 ปี ของ ticon อยู่ที่ 85% ครับถึงแม้จะมีช่วงวิกฤตก็ยังเติบโตได้ครับ โดยใน
q12006 มี occupancy rate สูงถึง 96% ครับ น่าจะพอๆกับห้างสรรพสินค้าดังๆเลยนะครับ ( ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน
ครับ)
8. อันนี้เป็นการวิเคราะห์ของ อาจารย์ invisible hand เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วครับ
ticon มีแผนที่จะนำเงินสดที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้า property fund ไปลงทุนในธุรกิจที่ ticon สนใจแต่ยังไม่ได้ทำเพราะที่ผ่านมามี่ข้อจำกัดด้านเงินทุน ได้แก่ การสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ให้เช่ากับบริษัทข้ามชาติ และการสร้างโกดังให้เช่า ซึ่งเป็นการขยายฐานรายได้ของบริษัทในอนาคต
สำหรับความกังวลเรื่องการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนจะเป็นกำไรที่เกิดขึ้นเพียงปีเดียวหรือไม่ ผมเชื่อว่าบทวิเคราะห์หลายแห่งที่อาจจะออกในวันพรุ่งนี้หรือสัปดาห์หน้า อาจจะเขียนว่าเป็น one-time แต่เท่าที่สอบถามทางบริษัท ticon มีแผนที่จะขายโรงงานให้กับกองทุนอสังหาฯ ในปีต่อๆ ไป โดยกำลังพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเป็นการขายโรงงานให้กับกองทุนอสังหาฯ ที่ออกปีนี้ ( โดยให้กองทุนอสังหาฯ เพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ) หรือ ขายให้กับกองทุนอสังหาฯ ที่ออกใหม่ในปีต่อๆ ไป
ดังนั้น จาก model การขยายธุรกิจซึ่งเพิ่มจากเดิมซึ่งทำเพียงการสร้างโรงงานขนาดเล็กให้เช่า เป็น ทั้งการสร้างโรงงานขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ และการสร้างโกดังเก็บสินค้า ทำให้ผมมองว่า ticon น่าจะมีการเติบโตของรายได้ในระดับที่สูงใน 2-3 ปีข้างหน้า และน่าจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้า property fund อย่างต่อเนื่อง และฐานรายได้จากการให้เข่าก็สูงขึ้น รวมทั้งการได้รับค่า fee จากการบริหารกองทุน ที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงประมาณอย่างคร่าวๆ ว่ากำไรต่อหุ้นในปี 2549 น่าจะอยู่ในระดับที่เกิน 2 บาทได้ครับ
หากมองในแง่ downside risk หากคิดราคาที่ ticon ขายโรงงานให้กองทุนอสังหาฯ 40 โรงงาน มูลค่า 1750 ล้าน ซึ่งประเมินได้ว่าราคานี้เป็นมูลค่าที่ยุติธรรมตามราคาตลาด
จะได้ว่า ปัจจุบัน ticon มีโรงงานให้เช่า และโรงงานที่พร้อมจะมีรายได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้าประมาณ 165 แห่ง
โรงงาน 40 โรงงาน มูลค่า 1750 ล้าน
ดังนั้น โรงงาน 165 โรงงาน จะมีมูลค่า 1750*165/40 = 7218 ล้าน
ticon มีหนี้ประมาณ 2000 ล้านบาท แต่นอกจากโรงงาน 165 แห่งแล้ว ticon ยังมีโรงงานที่กำลังก่อสร้างและที่ดินรอการสร้างประมาณ 80 แห่ง หรือมีมูลค่าประมาณ 2000 ล้านบาท
ดังนั้น adjusted NAV = 7218 + 2000 - 2000 = 7218 ล้าน
หรือ 7218 / 512 = 14.1 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ ticon ตามราคาตลาดครับ
มีหลายคนถามว่าการออก property fund type 1 ทำให้ ticon มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยพื้นฐานอย่างไรบ้าง ผมขอสรุปดังนี้นะครับ
1 ทำให้ลดความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนไปได้อีกนาน เนื่องจากหาก ticon ไม่ออก property fund และยังขยายการสร้างโรงงานในระดับเดียวกับปี 2004 ไปเรื่อยๆ ticon จะจำเป็นต้องเพิ่มทุนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า การออก property fund ทำให้ ticon ได้รับเงินจากการขายถึงประมาณ 1750 * 66.7% = 1167 ล้านบาท และจะมี equity เพิ่มจากการขายสินทรัพย์อีก 595 ล้านบาท ซึ่งหาก ticon มี d/e 1.5 เท่าซึงหมายความว่า ticon จะก่อหนี้ได้เพิ่ม 1.5 เท่าของ equity ที่เพิ่มขึ้น หรือประมาณ 900 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2548 ticon จะมีเงินลงทุนถึง 2000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับจำนวนเงินตามแผนการลงทุนพอดี ( เงิน 2000 ล้านสามารถสร้างโรงงานขนาดที่ ticon ทำอยู่ได้ถึง 80 โรงงาน )
2. การออก property fund เป็นการ re-rating หุ้น ticon ขึ้นมา เนื่องจากในทางทฤษฎี และสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดต่างประเทศคือ หุ้นอสังหาฯ ที่ทำธุรกิจให้เช่าจะมี p/e สูงกว่าหุ้นที่ทำธุรกิจให้ขาย ค่อนข้างมาก เพราะว่าธุรกิจให้เช่ามีความผันผวนของรายได้น้อยกว่าจึงมีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก เช่น ธุรกิจให้เช่าจะมี p/e 15-20 เท่า แต่ธุรกิจสร้างขายจะมี p/e 10 เท่า แต่กรณีของตลาดไทย นักลงทุนและนักวิเคราะห์กลับให้ p/e ของธุรกิจให้เช่าเท่ากับธุรกิจขาย หรือบางครั้งต่ำกว่าด้วยเหตุผลเรื่องสภาพคล่อง ดังนั้นในความเป็นจริง ราคาตามพื้นฐานของ ticon นั้นสูงกว่าราคาหุ้นในปัจจุบันค่อนข้างมาก การออก property fund จึงเป็นการเปลี่ยนจากธุรกิจให้เช่าเป็นทั้งธุรกิจให้เช่าและขาย ซึ่งจะทำให้ eps สูงขึ้น
เพื่อเป็นการอธิบายข้อ 2 ให้เข้าใจง่ายขึ้นนะครับ
ถ้ามีบริษัทบ้านจัดสรร เช่น House & Land ออกมาบอกว่าจะเลิกสร้างบ้านขายแล้ว แต่จะสร้างให้เช่าอย่างเดียว
คิดว่าหุ้นจะลงมั้ยครับ แม้ว่าความเสี่ยงของบริษัทจะลดลง และสินทรัพย์ก็ไม่ได้ลดลงแถมเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ขายบ้านออกไป แต่กำไรของบริษัทคงลดลงเยอะมากเลยครับ
ตอนนี้ gross margin จากการขายบ้านคือ 40% หมายความว่า ทุน 100 จะขายได้ประมาณ 167 บาท
ขาย 167 บาท จะได้กำไร 40% จาก 167 บาท คือ 67 บาท
คือ ลงทุน 100 บาท กำไร 67 บาท
แต่ถ้าสร้างให้เช่า จะได้ yield ประมาณ 15% คือ จะมีกำไร 15 บาทจากทุน 100 บาท
ดังนั้น ลงทุน 100 บาท ถ้าสร้างเพื่อขาย จะกำไร 67 บาท ในปีนั้น ผลตอบแทน 67% ต่อปี
ลงทุน 100 บาท ถ้าสร้างเพื่อให้เช่า จะกำไร 15 บาท ในปีนั้น ผลตอบแทน 15% ต่อปี
หากปีนั้นที่สร้างให้ขายหมุนเงินได้ 2 รอบ คือ เงินก้อนเดียวกันนำมาหมุนแล้วขายได้ 2 หลัง ก็จะได้กำไร 134 บาทจากทุน 100 บาท หรือผลตอบแทน 134%
ดังนั้น หุ้นที่ทำบ้านจัดสรร หากเมื่อไหร่เปลี่ยนมาทำธุรกิจให้เช่ามาทำธุรกิจขาย ก็คงจะมีกำไรลดลงมาก
ถ้าอย่างนั้น หากหุ้นที่เคยทำธุรกิจให้เช่า เปลี่ยนมาเป็นทำธุรกิจสร้างเพื่อขายบ้าง จะเป็นอย่างไร?
Asset turnover ROE ROA Economic value added EPS คงจะดีขึ้นมาก
แม้ว่าธุรกิจขายจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่หากสามารถสร้างเพิ่มขึ้นมาใหม่ให้มากกว่าหรือเท่ากับที่ขายไปได้ รายได้จากการให้เช่าก็ยังไม่ลดลงครับ และการขายโรงงานเข้า property fund นั้น เสี่ยงน้อยกว่าการขายบ้านเสียอีก เพราะสามารถกำหนดมูลค่าการขาย และขายได้ง่ายกว่าการขายบ้านเสียอีกครับ ตราบใดที่ yield ของ property fund ( ประมาณ 6-7% ) ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในระดับหนึ่ง
ข้อดีของการออก property fund ( ต่อ )
3 เนื่องจาก ticon ไม่ต้องการที่จะ revalue ตัวสินทรัพย์ ซึ่งจริงๆ แล้วมีมูลค่าประมาณ 2 เท่าของมูลค่าที่บันทึกในงบดุล ซึ่งทำให้มีข้อเสียคือ จะทำให้ bv ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และการที่ equity ต่ำเกินจริง ทำให้ความสามารถในการก่อหนี้ลดลงด้วย เพราะการ control d/e ทำให้หาก e ต่ำ ก็จะกู้ได้น้อย
ดังนั้นการออก property fund จึงเป็นการ re-value สินทรัพย์ทางอ้อม คือ กำไรจากการขายสินทรัพย์จำนวนมากจะทำให้ book value ของบริษัทเพิ่มขึ้นผมคิดว่าเรื่อง property fund type 1 นี้เป็นเรื่องใหม่ ซึ่งนักวิเคราะห์และนักลงทุนจำนวนมากยังติดภาพ property fund ว่าจะต้องเป็น type 3-4 ซึ่งจะมี structure ไม่ต่างจากหุ้นกู้ และไม่ได้ทำให้มูลค่าของกิจการที่ออก property fund นั้นเปลี่ยน แต่การออก property fund type 1 ทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยน
ผมจึงคิดว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมากโอกาสหนึ่งที่เราจะสามารถอาศัยการที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน ก่อนทีทุกๆ คนจะเริ่มมาเข้าใจ ซึ่งตอนนั้นหุ้นน่าจะสะท้อนพื้นฐานไปเยอะแล้ว หากให้เปรียบเทียบก็คล้ายๆ กับเมื่อ 3-4 ปีก่อน ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือเช้าใจธุรกิจเดินเรือ แม้ ticon คงจะไม่สามารถให้กำไรได้ 10-20 เท่าเหมือนหุ้นเรือ แต่ผมมั่นใจว่า ticon น่าจะให้ผลตอบแทนทีดี ทั้งในด้าน capital gain และ dividend ที่ดีมากบริษัทหนึ่ง น่าจะมีผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดใน 3-4 ปีข้างหน้า และมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่อยู่ใน SET50 ภายใน 5 ปีข้างหน้าครับขอบคุณมากครับคุณ yongyee ที่ช่วย update ข้อมูลที่ภูเก็ตให้ ยังไงหากมีอะไรน่าสนใจช่วยมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ
ข้อมูลทั้งหมดผมนำมาจาก ร้อยคนร้อยหุ้น ห้อง ticon นะ
ครับขอบคุณพี่ๆทุกท่านด้วยนะครับ ถ้าผิดพลาดอย่างไร
แนะนำด้วยนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1061
- ผู้ติดตาม: 0
ต้องการที่1 เท่านั้น!!!
โพสต์ที่ 89
ลืมไปครับข้อมูลล่าสุดคือ ticon กำลังจะออกอีกกอง
ปลายปี2006 ไม่ก็ต้นปี 2007 นะครับโดยจะอีกประมาณ
50-60โรงงานครับ
9.ธุรกิจที่ ticon ลงไปจับใหม่คือการสร้าง warehouse
ในทำเลสุวรรณภูมิ และแหลมฉบัง ซึ่งคือเส้นทางขนส่ง
สำคัญของประเทศครับ น่าจะสร้าง growth ในอนาคตได้
อีกมากครับ ผมเคยคุยกับ ดร.สมภพท่านบอกว่าประเทศ
ไทยยังมีปัญหาด้าน logistic cost มากๆครับประมาณ
20-30% ของ gdp ทีเดียวซึ่งในอนาคตต้องพัฒนาอีก
มากครับและไม่ว่าจะพัฒนาในด้านราง ถนน หรือ น้ำ
ผมว่าโกดังที่ได้คุณภาพก็จะได้ประโยชน์อย่างแน่นอน
ครับ
ปลายปี2006 ไม่ก็ต้นปี 2007 นะครับโดยจะอีกประมาณ
50-60โรงงานครับ
9.ธุรกิจที่ ticon ลงไปจับใหม่คือการสร้าง warehouse
ในทำเลสุวรรณภูมิ และแหลมฉบัง ซึ่งคือเส้นทางขนส่ง
สำคัญของประเทศครับ น่าจะสร้าง growth ในอนาคตได้
อีกมากครับ ผมเคยคุยกับ ดร.สมภพท่านบอกว่าประเทศ
ไทยยังมีปัญหาด้าน logistic cost มากๆครับประมาณ
20-30% ของ gdp ทีเดียวซึ่งในอนาคตต้องพัฒนาอีก
มากครับและไม่ว่าจะพัฒนาในด้านราง ถนน หรือ น้ำ
ผมว่าโกดังที่ได้คุณภาพก็จะได้ประโยชน์อย่างแน่นอน
ครับ