Spin-off ครับromee เขียน: ปล.1ถามพี่หมอ leky หรือพี่ๆท่านอื่นก็ได้ครับ ว่าหุ้นที่มีข่าวจะเอาหุ้นลูกเข้าตลาด ส่วนใหญ่จะวิ่งกันเต็มเหยียด พี่หมอมีวิธีดูไงบ้างครับ ว่าควรถือแม่ต่อ, หรือเลือกถือใครดี หรือขายทิ้งทั้งคู่ เพราะหมด storyแล้ว (THRE-THREL, EA-EIA, Samart-OTO)
VI หาดใหญ่
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 541
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 542
เชื่อมั้ยครับ พี่สายชล ผมก็นึกถึงพี่เลย ว่าคนถือหุ้นนานเกิน2ปี ต้องเป็นพี่ด้วย 5555saichon เขียน:แฮ่...เห็นยังไม่มีใครตอบพี่โรมromee เขียน:อยากถามประสบการณ์คนถือหุ้นไว้นานหลายปี สัก2-3ปีขึ้นไป และมีการซื้อเฉลี่ยมันเข้าไปอีก
อยากรู้ว่า
1.ตอนเลือก เลือกยังไง
2.แล้วมีการซื้อเฉลี่ยเข้าไปอีกมั้ยครับ ทำไมถึงกล้าซื้อตัวเดิม เพราะปกติคนเรามักชอบไปหาตัวใหม่ๆมากกว่าตัวเก่า
ขอบคุณครับ
เลยเข้ามาตอบเล่นๆน๊ะครับ
ผมมีหุ้นแบบที่พี่โรมถามถึงกะเค้าอยู่ตัวนึงครับ
วันนี้ผมถือหุ้นตัวนี้กำลังจะครบ4ปีในเดือนหน้านี้แล้วครับ
คำถามของพี่โรม...
1.เรื่องการเลือก ขอตอบว่า..
หลักในการเลือกของผมก็เป็นหลักการเดิมๆ คือเลือกหุ้นที่ราคามันถูกกว่ามูลค่าแค่นั้นแหละครับ
ยิ่งเป็นธุรกิจที่เราชอบและคิดว่าอยู่ในเทรนด์ที่จะเติบโตไปเรื่อยๆด้วยแล้ว คิดว่ายิ่งใช่เลยครับ
2.เรื่องการซื้อ ตอบว่า
ซื้อเฉลี่ยมาตลอดครับ
จากไม้แรกที่ถือแค่30เปอร์เซ็นต์ ซื้อจนกลายเป็นถือหุ้นตัวเดียวของพอร์ต
เก็บเงินได้ระหว่างทางก็ซื้อเพิ่มตลอด
ซื้อเฉพาะตัวเดิม เพราะเรารู้จักหุ้นดีๆน้อยและตัวที่รู้จักก็คิดว่าดีไม่เท่า หรือราคาตัวเดิมถูกกว่า
ที่สำคัญคือคิดว่าถ้าเราคิดถูกหุ้นตัวนี้จะเปลี่ยนชีวิตเรา แต่ถ้าเราคิดผิดเราก็แค่อยู่ที่เดิม
เลยทำแบบนั้นไปครับ
ตอบแบบนี้พอไหวไม๊ครับ
ถ้าไหว พี่PMหุ้นเด็ดมาให้ผมศึกษาตัวนึงน๊ะครับ
หุ้นตัวนั้น ถ้าผมจำไม่ผิด เป็นหุ้นinternetชิมิ
มันก็ดีจริงๆนะครับ รายได้โต กำไรโต ปันผลเพิ่ม และตอนนี้ผมก็เป็นลูกค้าของมันด้วยฮ่ะ
ตอบปล.ไปให้แล้วนะครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 543
ขอบคุณครับromee เขียน: เชื่อมั้ยครับ พี่สายชล ผมก็นึกถึงพี่เลย ว่าคนถือหุ้นนานเกิน2ปี ต้องเป็นพี่ด้วย 5555
หุ้นตัวนั้น ถ้าผมจำไม่ผิด เป็นหุ้นinternetชิมิ
มันก็ดีจริงๆนะครับ รายได้โต กำไรโต ปันผลเพิ่ม และตอนนี้ผมก็เป็นลูกค้าของมันด้วยฮ่ะ
ตอบปล.ไปให้แล้วนะครับ
แล้วพี่โรมเชื่อมั้ยครับว่า...
ผมก็แอบคิดไว้เช่นกันครับว่า พี่โรมต้องมีอะไรดีๆแอบไว้ ฮ่า..
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 544
ถ้าอ่านหนังสือมาเยอะ ๆ มักจะเห็นคำแนะนำว่า กลยุทธที่ควรทำคือ ซื้อเฉลี่ยขาขึ้น แต่คนส่วนใหญ่กลับทำตรงข้ามคือ ซื้อเฉลี่ยขาลงครับromee เขียน:อยากถามประสบการณ์คนถือหุ้นไว้นานหลายปี สัก2-3ปีขึ้นไป และมีการซื้อเฉลี่ยมันเข้าไปอีก
อยากรู้ว่า
1.ตอนเลือก เลือกยังไง
2.แล้วมีการซื้อเฉลี่ยเข้าไปอีกมั้ยครับ ทำไมถึงกล้าซื้อตัวเดิม เพราะปกติคนเรามักชอบไปหาตัวใหม่ๆมากกว่าตัวเก่า
ขอบคุณครับ
จะว่าไปถ้าหุ้นตัวนั้นแนวโน้มยังดี ราคายังถูก ผมว่ามันก็โอเคนะครับ ถ้าจะซื้อหุ้นเพิ่ม เพียงแต่บางคนเค้าอาจจะรู้สึกว่าซื้อแพงกว่าเดิม ก็เลยเหมือนจะไม่ค่อยอยากจะซื้อ เมื่อเทียบกับซื้อเฉลี่ยขาลง ทั้ง ๆ ที่แบบหลังนั้น บางทีหุ้นพื้นฐานเปลี่ยน ราคามันก็ลงไปเรื่อย ๆ ไม่จบ บางคนก็อาจจะซื้อหุ้นไม้แรกน้อย ๆ ลองติดตามดูก่อน พอมั่นใจก็ซื้อเพิ่มก็มีครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 545
เพิ่งดูมันนี่ทอล์คเรื่องอ.ธรรมศาสตร์นักลงทุนท่านนึง
"อิสรภาพทางการเงิน ไม่ได้มีไว้เพื่อจะเลิกทำงาน
แต่มีไว้เพื่อให้เราทำงานที่เรารัก งานที่เป็นประโยชน์ต่อไป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน"
เป็นinspirationให้มนุษย์ลุงที่ไกล้expireอย่างแรงเลยฮะ
"fail to plan=plan to fail"(เบนจามิน แฟรงคลิน รัฐบุรุษผู้ชักว่าวล่อฟ้าผ่า ว่าไว้)
แต่ที่อยากได้มั่กๆคือ สไลด์สอนอิสรภาพทางการเงินเนี่ยสิครับ
แค่แผ่นแรกที่แสดงการเรียนรู้1ชั่วโมง เพื่อให้เงินทำงานให้เรา
เทียบกับกะ 5,000ชั่วโมง ที่เรียนเพื่อไปทำงานแลกเงินเนี่ย
เป็นฟ้าผ่ากลางกบาล ทะลุขี้เลื่อยให้เห็นความจริงที่น่าสงสารของบางอาชีพเลย
อ.leky พอจะช่วยให้ข้อมูลความรู้พวกเราได้มั้ยฮะ(หวังว่าคงไม่ใช่โยนหินถามทางไปโดนนะฮะ อิอิ)
"อิสรภาพทางการเงิน ไม่ได้มีไว้เพื่อจะเลิกทำงาน
แต่มีไว้เพื่อให้เราทำงานที่เรารัก งานที่เป็นประโยชน์ต่อไป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน"
เป็นinspirationให้มนุษย์ลุงที่ไกล้expireอย่างแรงเลยฮะ
"fail to plan=plan to fail"(เบนจามิน แฟรงคลิน รัฐบุรุษผู้ชักว่าวล่อฟ้าผ่า ว่าไว้)
แต่ที่อยากได้มั่กๆคือ สไลด์สอนอิสรภาพทางการเงินเนี่ยสิครับ
แค่แผ่นแรกที่แสดงการเรียนรู้1ชั่วโมง เพื่อให้เงินทำงานให้เรา
เทียบกับกะ 5,000ชั่วโมง ที่เรียนเพื่อไปทำงานแลกเงินเนี่ย
เป็นฟ้าผ่ากลางกบาล ทะลุขี้เลื่อยให้เห็นความจริงที่น่าสงสารของบางอาชีพเลย
อ.leky พอจะช่วยให้ข้อมูลความรู้พวกเราได้มั้ยฮะ(หวังว่าคงไม่ใช่โยนหินถามทางไปโดนนะฮะ อิอิ)
samatah
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 546
รักในงานที่ทำ แปลว่าไรครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 548
ว่ากันว่า
อิสรภาพแปรผกผันกับความรับผิดชอบ
พี่หมอว่าจริงป่ะคับ
อิสรภาพแปรผกผันกับความรับผิดชอบ
พี่หมอว่าจริงป่ะคับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 549
นั่นคือขั้นสุดท้าย ก่อนบรรลุวิชาไหมทอย เอ๊ย ไหมฟ้านะฮะ อ.NB
ขั้นแรกเราต้องการสี่อย่าง ปัจจัยสี่
ขั้นสองเหลือสาม กิน กาม เกียรติ(money sex power)
ขั้นสามเหลือสองอย่าง (bimodal situation)
อิสรภาพ กับความรับผิดชอบ
อยาก เบื่อ
ๆลๆ แต่ละคนtitrateกันไปตามใจเขา(สังคม บริวาร)ใจเรา(ตัวกู)
พ้นอันนั้นไปเจอขั้นสุดท้าย
หลุดพ้น ไม่เอาอะไรเลย
ปล.1 เอามาสโลว์มาแปลงแบบมั่วๆ
ปล.2 ผมกำลังตะเกียกตะกายขึ้นลง ระหว่างขั้นสอง-สาม
ปล.3 เพิ่งมีเรื่องเสียเงินแบบอ.NBเลยฮะ เยอะด้วย (เอ็นดูเขาเอ็นเราขาด)
เลยช่วงนี้เซ็งๆกวนๆนิสนุง
ขั้นแรกเราต้องการสี่อย่าง ปัจจัยสี่
ขั้นสองเหลือสาม กิน กาม เกียรติ(money sex power)
ขั้นสามเหลือสองอย่าง (bimodal situation)
อิสรภาพ กับความรับผิดชอบ
อยาก เบื่อ
ๆลๆ แต่ละคนtitrateกันไปตามใจเขา(สังคม บริวาร)ใจเรา(ตัวกู)
พ้นอันนั้นไปเจอขั้นสุดท้าย
หลุดพ้น ไม่เอาอะไรเลย
ปล.1 เอามาสโลว์มาแปลงแบบมั่วๆ
ปล.2 ผมกำลังตะเกียกตะกายขึ้นลง ระหว่างขั้นสอง-สาม
ปล.3 เพิ่งมีเรื่องเสียเงินแบบอ.NBเลยฮะ เยอะด้วย (เอ็นดูเขาเอ็นเราขาด)
เลยช่วงนี้เซ็งๆกวนๆนิสนุง
samatah
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 550
ขอบพระคุณ อ.หมอ อย่างสูงครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 553
ดูคลิปทั้งสองอันแล้วนึกถึงน้องสาวตัวเองฮะ พวกGen-Y
มันไบรท์ระดับสอบเทียบเอนทร้านซ์เข้าไปได้ตั้งแต่ม.5
จบมาเกียรตินิยม ทนทำงาน2ปีแล้วเอาเงินซื้ออิสรภาพมานอนอยู่กับบ้านสองสามปี
ต่อมาวันนึงประกาศว่าไปเรียนต่อทำตัวเป็นลูกกตัญญูก็ได้วะ
เรียนจบสอบได้ราวๆtop three แล้วกลับมานอนบ้านเฉยๆอีกปีสองปี
โดนเตี่ยทั้งบ่นทั้งแขวะทุกวัน ว่าไม่ทำงานทำการ
ก็เลยไปเป็นข้าราชการบ้านนอก พอมีรุ่นน้องเรียนจบกลับมาช่วยงานแผนก ก็ลาออกอีก
เวลาเจอใครเขาถามว่าทำไรอยู่ที่ไหน มันบอกอยู่บ้านเฉยๆ
ทุกคนว่าเฮ้ย..อยู่ได้ไง ตังค์พอใช้เรอะ
มันบอกอยู่ได้สิ
"อยู่เงียบๆ หายใจเบาๆ"
มันไบรท์ระดับสอบเทียบเอนทร้านซ์เข้าไปได้ตั้งแต่ม.5
จบมาเกียรตินิยม ทนทำงาน2ปีแล้วเอาเงินซื้ออิสรภาพมานอนอยู่กับบ้านสองสามปี
ต่อมาวันนึงประกาศว่าไปเรียนต่อทำตัวเป็นลูกกตัญญูก็ได้วะ
เรียนจบสอบได้ราวๆtop three แล้วกลับมานอนบ้านเฉยๆอีกปีสองปี
โดนเตี่ยทั้งบ่นทั้งแขวะทุกวัน ว่าไม่ทำงานทำการ
ก็เลยไปเป็นข้าราชการบ้านนอก พอมีรุ่นน้องเรียนจบกลับมาช่วยงานแผนก ก็ลาออกอีก
เวลาเจอใครเขาถามว่าทำไรอยู่ที่ไหน มันบอกอยู่บ้านเฉยๆ
ทุกคนว่าเฮ้ย..อยู่ได้ไง ตังค์พอใช้เรอะ
มันบอกอยู่ได้สิ
"อยู่เงียบๆ หายใจเบาๆ"
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 554
ผมว่าพูดยากครับ บางคนเค้าไม่ค่อยอยากทำอะไร ไม่สนใจว่าจะต้องทำงานหรือไม่ อยู่เฉย ๆ ได้ ไม่ดิ้นรนdr1 เขียน:ดูคลิปทั้งสองอันแล้วนึกถึงน้องสาวตัวเองฮะ พวกGen-Y
มันไบรท์ระดับสอบเทียบเอนทร้านซ์เข้าไปได้ตั้งแต่ม.5
จบมาเกียรตินิยม ทนทำงาน2ปีแล้วเอาเงินซื้ออิสรภาพมานอนอยู่กับบ้านสองสามปี
ต่อมาวันนึงประกาศว่าไปเรียนต่อทำตัวเป็นลูกกตัญญูก็ได้วะ
เรียนจบสอบได้ราวๆtop three แล้วกลับมานอนบ้านเฉยๆอีกปีสองปี
โดนเตี่ยทั้งบ่นทั้งแขวะทุกวัน ว่าไม่ทำงานทำการ
ก็เลยไปเป็นข้าราชการบ้านนอก พอมีรุ่นน้องเรียนจบกลับมาช่วยงานแผนก ก็ลาออกอีก
เวลาเจอใครเขาถามว่าทำไรอยู่ที่ไหน มันบอกอยู่บ้านเฉยๆ
ทุกคนว่าเฮ้ย..อยู่ได้ไง ตังค์พอใช้เรอะ
มันบอกอยู่ได้สิ
"อยู่เงียบๆ หายใจเบาๆ"
ผมว่าคำว่าอิสรภาพมันกว้างครับ ถ้าเราต้องการความมั่งคั่งเพียงแค่เล็กน้อย โอกาสจะมีอิสรภาพสำหรับเรามันก็ง่าย
ถ้าอ.หนึ่งคิดว่าการมีเงินแค่ 8 หลักก็มีอิสรภาพ มันก็คงไปถึงไม่ยาก แต่ถ้าอ.คิดว่ามันต้องเป็น 10 หลัก อันนี้มันก็คงยากแน่ครับ
ถ้าเราละความอยากบางเรื่องลงไป เช่น ไม่อยากมีบ้านใหญ่ ไม่อยากมีรถ super car แบบนี้มันก็คงไปถึงไม่ยากนัก
เงินเก็บเท่าไหร่ถึงจะพอ ผมว่าเอาให้ไม่เดือดร้อน อย่าไปคิดว่าลูกหลานจะเดือดร้อน ถ้าเราไม่มีเงินให้เค้ายามเราตาย เราเริ่มจากเท่าไหร่ ถ้าเราไม่ได้ส่งต่อให้เค้าน้อยกว่าเรา ก็ถือว่าเท่าเทียมกัน เราให้การศึกษาเค้า เค้าต้องเอาตัวรอดให้ได้ครับ
เพียงแต่สำหรับผมอิสรภาพมันอาจจะทำให้ผมได้ทำในสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ทำในสิ่งที่อาจจะเหมือนกัน แต่รายละเอียดต่างกัน เช่น ถ้าเป็นแพทย์ ทำงานหารายได้เลี้ยงชีพ อันนี้ทำเพื่อ "เลี้ยงชีพ" หารายได้มาใช้จ่าย แต่ถ้ามีอิสรภาพ มันก็อาจจะทำงานแบบเดียวกันได้ แต่เป็นแบบ "ไม่ใช่การหาเลี้ยงชีพ" เช่น การไปช่วยองค์กรการกุศล โดยไม่ได้คิดค่าใช้จ่าย รักษาคนเหมือนกัน แต่รายละเอียดต่างกัน
ผมเคยคิดไปถึงว่า ถ้าผมอยากทำบุญ และมีความเชื่อว่าการช่วยคนที่ยิ่งเดือดร้อนมากเท่าไหร่ จะยิ่งได้บุญ สมมติผมนั่งตรวจคนไข้โรคง่าย ๆ เช่นไข้หวัด วันละ 5 คน เปรียบเทียบกับผมบริจาคเครื่องช่วยหายใจ 5 เครื่อง ช่วยคนไข้อาการหนักได้ 5 คนเท่ากัน อันไหนจะได้บุญมากกว่ากัน ผมเองก็ไม่ทราบนะครับ เพราะไม่ใช่คนปฏิบัติธรรม เพียงแต่ผมก็เคยมีความคิดว่า ถ้าเราอยากให้เงินทำงาน ผมก็มีแนวคิดว่าให้เงินมันทำบุญให้เรา เครื่องช่วยหายใจใช้งาน 24 ชม. เครื่องฟอกไตใช้งานวันละ 8-12 ชม. มันทำงานมากกว่าเรานั่งตรวจคนจริง ๆ ทำตลอดเวลาไม่มีเหนื่อย ไม่มีบ่น แถมคนที่ต้องใช้ก็มีแต่คนไข้หนัก ๆ ยิ่งเครื่องถูกใช้ คนบริจาคเครื่องก็ยิ่งได้บุญ เครื่องพวกนี้มันใช้งานเกือบตลอดเวลาอยู่แล้วครับ เพียงแต่ผมยังไปไม่ถึงจุดนั้น จุดที่จะมีกำลังทรัพย์มากพอที่จะให้สิ่งเหล่านี้ได้มาก ๆ ครับ เพราะเครื่องใช้เหล่านี้ ราคาต่อเครื่องก็หลักล้านบาท
อย่างกรณีของ M นั้น เจ้าของเค้าก็เป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้กับทางศิริราชครับ หอผู้ป่วยหนักบางแห่งก็มีชื่อจารึกไว้ เป็นชื่อคุณแม่ของผู้บริหารครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 555
ผมว่าถ้าพูดแบบแฟร์ ๆ หน่อย เราเรียนหนังสือมาจนจบตรีนี่ใช้เวลาอย่างน้อย 16 ปี จบมาเอาความรู้มาหาเงิน
ถ้าเราจะให้เงินมันทำงานให้เรา เราคงต้องเรียนรู้กับมันที่จะให้มันทำงานให้เราเหมือนโคลนนิ่งตัวเองมาทำงานเพิ่ม เวลาที่ต้องใช้คงต้องมองว่าอย่างน้อยก็คงเท่ากับที่เราเรียนหนังสือน่ะครับ มันอาจจะไม่ถึงขนาดสิบกว่าปี แต่มันคงไม่มีทางเรียนลัดได้แน่ครับ
คนที่เรียนมาสาขาไหน มันก็คงเหมือนถูกปลูกฝังวิธีคิดแบบนั้นเข้ากับการลงทุนน่ะครับ
คนจบบัญชี คงอ่านงบแน่นเปะ มองในเชิงงบการเงินตามที่ตัวเองถนัด คนจบวิศวะบ้างก็ว่าอาจจะถนัดในเชิงใช้ตัวเลข แนวคิดแบบวิศวกร ส่วนแพทย์เอง ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงนะครับ แต่ที่ผมนำมาประยุกต์กับการลงทุนคือ แนวคิดวิเคราะห์แบบองค์รวมครับ เช่นถ้าคนไข้มาด้วยอาการอะไร เวลาเราวิเคราะห์โรค เราก็จะมองถึงความเป็นไปได้ว่าจะเป็นโรคอะไรได้บ้าง โดยดูจากข้อมูลทั้งหมด เช่นประวัติการป่วย การตรวจร่างกาย ผลแล็ป ภาษาแพทย์ก็เรียกว่า differential diagnosis แล้วก็พยายามหาหลักฐานมายืนยันโรคที่เราคิดถึงมากที่สุด เช่นกันครับ แนวคิดแบบนี้บางทีผมก็เอามาคิดเช่นกัน เช่น รายได้ของบ.เพิ่มจากอะไรได้บ้าง ไล่เรียงกันไป เราจะหาหลักฐานอะไรมายืนยันได้บ้าง แล้วถ้ามันใช่มันควรจะมีบทสรุปอย่างไร หรือเรื่องอื่น ๆ ก็เช่นกันครับ เช่น ถ้าราคาของโภคภัณฑ์ชนิดนี้เป็นขาขึ้น ใครจะได้ประโยชน์และมันควรจะมีเรื่องราวเป็นอย่างไร การมองไปข้างหน้ามันก็เหมือนกับคำว่าพยากรณ์โรคครับ เหมือนกับถ้าเราวินิจฉัยผู้ป่วยว่าเป็นโรคมะเร็ง เราก็ต้องพอบอกได้ว่ามีโอกาสหายเท่าไหร่ สุดท้ายจะคนไข้คนนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้างทั้งจากตัวโรคและจากผลของการรักษา
นอกจากนั้นทางการแพทย์มันจะมีคำที่เรียกว่า holistic approach คือการมองผู้ป่วยแบบองค์รวม เช่น ไม่มองที่อาการอย่างเดียว มองไปที่เหตุของโรค ประวัติต่าง ๆ สภาพครอบครัว สภาพจิตใจ นิสัยใจคอ คือทุกปัจจัยนั่นเอง เช่นกัน บางครั้งผมก็ไม่ได้มองหุ้นบางตัวในเชิงแนวคิดแบบวีไออย่างเดียว แต่มองในแง่มุมอื่น ๆ เช่น จิตวิทยา ราคาที่ซื้อขาย
การมองแบบองค์รวมนั้นมันก็มีข้อดีคือ เราจะพยายามหาปัจจัยบวกและลบออกมาให้มากที่สุด แน่นอนหุ้นแต่ละตัวย่อมมีปัจจัยบวกลบไม่เท่ากัน ที่เหลือมันก็คือศิลปะแล้วครับ ว่าจะให้น้ำหนักปัจจัยตัวไหนมากกว่า ถ้ามีปัจจัยลบแล้วปัจจัยบวกที่มีอยู่มันสามารถหักล้างได้หรือไม่ ชั่งน้ำหนักปัจจัยแต่ละตัว บางทีก็ต้องใช้ความรู้สึก เพราะมันไม่มีตำราเขียนไว้ ชั่งสัดส่วนการซื้อว่าจะซื้อเท่าไหร่ พวกนี้ก็ต้องฝึกเอาครับ
ถ้าจะให้ดีก็เขียนสรุปใส่กระดาษครับ ว่าเราซื้อหุ้นตัวนี้จากปัจจัยบวกอะไรไล่เป็นข้อ ปัจจัยลบมีอะไร เพื่อจะได้คอบเตือนตัวเองให้ติดตามปัจจัยเหล่านั้น จะซื้อสัดส่วนเท่าไหร่ของพอร์ต ซื้ออย่างไร ครั้งละเท่าไหร่ มีแผนการที่ชัดเจน รวมถึงมีกรอบว่าจะถือหุ้นตัวนี้นานแค่ไหน โดยติดตามดูอะไร อย่างไร คือผมว่าอะไรก็ตามถ้ามีแผนการที่ชัดเจน เราจะไม่หลงทางครับ และแผนการที่ชัดเจนมันก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราไม่มั่วครับ
อ.หนึ่งขอสไลด์อิสรภาพทางการเงินกับผม ผมเองตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีอิสรภาพเหมือนกัน ผมพยายามจะหลบหินของอ.หนึ่ง แต่คิดว่าถึงหลบได้ก็คงหลบได้แค่ก้อนแรก ๆ ตอนนี้เลยขี้เกียจจะหลบแล้วครับ แต่ถ้าอ.หนึ่งเห็นว่าแนวคิดผมพอใช้ได้ อยากลองเอาไปใช้ ผมก็ยินดีครับ ผมเลยขอเอาตัวอย่าง holistic approach แบบที่ผมเคยทำกับหุ้นลิสซิ่งตัวหนึ่งมาให้ดูแล้วกันครับ จำได้ว่าทำไว้ตอนที่หุ้นลงหนัก ๆ เมื่อปีก่อน ตอนนี้หุ้นมันไม่ใช่ราคานี้แล้ว แล้วก็ไปไกลพอสมควร อ่านแล้วก็น่าจะรู้ว่าเป็นตัวไหน ก็หวังว่าจะไม่มีคนตามซื้อนะครับ เพราะราคามันขึ้นไปมากแล้ว ยังคงเจตนารมณ์เดิมครับ ว่าไม่ได้ต้องการโฆษณาหุ้นที่ตัวเองมีอยู่จึงเลือกตัวที่ไปไกลแล้วเป็นหลักเพื่อจะได้ใช้ศึกษาแนวคิดจริง ๆ ไม่ได้มีเจตนาแฝงเพื่อหาแนวร่วม "ดัน" แล้วหุ้นที่ผมซื้อแล้วไม่ไปไหนไกล หรือแย่มันก็มีนะครับ อย่าเข้าใจว่ามันดีหมดครับ แต่ถ้าคิดว่าแบบนี้ดีก็เอาไปใช้ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ เพราะความรู้มันก็คงไม่ได้หายไปจากหัวของผมครับ ผมเองหลัง ๆ จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขทางการเงินมากนักนะครับ เพราะมองว่าถ้าหุ้นมีคุณภาพดี story ดีเชื่อถือได้ ตัวเลขในงบบางทีก็ไม่เน้นมากครับ อาจจะใช้แค่เช็คสุขภาพของบ.เท่านั้นว่าไม่มี "ระเบิด" ซุกอยู่ครับ
ที่ผมออกตัวแบบนี้บ่อย ๆ เพราะไม่อยาก มี "โปรตีนอิ่มสบายท้อง" มาเสริฟถึงมือน่ะครับ ไม่อยากให้มืเรื่องแบบว่ามีเจตนาแฝง ถ้ามีใครมากล่าวหามันก็แก้ยากครับ ยิ่งเดี๋ยวนี้โพสต์กันแรง ชื่อติดใน google แล้ว ลูกหลาน ญาติ คนรู้จักมาเจอ มันก็ไม่ดีครับ ลบก็ลบไม่ออก อยู่ไปอีกนานเลย
ถ้าเราจะให้เงินมันทำงานให้เรา เราคงต้องเรียนรู้กับมันที่จะให้มันทำงานให้เราเหมือนโคลนนิ่งตัวเองมาทำงานเพิ่ม เวลาที่ต้องใช้คงต้องมองว่าอย่างน้อยก็คงเท่ากับที่เราเรียนหนังสือน่ะครับ มันอาจจะไม่ถึงขนาดสิบกว่าปี แต่มันคงไม่มีทางเรียนลัดได้แน่ครับ
คนที่เรียนมาสาขาไหน มันก็คงเหมือนถูกปลูกฝังวิธีคิดแบบนั้นเข้ากับการลงทุนน่ะครับ
คนจบบัญชี คงอ่านงบแน่นเปะ มองในเชิงงบการเงินตามที่ตัวเองถนัด คนจบวิศวะบ้างก็ว่าอาจจะถนัดในเชิงใช้ตัวเลข แนวคิดแบบวิศวกร ส่วนแพทย์เอง ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงนะครับ แต่ที่ผมนำมาประยุกต์กับการลงทุนคือ แนวคิดวิเคราะห์แบบองค์รวมครับ เช่นถ้าคนไข้มาด้วยอาการอะไร เวลาเราวิเคราะห์โรค เราก็จะมองถึงความเป็นไปได้ว่าจะเป็นโรคอะไรได้บ้าง โดยดูจากข้อมูลทั้งหมด เช่นประวัติการป่วย การตรวจร่างกาย ผลแล็ป ภาษาแพทย์ก็เรียกว่า differential diagnosis แล้วก็พยายามหาหลักฐานมายืนยันโรคที่เราคิดถึงมากที่สุด เช่นกันครับ แนวคิดแบบนี้บางทีผมก็เอามาคิดเช่นกัน เช่น รายได้ของบ.เพิ่มจากอะไรได้บ้าง ไล่เรียงกันไป เราจะหาหลักฐานอะไรมายืนยันได้บ้าง แล้วถ้ามันใช่มันควรจะมีบทสรุปอย่างไร หรือเรื่องอื่น ๆ ก็เช่นกันครับ เช่น ถ้าราคาของโภคภัณฑ์ชนิดนี้เป็นขาขึ้น ใครจะได้ประโยชน์และมันควรจะมีเรื่องราวเป็นอย่างไร การมองไปข้างหน้ามันก็เหมือนกับคำว่าพยากรณ์โรคครับ เหมือนกับถ้าเราวินิจฉัยผู้ป่วยว่าเป็นโรคมะเร็ง เราก็ต้องพอบอกได้ว่ามีโอกาสหายเท่าไหร่ สุดท้ายจะคนไข้คนนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้างทั้งจากตัวโรคและจากผลของการรักษา
นอกจากนั้นทางการแพทย์มันจะมีคำที่เรียกว่า holistic approach คือการมองผู้ป่วยแบบองค์รวม เช่น ไม่มองที่อาการอย่างเดียว มองไปที่เหตุของโรค ประวัติต่าง ๆ สภาพครอบครัว สภาพจิตใจ นิสัยใจคอ คือทุกปัจจัยนั่นเอง เช่นกัน บางครั้งผมก็ไม่ได้มองหุ้นบางตัวในเชิงแนวคิดแบบวีไออย่างเดียว แต่มองในแง่มุมอื่น ๆ เช่น จิตวิทยา ราคาที่ซื้อขาย
การมองแบบองค์รวมนั้นมันก็มีข้อดีคือ เราจะพยายามหาปัจจัยบวกและลบออกมาให้มากที่สุด แน่นอนหุ้นแต่ละตัวย่อมมีปัจจัยบวกลบไม่เท่ากัน ที่เหลือมันก็คือศิลปะแล้วครับ ว่าจะให้น้ำหนักปัจจัยตัวไหนมากกว่า ถ้ามีปัจจัยลบแล้วปัจจัยบวกที่มีอยู่มันสามารถหักล้างได้หรือไม่ ชั่งน้ำหนักปัจจัยแต่ละตัว บางทีก็ต้องใช้ความรู้สึก เพราะมันไม่มีตำราเขียนไว้ ชั่งสัดส่วนการซื้อว่าจะซื้อเท่าไหร่ พวกนี้ก็ต้องฝึกเอาครับ
ถ้าจะให้ดีก็เขียนสรุปใส่กระดาษครับ ว่าเราซื้อหุ้นตัวนี้จากปัจจัยบวกอะไรไล่เป็นข้อ ปัจจัยลบมีอะไร เพื่อจะได้คอบเตือนตัวเองให้ติดตามปัจจัยเหล่านั้น จะซื้อสัดส่วนเท่าไหร่ของพอร์ต ซื้ออย่างไร ครั้งละเท่าไหร่ มีแผนการที่ชัดเจน รวมถึงมีกรอบว่าจะถือหุ้นตัวนี้นานแค่ไหน โดยติดตามดูอะไร อย่างไร คือผมว่าอะไรก็ตามถ้ามีแผนการที่ชัดเจน เราจะไม่หลงทางครับ และแผนการที่ชัดเจนมันก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราไม่มั่วครับ
อ.หนึ่งขอสไลด์อิสรภาพทางการเงินกับผม ผมเองตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีอิสรภาพเหมือนกัน ผมพยายามจะหลบหินของอ.หนึ่ง แต่คิดว่าถึงหลบได้ก็คงหลบได้แค่ก้อนแรก ๆ ตอนนี้เลยขี้เกียจจะหลบแล้วครับ แต่ถ้าอ.หนึ่งเห็นว่าแนวคิดผมพอใช้ได้ อยากลองเอาไปใช้ ผมก็ยินดีครับ ผมเลยขอเอาตัวอย่าง holistic approach แบบที่ผมเคยทำกับหุ้นลิสซิ่งตัวหนึ่งมาให้ดูแล้วกันครับ จำได้ว่าทำไว้ตอนที่หุ้นลงหนัก ๆ เมื่อปีก่อน ตอนนี้หุ้นมันไม่ใช่ราคานี้แล้ว แล้วก็ไปไกลพอสมควร อ่านแล้วก็น่าจะรู้ว่าเป็นตัวไหน ก็หวังว่าจะไม่มีคนตามซื้อนะครับ เพราะราคามันขึ้นไปมากแล้ว ยังคงเจตนารมณ์เดิมครับ ว่าไม่ได้ต้องการโฆษณาหุ้นที่ตัวเองมีอยู่จึงเลือกตัวที่ไปไกลแล้วเป็นหลักเพื่อจะได้ใช้ศึกษาแนวคิดจริง ๆ ไม่ได้มีเจตนาแฝงเพื่อหาแนวร่วม "ดัน" แล้วหุ้นที่ผมซื้อแล้วไม่ไปไหนไกล หรือแย่มันก็มีนะครับ อย่าเข้าใจว่ามันดีหมดครับ แต่ถ้าคิดว่าแบบนี้ดีก็เอาไปใช้ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ เพราะความรู้มันก็คงไม่ได้หายไปจากหัวของผมครับ ผมเองหลัง ๆ จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขทางการเงินมากนักนะครับ เพราะมองว่าถ้าหุ้นมีคุณภาพดี story ดีเชื่อถือได้ ตัวเลขในงบบางทีก็ไม่เน้นมากครับ อาจจะใช้แค่เช็คสุขภาพของบ.เท่านั้นว่าไม่มี "ระเบิด" ซุกอยู่ครับ
ที่ผมออกตัวแบบนี้บ่อย ๆ เพราะไม่อยาก มี "โปรตีนอิ่มสบายท้อง" มาเสริฟถึงมือน่ะครับ ไม่อยากให้มืเรื่องแบบว่ามีเจตนาแฝง ถ้ามีใครมากล่าวหามันก็แก้ยากครับ ยิ่งเดี๋ยวนี้โพสต์กันแรง ชื่อติดใน google แล้ว ลูกหลาน ญาติ คนรู้จักมาเจอ มันก็ไม่ดีครับ ลบก็ลบไม่ออก อยู่ไปอีกนานเลย
ซื้้อ ZZZ เข้าพอร์ตในสัดส่วน 15-20% ของพอร์ต โดยทะยอยรับไม้แรกก่อนที่ระดับราคาต่ำกว่า 14 บาท แบ่งรับไม้ละ 3 ส่วน ทะยอยรับไม้สองไม้สามวันที่หุ้นตกหนัก ๆ หรือแนวโน้มหุ้นไม่ลงแล้ว สามารถเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% ของพอร์ตได้เนื่องจากมองว่าความเสี่ยงไม่สูงและมีเงินปันผลค่อนข้างสูง
ปัจจัยบวก
1. กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พอร์ตสินเชื่อโตขึ้นเรื่อย ๆ เข้าใจว่าระดับราคาหุ้นที่ตกลงมาน่าจะเกิดจากความกังวัลว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่การตอบสนองของราคาหุ้น คิดว่า "มากเกินไป" เนื่องจากว่า ถ้าดูสัดส่วนของรถที่ทำสัญญา เป็นรถยนต์นั่งเพียง 20% กว่า ๆ (รูปในท้ายบทวิเคราะห์ของ ASP) ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีผลกระทบได้ แต่รายได้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มรถตู้ รถบรรทุก รถแท็กซี่ ซึ่งแบงค์ที่ได้เปรียบเรื่องต้นทุนทางการเงินไม่ลงมาเล่นกับลูกค้ากลุ่มนี้ ทำให้มาร์จิ้นค่อนข้างดี และเชื่อว่ากำไรจะยังดีต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีเป็นอย่างน้อย ตามอายุของสินเชื่อ แต่ระหว่างนี้ก็ต้อง monitor การเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ, NPL, ส่วนต่างของต้นทุนทางการเงินและดอกเบี้ยที่เก็บจากลูกค้า
2. ทีมผู้บริหารแข็งแกร่ง สามารถควบคุม NPL ได้ในระดับที่ต่ำประมาณ 0.5% และมีสถาบันทางการเงินที่สนับสนุนอยู่คือ BBL
3. บ.มีแผนขยายสาขาจากเดิมมี 4 คือ กทม. พิษณุโลก สมุทรสาคร ระยอง โดยปีนี้เปิดสาขาที่เชียงราย แต่การบริการยังไม่เต็มรูปแบบ และมีแผนจะเปิดเพิ่มเติมในปีนี้ที่ขอนแก่น และอุบลฯในปีหน้า
4. การลด QE น่าจะทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น บ.ได้ทำการ fixed ดอกเบี้ยในส่วนของต้นหุ้นให้นานขึ้นโดยการออกหุ้นกู้ ทำให้สัดส่วนของเงินกู้ในระยะยาวลดลงจาก 90% ลงเหลือ 50% ซึ่งบ.ได้ออกหุ้นกู้ไปแล้วและบางส่วนหมดอายุแต่กำลังจะออกใหม่
5. หุ้นมีฟรีโฟลทต่ำ ถ้าความกังวลของตลาดหายไป ราคาหุ้นน่าจะกลับไปซื้อขายที่ราคาสูงกว่านี้ได้ไม่ยาก รวมถึงเป็นหุ้นที่สถาบันและกองทุนถืออยู่
6. EPF น่าจะอยู่ที่ 1.8-1.9 เป็นอย่างน้อย forward PE ที่ราคา 13.9 ~ 7.5 ซึ่งถือว่าหุ้นมีราคาไม่แพง
7. ปกติบ.จ่ายเงินปันผลที่อัตรา 70% แต่ปีก่อนจ่าย 60% ปีนี้ถ้าคิดอัตราดังกล่าวน่าจะได้เงินปันผลที่ 1.11-1.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็น yield 7.99-9.35% (ที่ราคาหุ้น 13.9 บาท) และเชื่อว่าด้วย yield ที่สูง ถ้าตลาดยังลงต่อไปอีก ราคาหุ้นน่าจะลงไปกว่านี้ไม่มากนัก เนื่องจากเป็นหุ้นฟรีโฟลทต่ำและจะมีคนเข้ามารับหุ้นเพื่อเอาเงินปันผล
8. AEC น่าจะทำให้แนวโน้มเรื่องการขนส่งข้ามแดนระหว่างประเทศโดยกลุ่มรถบรรทุกมีมากขึ้น
ปัจจัยลบ
1. ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ
2. NPL ที่อาจจะเพิ่มขึ้นถ้าเศรษฐกิจมีปัญหา
3. อัตราดอกเบี้ยที่ทำให้ส่วนต่างของต้นทุนกับดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้ลดลง
กรอบเวลาในการลงทุน น่าจะถือยาว 1-2 ปี หรือจนกว่าจะเริ่มเห็นการชะลอตัวของพอร์ตสินเชื่อ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 556
อ.lekyเนี่ย ละเอียดสมกับที่ต้องอยู่กับงานแบบคำนวนกันเป็นทศนิยมจริงๆ
แต่ประมาณว่าพอในที่สุดแล้ว ตอนตัดสินใจอาจต้อง"วัดใจ"กันมากกว่าใช้เหตุผล(สมอง)มั้ยฮะ
เค้าถึงอธิบายสิ่งที่ให้เหตุผลยาก(หรือเป็นเคล็ดลับไว้หากินเอง) ว่า"มันเป็นศิลปะ"
หรือตัวเลขที่คำนวนได้ ไม่ได้ช่วยอะไรเมื่อเจอกับความบ้าคลั่งของนายตลาด
(ท่านไอแซ็ค นิวตัน ผู้ซึ่งไม่ได้มีประสบการณ์กับลูกมะพร้าวหรือลูกทุเรียน ว่าไว้)
เรื่องเรียนรู้ให้เงินไปทำงานสำหรับมนุษย์แรงงานค่าแรงแสนสองแสน
(ที่กำลังพยามแปลี่ยนแสนสาหัสกะแสนรันทด ให้เป็นแสนแสบซ่านกะแสนสุขสมอยู่)
คงต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆจนครบหมื่นชั่วโมงจากอ.ทุกท่าน จากฝึกปฎิบัติ(on job training)ไปเรื่อยๆฮะ
หมู่นี้ได้ยินชื่อหนังสือ"คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก"ที่อ.นิเวศน์แปลจากThe Magic of Thinking Big บ่อยมาก
ผมเลยไปคุ้ยมาย่อลงแบบขาดๆเกินๆ ให้อ่านแล้วงงงงสงสัย จะได้ไปหาตัวจริงมาอ่านกันนะฮะ
คงเป็นหนังสือแนวที่ไม่ใช่หุ้นเล่มเดียว ที่อ.แปลไว้ (2544)
ราวๆจิตวิทยาส่วนบุคคล ให้ทะลวงแนวต้านทางความคิดออกไปให้ได้
1. ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณจะทำได้
1.1 คิดว่าต้องสำเร็จ อย่าคิดว่าจะล้มเหลว
1.2 เตือนตัวเองเสมอว่าเราเก่งกว่าที่เราคิด
1.3 คิดใหญ่
2. รักษาโรคชอบแก้ตัว(ข้ออ้างเรื่องสุขภาพ ความฉลาด อายุ โชคชะตา)
2.1 ยอมรับกฎของเหตุและผล
2.2 อย่าเป็นคนเพ้อฝัน
3. สร้างความเชื่อมั่นและทำลายความกลัว
3.1 แยกความกลัวออก คิดเชิงบวก มองทุกคนเท่าเทียมกัน ทำสิ่งที่ถูกต้อง
3.2 เทคนิคเล็กๆน้อยๆ เช่น นั่งแถวหน้า สบตา เดินเร็วขึ้น พูดแสดงความเห็น ย้ิมกว้าง
4. วิธีคิดใหญ่
4.1 บอกความรู้สึกด้วยคำเชิงบวก รื่นเริง
4.2 พูดถึงคนอื่นด้วยคำสดใส นิยมชมชอบ รื่นเริง
4.3 ชมและให้กำลังใจ เมื่อมีโอกาส
4.4 พูดถึงแผนการด้วยคำพูดเป็นบวก(เพิ่มมูลค่าให้สิ่งของ คน และตัวเราเอง)
4.5 จำไว้ว่าคิดใหญ่ดีกว่าในทุกทาง
อย่ามีปมด้อย ใช้คำของคนที่คิดใหญ่ มองอนาคตให้ไกลกว่า มองงานให้ใหญ่ขึ้น อย่าคิดเรื่องจุกจิก
5. วิธีคิดและฝันอย่างสร้างสรรค์
5.1 เมื่อเราเชื่อ ใจเราจะเริ่มหาทาง
ลบคำว่าเป็นไปไม่ได้ออกซะ ลองคิดดูใหม่ในสิ่งที่อยากทำแต่ทำไม่ได้
5.2 ยอมรับความคิดใหม่ เป็นนักทดลอง ก้าวไปข้างหน้าอย่าล้าหลัง
5.3 คนใหญ่ผูกขาดการฟัง คนเล็กผูกขาดการพูด
ส่งเสริมและตั้งใจฟังคนอื่นพูด ทดสอบความคิดเราด้วยคำถาม
6. คุณเป็นในสิ่งที่คุณคิด
7. เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เป็นแบบ"ชั้นหนึ่ง" ต่ำกว่านั้นแพงเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพ
7.1 สังคมกับคนกลุ่มใหม่
7.2 คบเพื่อนที่มองโลกต่างจากเรา ฟังผู้ประสบความสำเร็จ
7.3 เลือกเพื่อนที่ยืนอยู่เหนือสิ่งจุกจิกทั้งปวง อย่าให้คนคิดเล็ก คนขี้อิจฉา ยาพิษความคิด มาถ่วงเราไว้
8. ทำตัวเราให้เป็นส่วนเดียวกับทัศนคติที่นำไปสู่ความสำเร็จ
กระตือรือร้น ทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นคนสำคัญ การบริการสำคัญที่สุด
9. คิดถูกต้องต่อคนอื่น
อย่าทำตัวน่าหนักใจ สร้างมิตรภาพ ยอมรับความแตกต่างและข้อจำกัดของผู้อื่น เอื้อเฟื้อตลอดเวลาสนทนา
อย่าโทษคนอื่นเวลาแพ้ คิดบวกต่อผู้อื่น
10. ลงมือทำ
10.1 ไม่ต้องรอจนสมบูรณ์แบบ ความคิดจะมีค่าเมื่อได้ทำ ทำแล้วจะมั่นใจและไม่กลัว
10.2 "เดี๋ยวนี้" ไม่ใช่เดี๋ยวก่อน
11. เปลี่ยนแพ้เป็นชนะ
แพ้แล้วเรียนรู้ หาความผิดพลาดแล้วแก้ไข หยุดโทษโชคชะตา ทดลองวิธีใหม่ๆแต่เป้าหมายเดิม
11.1 บอกตัวเองว่า"ยังมีหนทาง"
11.2 พักเหนื่อยแล้วเริ่มใหม่
12. เป้าหมายทำให้เราโตขึ้น
ขจัดข้ออ้างเรื่อง การดูถูกตัวเอง การยึดติดความมั่นคง การแข่งขันสูง เรื่องพ่อแม่ เรื่องครอบครัว
เขียนแผน10ปี ก้าวไปทีละก้าว ลงทุนในการศึกษาและสิ่งที่สร้างความคิด
13. คิดให้เหมือนผู้นำ
13.1 ใช้ใจแลกใจ
13.2 แก้ปัญหาแบบมนุษย์ ไม่ใช่แบบเครื่องจักร
13.3 คิด เชื่อ ทำ เพื่อความก้าวหน้า
14. "คิดใหญ่"เมื่อ
14.1 เมื่อเจอคนเล็กพยายามข่มเรา จงคิดใหญ่
ชนะโดยไม่ต้องสู้กับคนคิดเล็กคิดน้อย ถูกแทงข้างหลังแปลว่าเรากำลังโตขึ้น เมตตาพวกลอบกัดที่จิตป่วย
14.2 เมื่อรู้สึกว่าตัวเองขาดปัจจัยสู่ความสำเร็จ จงคิดใหญ่
14.3 เมื่อตกอยู่กลางความขัดแย้ง จงคิดใหญ่
เสียมากกว่าได้ เมื่อต้องทะเลาะในเรื่องที่มักจะไม่สำคัญเลย
14.4 เมื่อแพ้ จงคิดใหญ่
ผิดพลาดแล้วเอามาเรียนรู้ เพื่อจะได้เริ่มใหม่ด้วยวิธีใหม่ๆ
ความพ่ายแพ้เป็นแค่ความรู้สึกทางใจเท่านั้นเอง
14.5 เมื่อรักจาง จงคิดใหญ่
มอง"คุณสมบัติ"เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กเก็บไว้
14.6 เมื่องานก้าวหน้าช้าลง จงคิดใหญ่
มีทางทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แม้จะไม่ถึงกับดีที่สุดไม่มีที่ติ
"คนฉลาดจะเป็นเจ้านายของจิตใจเขา คนโง่จะเป็นทาส"
แต่ประมาณว่าพอในที่สุดแล้ว ตอนตัดสินใจอาจต้อง"วัดใจ"กันมากกว่าใช้เหตุผล(สมอง)มั้ยฮะ
เค้าถึงอธิบายสิ่งที่ให้เหตุผลยาก(หรือเป็นเคล็ดลับไว้หากินเอง) ว่า"มันเป็นศิลปะ"
หรือตัวเลขที่คำนวนได้ ไม่ได้ช่วยอะไรเมื่อเจอกับความบ้าคลั่งของนายตลาด
(ท่านไอแซ็ค นิวตัน ผู้ซึ่งไม่ได้มีประสบการณ์กับลูกมะพร้าวหรือลูกทุเรียน ว่าไว้)
เรื่องเรียนรู้ให้เงินไปทำงานสำหรับมนุษย์แรงงานค่าแรงแสนสองแสน
(ที่กำลังพยามแปลี่ยนแสนสาหัสกะแสนรันทด ให้เป็นแสนแสบซ่านกะแสนสุขสมอยู่)
คงต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆจนครบหมื่นชั่วโมงจากอ.ทุกท่าน จากฝึกปฎิบัติ(on job training)ไปเรื่อยๆฮะ
หมู่นี้ได้ยินชื่อหนังสือ"คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก"ที่อ.นิเวศน์แปลจากThe Magic of Thinking Big บ่อยมาก
ผมเลยไปคุ้ยมาย่อลงแบบขาดๆเกินๆ ให้อ่านแล้วงงงงสงสัย จะได้ไปหาตัวจริงมาอ่านกันนะฮะ
คงเป็นหนังสือแนวที่ไม่ใช่หุ้นเล่มเดียว ที่อ.แปลไว้ (2544)
ราวๆจิตวิทยาส่วนบุคคล ให้ทะลวงแนวต้านทางความคิดออกไปให้ได้
1. ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณจะทำได้
1.1 คิดว่าต้องสำเร็จ อย่าคิดว่าจะล้มเหลว
1.2 เตือนตัวเองเสมอว่าเราเก่งกว่าที่เราคิด
1.3 คิดใหญ่
2. รักษาโรคชอบแก้ตัว(ข้ออ้างเรื่องสุขภาพ ความฉลาด อายุ โชคชะตา)
2.1 ยอมรับกฎของเหตุและผล
2.2 อย่าเป็นคนเพ้อฝัน
3. สร้างความเชื่อมั่นและทำลายความกลัว
3.1 แยกความกลัวออก คิดเชิงบวก มองทุกคนเท่าเทียมกัน ทำสิ่งที่ถูกต้อง
3.2 เทคนิคเล็กๆน้อยๆ เช่น นั่งแถวหน้า สบตา เดินเร็วขึ้น พูดแสดงความเห็น ย้ิมกว้าง
4. วิธีคิดใหญ่
4.1 บอกความรู้สึกด้วยคำเชิงบวก รื่นเริง
4.2 พูดถึงคนอื่นด้วยคำสดใส นิยมชมชอบ รื่นเริง
4.3 ชมและให้กำลังใจ เมื่อมีโอกาส
4.4 พูดถึงแผนการด้วยคำพูดเป็นบวก(เพิ่มมูลค่าให้สิ่งของ คน และตัวเราเอง)
4.5 จำไว้ว่าคิดใหญ่ดีกว่าในทุกทาง
อย่ามีปมด้อย ใช้คำของคนที่คิดใหญ่ มองอนาคตให้ไกลกว่า มองงานให้ใหญ่ขึ้น อย่าคิดเรื่องจุกจิก
5. วิธีคิดและฝันอย่างสร้างสรรค์
5.1 เมื่อเราเชื่อ ใจเราจะเริ่มหาทาง
ลบคำว่าเป็นไปไม่ได้ออกซะ ลองคิดดูใหม่ในสิ่งที่อยากทำแต่ทำไม่ได้
5.2 ยอมรับความคิดใหม่ เป็นนักทดลอง ก้าวไปข้างหน้าอย่าล้าหลัง
5.3 คนใหญ่ผูกขาดการฟัง คนเล็กผูกขาดการพูด
ส่งเสริมและตั้งใจฟังคนอื่นพูด ทดสอบความคิดเราด้วยคำถาม
6. คุณเป็นในสิ่งที่คุณคิด
7. เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เป็นแบบ"ชั้นหนึ่ง" ต่ำกว่านั้นแพงเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพ
7.1 สังคมกับคนกลุ่มใหม่
7.2 คบเพื่อนที่มองโลกต่างจากเรา ฟังผู้ประสบความสำเร็จ
7.3 เลือกเพื่อนที่ยืนอยู่เหนือสิ่งจุกจิกทั้งปวง อย่าให้คนคิดเล็ก คนขี้อิจฉา ยาพิษความคิด มาถ่วงเราไว้
8. ทำตัวเราให้เป็นส่วนเดียวกับทัศนคติที่นำไปสู่ความสำเร็จ
กระตือรือร้น ทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นคนสำคัญ การบริการสำคัญที่สุด
9. คิดถูกต้องต่อคนอื่น
อย่าทำตัวน่าหนักใจ สร้างมิตรภาพ ยอมรับความแตกต่างและข้อจำกัดของผู้อื่น เอื้อเฟื้อตลอดเวลาสนทนา
อย่าโทษคนอื่นเวลาแพ้ คิดบวกต่อผู้อื่น
10. ลงมือทำ
10.1 ไม่ต้องรอจนสมบูรณ์แบบ ความคิดจะมีค่าเมื่อได้ทำ ทำแล้วจะมั่นใจและไม่กลัว
10.2 "เดี๋ยวนี้" ไม่ใช่เดี๋ยวก่อน
11. เปลี่ยนแพ้เป็นชนะ
แพ้แล้วเรียนรู้ หาความผิดพลาดแล้วแก้ไข หยุดโทษโชคชะตา ทดลองวิธีใหม่ๆแต่เป้าหมายเดิม
11.1 บอกตัวเองว่า"ยังมีหนทาง"
11.2 พักเหนื่อยแล้วเริ่มใหม่
12. เป้าหมายทำให้เราโตขึ้น
ขจัดข้ออ้างเรื่อง การดูถูกตัวเอง การยึดติดความมั่นคง การแข่งขันสูง เรื่องพ่อแม่ เรื่องครอบครัว
เขียนแผน10ปี ก้าวไปทีละก้าว ลงทุนในการศึกษาและสิ่งที่สร้างความคิด
13. คิดให้เหมือนผู้นำ
13.1 ใช้ใจแลกใจ
13.2 แก้ปัญหาแบบมนุษย์ ไม่ใช่แบบเครื่องจักร
13.3 คิด เชื่อ ทำ เพื่อความก้าวหน้า
14. "คิดใหญ่"เมื่อ
14.1 เมื่อเจอคนเล็กพยายามข่มเรา จงคิดใหญ่
ชนะโดยไม่ต้องสู้กับคนคิดเล็กคิดน้อย ถูกแทงข้างหลังแปลว่าเรากำลังโตขึ้น เมตตาพวกลอบกัดที่จิตป่วย
14.2 เมื่อรู้สึกว่าตัวเองขาดปัจจัยสู่ความสำเร็จ จงคิดใหญ่
14.3 เมื่อตกอยู่กลางความขัดแย้ง จงคิดใหญ่
เสียมากกว่าได้ เมื่อต้องทะเลาะในเรื่องที่มักจะไม่สำคัญเลย
14.4 เมื่อแพ้ จงคิดใหญ่
ผิดพลาดแล้วเอามาเรียนรู้ เพื่อจะได้เริ่มใหม่ด้วยวิธีใหม่ๆ
ความพ่ายแพ้เป็นแค่ความรู้สึกทางใจเท่านั้นเอง
14.5 เมื่อรักจาง จงคิดใหญ่
มอง"คุณสมบัติ"เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กเก็บไว้
14.6 เมื่องานก้าวหน้าช้าลง จงคิดใหญ่
มีทางทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แม้จะไม่ถึงกับดีที่สุดไม่มีที่ติ
"คนฉลาดจะเป็นเจ้านายของจิตใจเขา คนโง่จะเป็นทาส"
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 557
รบกวนนิดนึงนะครับมีเครื่องมือแพทย์ที่ช่วยลดความทรมารของผู้ป่วยมั้ยครับ เอาที่ราคาไม่แพงนะครับ คืออยากบริจาคครับ แต่กลัวเกินกำลังหรือถ้าเพื่อนรวมตัวกันบริจาค ผมขอร่วมด้วยนะครับ พอดีไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้นะครับ ขอบคุณล่วงหน้านะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 558
อนุโมทนาล่วงหน้ากับท่านลูกหินและท่านอื่นๆที่มีจิตกุศลด้วยนะครับ
ปกติแล้ว เจตนาของสมาคม เวลาเงินเหลือจากการมี้ตติ้งจะนำไปบริจาค
เพื่อผู้ป่วย และผู้ด้อยโอกาส ในเชิงการรักษาและการศึกษาอยู่แล้วครับ
อย่างเช่นชมรมวีไอหาดใหญ่ได้ไปบริจาคเงินที่เหลือจากการจัดสมมนา
ที่โรงพยาบาล และสมาคมคนตาบอดมาสองครั้งแล้ว
ท่านลูกหินและท่านที่สนใจสามารถร่วมด้วยช่วยกัน
โดยเข้าเป็นสมาชิกสมาคม และชักชวนเพื่อนๆญาติๆ คนรู้จัก เข้ามาร่วมกิจกรรมสมาคมได้เลย
ได้ทั้งความรู้และบุญจากทานบริจาคตามเจตนาของสมาคมและสามชิกแน่นอน
หรือจะไปบริจาคโดยตรงที่โรงพยาบาล ซึ่งมักจะมีมูลนิธิอยู่แล้ว
แล้วแจ้งเจตนาว่าต้องการให้เงินบริจาค ไปซื้อเครื่องมืออะไรบ้าง
เช่น ตึกผู้ป่วย ที่พักญาติผู้ป่วย รถพยาบาล เครื่องช่วยหายใจ เครื่องฟอกไต เครื่องปั๊มยาและน้ำเกลือ
รถเข็นนั่งผู้ป่วย เล็นส์แก้วตาเทียม ข้อเทียม แว่นตา ไม้เท้า เครื่องช่วยฟัง ๆลๆ
สาธุล่วงหน้าครับ
ปกติแล้ว เจตนาของสมาคม เวลาเงินเหลือจากการมี้ตติ้งจะนำไปบริจาค
เพื่อผู้ป่วย และผู้ด้อยโอกาส ในเชิงการรักษาและการศึกษาอยู่แล้วครับ
อย่างเช่นชมรมวีไอหาดใหญ่ได้ไปบริจาคเงินที่เหลือจากการจัดสมมนา
ที่โรงพยาบาล และสมาคมคนตาบอดมาสองครั้งแล้ว
ท่านลูกหินและท่านที่สนใจสามารถร่วมด้วยช่วยกัน
โดยเข้าเป็นสมาชิกสมาคม และชักชวนเพื่อนๆญาติๆ คนรู้จัก เข้ามาร่วมกิจกรรมสมาคมได้เลย
ได้ทั้งความรู้และบุญจากทานบริจาคตามเจตนาของสมาคมและสามชิกแน่นอน
หรือจะไปบริจาคโดยตรงที่โรงพยาบาล ซึ่งมักจะมีมูลนิธิอยู่แล้ว
แล้วแจ้งเจตนาว่าต้องการให้เงินบริจาค ไปซื้อเครื่องมืออะไรบ้าง
เช่น ตึกผู้ป่วย ที่พักญาติผู้ป่วย รถพยาบาล เครื่องช่วยหายใจ เครื่องฟอกไต เครื่องปั๊มยาและน้ำเกลือ
รถเข็นนั่งผู้ป่วย เล็นส์แก้วตาเทียม ข้อเทียม แว่นตา ไม้เท้า เครื่องช่วยฟัง ๆลๆ
สาธุล่วงหน้าครับ
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 559
ขอบพระคุณมากๆเลยนะครับ ผมพยายามหาที่ๆเงินไม่ค่อยหายระหว่างทาง และได้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนะครับ ซึ่งเพื่อนในไทยวีไอหลายๆท่านที่มีจิตเอื้อเฟื้อ คอยบอกกล่าวและถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นๆเสมอ ซึ่งจากอุปนิสัยดังกล่าว ทำผมก็มีความมั่นใจมากครับว่าจะเป็นไปอย่างคุ้มค่าตามแบบวีไอนะครับ ถ้าเพื่อนคนไหนจะมีการลงทุนเพื่อคนที่เจ็บป่วย ผมขอแจมด้วยนะครับ ถือว่าทำบุญร่วมกันครับ ขอบคุณมากๆนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 560
ขยายความต่อครับ ทุกอย่างที่เขียนมันมีเรื่องเชิงลึกที่ใช้วิเคราะห์อยู่ครับ หมายถึงในแง่การเชื่อมโยงกับความรู้ที่เรามี อ.ลินซ์เคยบอกว่าถ้าจะซื้อหุ้นตัวหนึ่ง ถ้าสามารถเขียนเรื่องราวทั้งด้านดีด้านร้ายได้ 5 ข้อ ก็สอบผ่านครับ ผมก็จะอาศัยดู ๆ จากหลายเรื่อง บางเรื่องมันก็ไม่ใช่แนววีไอ บางเรื่องก็ความเชื่อส่วนตัวน่ะครับ ก็เอามาชั่งน้ำหนักดูว่ามันเสี่ยงมากไหม
ช่วงนี้ยุ่ง ๆ น่ะครับ เลยเอาแบบค่อย ๆ โผล่ออกมาแล้วกันครับ
ช่วงนี้ยุ่ง ๆ น่ะครับ เลยเอาแบบค่อย ๆ โผล่ออกมาแล้วกันครับ
ซื้้อ ZZZ เข้าพอร์ตในสัดส่วน 15-20% ของพอร์ต โดยทะยอยรับไม้แรกก่อนที่ระดับราคาต่ำกว่า 14 บาท แบ่งรับไม้ละ 3 ส่วน ทะยอยรับไม้สองไม้สามวันที่หุ้นตกหนัก ๆ หรือแนวโน้มหุ้นไม่ลงแล้ว สามารถเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% ของพอร์ตได้เนื่องจากมองว่าความเสี่ยงไม่สูงและมีเงินปันผลค่อนข้างสูง
>>> อันนี้เป็นการวางแผนเข้าซื้อ จะได้ไม่มั่วครับ เพราะตอนนั้นตลาดขาลง ความกลัวของเรามันก็มีอยู่เหมือนคนอื่น สำหรับหุ้นตัวนี้ ผมเก็บได้ไม่มากนัก เพราะราคา sale เท่านั้น มีให้เห็นแค่ไม่กี่วันเท่านั้นครับ แต่ถ้ามีเวลาผมก็คงซื้อให้ได้ตามแผน แต่ถ้าหุ้นขึ้นไปแล้ว ก็ต้องปล่อยมันไปครับ
ปัจจัยบวก
1. กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พอร์ตสินเชื่อโตขึ้นเรื่อย ๆ เข้าใจว่าระดับราคาหุ้นที่ตกลงมาน่าจะเกิดจากความกังวัลว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่การตอบสนองของราคาหุ้น คิดว่า "มากเกินไป" เนื่องจากว่า ถ้าดูสัดส่วนของรถที่ทำสัญญา เป็นรถยนต์นั่งเพียง 20% กว่า ๆ (รูปในท้ายบทวิเคราะห์ของ ASP) ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีผลกระทบได้ แต่รายได้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มรถตู้ รถบรรทุก รถแท็กซี่ ซึ่งแบงค์ที่ได้เปรียบเรื่องต้นทุนทางการเงินไม่ลงมาเล่นกับลูกค้ากลุ่มนี้ ทำให้มาร์จิ้นค่อนข้างดี และเชื่อว่ากำไรจะยังดีต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปีเป็นอย่างน้อย ตามอายุของสินเชื่อ แต่ระหว่างนี้ก็ต้อง monitor การเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ, NPL, ส่วนต่างของต้นทุนทางการเงินและดอกเบี้ยที่เก็บจากลูกค้า
>>> อันนี้มองในเชิงจิตวิทยาความกลัวของตลาดเทียบกับข้อมูลที่เรามีอยู่จริงว่าเราควรจะกลัวสิ่งที่คนอื่นกลัวจริงหรือไม่ ตลาด react มากเกินไปหรือเปล่า ข้อมูลบางอย่างเอาบทวิเคราะห์เข้าช่วยได้เพราะเค้าไป visit บ. จริง ๆ หุ้นตัวนี้ผมซื้อช้าไปราว 3-4 ปี เคยดูตั้งแต่ 5 บาทกว่ามั๊งครับ เคยคุยกับ IR เลยรู้ว่าปกติสินเชื่อนั้นเค้าจะกินบุญเก่าได้ 1-2 ปี ระหว่างนั้นถ้าไม่มีการตั้งสำรองมาก ๆ กำไรมันค่อนข้างนิ่งครับ แต่กำไรจะเพิ่มได้ก็คงต้องมีสินเชื่อเพิ่ม NPL ไม่เพิ่ม
2. ทีมผู้บริหารแข็งแกร่ง สามารถควบคุม NPL ได้ในระดับที่ต่ำประมาณ 0.5% และมีสถาบันทางการเงินที่สนับสนุนอยู่คือ BBL
>>> มองในเชิงคุณภาพของผู้บริหารครับ และปัจจัยที่หนุนหลังบ.อยู่ในยามที่สภาพเศรษฐกิจโดยรวมอาจจะมีปัญหาบ.มีจุดแข็งอะไรบ้าง ตอนนั้นเท่าที่ดูกำไรโตต่อเนื่อง แต่หุ้นไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับลิสซิ่งอีกตัวหนึ่ง
3. บ.มีแผนขยายสาขาจากเดิมมี 4 คือ กทม. พิษณุโลก สมุทรสาคร ระยอง โดยปีนี้เปิดสาขาที่เชียงราย แต่การบริการยังไม่เต็มรูปแบบ และมีแผนจะเปิดเพิ่มเติมในปีนี้ที่ขอนแก่น และอุบลฯในปีหน้า
>>> อันนี้คือ"ตัวเร่ง" การ่ขยายสาขา ถ้าไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายเยอะจนน่าเกลียด ก็เป็นการเพิ่มช่องทางการหารายได้ ถ้าดูแบบนี้สาขาเพิ่มมา 3 จากเดิม 4 เพิ่ม 75% ถ้าดู story ของบ.คู่แข่งอีกแห่งหนึ่ง สินเชื่อที่โตก็เกิดจากการขยายสาขาเช่นกัน
4. การลด QE น่าจะทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น บ.ได้ทำการ fixed ดอกเบี้ยในส่วนของต้นหุ้นให้นานขึ้นโดยการออกหุ้นกู้ ทำให้สัดส่วนของเงินกู้ในระยะยาวลดลงจาก 90% ลงเหลือ 50% ซึ่งบ.ได้ออกหุ้นกู้ไปแล้วและบางส่วนหมดอายุแต่กำลังจะออกใหม่
>>> อันนี้มองในแง่ downside risk ในเชิงธุรกิจจะเห็นว่าบ.มองไปที่อนาคต เห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้น จึงทำการป้องกันไว้แต่เนิ่น ๆ
5. หุ้นมีฟรีโฟลทต่ำ ถ้าความกังวลของตลาดหายไป ราคาหุ้นน่าจะกลับไปซื้อขายที่ราคาสูงกว่านี้ได้ไม่ยาก รวมถึงเป็นหุ้นที่สถาบันและกองทุนถืออยู่
>>> มองในเชิงจิตวิทยาและความเชื่อส่วนตัวของผมเอง หุ้นที่ฟรีโพลทต่ำโดยเฉพาะถ้าสถาบันถืออยู่มากนั้น ปกติสถาบันมักจะซื้อขายหุ้นตามเหตุผลของพื้นฐานมากกว่าอารมณ์ นั่นแปลว่าถ้าตลาดลงหนักสถาบันโดยเฉพาะที่ถือหุ้นตัวนั้นมานาน ๆ จะไม่บ้าจี้ตามรายย่อยในตลาด และในทางกลับกันถ้าราคาหุ้นถูกสถาบันก็น่าจะมีเหตุผลในการซื้อเพิ่ม ในเชิงของรายย่อย ถ้าตลาดไม่มีอารมณ์ panic เมื่อความกลัวหายไป ถ้าหุ้นตัวนั้นราคาต่ำจริง ความต้องการหุ้นจะมากกว่าความอยากขาย ยิ่งฟรีโฟลทน้อยราคาหุ้นจะกลับไปที่เดิมได้ไม่ยาก
6. EPF น่าจะอยู่ที่ 1.8-1.9 เป็นอย่างน้อย forward PE ที่ราคา 13.9 ~ 7.5 ซึ่งถือว่าหุ้นมีราคาไม่แพง
>>> ความเชื่อส่วนตัวของผม หุ้นที่ forward PE ต่ำ ถึงราคาจะไม่ขึ้นแต่อย่างน้อยก็ "ไม่ควร" จะลง ถ้าจาก PE 7.5 จะลงไปเหลือ 5 ได้ไหม ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ตลาดคงต้อง panic สุด ๆ แต่ถ้าตลาดดี ถ้าการประเมินไม่ผิดพลาด โอกาสที่ PE จะขึ้นไปอีกมันก็มีความเป็นไปได้สูง จาก PE 7.5 ไปที่ 10 ซึ่งก็ถือว่าเป็นระดับ PE ไม่สูงเหมือนกันก็ไม่น่าจะยาก
7. ปกติบ.จ่ายเงินปันผลที่อัตรา 70% แต่ปีก่อนจ่าย 60% ปีนี้ถ้าคิดอัตราดังกล่าวน่าจะได้เงินปันผลที่ 1.11-1.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็น yield 7.99-9.35% (ที่ราคาหุ้น 13.9 บาท) และเชื่อว่าด้วย yield ที่สูง ถ้าตลาดยังลงต่อไปอีก ราคาหุ้นน่าจะลงไปกว่านี้ไม่มากนัก เนื่องจากเป็นหุ้นฟรีโฟลทต่ำและจะมีคนเข้ามารับหุ้นเพื่อเอาเงินปันผล
>>> ข้อนี้มองได้สองมุม ยามตลาดตกแรง yield ที่สูง เปรียบเสมือนตัวแบ็คอัพราคาหุ้นไม่ให้ลงมามาก เหมือนทีมฟุตบอลโดนคู่แข่งบุกหนักแต่ผู้รักษาประตูยังเหนียว กองหลังยังแน่น คนอยากได้เงินปันผลก็จะเข้ามารับหุ้น ยิ่งหุ้นมีน้อยก็จะยิ่งลงยาก
มองอีกมุมหนึ่ง yield ที่สูง ถ้าตลาดดี ยิ่งใกล้จ่ายเงินปันผล อันนี้ถือเป็น "ตัวเร่ง" ระยะสั้น คนอยากได้เงินปันผลก็จะเข้ามาซื้อหุ้น ราคาหุ้นก็จะขยับขึ้นไปเช่นกัน
8. AEC น่าจะทำให้แนวโน้มเรื่องการขนส่งข้ามแดนระหว่างประเทศโดยกลุ่มรถบรรทุกมีมากขึ้น
>>> อันนี้อาจจะเป็น "ตัวเร่ง" ที่ต้องใช้เวลาติดตามพอสมควร
ปัจจัยลบ
1. ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ
2. NPL ที่อาจจะเพิ่มขึ้นถ้าเศรษฐกิจมีปัญหา
3. อัตราดอกเบี้ยที่ทำให้ส่วนต่างของต้นทุนกับดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้ลดลง
>>> ปัจจัยลบหรือปัจจัยเสี่ยง คือสิ่งที่คอยเตือนเราให้ต้อง monitor สิ่งเหล่านี้ให้ดี ถ้า early detection ได้ยิ่งดี ไม่ต้องรอให้มันเห็นในงบการเงิน เพราะถ้ามันเห็นในงบการเงินแล้ว ทุกคนในตลาดก็เห็นเช่นกัน
กรอบเวลาในการลงทุน น่าจะถือยาว 1-2 ปี หรือจนกว่าจะเริ่มเห็นการชะลอตัวของพอร์ตสินเชื่อ
>>>กรอบการลงทุนมิใช่กรอบที่จะบังคับตัวเอง หุ้นที่ซื้อมา ผมพร้อมจะขายทุกเวลานับแต่สิ้นสุดการซื้อ ถ้ามัน "over value" สมมติ ถ้าถือ 1 เดือน หุ้นวิ่งขึ้นไป 1 เด้ง ถ้าเราคิดว่ามัน over value เราก็อาจจะขาย ยกเว้นเราจะถือเพื่อดูอะไรบางอย่าง การกำหนดกรอบเพียงเพื่อประเมินว่าด้วยปัจจัยข้อมูลที่เรามีอยู่เราคิดว่าจะให้เวลาหุ้นตัวนั้นมากแค่ไหน และอ้างอิงกับปัจจัยอะไรบ้าง ไม่ใช่ถือไปโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย ถ้าจะถือโดยมองที่พื้นฐานอย่างเดียวว่าถ้าไม่เปลี่ยนก็ไม่ขาย ก็ต้องทราบด้วยว่าแล้วเราจะ monitor อะไรบ้าง หุ้นบางตัวอาจจะพอบอกได้บ้างว่าเราน่าจะหวังผลตอบแทนได้เท่าไหร่ อันนี้คงต้องชั่งน้ำหนักเอาครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 561
เรื่องคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ผมก็มีหนังสือนะครับ แต่ไม่ได้อ่านซักที จริง ๆ ดร.มีอีกเล่มครับที่คนไม่ค่อยพูดถึง ชื่อ "คิดให้ใหญ่ทำให้ได้" ครับ เป็นหนังสือเก่า ไม่ได้วางขายแล้วครับ ตามลิงค์ครับ
http://thaispecial.com/bookshop/newbook ... 9742121891
ถามว่าผมเองตั้งความหวังคิดใหญ่แค่ไหน ผมคิดว่าซักวันหนึ่งผมคงจะทำตามที่ผมตั้งใจไว้ได้ครับ ผลตอบแทนอาจจะไม่ใช่ระดับเห็นแล้วอ้าปากหวอ แต่เราก็คิดว่าถ้าได้เท่าทุกวันนี้มันก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ถ้าจะเร่งให้มันเร็วขึ้น ผมก็ต้องพยายามเติมเงินทุนให้มากขึ้น เพื่อลดเวลาที่จะไปถึงเป้าลง นอกจากนั้นก็ต้องพยายามมีอายุให้ยืนขึ้น โดยหวังว่ามิติของเวลาจะทำให้ลงทุนได้นานขึ้นครับ ซักวันหนึ่งมันก็คงจะถึงครับ จะนานเท่าไหร่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ
เงินที่ได้มาไม่ว่าจะจากงานประจำหรือการลงทุนต้องเป็นเงินบริสุทธิ์ครับ ไม่ใช่เงินที่เกิดจากการเอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น ผมยังเชื่อในเรื่องบุญกรรมครับ ถึงจะไม่ใช่คนที่ศึกษาธรรมะ บางทีเจตนาบริสุทธิ์ การให้ที่บริสุทธิ์ ถึงจะดูไม่ได้อะไร แต่บางครั้งมันอาจจะเห็นผลโดยที่เราไม่รู้ก็ได้ครับ
http://thaispecial.com/bookshop/newbook ... 9742121891
ถามว่าผมเองตั้งความหวังคิดใหญ่แค่ไหน ผมคิดว่าซักวันหนึ่งผมคงจะทำตามที่ผมตั้งใจไว้ได้ครับ ผลตอบแทนอาจจะไม่ใช่ระดับเห็นแล้วอ้าปากหวอ แต่เราก็คิดว่าถ้าได้เท่าทุกวันนี้มันก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ถ้าจะเร่งให้มันเร็วขึ้น ผมก็ต้องพยายามเติมเงินทุนให้มากขึ้น เพื่อลดเวลาที่จะไปถึงเป้าลง นอกจากนั้นก็ต้องพยายามมีอายุให้ยืนขึ้น โดยหวังว่ามิติของเวลาจะทำให้ลงทุนได้นานขึ้นครับ ซักวันหนึ่งมันก็คงจะถึงครับ จะนานเท่าไหร่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ
เงินที่ได้มาไม่ว่าจะจากงานประจำหรือการลงทุนต้องเป็นเงินบริสุทธิ์ครับ ไม่ใช่เงินที่เกิดจากการเอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น ผมยังเชื่อในเรื่องบุญกรรมครับ ถึงจะไม่ใช่คนที่ศึกษาธรรมะ บางทีเจตนาบริสุทธิ์ การให้ที่บริสุทธิ์ ถึงจะดูไม่ได้อะไร แต่บางครั้งมันอาจจะเห็นผลโดยที่เราไม่รู้ก็ได้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 562
หูย..สเตปเทพจริงๆเวลาapproach เป็นขั้นๆตอนวิเคราะห์และประเมิน ตัดสินใจลงทุน
เล่ม"คิดให้ใหญ่ทำให้ใด้"เนี่ย ผมยอมแพ้เลยฮะ ไม่รู้ว่ามีเล่มนี้ด้วย
อ.lekyว่างๆจากงานกะดูบอลก็โพสต์มาเรื่อยๆนะฮะ ส่วนผมจะดูบอลแฝดประจำตัวระหว่างรอไปพลางๆก่อน
เรื่องโปรตีนอิ่มสบายท้อง(ไวตามิ้ลค์ VI-tamin วีไอทมิฬ)ไม่ต้องห่วงฮะ
เรื่องนั้นท่านsaichonแกรับมรดกสืบทอดตำแหน่งไปแระ
ได้เป็นแน่นอนถ้าตอนขายไปแล้วไม่บอกกันซ้ากคำ
เล่นซื้อถัวขาขึ้นไปเรื่อยๆจนตัวเดียวเต็มผอร์ทซะอย่างงั้น คงมั่นใจใส่หมดแม็ก
ขนาดตลาดทำท่าเดินหน้าแบบmoonwalk(ภาพและเสียงประกอบ:ไมเคิ่ล แจ๊คสันเพลงบิลลี่จีนแต้จิ๋ว)
ส่วนหุ้นเรายังนอกสายตา เม่าไม่นิยม มาร์ไม่รู้จัก โบรคไม่วิแคะ ราคาก็ซึมๆ ตังค์จะซื้อก็นิสนึง
กระจัดกระจายกระเจิดกระเจิงไปแบบไร้กระบวนท่า(สุดยอดของความเป็นกระบวนท่า)
รอเซเล็บมา"เจิม"แล้วค่อยเกาะไปด้วยแบบเห็บ เอ๊ย เหาฉลาม ดีกว่านะฮะ
เล่ม"คิดให้ใหญ่ทำให้ใด้"เนี่ย ผมยอมแพ้เลยฮะ ไม่รู้ว่ามีเล่มนี้ด้วย
อ.lekyว่างๆจากงานกะดูบอลก็โพสต์มาเรื่อยๆนะฮะ ส่วนผมจะดูบอลแฝดประจำตัวระหว่างรอไปพลางๆก่อน
เรื่องโปรตีนอิ่มสบายท้อง(ไวตามิ้ลค์ VI-tamin วีไอทมิฬ)ไม่ต้องห่วงฮะ
เรื่องนั้นท่านsaichonแกรับมรดกสืบทอดตำแหน่งไปแระ
ได้เป็นแน่นอนถ้าตอนขายไปแล้วไม่บอกกันซ้ากคำ
เล่นซื้อถัวขาขึ้นไปเรื่อยๆจนตัวเดียวเต็มผอร์ทซะอย่างงั้น คงมั่นใจใส่หมดแม็ก
ขนาดตลาดทำท่าเดินหน้าแบบmoonwalk(ภาพและเสียงประกอบ:ไมเคิ่ล แจ๊คสันเพลงบิลลี่จีนแต้จิ๋ว)
ส่วนหุ้นเรายังนอกสายตา เม่าไม่นิยม มาร์ไม่รู้จัก โบรคไม่วิแคะ ราคาก็ซึมๆ ตังค์จะซื้อก็นิสนึง
กระจัดกระจายกระเจิดกระเจิงไปแบบไร้กระบวนท่า(สุดยอดของความเป็นกระบวนท่า)
รอเซเล็บมา"เจิม"แล้วค่อยเกาะไปด้วยแบบเห็บ เอ๊ย เหาฉลาม ดีกว่านะฮะ
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 563
อ.หนึ่งครับ ที่ผมโพสต์นี่อย่าถือว่าผมถือวิสาสะมาสอนชาวบ้านเค้าเลยนะครับ ผมเชื่อว่าหลายคนในที่นี้อาจจะมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าผมด้วยซ้ำ เอาว่าเป็นการ "แลกเปลี่ยนแนวคิด" จะดีกว่าครับ ดีกว่าอยู่เฉย ๆ น่ะครับ
เรื่องถือหุ้นตัวเดียวนี่ ผมยอมรับว่าไม่กล้าจริง ๆ ครับ ผมอาจจะทนไม่ไหวถ้าซื้อแล้วมันไม่ไปไหนน่ะครับ เลยเอาแบบหลาย ๆ ตัวไว้ก่อน แต่ก็พยายามจะจำนวนหุ้นให้น้อยลงน่ะครับ
เรื่องถือหุ้นตัวเดียวนี่ ผมยอมรับว่าไม่กล้าจริง ๆ ครับ ผมอาจจะทนไม่ไหวถ้าซื้อแล้วมันไม่ไปไหนน่ะครับ เลยเอาแบบหลาย ๆ ตัวไว้ก่อน แต่ก็พยายามจะจำนวนหุ้นให้น้อยลงน่ะครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 564
พี่หนึ่งพูดถึงตัวไหนอ่ะครับdr1 เขียน: ส่วนหุ้นเรายังนอกสายตา เม่าไม่นิยม มาร์ไม่รู้จัก โบรคไม่วิแคะ ราคาก็ซึมๆ ตังค์จะซื้อก็นิสนึง
กระจัดกระจายกระเจิดกระเจิงไปแบบไร้กระบวนท่า(สุดยอดของความเป็นกระบวนท่า)
PMบอกผมซิครับ เดี๋ยวผมซื้อด้วย ถือกัน2คนจะได้ไม่เหงา...
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 565
สองคนหัวหาย นะครับ ท่านพี่ทั้งสองsaichon เขียน:พี่หนึ่งพูดถึงตัวไหนอ่ะครับdr1 เขียน: ส่วนหุ้นเรายังนอกสายตา เม่าไม่นิยม มาร์ไม่รู้จัก โบรคไม่วิแคะ ราคาก็ซึมๆ ตังค์จะซื้อก็นิสนึง
กระจัดกระจายกระเจิดกระเจิงไปแบบไร้กระบวนท่า(สุดยอดของความเป็นกระบวนท่า)
PMบอกผมซิครับ เดี๋ยวผมซื้อด้วย ถือกัน2คนจะได้ไม่เหงา...
สามคนสิ เพื่อนตาย (ด้วยกัน)
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 566
ตลาดแบบนี้ผมชอบนะครับ ตลาดที่แรงเกินไป ทำให้เราเหลิงจนเกินไป ตลาดกระทิงคนไม่รู้อะไรเลยก็อาจจะรวยได้ ของถูกหายากdr1 เขียน: ขนาดตลาดทำท่าเดินหน้าแบบmoonwalk(ภาพและเสียงประกอบ:ไมเคิ่ล แจ๊คสันเพลงบิลลี่จีนแต้จิ๋ว)
ส่วนหุ้นเรายังนอกสายตา เม่าไม่นิยม มาร์ไม่รู้จัก โบรคไม่วิแคะ ราคาก็ซึมๆ ตังค์จะซื้อก็นิสนึง
กระจัดกระจายกระเจิดกระเจิงไปแบบไร้กระบวนท่า(สุดยอดของความเป็นกระบวนท่า)
รอเซเล็บมา"เจิม"แล้วค่อยเกาะไปด้วยแบบเห็บ เอ๊ย เหาฉลาม ดีกว่านะฮะ
ส่วนตลาดที่แย่เกินไปแบบลบที 50-70 จุด มันก็โหดจนเกินไปครับ เพราะคนเก่งหรือไม่เก่งก็ตายกันหมด
ตลาดแบบนิ่ง ๆ ไม่ลงมากไม่ขึ้นมากแบบนี้แหละครับ หุ้นดีจริงก็ยังขึ้นได้ครับ
อยากรู้ว่าคนอื่น ๆ คาดหวังผลตอบแทนกันปีละเท่าไหร่ครับ
ผมขอตอบก่อนเลยแล้วกันครับ หวังปีละ 30% ครับ คำว่าหวังกับความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกันก็ได้ครับ แต่ยังไงก็ต้องคิดใหญ่ไว้ก่อน ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 567
แต่ทุกวันนี้ผมลงทุนด้วย "ความสนุก" นะครับ ไม่ได้กดดันอะไร ไม่ได้ไปแข่งกับใคร แทบไม่เคยถามคนอื่นเลยว่าพอร์ตใหญ่แค่ไหน กำไรปีละเท่าไหร่ เพราะถ้าอยากจะแข่งจริง ๆ ก็คงแค่แข่งกับเป้าที่ตัวเองตั้งไว้เท่านั้นครับ
ทุกครั้งผมยังมีความสนุกและท้าทายที่จะหาหุ้นที่มีคุณสมบัติที่เราตั้งไว้ ซื้อแล้วรอ ดูพัฒนาการที่คาดการณ์ครับ
ทุกครั้งผมยังมีความสนุกและท้าทายที่จะหาหุ้นที่มีคุณสมบัติที่เราตั้งไว้ ซื้อแล้วรอ ดูพัฒนาการที่คาดการณ์ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 568
อ.lekyฮะ
เป้าผม ตัวเองแค่ได้อาหารวันละสักพันห้าร้อยแคลอรี่ก็อยู่ได้แล้วฮะ
ส่วนบริวาร(คน สัตว์ สิ่งของ)ก็แล้วแต่ว่าจะลากไปด้วยกันแค่ไหน
ถ้าไม่ต้องเผื่อ"ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย"ของpassive income
ตอนนี้เกือบๆเอาตีนที่กระดิกอยู่บนหน้าผากลงมาได้บ้างแระ
ท่านsaichon
ตอนเรามี้ตติ้งกัน
อ.ท่านนึงก็บอกว่าบอกมาเป็นปีแระ อีกท่านก็บอกว่าแปลกดีซื้อเท่าไรก็มีคนให้มาตลอด ราคาก็ไม่ขึ้น(ไม่รุตัวเดียวกันป่าว)
ผมก็เขียนให้แล้ววันน้ัน อ.lekyก็เฉลยให้แล้ว ชื่อมันยังบอกเลยว่า..วีไอ ท่านยังมาถามล่อเป้าอีก
แหม่ๆ อาไรมันจะพุ่งเป้าตรงกันเป็นเอกฉันยังง้าน...
พลิกโผขึ้นมา ได้พาดหัว"วีไอตายหมู่"ให้เป็นที่ดีใจชาวสำนักอื่นแหงมๆ
ไหนๆก็โผล่มาแซวแระ ช่วยเล่าเส้นทางทายาทอสูรวีไอทมิฬ ให้พวกเราฟังมั่งนะฮะ
ว่าถัวตั้งแต่สองสลึงจะไปสองหลักเนี่ย ผลงานไงมั่ง
ท่านoatty
สงสัยได้รวมกันตายหมู่ตามด้านบนมั้ยไม่รู้
วันก่อนผมเห็นเทสล่าตัวจริงแระ มีไอแผดอยู่คอนโซลกลางด้วยเบ้อเริ่มเลย
ซีอีโอก็เก่งมาก แม้มีข่าววิ่งไปครูดอะไรใต้ท้องโดนแบตแล้วไฟใหม้น่ะ(ทดสอบการชนห้าดาวเต็ม)
แต่ยังเหมือนเป็น"ของเล่นเศรษฐี"นะฮะ
"ของใช้ชาวบ้าน" แบบBYD ท่านoattyมีข้อมูลมั่งป่าว เล่าให้ฟังมั่งนะฮะ
เป้าผม ตัวเองแค่ได้อาหารวันละสักพันห้าร้อยแคลอรี่ก็อยู่ได้แล้วฮะ
ส่วนบริวาร(คน สัตว์ สิ่งของ)ก็แล้วแต่ว่าจะลากไปด้วยกันแค่ไหน
ถ้าไม่ต้องเผื่อ"ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย"ของpassive income
ตอนนี้เกือบๆเอาตีนที่กระดิกอยู่บนหน้าผากลงมาได้บ้างแระ
ท่านsaichon
ตอนเรามี้ตติ้งกัน
อ.ท่านนึงก็บอกว่าบอกมาเป็นปีแระ อีกท่านก็บอกว่าแปลกดีซื้อเท่าไรก็มีคนให้มาตลอด ราคาก็ไม่ขึ้น(ไม่รุตัวเดียวกันป่าว)
ผมก็เขียนให้แล้ววันน้ัน อ.lekyก็เฉลยให้แล้ว ชื่อมันยังบอกเลยว่า..วีไอ ท่านยังมาถามล่อเป้าอีก
แหม่ๆ อาไรมันจะพุ่งเป้าตรงกันเป็นเอกฉันยังง้าน...
พลิกโผขึ้นมา ได้พาดหัว"วีไอตายหมู่"ให้เป็นที่ดีใจชาวสำนักอื่นแหงมๆ
ไหนๆก็โผล่มาแซวแระ ช่วยเล่าเส้นทางทายาทอสูรวีไอทมิฬ ให้พวกเราฟังมั่งนะฮะ
ว่าถัวตั้งแต่สองสลึงจะไปสองหลักเนี่ย ผลงานไงมั่ง
ท่านoatty
สงสัยได้รวมกันตายหมู่ตามด้านบนมั้ยไม่รู้
วันก่อนผมเห็นเทสล่าตัวจริงแระ มีไอแผดอยู่คอนโซลกลางด้วยเบ้อเริ่มเลย
ซีอีโอก็เก่งมาก แม้มีข่าววิ่งไปครูดอะไรใต้ท้องโดนแบตแล้วไฟใหม้น่ะ(ทดสอบการชนห้าดาวเต็ม)
แต่ยังเหมือนเป็น"ของเล่นเศรษฐี"นะฮะ
"ของใช้ชาวบ้าน" แบบBYD ท่านoattyมีข้อมูลมั่งป่าว เล่าให้ฟังมั่งนะฮะ
samatah
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 569
ขอบคุณทั้งสองหมอ มากเลยครับ
ปรัชญาชีวิตที่ อ.หมอหนึ่ง ให้มา ผมอ่านอยู่ เข้าใจ ย๊าก ยาก
บอลไม่ดู ดูกองเชียร์ ก็ได้ ไปล่ะ ฟิ้ววววววว
ปรัชญาชีวิตที่ อ.หมอหนึ่ง ให้มา ผมอ่านอยู่ เข้าใจ ย๊าก ยาก
บอลไม่ดู ดูกองเชียร์ ก็ได้ ไปล่ะ ฟิ้ววววววว
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 570
ลืมตอบ จารย์หมอเล็ก เป้าหมายของผมอยู่ที่รูปข้างบน ^
เอ่อ ผมหมายถึงที่นิ้วของน้องเค้าชูน่ะครับ
เข้าใจตรงกันนะ
เอ่อ ผมหมายถึงที่นิ้วของน้องเค้าชูน่ะครับ
เข้าใจตรงกันนะ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/