Main Story: 10 โจทย์กำหนดเศรษฐกิจไทย ปี 2551
Posted on Friday, December 07, 2007
คนไทยส่วนใหญ่ตั้งความหวังกับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งไว้ว่าจะดีกว่ารัฐบาลชุดก่อนหน้า เพราะประเทศกำลังกลับเข้าสู่ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย รัฐบาลจะทำตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ในตอนหาเสียงเลือกตั้งด้วย ซึ่งรวมถึงการปวารณาตัวเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ-การเมือง-สังคมของประเทศชาติ โดยโจทย์ใหญ่ที่สำคัญคือ การฟื้นเศรษฐกิจไทย ที่มีโจทย์ย่อยแฝงอยู่ในหลายมิติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ สำหรับทีมเศรษฐกิจของ (ว่าที่) รัฐบาลใหม่ ที่ต้องเผชิญการแก้ปัญหา และพิสูจน์ฝีมือให้ทุกฝ่ายเห็น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็คือ
โจทย์แรก - ความสามารถทางการแข่งขัน คำถามที่รัฐบาลใหม่ต้องตอบ
ปัจจุบันแม้ว่าไทยจะยังมีอัตราส่วนการส่งออกอยู่ในระดับสูง แต่ความสามารถทางการแข่งขันของไทยไม่ได้พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสักเท่าใด สังเกตได้จากคู่แข่งทางเศรษฐกิจของไทยในอดีต คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย แต่ปัจจุบัน ไทยต้องหันไปแข่งขันกับเวียดนามแทนและมีโอกาสแพ้เสียด้วย
ดังนั้น หากไทยยังไม่สามารถพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจได้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน เพราะในอนาคตแนวโน้มดอลลาร์อ่อน เงินบาทแข็ง จะยังเป็นแนวโน้มระยะยาว ประเทศที่ต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะแรงงานที่ถูกกว่า อย่างจีนและเวียดนามจะได้เปรียบมาก
รศ.ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ให้ความเห็นว่าภาคการผลิตของประเทศไทยอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบทางการแข่งขันอย่างมาก
ถ้าเปรียบไทยเป็นนักมวยเหมือนนักมวยอายุ 40 ปี ประเทศเกิดใหม่เป็นนักมวยอายุ 20 ปี ขึ้นก็แพ้ เพราะไม่ดูศักยภาพตัวเองทำได้แค่ไหน แก่แล้วยังชกมวยอยู่อีกแทนที่จะปรับเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น หันไปผลิตสินค้าอื่นเพื่อจะได้ไม่ต้องมาชกกับเด็กที่ใหม่สด ค่าแรงถูก ใช้เครื่องจักรรุ่นใหม่ที่ดีกว่า
การบ้านที่ ดร. สมภพฝากไปยังรัฐบาลใหม่ คือ ต้องแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาการผลิตไปให้ถูกทาง หน่วยงานของรัฐและนักการเมืองต้องมองเศรษฐกิจในภาพยาว 10-20 ปี ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศ ไม่ใช่ปล่อยให้มีการผลิตย่ำอยู่กับที่ จนประเทศที่ล้าหลังแซงหน้าอย่างที่เป็นอยู่
โจทย์ข้อ 2 - FDI ตัวแปรสำคัญทางเศรษฐกิจ
บทวิจัยของดร.ชฎิล โรจนานนท์ สำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เรื่อง
สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการส่งเสริม FDI ของไทย : การศึกษาโดยใช้อัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate) ระบุว่า การลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีส่วนสำคัญ ต่อการพัฒนาของประเทศไทย ทั้งนี้ FDI มีส่วนในการยกระดับความสามารถในการผลิตสินค้า ของอุตสาหกรรมของไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
เนื่องจาก FDI มีคุณลักษณะที่แตกต่างจากเงินลงทุนประเภทอื่นๆ คือ บริษัทและแรงงานไทยจะได้รับผลพลอยได้จาก FDI ในรูปแบบของการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาฝีมือแรงงาน และระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล หรือเรียกว่า Spillover Effects
ดังนั้น รัฐบาลของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ต่างพยายามที่จะแข่งขันกัน โดยใช้มาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและที่มิใช่ภาษี เพื่อดึงดูดนักลงทุน หรือบริษัทข้ามชาติ ให้มาลงทุนในประเทศของตน เนื่องจากสินค้าทุนในปัจจุบันมีการเคลื่อนย้ายได้รวดเร็วมากขึ้น ทำให้การแข่งขันทางภาษีเป็นมาตรการจูงใจสำคัญต่อนักลงทุนต่างชาติ
ข้อมูลของ UNCTAD พบว่าเมื่อจัดอันดับเปรียบเทียบระหว่างระดับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI Performance) กับศักยภาพ (FDI Potential) พบว่าระดับการลงทุนและศักยภาพในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ ปี 2533-2547 ระดับการจัดอันดับ FDI Performance ของไทยมีต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีระดับที่ 17 ในปี 2533 และอยู่อันดับที่ 107 ในปี 2548 สำหรับ FDI Potential ของไทยมีต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีระดับที่ 40 ในปี 2533 และอยู่อันดับที่ 59 ในปี 2548
แม้ว่ารัฐบาลในชุดที่ผ่านๆ มา จะใช้นโยบายเรื่องมาตรการภาษี ในการจูงใจนักลงทุนต่างชาติ ให้มาลงทุนในไทย โดยตัวเลขอัตราภาษีภาษีที่แท้จริงของไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอาเซียนมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันด้วยค่าแรงและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ทำให้อัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำกว่า ก็ไม่สามารถดึงดูดใจนักลงทุนต่างชาติ ได้มากนัก
รัฐบาลใหม่จึงต้องพิจารณาถึงวิถีทางในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนแบบระยะยาวจากต่างชาติ ให้ได้ด้วยหนทางอื่น ซึ่งอาจจะเป็นการกลับไปสร้างรากฐานของเศรษฐกิจไทยให้มีความเข็มแข็ง และพัฒนาความสามารถทางการผลิตให้มีมูลค่าเพิ่ม มิใช่แข่งขันกันที่ค่าแรงหรือต้นทุนการผลิตอีกต่อไป
โจทย์ข้อ 3 - ส่งออก พระเอกตลอดกาล
ย้อนไปดูตัวเลขการส่งออกของไทย รายงานโดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร พบว่าตั้งแต่ปี 2535 ไทยมีมูลค่าการส่งออก 8.24 แสนล้านบาท ก่อนจะเติบโตสู่ระดับล้านล้านบาทเป็นครั้งแรกในปี 2537 ด้วยมูลค่า 1.13 ล้านล้านบาท ขณะที่ปี 2540 ตัวเลขการส่งออกเติบโตเป็น 1.8 ล้านล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 28 % ซึ่งหลังจากนั้นก็ยังมีอัตราการขยายตัวในระดับน่าพอใจมาอย่างต่อเนื่อง
ทว่าตัวเลขใน 3 ปีย้อนหลัง มีความชัดเจนว่าส่งออกไทยเริ่มเติบโตในระดับชะลอตัว โดยในปี 47 49 ไทยมีมูลค่าการส่งออก 3.87, 4.43 และ 4.93 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวที่ 16.5%, 14.6% และ 11.2% ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยให้มุมมองว่าเป็นการสะท้อนถึงความสามารถด้านการแข่งขันที่ลดลงของไทย จากปัญหาเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง โดยใน 9 เดือนของปีนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไป 4.8% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ขณะที่เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้น 3.4% ส่วนเงินด่องเวียดนามและรูเปียห์อินโดนีเซียอ่อนค่าลงเล็กน้อย ไทยจึงอยู่ในสถานะเสียเปรียบด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ทั้งนี้ แม้ส่งออกไทยจะมีข่าวดีจากการเติบโตของตลาดส่งออกใหม่ๆ ทั้งอินเดีย ยุโรปตะวันออก ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และจีน แต่ประเมินว่าปัจจัยลบที่ยังไม่มีทีท่าจะหมดไปง่ายๆ นั้นจะเป็นตัวกดดันยอดส่งออกในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ถึงปีหน้าให้ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
สันติ วิลาสศักดิ์ดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เรียกร้องให้ภาครัฐเร่งเปิดตลาดใหม่ ผลักดันให้มีการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้า โดยมีภาครัฐเป็นหัวหอกเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ขณะที่แบงก์ชาติก็ต้องดูแลรักษาเสถียรภาพค่าเงินให้มีความผันผวนน้อยที่สุด
ผู้ส่งออกส่วนใหญ่มองว่าถ้าค่าเงินอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก็น่าพอใจแล้ว แต่ที่ต้องการที่สุดก็คือการรักษาค่าเงินให้ผันผวนน้อยที่สุด หากรัฐบาลใหม่ทำได้ผมคิดว่าส่งออกไทยปีหน้าจะไปได้สวย สันติ กล่าว
โจทย์ข้อ 4 - Mega Project พูดง่าย ทำได้แค่ไหน
ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดว่า Mega Project จะกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ นอกเหนือปัญหาจากภาคการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน และข้อสงสัยเรื่องความตั้งใจจริงในการปฎิบัติแล้ว ปัญหาเรื่องแหล่งที่มาของเงินลงทุนและความสมดุลของเศรษฐกิจคือสิ่งสำคัญ
การระดมเงินจำนวนมากเพื่อ Mega Project ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกพรรคการเมืองที่ชูนโยบายนี้ ต่างก็บอกว่ามีวิธีการที่ทำได้อยู่ในใจ แต่ยังไม่มีใครบอกวิธีการที่ชัดเจนออกมา ปัจจุบันการระดมทุนของภาครัฐมีได้หลายวิธี ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น การใช้เงินงบประมาณและเงินกำไรของรัฐวิสาหกิจที่มีข้อจำกัดเรื่องการจัดทำงบประมาณ การหารายได้ของรัฐ การกู้ยืมจากทั้งในและนอกประเทศ ที่มีข้อจำกัดเรื่องแหล่งเงินกู้ในประเทศ
ส่วนการกู้เงินจากนอกประเทศ อย่างธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ก็มีกฎหมายเรื่องการก่อหนี้ต่างประเทศคอยควบคุม ส่วนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุน ก็ติดปัญหาการคัดค้านอย่างที่ทราบกัน การออกตราสารรูปแบบใหม่ การทำ Securitization การตั้ง SPV ก็ซับซ้อนและมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย
อีกวิธีหนึ่ง คือการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปของ Public Private Partnership (PPP) มีสองรูปแบบคือ การที่รัฐยังเป็นเจ้าของกิจการ และให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ เช่น การให้สัมปทาน และ การให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการในบางส่วนหรือบางช่วงเวลา แต่การทำ PPP ของไทยเอกชนจะมีความเสี่ยงสูง เพราะใช้เงินลงทุนสูง ใช้เวลานานกว่าจะได้ประโยชน์กลับคืน
อีกทั้งความไม่แน่นอนต่างๆ เช่น นโยบายภาครัฐ งบลงทุนบานปลาย รายได้รับในอนาคตไม่เป็นไปตามแผน ทำให้การดำเนินการในรูปแบบ PPP ของไทยไม่ง่ายเหมือนในต่างประเทศ
ปัญหาต่อมา คือ การรักษาสมดุลของเศรษฐกิจระหว่างดำเนินการ Mega Project หากรัฐบาลเจ้าของโครงการดูแลไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อความสมดุลทางเศรษฐกิจได้ เช่น เรื่องการรักษาระดับดุลบัญชีเดินสะพัด การรักษาระดับหนี้ต่างประเทศต่อ GDP อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
โจทย์ข้อ 5 - มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว
ปัจจัยเรื่องเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ราคาทัวร์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 10% โดยเฉพาะประเทศที่ต้องแลกเปลี่ยนเงินจากสกุลดอลลาร์สหรัฐได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันตัวเลขค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวก็ปรับลดลงในอัตราราว 10% ต่อคนจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นนี้เอง
ปีนี้จึงไม่ใช่ปีทองสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวเท่าไรนัก ภาครัฐบาลเองก็ไม่ได้มีนโยบายอะไรที่จะมากระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนในปีก่อนๆ แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงปลายปี ซึ่งนับว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีวี่แววงานเทศกาล หรือมหกรรมการท่องเที่ยวอะไรที่ใหญ่พอจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศได้มากนัก
อภิชาต สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว กล่าวว่า ประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ให้ความสำคัญเรื่องการท่องเที่ยว จัดสรรงบประมาณมหาศาลเพื่อเนรมิตสารพัดสิ่งอำนวยความสะดวก แต่สำหรับประเทศไทยไม่เป็นเช่นนั้น
ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละปีก็ไม่น้อย แต่งบประมาณที่จัดสรรไว้สำหรับส่วนนี้ถือว่าน้อยมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับคาดการณ์รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6 แสนล้านบาท กับการท่องเที่ยวภายในประเทศอีกประมาณ 3 แสนล้าน รวมแล้วเกือบล้านล้านบาท แต่งบประมาณที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือ ททท.ได้รับในแต่ละปี ยังไม่ถึง 1% ของรายได้
แนวโน้มในปีหน้า หากสถานการณ์บ้านเมืองสงบ ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น การท่องเที่ยวของไทยน่าจะโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% แม้ว่าจะยังมีปัญหาราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทแข็ง แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา ยังไม่สำคัญเท่ากับประเด็นเรื่อง ความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการมากที่สุด หากมีการบริการที่ดี และมีความปลอดภัย การท่องเที่ยวของไทยน่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
โจทย์ใหญ่ข้อ 6 - ราคาน้ำมันแพง คนไทยต้องรับกรรม
ถ้าราคาน้ำมันสูงขึ้น 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้เงินเฟ้อขยับขึ้นอีก 1.1% และอาจจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจ หดตัวลง 0.4% และทำให้รายรับหลังหักค่าใช้จ่ายจำเป็นลดลง 1.1% การบริโภคลดลง 0.75% เป็นการประเมินของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยเศรษฐกิจ บล.ไทยพาณิชย์
หากปีหน้าราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงเหมือนปัจจุบัน นับว่าเป็นความเสี่ยงต่อการฉุดรั้งไม่ให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นไปได้ ถึงแม้ทุกวันนี้มีการคาดกันว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายได้ดีกว่าปีนี้ แต่นั่นเป็นการคาดการณ์จากราคาน้ำมันที่อยู่ระดับต่ำกว่านี้ประมาณ 25%
อีกทั้ง หากราคาน้ำยังอยู่ระดับทะลุ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ดอกเบี้ยไม่มีทางปรับลดลงไปมากกว่านี้ เพราะจะทำให้เงินเฟ้อขยับขึ้น พูดง่ายๆ ยิ่งราคาน้ำมันแพง ยิ่งทำให้ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมดูแย่ลง เพราะประเทศไทยนำเข้าน้ำมันสูงถึง 10% ของ GDP
โจทย์ข้อ 7 - ดอกเบี้ย ไม่ลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ตลอดปีที่ผ่านมา กนง.ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มการลงทุนและการบริโภคในภาคประชาชนให้มากขึ้น โดยปีนี้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน หรือ R/P 1 วัน) ไปแล้วรวม 1.75% ลงมาอยู่ที่ 3.25% ในปัจจุบัน
ในการประชุมครั้งล่าสุด กนง. ยังประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 3.25% เพื่อรักษาระดับเงินเฟ้อที่ส่งสัญญาณปรับตัว เพราะรายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นเป็น 2.1% จากเดือนก่อนหน้าที่ 1.1% จากระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่ม และการขอปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการจากกลุ่มผู้ประกอบการในหลายรายการ
สำหรับปีหน้าแม้จะยังไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจนของนโยบายอัตราดอกเบี้ย แต่ไม่ว่าจะออกมาในรูปใดก็ตาม ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็หนีไม่พ้นประชาชนทั้งในภาคการฝากเงินและการกู้ยืม เพราะการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.แต่ละครั้งย่อมจะมีผลต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่นตามมา อันจะเชื่อมโยงถึงตัวเลขการออมและการปล่อยสินเชื่อของประเทศไปพร้อมๆ กัน
โจทย์ข้อ 8 - ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ขยับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี ว่ากันว่าผู้คนจะหันมาพึ่งอาหารคู่ใจคนยาก อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง เป็นต้น จนดูเหมือนว่าจะขายดีเป็นพิเศษในสถานการณ์อย่างนี้ แต่แล้วผู้ประกอบการบริษัทผลิตอาหารสำเร็จรูปรายใหญ่ ก็ประกาศว่าจะปรับขึ้นราคาสินค้าอย่างแน่นอน เพราะไม่สามารถแบกรับต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นได้อีกต่อไป
ที่สุดแล้วผู้บริโภคก็ต้องรับภาระเรื่องราคาสินค้าเอาไว้เองทั้งหมด นี่จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นทางเศรษฐกิจที่หลายๆ คนฝากความหวังเอาไว้ว่ารัฐบาลใหม่ในการเข้ามาดูแลเรื่องราคาสินค้าบริโภค เพื่อไม่ให้กระทบกับรายจ่ายของประชาชนมากนัก ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้ผู้ประกอบการสามารถยืนอยู่ได้ด้วย
หากมองรายได้ของคนส่วนใหญ่ คือเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา รัฐบาลควรเข้าไปดูแล ค้ำประกันรายได้และราคาพืชผลเกษตรให้กับเกษตรกรอย่างเต็มที่ เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน ประชาชนในเขตเมืองที่ต้องรับแบกภาระราคาอาหารที่สูงขึ้น รัฐบาลก็ต้องเข้ามาดูแลเรื่องค่าครองชีพ ปรับฐานรายได้ของผู้คนให้เท่าเทียมกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
การยกระดับราคาสินค้าในภาคเกษตร และยกระดับรายได้ขั้นต่ำถือเป็นเรื่องจำเป็นมาก ในยุคที่ราคาน้ำมันแพงและราคาสินค้าต่างๆ กำลังจะแพงขึ้น รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งหากสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ จะกลายเป็นอีกกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้แน่นอน
โจทย์ข้อที่ 9 - กฎหมายการเงินฉบับใหม่ เปลี่ยนแปลงให้ทันโลก
เป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะมีกฎหมายภาคการเงินหลายฉบับ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลปัจจุบันและ สนช. และน่าจะได้ประกาศใช้ในช่วงหลังการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่ แต่การประกาศใช้ พ.ร.บ. ใหม่จะไม่ง่ายนัก รวมถึงการทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเหล่านี้ แม้เจตนาของการแก้ไขจะเกิดจากเจตนาดี แต่ในภาคปฏิบัติและการบังคับใช้ทำได้ไม่ง่ายเลย
กลุ่ม พ.ร.บ. ที่เสนอแก้ไขโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการแก้ไขในเชิงนโยบาย และผ่อนคลายกฎระเบียบเดิมของ ธปท. ให้มีความยืดหยุ่นในการบริหาร คล่องตัวมากขึ้น มีการกำหนดคณะกรรมการขึ้นมาหลายคณะ เพื่อแบ่งความรับผิดชอบและถ่วงดุลอำนาจของผู้ว่า ธปท. มากขึ้น และยังมีการกำหนดกลไกป้องกันความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากนวัตกรรมและเครื่องมือการเงินใหม่ๆ ของโลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ดี เพราะกระทบกับความรู้สึกและเงินของประชาชนโดยตรง นั่นคือ การประกาศใช้ พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ที่ต่อไปนี้เงินฝากของประชาชนจะได้รับความคุ้มครองในวงจำกัด คือ 1 ล้านบาท ต่อคนต่อสถาบันการเงิน
ส่วนเรื่อง พ.ร.บ. เงินตรา ที่ให้อำนาจคณะกรรมการใหม่ในการบริหารทุนสำรองเงินตรา และสามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ได้ จะกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่และ ธปท. ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างมาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบายให้เกิดความเชื่อมั่นกับคณะกรรมการชุดนี้ รวมถึงการพยายามชี้แจงให้กลุ่มคนที่คัดค้านการดำเนินงานของ ธปท. ให้เข้าใจสิ่งที่ดำเนินการอยู่
สำหรับ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฉบับแก้ไข แม้ว่าจะไม่กระทบกับประชาชนทั่วไปโดยตรง แต่สาระสำคัญของสิ่งที่แก้ไข คือการให้ความคุ้มครองประชาชนผู้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ และการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารของสำนักงาน ก.ล.ต. ใหม่ ก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังต้องอธิบาย และหาจุดสมดุลของอำนาจ หน้าที่ และสิทธิ ของผู้ลงทุน สำนักงาน ก.ล.ต. บริษัทจดทะเบียน โบรกเกอร์ และตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยเช่นกัน
ทว่าสิ่งที่ยากและท้าทายรัฐบาลใหม่มากที่สุดนั่นคือการผลักดันให้เกิด กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ให้ได้ เพราะสถาบันแห่งนี้เป็นฟันเฟืองสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนหลังวัยเกษียณในอนาคต
โจทย์ข้อ 10- มาตรการสำรอง 30% ยาขมตลาดการลงทุนไทย
19 ธันวาคม 2549 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศใช้มาตรการสำรอง 30% ของการนำเข้าเงินตราต่างประเทศ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ส่งผลสะเทือนต่อตลาดทุนและตลาดเงินไทยอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในวันถัดมา ธปท.ยอมผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวกับตลาดทุน ทว่าในตลาดเงินยังถูกล่ามโซ่จนถึงทุกวันนี้ แต่หากดูโดยรวมแล้วถือเป็นยาขมสำหรับการลงทุน และเป็นผลเชิงลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
จากกรณีดังกล่าว ทำให้เกิดการถกเถียงว่าหาก ธปท.ไม่ยกเลิกมาตรการสำรอง 30% จะเกิดอะไรขึ้นกับบรรยากาศการลงทุน ขณะที่ฝ่ายผู้ออกนโยบายออกมายืนยันว่ามาตรการดังกล่าวจะยังคงอยู่ต่อไป และจะยกเลิกก็ต่อเมื่อมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม มีพรรคการเมืองบางพรรคที่ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า หากได้รับการจัดตั้งรัฐบาลจะทำการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นนโยบายประชานิยมในช่วงหาเสียงของนักการเมือง
มีการคาดกันว่าหากประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่แล้ว ในภาคเศรษฐกิจเชื่อว่าจะเห็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง และอาจจะเห็นการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ของ ธปท. เพราะจะทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น แต่ต้องจับตาว่าจะมีมาตรการใดเพิ่มขึ้นมาเพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาทหรือไม่
โจทย์ใหญ่ 10 ข้อที่กล่าวมานี้ล้วนท้าทายความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าต้องเป็นรัฐบาลผสม มาจากพรรคการเมือง 2-3 พรรคใหญ่ ที่ไม่แน่ชัดว่ามีนโยบายเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ? อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งก็ต้องพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะแก้ไขโจทย์ใหญ่เหล่านี้ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยเข้าสู่การเติบโตที่ดี มีสมดุลในภาคส่วนต่างๆ ต่อไป
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx