news27/11/07
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 27, 2007 1:26 pm
โค้งสุดท้ายหุ้นไทย...ก่อนเลือกตั้ง?
Date: 2007-11-27 11:26:45
Source: OTH
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะดัชนีตลาดหุ้นมีทั้งขึ้นและลง ซึ่งถ้าเมื่อใดที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนก็จะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน คือ การเข้ามาลงทุนของกองทุนเพื่อการเก็งกำไร (Hedge Fund) โดยปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีนักลงทุนประเภท Hedge Fund คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย 10% ของเงินลงทุน Hedge Fund หรือประมาณ 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นส่วนที่เข้ามาลงทุนในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย โดยเมื่อดูสถิติย้อนหลัง 4 ปี พบว่า เมื่อต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 4 ? 6 เดือน จนดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นเฉลี่ย 150 ? 160 จุด นักลงทุนต่างชาติก็มักเทขายทำกำไรทันทีประมาณ 2.6 ? 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง 60 ? 100% ของดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นมา
ดังนั้น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. ? 29 ต.ค. 50 ที่ดัชนีพุ่งขึ้นจาก 750.69 จุด มาอยู่ที่ 915.03 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 164.34 จุด ก่อนที่มีแรงเทขายออกมานั้น ถ้าดูจากสถิติที่ผ่านมา แรงเทขายในรอบนี้น่าจะทำให้ดัชนีลดลงมากกว่า 100 จุด หรือกดให้ดัชนีมาอยู่ที่ประมาณ 820 จุด ดังนั้น ถ้าเมื่อใดที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงถึง 80% ของดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นมา ก็อาจจะมีแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งก็มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เพราะการเลือกตั้งจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น โดยนายสมบัติคาดว่า ปี 2551 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 4.8% ขณะที่บริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 15 ? 25% นอกจากนี้ถ้าดูสถิติย้อนหลัง พบว่า ปลายปีใดก็ตามที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 2 อาทิตย์สุดท้ายของเดือนธันวาคม ดัชนีตลาดหุ้นจะดีดตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี
นายสมบัติเชื่อว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน โดยเมื่อดูจากดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งย้อนหลัง 5 ครั้ง พบว่า ดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 4 ครั้ง และลดลงเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงสิ้นปีนี้ เดิมมีการคาดการณ์ไว้ที่ 871 จุด ส่วนบทวิเคราะห์ใหม่ที่จะออกมาในช่วงปลายสัปดาห์นี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะมากกว่า 871 จุด ส่วนปลายปี 2551 คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นไปถึง 1,000 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ เกิดจากการที่มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกอย่างรวดเร็ว โดยเงินทุนต่างชาติคิดเป็น 35 - 40% ของเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย และมีการลงทุนในทิศทางเดียวกัน ขณะที่นักลงทุนรายย่อยของไทยที่มีประมาณ 50% เป็นการลงทุนที่กระจัดกระจาย ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนนักลงทุนสถาบันก็มีน้อยเกินไป คือกว่า 10% เท่านั้น จึงไม่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก
นายไพบูลย์เชื่อว่า 70 ? 80% ของแรงเทขายในช่วงนี้ มาจากกลุ่ม Hedge Fund ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยมาตรฐานของสหรัฐฯ (Subprime Mortgage Loan) ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนระยะยาว (Long Term) ยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากนัก เพราะนักลงทุนเหล่านี้จะมีเหตุผลในการลงทุน และไม่ลงทุนอย่างหวือหวา คือ ถ้าไม่ได้ในราคาหุ้นที่ต้องการ ก็จะไม่ซื้อหรือขาย ดังนั้น การเคลื่อนไหวของนักลงทุนระยะยาวจึงไม่ค่อยมีผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก อย่างไรก็ตามในช่วงที่มีแรงเทขายเข้ามา ถ้าบริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายเงินปันผลในระดับที่น่าพอใจ ก็จะช่วยหยุดการเทขายของนักลงทุนได้
นายไพบูลย์บอกว่า ขณะนี้โบรกเกอร์กว่า 70 ? 80% รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ต่างก็คาดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งถ้าผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลจริง ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะมีการขายทำกำไรบ้าง หลังจากนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2551 แต่ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็จะมีแรงเทขายออกมา
ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เป็นเพราะยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องนโยบาย และผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งในกระทรวงต่าง ๆ รวมถึงยังมีบางกระแสที่คาดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลด้วย
สำหรับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ นอกจากปัญหาการเมือง ที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย คือ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีแนวโน้มที่จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรืออาจจะปรับลดน้อยกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะมีผลให้ปัญหา Subprime กลับมารุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
Date: 2007-11-27 11:26:45
Source: OTH
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะดัชนีตลาดหุ้นมีทั้งขึ้นและลง ซึ่งถ้าเมื่อใดที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนก็จะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน คือ การเข้ามาลงทุนของกองทุนเพื่อการเก็งกำไร (Hedge Fund) โดยปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีนักลงทุนประเภท Hedge Fund คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย 10% ของเงินลงทุน Hedge Fund หรือประมาณ 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นส่วนที่เข้ามาลงทุนในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย โดยเมื่อดูสถิติย้อนหลัง 4 ปี พบว่า เมื่อต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 4 ? 6 เดือน จนดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นเฉลี่ย 150 ? 160 จุด นักลงทุนต่างชาติก็มักเทขายทำกำไรทันทีประมาณ 2.6 ? 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง 60 ? 100% ของดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นมา
ดังนั้น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. ? 29 ต.ค. 50 ที่ดัชนีพุ่งขึ้นจาก 750.69 จุด มาอยู่ที่ 915.03 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 164.34 จุด ก่อนที่มีแรงเทขายออกมานั้น ถ้าดูจากสถิติที่ผ่านมา แรงเทขายในรอบนี้น่าจะทำให้ดัชนีลดลงมากกว่า 100 จุด หรือกดให้ดัชนีมาอยู่ที่ประมาณ 820 จุด ดังนั้น ถ้าเมื่อใดที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงถึง 80% ของดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นมา ก็อาจจะมีแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งก็มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เพราะการเลือกตั้งจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น โดยนายสมบัติคาดว่า ปี 2551 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 4.8% ขณะที่บริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 15 ? 25% นอกจากนี้ถ้าดูสถิติย้อนหลัง พบว่า ปลายปีใดก็ตามที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 2 อาทิตย์สุดท้ายของเดือนธันวาคม ดัชนีตลาดหุ้นจะดีดตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี
นายสมบัติเชื่อว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน โดยเมื่อดูจากดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งย้อนหลัง 5 ครั้ง พบว่า ดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 4 ครั้ง และลดลงเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงสิ้นปีนี้ เดิมมีการคาดการณ์ไว้ที่ 871 จุด ส่วนบทวิเคราะห์ใหม่ที่จะออกมาในช่วงปลายสัปดาห์นี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะมากกว่า 871 จุด ส่วนปลายปี 2551 คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นไปถึง 1,000 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ เกิดจากการที่มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกอย่างรวดเร็ว โดยเงินทุนต่างชาติคิดเป็น 35 - 40% ของเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย และมีการลงทุนในทิศทางเดียวกัน ขณะที่นักลงทุนรายย่อยของไทยที่มีประมาณ 50% เป็นการลงทุนที่กระจัดกระจาย ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนนักลงทุนสถาบันก็มีน้อยเกินไป คือกว่า 10% เท่านั้น จึงไม่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก
นายไพบูลย์เชื่อว่า 70 ? 80% ของแรงเทขายในช่วงนี้ มาจากกลุ่ม Hedge Fund ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยมาตรฐานของสหรัฐฯ (Subprime Mortgage Loan) ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนระยะยาว (Long Term) ยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากนัก เพราะนักลงทุนเหล่านี้จะมีเหตุผลในการลงทุน และไม่ลงทุนอย่างหวือหวา คือ ถ้าไม่ได้ในราคาหุ้นที่ต้องการ ก็จะไม่ซื้อหรือขาย ดังนั้น การเคลื่อนไหวของนักลงทุนระยะยาวจึงไม่ค่อยมีผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก อย่างไรก็ตามในช่วงที่มีแรงเทขายเข้ามา ถ้าบริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายเงินปันผลในระดับที่น่าพอใจ ก็จะช่วยหยุดการเทขายของนักลงทุนได้
นายไพบูลย์บอกว่า ขณะนี้โบรกเกอร์กว่า 70 ? 80% รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ต่างก็คาดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งถ้าผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลจริง ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะมีการขายทำกำไรบ้าง หลังจากนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2551 แต่ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็จะมีแรงเทขายออกมา
ทั้งนี้ สาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เป็นเพราะยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องนโยบาย และผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งในกระทรวงต่าง ๆ รวมถึงยังมีบางกระแสที่คาดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลด้วย
สำหรับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ นอกจากปัญหาการเมือง ที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย คือ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีแนวโน้มที่จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรืออาจจะปรับลดน้อยกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะมีผลให้ปัญหา Subprime กลับมารุนแรงอีกครั้งหนึ่ง