คลังรีดแวต-ภาษีเงินได้ + ขยายฐานรายได้เข้ารัฐ/รับมือประชานิยมรัฐบาลหน้า
เปิดโมเดล สรรพากรหาวิธีนำรายได้เข้ารัฐ รองรับนโยบายรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง พร้อมเรียกประชุมแผนจัดเก็บภาษีปีงบฯ51 เน้นความถูกต้องและลดความซ้ำซ้อน พรรคใหญ่ไม่แตะภาษีมูลค่าเพิ่ม ชูธงขยายฐานภาษีนิติบุคคล เร่งหารายได้จากท่องเที่ยว ขณะที่"สมหมาย"ขุนคลังขิงแก่ ชี้ขยายฐานภาษีอาจยากและเหนื่อยฟรี อดีตรมว.คลัง-นักวิชาการแนะปฏิรูปโครงสร้างภาษี และแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือยุบทิ้งไปเลย หลังขยายฐานจัดเก็บภาษีและรีดภาษีรสก.มากแล้ว
ในการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวนโยบายซึ่งเกือบทุกพรรคจะเน้นจุดขายไปที่นโยบายประชานิยม จนเกิดการตั้งข้อสังเกตใน 2 ประเด็นใหญ่ ว่า 1.จะ กระทบรายจ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น 2. ไม่มีนโยบายหารายได้ที่เป็นรูปธรรม
"ฐานเศรษฐกิจ"ได้สอบถามหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถึงแนวทางหารายได้เพื่อให้เพียงพอกับรายจ่าย ซึ่งพบว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ เช่น ประชาธิปัตย์ พลังประชาชน และพรรคชาติไทย มีนโยบายเพิ่มรายได้จากการขยายฐานการเก็บภาษีจากธุรกิจ ซึ่งเป็นภาษีทางตรง เพิ่มสัดส่วนเงินนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว
****พรรคใหญ่ไม่แตะภาษีVAT
นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า การเสนอให้มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่ม ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อภาคประชาชนและเอกชน ซึ่งในทางปฏิบัติไม่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะสถานการณ์ขณะนี้ไม่ใช่จังหวะที่จะเพิ่มภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องแบกภาระค่าครองชีพสูงอยู่แล้ว แต่จะต้องพิจารณาหารายได้จากการขยายฐานจัดเก็บภาษีให้กว้างขึ้น จากคนหรือกิจการที่ควรจ่ายภาษีแต่ไม่จ่าย ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว
"นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือหนึ่งในการหารายได้เข้ากระเป๋ารัฐ แต่ประสิทธิภาพในการใช้ภาคเอกชนจะเหนือกว่า ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีได้ต้องให้เงินอยู่ในกระเป๋ารัฐน้อยที่สุด ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี การปรับเพิ่มภาษีเป็นความคิดที่ผิด"
ทางด้าน ร.อ.สุชาติ เชาววิศิษฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะทีมเศรษฐกิจของพรรคชาติไทย กล่าวว่า ปัจจุบันฐานะการคลังไม่แข็งแรงพอในขณะที่เศรษฐกิจยังง่อนแง่น ดังนั้น
นโยบายทางการคลังและการเงินที่พรรคจะนำมาใช้ จะเน้นนโยบายที่สามารถปฎิบัติได้จริง คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์และต้องไม่พาประเทศไปสู่ความยุ่งยาก เช่น การดำเนินนโยบายการคลังจึงต้องเป็นในลักษณะอนุรักษ์นิยมแต่ไม่ถึงกับสุดกู่
"แนวทางที่กระทรวงการคลังเสนอให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงที่เศรษฐกิจง่อนแง่น มันก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีนโยบายการคลังที่เอื้ออำนวยให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจและลงทุนได้ เพื่อทำให้ภาคธุรกิจมีรายได้และเอื้อต่อการจ่ายภาษีเข้ารัฐ หรือเป็นการหารายได้ของรัฐในรูปของเงินภาษีอากร รวมทั้งดำเนินนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว"
ขณะที่นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความเห็นในการหารายได้เพิ่มของรัฐบาล โดยเพิ่มสัดส่วนเงินนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจว่า หากมีความจำเป็นจริงในรัฐบาลหน้าก็สามารถดำเนินการได้ แต่คงไม่สามารถเรียกเม็ดเงินเพิ่มได้มากนัก เนื่องจากปัจจุบันรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีการนำส่งรายได้สูงอยู่แล้ว ส่วนแนวทางการหารายได้เพิ่มจากภาษีอากรในกรณีที่ไม่เพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็มีความเป็นไปได้ยาก เพราะระดับการจัดเก็บภาษีอื่นๆของกรมสรรพากรขณะนี้ขยายฐานมากพอสมควรแล้ว ดังนั้นการจะขยายฐานให้เพิ่มขึ้นกว่านี้คงเป็นไปได้ยากมาก และเหนื่อยฟรี
****คลังชงขึ้นVAT-เก็บภาษีทางตรง
นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า แนวโน้มโครงสร้างการจัดเก็บภาษีในอนาคตนั้น ต้องจัดเก็บภาษีทางตรง คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคลเพิ่มมากขึ้น โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ปัจจุบันมีการเก็บภาษีเฉลี่ยอยู่เพียง 5% จากอัตราภาษีที่เก็บได้สูงสุดถึง 37% เนื่องจากมีการลดหย่อนภาษีให้จำนวนมาก เช่นเดียวกับภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งในระยะต่อไปจะต้องพิจารณาว่าควรจะกำหนดให้มีอัตราเท่าใดจากปัจจุบันเก็บที่ 30% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และสามารถรองรับกับภาวการณ์ในอนาคตได้ด้วย
"การจะปรับเพิ่มอัตราภาษีรายการใดหรือไม่นั้น เป็นนโยบายที่รัฐบาลใหม่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ กรมสรรพากรมีหน้าที่ช่วยคิดว่าจะมีช่องทางจัดเก็บภาษีจากส่วนใด เช่น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 8% ก็เป็นแนวทางส่วนหนึ่งที่อยู่ในแผนพัฒนาภาษีระยะ10ปีของกรมสรรพากรที่ได้เคยเสนอให้กระทรวงการคลังมาก่อนหน้านี้ " (ปัจจุบันสัดส่วนการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็น 40% ของรายได้จากการจัดเก็บภาษีทั้งหมด )
****กรอบเก็บภาษีปี51ลดซ้ำซ้อน
ทางด้าน นายสาธิต รังคสิริ รองอธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผย ในเรื่องเดียวกันว่าหลังจากที่รัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วคงต้องพิจารณาว่าจะนำเม็ดเงินจากส่วนใดบ้างเพื่อใช้จ่ายตามนโยบายนั้นๆ ซึ่งหากสามารถจัดหาและวางแนวทางจัดเก็บรายได้ในส่วนอื่นๆเพียงพอ ทางหน่วยงานจัดเก็บรายได้ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการอะไรเพิ่มเติม แต่หากไม่สามารถจัดหารายได้จากส่วนอื่นๆได้ ก็จะต้องมาพิจารณาถึงการกู้เงินก่อน ซึ่งส่วนนี้ต้องเป็นการกู้เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว เพื่อก่อให้เกิดผลผลิตที่เพิ่มขึ้น หรือส่งเสริมการใช้จ่ายของภาคเอกชนด้วย
ขณะเดียวกัน รองอธิบดีกรมสรรพากร ยังกล่าวถึงการประชุมสัมมนาสรรพากรจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 12-13 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเพื่อมอบนโยบายและทิศทางในการบริหารการจัดเก็บภาษีประจำปีงบประมาณ 2551 โดยเน้นเรื่องหลักความถูกต้องและเป็นธรรม รวมทั้งพยายามชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับผู้เสียภาษี ตลอดจนการปรับลดค่าปรับให้ด้วย
"คาดว่า การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2551 จะสามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย 1,208,800 ล้านบาท คิดเป็น 80.9% ของประมาณการรายได้รวมทั้งสิ้น 1,495,000 ล้านบาท จากสมมติฐานที่คาดว่าหากจีดีพีปี 2551 อยู่ที่ 5% และอัตราเงินเฟ้อ 3% จะทำให้คาดการณ์การเติบโตของการจัดเก็บรายได้ที่ 8% ต่อปีจะเท่ากับอัตราการจัดเก็บรายได้ต่อจีดีพี 1:1 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก"
นอกจากนี้ แนวทางการจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2551 จะเน้นลดความซ้ำซ้อนของการจัดเก็บภาษี ด้วยการจัดหมวดหมู่ในการเสียภาษีใหม่ให้เกิดความคล่องตัวเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียภาษีและการทำงานของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร เช่น ภาษีเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน ปัจจุบันมีการจัดเก็บหลายรายการ ประกอบด้วย ภาษีบำรุงท้องที่ , ภาษีเทศบาล , ค่าธรรมเนียมการโอน , ค่าจดจำนอง , อากรแสตมป์ , ภาษีหัก ณ ที่จ่าย , ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล หากสามารถรวมเอาการชำระภาษีทั้งหมดนี้มารวมไว้ในจุดเดียวกันในการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง ก็จะทำให้ผู้เสียภาษีมีความสะดวกมากขึ้นและเป็นการง่ายต่อการชำระภาษี รวมทั้งไม่เกิดความผิดพลาดในการคำนวณภาษี
อนึ่ง ปัจจุบันกรมสรรพากรอยู่ระหว่างปรับปรุงการจัดเก็บภาษีสรรพากรให้มีความชัดเจน สามารถเข้าใจง่ายและตรงกัน โดยรวมเรื่องที่เกี่ยวข้องกันเข้าไปอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน และกำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงมาตรการภาษีหลายเรื่อง เช่น การอนุญาตให้สามีและภรรยาสามารถแยกยื่นภาษีได้ทุกกรณี จากปัจจุบันที่ภรรยาต้องนำรายได้มายื่นเสียภาษีรวมกับสามีเท่านั้น , การหักค่าใช้จ่ายของบุคคลธรรมจาก 40% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เป็นไม่เกิน 60% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท , การเพิ่มประเภทการบริจาคเพื่อการศึกษา ที่สามารถนำไปหักลดหย่อนทางภาษีได้ 2 เท่า เช่น การให้ทุนการศึกษา การให้ทุนวิจัย จากเดิมที่สามารถลดหย่อนได้เฉพาะการบริจาคอุปกรณ์ทางการศึกษาเท่านั้น , การเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับบุคคลที่เลี้ยงดูคนพิการ และจะมีการพิจารณาแก้ไขการยกเว้นภาษีสำหรับเงินลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว(LTF) และการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)ด้วย เนื่องจากบุคคลที่มีรายไดสูงๆเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์
***รสก.ส่งรายได้เดือนแรกเกินเป้า
ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังรายงานผลการจัดเก็บรายได้เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 ( เดือนตุลาคม 2550) ว่าจัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 116,093 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณจำนวน 1,521 ล้านบาท คิดเป็น 1.3 % โดยในส่วนของการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรจัดเก็บได้ 73,085 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 138 ล้านบาทเป็นผลจากภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 831 ล้านบาท หรือสูงกว่าประมาณการ5.5%
ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จัดเก็บได้ 14,904 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการซึ่งตั้งไว้ที่ 15,020 ล้านบาท ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ 38,797 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการที่ 39,168 ล้านบาท และภาษีธุรกิจเฉพาะจัดเก็บได้ 2,878 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 3,106 ล้านบาท
ด้านนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยถึง รายได้นำส่งของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2551 ในเดือนตุลาคม 2550 ซึ่งเป็นเดือนแรกว่า รัฐวิสาหกิจสามารถนำส่งรายได้ให้กระทรวงการคลังสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.22% จากเดิมตั้งไว้ 23,012.04 ล้านบาท นำส่งจริงได้ 23,752.50 ล้านบาท หรือสูงกว่าที่ประมาณการ 740.46 ล้านบาท โดยรัฐวิสาหกิจหลักที่นำส่งรายได้ประจำเดือนตุลาคม 2550 ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 8,913 ล้านบาท บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จำนวน 7,338.75 ล้านบาท และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 2,319.21 ล้านบาท
****แนะปฏิรูปโครงสร้างภาษี-รสก.
ด้านนายบดี จุณณานนท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความเห็นในการจัดเก็บรายได้ว่า รัฐบาลไม่ควรปรับเพิ่มอัตราภาษีในขณะนี้ เพราะเท่ากับเป็นการบล็อกภาคธุรกิจในเรื่องของการขยายการลงทุน หากปรับเพิ่มภาษี อาจทำให้รัฐเก็บรายได้ในระยะสั้น แต่เมื่อเอกชนเกิดความเสียหายขึ้น จะกระทบต่อการจัดเก็บภาษีของภาครัฐในระยะยาว ดังนั้นการปรับโครงสร้างอัตราภาษีควรเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่รัฐบาลใหม่ควรใช้มาตรการทางภาษีที่เอื้อหรือส่งเสริมให้นักลงทุนและนักธุรกิจมั่นใจในการลงทุนหรือขยายกิจการ
นอกจากนี้มาตรการที่สำคัญ คือ เร่งรัดจัดการเงินภาษีรั่วไหลซึ่งมีอยู่ในวงกว้างของประเทศไทย และทางการยังไม่สามารถจัดการได้ โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากอัตราภาษีที่สูงทำให้มีการจงใจเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะการมีเจ้าหน้าที่ของรัฐรับทำบัญชีให้เอกชนและแนะนำให้เลี่ยงภาษีทั้งในรูปแบบที่ไม่ชำระภาษีเลย และการจ่ายภาษีในอัตราต่ำ ขณะเดียวกันต้องมีการขยายฐานภาษีที่ยังจัดเก็บในอัตราที่ต่ำอยู่
สอดรับกับความเห็นของ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่เห็นรัฐบาลใหม่ ควรจะใช้วิธีการปฎิรูปโครงสร้างภาษีด้วยการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดกแทนการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจและเป็นการกระจายรายได้ โดยที่รัฐบาลสามารถทำงบประมาณขาดดุลที่ 2-2.5% ต่อจีดีพีได้ต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปี เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนอีกแนวทางหนึ่งคือ รัฐบาลสามารถปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ โดยรัฐวิสาหกิจใดที่เอกชนสามารถทำได้ดีกว่าให้แปรรูป ส่วนรัฐวิสาหกิจใดที่ไม่จำเป็น รัฐบาลก็ควรพิจารณายุบทิ้ง เหลือไว้เพียงรัฐวิสาหกิจพื้นฐาน
ส่วนดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด เห็นว่าภาครัฐบาลยังสามารถหารายได้เพิ่มจากการปฏิรูปองค์กรรัฐวิสาหกิจ โดยรัฐวิสาหกิจใดที่ไม่มีความจำเป็นก็พิจารณาประกาศยกเลิกไป ส่วนรัฐวิสาหกิจใดที่ภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้ดีกว่าภาครัฐก็แปรรูปองค์กรให้เอกชนรับไปดำเนินงานต่อ โดยเหลือคงไว้เพียงรัฐวิสาหกิจที่มีความจำเป็น และมีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น
ส่วนช่องทางการจัดเก็บรายได้โดยปรับเพิ่มอัตราภาษีนั้น การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นช่องทางที่สามารถดำเนินการได้ง่ายที่สุด และสามารถจัดเก็บรายได้เข้ารัฐได้จำนวนมาก โดยทุกๆ 1% ของการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 40,000 ล้านบาท ขณะที่แนวทางการจัดเก็บภาษีที่ดินและภาษีมรดกนั้น ในทางปฏิบัติภาครัฐจะดำเนินการได้ค่อนข้างลำบาก เพราะอัตราการเรียกเก็บภาษีไม่มีความชัดเจน และอาจได้รับแรงต่อต้านมากกว่าการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2272