หน้า 16 จากทั้งหมด 26

news19/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 19, 2007 7:24 pm
โดย chartchai madman
หอการค้าโพลล์ ฟันธงศก.ครึ่งแรกปีหน้าแค่ทรงตัว เชื่อ 1 ปี ถึงฟื้น จีดีพีโตแค่ 4.6%

นางยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำการสำรวจความคิดเห็นประเด็นธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นรัฐบาลในฝัน จากกลุ่มตัวอย่าง 379 ราย ของผู้เข้าร่วมประชุมหอการค้าทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 17 พ.ย. แบ่งเป็นสมาชิกหอการค้า 78.31% หน่วยงานราชการ 21.69% ว่า กลุ่มตัวอย่าง 46.1% คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง จะกลับมาดีขึ้น หลังการทำงานของรัฐบาลใหม่ผ่านไปแล้ว 12 เดือน ทั้งนี้ การทำงานช่วง 3 เดือน และ 6 เดือนแรก ผู้ตอบส่วนใหญ่เห็นว่า เศรษฐกิจจะทรงตัว นอกจากนี้ เมื่อถามถึงแผนการขยายการลงทุนในรัฐบาลชุดใหม่ ผู้ตอบส่วนใหญ่ 59.63% ขอรอดูสถานการณ์อีกสักระยะ รองลงมา 21.74% ไม่ลงทุน และมีแค่ 18.63% ที่ลงทุน

เมื่อถามถึงนโยบายประชานิยมที่แต่ละพรรคใช้หาเสียง 77.44% เห็นด้วย แต่ควรทำเพียงบางเรื่อง รองลงมา คือ ไม่เห็นด้วย ไม่แน่ใจ และเห็นด้วยแบบมีเงื่อนไข เมื่อถามถึงประเด็นที่ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการเร่งด่วนมากที่สุด คือ แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน รองลงมาเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาหนี้สินของคนยากไร้ แก้ไขปัญหาพลังงาน และปฏิรูปการศึกษา

สำหรับอุปสรรคที่จะทำให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ไม่ได้ ผู้ตอบส่วนใหญ่เห็นว่าปัจจัยเสี่ยงอันดับแรก คือ เสถียรภาพของรัฐบาล รองลงมา คือ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชะลอตัวมากเกินไป ราคาน้ำมัน ความขัดแย้งทางความคิดเห็นของคนในประเทศ หนี้สิน และกำลังซื้อของประชาชน ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ให้ความสำคัญกับกระทรวงพาณิชย์มากที่สุด รองลงมาเป็นกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากผลสำรวจประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาส 4 เพราะกว่ารัฐบาลจะเข้ามาทำงาน อาจเข้าสู่ไตรมาส 2 และเริ่มฟื้นตัวปลายไตรมาส 3 ทำให้เศรษฐกิจปี 2551 จะขยายตัว 4.5-5% หรือมากสุดที่ 4.6% แต่หากเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นมาอีก เศรษฐกิจอาจหลุดกรอบไปที่ 4.3%
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news19/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 19, 2007 7:46 pm
โดย chartchai madman
เปิดโผ5ตัวเด็ดสัปดาห์นี้
หวนคืนสังเวียนหุ้นร้อน


เปิดตัว 5 หุ้นอรหันต์ PTT ,BBL ,BANPU ,EGCO และSAT รอลุ้นกลับเข้าลู่วิ่งสู่เส้นชัยสัปดาห์นี้ หลังปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลงต่อเนื่อง โดนต่างชาติกระหน่ำขาย ฉุดปัจจัยทั่วโลกยังเป็นลบทั้งตลาดหุ้นต่างประเทศและน้ำมันร่วงกดดันตลาดหุ้นไทย

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ในช่วงที่ตลาดหุ้นยังขาดปัจจัยบวกกระตุ้นการลงทุนทั้งจากภายนอก และภายในประเทศทำให้ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์ดาวน์ ซึ่งทำให้หุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีและราคาไม่น่าจะปรับตัวลดลงมามากนักถือว่าน่าสนใจ เช่น PTT ให้ราคาเหมาะสมที่ 490 บาท ส่วน BBL ให้ราคาเหมาะสมที่ 138 บาท  

เรามองว่าหุ้น PTT และ BBL น่าสนใจและราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาไม่น่าจะปรับลดลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะถ้าลงไปลึกก็จะสามารถดีดกลับขึ้นมาได้ เนื่องจากยังมีปัจจัยพื้นฐานรองรับอยู่ ซึ่งราคาหุ้นที่ลงไประดับนี้ระยะยสั้นอาจจะเข้ามาเก็งกำไรรอรีบาวนด์ ส่วนระยะยาวทั้ง 2 ตัวเรายังแนะนำซื้ออยู่นักวิเคราะห์กล่าว    

สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงกว่า 6.45 จุด ปิดที่ 849.07 จุดในช่วงปลายสัปดาห์ (16 พ.ย.2550) ที่ผ่านมา ยังคงถูกกดันจากปัจจัยรอบด้าน โดยเฉพาะภายนอกประเทศที่ยังมีความกดดันทั้งเรื่องของปัญหาซับไพร์ม หรือราคาน้ำมัน    

ขณะเดียวกันหุ้นที่มีสตอรี่สนับสนุนช่วงสั้นก็ยังน่าสนใจเก็งกำไร เช่น หุ้น BANPU จากราคาถ่านหินที่ยังปรับตัวสูงขึ้นทำนิวไฮ สวนทางกับราคาหุ้น BANPU ที่ปรับตัวลดลงเกือบ 8% ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาจากระดับ 420 บาท จนมาปิดตลาดปลายสัปดาห์ที่ระดับ 370 บาท  เช่นเดียวกับหุ้น RATCH ที่ผิดเงื่อนไข TOR ในการเข้าประมูลโรงไฟฟ้า IPP เนื่องจากเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้สถานภาพของหุ้น EGCO ในการเข้าประมูลครั้งนี้ถือว่าดีขึ้น โดยในเชิงกลยุทธ์ ฝ่ายวิจัยแนะนำสวิชชิ่งจากหุ้น  RATCH มาเป็น EGCO โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 118 บาท    

ส่วนหุ้น SAT  ผลการดำเนินงานถือว่าเติบโตโดดเด่น และราคาตลาดซื้อขายกันที่พีอีเรโชประมาณ 8-9 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่า พีอีของกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่ซื้อขายกันที่ 10-11 เท่า ในขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทก็เติบโตดีกว่าภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ จึงยังคงแนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสมที่ 19.20 บาท      

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  สำหรับหุ้น PTT ราคาหุ้นปรับลงมา 14% จากระดับสูงสุดในปีนี้ โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PE ปี 2551 ที่ 11.3 เท่า , EV/EBITDA 7.3 เท่า และ PBV 2.6 เท่า ซึ่งยังมีอัพไซต์จากราคาเหมาะสมที่ให้ไว้ที่ 438 บาท    

ขณะที่บริษัทในกลุ่มก็มีการขยายกำลังการผลิตอีก 20-100% ในปี 2550-2554 โดยใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนของ PTT และ PTTEP คิดเป็น 31% ของเงินลงทุนทั้งหมด ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นเท่ากับ 23% และ 15% ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2550 ขึ้น 2.50%  จึงยังคงแนะนำซื้อ เช่นเดียวกับหุ้น BBL ที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีอัพไซต์ให้เล่น จากราคาเหมาะสมที่ 149 บาท    

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น PTT วานนี้ (16 พ.ย.2550) ปิดที่ราคา 372 บาท ลดลง 6 บาท หรือ 1.59%   มูลค่าการซื้อขาย  1,442.93  ล้านบาท ส่วนหุ้น BBL ปิดที่ราคา 120 บาท ลดลง 1 บาท หรือ 0.83% มูลค่าการซื้อขาย 175.61 ล้านบาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 221&ch=225

news19/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 19, 2007 8:09 pm
โดย chartchai madman
ผลการดำเนินงาน บจ.งวด 9 เดือน ปี 2550 มีกำไรรวม

Date:  2007-11-19 19:11:13
Source: SET

ฉบับที่ 204 / 2550
19 พฤศจิกายน 2550

ผลการดำเนินงาน บจ.งวด 9 เดือน ปี 2550 มีกำไรรวมกว่าสามแสนหนึ่งหมื่นเก้าพันล้านบาท

บริษัทจดทะเบียนประกาศผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2550 มีกำไรสุทธิรวม 319,013 ล้านบาท โดยมี
ยอดขายรวม 4,218,627 ล้านบาท โดยบริษัทจดทะเบียนร้อยละ 79 มีกำไรสุทธิ สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม
3 อันดับแรกที่กำไรสุทธิรวมสูงสุดได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มสินค้าอุต
สาหกรรม บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ PTT SCC PTTEP BBL และ TOP ตาม
ลำดับ


นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัท
จดทะเบียนประจำงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550 ว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 465
บริษัท
จากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 491 บริษัท รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทในกลุ่ม NC( Non-Compliance) และ
NPG (Non - Performing Group ) มีกำไรสุทธิรวม 319,013 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15
โดยมีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 366 บริษัท และขาดทุนสุทธิ 99 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 79 ต่อ 21 อย่างไรก็ตามหาก
พิจารณายอดขายรวมงวด 9 เดือน ปี 2550 เท่ากับ 4,218,627 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ในขณะที่ผลการดำเนินงานโดยรวมในงวดไตรมาส 3 ปี 2550 มีกำไรสุทธิ 108,052 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ6 ในขณะที่
ยอดขายรวมมีจำนวน 1,476,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันของปีก่อน

นางภัทรียากล่าวว่า " สาเหตุหลักที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนงวด 9 เดือนของปี 50 ลดลงจากงวดเดียวกัน
ของปีก่อน มาจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของกลุ่มธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนเพิ่มตามเกณฑ์ใหม่ของ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IAS 39) ประกอบกับกำไรจาก
อัตราแลกเปลี่ยนลด ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นตั้งแต่ต้นปี รวมทั้งกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ลดลง "

สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 287,671 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิรวม ลดลงร้อยละ 11
ส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ผลกระทบที่สำคัญเกิดจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นตั้งแต่
ต้นปี ทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 41 ส่วนบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET50
กำไรสุทธิ 262,006 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 82 ของกำไรสุทธิรวม ลดลงร้อยละ 15 โดยมี ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 5
ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ทำให้กำไรขั้นต้นลดลงจากร้อยละ 21 เป็นร้อยละ 20

ทั้งนี้ บริษัทที่มีมูลค่ากำไรสุทธิรวมสูงสุด 5 อันดับแรกคือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP)

ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group ) ไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC( Non-
Compliance) และ NPG (Non - Performing Group ) มียอดขายเพิ่มเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มสินค้า
อุปโภคบริโภค โดยผลการดำเนินงานเรียงตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มียอดรวมกำไรสุทธิสูงสุด ดังนี้

1. กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่มีกำไรสุทธิ 151,456
ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4

2. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วย หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้างและ กองทุน
รวมอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 56,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากงวดเดียวกันของปีก่อน

3. กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วย หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่อง
จักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 28,360 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6
โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และต้นทุนขายเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกันร้อยละ 9 ในขณะที่กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง
ร้อยละ 60

4. กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกัน
ชีวิต มีกำไรสุทธิรวม 27,238 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 63 โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 17,539
ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 73 โดยมีสาเหตุหลักจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มตาม
เกณฑ์ใหม่ของธปท. เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IAS 39)
ในขณะที่บริษัทในหมวดเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง) 19 บริษัท
มีกำไรสุทธิ 3,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14 เนื่องจากบริษัทเงินทุนมีรายได้ดอกเบี้ยและ
เงินปันผลรับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิ
รวม 3,454 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13

5.กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วย หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วน
อิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 25,534 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 อย่างไรก็ตาม หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีกำไร
สุทธิสูงขึ้นร้อยละ 34 โดยมีผลกำไรจากการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้น

6. กลุ่มบริการ ประกอบด้วย หมวดพาณิชย์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและ
สันทนาการ หมวดบริการเฉพาะกิจ และหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ มีกำไรสุทธิ 24,265 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียว
กันของปีก่อนโดยยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มเพียงร้อยละ 7 โดยหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ มี
กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 และหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ กำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 19

7. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วย หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร
มีกำไรสุทธิ 6,981 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 29 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะตกต่ำของราคาเนื้อสัตว์ในประเทศและ
ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2550

8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย หมวดของใช้ในครัวเรือน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์
หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 2,251 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 51 จากผลประกอบการที่ลดลงของหมวดแฟชั่นเป็นหลั

news19/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 19, 2007 9:03 pm
โดย chartchai madman
'สมคิด'รับศก.ไทยตามหลังเพื่อนบ้าน แนะรัฐบาลใหม่ทำงบขาดดุล3ปี

19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 19:46:00

"ดร.สมคิด"ระบุรัฐบาลใหม่ทำงบขาดดุล 3 ปีกระตุ้นเศรษฐกิจ ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านต่อเนื่องมา 3 ปี โดยเฉพาะปัญหาขาดความมั่นใจ ทั้งการบริโภคและการลงทุน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างงานประชุมคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ (ส.อ.ท.) ในหัวข้อเรื่อง"เศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง "แม้ว่ากกต.จะห้ามกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ช่วยหาเสียงเลือกตั้งแต่ขณะนี้ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด และขณะนี้ขอทำงานด้านวิชาการ และที่บอกว่าสังกัดพรรคการเมือง เพราะสื่อมวลชนแต่งตั้งให้เป็นเอง

สำหรับปัญหาด้านเศรษฐกิจในขณะนี้ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านต่อเนื่องมา 3 ปี นับว่าไทยเสียโอกาสขณะที่ประเทศต่างๆ กำลังเติบโต เพราะปัญหาขาดความมั่นใจ ทั้งการบริโภคและการลงทุน ยอมรับว่าที่ผ่านมาเป็นช่วงสุญญากาศการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่มีทิศทางที่แน่นอน ไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง เหมือนมีรถแต่ไม่มีคนขับ

ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ จะต้องหาบุคลลที่มีความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับของสังคมมาช่วยงานเข้ามาช่วยงาน การส่งสัญญาณให้ต่างชาติทราบว่า รัฐบาลมีการวางกรอบนโยบายเศรษฐกิจในช่วง 5 ปี แผนการค้า การลงทุน ให้มีความชัดเจน การจัดทำงบประมาณขาดดุล 3 ปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เร่งการพัฒนาสู่ระดับรากหญ้า

ทั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญมากต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพราะจะช่วยดึงความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างชาติจะกลับมาใน 1-2 ปี  และควรชะลอออกนโยบายหรือกฎหมายที่กระทบบรรยากาศการลงทุนไว้ก่อน

" ยืนยันว่าต่างชาติยังสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศ แต่ขณะนี้รอดูความชัดเจนจากรัฐบาลว่า มีทิศทางการบริหารงานเป็นอย่างไร รวมถึงการดึงพันธมิตรต่างชาติทั้งสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น ซึ่งไทยมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น เนื่องจากมีพันธมิตรดังกล่าวมองว่าไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจแถบนี้ จึงต้องดึงเข้ามาช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง "ดร.สมคิด กล่าว
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/1 ... sid=203830

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 2:01 pm
โดย chartchai madman
เข็น37บริษัทดันมาร์เก็ตแคปขึ้น7ล้านล.

โพสต์ทูเดย์ ตลาดหลักทรัพย์ ตั้งเป้าปี 2551 เข็นบริษัทเข้าจดทะเบียน 37 แห่ง ดันมาร์เก็ตแคปขึ้น7 ล้านล้านบาท ลดเวลาเคลียริงหุ้นเหลือ T+2


นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ตั้งเป้ามี บริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 37 แห่ง แบ่งเป็น ตลาดหลักทรัพย์ 25 แห่ง และ ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ 12 แห่ง มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) 3 แสนล้านบาท

ทั้งนี้มี 5 บริษัท ที่มีมาร์เก็ตแคปเกิน 1 หมื่นล้านบาท อีก 10 แห่ง 1 พันล้านบาท -1 หมื่นล้านบาท และที่เหลือ 10 แห่ง ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งทั้ง 37 แห่ง จะทำให้มาร์เก็ตแคปรวมของตลาด ขึ้นถึง 6.9-7 ล้านล้านบาท ประเมินจากดัชนีเฉลี่ย 880-890 จุด


ปัจจุบันตลาดมีมาร์เก็ตแคป 6.65 ล้านล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (วอลุม) คาดว่าจะ อยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าเฉลี่ย 1.75 หมื่นล้านบาท

นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์มีแผนขยาย ฐานนักลงทุนใหม่เพิ่มอีก 1 แสนคน จากการเปิดบัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 2.5 หมื่นราย และลงทุนผ่านกองทุนรวม 7.5 หมื่นราย ทำให้จำนวนผู้ลงทุนปี 2551 เพิ่มเป็น 1.96-2 ล้านราย หรือ 3% เมื่อเทียบกับประชากร ของประเทศจำนวน 65 ล้านคน และเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีนี้ที่มีนักลงทุน 1.86 ล้านราย

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการ ทำธุรกรรมผ่านสถาบันที่เป็น ตัวกลางการซื้อขายในตลาดทุน ตั้งแต่ บล. และธนาคารพาณิชย์ เป็นการเพิ่มช่องทางการลงทุนมากขึ้น เช่น รณรงค์ให้มีสาขาย่อยแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ไซเบอร์บลานซ์) มากขึ้นอีก 40 แห่ง จากปัจจุบัน ที่มีอยู่ 30 แห่ง ทำให้สิ้นปีหน้า คาดว่าจะมีสาขาทั้งหมด 70 แห่ง

น.ส.โสภาวดี เลิศมนัสชัย กรรมการและผู้จัดการ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) หรือ TSD กล่าวว่า ปี 2551 จะลดเวลาในการชำระราคาและ ส่งมอบหลักทรัพย์ จาก T+3 เป็น T+2 รองรับธุรกรรมการซื้อคืนพันธบัตรภาคเอกชน (รีโป)
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204772

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 2:06 pm
โดย chartchai madman
คลังพลิกแผนเงินกู้จีนหมื่นล.

โพสต์ทูเดย์ เอ็กซิมแบงก์จีน เครื่องร้อน ส่งเจ้าหน้าที่เจรจาคลังปล่อยกู้ 1 หมื่นล้าน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในสิ้นเดือนนี้ ยันไม่ซ้ำรอย รถไฟฟ้าเจบิก


นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของรัฐบาลจีนจำนวน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณกว่า 1 หมื่นล้านบาทว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ รัฐบาลจีนจะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาหารือกับทางการไทยในเรื่องแผนการใช้เงินกู้

รัฐบาลจีนแจ้งมาแล้วว่า จะคิดอัตราดอกเบี้ย 3% กำหนดระยะเวลาในการชำระหนี้ภายใน 15 ปี นายพงษ์ภาณุ กล่าว

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นคาดว่าเงินกู้ดังกล่าวน่าจะนำไปใช้ในการลงทุนในโครงการที่ไม่ซ้ำซ้อนกับธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น (เจบิก) ที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องการสนับสนุนเงินกู้เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) สายสีแดง และสายสีน้ำเงิน

เงินกู้จากรัฐบาลจีน 1 หมื่น ล้านบาทนั้น จะยังคงให้ใช้ในโครงการก่อสร้างพื้นฐานหรือโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยที่จะเน้นเรื่องของภาคขนส่ง หรืออาจจะนำไปใช้ในโครงการอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนี้ได้

สำหรับความคืบหน้าของการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต วงเงิน 5.9 หมื่นล้านบาท ได้รับแจ้งว่าทางเจบิกจะ ส่งคณะเจ้าหน้าที่ประเมินเข้ามา รวบรวมข้อมูลโครงการในวันที่ 10 ธ.ค. นี้

ทั้งนี้ จะพยายามเร่งรัดกระบวนการปล่อยกู้ให้ทันก่อนสิ้นปีนี้ และคงสามารถเริ่มดำเนินการประมูลและก่อสร้างได้ในรัฐบาลหน้า

สำหรับสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ระยะทาง 23 กิโลเมตรนั้น ในเบื้องต้นกระทรวงการคลังได้ทำข้อตกลงกับเจบิกเพื่อขอรับสนับสนุนเงินกู้มาใช้ลงทุนทำระบบรางกว่า 3.1 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 1.1 แสนล้านเยน ดอกเบี้ย 1.4% ระยะเวลาในการชำระหนี้ 25 ปีแล้ว

ขณะนี้ทางเจบิกได้ส่งข้อมูลให้ทางกลุ่มประเทศพัฒนา 24 ประเทศ หรือโออีซีดี รับทราบไปแล้วตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ คาดว่าทางการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะสามารถเปิดประมูลแบบอินเตอร์เนชันแนล บิดดิง ได้ในวันที่ 5 ธ.ค.

ผมขอยืนยันว่า การเปิดประมูลการก่อสร้างรถไฟฟ้าจะทำอย่างเปิดกว้าง คาดว่าจะคัดเลือกผู้ที่ผ่านเกณฑ์ได้ในต้นปีหน้า นายพงษ์ภาณุ ชี้แจง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204759

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 2:50 pm
โดย chartchai madman
พาณิชย์เผยยอดส่งออกเดือนต.ค.พุ่ง26.7% สูงสุดเป็นประวัติการณ์

21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 14:05:00
 
พาณิชย์เผยยอดส่งออกเดือนตุลาคมที่ผ่านมาพุ่งกระฉูด 26.7% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นมูลค่า 1.45 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลการค้า 1.49 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากไทยเร่งขยายตลาดเกิดใหม่

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณชย์ เปิดเผยถึงตัวเลขการส่งออกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า มีมูลค่าราว 1.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 26.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่าราว 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 20.24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยในเดือน ต.ค.ไทยมียอดเกินดุลการค้า ราว 1.499 พันล้านเหรียญสหรัฐ

"ส่งออกเดือนนี้สูงเป็นประวัติการณ์ เรายังไม่เคยมีเดือนไหนที่ถึงระดับ 1.4 หมื่นล้านเหรียญ เป็นเพราะตลาดใหม่ขยายตัวมาก"

สำหรับมูลค่าการส่งออกช่วง 10 เดือนปีนี้ ขยายตัวประมาณ 17.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่มูลค่าการนำเข้า ขยายตัว 7.8%
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=204346

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 2:55 pm
โดย chartchai madman
ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมทรงตัว ลุ้นผงกหัวหลังเลือกตั้ง

21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 10:16:00
 
สภาอุตฯเผยดัชนีความเชื่อมั่นอุตสหากรมเดือนต.ค.ทรงตัวอยู่ที่ 81.9 จาก 91.0 เดือนก.ย. ลุ้นหลังเลือกตั้งผงกหัว จี้พรรคการเมืองแจงนโยบายให้ชัด หวังฟื้นความเชื่อมั่นการค้า-การลงทุน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนต.ค. 2550 จากกลุ่มตัวอย่าง 542 ตัวอย่าง ครอบคลุม 35 กลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 81.9 จาก 81.0 ในเดือนก.ย.ผ่านมา ซึ่งไม่แตกต่างกัน เนื่องจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงหรือยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น

สาเหตุมาจากการเมืองที่ไม่ชัดเจนโดยเฉพาะนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และอีก 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการเชื่อมั่นว่าภาพรวมอุตสาหกรรมจะดีขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากความหวังต่อการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม นี้ ซึ่งต่างก็หวังว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่ การดำเนินการต่างๆ จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ การเข้ามาแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ร

จี้พรรคการเมืองแจงนโยบายให้ชัดเจน

นายอดิศักดิ์ เปิดเผยถึงข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการต่อภาครัฐ พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ต้องการให้มีการเลือกตั้งและเร่งให้มีนโยบายต่างๆ ที่ชัดเจน เอาใจใส่และมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ดูแลราคาน้ำมันให้คงที่แน่นอน ผ่อนผันการกำหนดมาตฐานในน้ำมันเบนซิน ควบคุมค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ

ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ ให้ความสำคัญธุรกิจขนาดกลางและเล็ก เพิ่มการลงทุนด้านสาธารณูปโภค ดูแลราคาวัตถุดิบ ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบสำหรับสินค้าขายในประเทศ สนับสนุนด้านเงินทุนโดยมีนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ โอ/ดี ดูแลการคืนภาษีแก่ผู้ประกอบการให้เร็วขึ้น และตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาค่าใช้จ่ายพื้นฐานของประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ

คาด3 เดือนข้างหน้าดัชนีความเชื่อมั่นอุตฯดีขึ้น

ทั้งนี้ จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการ พบว่าหลายๆ ปัจจัยจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอีก 3 เดือนข้างหน้า ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อัตราแลกเปลี่ยน เศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบตั้งความหวังว่าการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงนี้จะนำไปสู่ความมั่นคง และนโนบายทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ปัญหาต่างๆ จะถูกแก้ไข ความเชื่อมั่นการค้าและการลงทุนจะกลับมาช่วยทำให้การประกอบการฟื้นตัวขึ้น จึงเชื่อได้ว่าดัชนีฯ คาดการณ์จะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=204276

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 6:35 pm
โดย chartchai madman
ตลท.ผุดแผนปลุกตลาดปีหน้า- ฝันดันพีอีแตะ20เท่า เพิ่มแคป7ล้านล้านบ. โดย กระแสหุ้น

ตลาดหลักทรัพย์โชว์แผนงานปี 51 ตั้งเป้าดันพีอีตลาดแตะ 20 เท่า เพิ่มมูลค่ามาร์เก็ตแคปทะลุ 7 ล้านล้านบาท หนุนยอดซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเป็น 2.2 หมื่นล้านบาท พร้อมเข็นไอพีโอเข้าตลาดอีก 37 ราย เพิ่มนักลงทุนอีก 1 แสนคน หวังเป็นตลาดที่ได้รับการยอมรับและน่าเชื่อถือ

นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการสายงานศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ในปีหน้าตลาดหลักทรัพย์ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตลาดรวม(มาร์เก็ตแคป)ขึ้นมาอยู่ที่ 6.9-7 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันที่มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 6.6 ล้านล้านบาท ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันคาดว่าจะอยู่ที่ 22,000 ล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 17,500 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น(P/E)อยู่ที่ 20 เท่า

ส่วนเป้าหมายในการขยายฐานนักลงทุน ตลาดหลักทรัพย์คาดว่าปีหน้าจะมีฐานนักลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 100,000 ราย หรือรวมเป็น 1,960,000 ราย จากปัจจุบันที่มีนักลงทุนอยู่ที่ 1,860,000 ราย หรือคิดเป็น 3% ของประชากรทั้งประเทศที่ 65 ล้านคน โดยนักลงทุนใหม่ 100,000 รายจะมาจากนักลงทุนที่เปิดบัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์ 2.5 หมื่นราย และลงทุนผ่านกองทุนรวม 7.5 หมื่นราย

ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์จะมีการสนับสนุนให้มีการขยายการทำธุรกรรมผ่านสถาบันตัวกลาง เช่น บริษัทหลักทรัพย์และธนาคารพาณิชย์เพื่อเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการลงทุนในตลาดทุนมากขึ้น โดยจะมีการรณรงค์ให้บริษัทหลักทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจัดตั้งสาขาทางอินเทอร์เน็ต (ไซเบอร์บลานซ์) เพื่อให้บริการนักลงทุนในการสั่งซื้อหุ้นได้โดยตรง ซึ่งคาดว่าในปีหน้าจะมีสาขาไซเบอร์บลานซ์เพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 40 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 30 กว่าแห่ง

อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าตลาดมีแผนจะเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยจะเร่งผลักดันด้านการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่บริษัทจดทะเบียนเพื่อจูงใจให้มีการเข้าจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจะมีการจัดทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำแก่บริษัทจดทะเบียนเกี่ยวกับเรื่องการระดมทุนด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุน วอร์แรนต์ หรือตราสารหนี้เพิ่มขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนและส่งผลต่อการขยายตัวของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด

ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า การดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์และบริษัทในเครือปี 51 เป็นต้นไปจะเน้นการประสานในเชิงกลุ่มธุรกิจโดยกำหนดวิสัยทัศน์และแผนงานใหม่ในการเป็นตลาดทุนที่ได้รับการยอมรับและมีความน่าเชื่อถือ

สำหรับกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ ได้ตั้งเป้าหมายด้านอุปทานที่มีความเป็นไปได้สูงในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนจำนวน 37 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 25 บริษัท และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 12 บริษัท รวมทั้ง มีผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ได้แก่ Stock Options สินค้าที่อ้างอิงดัชนีฟุตซี เซ็ท Transferable Custody Receipt (TCR)

นอกจากนี้ จะลดระยะเวลาในการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์จากภายในวันทำการที่ 3 หรือ T+3 เป็นภายในวันทำการ ที่ 2 หรือ T+2 และการพัฒนาระบบ front เพื่อรองรับธุรกรรม Repo สำหรับด้านอุปสงค์จะมีการเพิ่มขยายฐานผู้ลงทุนโดยกำหนดเป้าหมายให้จำนวนผู้ถือหลักทรัพย์และผู้ถือหน่วยกองทุนรวม เพิ่มขึ้นประมาณ 5%
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 6:41 pm
โดย chartchai madman
เตือนซับไพร์มปะทุรุนแรงกลางปี'51 กระทบเศรษฐกิจช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น

21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 16:40:00

สมาคมตราสารหนี้ไทยเตือนระวังผลกระทบซับไพร์มจะรุนแรงในกลางปีหน้า ชี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คิดเป็นแค่ 10% ห่วงเศรษฐกิจไทยในปีหน้า เพราะแนวโน้มดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้น

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการสมาคมตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA กล่าวว่า ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือซับไพร์ม ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ เป็นวงกว้าง โดยมีการคาดการณ์ว่า ความเสียหายอาจจะสูงถึง 200,000 - 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นขณะนี้ ประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 680,000 ล้านบาท เป็นความเสียหายเพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้น ยังเหลืออีกร้อยละ 90 ที่ยังไม่แสดงออกมา ซึ่งคาดว่าผลเสียจากปัญหาซับไพร์มจะปะทุรุนแรงในกลางปี 2551

นายณัฐพล กล่าวว่าผลกระทบจากปัญหาซับไพร์ม ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยลง และมีผลกระทบต่อประเทศที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐ รวมทั้งไทย ในเรื่องของการส่งออกและการลงทุนชะลอตัวตามไปด้วย ซึ่งเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ และดึงความสนใจของเงินลงทุนจากจีน และชาติเอเชีย ให้มาลงทุนในสหรัฐ หลังจากที่ได้มีการถอนเงินลงทุนออกไป เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลก รวมทั้งไทยต้องปรับขึ้นตาม

ขณะเดียวกัน การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เตรียมออกพันธบัตรระดมทุน 2 ล้านล้านบาท และกระทรวงการคลังออกพันธบัตรอีก 300,000 ล้านบาท มีผลทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินลดลงไป ดังนั้น แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศปี 2551 มีทิศทางขาขึ้น และจะทำให้เอกชนที่จะระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ อาจจะมีการชะลอการระดมทุนออกไปก่อน

เศรษฐกิจปี 2551 อยู่ในภาวะที่น่าหนักใจ เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ดอกเบี้ยมีทิศทางขาขึ้น ทำให้ต้นทุนทางการผลิตเพิ่มขึ้นแน่นอน ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มที่จะขยายตัวลดลง ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีการตั้งรับกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลง เพราะรอรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งหวังว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน และรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=204444

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 6:43 pm
โดย chartchai madman
กสิกรไทยเตือนรับมือแนวโน้มดอลลาร์อ่อน ฉุดเศรษฐกิจไทยปีหน้า

21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 16:12:00

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเตือนรับมือแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าจากปัญหา "ซับไพร์ฒ" ส่งผลกระทบต่อเงินบาท-ราคาน้ำมัน กดดันเศรษฐกิจไทยปีหน้า

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้จัดทำบทวิจัยในหัวข้อ หลากหลายปัจจัยลบกดดันเงินดอลลาร์ฯ...โจทย์ท้าทายสำหรับทางการไทย โดยระบุว่า แนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ฯ มาจากปัญหาในตลาดปล่อยกู้จำนองแก่ลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) ของสหรัฐ ได้ลุกลามเป็นวงกว้างออกไปสู่ตลาดการเงินทั่วโลก และยังคงมีอีกหลากหลายปัจจัยลบ รอที่จะสร้างแรงกดดันต่อเงินดอลลาร์ฯ ในระยะถัดไป

ปัจจัยหลักคือ ปัญหาในตลาดซับไพร์ม สินเชื่อประเภทอื่น ๆ ที่อาจได้รับผลกระทบตามมา การพิจารณาเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศที่ผูกค่าเงินกับเงินดอลลาร์ฯ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของนักลงทุนตลอดจนการระบายธุรกรรม Carry Trade และการปรับการถือครองสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ฯ ของจีน เป็นต้น

"แนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ฯ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง และอาจสร้างแรงกดดันให้ค่าเงินสกุลหลักตลอดจนสกุลเงินในภูมิภาคซึ่งรวมถึงเงินบาท ต้องปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถือเป็นผลกระทบทางตรงที่เกิดขึ้นกับภาคส่งออกของไทย และเป็นโจทย์ที่มีความท้าทายในการรักษาเสถียรภาพให้กับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกของไทย"

นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ยังส่งผลข้างเคียงให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการโยกย้ายเงินลงทุนของนักลงทุนออกจากสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ฯ เข้าสู่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมัน ซึ่งการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางด้านพลังงานได้ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย ผ่านต้นทุนการผลิต ค่าขนส่ง ตลอดจนค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การรับมือกับการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ฯ จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญของเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของทางการไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=204411

news21/11/07

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 21, 2007 8:45 pm
โดย chartchai madman
ต่างชาติขายหุ้นไม่เลิก วันนี้อีกเกือบ 4.0 พันล้านบาท เฉพาะสัปดาห์นี้ขายแล้ว กว่า 1.0 หมื่นล้านบาท

Posted on Wednesday, November 21, 2007

ต่างชาติ ขายปรับพอร์ต อีกเกือบ 4.0 พันล้านบาท หนุนยอดขายสุทธิเดือนนี้ ทะลุ 3.4 หมื่นล้านบาทแล้ว ขณะที่ยอดซื้อสะสมทั้งปี วูบเหลือ 7.4 หมื่นล้านบาท เฉพาะสัปดาห์นี้ ยอดขายทะลุ 1.0 หมื่นล้านบาท

ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2550
(หน่วย / ล้านบาท)


ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 10,789.10 ขาย 8,109.36 รวม ซื้อสุทธิ 2,679.74
สถาบันในประเทศ ซื้อ 4,783.86 ขาย 3,504.23 รวม ซื้อสุทธิ 1,279.63
ต่างประเทศ ซื้อ 4,138.73 ขาย 8,098.10 รวม ขายสุทธิ 3,959.37

ยอดสะสม ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2550 (หน่วย / ล้านบาท)

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 157,094.50 ขาย 129,827.56 รวม ซื้อสุทธิ 27,266.94
สถาบันในประเทศ ซื้อ 55,831.60 ขาย 48,876.44 รวม ซื้อสุทธิ 6,955.16
ต่างประเทศ ซื้อ 66,791.80 ขาย 101,013.90 รวม ขายสุทธิ 34,222.10

ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550 (หน่วย / ล้านบาท)

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 1,956,543.50 ขาย 2,019,353.01 รวม ขายสุทธิ 62,809.51
สถาบันในประเทศ ซื้อ 537,997.25 ขาย 549,917.11 รวม ขายสุทธิ 11,919.86
ต่างประเทศ ซื้อ 1,302,962.06 ขาย 1,228,232.69 รวม ซื้อสุทธิ 74,729.37  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news22/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 22, 2007 10:54 am
โดย chartchai madman
สนช.มติเอกฉันท์ พรบ.หลักทรัพย์

โพตส์ทูเดย์ สนช.มติเอกฉันท์ผ่านร่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ติงแค่ให้ผู้สอบบัญชีทำหน้าที่มากเกินไปในการตรวจสอบ


สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติรับหลักการวาระแรก ร่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับ...) พ.ศ... ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยมติเอกฉันท์ 42 เสียง จากผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 42 คน และมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) 22 คน มาพิจารณาผลักดันเข้าสู่วาระอื่นๆ

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ผ่านวาระแรกโดยง่ายดาย มีผู้อภิปรายเพียงคนเดียว คือ นายไพศาล พืชมงคล

นายไพศาล กล่าวว่า ที่แสดงความคิดเห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของผู้สอบบัญชี ที่ตรวจสอบบัญชีของบริษัทจดทะเบียนที่ระบุให้แจ้งข้อมูลความผิดปกติ หรือการกระทำทุจริตของกรรมการผู้จัดการหรือผู้บริหาร ให้ผู้สอบบัญชีแจ้งข้อมูลที่ตรวจพบต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพราะจะทำให้ผู้สอบบัญชีทำงานขัดกับหลักการตามวิชาชีพการบัญชี ที่ห้ามเปิดเผยข้อมูลต่อบุคคลอื่นๆ ยกเว้นแจ้งไว้ในงบการเงิน

นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ครม.ได้แก้ไขแล้ว โดยให้ผู้สอบบัญชีแจ้งต่อคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบจะแจ้ง ก.ล.ต.เอง

ขณะเดียวกัน สนช.มีมติเอกฉันท์ด้วยเสียง 39 เสียง ผ่านความเห็นชอบรับร่าง พ.ร.บ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ฉบับที่...พ.ศ... ในวาระแรกไปพร้อมกัน โดยให้มี กมธ.ชุดเดียวกันในการพิจารณา เพราะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกัน

ทั้งนี้ หลักการร่าง พ.ร.บ.มีหลักการสำคัญเพื่อแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.2546 เพื่อกำหนดให้อำนาจหน้าที่บางประการของคณะกรรมการ ก.ล.ต.เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=204970

news22/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 22, 2007 12:57 pm
โดย chartchai madman
แรงขายต่างชาติกดดันตลาดหุ้นทั่วเอเชีย

22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 05:00:00

สภาพตลาดวันวาน : ภาคเช้า ความกังวลต่อการดิ่งลงอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นในภูมิภาค และการดีดขึ้นเข้าใกล้ราคา 100 ดอลลาร์สหรัฐ ของราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า รวมทั้งแรงขายต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้มีแรงขายหุ้นพื้นฐานในกลุ่มหลักๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : จากวันก่อนกดดันให้ดัชนีลดลงเกือบ 10 จุด แม้จะมีแรงซื้อเก็งกำไรหนุนให้ดัชนีกระเตื้องขึ้นมาที่บริเวณ 829 จุดได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ขนส่ง รวมทั้งหุ้น PTTCH และ ADVANC ส่งผลให้ดัชนีหลุดจากแนวรับที่บริเวณ 820 จุดลงมา และปิดตลาดที่ระดับ 819.61 จุด ลดลงจากวันก่อน 1.26% เช่นเดียวกับทิศทางของตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ลดลงทุกตลาด อย่างไรก็ดียังคงมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กในกลุ่มเหล็กค่อนข้างคึกคักต่อเนื่องจากวันก่อน

ภาคบ่าย  : เปิดการซื้อขายช่วงบ่าย ตลาดยังปรับตัวลดลงจากแรงขายในหุ้นกลุ่ม SET 50 ต่อเนื่อง โดยความกังวลในเศรษฐกิจสหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์ ที่อ่อนตัวรุนแรงกดดันหุ้นทั่วเอเชีย และดูเหมือนตลาดจะขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน โดยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไม่ได้ช่วยพยุงหุ้นกลุ่มพลังงานเลย ทำให้ตลาดปิดที่จุดต่ำสุดของวันที่ 807.58 จุด ลดลง 22.47 จุด หรือ 2.71% ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในหุ้น PTT (ลบ 4.3%), PTTEP (ลบ 1.4%) และ SCC (ลบ 1.7%) ตามลำดับและมีปริมาณซื้อขายรวม 19,711 ล้านบาทลดลงจากวันก่อน โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 3,959 ล้านบาท และขายสุทธิไปแล้ว 34,222 ล้านบาทในเดือนพ.ย.นี้

แนวโน้มตลาด    :  ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญๆ ต่อไปนี้

1. ทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ  :  แรงกดดันจากความกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ ได้ออกมาแถลงการณ์ปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2551 ลงจากเดิม 2.5-2.75% เหลือประมาณ 1.8-2.5% เนื่องจากภาวะตกต่ำของตลาดที่อยู่อาศัย ความตึงตัวในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารและราคาน้ำมันที่สูง ทำให้หลายสถาบันต้องปรับลดประมาณการผลประกอบการของธุรกิจต่างๆลง จึงส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทต่างๆ ในเกือบทุกตลาด ในระยะสั้นความกังวลดังกล่าว คงจะกดดันตลาดหุ้นหลักๆ ต่อไปอีกสักระยะ จนกว่าธนาคารกลางสหรัฐจะออกมาส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมงวดเดือน ธ.ค. นี้

2. แรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบ : การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าจนเข้าใกล้ระดับราคา 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์สร้างความกังวลต่อแรงกดดันด้านระดับราคาสินค้าและบริการที่จะปรับเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งจะทำให้ภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนรวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน  และจะส่งผลกระทบไปถึงผลประกอบการของอุตสาหกรรมผู้ใช้น้ำมันและเชื้อเพลิงต่างๆ ด้วย จึงต้องติดตามปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า โดยเฉพาะผลการประชุมของกลุ่มโอเปคในวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณอุปทานน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐ ซึ่งหากเพิ่มขึ้นตามคาดก็อาจจะกดดันให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าอ่อนตัวลงบ้าง

3. แรงขายของนักลงทุนต่างชาติ :   แนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการแข็งค่าขึ้นของเงินเยน รวมทั้งความกังวลต่อการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลก จะยังคงกดดันให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้น จนกว่าจะมีปัจจัยบวกสำคัญๆ เข้ามาช่วยเกื้อหนุนตลาดหุ้นบ้าง ซึ่งในระยะสั้นยังไม่ปรากฏสัญญาณที่ชัดเจนของปัจจัยบวกใหม่ๆ โดยตลาดหุ้นปรับลดลงถึง 42 จุดและต่างชาติขายสุทธิ 11,225 ล้านบาทในสัปดาห์นี้

จากประเด็นข้างต้น คาดว่าตลาดหุ้นวันนี้ยังคงมีแนวโน้มผันผวนตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ และแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยดัชนีจะแกว่งตัวระหว่างกรอบแนวรับบริเวณ 790 -795  จุด  กับแนวต้านบริเวณ 815-820 จุด

กลยุทธ์ นักลงทุนระยะสั้น  - ขายทำกำไรหรือชะลอการลงทุนในระยะสั้น

     นักลงทุนระยะยาว - ถือต่อ หรือทยอยซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารที่บริเวณแนวรับ

Stock Hilight :โกสินทร์  ศรีไพบูลย์

ที่มา:บล.ยูโอเคย์เฮียนฯ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=204575

news22/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 22, 2007 1:01 pm
โดย chartchai madman
ส.อ.ท.ชี้ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ต.ค.ยังทรงตัว เผยยอดผลิตรถ10เดือนแรกเพิ่ม6.24% โดย กระแสหุ้น

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุ ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม ยังคงทรงตัว เพราะการเมืองไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ มั่นใจอีก 3 เดือนหลังเลือกตั้งเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว พร้อมแนะพรรคประชาธิปัตย์ ทบทวนนโยบายเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ด้านโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์เผยยอดผลิตรถยนต์ 10 เดือนแรก เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.24

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนตุลาคม 2550 จำนวน 542 ตัวอย่าง ครอบคลุม 35 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ระดับ 81.9 ถือว่าอยู่ในระดับที่ทรงตัว ซึ่งจากสภาพแวดล้อมต่างๆไม่มีความเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขให้ดีขึ้น สาเหตุจากการเมืองไม่ชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ค่าเงินบาท และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง

ทั้งนี้ผู้ประกอบการคาดว่าอีก 3 เดือนข้างหน้า หลังการเลือกตั้งภาพรวมอุตสาหกรรมจะดีขึ้น เพราะรัฐบาลใหม่จะมีความชัดเจนและมั่นคงด้านนโยบายเศรษฐกิจ ที่จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับคืนมา และยอดคำสั่งซื้อจะเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะยอดคำสั่งซื้อในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศการจับจ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ต้องการให้มีการเลือกตั้งเพื่อให้รัฐบาลใหม่เร่งแก้ปัญหา เอาใจใส่ และพัฒนาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง และดูแลราคาน้ำมันให้คงที่ ผ่อนผันการกำหนดมาตรฐานในน้ำมันเบนซิน ควบคุมค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบสำหรับสินค้าขายในประเทศ ที่สำคัญตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาค่าใช้จ่ายพื้นฐานของประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ

ขณะเดียวกันนายสันติ กล่าวถึงนโยบายหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หากได้เป็นรัฐบาลว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องพิจารณาให้ดี และขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่หากมีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันต่อเนื่อง แม้ว่าจะใช้หนี้กองทุนน้ำมันหมดแล้ว ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า จะเก็บเงินไปใช้ประโยชน์ในด้านใด เช่น การมีระบบขนส่งมวลชนที่เพียงพอ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในช่วงน้ำมันแพง

โดยเห็นว่า การที่กลุ่มโอเปกออกมาระบุว่า ราคาน้ำมันอาจปรับตัวขึ้นไปถึง 200 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลได้ หากเกิดสงครามระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านนั้น มองว่าเป็นการตั้งสมมุติฐานเท่านั้น แต่หากเกิดสงครามขึ้นจริงมีโอกาสเป็นไปได้ และจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าขนส่งและค่าประกันความเสี่ยง แต่ทั้งนี้เชื่อว่า องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในฐานคนกลาง จะเข้ามาดูแลปัญหาดังกล่าวได้

ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยจำนวนการผลิตและส่งออกรถยนต์ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2550 คือ ระหว่างเดือนมกราคม - ตุลาคม พบว่ามีจำนวนการผลิต 1,057,251 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการผลิตเพื่อส่งออกจำนวนกว่า 5.6 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 25.88 หรือคิดเป็นมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 25.12 และเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศจำนวนกว่า 4.9 แสนคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 9.86 เนื่องจากความต้องการในต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น
       
อย่างไรก็ตาม จากยอดการผลิตรถยนต์ในช่วง 10 เดือนแรกของปีที่เกิน 1 ล้านคัน ทำให้มั่นใจว่ายอดการผลิตรถยนต์ในปีนี้ จะได้ 1,257,000 คัน ตามที่ตั้งเป้าไว้
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO

news22/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 22, 2007 8:22 pm
โดย chartchai madman
คลัง ยืนยัน ตัวเลขส่งออก+นำเข้าตุลาคม ตอกย้ำเศรษฐกิจฟื้นตัว อาจไม่ปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, November 22, 2007

นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐปีหน้า ลงมาจาก 2.5 - 2.75% เหลือเพียง 1.8 - 2.5% ว่า จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุด ที่การส่งออกเดือนตุลาคม ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งในแง่อัตราขยายตัวที่สูงถึง 26.7% และมูลค่าการส่งออกที่ทะลุ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับการนำเข้า ที่ขยายตัวทำสถิติสูงสุดในรอบปีนี้เช่นกัน ด้วยอัตราขยายตัว 20.24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยการส่งออกขยายตัวมากในกลุ่มเอเชียตะวันออกด้วยกัน ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐขยายตัวดีขึ้นจากช่วง 2 - 3 เดือนก่อนหน้า ส่วนการนำเข้าขยายตัวในสินค้าทุนและวัตถุดิบ รวมถึงเครื่องจักรใหม่ แสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจเอกชน เริ่มมีการลงทุนมากขึ้น ดังนั้น หากสถานการณ์การส่งออก และการนำเข้าเดินหน้าในลักษณะนี้ไปต่อเนื่องในเดือนพฤศจิกายน และเดือนธันวาคม จะชี้นำให้เห็นได้ว่า การลงทุนเริ่มฟื้นตัวแล้ว และเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้าให้ขยายตัวได้ในเป้าหมาย 5.0% อย่างที่ทุกฝ่ายอยากเห็น

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ย้ำด้วยว่า ปัญหาความเชื่อมั่นที่หลายฝ่ายมีความกังวล จากการติดตามและตรวจสอบข้อมูล ก็พบว่า ปัญหาความเชื่อมั่นเกิดในบางอุตสาหกรรมเท่านั้น และส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลัก (Labor Intensive) และอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจ มาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น

ขณะเดียวกัน เมื่อสอบถามข้อมูลไปยังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง (สศค.) เพิ่มเติม ในเบื้องต้น พบว่า สศค.อาจไม่ปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปีหน้าลงจากเป้าหมาย 5.0% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป น่าจะควบคุมให้อยู่ในกรอบ 3.5% สำหรับประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ ก็ไม่น่าปรับเปลี่ยนแย่ไปกว่าตัวเลขเดิม ที่ 3.8 - 4.3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี ไม่เกินกว่า 2.5%

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจจะออกมาอย่างไร อดใจรอบทสรุปอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 27 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

news22/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 22, 2007 9:01 pm
โดย chartchai madman
ธุรกิจหนาวศก.ปี51สุดเสี่ยง  
เชื่อปีหนู เศรษฐกิจไทยยังไม่พ้นปากเหว เจ้าพ่อศรีไทย "สนั่น อังอุบลกุล เลขาธิการสมาคมนิคมอุต ฯ ชี้เหตุใหญ่ เสถียรภาพการเมืองซ้ำเติม ปัจจัยน้ำมัน-บาทแข็ง ด้านหอการค้านอก นายแบงก์ประเมินจีดีพีประเทศโตไม่ถึง 4-4.5% กลับสู่ปีของการปรับคุณภาพคน และบริการองค์กรแทนการเติบโต


ปัจจัยลบที่รุกเร้าเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงจะส่งผลต่อกำไรในงวด 9 เดือนที่ผ่านมาของบริษัท หากทว่าส่วนใหญ่ ยังเชื่อว่าแนวโน้มในไตรมาสสี่และปี 2551 ภาพการทำธุรกิจไม่น่าจะสดใสนัก จากการสำรวจของ"ฐานเศรษฐกิจ" พบว่าผู้ประกอบการ-ธุรกิจ ส่วนใหญ่ประคองการโตในอัตราทรงตัว และบางแห่งที่เริ่มปรับเป้าธุรกิจ ตลอดจนหากลยุทธ์ใหม่ ๆออกมาสู้วิกฤต

++เจ้าพ่อศรีไทยฯห่วงสถานการณ์ปีหน้า

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) (บมจ. ) กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายปี2550 ว่าน่าจะทรงตัวอยู่ เพราะมีเงินเลือกตั้งเข้ามา แต่ภาพใหญ่ของกำลังซื้อไม่คึกคักนัก ทำให้รายได้ในช่วง 2เดือนสุดท้ายของบริษัทน่าจะต่ำกว่าเป้าเล็กน้อยจากที่ตั้งไว้ 4,690 ล้านบาท เหลือ 4,680 ล้านบาท

"ศรีไทย ฯได้ปรับเป้าไปครั้งหนึ่งแล้ว เพราะครึ่งปีแรกตลาดไม่ดี จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 4,780 ล้านบาท จึงลดเหลือ 4,690 ล้านบาท และสิ้นปีได้ยอดขายอยู่ที่ 4,680 ล้านบาท และมองภาพรวมยอดขายทั้งนี้ น่าจะขยายเพียง 3% เทียบกับปี2549 ที่มียอดขาย 4,540 ล้านบาท "

สำหรับเศรษฐกิจปี2551 เศรษฐกิจจะอยู่ในบรรยากาศที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการส่งออก เพราะต้นทุนหลัก "น้ำมัน"ยังสูงต่อเนื่อง ขณะที่บาทยังแข็งค่าต่อไป แต่สำหรับศรีไทย ฯยังรักษาสัดส่วนส่งออกไว้ที่ 20% เหมือนเดิม คิดเป็นฐานรายได้จากการส่งออก1,000 ล้านบาทจากรายได้รวม 4,680 ล้านบาท

++เอกชนไม่มั่นใจการเมืองหลังเลือกตั้ง

" นักลงทุนยังไม่มั่นใจเสถียรภาพทางการเมืองหลังเลือกตั้งในขณะที่การลงทุนโดยรวมยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่มาก จังหวะที่เป็นวิกฤตนี้ บริษัทจะพลิกเป็นโอกาสโดยใช้เวลาในปี 2551 ทำการปรับเทคโนโลยีการผลิตด้านเครื่องจักรใหม่ทั้งระบบโดยเฉพาะเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยจะใช้เงินทุนระยะ3 ปีตั้งแต่ปี2551-2553 จำนวน 1,400 ล้านบาท การลงทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทลดการใช้พลังงานได้ถึง40% และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้จะมีคุณภาพมากขึ้นทำให้สินค้าต่อชิ้นมีมูลค่าสูงขึ้น" นายสนั่น กล่าว

ด้านนายทวิช เตชะนาวากุล เลขาธิการสมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่าหากเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยช่วงท้าย ภาพรวมก็ไม่ต่างกับการตะเกียกตะกายให้พ้นปากเหว

จากเดิม ซึ่งคนคาดหวังว่าเมื่อมีการเลือกตั้งเศรษฐกิจจะฟื้น มาถึงตอนนี้คนก็มองว่าหลังเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะมีระยะเวลาการทำงานสั้น อยู่ไม่ครบเทอมเพราะการเมืองระบบผสม ความขัดแย้งมีสูง ดังนั้นเศรษฐกิจไทยจะพ้นปากเหวได้ก็แค่ช่วงฮันนีมูนเท่านั้น

"เศรษฐกิจปี 2551 ยังน่าห่วงอยู่ การที่รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลงทุน เช่น ดึงทุนทางตรงจากต่างประเทศ Foreign Direct Investment:FDIเข้ามาก็อาจจะเหนื่อย เพราะนักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยยังมีข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ลงทุนที่ถูกจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมเอกชนรายใหญ่ๆเพียงไม่กี่ราย ทำให้ราคาที่ดินสูง นอกจากนี้การพัฒนาคนของไทยโดยเฉพาะวิศวกร ช่างเทคนิค และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ยังล้มเหลวหรือมีรองรับไม่เพียงพอ

++หอต่างชาติเชื่อศก.ปี51โตต่ำกว่า 4.5%

นายปีเตอร์ จอห์น แวน ฮาเรน ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในไทย กล่าวในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ เห็นสอดคล้องกับคาดการณ์ของหลายสถาบันเช่น ธนาคารโลก และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(เอดีบี)ที่มองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่า 4.5% และในระยะสั้นไม่น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น เห็นได้จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลง และยอดขายสินค้าในหลายธุรกิจก็มีการปรับเป้าลดลงเช่นกัน อาทิ ธุรกิจรถยนต์ โรงแรม ร้านอาหาร การส่งออก ทำให้ขาดสภาพคล่อง ส่วนภาครัฐก็ยังไม่ปล่อยงบประมาณออกมาใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นเมกะโปรเจ็คต์ โครงการด้านน้ำ และอื่นๆ อีกทั้งยังมีปัญหาซับไพรม์ที่กระทบไปทั่วโลกจะทำให้สภาพคล่องโลกลดน้อยลง โอกาสที่จะไหลเข้ามาลงทุนในไทยก็จะลดลงตามไปด้วย

"นักลงทุนต่างชาติมีความรู้สึกดีขึ้นมาก หากไทยจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคมนี้และกลับคืนสู่ประชาธิปไตย และหวังว่าหลังปีใหม่น่าจะเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้น"

++นายแบงก์คาดสินเชื่อทั้งระบบโต4-5%

ในมุมมองของผู้บริหารสถาบันต่อแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้า และเป้าหมายทางธุรกิจ ซึ่งการขยายตัวของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขึ้นอยู่กับการเติบโตของจีดีพีนั้น

นายธวัชชัย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า การเติบโตโดยรวมของอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ในปี 2551 คงไม่เติบโตมากนัก เพราะหากเศรษฐกิจไม่โตก็หมายถึงการลงทุนไม่ค่อยดี การบริโภคลดลง ซึ่งทั้ง 2 ตัวเป็นปัจจัยที่กระทบต่อการขยายตัวของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ การขยายตัวของสินเชื่ออาจจะเติบโตได้ที่ 4-5% ซึ่งวิสัยของการเติบโตของสินเชื่อ 3-5 % เป็นระดับที่ธนาคารพาณิชย์ทำได้ แต่ถ้ามองถึงการเติบโตเป็น 2 หลักหรือที่ 10% คงเป็นเรื่องยาก

ปีหน้าทุกธนาคารคงจะหันมาระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่าย และต้นทุน เน้นการทำให้ต้นทุนขององค์กรต่ำลงแต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พยายามเล่นเรื่องบุคลากรและการบริการมากกว่ามองเรื่องการเติบโตในปี 2551 เพราะปีหน้าแนวโน้มของส่วนต่างดอกเบี้ย(สเปรด)อาจจะลดลง แต่หนี้เสียเพิ่มขึ้น แต่คงไม่กลับไปเหมือนปี 2540 ซึ่งเป็นปีของการล่มสลาย แต่ 1-2ปีนี้ เป็นเรื่องของการฝืดเคือง

"ความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดในปีหน้าต่อเศรษฐกิจคือ ราคาน้ำมัน ซึ่งปัจจัยราคาน้ำมันไม่น่าจะหยุดอยู่แล้ว ส่งต่อการเติบโตและเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ทุกครั้งที่มีปัญหาราคาน้ำมันจะเกิดปัจจัยทั้ง 2 อย่างขึ้นพร้อมกัน คือ เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจตกต่ำ โดยรวมคิดว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าก็ไม่น่าจะดีมาก"

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยตั้งเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อไว้ที่ 5-6% ตามการเติบโตของจีดีพีที่คาดว่าในปีหน้าจะเติบโต 4-5% โดยที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังมีความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจปี 2551 คือ การเมือง แม้ว่าหลังการเลือกตั้งจะมีรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ แต่ภาครัฐก็คงไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด และหากยังมีปัญหาทะเลาะกันกันอยู่ จีดีพีที่ระดับ 4% ก็อาจไม่ถึง

++ห้าง-โรงแรมตจว.รุกปรับตัวสู้

ด้าน ร.ต.ท.สุชัย เก่งการค้า กรรมการผู้จัดการบริษัท กาดสวนแก้ว 2545 จำกัด ผู้ให้บริการศูนย์การค้าในนามอุทยานการค้ากาดสวนแก้ว และโรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์โรงแรมของบริษัทปีนี้ไม่ดีขึ้น ซึ่งควรจะเติบโตได้5-10% แต่ก็ไม่โต หรือจากรายได้ที่เคยได้เฉลี่ยต่อเดือน 26-29 ล้านบาท แต่ปีนี้ทำได้เพียง 22-24 ล้านบาท เท่านั้น คาดว่ารายได้ทั้งปีจะลดลงประมาณ10%

"แนวโน้มปีหน้า ทำท่าเหมือนจะดี แต่ดูแล้วก็ไม่ดี กลยุทธ์ของเราที่ใช้ก็คือไม่หยุดนิ่งจะต้องมีการปรับปรุงโรงแรมและพัฒนาธุรกิจใหม่ๆให้เกิดขึ้นในศูนย์การค้า ต้องตามกระแสให้ทัน ตามเทรนด์ให้ได้ ถ้าหลุดเทรนด์เมื่อไร ก็ล้าหลัง "

เช่นเดียวกับนายนพดล อานนทวิลาศ ประธานกรรมการบริษัท นพดลพานิช จำกัด ผู้จำหน่ายวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ว่า สถานการณ์ในปีนี้ไม่เอื้ออำนวยนัก ราคาน้ำมันปรับขึ้นฉุดให้การก่อสร้างหรือการลงทุนต่างๆชะลอลงไป โดยผลประกอบการปี 2549 บริษัทมียอดขายได้ 1,000 กว่าล้านบาท ปี 2550 คาดว่าจะลดเหลือ 800 กว่าล้านบาท

กลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัท 2551 จะเจาะกลุ่มเจ้าของบ้านเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับบ้านเดี่ยวมากขึ้น ส่วนจะเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้อย่างไรนั้น ภาพขณะนี้ยังไม่นิ่ง เว้นแต่จะแก้ปัญหากันเฉพาะหน้าไปก่อน

ด้าน บริษัท เสริมไทย (2003) จำกัด เจ้าของห้างเสริมไทย จังหวัดมหาสารคาม นายแพทย์กิตติศักดิ์ คณาสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการกล่าวว่า ยอมรับว่ากำลังซื้อในปี 2551 อาจจะลดลง เพราะหลายคนวิตกในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทางห้างพลิกทางออกชดเชยกำลังซื้อที่หายไปด้วยการสร้างความต่าง ทั้งในสินค้าและบริการ เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น และเพื่อเป็นการหาลูกค้าใหม่ ขยายฐานจากลูกค้าเดิม"

นอกจากนี้ในปีหน้าทางห้างยังมีแผนที่จะรีโนเวทห้างใหม่โดยใช้งบประมาณ 15 ล้านบาท โดยปรับพื้นที่ในส่วนดีพาร์ทเมนสโตร์และดึงแบรนด์ดังจากในกรุงเทพฯมาลงในห้าง ไม่ว่าจะเป็นแบล็คแคนยอน และอิออน เป็นต้น โดยตั้งเป้ายอดขายโดยรวมเติบโตประมาณ 10% เหมือนกับในปีนี้

นายสันติ คุณาวงศ์ กรรมการผู้จัดการห้างแฟรี่แลนด์ นครสวรรค์ กล่าวว่า สถานการณ์หลังเลือกตั้งปีหน้า เท่าที่ตนประมาณการก็คงไม่มีอะไรที่จะดีขึ้นมากนัก เพราะเศรษฐกิจไม่ได้อยู่ที่การเมืองเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เรื่องราคาน้ำมัน ฉะนั้นต่อให้รัฐบาลที่ดี แต่ถ้าราคาน้ำมันยังขึ้นอยู่อย่างนี้ จะให้เศรษฐกิจดีคงเป็นเรื่องยาก

"สิ่งสำคัญในขณะนี้ คือ ทุกคนต้องทำการบ้านให้หนัก เสนอสินค้าและบริการให้ตรงกับกลุ่มลูกค้า ฉะนั้นเป้ายอดขายของทางห้างอาจจะไม่ถึง แต่ในส่วนเป้ากำไร ก็อาจประสบความสำเร็จ โดยวางเป้ายอดขายไว้แค่ 5% เท่านั้น เพราะเท่าที่ตนมอง ลูกค้าอาจจะต้องออมเงินมากกว่านี้ เพราะสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างจะแย่"

++อัญมณี-ยาง ดาวรุ่งธุรกิจ

อย่างไรก็ดี แม้แนวโน้มธุรกิจหลายตัวในปี2551 ยังไม่สดใสนัก แต่สำหรับบจก. บิวตี้เจมส์กรุ๊ป ผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับรายใหญ่ นายสุริยน ศรีอรทัยกุล กรรมการผู้จัดการมส์กรุ๊ป กล่าวว่าบริษัทยังมียอดขายที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ จากปัจจัยหลักของราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปรับตัวสูงขึ้นมาก ประกอบกับมีนักลงทุนหันมาเก็งกำไรทองคำแทนน้ำมัน และบริษัทได้ขอลูกค้าปรับราคาสินค้าขึ้น

สำหรับในปีหน้าคาดยอดขายจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5%จากปีนี้ที่ประมาณว่าจะสร้างยอดขายได้7,650 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 7,500 ล้านบาทเมื่อต้นปี โดยมีปัจจัยบวกจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA)ที่สินค้าอัญมณีฯได้รับการลดภาษีเหลือ 0% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้การส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป คาดจะสั่งสินค้ามากขึ้น

นายหลักชัย กิตติพล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าคาดว่ายอดขายของบริษัทปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กน้อย โดยทำได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 21,000 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทแข็ง ส่วนปีหน้าได้ตั้งเป้าไว้ที่ 22,000 ล้านบาท เพราะความต้องการใช้ยางทั่วโลกเพิ่มขึ้น  
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2272

news22/11/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 22, 2007 9:04 pm
โดย chartchai madman
คลังรีดแวต-ภาษีเงินได้ + ขยายฐานรายได้เข้ารัฐ/รับมือประชานิยมรัฐบาลหน้า  
เปิดโมเดล สรรพากรหาวิธีนำรายได้เข้ารัฐ รองรับนโยบายรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง พร้อมเรียกประชุมแผนจัดเก็บภาษีปีงบฯ51 เน้นความถูกต้องและลดความซ้ำซ้อน พรรคใหญ่ไม่แตะภาษีมูลค่าเพิ่ม ชูธงขยายฐานภาษีนิติบุคคล เร่งหารายได้จากท่องเที่ยว ขณะที่"สมหมาย"ขุนคลังขิงแก่ ชี้ขยายฐานภาษีอาจยากและเหนื่อยฟรี อดีตรมว.คลัง-นักวิชาการแนะปฏิรูปโครงสร้างภาษี และแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือยุบทิ้งไปเลย หลังขยายฐานจัดเก็บภาษีและรีดภาษีรสก.มากแล้ว

ในการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวนโยบายซึ่งเกือบทุกพรรคจะเน้นจุดขายไปที่นโยบายประชานิยม จนเกิดการตั้งข้อสังเกตใน 2 ประเด็นใหญ่ ว่า 1.จะ กระทบรายจ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น 2. ไม่มีนโยบายหารายได้ที่เป็นรูปธรรม

"ฐานเศรษฐกิจ"ได้สอบถามหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถึงแนวทางหารายได้เพื่อให้เพียงพอกับรายจ่าย ซึ่งพบว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ เช่น ประชาธิปัตย์ พลังประชาชน และพรรคชาติไทย มีนโยบายเพิ่มรายได้จากการขยายฐานการเก็บภาษีจากธุรกิจ ซึ่งเป็นภาษีทางตรง เพิ่มสัดส่วนเงินนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว

****พรรคใหญ่ไม่แตะภาษีVAT

นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า การเสนอให้มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่ม ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อภาคประชาชนและเอกชน ซึ่งในทางปฏิบัติไม่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะสถานการณ์ขณะนี้ไม่ใช่จังหวะที่จะเพิ่มภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องแบกภาระค่าครองชีพสูงอยู่แล้ว แต่จะต้องพิจารณาหารายได้จากการขยายฐานจัดเก็บภาษีให้กว้างขึ้น จากคนหรือกิจการที่ควรจ่ายภาษีแต่ไม่จ่าย ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว

"นโยบายภาษีเป็นเครื่องมือหนึ่งในการหารายได้เข้ากระเป๋ารัฐ แต่ประสิทธิภาพในการใช้ภาคเอกชนจะเหนือกว่า ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีได้ต้องให้เงินอยู่ในกระเป๋ารัฐน้อยที่สุด ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี การปรับเพิ่มภาษีเป็นความคิดที่ผิด"

ทางด้าน ร.อ.สุชาติ เชาววิศิษฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะทีมเศรษฐกิจของพรรคชาติไทย กล่าวว่า ปัจจุบันฐานะการคลังไม่แข็งแรงพอในขณะที่เศรษฐกิจยังง่อนแง่น ดังนั้น

นโยบายทางการคลังและการเงินที่พรรคจะนำมาใช้ จะเน้นนโยบายที่สามารถปฎิบัติได้จริง คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์และต้องไม่พาประเทศไปสู่ความยุ่งยาก เช่น การดำเนินนโยบายการคลังจึงต้องเป็นในลักษณะอนุรักษ์นิยมแต่ไม่ถึงกับสุดกู่

"แนวทางที่กระทรวงการคลังเสนอให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงที่เศรษฐกิจง่อนแง่น มันก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีนโยบายการคลังที่เอื้ออำนวยให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจและลงทุนได้ เพื่อทำให้ภาคธุรกิจมีรายได้และเอื้อต่อการจ่ายภาษีเข้ารัฐ หรือเป็นการหารายได้ของรัฐในรูปของเงินภาษีอากร รวมทั้งดำเนินนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว"

ขณะที่นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความเห็นในการหารายได้เพิ่มของรัฐบาล โดยเพิ่มสัดส่วนเงินนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจว่า หากมีความจำเป็นจริงในรัฐบาลหน้าก็สามารถดำเนินการได้ แต่คงไม่สามารถเรียกเม็ดเงินเพิ่มได้มากนัก เนื่องจากปัจจุบันรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีการนำส่งรายได้สูงอยู่แล้ว ส่วนแนวทางการหารายได้เพิ่มจากภาษีอากรในกรณีที่ไม่เพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็มีความเป็นไปได้ยาก เพราะระดับการจัดเก็บภาษีอื่นๆของกรมสรรพากรขณะนี้ขยายฐานมากพอสมควรแล้ว ดังนั้นการจะขยายฐานให้เพิ่มขึ้นกว่านี้คงเป็นไปได้ยากมาก และเหนื่อยฟรี

****คลังชงขึ้นVAT-เก็บภาษีทางตรง

นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า แนวโน้มโครงสร้างการจัดเก็บภาษีในอนาคตนั้น ต้องจัดเก็บภาษีทางตรง คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคลเพิ่มมากขึ้น โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ปัจจุบันมีการเก็บภาษีเฉลี่ยอยู่เพียง 5% จากอัตราภาษีที่เก็บได้สูงสุดถึง 37% เนื่องจากมีการลดหย่อนภาษีให้จำนวนมาก เช่นเดียวกับภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งในระยะต่อไปจะต้องพิจารณาว่าควรจะกำหนดให้มีอัตราเท่าใดจากปัจจุบันเก็บที่ 30% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และสามารถรองรับกับภาวการณ์ในอนาคตได้ด้วย

"การจะปรับเพิ่มอัตราภาษีรายการใดหรือไม่นั้น เป็นนโยบายที่รัฐบาลใหม่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ กรมสรรพากรมีหน้าที่ช่วยคิดว่าจะมีช่องทางจัดเก็บภาษีจากส่วนใด เช่น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 8% ก็เป็นแนวทางส่วนหนึ่งที่อยู่ในแผนพัฒนาภาษีระยะ10ปีของกรมสรรพากรที่ได้เคยเสนอให้กระทรวงการคลังมาก่อนหน้านี้ " (ปัจจุบันสัดส่วนการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็น 40% ของรายได้จากการจัดเก็บภาษีทั้งหมด )

****กรอบเก็บภาษีปี51ลดซ้ำซ้อน

ทางด้าน นายสาธิต รังคสิริ รองอธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผย ในเรื่องเดียวกันว่าหลังจากที่รัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วคงต้องพิจารณาว่าจะนำเม็ดเงินจากส่วนใดบ้างเพื่อใช้จ่ายตามนโยบายนั้นๆ ซึ่งหากสามารถจัดหาและวางแนวทางจัดเก็บรายได้ในส่วนอื่นๆเพียงพอ ทางหน่วยงานจัดเก็บรายได้ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการอะไรเพิ่มเติม แต่หากไม่สามารถจัดหารายได้จากส่วนอื่นๆได้ ก็จะต้องมาพิจารณาถึงการกู้เงินก่อน ซึ่งส่วนนี้ต้องเป็นการกู้เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว เพื่อก่อให้เกิดผลผลิตที่เพิ่มขึ้น หรือส่งเสริมการใช้จ่ายของภาคเอกชนด้วย

ขณะเดียวกัน รองอธิบดีกรมสรรพากร ยังกล่าวถึงการประชุมสัมมนาสรรพากรจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 12-13 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเพื่อมอบนโยบายและทิศทางในการบริหารการจัดเก็บภาษีประจำปีงบประมาณ 2551 โดยเน้นเรื่องหลักความถูกต้องและเป็นธรรม รวมทั้งพยายามชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับผู้เสียภาษี ตลอดจนการปรับลดค่าปรับให้ด้วย

"คาดว่า การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2551 จะสามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย 1,208,800 ล้านบาท คิดเป็น 80.9% ของประมาณการรายได้รวมทั้งสิ้น 1,495,000 ล้านบาท จากสมมติฐานที่คาดว่าหากจีดีพีปี 2551 อยู่ที่ 5% และอัตราเงินเฟ้อ 3% จะทำให้คาดการณ์การเติบโตของการจัดเก็บรายได้ที่ 8% ต่อปีจะเท่ากับอัตราการจัดเก็บรายได้ต่อจีดีพี 1:1 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก"

นอกจากนี้ แนวทางการจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2551 จะเน้นลดความซ้ำซ้อนของการจัดเก็บภาษี ด้วยการจัดหมวดหมู่ในการเสียภาษีใหม่ให้เกิดความคล่องตัวเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียภาษีและการทำงานของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร เช่น ภาษีเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน ปัจจุบันมีการจัดเก็บหลายรายการ ประกอบด้วย ภาษีบำรุงท้องที่ , ภาษีเทศบาล , ค่าธรรมเนียมการโอน , ค่าจดจำนอง , อากรแสตมป์ , ภาษีหัก ณ ที่จ่าย , ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล หากสามารถรวมเอาการชำระภาษีทั้งหมดนี้มารวมไว้ในจุดเดียวกันในการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง ก็จะทำให้ผู้เสียภาษีมีความสะดวกมากขึ้นและเป็นการง่ายต่อการชำระภาษี รวมทั้งไม่เกิดความผิดพลาดในการคำนวณภาษี

อนึ่ง ปัจจุบันกรมสรรพากรอยู่ระหว่างปรับปรุงการจัดเก็บภาษีสรรพากรให้มีความชัดเจน สามารถเข้าใจง่ายและตรงกัน โดยรวมเรื่องที่เกี่ยวข้องกันเข้าไปอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน และกำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงมาตรการภาษีหลายเรื่อง เช่น การอนุญาตให้สามีและภรรยาสามารถแยกยื่นภาษีได้ทุกกรณี จากปัจจุบันที่ภรรยาต้องนำรายได้มายื่นเสียภาษีรวมกับสามีเท่านั้น , การหักค่าใช้จ่ายของบุคคลธรรมจาก 40% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เป็นไม่เกิน 60% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท , การเพิ่มประเภทการบริจาคเพื่อการศึกษา ที่สามารถนำไปหักลดหย่อนทางภาษีได้ 2 เท่า เช่น การให้ทุนการศึกษา การให้ทุนวิจัย จากเดิมที่สามารถลดหย่อนได้เฉพาะการบริจาคอุปกรณ์ทางการศึกษาเท่านั้น , การเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับบุคคลที่เลี้ยงดูคนพิการ และจะมีการพิจารณาแก้ไขการยกเว้นภาษีสำหรับเงินลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว(LTF) และการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF)ด้วย เนื่องจากบุคคลที่มีรายไดสูงๆเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์

***รสก.ส่งรายได้เดือนแรกเกินเป้า

ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังรายงานผลการจัดเก็บรายได้เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 ( เดือนตุลาคม 2550) ว่าจัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 116,093 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณจำนวน 1,521 ล้านบาท คิดเป็น 1.3 % โดยในส่วนของการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรจัดเก็บได้ 73,085 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 138 ล้านบาทเป็นผลจากภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 831 ล้านบาท หรือสูงกว่าประมาณการ5.5%

ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จัดเก็บได้ 14,904 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการซึ่งตั้งไว้ที่ 15,020 ล้านบาท ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ 38,797 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการที่ 39,168 ล้านบาท และภาษีธุรกิจเฉพาะจัดเก็บได้ 2,878 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 3,106 ล้านบาท

ด้านนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยถึง รายได้นำส่งของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2551 ในเดือนตุลาคม 2550 ซึ่งเป็นเดือนแรกว่า รัฐวิสาหกิจสามารถนำส่งรายได้ให้กระทรวงการคลังสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.22% จากเดิมตั้งไว้ 23,012.04 ล้านบาท นำส่งจริงได้ 23,752.50 ล้านบาท หรือสูงกว่าที่ประมาณการ 740.46 ล้านบาท โดยรัฐวิสาหกิจหลักที่นำส่งรายได้ประจำเดือนตุลาคม 2550 ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 8,913 ล้านบาท บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จำนวน 7,338.75 ล้านบาท และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 2,319.21 ล้านบาท

****แนะปฏิรูปโครงสร้างภาษี-รสก.

ด้านนายบดี จุณณานนท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความเห็นในการจัดเก็บรายได้ว่า รัฐบาลไม่ควรปรับเพิ่มอัตราภาษีในขณะนี้ เพราะเท่ากับเป็นการบล็อกภาคธุรกิจในเรื่องของการขยายการลงทุน หากปรับเพิ่มภาษี อาจทำให้รัฐเก็บรายได้ในระยะสั้น แต่เมื่อเอกชนเกิดความเสียหายขึ้น จะกระทบต่อการจัดเก็บภาษีของภาครัฐในระยะยาว ดังนั้นการปรับโครงสร้างอัตราภาษีควรเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่รัฐบาลใหม่ควรใช้มาตรการทางภาษีที่เอื้อหรือส่งเสริมให้นักลงทุนและนักธุรกิจมั่นใจในการลงทุนหรือขยายกิจการ

นอกจากนี้มาตรการที่สำคัญ คือ เร่งรัดจัดการเงินภาษีรั่วไหลซึ่งมีอยู่ในวงกว้างของประเทศไทย และทางการยังไม่สามารถจัดการได้ โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากอัตราภาษีที่สูงทำให้มีการจงใจเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะการมีเจ้าหน้าที่ของรัฐรับทำบัญชีให้เอกชนและแนะนำให้เลี่ยงภาษีทั้งในรูปแบบที่ไม่ชำระภาษีเลย และการจ่ายภาษีในอัตราต่ำ ขณะเดียวกันต้องมีการขยายฐานภาษีที่ยังจัดเก็บในอัตราที่ต่ำอยู่

สอดรับกับความเห็นของ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่เห็นรัฐบาลใหม่ ควรจะใช้วิธีการปฎิรูปโครงสร้างภาษีด้วยการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดกแทนการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจและเป็นการกระจายรายได้ โดยที่รัฐบาลสามารถทำงบประมาณขาดดุลที่ 2-2.5% ต่อจีดีพีได้ต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปี เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนอีกแนวทางหนึ่งคือ รัฐบาลสามารถปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ โดยรัฐวิสาหกิจใดที่เอกชนสามารถทำได้ดีกว่าให้แปรรูป ส่วนรัฐวิสาหกิจใดที่ไม่จำเป็น รัฐบาลก็ควรพิจารณายุบทิ้ง เหลือไว้เพียงรัฐวิสาหกิจพื้นฐาน

ส่วนดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด เห็นว่าภาครัฐบาลยังสามารถหารายได้เพิ่มจากการปฏิรูปองค์กรรัฐวิสาหกิจ โดยรัฐวิสาหกิจใดที่ไม่มีความจำเป็นก็พิจารณาประกาศยกเลิกไป ส่วนรัฐวิสาหกิจใดที่ภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้ดีกว่าภาครัฐก็แปรรูปองค์กรให้เอกชนรับไปดำเนินงานต่อ โดยเหลือคงไว้เพียงรัฐวิสาหกิจที่มีความจำเป็น และมีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น

ส่วนช่องทางการจัดเก็บรายได้โดยปรับเพิ่มอัตราภาษีนั้น การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นช่องทางที่สามารถดำเนินการได้ง่ายที่สุด และสามารถจัดเก็บรายได้เข้ารัฐได้จำนวนมาก โดยทุกๆ 1% ของการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 40,000 ล้านบาท ขณะที่แนวทางการจัดเก็บภาษีที่ดินและภาษีมรดกนั้น ในทางปฏิบัติภาครัฐจะดำเนินการได้ค่อนข้างลำบาก เพราะอัตราการเรียกเก็บภาษีไม่มีความชัดเจน และอาจได้รับแรงต่อต้านมากกว่าการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม  
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2272

news23/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 23, 2007 1:42 pm
โดย chartchai madman
เซียนฟันธงหุ้นฟื้นธ.ค.

โพสต์ทูเดย์ สมบัติ ระบุหุ้น บลูชิปร่วงต่ำกว่าราคาพื้นฐาน 15-20% แล้ว เชื่อกลางเดือนธ.ค.โอกาสฟื้น ได้ December effect และเก็งกำไรเลือกตั้งหนุน


นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขา ธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า กรณีนักลงทุนต่างชาติ เทขายอย่างหนัก เกิดจากความวิตกปัญหาซับไพรม์ จนปัจจุบันนี้ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มบลูชิปหรือขนาดใหญ่ปรับตัวลดต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเฉลี่ย 15-20% แล้ว

ทั้งนี้ จากสถิติการขายของ นักลงทุนต่างชาติตลอด 4 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา พบว่ามีการขายหนักๆ ในตลาดหุ้นไทยออกมา 5-6 รอบ โดยแต่ละรอบขายต่อเนื่องเป็นเวลา 1-2.5 เดือน มูลค่าประมาณ 2.6-5.5 หมื่นล้านบาท และหลังจากนั้นจะ เข้ามารับซื้อจนทำให้ดัชนีดีดตัวกลับ

สำหรับการขายในรอบนี้คาดว่าน่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับครั้งก่อนๆ โดยต่างชาติได้ขายออกมาแล้ว 3.5 หมื่นล้านบาท ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นมีความเชื่อมั่นว่าแรงขายในรอบนี้น่าจะใกล้หมดและถึงจุดที่ดัชนีดีดตัวกลับได้แล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าหรือช่วงกลางเดือน ธ.ค.

นอกจากนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจังหวะเดียวกับจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งโดยปกติหุ้นมักจะขึ้นรับข่าวเลือกตั้ง รวมทั้งปีนี้เชื่อว่าน่าจะมี December effect เกิดขึ้นด้วย ทำให้เชื่อว่าหุ้นน่าจะฟื้นขึ้นในอีกไม่นานนี้แน่นอน

หุ้นหลังเลือกตั้งขึ้นแน่นอนไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง เพราะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ซึ่งดีกว่าสถานะปัจจุบันเป็นรัฐบาลชั่วคราว มีโอกาสจะขึ้นได้ถึง 900 จุดได้ นายสมบัติ กล่าว

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าแรงขายของต่างชาติ เป็นเพราะเกิดข้อกังวลว่ากลุ่มการเมืองเก่าจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ และจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกนั้น ไม่น่าจะใช่สาเหตุทำให้ต่างชาติขายออกมาอย่างหนัก เป็นเพราะซับไพรม์ในสหรัฐมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเมืองต่างชาติให้ความสำคัญเรื่องเสถียร ภาพทางการเมืองมากกว่า โดยมองว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้อาจได้รัฐบาลผสม ซึ่งจะส่งผลให้การผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสำคัญทำได้ลำบาก

สำหรับตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 23 พ.ย. ดัชนีสวิงขึ้น-ลง โดยช่วงบ่ายแรงขายต่างชาติกดดัชนีลงไปลึกหลุด 800 จุด ที่ 796.94 จุด ลดลง 10.63 จุด ก่อนจะมีแรงซื้อหุ้นพลังงานเข้ามาในช่วงท้ายก่อนปิดตลาดกระตุกดัชนีขึ้นไปปิด 808.82 จุด เพิ่มขึ้น 1.24 จุด มูลค่าซื้อขาย 18,184.74 ล้านบาท

ต่างชาติขายต่อเนื่อง มียอดขายสุทธิ 2,567 ล้านบาท สถาบันซื้อ 40 ล้านบาท และรายย่อยซื้อ 2,527 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205212

news23/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 23, 2007 2:06 pm
โดย chartchai madman
ศก.ปี51 ชะลอตัวเล็กน้อย โดย กระแสหุ้น

รองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดปี 2551 เศรษฐกิจไทย จะชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่หากการเมืองชัดเจนขึ้น จะช่วยให้ฟื้นตัวขึ้น ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เชื่อ เศรษฐกิจปีหน้าขยายตัวร้อยละ 5 หากไม่มีปัจจัยใหม่กดดัน


นายวรพล โสคติยานุรักษ์ รองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ยังต้องพึ่งพาการส่งออกสินค้าเป็นสัดส่วนสำคัญของ GDP ถึงร้อยละ 50 หากสภาวะทางเศรษฐกิจและราคาน้ำมันยังเป็นเช่นนี้อยู่ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงเล็กน้อย

ทั้งนี้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาที่จะปรับตัวลงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.5 ของ GDP ที่จะกระทบต่อตลาดการส่งออกของไทย รวมทั้ง ปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นในประเทศจีนและยุโรป ยังส่งผลให้กำลังซื้อลดลงตามมาด้วย ในขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกปีหน้าก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงในหลายประเทศเช่นกัน

ดังนั้น ไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ในการแก้ปัญหาการส่งออกของประเทศ ให้แพร่หลายในทุกพื้นที่และกระจายสินค้าไปตามตลาดในต่างประเทศอื่นๆมากขึ้น เพราะการส่งออกเป็นปัจจัยสำคัญของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ไทยควรหันไปทำการลงทุนมากขึ้นในตลาดต่างประเทศ เพราะเป็นทางหนึ่งในการกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคตให้เติบโตขึ้น ที่สำคัญหากเกิดความชัดเจนทางการเมือง จะส่งผลให้ภาคเอกชนขยายธุรกิจมากขึ้นและการบริโภคก็ปรับตัวดีขึ้นตามมา ทั้งนี้ GDP โดยรวมในปีหน้าจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5

ด้านนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงานสัมมนา "ธุรกิจไทยปรับตัวอย่างไรบนกติกาใหม่" ว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะยังเติบโตได้ร้อยละ 5 หากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนที่เริ่มฟื้นตัว จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง

นอกจากนี้ มองว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ ทั้งปัญหาซับไพร์ม ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง การเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างชาติ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และความผันผวนจากค่าเงินในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งถือเป็นปัจจัยเดิมที่ภาคธุรกิจได้ปรับตัวมาแล้ว แต่ทั้งนี้ ภาคธุรกิจจะต้องเร่งปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจยังสามารถเติบโตต่อไปได้

อนึ่ง มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ร้อยละ 4.3 ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO

news23/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 23, 2007 2:13 pm
โดย chartchai madman
สัญญาณ Coppock ชี้ว่าดัชนี SET จะขึ้นได้หลังจากนี้?

23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 05:00:00

๐ เราเคยนำเสนอดัชนีตัวหนึ่งที่นักลงทุนต่างประเทศใช้ดูทิศทางการเคลื่อนไหวระยะยาว (ประมาณ 1 ปี) ของดัชนีหุ้นในประเทศต่างๆ เพื่อเป็นเกณฑ์ตัดสินในการลงทุน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดัชนีที่ว่านี้คือ ดัชนี Coppock Indicator ซึ่งดัชนีดังกล่าวคำนวณจากการเปลี่ยนแปลงดัชนีหุ้นช่วง 14 และ 11 เดือน แล้วมาหาค่าเฉลี่ยแบบ Weighted 10 เดือน การที่กลับมาดูดัชนีดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อที่จะดูว่าแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรหลังจากนี้ ซึ่งที่ผ่านมาดัชนี Coppock ในตลาดหุ้นแถบเอเชียเกือบทุกประเทศ ได้ส่งสัญญาณการขายกันแล้วทั้งสิ้น จะเหลือก็เพียงในไทยเท่านั้นที่บอกว่ากำลังซื้อ หากยังจำกันได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นในเอเชียทุกประเทศ (ยกเว้นไทย) ต่างปรับตัวขึ้นมาจนสร้างสถิติสูงสุดถึงปัจจุบัน แต่ในไทย ดัชนี SET แทบจะขึ้นได้น้อยมาก และเพิ่งมาขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้เอง สาเหตุหลักมาจากการเมืองในประเทศ ขณะที่ปัจจัยบวกอย่างเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างประเทศ แทบจะไม่ได้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นไปใกล้เคียงกับตลาดเพื่อนบ้านเลย ดังนั้นเพื่อจะได้เห็นช่วงเวลาของสัญญาณจากดัชนี Coppock ตอบสนองอย่างไรกับภาวะที่เคยเกิดขึ้นในโลก เราจึงแบ่งเวลาในช่วงต่างๆ ออกเป็น 11 ช่วง เพื่อจะดูภาพของตลาดหุ้นไทยผ่านสัญญาณ Coppock

๐ ช่วงเวลาของการเข้าซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว มี 2 ช่วงคือ เมื่อดัชนี Coppock ทำสัญญาณ Emerging (ดัชนี Coppock อยู่ในแดนลบแต่กำลังปรับตัวขึ้นเหมือนปัจจุบัน) และช่วงที่เป็น Positive (ดัชนี  Coppock อยู่ในแดนบวกและกำลังปรับตัวขึ้น) นอกนั้นเป็นสัญญาณการขาย (Negative ดัชนีอยู่ในแดนบวก แต่กำลังทำหัวลง Topping ดัชนีผ่านพ้นจุดสูงสุด และกำลังทำหัวลง) เมื่อเรานำดัชนี Coppock มา Plot กับ SET Index ในช่วงเวลา 19 ปี (จากรูป) จะเห็นได้ว่าค่อนข้างสอดคล้องกัน กล่าวคือเมื่อดัชนี Coppock เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่สุดจะส่งผลต่อ SET หากเราจะแบ่งช่วงหาความสัมพันธ์ อาจจะเริ่มตั้งแต่ปี 2536 (1993) ซึ่งเป็นช่วงการเปิดเสรีทางการเงิน 2.ช่วงสภาพคล่องโลกดันตลาดหุ้นเอเชีย 3.ช่วงเศรษฐกิจไทยล่มสลาย 4.ช่วงการเข้ามาของ IMF 5.ช่วงเศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้นชั่วคราว 6.ช่วงการฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินไทย 7.ช่วงเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว 8.เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว 9.ช่วงที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และมีเม็ดเงินไหลเข้าเอเชียจำนวนมาก 10.ช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ การยึดอำนาจของทหาร และการปรับตัวขึ้นอย่างแรงของสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เช่นราคาน้ำมัน และ 11.ช่วงการเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่เริ่มมีปัญหาเรื่อง Sub-prime ในสหรัฐ (ดูหมายเลขตามรูป)

๐ เมื่อมาดูว่าดัชนี Coppock สามารถจะทำนายได้ถูกต้องแค่ไหนก็ให้ดูจากรูป ซึ่งส่วนใหญ่จะแม่นยำ ยกเว้น 2 ช่วงที่สภาพคล่องโลกดันดัชนีตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Q4/37-ปลายปี 2538) และช่วงครึ่งปีแรก 2546 ที่ดัชนี Coppock ทำสัญญาณ Topping คือ ขาย แต่ SET index ไม่ลงตาม อันนี้สามารถอธิบายได้จากอิทธิพลของเม็ดเงินมหาศาลจากต่างชาติที่โหมเข้าซื้อหุ้นไทย (หลังการเปิดเสรีทางการเงิน) จนดัชนีขึ้นไปถึง 1,700 จุด สิ่งที่เราอยากจะบอกก็คือ เมื่อดัชนี Coppock ทำสัญญาณ ซื้อ ไม่จำเป็นที่ดัชนีหุ้นไทยจะต้องขึ้นตลอด เพราะผลบางอย่างที่เกิดในประเทศที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในช่วงตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา สัญญาณจาก Coppock ของตลาดหุ้นไทยกลับไถออกข้างๆ เป็นเวลาเกือบ 2 ปี แทนที่จะขึ้นเหมือนกับเพื่อนบ้าน ตรงนี้มาจากความวุ่นวายทางเมืองในประเทศเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตามดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี มีโอกาสสูงมากที่จะแยกทางกับตลาดหุ้นใหญ่ๆ รวมทั้งในภูมิภาค หากดูจากสัญญาณ Coppock เนื่องจากกำลังทำสัญญาณ ซื้อ มาตั้งแต่กลางปี 2550 เหตุผลมาจาก 1.ยังมีปัจจัยหนุนจากการเลือกตั้ง 2.อัตราการขยายตัวของค่า EPS ของตลาดปี 2551 สูงถึง 17-18% 3.แนวโน้มเม็ดเงินยังไหลเข้า 4.ภาคการบริโภคในประเทศใหญ่พอที่จะหักล้างผลกระทบจากภายนอก 5.ภาคการเงินได้รับผลจากวิกฤติ Sub-prime ไม่มาก 6.สถิติ 10 ปีในช่วงปลายปีถึงต้นปี ดัชนี SET จะขึ้นได้แรง และสวนทางกับดัชนีดาวโจนส์เสมอ และ 7.การรายงานความเสียหายจาก Sub-prime ใน Q4 ของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และตลาดค่อยๆ รับข่าวไปมาก ซึ่งสุดท้ายดัชนีดาวโจนส์จะลดความผันผวนลง

๐ หากเราดูระยะเวลาของการปรับตัวขึ้นและลงของดัชนี Coppock โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1 ปีกว่าๆ ซึ่งรอบล่าสุดก็ใช้เวลาไปแล้วประมาณ 6 เดือน ดังนั้นหากไม่มีอะไรที่มากระทบกับภาพเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ช็อกโลก เราเชื่อว่าการทำสัญญาณ Emerging ของดัชนี Coppock รอบนี้ น่าจะบ่งบอกแนวโน้มการลงทุนในอีกประมาณ 3 เดือนข้างหน้า ว่าจะไถออกข้างช่วงสั้นๆ ก่อนแล้วหลังจากนั้นจะขึ้นแรง เราจึงแนะนำนักลงทุนที่อยากเล่นหุ้นระยะกลางและยาวที่หวังผลตอบแทนสูงควรเริ่มมองหาหุ้นที่มีพื้นฐานดี จ่ายปันผลดี และได้รับประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารพาณิชย์ใหญ่

ที่มา:บล.ซิกโก้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=204958

news23/11/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 23, 2007 2:42 pm
โดย chartchai madman
วงการตลาดทุนตื่นกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย พร้อมปรับตัวตั้งรับ

23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 12:01:00
วงการตลาดทุนตื่นกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย ตลาดหลักทรัพย์ฯ-ก.ล.ต.-โบรกเกอร์ เตรียมพร้อมหาทางรับมือ หวังสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดทุนไทย

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนไทยในอนาคต คือ ด้านการเมือง ซึ่งถ้ามีการจัดตั้งรัฐบาลเร็วจะมีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะจากจีน อินเดีย เพราะตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐมีปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) โดยในระยะสั้นตลาดทุนไทยจะผันผวนจากเงินทุนไหลเข้า

ขณะที่ระยะยาวความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกขึ้นอยู่กับอุปสงค์จากจีนเป็นตัวผลักดันสำคัญ ดังนั้นตลาดทุนไทยควรเร่งหามาตรการส่งเสริมเรื่องเงินทุนไหลออกให้คล่องตัว พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนเสริมความแข็งแกร่งและความน่าสนใจให้ตลาดทุนไทย

ทั้งนี้ การเตรียมความพร้อมให้โครงสร้างพื้นฐานของตลาดทุนแข็งแรงน่าเชื่อถือมากขึ้น จะต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบ ซึ่งได้มีการเชื่อมโยงกับ ก.ล.ต.ทั่วโลก เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกันและเกิดการยอมรับ และกระตุ้นการแข่งขัน โดยจะเปิดเสรีในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น เช่น การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น และพร้อมที่จะทบทวนกฎเกณฑ์ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและการเติบโตของตลาดทุนไทย

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรพัย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า สิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเร่งปรับตัว เพื่อรองรับและเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและพร้อมแข่งขันกับเวทีโลก ได้แก่ การปรับต้นทุนการซื้อขายให้อยู่ในระดับเดียวกับตลาดในภูมิภาค รวมทั้งเชื่อมโยงกับตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเพื่อลดต้นทุน และเป็นแหล่งระดมทุนให้บริษัทจดทะเบียนด้วยต้นทุนที่ต่ำลง โดยปัจจุบันต้นทุนรวมของการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ คือ อยู่ที่ 0.54% ในขณะที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กอยู่ที่ 0.17% และสิงคโปร์ อยู่ที่ 0.39%

อีกทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯยังต้องปรับบทบาทเป็นผู้ให้บริการมากขึ้น จากเดิมเน้นบทบาทการดูแลและการทำตามกฎระเบียบ เพื่อเอื้อต่อผู้ที่เกี่ยวข้องและการเคลื่อนย้ายเงินทุนในโลกยุคใหม่

นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ในอนาคตตลาดทุนโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงใน 2 มิติใหญ่ คือ ตลาดหุ้น ตราสารหนี้และอนุพันธ์จะรวมเป็นตลาดเดียว และตลาดเดี่ยวจะผนึกกันเป็นตลาดโลก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้ตลาดทุนไทยมีความหลากหลายของสินค้ามากขึ้น เช่นเดียวกับในตลาดต่างประเทศ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/2 ... sid=205138

news24/11/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 24, 2007 12:26 pm
โดย chartchai madman
ตลาดทุนจี้เร่งตั้งรัฐบาล

โพสต์ทูเดย์ บิ๊กตลาดทุนจี้ภาคการเมืองเร่งจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว ดึงทุนนอกเข้าประเทศ-หามาตรการรับมือเงินทุนโลกเคลื่อนย้ายรวดเร็ว


นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวในงาน Executives'Networking Forum 2007 : Listing Once for All ว่า ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อตลาดทุนไทยในอนาคตคือด้านการ เมือง ซึ่งถ้ามีการจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างรวดเร็วจะมีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะจากจีน อินเดีย หลังจากตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่นสหรัฐมีปัญหาด้านซับไพรม์

ระยะสั้นตลาดทุนไทยจะผันผวนจากเงินทุนไหลเข้า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหามาตรการส่งเสริมเรื่องเงินทุนไหลออก (Capital outflow) ให้คล่องตัว พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนเสริมความแข็งแกร่งและความน่าสนใจให้ตลาดทุนไทย

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการ และผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดจะต้องปรับตัวเพื่อเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งและรองรับการแข่งขันในเวทีโลก เช่น การปรับต้นทุนการซื้อขายให้อยู่ในระดับเดียวกับตลาดในภูมิภาค รวมทั้งเชื่อมโยงกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเพื่อลดต้นทุน และเป็นแหล่งระดมทุนให้บริษัทจดทะเบียนด้วยต้นทุน ที่ต่ำลง

ปัจจุบันต้นทุนรวมของการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 0.54% สูงกว่าตลาดอื่นๆ เช่น NYSE อยู่ที่ 0.17% และสิงคโปร์ อยู่ที่ 0.39% เพราะหากต้นทุนการซื้อขายลดลงจะสร้างความน่าสนใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย

ตลาดต้องปรับบทบาทตัวเองให้เป็นผู้ให้บริการมากขึ้นจากเดิมที่จะเน้นบทบาทการดูแลและการทำตามกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง และการเคลื่อนย้ายเงินทุนในโลกยุคใหม่ รวมทั้งต้องทำให้กฎเกณฑ์มีความชัดเจนและง่ายต่อการปฏิบัติมากขึ้น

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าว ว่า ภาครัฐน่าจะให้ความสำคัญเรื่องตลาดทุนมากกว่านี้ เพราะจะช่วยให้การบริหารประเทศด้านเศรษฐกิจ มีประสิทธิภาพและมีแหล่งภาษีให้รัฐบาลนำไปพัฒนาประเทศ

ตลาดหุ้นไทยเด้งขึ้นมาปิดตลาด 824.25 จุด เพิ่มขึ้น 15.43 จุด มูลค่าซื้อขาย 16,835.25 ล้านบาท ต่างชาติขายน้อยลงเหลือ 1,264.59 ล้านบาท โดยตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการ จึงไม่มีปัจจัยชี้นำ ประกอบกับหุ้นลงมามากจึงมีแรงซื้อกลับ อย่างไรก็ตามต้องติดตามซับไพรม์และคดี ปตท.ซึ่งกดดันตลาดอยู่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205418

news24/11/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 24, 2007 1:06 pm
โดย chartchai madman
ระวัง!หุ้นไทยแกว่งแนะลดพอร์ต50% [ ฉบับที่ 848 ประจำวันที่ 24-11-2007 ถึง 27-11-2007]  
พิษซับไพร์มถล่มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เฟดหั่นเป้าจีดีพีปีหน้าโต 1.8-2.5% โบรกเกอร์ส่งสัญญาณนักลงทุนรอจังหวะซื้อหุ้น หลังประเมินบรรยากาศการลงทุนซึมลึก อาจ แตะระดับ 730 ผลพวงตลาดหุ้นทั่วโลกชะลอตัวต่อเนื่อง บวกกับค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น ส่งผล กระแสเงินทุนไหลออก 2 หมื่น ล้านบาทแล้ว แนะลงทุนหุ้น ปลอดภัยสูง เช่น หุ้นปันผล หุ้น Defensive และหุ้นกลุ่มพลังงานน้ำมัน

หลังจากที่ นายเบน เบอร์นันกี ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประกาศ การปรับลดแนวโน้มการเติบ โตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีหน้าไว้ที่ระดับ 1.8-2.5% จากที่เคยคาดการณ์อัตราการเติบ โตไว้ที่ 2.5-2.75% เมื่อเดือนมิถุนายน

ทั้งนี้ เนื่องมาจากปัจจัยหลายด้านรวมถึง

ปัญหาวิกฤตสินเชื่อซับไพร์ม และเงินกู้ขนาดใหญ่ ข้อมูลบ้านที่พักอาศัยที่ต่ำกว่าคาดการณ์และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่หยุด ขณะเดียวกัน เฟด ยังได้ตัดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีหน้าไว้ที่ 1.7 - 1.9% ลดลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1.75 - 2% นั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 21 พ.ย. ดัชนียังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยในช่วงบ่ายดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 813.20 จุด ลดลงกว่า 2% ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยถือเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยสาเหตุมาจากปัญหาซับไพร์มในสหรัฐ ซึ่งทำให้ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาปรับตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้า โดยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.7-2.5% เท่านั้น จากก่อนหน้าคาดขยายตัว 2.5-2.75%

ขณะเดียวกันตลาดหุ้นเอเชีย ได้ปรับตัวลดลงเกือบทั้งหมด โดยตลาดหุ้นโซล ดัชนีคอมโพสิต (KOSPI) เกาหลีใต้ ปิดตลาดวันพุธ (21 พ.ย.50) ที่ระดับ 1,806.99 จุด ปรับลดลง -65.25 จุด เปลี่ยนแปลง -3.50% ดัชนีนิกเกอิ 225 ตลาดโตเกียวปิดตลาดวันพุธ (21 พ.ย.50) อยู่ที่ระดับ 14,837.66 จุด ปรับลดลง -373.86 จุด เปลี่ยนแปลง -2.46% ดัชนีหุ้นออล ออดินารีส์ ปิดตลาดวันพุธ (21 พ.ย 50) ที่ระดับ 6,450.20 จุด ปรับลดลง -40.00 จุด เปลี่ยนแปลง -0.60% ตลาดหุ้นไต้หวันปิดตลาดวันพุธ (21 พ.ย.50) ที่ระดับ 8,484.11 จุด ปรับตัวลดลง -196.75 จุด เปลี่ยนแปลง -2.27% ดัชนีคอมโพสิตฟิลิปปินส์ เปิดตลาดวันพุธ (21 พ.ย.50) ที่ระดับ 3,510.49 จุด ปรับลดลง -30.12 จุด เปลี่ยนแปลง -0.90% ดัชนีหั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดซื้อ-ขายภาคเช้าวันพุธ (21 พ.ย.50) ปิดที่ระดับ 26,845.67 จุด ปรับตัวลดลง -925.54 จุด เปลี่ยนแปลง -3.30%

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่งให้ความเห็นว่า นับแต่เริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน 2550 เรื่อยมา หุ้นไทยปรับตัวลดลง อย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบปัจจัยเสี่ยงภายนอกรุมเร้ารอบด้าน จนมีผลให้ เม็ดเงินทุน (ฟันด์โฟลว์) ต่างชาติ ที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย มาแต่ต้นปี เริ่มมีสภาพคล่องน้อยลง

ถ้าย้อนดูตัวเลขเงินทุนต่างชาติ ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ถึง 12 พฤศจิกายน 2550 พบว่า เม็ดเงินทุนที่ไหลเข้าต่อเนื่อง เริ่มเปลี่ยนทิศทางเป็นขายออกคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 532 ล้านเหรียญ หรือราว 1.8 หมื่นล้านบาท เทียบกับสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ยังมีเงินทุนไหลเข้าอยู่ 512 ล้านเหรียญ หรือ 1.74 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้เม็ดเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติยังเป็นบวก หรือยังมีเม็ดเงินอยู่ในหุ้นไทยอีก 3,047 ล้านเหรียญ หรือราว 1.04 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้ขายทำกำไรหุ้น

ทั้งนี้ปัจจัยลบที่ทำให้ตลาดหุ้นภูมิภาค ตลอดจนหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง มาจากการปรับตัวลงต่อเนื่องของตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ ตลอดจนการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง รวมทั้งการไหลของเงินทุนกลับเข้าไปยังสหรัฐ เพื่อไถ่ถอนหน่วยลงทุน หรือลดความเสี่ยงของนักลงทุนต่างชาติ

การปรับตัวลงของตลาดหุ้นภูมิภาคและหุ้นไทย เป็นไปตามการปรับตัวลงของหุ้นทั่วโลก (Global Slowdown) และผลของค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง

นักวิเคราะห์คนเดิมกล่าวว่า แนวโน้มหุ้นไทยจะเกิดการแกว่งตัวรุนแรง จากผลการเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินทุน โดยประเมินว่า ดัชนีหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงไม่น้อยกว่า 10-15% จากจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะรีบาวด์ หรือปรับตัวขึ้นก็มีเช่นกัน ขึ้นอยู่กับผลการประชุมของเฟดที่คาดกันว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอีกครั้ง

สำหรับคำแนะนำการลงทุนท่ามกลางกระแสเงินทุนไหลออก นักวิเคราะห์แนะนำว่า ให้แบ่งเงินลงทุน ลงทุนในหุ้นน้อยกว่าเดิม หรือเพียง 50% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือให้เก็บเป็นเงินสดไว้ ด้านเงินลงทุนในพอร์ตหุ้น แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ ปลอดภัย โดยเน้นหุ้นที่จ่ายปันผลดี เช่น หุ้น SCC, DELTA และ ROJANA

คาดว่าหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงจะปรับตัวได้ดี จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า หุ้นที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงจะสามารถปรับตัว Outperform ตลาดได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงปีต่อไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำไรงวด 9 เดือนที่ประกาศออกมาช่วงเดือนพฤศจิกายน ส่งสัญญาณถึงเงินปันผลที่จะจ่ายตลอดทั้งปี แต่หากดัชนีหุ้นปรับตัวลงถึง 800 จุดต้นๆ ก็เป็นโอกาสเลือกหุ้นอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการเข้าซื้อหุ้นพลังงาน ซึ่งเราคิดว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้นอีก จึงแนะนำให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นพลังงาน อย่างน้ำมันและถ่านหิน เช่น PTTEP, BANPU รองลงมา ให้เลือกหุ้นพลังงานบนดิน อย่างหุ้นโรงไฟฟ้า โรงกลั่น เช่น RATCH, EGCO แหล่งข่าวกล่าว
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=9131

news24/11/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 24, 2007 1:08 pm
โดย chartchai madman
ฟันธงปีหน้าส่งออกโตต่ำ10% [ ฉบับที่ 848 ประจำวันที่ 24-11-2007 ถึง 27-11-2007]  
> แนะรัฐบาลเร่งหาตลาดใหม่ทดแทนสหรัฐฯ

ทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจฯ คาดภาวะการส่งออกปีหน้าส่อแววโตต่ำกว่า 10% หากรัฐไม่เร่งหาตลาดใหมทดแทนตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ รวมทั้งต้องมีการปรับปรุงคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้น ระบุหากการเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพ เชื่อเศรษฐกิจไทยอาจโตได้ถึง 5% หากการเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพ ผลักดันการบริโภคฟื้นตัวขึ้น รวมทั้งภาคเอกชนมีการลงทุนมากขึ้น เชื่อเป็นตัวที่ช่วยผลักดันการขยาย ตัวทางเศรษฐกิจแทนการส่งออกที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก เผยปีหน้าราคาน้ำมันมีสิทธิแตะทะลุ 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล รวมทั้งปัญหาซับไพร์มยังเป็นตัวกดดันเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัว แนะรัฐเร่งลงทุนระบบรถไฟฟ้า ระบบขนส่งแบบรางลดการพึ่งพาการใช้น้ำมัน ทั้งเร่งศึกษาการใช้พลังงานทดแทน

นายวรพล โสคติยานุรักษ์ รองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวเปิดเผยว่า คาดว่าส่งออกในปีหน้าอาจขยายตัวต่ำกว่า 10% หากว่าทางรัฐบาลไม่มีการ หาตลาดส่งออกใหม่มาทดแทนตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา รวมถึงไม่มีการพัฒนาปรับปรุงตัวสินค้าส่งออกให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น และเหมาะสมกับตลาดที่ส่งออกไป

อย่างไรก็ตาม อยากให้ภาครัฐมีการปรับปรุงและพัฒนาระบบขนส่งมวลชน โดยต้องการให้เร่งพัฒนาระบบรถ ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วเขตกรุง เทพฯ และปริมณฑล รวมถึงให้มีการสร้างการขนส่งที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัด และควรสร้างระบบลอจิสติกส์ระบบรางให้มาก ขึ้น เพื่อเป็นการลดการพึ่งพิงการ ใช้น้ำมันภายในประเทศ โดยเชื่อ ว่าหากรัฐมีการเร่งลงทุนระบบขนส่งมวลชนจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 แสนกว่าล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ ในระยะยาวภาครัฐควรที่จะต้องเร่งศึกษาใน เรื่องของพลังงานทดแทน พลัง งานทางเลือก และเกษตรพลัง งานอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือกับภาวะปัญหาน้ำมันแพงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจ ไทย คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะสามารถขยายตัวได้ถึง 5% หากการเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพ ซึ่งทำให้การบริโภค ภายในประเทศ

ฟื้นตัวขึ้นและภาคเอกชนจะมีการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวที่ช่วยผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยแทนการส่งออกที่คาดว่าจะชะลอ ตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก

นายวรพล กล่าวต่อว่า คาดว่าราคาน้ำ มันในตลาดโลกปีหน้าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลได้ เนื่องจาก มองว่าความต้องการใช้น้ำมันยังสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันไม่สามารถผลิตได้ทัน ความต้องการใช้ในตลาดโลก ประกอบกับความ ไม่แน่นอนในพื้นที่ประเทศที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมัน ทำให้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการผลิตน้ำมันด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการเข้ามาเก็งกำไรในราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชะลอตัวลงส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจึงทำให้นักเก็งกำไรทิ้งดอลลาร์และหันมาเก็งกำไรในตลาดน้ำมันแทน อย่างไรก็ดี มองว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยตลอดทั้งปี 51 น่าจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ในปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ส่วนปัญหาซับไพร์มของสหรัฐฯ ยังเป็นปัญหายืดเยื้อที่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกในปีหน้า ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะชะลอตัว ลงจากในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 0.25% และมองว่าปัญหา ซับไพร์มจะจบได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากปัญหาดังกล่าวมีผลกระทบต่อวงกว้าง และช่วงนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นของปัญหาดังกล่าว ดังนั้นจึงน่าจะใช้ระยะเวลาอีกพอสมควรกว่าจะแก้ปัญหาให้จบสิ้นลงได้
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=9083

news26/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 26, 2007 1:47 pm
โดย chartchai madman
หนี้สาธารณะไทย ณ สิ้น ก.ย.อยู่ที่ 97.84%

โดย Post Digital วันที่ 26 พฤศจิกายน 2550

ก.คลังเผยยอดหนี้สาธารณะไทย สิ้นก.ย.50 อยู่ที่ 3.178 ล้านล้านบาท หรือ 37.84% ของผลิตภัณฑ์จีดีพี

กระทรวงการคลัง เปิดเผย ยอดหนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นเดือน ก.ย.50 อยู่ที่ 3.178 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 37.84% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) เมื่อเทียบกับยอดหนี้ ณ สิ้นเดือน ส.ค.อยู่ที่ 3.175 ล้านล้านบาท หรือ 37.80% ของจีดีพี

โดยหนี้สาธารณะ 3.178 ล้านล้านบาท แยกออกเป็น หนี้ต่างประเทศ413,321 ล้านบาท หรือร้อยละ 13 และหนี้ในประเทศ 2,765,164 ล้านบาท หรือร้อยละ 87 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง และเป็นหนี้ระยะยาว 2,811,664 ล้านบาท หรือร้อยละ 88.46 และหนี้ระยะสั้น 366,821 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.54 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง

หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,051,363 ล้านบาท, หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 906,374 ล้านบาท, หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 185,154 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 35,593 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนแล้วหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 3,219 ล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 6,687 ล้านบาท, หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 846 ล้านบาท และ 2,622 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สาเหตุของการเพิ่มขึ้นสุทธิของหนี้สาธารณะเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่สำคัญ เนื่องจากหนี้ในประเทศที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้นจากการออกพันธบัตร และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 9,361 ล้านบาท และ 2,540 ล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งยังได้ดำเนินการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังที่ครบกำหนด 1,000 ล้านบาท และชำระคืนเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง(FIDF3) 4,550 ล้านบาท สำหรับหนี้ต่างประเทศที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 336 ล้านบาท

ส่วนหนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินนั้นลดลงเนื่องจากการไถ่ถอนพันธบัตรและการชำระคืนต้นเงินกู้ นอกจากนี้หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลงเนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้ชำระคืนหนี้ในตลาดซื้อคืนพันธบัตร
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=205767

news26/11/07/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 26, 2007 2:00 pm
โดย chartchai madman
ดัชนีหลุด900กบข.เข้าซื้อหุ้น

โพสต์ทูเดย์ กบข. ทยอยซื้อหุ้นตอนดัชนีหลุด 900 จุด ชี้แรงขายตปท.ยังไม่สะเด็ด ด้านภัทรียามั่นใจซับไพรม์คลี่คลายดันหุ้นปีหน้าสดใส


นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า ช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในรอบนี้จากระดับที่เคยขึ้นไปแตะที่ 900 จุด ลงไปหลุดแนวรับที่ 800 จุดนั้น ทาง กบข. ได้เข้าไปทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ตลงทุน

ทั้งนี้ การเข้าซื้อจะเป็นลักษณะของการทยอยซื้อ ไม่ได้ใช้เงินในจำนวนที่มากนัก เพราะยังเห็นว่าแรงขายของนักลงทุนต่างชาตินั้นยังไม่หมดและมีโอกาสที่ตลาดจะปรับตัวลงได้อีกแต่ในระดับที่ไม่มากนักแล้ว และคาดว่าในช่วง 2 สัปดาห์หลังจากนี้ตลาดหุ้นน่าจะกลับมา ฟื้นตัวได้อีกครั้ง

การลงทุนของ กบข.ไม่ได้ดู สถิติ หรือเลือกตั้ง แต่ดูปัจจัย พื้นฐานแล้วค่อยๆ ซื้อ เพราะเหตุ การเงินต่างชาติไหลออกจากซับไพรม์ยังไม่จบ ซึ่งซับไพรม์ไม่ได้เป็นปัญหาโดยตรงกับไทย แต่เป็นต้นเหตุ สภาพคล่องทำให้เงินต่างประเทศไหลออกจากภูมิภาค

นับแต่ต้นเดือน พ.ย. นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 7,783.09 ล้านบาท ต่างชาติขาย 37,974.54 ล้านบาท และรายย่อยซื้อ 30,191.36 ล้านบาท

นอกจากนี้ กบข.ได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนพันธบัตรจากอายุ 5 ปี เหลือ 3-4 ปี เพราะเห็น แนวโน้มดอกเบี้ยจะขาขึ้นแล้ว และในงวด 9 เดือนในตราสารหนี้ในประเทศในสัดส่วนกว่า 67.03% ให้ผลตอบแทนกว่า 6.23% สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ใหญ่ 5 ธนาคาร ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 3.63% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.0%

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลัก ทรัพย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาด หุ้นไทยผันผวนในช่วงนี้เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ที่ยังไม่คลี่คลาย และส่งผลกระทบต่อการลงทุนทั่วโลก ในทางกลับกันแต่หากปัญหาคลี่คลายก็เชื่อว่าจะสนับสนุนให้ตลาดหุ้นปี 2551 กลับมาสดใสและไม่ผันผวนเหมือนกับปีนี้

ตอนนี้ปัจจัยเดียวที่มีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนคือซับไพรม์ ซึ่งนักลงทุนยังคงกังวลอยู่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205704

news26/11/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 26, 2007 3:56 pm
โดย chartchai madman
Special Report: เพิ่มศักยภาพธุรกิจส่งออกผ่านตลาดทุน
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, November 26, 2007
นับเป็นก้าวย่างสำคัญสำหรับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการผสานความร่วมมือกันเพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจส่งออกผ่านตลาดทุนล่าสุดมีการจัดสัมมนา ตลาดทุนกับการเพิ่มศักยภาพของธุรกิจ (EXIM TEA TALK) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บรรดาธุรกิจน้อยใหญ่ในภาคการส่งออก ที่มีทุนทะเบียนตั้งแต่ 120 ล้านบาทขึ้นไปรวม 60 ราย ได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่กับการก้าวเข้ามาระดมทุนผ่านตลาดทุนไทย ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่บอร์ด EXIM Bank อนุมัติวงเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อร่วมลงทุนกับผู้ส่งออกที่มีศักยภาพ นโยบายนี้ นอกจากผู้ส่งออกจะมีเงินทุนในการขยายธุรกิจเพิ่มในอนาคตแทนที่จะเป็นการสร้างภาระด้วยเงินกู้แล้ว ยังเป็นการต่อยอดบริการของ EXIM Bank ให้ครบวงจรมากขึ้นด้วย

ดร.อภิชัย บุญธีรวร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) บอกว่า พยายามที่จะสนับสนุนลูกค้าอย่างครบวงจร สำหรับเงินกู้สำหรับการลงทุน มีทั้งเงินกู้หมุนเวียน เงินกู้ระยะยาวในการสร้างโรงงานรวมไปถึงบริการด้านอื่นด้วย

ด้านขอรับประกันส่งออก ถ้ามีความเสี่ยงว่าส่งออกแล้วลูกค้าอาจจะไม่ชำระเงิน เราก็มีบริการรับประกันการส่งออก โดยชำระเงินแทนให้ เป็น 2 บริการแล้ว บริการอีกอันหนึ่ง คือการสนับสนุนหาข้อมูล ภาวะอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร ฝ่ายวิจัยของเราจะทำการวิจัยเชิงลึกและให้ข้อมูลกับลูกค้าเพื่อประโยชน์ในการวางแผนและปรับเปลี่ยนธุรกิจได้ บริการอีกอันหนึ่งที่เราจะให้คือบริการทางด้านตลาดทุน คือเราจะมีโครงการลงทุนกับลูกค้าของเรา ถ้าต้องการขยายแล้วขาดแคลนเงินทุน เพิ่มทุนเองไม่ไหว อยากจะให้ Exim ช่วยในเรื่องของทุน เราก็ยินดีที่จะร่วมลงทุน ซึ่งการร่วมลงทุนของเราเพื่อช่วยให้ฐานเงินทุนลูกค้าเราแข็งแกร่ง แล้วก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย ดร.อภิชัยกล่าว

หลักเกณฑ์เบื้องต้นที่ EXIM Bank จะร่วมทุนด้วย ต้องเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต เพื่อร่วมกันคิดและวางแผนธุรกิจ ทีเหลือไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะระยะเวลาร่วมทุนและสัดส่วนการถือหุ้นของ EXIM Bank มีเป้าหมายแค่พันธมิตรทางธุรกิจเท่านั้น

ส่วนบทบาทเชิงรุกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการให้ข้อมูลและเตรียมความพร้อมสำหรับกลุ่มผู้ส่งออกที่มีศักยภาพ 60 รายแรก เพื่อปูทางสู่การระดมทุนในตลาดทุน เป็นการสานต่อหน้าที่การเป็นแหล่งระดมทุนให้กับภาคธุรกิจ หลังจากที่ในช่วงตลอด ระยะเวลา 32 ปีที่ผ่านมาได้มีการระดมทุนผ่านตลาดทุนถึง 2.4 ล้านล้านบาท

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ย้ำถึงบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ตลอด 32 ปีที่ผ่านมาว่า ทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจ

ปีแรกเรามีบริษัทจดทะเบียนเพียง 21 บริษัท ถึงวันนี้มี 520 บริษัท ตลอด 32 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทำหน้าที่ในการเป็นแหล่งระดมทุนให้กับภาคธุรกิจแล้ว 2.4 ล้านล้านบาท ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ระบบธนาคารพาณิชย์ประสบปัญหา 3 ปีถัดมายอดสินเชื่อคงค้างของธนาคารพาณิชย์ลดลง 8 แสนล้านบาท ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็ได้เข้ามาอาศัยตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นแหล่งระดมทุนประมาณ 830,000 ล้านบาท ถ้าไม่มีตลาดหลักทรัพย์ฯ เศรษฐกิจไทยจะต้องใช้เวลานานกว่านี้ในการฟื้นฟู นายปกรณ์กล่าว

นอกจากก้าวใหม่ของ EXIM Bank ในการสนับสนุนการขยายตัวของนักธุรกิจไทย จะเน้นบทบาทนำทั้งในด้านการสนับสนุนการเปิดตลาดใหม่ การส่งเสริมให้มีการขยายฐานการลงทุนในต่างแดนรวมถึงการร่วมลงทุนและสนับสนุนทางการเงินอย่างเต็มที่ทั้งในโครงการสาธารณูปโภคที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องปัจจัยพื้นฐานการส่งออกรวมถึงโครงการต่างๆที่เป็นพลังงานทางเลือกแล้ว การที่ ผู้บริหารธุรกิจส่งออกกลุ่มเป้าหมายทั้ง 60 รายได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงกฎ-กติกา และคุณสมบัติของการก้าวเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนรวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับพร้อมกับแนวทางการเตรียมความพร้อม นับเป็นกลยุทธ์ที่ WIN WIN กันทุกฝ่ายด้วย

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองถึงศักยภาพของธุรกิจที่กำลังจะขยายตัวว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้แหล่งเงินทุน ซึ่งการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯจะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

เท่าที่ดูก็คือว่าทางผู้ประกอบการเป็นกิจการที่กำลังเติบโต ซึ่งในการเติบโตนั้นถ้ามองในภาพรวมธุรกิจทุกธุรกิจขนาดของกิจการเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะชี้ชัดความสามารถในการแข่งขันได้ เพราะฉะนั้นในบางครั้งความร่วมมือของกิจการกับสถาบันการเงินมันจะมีโอกาสที่ทำให้กิจการขยายไปสู่จุดที่ถ้าทำเองจะไปไม่ถึง ซึ่งลักษณะของแหล่งทุน มันอาจจะรวมถึงเงินกู้ เงินร่วมทุน เหมือนเศรษฐกิจ การเติบโตของตลาดทุน ซึ่งสิ่งที่เราจะมานำเสนอคือการเตรียมตัวระยะยาวที่จะเข้าตลาดทุนว่ามีอะไรบ้าง และต้องเตรียมพร้อมอย่างไร หวังว่าจะสามารถจุดประกายและสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันให้บริษัทเหล่านี้ได้เข้าถึงการสนับสนุนที่ครบถ้วนทั้งด้านตลาดเงินและตลาดทุน นายมนตรีกล่าว

ที่ผ่านมาเวลาที่เรานึกถึงแหล่งทุน คำตอบที่ได้ก็คือการไปหาธนาคารพาณิชย์ แต่จากนี้ไปบทบาทที่โดดเด่นขึ้นของธนาคารเฉพาะกิจอย่าง Exim Bank ทั้งในเรื่องของการเป็นแหล่งทุนและร่วมทุนให้กับภาคธุรกิจส่งออก เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง จะช่วยปูทางให้ผู้ส่งออกระดมทุนผ่านตลาดทุนได้ด้วยตัวเองมากน้อยเพียงใดในอนาคต ต้องติดตามต่อไป
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx

news27/11/07

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 27, 2007 12:44 pm
โดย chartchai madman
ศก.ปีหน้าซึมมรสุมรุมเร้า จ้างขรก.เพิ่ม

โพสต์ทูเดย์ เศรษฐกิจไทยปี 2551 เผชิญปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศรุมเร้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาน้ำมัน แนวโน้มค่าเงินบาทแข็งอีกระลอก


นายปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในงานวันนักการตลาดแห่งประเทศไทย เรื่อง RED OCEAN กำชัยชนะ...เหนือทะเลแดงเดือด ว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเผชิญกับปัจจัยภายนอกประเทศมากกว่าจะเป็นปัจจัยภายใน เนื่องจากการเมืองภายในประเทศได้รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ

ทั้งนี้ ปัจจัยภายนอกที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย คือ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะขยายตัว 4.5% เมื่อเทียบกับปีนี้ 4.6% อีกทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์

สำหรับราคาน้ำมันในปีหน้ายังอยู่ระดับสูงกว่าปีนี้ หากโอเปกไม่เปลี่ยนแปลงโควตาการผลิต และมีผลทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะเริ่มลดลงในช่วงกลางปีหน้า

ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดโลกจะกดดันต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้คาดว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 3-4% จากปัจจุบัน 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ตลอดจนเศรษฐกิจของคู่ค้าขยายตัวช้า ดังนั้น โอกาสที่ภาคธุรกิจส่งออกในปีหน้าจะมีอัตราการเติบโตไม่ถึง 16-18% จึงมีมาก

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะมีปัจจัยสนับสนุน คือ การเมือง และรัฐบาลใหม่ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และนักลงทุน การเกิดโครงการเมกะโปรเจกต์ และฐานรายได้ปรับเพิ่มขึ้น โดยผู้ที่รับราชการจะเพิ่มขึ้น 10% คิดเป็นมูลค่า 4 พันล้านบาท และเงินทุนไหลเข้ายังเพิ่มขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205870

news27/11/07

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 27, 2007 12:52 pm
โดย chartchai madman
ตลาดชะงักรอลุ้นเลือกตั้ง

โพสต์ทูเดย์ นักการตลาดชี้เศรษฐกิจปีหน้า สินค้าใหม่เปิดตัวน้อยลง ผู้ประกอบการแห่ชูสินค้าเก่ามัดใจผู้บริโภค ชี้ต้องปรับให้ทันลูกค้า


นายสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล ประธานอำนวยการ-ประเทศไทย บริษัท ดีทแฮล์ม ในฐานะนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจในปีหน้าน่าจะได้รับผลดีจากการลงทุนที่จะเพิ่มมากขึ้น แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการจะไม่เน้นเปิดตัวสินค้าใหม่มากนัก แต่จะหันไปทำตลาดกับสินค้าที่มีอยู่แล้วมากกว่า ซึ่งก็ต้องมาตามสถานการณ์ว่าหลังการเลือกตั้งจะส่งผลดีกับภาพรวมของเศรษฐกิจอย่างไร

น.ส.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานกรรมการบริหาร ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำในปัจจุบันก็คือ การก้าวตามพฤติกรรม ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เพราะพฤติกรรมเหล่านี้มีผลต่อการทำการตลาดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เน้นความ เร่งรีบ หรือกลุ่มลูกค้าที่มีอายุ ยืนยาวมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ ผู้ประกอบการต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้ทัน

นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้ายังไม่ชัดเจนซึ่งต้องดูว่าหลังจากการเลือกตั้งในช่วงปลายปีจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างไร

ขณะที่ตลาดเบียร์ในปีนี้แม้จะมีการเติบโต แต่ก็พลาดเป้าหมายไปเล็กน้อย ขณะที่ในปีหน้าก็ไม่กล้าตั้งเป้าหมายเติบโตมากนัก หากทำได้ เท่าปีนี้หรือเติบโต 1-2% ก็ถือว่า น่าพอใจ

ด้านนายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ผลกระทบในปีหน้าจะมาจากปัจจัยหลัก 3 ประการที่ควบคุมไม่ได้ ประกอบด้วย นโยบายการบิน การใช้สนามบิน และราคาน้ำมัน

สำหรับบริษัทคงเน้นการปรับตัวตามสถานการณ์ อย่างล่าสุดก็อยู่ระหว่างการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน หากยังขึ้นอย่างต่อเนื่องก็อาจจะต้องปรับค่าธรรมเนียมน้ำมันในท้ายที่สุด ซึ่งบริษัทเป็น ผู้ประกอบการเพียงรายเดียวที่ยังคงราคาไว้ถึงปัจจุบัน

นายปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาด้าน นโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าจะกลับมาสู่ภาวะแห่งการเติบโตอีกครั้ง หลังจากที่เกิดปัจจัยลบอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยเฉพาะในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนที่หดตัวไป 1.5% ซึ่งถือว่าเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 10 ปี ซึ่งเชื่อว่าในปีหน้าจะมีการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม ในเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 5% แต่ต้องพิจารณาปัจจัยลบอีกครั้ง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=205901