Thai VI

kongkiti เขียน:เรียน ท่านผู้นำ ท่านกุนซือ และท่านนายพล ทุกท่าน
ข้าพเจ้าเริ่มหวั่นไหว โดนข้าศึกโจมตี มาหลายรอบ
ใจหนึ่งก็อยากนำกำลังส่วนที่เหลือ ตอบโต้กลับไปบ้าง
อีกใจหนึ่ง ก็ยังเห็น ผู้คนในสมรภูมิ วิ่งกันแตกตื่น ฝุ่นตลบยังไม่หาย
เกรงว่าหากข้าพเจ้าไปร่วมด้วยอาจไม่รอดกลับมาเป็นแน่

สมรภูมิยามแตกตื่น ยากที่จะควบคุมปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทั้งต้องสู้กับข้าศึก ทั้งต้องคอยหลบกระสุนพวกเดียวกันที่ยิงแบบสิ้นสติ หลบอยู่ในหลุมก็ต้องระวังพวกที่แตกตื่นวิ่งมาเหยียบพวกเดียวกันเองอีก

leky เขียน:

kongkiti เขียน:เรียน ท่านผู้นำ ท่านกุนซือ และท่านนายพล ทุกท่าน
ข้าพเจ้าเริ่มหวั่นไหว โดนข้าศึกโจมตี มาหลายรอบ
ใจหนึ่งก็อยากนำกำลังส่วนที่เหลือ ตอบโต้กลับไปบ้าง
อีกใจหนึ่ง ก็ยังเห็น ผู้คนในสมรภูมิ วิ่งกันแตกตื่น ฝุ่นตลบยังไม่หาย
เกรงว่าหากข้าพเจ้าไปร่วมด้วยอาจไม่รอดกลับมาเป็นแน่

สมรภูมิยามแตกตื่น ยากที่จะควบคุมปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทั้งต้องสู้กับข้าศึก ทั้งต้องคอยหลบกระสุนพวกเดียวกันที่ยิงแบบสิ้นสติ หลบอยู่ในหลุมก็ต้องระวังพวกที่แตกตื่นวิ่งมาเหยียบพวกเดียวกันเองอีก

ขอบคุณ คำสอนของท่านผู้นำ
หลบอยู่ในหลุม ก็มีคนคอยดึงลงจริงๆ

กลัวว่าพอเหล่าท่านนายพลเห็นพื้นที่รอบข้าง อุดมสมบูรณ์กว่า
จะพากันทิ้งฐานที่มั่นเดิม
สุดท้ายพากันลงไปหมด

กำลังรอวันการศึกฉากสุดท้ายที่ปูซาน (ใกล้แล้วนะครับ)
หวั่นใจว่าแม่ทัพฝ่ายข้าศึก เบน เงินเก๊ จะใช้วิชา สาลิกาลิ้นทองอีกรอบ ในเดือนหน้านึ้
ขอท่านผู้นำ และท่านกุนซือ โปรดชี้แนะ

เรื่องเบน เงินเก๊ในความเห็นของข้าพเจ้ากลับคิดว่าตลาดซึมซับข่าวไปมากแล้วนะครับ ที่สำคัญถ้ามองตามความเป็นจริง "เงินเก๊" ที่ไหลเข้ามามันก็คือ "เงินเก๊ เงินเขา" วันหนึ่งมันก็ต้องไหลออก ถามว่าเราพอใจกับการที่หุ้นขึ้นเพราะการไหลเข้าของเงินไหม ก็อาจจะพอใจ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าสุดท้ายวันที่งานเลี้ยงเลิก เงินไหลออกมันต้องมาถึงไม่วันใดก็วันหนึ่ง

แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ากลับกังวลมากกว่าคือสภานการณ์ของบ้านเรานั่นเอง ตัวเลขที่เราได้ยิน ข้าพเจ้าเองก็ฟังหูไว้หู ที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ คือเชื่อครับ แต่กลัวว่าในความเป็นจริงมันอาจจะมากกว่านั้น เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าพวกตัวเลขเดี๋ยวนี้มันอาจะ "พิมพ์ผิด" ถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่ดีไม่งาม เมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่ผบห.บ.ยักษ์ใหญ่ที่ขายของอุปโภคบริโภคบอกว่ากำลังซื้อหดเพราะ คนเป็นหนี้กันมากขึ้นจะจากผ่อนรถหรือผ่อนอะไรก็แล้วแต่ ข้าพเจ้ายังเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง เพราะคิดว่าคนผ่อนรถอะไรมันจะเยอะจนมีผลมากขนาดนี้ แต่มาถึงตอนนี้ก็ชักจะเชื่อแล้วว่ามันจริง

จึงไม่ต้องแปลกใจที่หุ้นบางตัวที่อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจมันจะไหลลงแรงกว่าเพื่อน อย่างเช่นหุ้นอสังหาฯบางตัว ยิ่งมีข่าวอสังหาฯ เริ่มล้นยิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีก และก็อย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่ว่าเดี๋ยวนี้คนไปจองคอนโด ส่วนหนึ่งก็มีพวกเก็งกำไรใบจองเข้าไปร่วมวงอยู่ด้วย อย่างหุ้นรถยนต์เองข้าพเจ้าก็เคยได้มีโอกาสอ่านบทวิเคราะห์จากโบรกเจ้าหนึ่งตั้งแต่หลายเดือนก่อนว่าในงานมอร์เตอร์โชว์ครั้งล่าสุดมีโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมกับการตั้งข้อสังเกตของโบรคเจ้านั้นว่ายอดขายที่พีคมันน่าจะผ่านไปแล้วและบ.รถก็กำลังหาทางระบายสต๊อกอยู่

ถึงตอนนี้ถ้าเราคิดจะกลับมาให้ได้ เราก็คงต้อง hit to the point ว่าหุ้นกลุ่มไหนที่จะได้ประโยชน์จากสถานการณ์เช่นนี้

"สถานการณ์เปลี่ยน มุมมองย่อมเปลี่ยน"

ขอบคุณท่านผู้นำที่ชี้แนะ

ข้าพเจ้าขอขยายความอีกซักเล็กน้อย เท่าที่ความรู้อันน้อยนิดของข้าพเจ้าพึงมี อยากให้ลองประมวลดูว่าเรื่องราวทั้งหมด หุ้นในพอร์ตเราตัวไหนจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ในสถานการณ์เช่นนี้ กำลังซื้อหด หนี้เพิ่ม บาทอ่อน แล้วก็ชั่งน้ำหนักดูว่าผลกระทบมันมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มากและบางเรื่องเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ มันก็คงไม่น่าจะเสียหายอะไร เพราะเป็นธรรมดาที่การทำธุรกิจมันย่อมมีช่วงผันผวนบ้าง ดีไม่ดีอาจจะมองอีกมุมว่าเป็นโอกาสซื้อหุ้นเพิ่มถ้าราคาหุ้นต่ำลงมาก แต่ถ้าบางเรื่องมันเสี่ยงมากมันก็อาจจะหมายถึงพื้นฐานของบ.ที่อาจจะเริ่มเปลี่ยนไป บางครั้งหุ้นบางตัวที่เราเห็นกำไรมันยังค่อนข้างดีหรือลดลงเล็กน้อย แต่ทำไมมันลงรุนแรงก็เพราะว่านลท.เค้ามองข้ามช็อตไปแล้ว เค้ามองถึงอนาคตข้างหน้า ไม่ได้มองกำไรที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว ถ้าไม่แน่ใจก็นั่งทับมือไว้ "ถ้าเราไม่ได้ซื้อหุ้น เราก็ไม่มีวันขาดทุนจากหุ้น" "เสียดายมิร้ายเท่าเสียใจ"

ผมอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมพลาสติกนะครับ สินค้าค่อนข้างจะมีความเป็นโภคภัณฑ์สูง ตอบตามความรู้สึกและยอดขายที่เกิดขึ้นจริง คือผมไม่ได้รู้สึกว่าเศรษฐกิจเราจะแย่ไปกว่าเดือนที่ผ่านมา และตัวเลขผมมีแนวโน้มดีขึ้นจากเดือนก่อน (หลังจากเรา response การหดตัวของการบริโภค) ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมอยู่ในธุรกิจที่กระทบหนักๆ อย่างอสังหา หรือรถยนต์ด้วยนะครับ

กลับมาที่ตลาดหุ้นบ้าง ผมว่าเราเห็นสัญญาณการหดตัวของเศรษฐกิจมาพักใหญ่แล้ว น่าจะมากกว่า 1 เดือนแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบตลาดระหว่างเดือนนี้กับเดือนที่แล้ว กับผมว่าตลาดลดต่ำลงมาอีกราว 10% ซึ่งน่าจะเป็นเพราะหลายๆ สื่อ พาดหัวถึงการปรับลด GDP และมุมมองลบของต่างชาติ พอพาดหัวบ่อยๆ เข้า จากที่เรามองว่าเป็น "สัญญาณ" ก็กลับกลายเป็น "ความจริง" ทั้งที่อันที่จริงความคิดเห็นของทุกสำนักก็ยังคงเป็นเพียงแค่การคาดการณ์อนาคต และเศรษฐกิจในหลาย sector ก็อาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็เป็นได้ ถามว่าคิดว่าตลาดจะมีโอกาสแย่ลงมั้ย ก็คงตอบว่าใช่ครับ แต่ผมไม่คิดว่าจะแย่ลงในระดับมากกว่า 10% อย่างที่ตลาดกังวลครับ

อย่างไรก็ดี ผมยังคงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท และศึกษาข่าวร้ายของธุรกิจที่ตัวเองลงทุนอยู่เสมอๆ เพียงแต่ขอแชร์มุมมองในฐานะของคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตว่าผมไม่เห็นถึงความแตกต่างของธุรกิจในเดือนนี้กับเดือนที่แล้วเลยครับ

ผมยังด้อยประสบการณ์มากนัก จึงขอหยิบยกมุมที่ตัวเองประสบใน real sector มาแชร์ครับ อาจเป็นข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง หรืออาจเป็นมุมมองที่ใช้ไม่ได้ในตลาดทุนนะครับ ขอบคุณครับ

นายมานะ เขียน:ผมอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมพลาสติกนะครับ สินค้าค่อนข้างจะมีความเป็นโภคภัณฑ์สูง ตอบตามความรู้สึกและยอดขายที่เกิดขึ้นจริง คือผมไม่ได้รู้สึกว่าเศรษฐกิจเราจะแย่ไปกว่าเดือนที่ผ่านมา และตัวเลขผมมีแนวโน้มดีขึ้นจากเดือนก่อน (หลังจากเรา response การหดตัวของการบริโภค) ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมอยู่ในธุรกิจที่กระทบหนักๆ อย่างอสังหา หรือรถยนต์ด้วยนะครับ

กลับมาที่ตลาดหุ้นบ้าง ผมว่าเราเห็นสัญญาณการหดตัวของเศรษฐกิจมาพักใหญ่แล้ว น่าจะมากกว่า 1 เดือนแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบตลาดระหว่างเดือนนี้กับเดือนที่แล้ว กับผมว่าตลาดลดต่ำลงมาอีกราว 10% ซึ่งน่าจะเป็นเพราะหลายๆ สื่อ พาดหัวถึงการปรับลด GDP และมุมมองลบของต่างชาติ พอพาดหัวบ่อยๆ เข้า จากที่เรามองว่าเป็น "สัญญาณ" ก็กลับกลายเป็น "ความจริง" ทั้งที่อันที่จริงความคิดเห็นของทุกสำนักก็ยังคงเป็นเพียงแค่การคาดการณ์อนาคต และเศรษฐกิจในหลาย sector ก็อาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็เป็นได้ ถามว่าคิดว่าตลาดจะมีโอกาสแย่ลงมั้ย ก็คงตอบว่าใช่ครับ แต่ผมไม่คิดว่าจะแย่ลงในระดับมากกว่า 10% อย่างที่ตลาดกังวลครับ

อย่างไรก็ดี ผมยังคงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท และศึกษาข่าวร้ายของธุรกิจที่ตัวเองลงทุนอยู่เสมอๆ เพียงแต่ขอแชร์มุมมองในฐานะของคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตว่าผมไม่เห็นถึงความแตกต่างของธุรกิจในเดือนนี้กับเดือนที่แล้วเลยครับ

ผมยังด้อยประสบการณ์มากนัก จึงขอหยิบยกมุมที่ตัวเองประสบใน real sector มาแชร์ครับ อาจเป็นข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง หรืออาจเป็นมุมมองที่ใช้ไม่ได้ในตลาดทุนนะครับ ขอบคุณครับ

ขอโทษด้วยครับ ขอแก้ไขเป็น ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผม"ไม่ได้อยู่"อยู่ในธุรกิจที่กระทบหนักๆ อย่างอสังหา หรือรถยนต์ด้วยนะครับ

Real มาก ๆ ครับ

กับโฉมหน้าของ Mr.Market ณ วันนี้

โลกแห่งความเป็นจริง

กราบเรียนเพื่อนร่วมทาง

ข้าพเจ้าเข้าสู่สงครามตั้งแต่วันแรกด้วยจิตหึกเหิมเป็นที่ตั้ง
แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ บาดแผลนี้เกินจะเยียวยา

ข้าพเจ้าจึงขออำลา ปิดจอ และขอทิ้งศึกนี้ไว้ให้พวกท่านต่อสู้กันต่อไป

แม้นต้องพลาดพลั้ง แต่อย่างน้อยสุดท้ายแล้ว สิ่งที่คงเหลือคือ
ศักดิ์ศรีที่ว่าได้ใช้ความรู้ความสามารถไปแล้วอย่างเต็มกำลัง และ
ศรัทธาที่ว่าสุดท้ายแล้วทุกสิ่งเป็นไปตามกรรม

ขอให้ทุกท่านโชคดี

รบกวนทุกท่าน ช่วยใช้อักษรที่ดูง่ายๆ ชัดเจนหน่อยครับ

มองจาก "ดาวอังคาร" แล้วมันเห็นลางๆ อะครับ

ปล. หลุดดอย ไปอยู่นอกโลก แล้วครับ

สงสัยว่าตลาดลงคราวนี้ผมจะรู้จักตัวเองมากขึ้น....และผมจะยอมรับว่าผมมีอีกสิ่งมากมายที่ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะพัฒนาตัวเอง

บางครั้งเวลาหุ้นตกลงมา ทำไมเราถึงเข้าไปรับหุ้นกัน ทั้ง ๆ ที่บางครั้งหุ้นที่มันลงมาจะว่าถูกก็ไม่ใช่ แต่เราก็รู้สึกว่ามันถูก ส่วนหนึ่งเพราะสมองของเรามักมี reference point ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป

สมมติว่า SET เคยอยู่ที่ 1000 จุด แล้ววิ่งขึ้นมา 1200 จุด หลายครั้งเราจะรู้สึกว่าที่ 1200 จุดนี้หุ้นแพง ไม่อยากซื้อหุ้น แต่พอหุ้นแกว่งอยู่ที่ 1200 จุดไปซักระยะ เราจะเริ่มชินกับ SET ที่ระดับนั้น วันหนึ่งพอหุ้นขึ้นไปที่ 1400 จุด เราจะรู้สึกว่าหุ้นที่เคยอยู่ที่ 1200 จุดจริง ๆ มันก็ไม่แพง แล้วทำไมตอนนั้นเราถึงไม่ซื้อหุ้น ถ้าหุ้นกลับไปที่ 1200 จุดอีกครั้งเราจะไม่พลาดแน่ ๆ

เช่นกันเมื่อหุ้นวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึง 1600 จุด reference point ในสมองเรามันก็จะปรับเปลี่ยนไปอีก นี่แหละคือจุดอ่อนของเรา ที่มักเป็นกับดักให้เราพลาดเสมอ

พอมาวันหนึ่งหุ้นเริ่มไหลลงที่ 1400 จุดอีกครั้ง จึงไม่ต้องแปลกใจที่เราจะรู้สึกว่าหุ้นมันถูก เพราะเรา "เทียบกับ" SET ที่ 1600 จุด ทั้ง ๆ ที่ถ้าดูจากจุดเริ่มต้นแล้วมันขึ้นมาจาก 1000 จุด

บางครั้งการที่จะแก้ไขจุดผิดพลาดตรงนี้ คงต้องย้อนมาที่การประเมินที่เนื้อแท้ของกิจการจริง ๆ พร้อมกับ ๆ MOS ที่เราจะให้แค่ไหน อย่ายึดติดกับตัวเลขในอดีต

ใกล้ปูซานละครับ ศาสน์จากท่านผู้นำส่งมามีใจความว่า

เศรษฐกิจไทยเหมือน รถไฟตกราง ครับ ท่านใบ้ว่า ให้นักลงทุนทุกคนมองไปข้างหน้า4-5ปี

ว่า รถไฟตกราง มันถาวรหรือชั่วคราวครับ

เช้านี้ผมยืนมองจากปูซาน ข้าศึกผ่านแม่น้ำนักดงมาได้แล้ว กองกำลังเริ่มขายน้อยลง

มีแต่เพียงพวกเรา ที่หันปืนใหญ่ใส่กัน ฝรั่งเองยังชอบใจ ที่คนไืทยยิงกันเอง

ท่านผู้นำกล่าวว่า จงกล้าในยามที่คนอื่นกลัวครับ VIแท้ๆ ที่ผ่านพายุหลายลูกจะเข้าใจ

ว่ายามใด ที่ลมพายุสงบ เป็นเวลาที่ เรา ต้องออกหากิน ในยามคนอื่นเผ่นป่าราบไป

หมดแล้ว

ของดีราคาถูก จะมาก้ต่อเมื่อ คนกลัว ของแพงๆจพมาก้ต่อเมื่อคนโลภๆ

stay clam stay invest ครับ

VI คือ คนที่ชอบของดีราคาถูก เช่น ของชิ้น1 ราคา10000 VIพันธ์แท้จะไม่ใช้เงิน 10000

แต่จะรอวันที่ลดราคา เหลือ 4000-5000 เช่น ช่วงลดราคา ขายไม่ออก

อีก 5000-6000 เงินที่เหลือ ก้จะนำไปทำอย่างอื่นได้อีกครับ

หุ้นก้เหมือนกัน ตัวนนี้ลงเยอะซื้อมากหน่อย เพราะ downside ต่ำและ

ลงน้อย ก้ซื้อน้อยหน่อย

ไม่ลงเลย ก้อย่าไปสนใจ


เวลาแห่งการช๊อบปิ้งครับ ไม่ใช่เวลาแห่งการเต้นไปตามอารมณ์ ดั่งเดินไปในฮาเร็ม

สองข้างทางสาวงาม ควักมือเรียก ลดราคากันแบบสุดๆไปเลย

เราเลือกได้ครับ งามหน่อยซื้อเยอะหน่อย

จนถึงวันนี้ชั่วโมงนี้

ตอนนี้ พอร์ต บวก เหลือแค่ 0.33% จากต้นปี ถ้าลงมากกว่านี้ ผมติดลบแน่นอน

สมรภูมิตอนนี้เห็นเลือดเต็ม ไม่รู้ของเรากันเองหรือข้าศึก

ผมระลึกได้คำของ ผู้เฒ่าผู้ล่วงลับ เซอร์จอห์น เทมพลีตัน

Buy when there's blood in the streets, "even if the blood is your own."

Nevercry.boy เขียน:จนถึงวันนี้ชั่วโมงนี้

ตอนนี้ พอร์ต บวก เหลือแค่ 0.33% จากต้นปี ถ้าลงมากกว่านี้ ผมติดลบแน่นอน

สมรภูมิตอนนี้เห็นเลือดเต็ม ไม่รู้ของเรากันเองหรือข้าศึก

ผมระลึกได้คำของ ผู้เฒ่าผู้ล่วงลับ เซอร์จอห์น เทมพลีตัน

Buy when there's blood in the streets, "even if the blood is your own."

งั้นผมขอเป็นแนวหน้า กรุยทางให้พี่NBครับ (-2.2%)

Nevercry.boy เขียน:จนถึงวันนี้ชั่วโมงนี้

ตอนนี้ พอร์ต บวก เหลือแค่ 0.33% จากต้นปี ถ้าลงมากกว่านี้ ผมติดลบแน่นอน

สมรภูมิตอนนี้เห็นเลือดเต็ม ไม่รู้ของเรากันเองหรือข้าศึก

ผมระลึกได้คำของ ผู้เฒ่าผู้ล่วงลับ เซอร์จอห์น เทมพลีตัน

Buy when there's blood in the streets, "even if the blood is your own."

SET 28 ธ.ค. 55 1,391.93 จุด วันนี้ SET 1,293.97 - 7.04% บวก ผลตอบแทนเงินปันผลของ SET ~ 3% รวม ๆ ผลตอบแทนตลาดจากปลายปีก่อนจนถึงวันนี้ ติดลบประมาณ 4% มองโลกในแง่ดียังไม่เลวร้ายเกินไปนักครับ ที่สำคัญยังเหลือเวลาอีก 4 เดือนจะครบปีครับ

ยามตลาดลงอย่าให้ลงมากกว่าตลาดผมว่าก็ดีแล้วครับ ถ้าบวกมากกว่ามาก ๆ ก็ถือว่าเป็นโบนัสครับ

Nevercry.boy เขียน:จนถึงวันนี้ชั่วโมงนี้

ตอนนี้ พอร์ต บวก เหลือแค่ 0.33% จากต้นปี ถ้าลงมากกว่านี้ ผมติดลบแน่นอน

สมรภูมิตอนนี้เห็นเลือดเต็ม ไม่รู้ของเรากันเองหรือข้าศึก

ผมระลึกได้คำของ ผู้เฒ่าผู้ล่วงลับ เซอร์จอห์น เทมพลีตัน

Buy when there's blood in the streets, "even if the blood is your own."

เรียนแม่ทัพ ข้าพเจ้าซาบซึ้งในคำสอนนี้นัก ด้วยความปิติ หมายจะกดบวก มือดันสั่นระริกไปโดนเครื่องหมายลบเสียได้ ขอแม่ทัพโปรดอภัย

Nevercry.boy เขียน:จนถึงวันนี้ชั่วโมงนี้

ตอนนี้ พอร์ต บวก เหลือแค่ 0.33% จากต้นปี ถ้าลงมากกว่านี้ ผมติดลบแน่นอน

สมรภูมิตอนนี้เห็นเลือดเต็ม ไม่รู้ของเรากันเองหรือข้าศึก

ผมระลึกได้คำของ ผู้เฒ่าผู้ล่วงลับ เซอร์จอห์น เทมพลีตัน

Buy when there's blood in the streets, "even if the blood is your own."

น้ำตาจะไหล พอร์ทได้เท่ากับพี่ NB นึกว่าตัวเองจะแย่มาก ๆ แล้ว

เมื่อวานเตรียมกระสุน
(ใส่เงินสดเข้าพอร์ต)

วันนี้ช่วงเช้า-บ่าย เฝ้าส่องจากแดนไกล
(เลือกหุ้นและราคาไว้แล้วกะว่าตอนบ่ายเปิดตลาดได้ซื้อแน่!!!)

ตอนบ่าย-เย็น ....ฟาล์ว!!!
(มัวแต่ยุ่งกับงาน กลับมาดูตลาดอีกที เฮ้ย!!! มันขึ้นไปได้ไง ชาวบ้านเขาลงกันนะเว้ย!!
เฝ้าถึงเย็น ไม่ลงมาเลย อด ป่อยๆๆ...T-T)

ปล. แต่พรุ่งนี้ก็จะเฝ้าส่องต่อไป เพราะเงินยังมีอยู่ในมือ อิอิ...^^)

โดนมีดแทงจังๆครับ เงินสดก้อนสุดท้ายที่ช้อนหุ้นไป ลบไปวันนี้ -10%
เลือดอาบ...

เมื่อเช้าดูข่าว มีหมูตัวหนึ่ง มีนิ้วเกินพิการ โรงเชือด ไม่ฆ่า กลัวเกิดความซวย เลยรอดตายเอาไปปล่อย ได้ไปอยู่วัด เดินไปกับพระ ออกบิณฑบาต ตอนเช้า

หลายวันก่อน ได้อ่านนิทานโบราณ เรื่อง พระราชา เก้านิ้ว นิ้วเน่า ถูกตัด จับ หมอหลวงขังคุก ปรากฎว่า ออก ล่าสัตว์ ถูกคนป่าจับ จะโดนอยู่แล้ว เผอิญหมอผีเห็นนิ้วด้วน
เลยรอดตาย ไม่โดนบูชายัญ ส่วนหมอหลวงออกตามเสด็จประจำ รอดตายเพราะโดนขังคุก

ถ้ามองกลับมาที่ตัวเอง เดือน มิย ขายหุ้นออกไป จิ๊ดดหนึ่งที่ 135X แล้วดัชนีเด้ง (คงจำได้) แล้ววันหน้า ....... ใครจะรู้ ดี หรือ แย่
แต่ถ้าเรามองยาวพอ ผมเชื่อว่า เราก็จะรอดไปได้อีกครั้ง ถ้าเราอยู่กับ กิจการที่ดี
ตอนนี้ผมกลับมองว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้เก็บของที่ราคาถูกลง

แต่ถ้ามองยาวไปกว่านั้นอีก (ว่าแต่ยาวจริงหรือ) หุ้นจะขึ้นหรือลง ก็ตายจากอยู่ดี
ว่าแต่วันนี้เราพร้อมรับของจริง สัจจะชีวิต หรือยัง

ขอบคุณ ท่านกุนซือ วางแผนได้ล้ำลึก ข้าพเจ้าจึงพอรอดจากสมรภูมิ อันดุเดือด มาได้บ้าง
ณ เวลานี้ กองทัพ ทั้ง 2 ฝ่ายกำลังใกล้หมด แรง
ข้าพเจ้ารอวันที่รายย่อยฝ่ายเราที่ตีกันเองจนอ่อนแรง จะได้ตอบโต้ ไอ้ฝรั่ง กลับไปบ้างเสียที

ณ จุดนี้ คงต้องถามตัวเองว่ามีหุ้นที่ถูกเหลือเชื่อ
เทียบกับคุณภาพของบริษัท และผลประกอบการในอนาคตโผล่มาบ้างรึยัง
(ใครหาเจอ PE 2-5 ช่วยกระซิบบอกข้าพเจ้าด้วย
ช่วงนี้สายตาพร่ามัว มองอะไรไม่ค่อยชัดเลย...)

kongkiti เขียน:ขอบคุณ ท่านกุนซือ วางแผนได้ล้ำลึก ข้าพเจ้าจึงพอรอดจากสมรภูมิ อันดุเดือด มาได้บ้าง
ณ เวลานี้ กองทัพ ทั้ง 2 ฝ่ายกำลังใกล้หมด แรง
ข้าพเจ้ารอวันที่รายย่อยฝ่ายเราที่ตีกันเองจนอ่อนแรง จะได้ตอบโต้ ไอ้ฝรั่ง กลับไปบ้างเสียที

ณ จุดนี้ คงต้องถามตัวเองว่ามีหุ้นที่ถูกเหลือเชื่อ
เทียบกับคุณภาพของบริษัท และผลประกอบการในอนาคตโผล่มาบ้างรึยัง
(ใครหาเจอ PE 2-5 ช่วยกระซิบบอกข้าพเจ้าด้วย
ช่วงนี้สายตาพร่ามัว มองอะไรไม่ค่อยชัดเลย...)

หาอยู่เหมือนกัน แต่ PE 2-5 คงไม่ใช่หุ้นดี มองหา PE ไม่เกิน 10 แต่ยังโตอยู่

ผมมองพวก PE<7 PBV<1 หนี้สินต่ำ อนาคตเติบโตสูง เบอร์1หรือ2 ต้องกินใช้ทุกวัน

หรือ พวกรายได้แน่นอน ผูกขาด เช่นพวกเช่า หรือพวก ห้างที่ยังไงคนก้ต้องเดิน

ตลาดหุ้นช่วง คนเห็นหมี มักมี ราคาถูกๆลอยมาเสมอ ไม่ต้องร้อนเงินก้ได้ของดีราคาถูก

เรามักเห็นป้าย เวลาขายถูกๆว่า เจ้าของร้อนเงิน หรือ ขายด่วนเจ้าของจะไปต่างประเทศ

ยามนี้ ป้ายแบบนี้เต็มตลาดหุ้นครับ

เรียบร้อยตลาดปกคลุมด้วยความมืด ศึกนี้หนักแน่ ๆ

micky1115 เขียน:อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่ว่า ทำไมทัพอีก1.2แสนล้านจึงยังไม่ออกมารบกับเรา

ขอให้เราๆท่านนึกถึง กลศึก แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า ซึ่งมีเนื้อหา ดังนี้

กลยุทธ์แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า หรือ เจี่ยชือปู้เตียน (อังกฤษ: Feign madness but keep your balance; จีนตัวเต็ม: 假痴不癲; จีนตัวย่อ: 假痴不癫; พินอิน: Jiǎ chī bù diān) เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการแสร้งยอมทำเป็นโง่ มิเคลื่อนไหวอย่าอวดทำเป็นสู่รู้ทำบุ่มบ่าม การอวดรู้ย่อมกลายเป็นผลเสียแก่ตนเองได้ในภายหน้า คัมภีร์อี้จิงกล่าวว่า "ดุจดั่งอสนีบาตหยุดฟาดฟัน" โดยคำว่า "หยุด" หมายความถึง "อสนีบาตฤดูหนาวแฝงกายอยู่ใต้พื้นพสุธา จักแผดร้องก้องนภาคราฤดูใบไม้ผลิ" ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ที่มีสติปัญญามิพึงแสดงตัว แต่พึงเตรียมการทั้งปวงอย่างลับ ๆ มิให้ผู้ใดล่วงรู้ ประหนึ่งคมดาบที่แอบซ่อนอยู่ภายในฝัก มิปรากฏให้ผู้ใดได้เห็น ครั้นเมื่อถึงเวลาอันสมควรก็จักคำรนคำรามเสมือนสายฟ้า ที่จะกระหน่ำพสุธาให้แตกสลายไป ตัวอย่างการนำเอากลยุทธ์แสร้งทำบอแต่ไม่บ้าไปใช้ได้แก่เล่าปี่ที่แสร้งทำเป็นหวาดกลัวเสียงฟ้าร้องจนตะเกียบหลุดจากมือ เพื่อให้โจโฉตายใจและไม่คิดระแวงเล่าปี่ที่อ่านคิดการใหญ่ในภายหน้า[1]


หรือแม้แต่ ตอนที่สุมาอี้ ทำเป็นหลงลืมแกล้งบ้าเพื่อไม่ให้ โจซองจับได้ว่าคิดการเยี่ยงไร

สถานการณ์แบบนี้ เปรียบได้กับ เสือที่ทำแพ้ ล่อฝูงแกะเข้าหาตัว

แล้วจักขย้ำเสียในอีกไม่ช้าครับ

ท่านผู้นำได้บอกว่า จักเหมือนครา1997 ศัตรูทำท่าจะอ่อนแอแต่สุดท้ายก้กระหน่ำตีโอบ

ล้อมทั้งหน้าและหลังจนเราแตกพ่าย

ท่านผู้นำได้ฝากหนังมา 1 ตอนสำหรับพี่น้องครับ ดูแล้วเป็นปริศนาธรรมบ่งบอกการศึก

กาลข้างหน้าได้ชัดเจน

http://www.youtube.com/watch?v=6OZardEnkDQ

ทัพฝรั่งก้เหมือนดั่งทหารโจโฉ ทัพบกย่อมไม่สันทัดทางน้ำ เดินทางมาไกลเสียทหารไป

ก้มากทัพก้เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า

ตอนนี้คิดว่า ตลาดราคาถูกหรือยังครับ หรือว่าแค่ไม่แพงเฉย ๆ

ตอนนี้กำลังใจทหารฝ่ายเราแย่มากครับ ถอยทัพไม่เป็นระเบียบ วิ่งเปะปะอลหม่าน เหยียบกันตายจำนวนมาก บ้างก็วิ่งลุยเข้าไปหาข้าศึกตามลำพังแล้วโดนจิ้มตายในวิเดียว ระส่ำไปหมด

ตลาดราคาถูกแล้วครับ แต่เวลาสภาพตลาดแย่ ก็มักมีการลดราคา(กำไรน้อยหน่อย หรือเท่าทุน) แต่ถ้าตลาดวาย ขาดทุนก็ขาย อาจจะมีราคาถูกมากๆ ถูกที่สุด สุดจะถูก