หน้า 15 จากทั้งหมด 160

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 24, 2003 3:15 pm
โดย edd
พี่วิบูลย์ครับ ทศท มีสิทธิทำธุรกิจด้านโทรคมนาคมต่างประเทศเพียง 4 ประเทศที่ติดกับประเทศไทยเท่านั้น (border area) ซึ่งประกอบด้วย ลาว มาเลเซีย พม่า และ กัมพูชา เท่านั้น องค์กรที่สามารถทำธุรกิจโทรคมนาคมต่างประเทศ (International Call, Internet, International Leased Line ) ต้องเป็น กสท. เท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) แล้ว
สำหรับ กสท ผมคิดว่าปัจจุบันอาจจะดูเหมือนกับว่ามี DCA แต่ถ้ามีการเปิดเสรีในปี 2549 กสทจะเสียหายมากเนื่องจาก ธุรกิจโทรทางไกลต่างประเทศจะไม่มี barrier of entry เลย เมื่อเปิดเสรีแล้ว บริษัทระดับbig ของโลก เช่น MCI SPRINT AT&T สามารถเข้ามาดำเนินธุรกิจนี้ในไทยได้ทันที เนื่องจากปัจจุบันบริษัทดังกล่าวก็มีวงจรมารอจะเข้าไทยอยู่แล้ว
บริษัทที่จะสามารถแข่งขันเมื่อมีการเปิดตลาดเสรีก็คือบริษัทที่มีส่วน access ไปถึงลูกค้านั่นเอง พูดง่ายๆก็คือบริษัทที่มีลูกค้าในมือมากเช่น ในธุรกิจ Mobile ก็ AIS DTAC ในธุรกิจ Fixed Line ก็ เช่น ทศท TA และ TT&T
และนี่ก็คือเหตุผลหลักข้อหนึ่งที่รัฐบาลมีแนวทางที่จะให้ ทศท และ กสท รวมกันเพื่อสร้างมูลค่าให้กันและกันครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 24, 2003 3:27 pm
โดย edd
ลืมบอกไปครับ ทศท ก็คือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เดิม ปัจจุบันเป็น บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ส่วน กสท คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (ที่ตอนถ่ายทอดสดกีฬาต่างประเทศ ทีวีต้องขอบคุณทุกครั้ง) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็น บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พึ่งจะเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชนเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมาครับ รอเข้าตลาดฯต้นปีหน้า

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 24, 2003 5:19 pm
โดย MO101
กว่าจะอ่านจบ เหนื่อยเลย :)
ชอบข้อความนี้มาก

"แต่กับการซื้อหุ้น
เรากลับทำตรงกันข้าม
เราจ่ายเงินเป็นแสนเป็นล้านซื้อหุ้น
แต่กลับทำความเข้าใจในหุ้นของบริษัทนั้น
น้อยกว่าที่เราใช้ซื้อซีอิ้วสักขวดซะอีก "

DCA ที่สูงมากๆ ก็มี
รถยนตร์ก็ BenZ
รถจักรยานยน HONDA
นาฬิกา Rolex
มือถือ Nokia

ทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่มีในตลาดหุ้น :oops:

เป็นเรื่องที่น่าแปลก ที่ VI
ชอบห้นที่มี DCA
แต่ไม่ชอบสินค้าที่ มี แบรนด์

พี่ๆ เห็นด้วยอะป่าวววว

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 25, 2003 10:16 pm
โดย Mon money
พักนี้อืดๆกันไปหน่อย สงสัยจะเป็น Holiday moodแน่ๆเลย

เรื่องโรงหนังนี่คุณวิบูลย์ว่าไว้ค่อยข้างชัดเจนครับ แต่มันมีอีกประเด็นหนึ่งที่น่ามองคือ ความแตกต่างระหว่างโรงหนัง ถ้าจะเอาง่ายๆก็ลองนึกถึงโรงหนังแบบเดิมที่ฉายหนังใหม่ควบกันสองเรื่องเก็บค่าดูถูกกว่ามากแต่ก็สู้โรงหนังสองสามบริษัทนั้นไม่ได้นะครับ แต่ถ้าเทียบEGVกับMajorแล้วก็ยังพอเห็นความแตกต่างเช่นกัน เช่นความทันสมัย ที่นั่งมีให้เลือกหลายแบบ ความพร้อมของสถานที่ที่เป็นของตัวเองทำให้กำหนดเวลาเปิดปิดได้ และทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดได้ดีกว่า เพื่อนๆเห็นอย่างไรว่ามาได้เลยครับ --ที่ยกมาทั้งหมดนี่ยังไม่มีหุ้นกลุ่มนี้นะครับ

เรื่องที่VIชอบหุ้นที่มีแบรนด์แต่ไม่ชอบซื้อของไม่มีแบรนด์ ผมเห็นด้วยครึ่งเดียวครับ เพราะผมถือคติเดียวกับ Buffett คือ กินอาหารที่ปรุงเองเสมอครับ เพียงแต่ผมพิจารณาจากความจำเป็นและคุณค่าที่ได้รับครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 25, 2003 10:27 pm
โดย VIB007
edd เขียน:พี่วิบูลย์ครับ ทศท มีสิทธิทำธุรกิจด้านโทรคมนาคมต่างประเทศเพียง 4 ประเทศที่ติดกับประเทศไทยเท่านั้น (border area) ซึ่งประกอบด้วย ลาว มาเลเซีย พม่า และ กัมพูชา เท่านั้น องค์กรที่สามารถทำธุรกิจโทรคมนาคมต่างประเทศ (International Call, Internet, International Leased Line ) ต้องเป็น กสท. เท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) แล้ว
สำหรับ กสท ผมคิดว่าปัจจุบันอาจจะดูเหมือนกับว่ามี DCA แต่ถ้ามีการเปิดเสรีในปี 2549 กสทจะเสียหายมากเนื่องจาก ธุรกิจโทรทางไกลต่างประเทศจะไม่มี barrier of entry เลย เมื่อเปิดเสรีแล้ว บริษัทระดับbig ของโลก เช่น MCI SPRINT AT&T สามารถเข้ามาดำเนินธุรกิจนี้ในไทยได้ทันที เนื่องจากปัจจุบันบริษัทดังกล่าวก็มีวงจรมารอจะเข้าไทยอยู่แล้ว
บริษัทที่จะสามารถแข่งขันเมื่อมีการเปิดตลาดเสรีก็คือบริษัทที่มีส่วน access ไปถึงลูกค้านั่นเอง พูดง่ายๆก็คือบริษัทที่มีลูกค้าในมือมากเช่น ในธุรกิจ Mobile ก็ AIS DTAC ในธุรกิจ Fixed Line ก็ เช่น ทศท TA และ TT&T
และนี่ก็คือเหตุผลหลักข้อหนึ่งที่รัฐบาลมีแนวทางที่จะให้ ทศท และ กสท รวมกันเพื่อสร้างมูลค่าให้กันและกันครับ
ขอบคุณคุณEddครับ
ผมพิมพ์ผิดไปจริงๆนะครับ
จริงๆต้องเป็น กสท. - การสื่อสารแห่งประเทศไทย
ไม่ใช่ ทศท. ที่ผมโพสไป
ขอบคุณครับโดยเฉพาะเรื่องที่จะมีคู่แข่งเข้ามาหลังเปิดเสรี
ผมไม่ถนัดเรื่องธุรกิจสื่อสารครับ

แต่เอ...มีใครทราบมั๊ยครับ
ว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เนี่ย
หลังเข้าตลาดจะมีคู่แข่งหรือเปล่า
แล้วหน้าที่และบทบาทของ กฟผ. จะเปลี่ยนเป็นอย่างไร
ใครรู้ช่วยตอบทีนะ อยากรู้นะครับ

แล้วการท่าอากาศยานหละครับ
เป็น Monopoly หรือเปล่า
ผมว่าน่าจะยังเป็นอยู่นะ
เพราะสุดท้ายก็มีสนามบินหนองงูเห่าที่เดียว
ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย
คงบริหารด้วยสองบริษัทไม่ได้
จริงมั๊ยครับ
Buzz เขียน: เกือบเป็น เหมือนกันครับ โดยส่วนตัวผมว่าหุ้นตัวนี้ครอง market share
เกินกว่า 80% ผนวกกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ซึ่งมีความสามารถผลิตชิ้น
ส่วนได้เอง ยังต้องซื้อชิ้นส่วนจากบริษัทนี้ มาใส่ในรถรุ่นเล็กของตัวเองก็น่าจะเริ่มเข้าข่ายแล้วนะครับ....ตรวจสอบด้วย5 forces แล้วยิ่งชัดนะครับ
สมแล้วที่เซียนหุ้น vi พันธุ์แท้ ถือหุ้นตัวนี้ไว้ ............
ขอคารวะ 3 จอกใหญ่
คุณBuzz หมายถึง Stanly ใช่ไหมครับ
ผมกล้าพูดชื่อหุ้นตัวนี้
เพราะราคาไปไกลแล้ว
ใครจะซื้อตอนนี้ ถ้ากล้าก็เชิญเลยครับ
ผมเห็นตั้งแต่ 80 บาท
จน 180 บาทเมื่อราวๆเดือนมิถุนายน
เผลอแป๊ปเดียว ตอนนี้ 380 แล้ว
ภายในสี่เดือนขึ้นมากว่าสองเท่าตัว
ดูๆแล้ว อาจารย์Buffetน่าจะบอกว่า
ธุรกิจดี แต่ส่วนใหญ่แล้ว
อาจารย์จะชอบข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี
หุ้นยอดนิยมอย่างนี้
คงไม่ได้ตังค์อาจารย์ Buffet แน่เลย
ผมเดาเอานะ

ส่วนตัวผม
อะไรดลใจไม่ให้ซื้อหุ้นบริษัทนี้ก็ไม่รู้
อย่างที่ผมเคยบอกไว้เรื่องข้อจำกัดในการลงทุน
บางครั้งผมก็พลาดโอกาสในการลงทุน
เพียงเพราะสงสัยอะไรบางอย่างในธุรกิจนั้น
ก็เลยชวด
ก็เสียดายเหมือนกัน
เชื่อมั๊ยครับ
ตอนนั้น ผมลงทุนเดินดูไฟหน้ารถยนต์ตามที่จอดรถเลยนะ
ว่ามียี่ห้อสแตนเลย์หรือเปล่า
พบว่า D-Max และ Honda City มีชื่อ Stanley หราเลย
แต่ของ Camry จะปั๊ม Toyota ที่ขอบล่างของไฟหน้า
แถมตัดข่าว Isuzu จะส่งออกกระบะไปทั่วโลก
ไว้ในแฟ้มอีกด้วย
ผมคำนวณมูลค่าของบริษัท
พบว่าราคาที่อยู่บนกระดาน
จะต้องมีอัตราการเติบโตที่ผมคิดว่าเป็นไปได้ยากในระยะยาว
ทำให้ผมตัดสินใจ.....รอ
แล้วราคาหุ้นก็ไปไกลกู่ไม่กลับอีกเลย
เอาละ พลาดแล้วพลาดไป
ผมคงต้องรอต่อไป
ไว้วันที่ชาวบ้านเขาเลิกสนใจหุ้นบริษัทนี้
แล้วผมจะมาแวะเวียนดูอีกที
MO101 เขียน: เป็นเรื่องที่น่าแปลก ที่ VI
ชอบห้นที่มี DCA
แต่ไม่ชอบสินค้าที่ มี แบรนด์

พี่ๆ เห็นด้วยอะป่าวววว
หมายความว่า
อย่างพี่ปรัชญาที่ชอบซื้อหุ้นที่มี DCA
แต่ชอบขับกระบะ แทนที่จะขับเบนซ์ (ที่มีแบรนด์) ใช่มั๊ยครับ
ถ้าอย่างนั้น ผมเห็นด้วย
อิ อิ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 26, 2003 12:46 am
โดย Jeng

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ทำให้ผมตัดสินใจ.....รอ 
แล้วราคาหุ้นก็ไปไกลกู่ไม่กลับอีกเลย 
เอาละ พลาดแล้วพลาดไป 
ผมคงต้องรอต่อไป 
ไว้วันที่ชาวบ้านเขาเลิกสนใจหุ้นบริษัทนี้ 
แล้วผมจะมาแวะเวียนดูอีกที 
ทำไมวิบูลย์ ยังยึดราคาที่ขึ้นเป็นบรรทัดฐาน ว่า พลาด (พลาดที่ไม่ได้ซื้อ)

พีว่าวิบูลย์ กำลังพูดเอาใจคนอ่านอยู่นะครับ

แกล้งถล่มตัว อิอิ

พี่ว่า ราคาขึ้นก็ขึ้น ไม่เห็นเกี่ยวกับพลาดหรือไม่พลาด

เพราะราคาที่ขึ้นเช่น ไมโครซอพ แต่ก็ไม่เคยเห็น หนังสือเล่มไหน บอกว่า วอเรน พลาด

จริงๆนะครับ

เท่าที่อ่านมา

" ได้แนวคิดอยู่อย่างหนึ่ง คือ ราคาที่ขึ้นไป จะ vindicate จะยืนยัน ว่าการกระทำของเราถูกต้องแล้ว
ยิ่งขึ้น ยิ่งคิดว่าตัีวเองถูก "

หนังสือเขียนไว้แบบนี้จริง

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 26, 2003 9:14 pm
โดย VIB007
ขอบคุณพี่เจ๋งครับ
ที่ผมคิดว่าพลาดเพราะตั้งใจจะซื้อ
แต่ไม่ได้ซื้อ
อุตส่าห์เดินดูโคมไฟหน้ารถเหมือนคนบ้า
แต่ไม่เป็นไรครับ
โอกาสยังมีอีกเยอะครับ
วันพระไม่ได้มีหนเดียว

มีเรื่องนึงบอกไปอาจจะถูกหมั่นไส้ได้
คือผมไม่ชอบให้หุ้นที่ผมซื้อราคาขึ้นไปสูงมากๆครับ
เพราะผมซื้อเพิ่มไม่ได้
(ชอบให้ค่อยๆขึ้นไปกับผลประกอบการมากกว่า)

อาจารย์ Bufet เคยเขียนไว้ในรายงายประจำปีว่า
"ถ้าเราคิดว่าจะถือบริษัทที่ยอดเยี่ยมนั้นไปตลอด
ราคาที่ลดลงจะเป็นโอกาสดีที่เราจะซื้อหุ้นบริษัทนั้นเพิ่ม"
ส่วนตัวผมไม่เคยกลัวหุ้นตกเลย
เพราะเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้ซื้อหุ้นเพิ่ม
แต่ตอนนี้ ปัญหาคือมันไม่ค่อยลง
มีแต่จะขึ้นอย่างเดียว
อีกขณะนึงก็ดีใจเล็กๆที่พอร์ตก็เติบโตกับชาวบ้านเขาบ้าง
ดังนั้นไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือหุ้นจะลง
ผมก็มีความสุขทั้งนั้นหละครับ
พูดไปจะมีคนเชื่อไหมเนี่ย

มีเรื่องจริงเรื่องนึง
เคยเขียนไว้ในกระทู้ถึงเฮียคลายเครียด
แต่อยากฉายซ้ำที่นี่
คือว่าตอนนี้ญาติพี่น้องผม
เขาบอกผมว่า
ไม่เห็นจะต้องอ่านหนังสือ Buffet เป็นสิบๆเล่มอย่างผม
ก็ทำกำไรได้เยอะแยะ
ผมก็ได้แต่เงียบ
เพราะพวกเขาได้กำไรมากกว่าผมจริงๆ
แต่ก็ไม่ทำให้ผมย่อท้อ ท้อแท้หรอกครับ
กลับทำให้ผมมุ่งมั่นกับแนวทาง VI มากกว่าเดิม
ทำไมเหรอครับ
ก็เพราะเรื่องนี้ อาจารย์Buffet เคยบอกไว้เหมือนกันว่า
ในตอนตลาดหุ้นบูม
แนวทาง Value Investing จะไม่ได้รับความสนใจ
เพราะการเก็งกำไรหรือซื้อๆขายๆ
จะทำกำไรได้อย่างง่ายดาย
เรียกกันว่า Easy Money ครับ
ช่วงประมาณ 1999-2000 ในอเมริกา
ยังมีคนออกมาบอกเลยว่า
"Buffet ตายแล้ว"
เพราะเป็นช่วงหุ้นอินเทอร์เนตบูม
อะไรที่มีคำว่า ดอตคอม เข้าตลาด
รับประกันขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ขณะที่หุ้นเบริกไชน์ตอนนั้นราคาตกต่ำที่สุด
ราวๆ 40,000 เหรียญ

แล้วดูตอนนี้ซิครับ คศ. 2003
ใครชนะ!!!!!!.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า :lol: :lol: :lol:
ตอนนี้หนังสือพิมพ์เรียก Buffet ว่า"เทพเจ้า" ครับ
แถมได้รับการโหวตให้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในธุรกิจอเมริกัน
หุ้นเบริกไชน์นิวไฮน์ที่ 70,000 กว่าเหรียญ
หนังสือเกี่ยวกับ Value Investing ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
แทนที่หุ้นดอตคอมทั้งหลาย

เฮ้อ มันทำให้เห็นสัจธรรมครับ
เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ
ว่า"ใครแน่" อย่างที่ท่าน ดร.นิเวศน์เคยกล่าวไว้

ตอนนี้ผมก็ให้เขาดูถูกต่อไป
แล้วก็ก้มหน้าก้มตา
ทำตามอาจารย์ Buffet ไปเรื่อยๆครับ
ใครจะว่ายังไงก็ช่าง :evil: :evil: :evil:

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 27, 2003 11:08 am
โดย Mon money
ในขณะนี้เรื่องที่พูดกันมากๆก็เรื่อง Value Investing, Is it work? ในเรื่องของปรัชญาการลงทุนต่างๆ Value Investment ก็สามารถพิสูจท์แล้วว่าอยู่ได้ทุกช่วงเวลา ในยามที่อารมณ์ของนายตลาดดีมากๆVIเราต้องคอยสงบรอโอกาส ในช่วงที่นายตลาดซึมๆเป็นเวลาของเราครับ

การที่เรารอคอยโอกาสมิได้หมายความว่าเราแพ้นะครับ เราแค่รอเวลาที่จะเข้าตี และต้องตีให้ชนะราบคาบ แบบตีหัวเข้าบ้านเราไม่ทำครับเสียเวลา

ทีนี้เรากลับมาดูความหมายของการลงทุนนะครับ "การลงทุนคือการที่เรานำเงินไปซื้อสินทรัพย์ที่จะสามารถก่อให้เกิดผลตอบแทนให้เราในอนาคต" การซื้อสินทรัพย์ใดๆเพื่อซื้อต่ำและขายสูงในระยะสั้นๆเป็นการเก็งกำไรครับ สนุกตื่นเต้น แต่บางคนอาจประสาทเสียได้

เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นนักเก็งกำไรมือฉมังครับ ซื้อหุ้นเหมืองทองเอาไว้แล้วราคาพุ่งกระฉูดกำไรมากมายๆพอออกรถCityได้คันเลยละ แต่ด้วยความที่คิดว่ายังต้องขึ้นไปอีก ตามเส้นกราฟว่าไว้ แต่มันไม่เป็นไปตามนั้นครับ มันไหลลงและมีกำไรบ้างพอซื้อนมลูก แต่ถ้าเป็นผม ผมไม่ทำแน่ผมกะถอยเบ็นท์เลยละ แต่ยังไม่ใช่เวลานี้เท่านั้นเองครับ ไม่เห็นต้องรีบเลย รอได้อยู่แล้ว

เรื่องที่อยากคุยต่อมาก็คือ ในช่วงนี้มีปริมาณการซื้อขายสูงมาก อาจจะเกิดได้จากหน้าใหม่ และรุ่นแดอะ ซื้อขายกันตลอดทั้งวัน ลองย้อนไปเมื่อปีสองปีที่แล้วปริมาณการซื้อขายต่ำมากเมื่อเทียบกับช่วงนี้ แสดงให้เห็นภาวะเก็งกำไรที่มากขึ้น หากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากหน้าใหม่ละก็ คงมีเด็กใหม่เจ็บตัวกันมากขึ้น รายใหญ่ผู้เก๋าเกมส์คงมันมือ.....สุดท้าย Value Investment จะเป็นที่พึ่งของเขาเองครับ

การลงทุนแบบเราๆนี้ไม่ค่อยมีคนรู้จักเพราะอย่างหนึ่งไม่มีที่ไหนสอนกันโดยเฉพาะในบ้านเรา ในอเมริกายังมีที่ Columbia University บ้านเราไม่มีเลย น่าน้อยใจจริงๆ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 27, 2003 11:41 am
โดย Jeng

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ตอนนี้ผมก็ให้เขาดูถูกต่อไป 
แล้วก็ก้มหน้าก้มตา 
ทำตามอาจารย์ Buffet ไปเรื่อยๆครับ 
ใครจะว่ายังไงก็ช่าง 
แล้วทำไมต้องให้เขาดูถูกละครับ

เมือวานพี่ไปทานอาหารที่สวนอาหารมหาชัย ชื่อมหาชัยแต่อยู่แถวเลียบทางด่วนเอกมัย - รามอินทรา

เจอรุ่นพี่เตรียมอุดม รุ่นพี่ 2 ปี ทำธุรกิจส่วนตัว เพิ่งเล่นหุ้นมา 1 เดือน ลงเม็ดเงินไปแล้ว 5 ล้านบาท แล้วบอกว่าชอบเก็งกำไร

แรกๆ พี่ก็นั่งอึ้งเหมือนกันเพราะไม่มีเรื่องคุย

แต่สักพัก ก็ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง VI

พี่ถามพี่เขาว่าเขาเคยเล่นการพนันหรือไม่ พี่เขาตอบมาว่า เคย

พี่ถามว่า ถ้าเล่นหุ้นแล้วเสีย อยากได้เงินต้นคืนหรือไม่ พี่เขาก็ตอบว่าอยาก

พี่ถามว่า คนส่วนใหญที่คิดว่าจะเข้ามาทำกำไร ทำไมถึงขาดทุน พี่เขาไม่ตอบ

พี่ก็เลยแสดงเหตุผลว่า

1. ถ้าไม่มีใครดูแลกิจการส่วนตัวที่ทำอยู่ การเข้าไปเก็งกำไร จะทำให้เสียเจ้าของกิจการดีๆ ไปอีก 1 คน

2. อาจจะสูญเสียเวลาที่จะให้กับครอบครัว เพราะนั่งเฝ้าแต่ราคาหุ้น

3. กำไรที่ได้ ถ้าได้จริงจะเลิกได้หรือ และถ้าเสียจะเลิกได้หรือ เพราะพี่เขา ตั้งใจเข้ามาเก็งกำไร กะว่า ปลายปีจะเลิกเล่น

4. เวลาใครจะสร้างราคาหุ้นตัวไหน เขาทำกันอย่างไร เช่น ขาใหญ่โทรสั่งมาร์ ให้ใช้เงินให้น้อยที่สุด แล้วทำราคา จาก X ไป Y เช่น หุ้นตัวหนึ่ง ราคา 30 ขาใหญ่อาจจะโทรมาสั่งให้ทำราคาไปที่ 32 ต้องปิดให้ได้ 32 และต้องใช้เงินให้น้อยที่สุด มาร์ก็มีหน้าที่ทำตาม เพราะฉะนั้น ถ้าจะเล่นเก็งกำไร ถ้าเราไม่ใช่ขาใหญ่ที่สามารถทำราคาได้ โอกาสขาดทุนของเราน่าจะมาก

พี่เขา ก็ดูเหมือนว่าจะยอมรับ แถมเลี้ยงข้าวพี่อีกต่างหาก แต่ไม่รู้ว่ากลับไปบ้าน นั่งด่าเราหรือเปล่า ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ทำมาสั่งสอน

อิอิ

:D :D :D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 27, 2003 6:03 pm
โดย VIB007
ขอบคุณคุณมนและพี่เจ๋งครับ
ที่ให้กำลังใจ
ผมไม่เสียใจหรอกครับ
ที่มาแนว VI
เพราะทุกวันนี้พี่ๆน้องๆผม
ยังเป็นนักลงทุนประเภท ข. อยู่เลยนะครับ
ซื้อหุ้นตามเขาบอก ไม่ได้คิดเอง
ส่วนผม
ร่อนตระแกรงเองครับ
ได้มากได้น้อยก็น่าภูมิใจ
อย่างน้อยก็ดูงบการเงินเป็นล่ะ
ขณะที่ญาติพี่น้องผมยังไม่เคยโหลด
งบการเงินมาดูกันเลย
เวลาพวกเขาพูดว่า
ราคาหุ้นตัวนั้นจะมีราคาเท่านั้นเท่านี้
ผมยังอยากถามเลยว่า
รู้ได้ยังไง เอาอะไรมาพยากรณ์ อยากจะรู้
แต่ไม่ได้ถามเพราะไม่อยากยุ่ง

เอาล่ะวันนี้ขอบ่นเพียงเท่านี้
แล้วท่านอื่นๆละครับ
ยังเป็นนักลงทุนประเถท ข. อยู่หรือเปล่า อิ อิ

อ้อ...มีอีกเรื่องนึง
เคยได้ยินเซียนหุ้นหมอฟันท่านนึง
เคยกล่าวไว้ว่า
"ลองได้เข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว
คุณไม่มีวันออกไปได้หรอก
จนกว่าจะหมดตัว"
ก็ไม่รู้ว่าจะจริงเท็จแค่ไหน
อาจจะต้องถามนักเก็งกำไรกันดูนะครับ

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 27, 2003 11:01 pm
โดย Mon money
พรุ่งนี้ผมจะไปประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทหนึ่งครับ ผมพบข้อมูลหลายอย่างในงบการเงินที่น่าสงสัยครับ จึงนึกถึงข้อความที่Buffettเคยพูดไว้ถึงปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Instituetional Imparative ไม่รู้จะแปลเอาความว่า "การกระทำตามคนส่วนใหญ่"ได้หรือเปล่า

ปรากฎการณ์นี้อธิบายถึงความไม่มีเหตุมีผลในการตัดสินใจดำเนินงานในเรื่องต่างๆของเหล่าผู้บริหาร เช่นการลงทุนในโครงการที่เป็นที่นิยมและมีผู้อื่นทำได้ดีกว่าอยู่แล้ว และบางทีบริษัทเองไม่มีประสบการณ์ในโครงการณ์นั้นๆเลย แต่ผู้บริหารเห็นว่าน่าจะทำกำไรได้ดีจึงเข้าร่วมวงด้วย

ผลเสียที่อาจจะเกิดจากปรากฎการณ์นี้มีมากมายครับ เช่นโครงการณ์นั้นไปไม่รอดสร้างความสูญเสียมากมาย หรือบางที่ไปได้แบบลุ่มๆดอนๆแต่ผู้บริหารเสียหน้าจึงทู่ซี้ทำต่อไปแม้มันจะทำลายมูลค่า

ผมมาชวนเพื่อนๆมาตรวจสอบกิจการของเรากันว่า ผู้บริหารของเรามีพฤติการณ์เข้าข่ายนี้กันบ้างหรือไม่

ใครมีอะไรเสริมเชิญได้เลยนะครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 28, 2003 12:47 pm
โดย VIB007
เอ......ผมสงสัยว่า
พี่Chatchai ตอนนี้หายไปไหนน่ะ
ไม่เห็นมาตอบเรื่อง FCF ของคุณ Guest เลย
พี่Chatchai อยู่ที่ไหน ช่วยรายงานตัวด้วยนะครับ

เรื่องที่คุณมนถาม
เอาที่เจอกับตัวเองเลย
ก็คือ
การแจก Option ผู้บริหารครับ
บริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่
เมื่อปีที่แล้วคณะกรรมการมีมติให้มีการแจก
"สิทธิการซื้อหุ้นในราคาตลาดเฉลี่ย"
ให้กับผู้บริหารและพนักงานของบริษัท
โดยพนักงานทุกคนจะได้รับสิทธิ
ในการซื้อหุ้นของบริษัทที่จะเพิ่มทุนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ที่ราคาเฉลี่ยระหว่างปีของปีนั้น
และสามารถขายในตลาดได้ทันที

ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบใจวิธีการนี้นัก
เพราะมันอาจทำให้ผู้บริหารปั่นผลประกอบการ
ให้เกินจริง
เพื่อดันราคาหุ้นขึ้น เพื่อตัวเองจะได้ใช้สิทธิ
ซื้อหุ้นราคาถูก ไปขายในตลาดที่ราคาแพง
สุดท้ายคนที่จะต้องจ่ายเงินก้อนนี้
ก็คือผู้ถือหุ้น
เพราะเงินที่เพิ่มทุน
ก็มาจากกำไรสะสม
ถ้าผมเป็นกรรมการ
ผมจะค้านความคิดนี้เต็มที่เลยครับ
ผมคิดแบบอาจารย์ Buffet ครับ
ที่ว่าถ้าพนักงานอยากถือหุ้นบริษัท
ก็ให้ไปซื้อเอาเองจากตลาด
ไม่ต้องเอาอัฐยายมาซื้อขนมยาย
ให้เป็นแฟชั่นเหมือนคนอื่นเขา
ให้แจกโบนัสเป็นเงินสดเลยครับ
ไม่ต้องทำตามแฟชั่นแจกโบนัสเป็น
Option เหมือนคนอื่น

โชคดีที่จำนวนหุ้นที่ใช้สิทธิ
ถูกกำหนดเพดานไว้ที่ไม่เกิน 1%
ของจำนวนทุนจดทะเบียนทั้งหมด
ไม่งั้น ผมสละเรือแน่
ตอนนี้ก็ยังถืออยู่ครับ
ผลประกอบการก็ไม่ได้เวอร์อย่างที่คิด
ดูแล้วก็โอเค
แต่ก็ต้องคอยดูต่อไปเรื่อยๆ

อย่างนี้ เขาเรียกว่า
Instituetional Imparative
หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ
เห็นบริษัทอื่นแจก Option ก็เลยแจกบ้าง

ลืมบอกไปว่า
ที่ Enron ล้มก็เพราะการแจก Option
ให้ผู้บริหารนี่ละครับ
พวกเล่นซุกหนี้ ปั่นEarning เพื่อดันราคาหุ้น
แล้วก็ใช้สิทธิซื้อหุ้นถูกไปขายแพงๆ เอาเงินเข้ากระเป๋า
สุดท้ายน้ำลดตอผุด บริษัทเจ๊งครับ

หวังว่าบริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่ คงไม่เป็น Enron สองนะครับ
เห็นแล้วหนาวแทนผู้ถือหุ้น

แล้วท่านอื่นๆมีตัวอย่างหรือประสบการณ์เรื่องแนวนี้บ้างหรือเปล่าครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 29, 2003 9:57 pm
โดย Mon money
สงสัยผมกับคุณวิบูลย์คงตกงานแน่ๆคราวนี้ เพราะไม่มีผู้ใดสนใจกระทู้นี้อีกแล้ว

คุณฉัตรชัยไปไหนหนอ เอาให้จบโครงการด้วยการปิดด้วยFCFหน่อยเถิดครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 29, 2003 9:59 pm
โดย ปรัชญา1
MO101 เขียน: เป็นเรื่องที่น่าแปลก ที่ VI
ชอบห้นที่มี DCA
แต่ไม่ชอบสินค้าที่ มี แบรนด์

พี่ๆ เห็นด้วยอะป่าวววว
หมายความว่า
อย่างพี่ปรัชญาที่ชอบซื้อหุ้นที่มี DCA
แต่ชอบขับกระบะ แทนที่จะขับเบนซ์ (ที่มีแบรนด์) ใช่มั๊ยครับ
ถ้าอย่างนั้น ผมเห็นด้วย
อิ อิ[/quote]

:P อ่านซะตาลายเลยครับ ได้เนื้อหาสาระเต็มรูปแบบของคุณวิบูลย์

ที่ขับรถกระบะ เพราะการดูแลรักษาใช้เงินน้อยครับ
และยังต้องขนของและค้าขาย

มีเรื่องเล่าครับ เรื่องเบนซ์

เพื่อนผมมันว่า.......เลยติดในความทรงจำอยู่

เพื่อนผมว่า...ถ้าจะขี่เบ๊นซ์ ก็ต้องราคา5ล้านขึ้นไปครับ
ถ้าราคาต่ำกว่า5ล้าน เมืองนอกเขาใช้ทำรถแท็กซี่

(เกิดมาผมก็ไม่เคยไปเมืองนอกไม่รู้ถูกหลอกหรือเปล่า)

เพื่อนผมว่า...พวกขี่เบ๊นซ์ ราคา1.9ล้านถึง5ล้าน
สังเกตุดูคนพวกนี้ จะซื้อมาใช้เพื่อลบปมด้อยของชีวิต
ทนคนอื่นดูถูกไม่ได้ว่า....จบประถม4แต่มีกิจการเหลือกินเหลือใช้
ผมก็เลยคิดว่า ..ชีวิตนี้ ถ้ามีโอกาส(โอกาสหายากมาก)
อยากขับพวกBMW หรือ ออดี้ พวกนี้ครับ
กลัวถ้าขี่เบ๊นซ์ เจอเพื่อนเรียกจอดแล้วว่า..


กูว่าแล้ว-ก็เหมือนเจ๊กพวกนั้น

อยากมีระดับ แต่ไม่ยอมจ่ายแพง อิอิ

ไม่ได้คุยกับคุณวิบูลย์ เลยเรื่องหุ้นเรื่องความรู้
คุยแต่อะไรก็ไม่รู้ คิดอย่างไรก็ว่ากันไปนะครับ

เมื่อตอนผมเล่นหุ้นเข้าทางท่าน ดร.นิเวศน์ใหม่ๆ
ผมก็ซื้อ หุ้น พวกมีแบรนด์เนมครับ

คือซื้อ TF SSC WACOAL และอื่นๆ
แต่น้ำอึดน้ำทนผมมีไม่เพียงพอ ถือหุ้นแล้ว3เดือน
ราคาไม่ไปไหนก็เบื่อ และขายออกไปแบบเท่าทุนหรือกำไรนิดหน่อย
สุดท้ายพออยากกับไปซื้ออีกที ราคาก็ไปไกล
จนทำใจซื้อกับไม่ไหว ทุกวันนี้ผมก็พยายามใหม่
แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนครับ
ลมพัดมาแรงๆ ก็ซวนเซ ไปตามลม
บางครั้งเหมือนโกหกตัวเอง บางครั้งเหมือนโกหกคนอื่น
จุดยืนไม่มั่นคงเหมือนคุณวิบูลย์ครับ

เหมือนโบราณว่า....การเริ่มต้น

ถ้าเราเริ่มต้นทางไหน ก็จะตรงไปทางนั้นแบบสมบูรณ์

พอการเริ่มต้นฝึกฝนหัดเดินใหม่ ก็เท่ากับนับ1ใหม่
คงแบบแม่ปู กับลูกปู
ปรึกษาพี่ครรชิต ขอคำแนะนำบ่อยๆ
พี่ครรชิตก็ปลอบใจ บอกแนวทาง

แต่พอถึงจุดเปลี่ยนก็ลืมหมด
พอคิดได้ มันก็ลำบาก ผมเป็นคนใจอ่อน(ไม่ใช่ใจง่าย)
นิสัยสงสารคน พูดความจริงโดยไม่สนใจคนฟัง
ผมมีจุดอ่อนมากครับ ก็พยายามอ่านกระทู้นี้
ได้อะไรมามากพอดู พอเก็บ ก็ขอติดตามและฝึกเปลี่ยนแนวคิดมุมมอง

ผมมาจาก..........นักเก็งกำไร
แต่อยากจะเปลี่ยนมาเป็นนักลงทุนหุ้นมีคุณค่า
ไม่รู้ว่าจะสำเร็จแค่ไหน ลองดูครับ

ผมถึงอยากแนะนำบุคคลรอบข้างให้เข้ามาอ่านเวปนี้ และอ่านกระทู้นี้
การเริ่มต้น เป็นแนวทางที่สำคัญครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 30, 2003 1:39 pm
โดย VIB007
ผมนึกว่าจะต้องตกงาน
กับคุณMon สองคนกันแล้วคราวนี้
เพราะแฟนๆเลิกสนใจกระทู้นี้แล้ว

โชคยังดีที่พี่ปรัชญา
มาต่อเติมความคิด
ให้ไปได้ต่อ
ไม่งั้นผมหมดมุขแน่ๆ

ที่พี่ปรัชญาบอกมา
ก็ยอผมเกินไปครับ
ผมเป็นแค่นักลงทุนธรรมดาคนนึงเท่านั้นเอง
พอร์ตก็ไม่ได้ใหญ่โต
อย่างชาวบ้านเขา
โบรกไม่ค่อยได้เงินผม
เพราะไม่ค่อยได้ใช้บริการ
มาร์เก็ตติ้งผมเป็นแฟนเพื่อนผมเอง
เขาหาว่าผมบ้าครับ
ซื้อหุ้นแล้วไม่ยอมขาย
แถมเวลาผมสั่งซื้อ
เขากลับอิดออด
บอกเบาๆว่า
คุณวิบูลย์ซื้อไปทำไมครับ
เขาไม่"เล่น"กันครับหุ้นพวกนี้
เขายังแซวผมเลยว่า
สงสัยพวกคุณเล่นซื้อขายกันเอง
ผมก็ได้แต่หัวเราะ
แรกๆเขาก็โทรมาบอกให้ผมขาย
เพราะราคาขึ้นไปแล้ว 20%
ผมบอกผมไม่ขาย
หลังๆเขาก็เลิกโทรไปเอง
เจอครั้งหลังสุด
ผมโทรไปบอกเขาว่า
ผมจะขายหุ้น
เขาบอกผมว่า
อย่าขายเลย
เอ้า....เป็นงั้นไป
ผมล่ะเป็นงง

ที่เล่ามานี่
เอาไว้เป็นน้ำจิ้มครับ พี่ปรัชญา
ถ้าพี่เดินมาทาง VI 100%
เมื่อไหร่
ผมรับประกันว่า
คุยกับชาวบ้านไม่รู้เรื่องแน่ๆ
อิ อิ

พอดีในหนังสือหลายเล่ม
เขียนถึงคุณสมบัติที่ดีของ VI
ผมขอเอามาเล่าให้ฟังกันนะครับ

คุณสมบัติที่สำคัญของ Value Investor มีดังนี้
1) Patience มีความอดทนเป็นเลิศ
ข้อนี้ไม่ต้องพูดมากเลยครับ ชัดเจนและจริงจัง
ใครจะสามารถรอจนตลาดตกสุดๆกว่าจะชักกระบี่ได้
หรือใครจะสามารถรอจนหุ้นที่ถืออยู่แสดงอิทธิฤทธิ์ได้

อาจารย์ Buffet ทำได้ครับ
แกรออยู่สามปีหลังจากยุบ Buffet Partnership
กว่าจะเริ่มเข้าตลาดใหม่อีกครั้ง

แกถือหุ้น Coco-Cola อยู่สิบปี
กว่าราคาจะวิ่งไปเป็นสิบๆเท่า
ปีแรกที่ถือราคาขึ้นไปไม่กี่สิบเปอร์เซนต์เองครับ
ส่วนหุ้น Well-Fargo ไม่ต้องพูดถึง
ราคาหลังจากซื้อมาปีแรก
ลดลงไปถึง 50%
เป็นพี่ปรัชญาจะทนไหวไหมครับ
หลังจากนั้นสิบปี
ราคาขึ้นไปเป็นสิบเท่าเหมือนกันครับ
อมิตพุทธ

นี่ยังไม่นับรวมความอดทน
ที่ต้องเห็นราคาหุ้นตัวอื่นแซงหน้าไปในระยะสั้น
เช่น ตอนหุ้นดอตคอมแซงเบริคชายน์
ไปไม่เห็นฝุ่นตอนปลาย 90

2) Knowledge ต้องมีความรู้
อันนี้ก็ชัดเจนอีกเช่นกัน
ไม่มีความรู้เรื่องบัญชี
ก็ไม่รู้ว่าผู้บริหารหมกเม็ดหรือเปล่า
ฐานะทางการเงินเป็นอย่างไร
ถือแล้วถือได้นานแค่ไหน
มูลค่ากิจการที่แท้จริงเป็นเท่าไหร่
คำถามเหล่านี้
ต้องตอบด้วยความรู้ครับ
อาจจะไม่ต้องได้ดีกรีดอกเตอร์ทางบัญชีนะครับ
เอาความรู้แค่พอหากินได้ก็พอครับ

3) Attitute ต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อตลาดหุ้น
คนอื่นเขามองเห็นตลาดหุ้นเป็นแหล่งพนัน
แต่เรามองเห็นเป็นแหล่งลงทุนระยะยาว

คนอื่นเห็นราคาหุ้นวิ่งๆก็รีบเข้าไปซื้อ
กลัวตกรถไฟไปเที่ยวดอยสุเทพ
เรากลับต้องระวังตัว

คนอื่นตื่นกลัว
เทขายหุ้นยอดเยี่ยมในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ
เรากลับซื้อด้วยความยินดี
ที่ได้ของถูก
(ไม่น่าแปลกที่คนหาว่าบ้า อิ อิ)

ยิ่งเรามีทัศนคติที่ถูกต้องเท่าไหร่
เราก็จะมีความคมเหนือคนอื่นเท่านั้นครับ
(Peter Lynch เรียกว่า มี "Edge" กว่าชาวบ้านครับ)

Buffet บอกว่า
ถ้าเราคิดว่าการซื้อหุ้นเหมือนการซื้อกิจการ
เราก็นำหน้าคนกว่า 90% ของตลาดแล้วครับ

4) Diligent มีความขยัน
อันนี้หมายถึง การขยันทำการบ้านนะครับ
ขยันอ่าน
ขยันศึกษาบริษัท
ขยันถาม
ขยันฯลฯ

ถ้าไม่ขยันทำการบ้าน
ก็จะกลายเป็น
"นักลงทุนประเภท ข." ไปนะครับ
ระวังตัวกันด้วยนะครับ

หัวข้อนี้
ผมยกให้พี่ปรัชญาเป็นกระบี่มือหนึ่ง
เพราะได้ข่าวมาว่า
พี่ขยันในการศึกษาข้อมูลบริษัทมากๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน
ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด
ใช่มั๊ยครับ พี่ปรัชญา อิ อิ

ถ้าเอาสี่ข้อข้างบนมาเรียงใหม่ก็จะเป็น
Knowledge-Attitiute-Patience-Diligent
ย่อใหม่เป็น KAPD อ่านว่า แคปดี
เลียนแบบ CAPM แคปเอ็มของคุณMon ในเรื่อง EMT ไงครับ
ยังจำกันได้ไหมครับ

เอาล่ะครับ
จริงๆยังมีคุณสมบัติที่ดีของ VI อีกมาก
แต่ผมคิดว่าสามสี่ข้อนี้แหละครับ
น่าจะสำคัญที่สุด

แล้วพี่ๆเพื่อนๆละครับ
มีคุณสมบัติ VI ติดตัวครบถ้วนกระบวนความกันหรือยังครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 30, 2003 4:10 pm
โดย Phayaoman
คุณ VIB007 ไม่ต้องกลัวตกงานหรอกครับ อย่างน้อยก็มีผมคนนึงละเข้ามาอ่านติดตามหาความรู้ในกระทู้นี้ตลอดเวลา เพิ่มความรู้ให้กับตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อทำให้ตัวเองกลายเป็น vi ตัวจริงในวันข้างหน้า คงอีกสัก 20 ปีมั้งตอนนี้ก็ค่อยๆทำให้พอร์ตของตัวเองค่อยๆโตไปทีละนิดๆ อีกสัก 20 ปีคงมีเงินปันผลพอสำหรับเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวแบบสบายๆ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 31, 2003 10:15 am
โดย ลูกอิสาน
พูดถึงเรื่องมาร์เก็ตติ้ง....

สองวันที่แล้วมาร์คนใหม่โทรมาหาผม..(คนเก่าย้ายอีกแล้ว!!)
บอกว่าโทรมารายงานปอด...ผมก็ได้แต่ครับ..ครับ อย่างเดียว ฟังเขา

แต่พอบอกว่า "ปอดกำไรทุกตัวเลยค่ะ สนใจจะขายทำกำไรไหมคะ"
คราวนี้รีบเลยครับ...>>รอก่อนดีกว่าครับ
บอกว่ารายงานปอด แต่ที่แ้ท้ก็ยุให้ขายนี่เอง
อย่างนี้เรียกว่า มี ้hidden agenda >วาระแอบแฝง..

มาร์เก็ตติ้งกำลังจะตาย ไม่รู้จะจริงหรือเปล่า เพราะการเข้ามาของอินเตอร์เนท
ผมเชื่อว่าจริง แต่คงไม่ใช่่ระยะเวลาอันใกล้
โดยเฉพาะเมืองไทย เพราะอาม้า-อาซิ้มยังใช้คอมไม่เป็น
และมีอีกอย่างที่คอมก็สู้มาร์ไม่ได้
วันก่อนมาร์ผม อุตส่าห์แวะมาเยี่ยม หอบของมาฝากพะรุงพะรัง....
ดูราคาของแล้ว น่าจะน้อยกว่าค่าคอม์ผมทั้งปีนิดเดียวเอง... :lol: :lol:
นี่แหละครับ สิ่งที่อินเตอร์เนทให้ไม่ได้คือน้ำใจ-ความสัมพันธ์...แต่มาร์มีให้

อีกครั้ง ไปนั่งในห้องค้า ได้ยินมาร์อีกคนพูดกับลูกค้า
"คุณพี่เบื่อที่จะซื้อหุ้นกับน้องหรือยังค่าาาา"
ผมขนลุกซู่เลยครับ..
คิดในใจว่า...(จะขายหุ้นหรือขายอย่างอื่นกันเนี่ย :lol: :lol: )

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 31, 2003 10:40 am
โดย Mon money
แหม! คิดว่าไม่มีใครสนใจเสียอีก พอมีผู้ติดตามแสดงตัวบ้างก็สบายใจครับ

ผมก็นึกอะไรที่จะคุยไม่ออกแล้ว ถ้าไม่มีใครอยากรู้อะไรอีกก็เห็นทีจะสงบอารมณ์ สักพัก เพราะตั้งใจจะเขียนหนังสือ สักเล่มหนึ่งออกแจกตอนปีใหม่ หรือเก็บเงินเอาไปทำบุญให้เด็กด้อยโอกาสครับ ผมคงไม่ทำเป็นเล่มแต่จะทำเป็นE-Book ลงในCD เพราะง่ายดี และต้นทุนต่ำ ใครอยากอ่านเรื่องอะไร บอกได้เลย เพราะผมมีplotเรื่องบางส่วนแล้วครับ

ที่จริง web และกระทู้นี้เป็นของพวกเราทุกคน หมายถึงทุกคนเป็นเจ้าของ หรือพูดให้งงอีกก็คือไม่มีเจ้าของเป็นเรื่องเป็นราว มีแต่ทีมทำงานเท่านั้น และ สมาชิกทุกท่านร่วมเป็นเจ้าของ ดังนั้นพวกเราควรทำให้ webของเรานี้มี DCAให้มากที่สุดและให้อยู่ได้นานเท่านานที่สุดนะครับ พวกเราคงต้องช่วยกันสืบสานกันต่อไป ผมหวังเช่นนั้น พวกเราเริ่ม แต่อยากให้สมาชิกทำนุบำรุงกันต่อไป มันจะอยู่กับเรานานๆครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 31, 2003 11:50 am
โดย Wvix
สวัสดีครับ
Wonderful Beautiful Place สถานที่นี้ดูสงบร่มเย็นเปรียบเสมือนห้องสมุดความรู้และมีนักวิชาการที่เก่งๆมากมายมาถกกันเกี่ยวกับแนวทางการลงทุนที่ถูกต้อง I like that. ไม่น่าเชื่อว่าจะมี Community ที่ดีแบบนี้ด้วย ผมขอแอบอยู่หลังห้องคอยศึกษาจากพวกพี่ๆนะครับ ซึ่งหวังว่าสักวันผมจะได้เก่งแบบเพื่อนๆพี่ๆในนี้และมีโอกาสจะได้มาและเปลี่ยนกันบ้าง ผมว่ามีน้องๆที่สนใจการลงทุนแบบนี้แอบอ่านอยู่หลังห้องเยอะเหมือนกันนะครับ เป็นกำลังใจให้พวกพี่ๆครับ สังคมไทยจะได้พัฒนาซะที อยากให้เลิกจริงๆการเล่นหุ้นแบบเล่นหวยเนี่ย (เซ็งคนส่วนใหญ่)
Sincerely everyone.

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 31, 2003 3:58 pm
โดย ลูกอิสาน
เห็นด้วยว่า CAPD ของคุณวิบูลย์น่าจะดีกว่า CAMP ของพวกวอลล์สตรีทโนเบลไพรซ์....

ทั้ง 4 ข้อ ข้อแรกน่าจะสอนกันยากเย็น เพราะสอนกันไม่ได้ครับ...>>ความอดทน ต้องฝึกฝนกันเอง โดยเฉพาะเวลาหุ้นขึ้นอย่างนี้ แต่ปอดเรากลับทรงๆ ทรุดๆ ..(ขอบ่นหน่อย) :cry:

พูดถึงเรื่องนี้มีข้อสังเกตุว่า..

ดร.เคยบอกว่า ท่านลงหุ้น>>เต็มร้อย คือเงินอยู่ในหุ้น 100% ข้อดีคือ ลดความผันผวน เหมาะกับสภาวะตลาดกระทิง แต่ข้อด้อย คืออาจจะไม่เหมาะกับภาวะตลาดขาลง...

ฺBuffet >>ส่วนใหญ่ลงในหุ้น แต่บางครั้งก็เก็บเงินสด เพราะราคาหุ้นในตลาดสูงเกินไป ข้อดีคือเหมาะกับสภาวะตลาดขาลง แต่เีสียโอกาสในภาวะตลาดขาขึ้น ปัญหาคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดจะขึ้นหรือลง?...

ไม่ทราบว่าลูกศิษย์บัฟเฟท์ อย่างคุณวิบูลย์มีทัศนคติต่อเรื่องนี้อย่างไรครับ :D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 31, 2003 5:36 pm
โดย VIB007
ขอบคุณพี่ๆน้องๆเพื่อนๆแฟนๆ
ของกระทู้นี้ทุกท่านครับ

ผมคิดแบบเดียวกับคุณมนครับ
ที่ว่า"กระทู้นี้เป็นของทุกคนในเวปนี้"
ใครมีความคิดเห็นอย่างไร
ส่งเข้ามาได้เลยครับ
และใครอยากจะตอบอะไร
ก็ตอบได้เลยครับ
ไม่ต้องรอคำตอบจากผมก็ได้
ถึงแม้จะมีชื่อผมหราอยู่บนกระทู้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
ท่านอื่นๆจะตอบแทนไม่ได้นะครับ

ที่ผมตอบอยู่กระทู้เดียวนี่
ไม่ใช่หยิ่งนะครับ
พอดีงานราษฏร์งานหลวง
มันรัดตัว
ไม่มีเวลาตอบกระทู้อื่นจริงๆ
และอีกอย่าง
ผมอยากให้ความรู้ความเห็นเกี่ยวกับการลงทุน
อยู่ในกระทู้เดียว
เพื่อคนรุ่นหลังที่เพิ่งเข้ามา
จะได้อ่านตั้งแต่ต้น จะได้เข้าใจ
และความรู้จะได้ไม่กระจัดกระจายหายไปไหน
ใครอยากพูดคุยอะไร
ก็ใช้เวทีนี้ได้ครับ

คุณ Payaoman ครับ
ผมว่าถ้าเราตั้งใจจริง
ใช้เวลาไม่น่าถึง 20 ปีหรอกครับ
ก็จะมีอิสรภาพทางการเงินได้
ผมรับประกันและเป็นกำลังใจครับ

ส่วนที่น้อง Wvix เขียนมา
ต้องขอบคุณครับที่ให้กำลังใจ
อยากให้แสดงความคิดเห็นกันเยอะๆครับ
จะได้ต่อยอดความรู้กันได้
บางทีผมก็คิดไม่ออกว่าจะคุยเรื่องอะไรดี
พูดคนเดียวคิดคนเดียว
มันจะกลายเป็น"บ่น"ไป
ผมชอบ Interactive ครับ
มันได้รสชาดมากกว่า

รู้สึกว่า คุณพี่CK จะกลับมาแล้ว
คราวนี้ผมคงไม่เหงา
เพราะพี่เขาหายไปนาน
แถมไม่ยอมบอกว่าจะไปไหน
น้องๆแถวนี้เลยใจหายกันหมด
นึกว่า
ย้ายไปทำงานเมืองนอกซะแล้ว
Welcome Back ครับคุณพี่CK
_ลูกอีสาน เขียน: พูดถึงเรื่องนี้มีข้อสังเกตุว่า..

ดร.เคยบอกว่า ท่านลงหุ้น>>เต็มร้อย คือเงินอยู่ในหุ้น 100% ข้อดีคือ ลดความผันผวน เหมาะกับสภาวะตลาดกระทิง แต่ข้อด้อย คืออาจจะไม่เหมาะกับภาวะตลาดขาลง...

ฺBuffet >>ส่วนใหญ่ลงในหุ้น แต่บางครั้งก็เก็บเงินสด เพราะราคาหุ้นในตลาดสูงเกินไป ข้อดีคือเหมาะกับสภาวะตลาดขาลง แต่เีสียโอกาสในภาวะตลาดขาขึ้น ปัญหาคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดจะขึ้นหรือลง?...

ไม่ทราบว่าลูกศิษย์บัฟเฟท์ อย่างคุณวิบูลย์มีทัศนคติต่อเรื่องนี้อย่างไรครับ :D
เรื่องนี้นะครับ คุณลูกอีสาน
อาจารย์ Buffet เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งครับว่า

"สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตของมนุษย์คือการมีความอดทน
เมื่อเรามีเงินสดอยู่ในมือ
เราส่วนใหญ่ก็จะนำเงินดังกล่าวไปซื้อหุ้นทันที
เรามีความอดทนไม่พอที่จะรอ

ดังนั้นเมื่อโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาถึง
เรากลับคว้าไว้ไม่ได้
เพราะเราไม่มีเงินสำรองเพียงพอ

การซื้อหุ้นเพียงเพราะ
เรามีเงินสดอยู่ในมือ
แล้วอดใจไว้ไม่ได้
เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย"

ไม่ทราบว่าจะโดนใจพวกเราหรือเปล่า
ส่วนตัวผม
เคยรู้สึกเหมือนกับที่อาจารย์Buffet บอกมาหละครับ
เมื่อผมมีเงินเก็บ
ผมก็อดไม่ได้ที่มีเงิน
ผมก็เอาเงินไปซื้อหุ้นทันที
จนหมดกระเป๋า
ปรากฎว่า
ราคาหุ้นมันร่วงลงไปอีกครับ
ผมก็มานั่งคิด
ถ้าผมพอมีเงินเหลือ
ผมก็น่าจะซื้อหุ้นนั้นเพิ่ม
ผมทำไม่ได้ครับ
เพราะเงินหมด

หลังจากนั้นเป็นต้นมา
ผมก็จะกันเงินสำรองส่วนหนึ่ง
ไว้สำหรับเวลาหุ้นร่วง
ผมจะได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทที่ยอดเยี่ยม
หรือ
ซื้อหุ้นที่ดีๆอื่นๆในราคาที่น่าพอใจ
ผมก็รู้สึกดีขึ้นนะครับ
เพราะตอนผมเงินหมด
ผมก็ไม่อยากให้ราคาหุ้นร่วง
เพราะผมไม่มีเงินซื้อแล้ว
แต่ถ้าผมมีเงินสำรอง
ผมก็ยินดีที่ราคาหุ้นจะต่ำลงมาอีก

แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นอีกจนได้นะครับ
ไม่จบแค่นั้น
เงินสำรองที่ผมถืออยู่
มันไม่ได้งอกเงยขึ้นมาครับ
เวลาที่ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น
บางทีผมก็มานั่งนึก
ผมน่าจะซื้อหุ้นตัวนั้นให้มากกว่านั้นสักนิด
ก็จะดี
เพราะเงินผมมันก็จะงอกเงยมากกว่านี้

คิดไปคิดมา
ก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย
แต่ผมสรุปของผมออกมาว่า
ทำตามอาจารย์Buffet ดีกว่า
เพราะหุ้นขึ้นก็ Happy เพราะพอร์ตเราก็โตขึ้น
หุ้นลงก็ Happy เพราะเรามีเงินซื้อเพิ่ม
ถ้าไม่มีเงินสำรองเลย
เราคงกลุ้มใจเวลาหุ้นตกแรงๆ

ท่านอื่นๆอาจจะมีความคิดเห็นต่างจากผมนะครับ
แต่เท่าที่ทดลองมา
เวลามีเงิน
อาจจะต้องอดทนมากกว่าตอนไม่มีเงินครับ
จริงมั๊ยครับ พี่ปรัชญา พี่เจ๋ง

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 31, 2003 6:13 pm
โดย Jeng
จริงครับที่เราต้องมีเงินไว้เสมอ

เมื่อมีโอกาสดีๆเข้ามาเราจะได้ฉวยโอกาสไว้

เห็นด้วยครับ วิบูลย์

:D :D :D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 02, 2003 9:34 am
โดย utto
พี่วิบูลย์ครับ พี่เคยอ่านหนังสือที่ชื่อ value growth investing หรือที่ชื่อใกล้เคียงชื่อนี้ไหมครับ ผมได้มาจากคุณมือลองหนที่ greenbull(value) แกจำชื่อคนแต่งไม่ได้ซะแล้ว ผมมาคิดดูแล้ว ถ้าจะไปเก็งกำไรบ้างสู้ เฟ้นหา super-value-growth stock มาวิ่งแข่งกับพวกหุ้นเก็งกำไรน่าจะดีกว่าไหม
พี่มีหลักเกณฑ์อะไรบ้างในการเลือกพวก value growthทั้งในแง่เชิงปริมาณและคุณภาพ
เชิงปริมาณถ้าใช้หลัก ของ ROE*(1-dividen%) หลายๆปี แล้วคาดกาณ์การการเติบโตของepsจะเพียงพอไหมหรือเราประมาณการณ์จาก DCFดีแล้ว เพิ่มการเจริญเติบโตของ FCF แทนดีกว่ากันครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 02, 2003 4:35 pm
โดย VIB007
คำถามของน้อง Utto นี้
ตอบสามวันยังไม่หมดเลยครับ
คำถามดีมากครับ
แต่ตอบยากจริงๆ

หนังสือที่ว่า
ไม่เคยอ่านครับ
ที่ยังมีอยู่ยังอ่านไม่จบเลย
ต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์
ที่คุณมนให้มาก็ยังไม่ได้อ่าน

เมื่อวานไปคุยกัน
ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นบุฟเฟต์กลางวัน
คราวที่แล้ว VIมีตติ้งมีผู้เข้าร่วมแปดสิบกว่าคน
คราวนี้เหลือสิบหกคน
คุยกันไป คุยกันมา
เหลือ VI พันธุ์แท้อยู่สามคน
นอกนั้นฟังๆดู
ท่านอื่นๆก็ไปเก็งกำไรกันอย่างสนุกสนานในช่วงนี้
เหลือตาแก่อยู่สามคน
ที่ไม่ยอมขายหุ้นไปเก็งกำไร
แถมไปซื้อหุ้นที่ตอนนี้ราคาไม่วิ่งอีกต่างหาก
ไม่บ้าก็เมาแล้ว

มีท่านหนึ่งมีสูตรเด็ด
คือท่านจะลงทุนในตลาด
จนกว่าท่านนายกทักษิณจะไม่ได้เป็นนายก
ผมฟังแล้วแทบตกเก้าอี้
แล้วยังงี้
ตอน ปธน Kennedy ถูกลอบสังหารราวๆปี 60
อาจารย์ Buffet ไม่ขายหุ้นทิ้งหมดพอร์ตเหรอครับ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ส่วนตัวผม
ไม่ว่าใครจะเป็นนายก
ใครจะเป็นรองนายก
ใครจะเป็นอะไร
ผมก็คงจะลงทุนต่อไปเหมือนเดิม
เพราะอย่างน้อย
ผมก็รู้ว่า
ไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกก็ตาม
ลูกค้าก็คงยังอุดหนุนสินค้าของบริษัทผมเช่นเดิม
ผมก็ไม่รู้ว่า
ถ้าท่านนายกทักษิณไม่ได้เป็นนายก
ผมจะขายบริษัทผมทำไม
ใครรู้ช่วยบอกผมด้วยครับ

ที่อยากจะบอกน้อง utto ก็คือ
ผมเก็งกำไรไม่เป็นครับ
อาจารย์ Buffet ไม่เคยสอน
สอนแต่ว่า
ถ้าผลประกอบการบริษัทดี
ราคาหุ้นจะสะท้อนผลประกอบการของบริษัทเอง
ถ้าตอนนี้ยังไม่สะท้อน
สักวันก็ต้องสะท้อน
ถ้าน้องไปถามท่านน้าPeter Lynch
ก็คงจะได้คำตอบเดียวกัน

ถามว่าน้าLynch เคยซื้อหุ้นแล้วราคาลงเอาๆมั๊ย
คำตอบคือเคยครับ
ตอนที่น้าเขาเป็นนักวิเคราะห์ใหม่ๆ
เคยแนะนำกองทุนให้ซื้อหุ้นตัวหนึ่ง
(ตัวอะไรผมจำไม่ได้)
พอซื้อเสร็จ ราคาร่วงเลยครับ
น้าเขาก็มาดูพื้นฐานบริษัท
เอ๊ะ ก็ดีทุกอย่างนี่(หว่า)
ก็เลยแนะนำให้ซื้อเพิ่ม
กองทุนของแกก็ซื้อเพิ่มตามคำแนะนำครับ
ซื้อไปซื้อมา
ราคาก็ลงเอาๆ
จนถือไว้ประมาณสองปี
ราคาหุ้นถึงดีดกลับ
ได้กำไรไปหลายร้อยเปอร์เซนต์

ที่เล่ามานี่
เพราะอยากแสดงให้น้อง Utto เห็นว่า
บางครั้งการถือหุ้น Super Growth Stock
อาจจะต้องแลกด้วยน้ำตา(ลูกผู้ชาย)ครับ
เพราะบางครั้ง
ราคามันก็จะลงแบบไม่มีเหตุผล
หรือเป็นเหตุผลที่ Financial Community มองสั้นๆ
ดังนั้น
ถ้าจะแนะนำในการลงทุนแบบ Super Growth Stock
เอาเป็นหัวข้อแล้วกันนะครับ สะดวกดี
1) อย่า Diverfisy หรือถือหุ้นมากตัวเกินไป
2) ศึกษาอุตสาหกรรม,บริษัทและคู่แข่งอย่างลึกซึ้ง
3) เลือกบริษัทที่จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
อย่างเห็นได้ชัดในอีกสามสี่ปีข้างหน้า
4) คำนวณราคาปัจจุบันเทียบกับราคาประมาณการในอนาคต
ว่าจะทำผลตอบแทนให้เราได้เท่าไหร่
5) อดทนถือหุ้นบริษัทนั้นไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร ขึ้นหรือลง
6) ถือหุ้นนั้นไว้ตราบใดที่ยังเป็นบริษัทที่ดี
7) ติดตามข่าวคราวของบริษัทและอุตสาหกรรมนั้นอย่างใกล้ชิด

การใช้ประมาณการ EPS ก็ไม่ได้ผิดอะไรนะครับ
ถ้าบริษัทนั้นไม่ได้แต่งบัญชี
และมีการลงทุนในสินทรัพย์ (Capital Expenditure) ที่ไม่สูง
แต่ถ้าใช้ FCF ก็ต้องคำนวณเอง แต่จะเห็นภาพชัดกว่า
ใช้ได้ทั้งคู่หละครับ

เรื่องรายละเอียดก็ลองอ่านหนังสือแล้วทำการบ้านดู
แล้วมาคุยกันใหม่นะครับ
ถ้าเอามาเล่าในที่นี้
รับประกันว่า
คุยกันสามวันสามคืนไม่จบ

โชคดีในการลงทุนครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 02, 2003 8:35 pm
โดย thanwa
เห็นด้วยกะคุณวิบูลย์ครับว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจจริงๆ

ขอความเห็นคุณวิบูลย์สักนิด
ตั้งแต่ผมตั้งกระทู้มาประมาณ 2 เดือน ตั้งแต่ Fri Aug 29, 2003 9:37 pm
ถึงตอนนี้มีทั้งหมด 16 หน้า จำนวนอ่าน 12,422 ครั้ง มากสุดในประวัติศาสตร์ TVI

หลายคนติดตามอ่าน เผื่อคุณวิบุลย์จะหลุดชื่อหุ้นออกมาบ้าง
รอแล้ว รออีก... และก็เข้าใจเจตนารมณ์ของคุณวิบูลย์ คุณมน และท่านอื่นๆ

ไม่ทราบคุณวิบูลย์ คุณมน คิดว่าไง ถ้าเพื่อนๆ ของทางบ้าน
นำหุ้นบางตัวที่คิดว่าเป็น Super Growth Stock มี DCA
ขอถกเถียงเพื่อเป็นตัวอย่าง ประกอบความเข้าใจ
โดยไม่มีจุดประสงค์จะไปชี้แนะ หรือ ชี้นำ
คิดว่าไงครับ :?:

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 02, 2003 8:42 pm
โดย chatchai
ไม่แน่ครับ อีก 3 วัน 3 อาทิตย์ 3เดือน หรือ 3 ปี ตลาดอาจจะเป็นตลาดหมีก็ได้ครับ ไม่มีใครร้อนาคตครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 03, 2003 10:12 am
โดย Wvix
จำได้ว่าเคยคุยกันเรื่อง ROE ไม่รู้กระทู้ไหน มาคุยได้คนครับ
รู้ไหมครับว่าทำไม เวลาบริษัททำกำไรได้ 1 เท่า จาก Equity (R = 1 เท่าของ E)
ROE กลับได้ไม่ถึง 100% แต่บริษัทกลับได้ ROE 50%
ใครตอบได้บ้าง เดี๋ยวผมจะมาบอกครับ (บนข้อสมมุติฐานว่าบริษัทไม่จ่ายเงินปันผลนะครับและไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ)
พี่ๆที่เก่งๆอย่าว่าผมนะครับ อาจจะง่ายเลยด้วยซ้ำคำถามแบบนี้ แต่อยากลองดูว่ามีใครสนใจเด็กใหม่ไหม มีคนตอบแล้วจะคุยต่อครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 03, 2003 11:07 am
โดย Mon money
ตอบคำถามพี่ไก่ก่อนเลยนะครับ หากเพื่อการศึกษา ผมก็ตอบครับ เอาได้เลยเป็นCase Study งั้นพี่ไก่เริ่มก่อนเลยนะครับ

ส่วนของคุณWvix ผมงงคำถาม แต่พอสรุปอย่างนี้ได้หรือเปล่า สมมุติ กำไร 100 บาท และ ทุนเท่ากับ 50 , ROE = 200% , ถ้า กำไร 50 ทุน 50 จะได้ ROE = 100% นะครับ ...........เอมันอย่างไงกันแน่ครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 03, 2003 11:28 am
โดย VIB007
คุณธันวาจะขอชื่อหุ้นเหรอครับ
ได้เลยครับ
แต่ผมอยากให้เป็น
ชื่อบริษัทที่ไม่อยู่ในตลาดหุ้นไทยครับ
เพราะไม่อยากชี้นำจริงๆ
เดี๋ยวจะโดนข้อหาปั่นหุ้น

Super Growth Stock ของผม
จะเอาตัวไหนละครับ
Microsoft, Intel, หรือ Dell ดี
พวกนี้คือสุดยอดหุ้น Growth ครับ

คุณธันวาเลือกเลยครับ
ว่าจะคุยเรื่องตัวไหนในสามตัวนี้
ผมพอมีความรู้ทั้งสามบริษัทครับ

ส่วนคำถามเรื่อง ROE ของคุณ Wvix
ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
ช่วยเฉลยด้วยนะครับ

พี่Chatchaiกลับมาแล้ว
พี่อย่าลืมตอบคำถามเรื่อง FCF ที่ค้างอยู่นะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 03, 2003 11:41 am
โดย Wvix
ต่อครับ ปลื้มครับได้คุยกับ พี่ mon กับ พี่ Vib ขวัญใจ
ลองดูข้างล่างครับไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกไหม
และใครว่าบริษัทที่ ROE ไม่เพิ่มขึ้นเลยเท่าเดิมตลอดไม่ดีบ้างครับ ผมว่าตอบผิดนะทำไมรู้ไหม
ลองพิจารณา ดูนะครับ (บนข้อสมมุติฐานว่าบริษัทไม่จ่ายเงินปันผล)
ถ้า บริษัทจะรักษา ROE ให้ได้ 50% เสมอ บริษัทต้องมีกำไรที่โตเป็น 2 เท่าของปีที่แล้วเสมอ
เริ่มต้น บริษัทมี E เท่ากับ 100 ปีนี้บริษัททำกำไรได้ 100 เพราะฉะนั้น ROE = 100/(100+100) =50%
ต่อมาบริษัทต้องการจะรักษา ROE เดิมให้ได้บริษัทต้องมีกำไร = X/(X+200) =50%
Solve หาค่า X ได้จะได้เท่ากับ 200
สรุปผมว่าแค่ บริษัททำ ROE ให้ได้ เท่าเดิมทุกปีก็เก่งแล้วนะครับ เพราะต้องทำกำไรให้ได้โต 1 เท่าตลอด
ไม่งั้นก็ต้องปันผลออกมาให้หมดให้ผู้ถือหุ้นเลย E จะได้เท่าเดิม
แล้วลองคิดต่อดูครับ ถ้า บริษัททำกำไรได้สม่ำเสมอแต่ไม่จ่ายปันผลเลย
ROE ก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆทุกปีทุกปีเลยครับ
ROE = 100/(100+100) =50%
ROE = 100/(100+100+100) =33%
ROE = 100/(100+100+100+100) =25%
ROE = 100/(100+100+100+100+100) =20%
คิดๆดูผมว่าคนที่จะใช้ ROE นี่ต้องเป็นคนที่เข้าใจเรื่องนี้พอสมควรเลยนะครับ
และอีกเรื่องครับ ที่ต้องระวังให้มาก คือพวกบริษัทที่มีปัญหา ROE จะสูงมากเลยเพราะขาดทุนสะสม
ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงถึงบริษัทจะทำกำไรได้ไม่เด่นแต่ ROE ก็สูงเหมือนกัน ยิ่งพวกลดทุนนี่ ROE กระโดดเลย
เพราะฉะนั้นจะใช้ ROE ก็ต้องระวังเหมือนกันนะครับ ผมเองใหม่ๆเคยพลาดมาแล้วครับ
-
อยากถามพี่ๆครับว่าพี่มีหลักการยังไงเวลาคิดราคาหุ้นที่ Diluted เวลามี Warrant ที่ถูกแปลงสภาพถูกแปลงสภาพมาซื้อขายในตลาดเราจะคิดราคาหุ้นที่ใช้ Trade ใหม่ยังไงครับ (ตลาดไม่กำหนดราคาให้ Trade ใหม่แต่จริงๆผมว่าต้องคิดนะครับ)
ผมไป Search เจอ กระทู้นี้ครับคิดถูกมั้ยครับ