ภาพรวมเศรษฐกิจ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/11/07

โพสต์ที่ 391

โพสต์

คาดบาทแตะ33 บ.เตือนส่งออกรับมือ

โดย Post Digital วันที่ 3 พฤศจิกายน 2550

ม.หอการค้าไทย คาด เงินบาทเตะ 33 บาท จากเงินดอลล่าร์อ่อนลงมา เตือนผู้ส่งออกรับมือ แนะคลัง-ธปท.ดูแลไม่ให้ผันผวนมากนัก ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดสัปดาห์หน้าเงินบาทอยู่ที่ 33.85 - 34.05 บาทต่อดอลลาร์

นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่า เงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นจนแตะระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจาก เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงมาก จากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือ ซับไพรม์ ที่ขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งเป็นแรงกดดันทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด คงจะลดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่มาก ดังนั้น จึงอยากให้ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ดูแลไม่ให้เงินบาทมีความผันผวนมากนัก

นางเสาวนีย์ กล่าวว่า ดังนั้นผู้ส่งออกต้องเตรียมรับมือกับการแข็งค่าของเงินบาท เพราะยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจปีหน้า ซึ่งในการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16 - 18 พฤศจิกายนนี้ จะมีการหารือถึงปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทด้วยโดยจะเชิญผู้ส่งออกที่สามารถปรับตัวรับมือการแข็งค่าของเงินบาทมาร่วมถ่ายทอดความรู้

คาดสัปดาห์หน้าเงินบาทอยู่ที่ 33.85 - 34.05 บาทต่อดอลลาร์

ขณะที่ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า ในสัปดาห์หน้า หรือ ระหว่างวันที่ 5 -9 พฤศจิกายน 2550 เงินบาทในประเทศอาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 33.85 บาท - 34.05 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัจจัยที่ควรจับตาได้แก่ การเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ แรงเทขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออก และสัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดของธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนทิศทางของเงินดอลลาร์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแถลงการณ์แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจต่อกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรส และรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ประกอบด้วย ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนกันยายน ดัชนีภาคบริการของสถาบันจัดการด้านอุปทาน และราคานำเข้าส่งออกเดือนตุลาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจัดทำโดยรอยเตอร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน เดือนพฤศจิกายน และตัวเลขประสิทธิภาพการผลิต และต้นทุนแรงงานต่อหน่วยประจำไตรมาสที่ 3/2550
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=201454
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news03/11/07

โพสต์ที่ 392

โพสต์

5ตลาดหุ้นผนึกอาเซียนบอร์ด ดูดเงินต่างชาติ

โพสต์ทูเดย์ 5 ตลาดหุ้นอาเซียนผนึกกำลังจัดทำ อาเซียนบอร์ด เพิ่มความน่าสนใจนักลงทุนต่างชาติ


นางนงราม วงษ์วานิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ในระดับอาเซียนได้มีการหารือร่วมกับธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) เพื่อหารูปแบบการรวมตัวกันของตลาดหุ้นในอาเซียน เพราะเห็นว่าตลาดหุ้นไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) รวมกันยังต่ำกว่ามาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นเกาหลีใต้เพียงประเทศเดียว

เบื้องต้นมีข้อสรุปว่าให้นำหุ้นขนาดใหญ่ (บลูชิป) ของแต่ละประเทศมารวมกันไว้ในกระดานเดียว หรือจัดทำเป็นอาเซียนบอร์ดขึ้น แต่ราคาที่เสนอซื้อและขายยังคงเป็นเงินสกุลของประเทศนั้นๆ และการจับคู่คำสั่งจะเกิดขึ้นในประเทศนั้นๆ เพื่อทำให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้น

นี่เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้นและยังต้องคุยรายละเอียดในปลายเดือน พ.ย.นี้ ถึงวิธีการจะเชื่อมโยงการซื้อขาย ซึ่งเบื้องต้นกรณีผู้ลงทุนในไทยต้องการซื้อหุ้นในอาเซียนบอร์ด เช่นสิงคโปร์ก็จะส่งคำสั่งผ่านโบรกเกอร์ในไทย และรายการนี้ก็จะเกิดที่สิงคโปร์โดยตลาดหลักทรัพย์อาจจะเป็นผู้ลงทุนการเชื่อมโยงการส่งคำสั่งซื้อขายกับแต่ละตลาดหุ้นเพื่อให้โบรกเกอร์มาอาศัยช่องทางนี้ นางนงราม กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201384
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 393

โพสต์

นลท.วิตกซับไพรม์-เทขายหุ้นบิ๊กแคป ดัชนีภาคบ่ายปิดลบ 21.48 จุด

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤศจิกายน 2550 17:47 น.  

      ตลาดหุ้นไทยวันนี้ร่วงแรง แนวเดียวกับตลาดต่างประเทศ นักลงทุนวิตกปัญหาซับไพรม์ มีแรงขายอย่างหนักในหุ้นกลุ่มบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์ ธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน ตลาดเข้าสู่ภาวะปรับฐานอย่างชัดเจน แนวโน้มพรุ่งนี้ ยังมีโอกาสอ่อนตัวลงอีก แต่ความแรงอาจชะลอลงบ้าง โดยลุ้นแนวรับที่ 870 จุดหากยืนได้มีโอกาสรีบาวน์ แต่ถ้ายืนไม่ได้ก็มีโอกาสปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับถัดไปที่ 860,857 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 880-883 จุด
     
      ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(5 พ.ย.) ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 872.86 จุด ลดลง 21.48 จุด เปลี่ยนแปลง -2.40% มูลค่าการซื้อขาย 19,162.10 ล้านบาท โดยการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดวัน ขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 892.87 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 871.82 จุด หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 77 หลักทรัพย์ ลดลง 263 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 93 หลักทรัพย์
     
      นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงค่อนข้างแรง ในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในแถบภูมิภาคเอเชียปรับตัวลงค่อนข้างมาก ส่วนตลาดหุ้นในแถบยุโรปก็ปรับตัวลงเช่นกัน
     
      "ช่วงที่ผ่านมาได้แรงซื้อกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มพลังงาน และวันนี้กลุ่มพลังงานก็เกิดการปรับฐานเกิดขึ้นก็เลยมีผลต่อตลาดฯ ประกอบกับ Sentiment ตลาดหุ้นในแถบเอเชียก็ถูกผลกระทบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์ม เรื่องของการขาดทุนที่เกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มากดดัน อย่างพวก ซิตี้ กรุ๊ป ขณะที่ฮ่องกงเองก็ปรับตัวลงจากความกังวลเรื่องกฎหมายที่เปิดทางให้จีนมาลงทุนที่ฮ่องกงได้ล่าช้า"
นายวีระชัย กล่าว
     
      ประกอบกับตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาด้วย และแรงกดดันจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ก็เลยส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีแรงเทขายออกมาอย่างหนักในหุ้นกลุ่มบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มไฟแนนซ์ ธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน และทำให้ตลาดบ้านเราวันนี้เป็นประเทศอันดับต้น ๆ เหมือนกันที่ลงมากว่า 2% เข้าสู่ภาวะปรับฐานอย่างชัดเจน
     
      อย่างไรก็ตาม ทางเทคนิคตลาดฯอาจจะมีการฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงสั้น ๆ แต่ขอเตือนว่าตลาดฯมีโอกาสที่ไหลลงต่ำกว่าระดับ 870 จุด ซึ่งหากต่ำกว่า 870 จุดตลาดฯอาจจะกลับลงไปที่ 857 จุด ซึ่งเป็น Low เดิมที่เคยทำไว้ในรอบล่าสุด
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000131348
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 394

โพสต์

ดัชนีความเชื่อมั่น SMEs ไทยเดือน ก.ย.ลดลง  

Posted on Monday, November 05, 2007
นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) บอกว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ SMEs ในเดือนกันยายน พบว่า ดัชนีปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 41.3 จากระดับ 43.8 ในเดือนก่อน โดยทุกประเภทกิจการ ทั้งภาคการค้าส่ง ภาคการค้าปลีก และภาคบริการ ต่างมีค่าดัชนีลดลงทั้งสิ้น ซึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และความเชื่อมั่นต่อธุรกิจที่ปรับตัวลดลง ขณะที่ต้นทุนสินค้าและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้อำนาจซื้อของประชาชนลดลง ส่งผลให้ยอดจำหน่ายและกำไรของผู้ประกอบการลดลงตาม

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า รวมภาคการค้าและบริการนั้น มีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 48.0 จากระดับ 46.4 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการจะมีความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น แต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 395

โพสต์

ระวังมายาภาพดัชนีราคาหุ้นลวงตา [ ฉบับที่ 842 ประจำวันที่ 3-11-2007 ถึง 6-11-2007]  
> นักวิเคราะห์ผวาเงินทุนหนีออกนอก

คนในวงการเตือนนักลงทุนตลาดหลักทรัพย์ฯอย่าลำพองใจ! มาร์เก็ตแคป ตลาดฯ โต-ดัชนีฯยืน 900 จุด อย่างแข็ง แกร่งในช่วงนี้เป็นแค่การเติบโต แบบภาพลวงตา ชี้ดัชนีพุ่งเป็น เพราะหุ้นน้ำมันในกลุ่มปตท. ปรับตัวแรงยกแผงขณะที่หุ้นพื้น ฐานดีตัวอื่นราคาไม่ขยับตามดัชนี นักวิเคราะห์หวั่นบมจ.หุ้นขนาดกลางถึงเล็กหนีไปจดทะเบียนต่างประเทศ เหตุแนว โน้มแข่งขันระหว่างตลาดหุ้นใน ภูมิภาคเริ่มส่อเค้ารุนแรงขึ้น

การปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ จนสามารถทะลุ 900 จุดได้อย่างรวดเร็ว และหนุนให้มูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของตลาดหลักทรัพย์ไทยเติบ โตไปในทิศทางเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา ด้วยอานิสงส์จากแรง ดันของหุ้นในเครือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สผ. (PTTEP) บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) และหุ้น หลักในกลุ่มพลังงานอื่นๆ เช่น BANPU ทำให้นักลงทุนมองว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังจะกลับมาดีขึ้น

แหล่งข่าวในวงการหลักทรัพย์เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าว ว่า หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า หุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีเพียงไม่กี่หลักทรัพย์เท่านั้น ขณะที่หุ้นส่วนใหญ่ที่เหลืออีกกว่า 400 หลักทรัพย์ราคากลับไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ส่วนใหญ่บนกระดานนั้นราคาหุ้นอาจเรียกได้ว่าแทบจะหยุดนิ่ง ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเบาบางตามไปด้วย ซึ่งคนในวงการหลักทรัพย์มองการเติบโตเช่นนี้ว่าคล้ายกับปลาดุก คือ โตแต่ส่วนหัวแต่ลำตัวลีบเล็ก

ทั้งนี้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มปตท.ช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าจะช่วยให้ดัชนีฯและมาร์เก็ตแคปปรับเพิ่มได้อย่างรวดเร็ว แต่ในทางกลับกันการเติบโตของดัชนีฯในลักษณะดังกล่าว กลับสร้างความปั่นป่วนให้กับกองทุน และนักลงทุนที่มุ่งลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงระยะหลังที่ผ่านมา หุ้นพื้นฐานดีและผลประกอบการเด่นที่เคยเป็นขวัญใจของกองทุนหลายตัว เริ่มขาดสภาพคล่องเนื่อง เพราะการซื้อขายไปกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ AI หรือแม้กระทั่ง บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART รวมทั้งหุ้นอื่นๆ ที่เป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ผลประกอบการยอดเยี่ยม ปันผลดี ก็แทบจะถูกลืมไปจากใจของกองทุนและนักลงทุนรายใหญ่หลายราย เพราะความเคลื่อนไหวของหุ้นบิ๊กแคปในกลุ่ม ปตท.ที่เคลื่อนไหวอย่างคึกคัก และสร้างกำไรมากกว่า ซึ่งส่งผลกระทบกับหุ้นอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือไปจากเครือปตท.

แน่นอนว่าเมื่อหุ้นขนาดใหญ่เมื่อราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน เมื่อหุ้นขนาดใหญ่ถูกนักลงทุนเทขายทำกำไรก็จะฉุดให้ดัชนีฯลดลงไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยความที่เป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ขณะที่หุ้นขนาดและขนาดเล็กเล็กที่ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากนัก แต่ราคาก็ถูกกระทบจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ราคาปรับลดลงไปในทางเดียวกันไปด้วย จึงทำให้รู้สึกเหมือนได้รับผลกระทบทั้งขึ้นทั้งล่อง หมายความว่าเวลาดัชนีฯปรับขึ้นราคาหุ้นก็ไม่ได้วิ่งตามไปด้วย แต่ในช่วงที่ดัชนีฯปรับลดลงก็ลงไปในทิศทางเดียวกับดัชนีฯ แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวอีกว่า นอกจากจะถูกกระทบในเรื่องของภาวะตลาดโดยรวมแล้ว หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก อาจถูกเพ่งเล็งจากทางการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากหุ้นตัวใดปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น หรือมีการซื้อขายกระจุกตัวอยู่ในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว โดยมองว่าหุ้นดังกล่าวนั้นปัจจัยพื้นฐานไม่สนับสนุนเหมือนหุ้นขนาดใหญ่ จึงอาจมีมาตรการออกมาสกัดความร้อนแรงของราคาหุ้นได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำให้นักลงทุนหลายกลุ่มงงกับการบริหารจัดการของภาครัฐที่อ้างเพื่อความปลอดภัยของนักลงทุนมาเป็นที่ตั้ง ซึ่งการออกคำสั่งลงโทษหุ้นหลายตัวถูกมองว่ามีมาตรฐานต่างกัน และแม้เรื่องดังกล่าวจะไม่มีใครสามารถออกมาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า มุมมองของใครถูกต้องกันแน่ แต่ก็ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มเลิกลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-ขนาดเล็ก หรือ หุ้นที่เข้าข่ายเก็งกำไร เพราะรู้สึกเหมือนกับไม่มีความปลอดภัยในชีวิต ก็ยิ่งทำให้หุ้นดังกล่าวซึ่งซบเซาอยู่แล้วกลับยิ่งดำดิ่งลงไปอีก

สิ่งเหล่านี้แม้ที่ผ่านมา หลายคนอาจจะมองไม่เห็นว่าจะเป็นผลเสียต่อตลาดหลักทรัพย์ฯได้อย่างไร เพราะเป็นเพียนงหุ้นขนาดกลาง-เล็กเท่านั้น ขณะที่หุ้นค้ำยันตลาดฯจริงๆ ยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งตลาดฯให้ความสำคัญและเชื่อว่าจะไม่หนีไปจากตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างแน่นอน แต่ในระยะหลังนี้ สถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว การแข่งขันระหว่างตลาดหุ้นด้วยกันทั่วโลกเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน เพราะปัจจุบันนอกจากการแข่งขันจะเกิดขึ้นเองในตลาดหุ้นเดิมที่เปิดอยู่แล้ว แต่ยังมีตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่มีความร้อนแรง สามารถดึงดูดนักลงทุนได้แบบไม่มีใครต้องการปฏิเสธอีกด้วย ไม่ว่าจะด้วยผลตอบแทนที่งดงาม หรือ ความสะดวกในการลงทุนก็ตาม แหล่งข่าวกล่าว และว่า

ที่สำคัญตลาดหุ้นเกิดใหม่เหล่านี้ และกำลังจะเกิดขึ้นมาใหม่ในอีกหลายตลาด หรือตลาดหุ้นในประเทศที่เศรษฐกิจของประเทศเริ่มร้อนแรงขึ้น อาทิ จีน เวียดนาม อินเดีย รวมทั้งลาว กัมพูชา ที่กำลังจะเปิดตลาดหุ้นเป็นของตัวเองเหล่านี้ กำลังจะกลายเป็นแกรงกดดันให้ตลาดหุ้นเดิมต้องปรับตัวเพื่อสู้กับความสดใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากหลายตลาดยังขาดสินค้าที่มีคุณภาพเข้ามาดึงดูดนักลงทุน จึงมีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีมาตรการใดๆ ออกมาเพื่อดึงดูสินค้าที่มีคุณภาพจากตลาดหุ้นอื่นไปสร้างสีสันและสร้างแรงดึงดูดให้กับตลาดหุ้นตัวเอง ส่งผลให้หลายตลาดเริ่มปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขัน

ที่เห็นชัดๆ ในช่วงนี้ก็คือ ตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในหลายประเทศเริ่มปรับตัวเพิ่มการเชื่อมโยงระหว่างกันให้เป็นไปอย่างใกล้ชิดมากขึ้น จะเห็นได้จากตลาดหุ้นคัญทั่วโลกเริ่มขยายบทบาทตัวเอง เชื่อมโยงกันเองในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่เพื่อดึงดูนักลงทุนและสินค้าที่มีคุณภาพให้อยู่กับตลาดหุ้นของตัวเองต่อไป อย่างในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นโตเกียว และตลาดหุ้นลอนดอน ยังมีแผนที่จะซื้อขายหุ้นข้ามตลาดระหว่างกันโดยที่นักลงทุนไม่ต้องอยู่ในตลาดนั้นๆ เหมือนในอดีต ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมา แม้ว่าจะพยายามเพิ่มสินค้าที่มีคุณภาพเข้ามาดึงดูดนักลงทุนเพิ่มขึ้น ผ่อนคลายกฎเหล็กหลายประการเพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ แต่ก็ถูกมองว่า การบริหารจัดการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐหลายอย่างยังเป็นปัญหาต่อการลงทุน โดยเฉพาะทำให้นักลงทุนบางกลุ่มมองว่ามีการใช้มาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันมากำกับดูแลความเเคลื่อนไหวของหุ้นในกระดาน และประการสำคัญหน่วยงานเหล่านี้ยังทำให้หุ้นในตลาดของส่วนใหญ่ของไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างทั่วถึงไม่ได้ เพราะปัจจันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากกลุ่มกองทุน หรือนักลงทุนต่างชาติยังกระจุกอยู่เพียงหุ้นไม่กี่ตัวเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหานี้ได้

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่งกล่าวว่า หากตลาดหุ้นไทยปล่อยให้ตลาดหุ้นเป็นเหมือนปลาดุกโตแต่หัวอยู่แบบนี้ อาจมีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตอาจมีผู้จุดพลุ ดึงสินค้าที่มีคุณภาพแต่ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นอื่นๆ ที่มองว่ามีศักยภาพ และให้ผลประโยชน์มากกว่า เพราะปัจจุบันบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก ถือว่าเปิดเผยข้อมูลได้เหมือนกันเกือบทั้งหมด จะจดทะเบียนในตลาดไหนก็ไม่แปลก และหากมีตลาดที่สร้างประโยชน์ที่มากกว่าได้มาให้เลือกทั้งผลตอบแทนและการบริหารจัดการที่ดี ก็คงจะเลือกจดทะเบียนในตลาดนั้นทันที ซึ่งนี่ก็เป็นอีกความเสี่ยงหนึ่งของตลาดหุ้นไทยหากไม่สามารถใช้ระบบบริหารจัดการที่ชาญฉลาดมาใช้ดึงดูดบริษัทจดทะเบียนที่เป็นสมาชิกของตัวเองไว้ได้ เพราะอย่าว่าแต่จะดึงดูดสินค้าใหม่ที่มีคุณภาพให้เข้ามาจดทะเบียนใหม่ได้ หรือดึงดูดนักลงทุนกลุ่มที่มีคุณภาพให้เข้ามาลงทุนได้ ในทางกลับกันก็อาจจะสูญเสียทั้งสินค้าคุณภาพที่ตัวเองเคยมีให้กับตลาดอื่นไปด้วยก็เป็นไปได้

ในขณะเดียวกันนโยบายที่รัฐบาลไทยส่งเสริมให้กองทุนสามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศได้คล่องตัวเพิ่มขึ้น ก็เป็นอีกความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทยเช่นเดียวกัน เพราะอนาคตต่างชาติเริ่มมองเห็นว่าตลาดไทยไม่น่าสนใจอีกต่อไป เม็ดเงินที่ไหนเข้ามาในตลาดก็อาจจะไหลไปตลาดอื่นๆ รวมทั้งเม็ดเงินที่เป็นของไทยก็อาจมุ่งไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนกว่าได้ ซึ่งจะปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการเปิดกว้างให้ไปลงทุนในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นแล้ว  
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=8387
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/11/07

โพสต์ที่ 396

โพสต์

สภาพัฒน์ คงเป้า "เงินเฟ้อ-จีดีพี" ปี 50 เชื่อผลกระทบน้ำมันแค่ชั่วคราว

โดย ผู้จัดการออนไลน์
5 พฤศจิกายน 2550 13:23 น.

 สภาพัฒน์ ยังคงเป้า GDP-เงินเฟ้อปี 50 แม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น ชี้สมมุติฐานยังไม่เปลี่ยน
     
      วันนี้(5 พ.ย.) นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อปรับสูงขึ้นนั้น ขอยืนยันว่า สภาพัฒน์ฯ จะยังไม่ปรับประมาณการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP) และอัตราเงินเฟ้อของไทยในปีนี้ เพราะโดยภาพรวมแล้วถือว่าราคาน้ำมันยังอยู่ในเกณฑ์สมมติฐานเดิม
     
      ทั้งนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลประเทศเฉลี่ย 9 เดือนปีนี้ อยู่ที่ 24.82 บาท/ลิตร ขณะที่เฉลี่ย 9 เดือนปีก่อนอยู่ที่ 26.17 บาท/ลิตร
     
      ล่าสุด สภาพัฒน์ประมาณการณ์ GDP ของไทยในปี 50 ไว้ว่าจะเติบโตได้ 4.0-4.5% และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 2.0-2.5%

     
      ขณะที่นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกขณะนี้ถือว่าเป็นภาวะชั่วคราว และน่าจะมีสาเหตุมาจากการเก็งกำไรมากกว่า เชื่อว่ากระทรวงพลังงานได้ติดตามดูแลสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่จะมีผลมาถึงราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว
     
      นายโฆสิต ยังเชื่อว่า การที่กระทรวงพลังงานลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง 40 สตางค์/ลิตร ในทุกผลิตภัณฑ์ยกเว้นน้ำมันเบนซิน 95 จะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่จะนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปใช้ในการก่อสร้างตามแนวทางที่วางไว้ก่อนหน้านี้
     
      ทั้งนี้ ในส่วนตัวยืนยันว่าต้องการให้กู้เงินจากในประเทศมาใช้ในการลงทุนก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า เพราะเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศขณะนี้ยังพอจะเอื้ออำนวย
     
      "ผมต้องการอยากให้กู้เงินในประเทศ เพราะผมเป็นคนเดียวที่มีความเห็นตั้งแต่ต้นที่อยากให้กู้เงินในประเทศ เพราะมองดูว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศยังใช้ได้ การอาศัยเงินในประเทศยังพอจะทำได้อยู่"
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000131153
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/11/07

โพสต์ที่ 397

โพสต์

CEO Survey ชี้ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนมั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นหลังเลือกตั้ง

Date:  2007-11-06 11:08:58
Source: OTH

นส.เพ็ญศรี สุธีรศานต์ ผู้อำนวยการสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทยได้ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (CEO Survey) เกี่ยวกับเศรษฐกิจ และการเมือง ประจำไตรมาสที่ 3/2550 จำนวน 110 บริษัท 8 อุตสาหกรรม คิดเป็น 48.4% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า 50% ของผู้บริหารเชื่อว่า การเมืองหลังการเลือกตั้งจะมีเสถียรภาพมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนหลังการเลือกตั้ง พบว่า ดีขึ้น 75% -- เหมือนเดิม 18%-- และแย่ลง 7% ส่วนนโยบายที่อยากให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการมากที่สุด คือ การเร่งโครงการเมกะโปรเจ็กต์ รองลงมาได้แก่ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ดูแลความผันผวนของค่าเงิน และกระตุ้นการส่งออก

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากผลการสำรวจความเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในปี 2551 พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า 0.5 ? 1%

ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปัจจุบันเมื่อเทียบกับช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ พบว่า 50% ของผู้บริหารตอบว่าดีขึ้น นอกจากนั้น 60% ของผู้บริหารยังเห็นว่า ผลประกอบการในช่วง 3 เดือนข้างหน้าจะดีขึ้นกว่าปัจจุบัน แสดงว่าการลดอัตราดอกเบี้ย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ เริ่มเห็นผล ประกอบกับการรับร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้ผู้บริหารมีความเชื่อมั่นมากขึ้น

นายกอบศักดิ์บอกว่า ผลสำรวจยังได้ถามแนวโน้มการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า พบว่า จะลงทุนเพิ่มขึ้น 66% -- ลงทุนเท่าเดิม 29% --และลงทุนลดลง 5% ส่วนปัจจัยที่กระทบต่อแผนการลงทุนมากที่สุด คือ เศรษฐกิจในประเทศ รองลงมาได้แก่ การเมือง อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน และการลงทุนของภาครัฐ ขณะที่แนวโน้มการส่งออกในช่วง 3 เดือนข้างหน้า พบว่า มีแนวโน้มดีขึ้น 47% มีแนวโน้มเหมือนเดิม 47% และมีแนวโน้มแย่ลง 6%

นอกจากนั้นผลสำรวจยังได้ถามเกี่ยวกับปัญหาของระบบเศรษฐกิจโลก เช่น ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าที่มีเครดิตต่ำกว่ามาตรฐานของสหรัฐฯ (Subprime Mortgage Loan) ว่ามีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด ซึ่งผลสำรวจพบว่า รุนแรงปานกลาง 81% -- ไม่รุนแรง 11%-- และรุนแรงมาก 8% ส่วนคำถามที่ว่า ธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากปัญหาของระบบเศรษฐกิจโลกหรือไม่ พบว่า นักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่าจะได้รับผลกระทบ 71% -- ไม่ได้รับผลกระทบ 28%-- และได้รับผลกระทบมาก 1%

นายกอบศักดิ์บอกว่า ผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในครั้งนี้ แสดงถึงความมั่นใจว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการก็พร้อมที่จะลงทุนและจ้างงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนการลงทุนในตลาดทุนนั้น ถ้าเศรษฐกิจโดยรวมดี การลงทุนในตลาดทุนก็จะดีตามไปด้วย  
http://www.settrade.com/NewsEngineConte ... d=&source=
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/11/07

โพสต์ที่ 398

โพสต์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อส่งออกปีนี้ไม่ต่ำกว่า 14-15% แต่ปีหน้า ไม่เกิน10% แนะรัฐ+เอกชน จับมือรุกตลาด

Posted on Tuesday, November 06, 2007

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้อกอรายงานล่าสุด วิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ พร้อมทั้งคาดหมายแนวโน้มในปีหน้า

โดยแนวโน้มในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การส่งออกโดยรวม จะมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงกว่าในช่วงครึ่งปีแรก จากผลกระทบของจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ความเสี่ยงในเรื่องของค่าเงินบาท และราคาน้ำมัน


อย่างไรก็ตามการส่งออกไปยังตลาดยุโรปบางประเทศและกลุ่มประเทศ ที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง เช่น จีน อินเดีย รวมถึงตลาดใหม่อื่น ๆ ในประเทศยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้จะยังขยายตัวในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ส่งผลให้การส่งออกโดยรวมปีนี้ น่าจะเติบโตได้ในอัตราประมาณ 14-15% ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนหน้า แต่เกินเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ตั้งไว้ที่ 12.5%

ส่วนแนวโน้มการส่งออกในปีหน้า ยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก ๆ คือ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ความผันผวนของค่าเงิน และราคาน้ำมัน เช่นเดียวกัน ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า อัตราการขยายตัวของการส่งออกในปีหน้า จะขยายตัวไม่เกิน 10% โดยปัจจัยที่อาจมีส่วนช่วยสนับสนุนการส่งออกปีหน้า ประกอบไปด้วย การขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ และผลของข้อตกลงทางการค้า

แต่ในระยะยาวแล้ว อนาคตการส่งออกของไทย จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก ทั้งในเรื่องของต้นทุนและคุณภาพ

ซึ่งในประเด็นนี้ หน่วยงานภาครัฐ สามารถเข้ามาช่วยสนับสนุนการส่งออกได้ด้วยการเร่งผลักดัน และส่งเสริมให้เกิดความความร่วมมือทางการค้าในระดับ inter และ intra-regional trade เพื่อเปิดตลาดให้กับสินค้าไทย ในตลาดที่มีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการศึกษาผลกระทบในการลดภาษีระหว่างกันในสินค้าบางประเภท และเร่งการเจรจาการค้าที่ยังคงค้างอยู่เพื่อใช้โอกาสในการส่งออกก่อนหน้าประเทศคู่แข่ง

นอกจากนี้ ก็ควรเร่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยการส่งออกตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) ที่ประกอบไปด้วยนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามันและฝั่งอ่าวไทย เพื่อแทนที่มาบตาพุดจังหวัดระยองที่ประสบปัญหาด้านมลพิษและเพื่อขยายความสามารถและลดต้นทุนในการขนส่งทางเรือและโลจิสติกส์ของประเทศในการรองรับสินค้าส่งออก-นำเข้า

สำหรับกระทรวงพาณิชย์ จะต้องจับมือผู้ส่งออกให้เข้ามาช่วยกันดำเนินมาตรการบุกเบิกตลาดใหม่ และขยายตลาดที่มีอยู่เดิม อาทิ สนับสนุนและกระตุ้นการมีส่วนร่วมในการออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ให้ความรู้และส่งเสริมการทำการค้าผ่านทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce)

สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง จะต้องช่วยกันดูแลค่าเงินให้มีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยผู้ส่งออกให้สามารถคาดการณ์และวางแผนสำหรับการผลิตและส่งออกของตนเองได้

ส่วนตัวของผู้ประกอบการเอง ควรศึกษาข้อตกลงการค้าที่รัฐทำเพื่อใช้เป็นโอกาสในการส่งออกไปในตลาดใหม่ และใช้ประโยชน์จากการลดภาษี ในส่วนของตัวสินค้าและกระบวนการผลิตผู้ประกอบการควรศึกษาและรักษามาตรฐานให้ได้ตามที่ประเทศคู่ค้ากำหนดไว้ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และ/หรือด้านสุขอนามัย ยกตัวอย่างเช่น ระเบียบ RoHs กฏระเบียบ REACH การติดฉลากสินค้าของสหภาพยุโรป เพื่อรักษาตลาดและป้องกันปัญหาในการส่งออก

พร้อมกันนี้ ผู้ส่งออกควรจะใช้วิธีต่าง ๆ ในการประกันความเสี่ยงของค่าเงิน เพื่อรับมือกับความผันผวนของเงินบาทที่อาจเกิดอีกในอนาคต อุตสาหกรรมจำพวกเน้นใช้แรงงานเช่น สิ่งทอ รองเท้าประสบปัญหาต้นทุนค่าแรงบวกกับเงินบาทแข็งค่าทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจากคู่แข่งที่ราคาถูกกว่าเช่น จีนได้ ผู้ส่งออกอาจต้องปรับกลยุทธ์ในการแข่งขันโดยเปลี่ยนจากการใช้ราคาแข่งขันเป็นการใช้คุณภาพแข่งขัน(เพิ่มมูลค่าเพิ่มของสินค้า)และแสวงหาตลาดเฉพาะสำหรับสินค้า

ในส่วนของราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นซึ่งเป็นภาระต้นทุนในการผลิตและการขนส่งผู้ส่งออกต้องปรับตัวโดยการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตและการจัดเก็บขนส่งสินค้าเพื่อลดต้นทุนให้มากที่สุด  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 399

โพสต์

ปกรณ์จี้รับมือเงินนอก

โพสต์ทูเดย์ ปกรณ์ จี้เร่งหามาตรการรับมือเงินทุนต่างชาติเคลื่อนย้ายรุนแรงทำเงินบาทแข็งค่า เสนอ ธปท.บริหารทุนสำรองให้ดี


นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากนี้ไปจะเห็นการเคลื่อนย้ายของเงินทุนข้ามชาติมีมากขึ้น โดยเฉพาะเงินทุนจากประเทศผู้ค้าน้ำมันที่จะกระจายการลงทุนไปทั่วทุกประเทศและทุกภูมิภาค
ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการรองรับการไหลบ่าเข้ามาของเม็ดเงินเหล่านี้ให้ดี และจะต้องทันการณ์และเพียงพอที่จะรับมือด้วย เพราะทุกวันนี้ทุกๆ วินาทีจะมีการซื้อขายหุ้นมากถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง

นายปกรณ์ เสนอว่า การบังคับใช้กฎหมายต่างๆ จะต้องแข็งแรงกว่านี้ และเงินที่ไหลเข้ามาจะเป็นปัจจัยที่กดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่ง ธปท.ต้องบริหารจัดการทุนสำรองให้ดี

นอกจากนี้ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลาดทุนเพื่อดูดเงินออมของประเทศต่างๆ เข้ามาลงทุนในไทย สำหรับการพัฒนาโครงการต่างๆ อีกทั้งหุ้นไทยยังเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะมาเลเซียมีน้ำหนัก 5% ใน MSCI ขณะที่ไทยมีเพียง 2% เท่านั้น

สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยวันที่ 6 พ.ย.กลับลำปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงบ่าย ทำให้ดัชนีปิด 886.31 จุด เพิ่มขึ้น 13.45 จุด หรือ 1.54% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 17,968.84 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ต่างชาติขายต่อ 3,934 ล้านบาท สถาบันซื้อ 1,567 ล้านบาท รายย่อยขาย 2,367 ล้านบาท

ทั้งนี้ หุ้นพุ่งขึ้นเป็นผลมาจาก แรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่ม ปตท.(PTT) ที่ราคายืนเกิน 404 บาท เพิ่มขึ้น 18 บาท ขณะที่ไทยออยล์ (TOP) ปิด 92.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท และบ้านปู (BANPU) ปิด 422 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ปิด 28.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท

ปลายเดือนนี้ MSCI จะปรับปรุงการคำนวณใหม่ โดย MSCI Thailand ปรากฏว่า บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือ LH ปัจจุบันมี น้ำหนักการลงทุน 0.88% และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF สัดส่วน 0.92% ถูกลดน้ำหนักการลงทุนเหลือ 0% ส่วน BAY และ TOP ได้เพิ่มน้ำหนักเป็น 2.35% และ 2.25% ตามด้วย BANPU ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนอีก 0.39%

ด้านบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) โดนพิษน้ำมันแพงเต็มเปา ไตรมาส 3 ปีนี้ทำกำไรสุทธิ 227.19 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.30 บาท ลดลงประมาณ 43% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 402.42 ล้านบาท หรือ 0.52 บาท และแย่ลงประมาณ 36% จากไตรมาส 2 ปีนี้ ที่มีกำไรสุทธิ 356.70 ล้านบาท หรือ 0.46 บาทต่อหุ้น

สำหรับ 9 เดือนแรกปีนี้กำไรสุทธิ 962.26 ล้านบาท หรือ 1.25 บาทต่อหุ้น ลดลงจากจำนวน 1,190.56 ล้านบาท หรือ 1.55 บาทต่อหุ้น ในช่วงเดียวกันปีก่อน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202124
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 400

โพสต์

17บริษัทไทยติดสุดยอดเอเชีย

โพสต์ทูเดย์ 17 บริษัทไทย ติดอันดับบริษัทที่ดีที่สุดในเอเชีย ปี 2550 ของนิตยสารไฟแนนซ์ เอเชีย


นิตยสารไฟแนนซ์ เอเชีย นิตยสารการเงินชั้นนำแห่งภูมิภาคเอเชีย ได้สำรวจความคิดเห็นของ นักลงทุน และนักวิเคราะห์ทั่วโลก ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 7 โดยพิจารณา จากการบริหารงาน การกำกับและตรวจสอบกิจการที่ดี บริษัทที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุน รวมถึง บริษัทที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลที่ดี เพื่อคัดเลือกผู้นำองค์กรที่ดีที่สุด

ทั้งนี้ อันดับบริษัทที่ดีที่สุดในเอเชีย สำหรับประเทศไทย บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ยังครองอันดับ 1 ตามมาด้วยบริษัท ปตท. (PTT) จาก 17 บริษัทจดทะเบียนไทยที่ ติดอันดับทั้งหมด

ด้านบริษัทที่มีการจัดการดีที่สุด มี 8 บริษัทที่ติดอันดับ คือ SCC PTT ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) บริษัท ไทยออยล์ (TOP) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บริษัท บ้านปู (BANPU) และบริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC)

บริษัทที่มีการกำกับและตรวจสอบกิจการที่ดี คือ SCC PTT KBANK PTTEP SCB TOP DTAC และบริษัทผลิตไฟฟ้า (EGCO)

บริษัทที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุน คือ KBANK PTT SCC BANPU TOP บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และ SCB

บริษัทที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลดีที่สุด คือ SCC บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส (ADVANC) BANPU EGCO บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็ค โทรนิคส์ (CCET) PTT และ PTTEP

บริษัทที่มีมูลค่าตามราคาหลักทรัพย์ขนาดกลางดีที่สุด คือ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) และ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA)

บริษัทขนาดเล็กที่ดีที่สุด คือ บริษัท โมเดิร์นฟอร์ม กรุ๊ป (MODERN) และบริษัท อาปิโก้ ไฮเทค (AH)

ส่วนผู้นำองค์กรที่ดีที่สุดของบริษัทจดทะเบียนไทย ได้แก่ นาย รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC นายพิชัย ชุณหวชิร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงิน และบัญชีองค์กร บริษัท ปตท. (PTT) และนางสมฤดี สมพงษ์ จาก BANPU

ก่อนหน้านี้ นิตยสารฟอร์บส์ ยกให้ 5 บริษัทไทย ดีที่สุดติดอันดับ 1 ใน 200 บริษัทในเอเชีย จากบริษัททั้งหมด 22,500 แห่ง สำหรับบริษัทที่มีมูลค่ากิจการต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยพิจารณาจากการเจริญเติบโตของยอดขาย และความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 3 ปี

ทั้งนี้ บริษัทไทยที่ติดอันดับดีที่สุดในเอเชียทั้ง 5 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง (APRINT) บริษัท กรุงเทพ ดุสิตเวชการ (BGH) บริษัท ทีม พรีซิชั่น (TEAM) บริษัท ไทยคาร์บอนแบล็ค (TCB) และบริษัท ยูนิมิต เอ็นจิเนียริ่ง (UEC) เช่น BGH มี P/E 39 เท่า กำไรต่อหุ้นในช่วง 3 ปี ขยายตัว 36%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202144
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 401

โพสต์

ธปท.เริ่มกู้เงิน ขายพันธบัตร มี5หมื่นซื้อได้

โพสต์ทูเดย์ ธปท. คลอดพันธบัตรออมทรัพย์ 8 หมื่นล้าน ขายประชาชน 22 พ.ย.นี้


นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า พันธบัตรออมทรัพย์ที่จะออกมาจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท ในวันที่ 22 พ.ย.นี้ มีอายุ 2 ปี และ 4 ปี กำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำ ต่อรายไว้รายละ 5 หมื่นบาท ไม่จำกัดเพดานการซื้อ

อัตราผลตอบแทนจะอ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี และ 4 ปี บวกด้วยส่วนต่าง ซึ่งจะทราบอัตราที่แน่นอนในวันที่ 9 พ.ย.นี้

เราเชื่อว่าน่าจะจำหน่ายได้ทั้งหมด เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ ที่ปัจจุบันให้ผลตอบแทนที่ต่ำ นางทองอุไร กล่าว

ผู้บริหาร ธปท. กล่าวว่า การออกจำหน่ายพันธบัตรดังกล่าว นอกจากจะเป็นการเสนอทางเลือกการลงทุนแก่ประชาชนทั่วไป เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ธปท.ยังต้องการระดมทุนเพื่อนำเงินไปปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตลาดซื้อขาย ซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (อาร์พี) ซึ่งขณะนี้มียอดคงค้างอยู่ 1.3 แสนล้านบาท และหากขายได้หมดก็จะเหลือหนี้ 5 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202100
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 402

โพสต์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ส่งสัญญาณเตือนภาครัฐ เร่งพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันด่วน

Posted on Wednesday, November 07, 2007

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกงานวิจัยล่าสุด แนะนำให้รัฐบาลใหม่ หาวิธีการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างเร่งด่วน เพราะหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานด้านเงินเฟ้อของจีน ซึ่งถีบตัวขึ้นอย่างมาก แต่ปรากฏว่า การส่งออกยังแข่งขันได้ ซึ่งสวนทางกับของไทย ที่เงินเฟ้อต่ำกว่า

โดยเงินเฟ้อของจีน ในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 4.1% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1.3% กว่า 3 เท่าตัว และเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าไทยที่มีค่าเฉลี่ยในช่วงเดียวกันที่ 2.0%

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของจีนที่ปรับสูงขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา มีสาเหตุจากอัตราเงินเฟ้อ ที่วัดจากราคาผู้บริโภค (CPI) โดยเฉพาะในหมวดอาหารถีบตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 10.7% แต่กระนั้น อัตราเงินเฟ้อของจีนในเดือนกันยายน ซึ่งอยู่ที่ 6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ก็เป็นอัตราที่ลดลงจากเดือนสิงหาคมที่สูงถึง 6.5% โดยมีผลจากนโยบายการควบคุมราคาเนื้อหมูในประเทศที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนสิงหาคม เริ่มประสบผลสำเร็จด้วยดี

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของจีนที่วัดจากราคาสินค้าของผู้ผลิต (PPI) ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2550 อยู่ที่ 2.7% ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่ยืนในระดับ 3.0% หากเปรียบเทียบกับไทยจะพบว่าในช่วงดังกล่าวอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ 2.0% เท่านั้น และแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อโดยรวมของจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ยังเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้ทางการจีนเองยังไม่สามารถนิ่งนอนใจ

ทางด้านนโยบายการเงิน ทางการจีนมีการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อในประเทศด้วยการควบคุมอุปทานเงินตราไม่ให้ไหลสู่ตลาดมากจนเกินไป ทั้งการสั่งให้ธนาคารพาณิชย์เคร่งครัดในการปล่อยสินเชื่อในรูปของเงินหยวน ไม่ให้เติบโตเกินเป้าหมายของปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ 15% มีการออกพันธบัตรของธนาคารกลางจีน รวมมูลค่า 1,500 พันล้านหยวน เพื่อดูดซับสภาพคล่องของตลาด

ขณะเดียวกัน ยังมีการเพิ่มอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องจากเดิมที่ระดับ12.5% เป็น 13.0% หรือเพิ่มขึ้นอีก 0.5% โดยมาตรการดังกล่าวมีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ถึง 8 ครั้งตลอดช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มจาก 9.0% ในช่วงต้นปี มาอยู่ที่ 13.0% ในปัจจุบัน

มาตรการเหล่านี้คาดว่าจะเห็นผลในอนาคตอันใกล้ และยิ่งค่าเงินหยวนปรับแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้จะอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าเงินบาท แต่ก็น่าจะช่วยผ่อนคลายปัญหาเงินเฟ้อของจีนได้ระดับหนึ่ง

สำหรับไทยเอง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทย ไม่ว่าจะวัดจากราคาผู้บริโภค (CPI) หรือราคาผู้ผลิต (PPI) ยังต่ำกว่าจีน แต่ในด้านการส่งออก อัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นตัวแปรที่สำคัญเช่นกัน หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะพบว่า ปีนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 9.4% เมื่อเทียบกับเงินบาท แต่อ่อนค่าลงเพียง 4.3% เมื่อเทียบกับเงินหยวนของจีน

ดังนั้น เมื่อนำผลจากการเปลี่ยนแปลงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราเงินเฟ้อของทั้งสองประเทศมาพิจารณาร่วมกันจะพบว่า อัตราแลกเปลี่ยนบวกด้วยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่วัดจากราคาสินค้าผู้บริโภคและผู้ผลิต ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่ผลิตในไทยเพิ่มขึ้น 11.4% และ 11.4% ตามลำดับ ขณะที่ต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเพียง 8.4% และ 8.0% เท่านั้น ซึ่งชี้ให้เห็นได้ว่า ไทยยังคงเสียเปรียบจีนจากต้นทุนการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า

และปัญหาต้นทุนส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นมากจากภาวะเงินเฟ้อและเงินบาทแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมาได้กระทบผู้ส่งออกของไทยในวงกว้าง โดยเฉพาะผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการใช้แรงงานมาก อาทิ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมของเล่น มีผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทยจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับปัญหาคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง และมีบางส่วนถึงกับต้องล้มเลิกกิจการไป

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจนทำให้ไทยเสียเปรียบจีนด้านต้นทุนส่งออก แต่วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนสำหรับไทยเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศรวมถึงจีน ควรมุ่งเน้นที่การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของอุตสาหกรรมของประเทศ ท่ามกลางภาวะวิกฤติดังกล่าว

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมีความเห็นว่า ภาครัฐควรจะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญช่วยเหลือผู้ประกอบการของไทย ดังนี้

ประการแรก จะต้องกำหนดแผนนโยบายการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้เป็นวาระแห่งชาติ และกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ในระยะยาว แผนนโยบายดังกล่าวควรให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะของบุคลากร การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง การให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี รวมถึงการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างคุ้มค่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เป็นต้น

ประการที่สอง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทย ควรมองหาโอกาสในการร่วมมือทางธุรกิจกับจีน เช่นที่ผ่านมาจีนมีการนำเข้าวัตถุดิบจากไทยเป็นจำนวนมาก อาทิ ยางพารา มันสำปะหลัง เม็ดพลาสติก ลำใยอบแห้ง ฯลฯ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าต่าง ๆ โดยภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและเงินทุนแก่ผู้ผลิตของไทย เพื่อให้สามารถผลิตวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อการส่งออก

ประการที่สาม สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ไทยยังมีทักษะในการผลิต แต่เสียเปรียบจีนด้านต้นทุน เช่นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลัก ภาครัฐจะต้องเร่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในประเทศที่ค่าแรงต่ำและทรัพยากรราคาถูก เช่นลาว เวียดนาม ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันกับจีนในด้านการส่งออกได้มากขึ้น

ท่ามกลางภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงจากนานาประเทศรวมถึงจีน การปรับตัวของภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนของไทยจึงมีความสำคัญเร่งด่วน และเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลใหม่ที่คาดว่าจะเข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นไปควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เพื่อเป็นหลักประกันว่าภาคการผลิตและการส่งออกของไทยจะยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/11/07

โพสต์ที่ 403

โพสต์

กรมฯ ส่งออกชี้ไม่เกี่ยว ธปท.แทรกแซงค่าเงินอุ้มผู้ส่งออก ข่าว 17.00 น.
Posted on Wednesday, November 07, 2007
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก บอกถึง การที่หลายฝ่ายไม่ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) เข้าแทรกแซงค่าเงินบาท เพื่ออุ้มการส่งออก โดยให้หันมากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศแทน ว่าการดูแลค่าเงินบาททุกอย่างถือว่าเป็นหน้าที่การตัดสินใจของแบงก์ชาติ และเข้าใจว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเป็นสิ่งจำเป็น แต่ในส่วนของการส่งออกก็ควรที่จะต้องดำเนินการให้ขยายตัวต่อไป

สำหรับกรมส่งเสริมการส่งออก ในฐานะหน่วยงานดูแลเรื่องการส่งออก ได้เน้นการพัฒนาผู้ประกอบการให้มีความแข็งแกร่ง รับมือกับปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้และการแข่งขันได้ในปีหน้า โดยมีโครงการที่จะส่งทีมเข้าไปแนะนำผู้ประกอบการ ให้ศึกษาและทำความเข้าใจต่อแนวโน้ม (Trend) ความต้องการของตลาด เพื่อที่จะทำให้สามารถผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแท้จริง และกำหนดราคาที่เหมาะสมได้โดยไม่ต้องตัดราคากัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/11/07

โพสต์ที่ 404

โพสต์

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคต.ค.ลดลงที่68.6

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2550

ม.หอการค้าเผย ดัชนีความเชื่อมันผู้บริโภคเดือน ต.ค.ลดลงอยู่ที่ 68.6 จาก ปัญหาน้ำมันแพง-ค่าครองชีพสูงขึ้น-นโยบายกระตุ้นศก.ที่ยังไม่เป็นรูปธรรม
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน ต.ค.50 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ที่ 68.6 ลดลงจาก 69.2 ในเดือน ก.ย.50


ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 69.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 88.1

สำหรับปัจจัยลบที่ส่งผลต่อให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมปรับตัวลดลงจากเดือน ก.ย.50 เนื่องจากผู้บริโภคยังกังวลกับปัญหาราคาน้ำมันแพง, ปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังอยู่ในระดับสูง, เงินบาทที่ยังแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย, ภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ตลอดจนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม

การสำรวจความเห็นประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับความเชื่อมั่นที่มีต่อเศรษฐกิจนั้น ระดับดัชนีที่สูงกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคยังเห็นว่า ภาวะการณ์นั้นๆ อยู่ในระดับที่ปกติ แต่หากดัชนีต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภครู้สึกไม่มั่นใจต่อระบบเศรษฐกิจ
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=202407
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/11/07

โพสต์ที่ 405

โพสต์

JTEPA ปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย...ท่ามกลางปัจจัยลบรอบด้าน

8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 14:09:00

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :    เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเผชิญกับปัจจัยกดดันหลายประการ ทั้งจากภายในประเทศและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลกดดันภาวะเงินเฟ้อของไทย โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งสูงขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2550 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือระดับ 97 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการของผู้ประกอบการไทยที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งทำให้การบริโภคภายในประเทศชะลอตัวลงด้วย การแก้ไขกฎหมายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และพระราชบัญญัติค้าปลีก ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ สถานการณ์ความไม่มั่นใจทางการเมืองด้านเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550  

   ท่ามกลางการชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศจากปัจจัยทั้งหลายข้างต้น ภาคการส่งออก ถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญในปัจจุบัน โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) แม้ว่าการส่งออกไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้จะขยายตัวได้ 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ใกล้เคียงกับทั้งปี 2549 ที่การส่งออกของไทยขยายตัวเกือบ 17% แต่การส่งออกของไทยในปีนี้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทที่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกของไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะสินค้าส่งออกที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก ได้แก่ สินค้าเกษตร/ เกษตรแปรรูป และสินค้าที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้น ได้แก่ สิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม และรองท้า  

   นอกจากนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่ไทยส่งออกไปมากที่สุด (คิดเป็นสัดส่วน 15% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย) เนื่องจากปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำ (Sub-prime Loan) ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้ความต้องการบริโภคในสหรัฐฯ อ่อนแรงลง กดดันให้การนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากประเทศต่างๆ รวมทั้งไทย ชะลอตัวลงด้วย รวมถึง การตัดสิทธิพิเศษจีเอสพี (GSP) ของสหรัฐฯ กับสินค้าส่งออกของไทย ได้แก่ เครื่องประดับทำด้วยทอง เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ และเม็ดพลาสติก (โพลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต) ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2550 ส่งผลให้สินค้าส่งออกดังกล่าวของไทยไปสหรัฐฯ ต้องกลับไปเสียภาษีศุลกากรในอัตรา 5.5% 3.9% และ 6.5% ตามลำดับ ส่งผลให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าส่งออกสำคัญของไทย 3 รายการนี้ ลดลงในตลาดสหรัฐฯ  

   แม้ว่าการส่งออกของไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวราว 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 และคาดว่าการส่งออกทั้งปี 2550 จะขยายตัวได้มากกว่าที่ทางการตั้งเป้าหมายไว้ที่ 12.5% แต่จากปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยหลายประการข้างต้น จะส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อการส่งออกของไทยในปี 2551 ซึ่งคาดว่าจะทำให้การส่งออกของไทยในปี 2551 ชะลอตัวลงด้วย

JTEPA : ตัวช่วยส่งออกไทย

    ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 หลังจากไทยและญี่ปุ่นได้ร่วมกันลงนามความตกลงฯ ในเดือนเมษายน 2550 ถือเป็นปัจจัยบวกที่ผลักดันให้สินค้าส่งออกของไทยขยายตัวในตลาดญี่ปุ่นได้ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ และในปี 2551 รวมทั้งช่วยกระตุ้นการส่งออกโดยรวมของไทยด้วย จากช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ที่ไทยส่งออกไปญี่ปุ่นขยายตัวราว 10.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 แม้มูลค่าการส่งออกไทยไปญี่ปุ่นในสินค้าบางรายการเมื่อคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ หดตัวลง เช่น ยางพารา (-18%) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (-1.8%) เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ (-2.8%) และไก่แปรรูป (-3.9%) เสื้อผ้าสำเร็จรูป (-19%) อัญมณีและเครื่องประดับ (-6%) และรองเท้าและชิ้นส่วน (-8.7%) สาเหตุสำคัญที่มูลค่าส่งออกสินค้าเหล่านี้ของไทยลดลงในตลาดญี่ปุ่น ได้แก่ ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาท และการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นกับสินค้าส่งออกของประเทศอื่นๆ ในตลาดญี่ปุ่น ที่สำคัญ ได้แก่ จีนและเวียดนามที่มีต้นทุนถูกกว่า ขณะที่การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในช่วงเดียวกัน หดตัวลงราว 3% คิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ  

   การลด/ยกเลิกภาษีศุลกากรของญี่ปุ่นให้กับสินค้าส่งออกของไทยภายใต้ความตกลง JTEPA จะช่วยกระตุ้นให้สินค้าส่งออกของไทยขยายตัวในตลาดญี่ปุ่นได้มากขึ้น ได้แก่ อาหารสด/แปรรูป เช่น ผัก/ผลไม้สดและแปรรูป ไก่สดและแปรรูป และสินค้าประมง เช่น กุ้งแช่เย็น/แช่แข็ง และอาหารทะเลสำเร็จรูป รวมทั้งสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ รองเท้าและเครื่องหนัง สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และอัญมณีและเครื่องประดับ รวมทั้งการให้โควตาของญี่ปุ่นกับสินค้าเกษตรส่งออกของไทย ได้แก่ กล้วย สัปปะรด และเนื้อหมูแปรรูป

  สินค้าอาหาร (เกษตร ปศุสัตว์ และประมง) ปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นประเทศที่นำเข้าอาหารสุทธิมีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของการบริโภคอาหารทั้งหมดภายในประเทศ ญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าอาหารจากไทยมากเป็นอันดับที่ 5 มูลค่านำเข้าอาหารจากไทยทั้งหมดราว 2,574 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2549 คิดเป็นสัดส่วนราว 5.3% ของอาหารนำเข้าทั้งหมดของญี่ปุ่น รองจากสหรัฐฯ (สัดส่วน 21.9%) จีน (17%) ออสเตรเลีย (8.5%) และแคนาดา (5.6%) ตามลำดับ ญี่ปุ่นนำเข้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปจากไทยมูลค่า 448 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2549 ไทยได้รับผลดีจากการที่ญี่ปุ่นยกเลิกภาษีทันทีสำหรับกุ้งส่งออกของไทยไปญี่ปุ่น ส่วนไก่ปรุงสุกจะลดภาษีจากอัตรา 6% เหลือ 5.5% ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550และทยอยลดลงจนเหลือ 3% ในปี 2555 (ปีที่ 6) นอกจากนี้ญี่ปุ่นให้โควตานำเข้าเนื้อหมูแปรรูปปีละ 1,200 ตัน ในภาษีอัตรา 16% (นอกโควตาภาษี 20%)

   อัญมณีและเครื่องประดับ ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 8 ของไทย คาดว่าการยกเลิกภาษีศุลกากรของญี่ปุ่นให้กับสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ยกเว้นไข่มุกเทียมที่ยกเลิกภาษีใน 7 ปี) ทันที ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 จากเดิมที่อัตราภาษีอยู่ระหว่าง 2.7%-10% จะช่วยให้สินค้าส่งออกไทยแข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดญี่ปุ่น และช่วยลดผลลดผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษ GSP กับเครื่องประดับทำด้วยทองส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ ต้องกลับไปเสียภาษีศุลกากรนำเข้าในอัตรา 5.5% ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2550 อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปญี่ปุ่นควรพัฒนารูปแบบและดีไซน์ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของสินค้าและเน้นตลาดระดับบน เนื่องจากตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง  

   สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ไทยส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไปญี่ปุ่นมากเป็นอันดับที่ 4 คิดเป็นสัดส่วนราว 6% ของการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มทั้งหมดของไทย รองจากสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ตามลำดับ คาดว่าการที่ญี่ปุ่นยกเลิกภาษีสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเกือบทุกรายการให้ไทย จากเดิมที่ไทยต้องเสียภาษีในอัตรา 2.7%-13.4% จะทำให้สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยมีขีดความสามารถทางการแข่งขันมากขึ้นในตลาดญี่ปุ่น และช่วยลดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทที่ทำให้การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของไทยไปญี่ปุ่นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้หดตัวลงถึง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549  

   รองเท้าและเครื่องหนัง ญี่ปุ่นยกเลิกโควตาและทยอยลดภาษีศุลกากรให้สินค้ารองเท้าและเครื่องหนังให้ไทย จนเหลือ 0% ภายใน 7-10 ปี ทำให้รองเท้าและเครื่องหนังของไทยส่งออกไปญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นในตลาดญี่ปุ่น ช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทที่ส่งผลไทยส่งออกรองเท้าและชิ้นส่วนไปญี่ปุ่นหดตัวลง 17.3% ในปี 2549 เมื่อเทียบกับปี 2548 และหดตัวลง 8.7% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 รวมทั้งการแข่งขันอย่างรุนแรงจากรองเท้าจากจีนและเวียดนามที่มีราคาถูกกว่า  

JTEPA : ดึงเม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่น

    การผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการลงทุนของไทยและการลด/ยกเลิกภาษีศุลกากรของไทยให้กับสินค้านำเข้าของญี่ปุ่นภายใต้ JTEPA จะช่วยสร้างบรรยากาศด้านการลงทุนในไทย และดึงดูดให้นักลงทุนญี่ปุ่นกลับเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น จากสถานการณ์ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบันที่มีปัจจัยลบหลายประการต่อบรรยากาศด้านการลงทุนของไทย ได้แก่ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ปัญหาการก่อการร้ายทางภาคใต้ การแก้ไข พ.ร.บ ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และ พ.ร.บ ค้าปลีก มาตรการกันสำรอง 30% เพื่อควบคุมเงินทุนระยะสั้นของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้มูลค่าโครงการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยลดลงในปี 2549 โดยมูลค่าโครงการลงทุนของญี่ปุ่นที่ยื่นขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทยในปี 2549 ลดลง 37% จาก 175,314 ล้านบาท ในปี 2548 เป็น 110,477 ล้านบาท

  นอกจากนี้ ผลการสำรวจของธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิค) พบว่า ประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุดในปี 2549 คือ จีน รองลงมา ได้แก่ อินเดีย เวียดนาม และไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ไทยเคยเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากกว่าเวียดนามในสายตาของนักลงทุนญี่ปุ่น  

   เป็นที่น่าสังเกตว่า สัดส่วนมูลค่าโครงการลงทุนของญี่ปุ่นที่ยื่นขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทยลดลงจากราว 40% ของมูลค่ามูลค่าโครงการลงทุนของต่างชาติทั้งหมดที่ยื่นขออนุมัติการลงทุนในไทยในปี 2545 เป็น 35.9% ในปี 2549 เนื่องจากญี่ปุ่นเข้าไปลงทุนในประเทศเอเชียอื่นๆ มากขึ้น ที่สำคัญ ได้แก่ จีน เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่าไทย

  สำหรับโครงการลงทุนของต่างชาติทั้งหมดที่ยื่นขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่า 334,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ในขณะที่โครงการลงทุนของญี่ปุ่นที่ยื่นขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทยในช่วงเดียวกัน เพิ่มขึ้น 14.38% จากมูลค่า 72,711 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2549 เป็น 83,173 ล้านบาท ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยมีมูลค่าโครงการลงทุนสูงที่สุด แต่สัดส่วนโครงการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ลดลงเหลือราว 25% ของมูลค่าโครงการลงทุนของต่างชาติทั้งหมดที่ยื่นขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทยในช่วงเดียวกัน คาดว่า ความตกลง JTEPA จะช่วยสร้างบรรยากาศด้านการลงทุนในไทยและส่งเสริมให้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น  

   ประเภทโครงการลงทุนของญี่ปุ่นที่ยื่นขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ โครงการผลิตภัณฑ์เหล็กและเครื่องจักร มูลค่าโครงการลงทุน 36,251.7 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43.5% ของโครงการลงทุนทั้งหมดของญี่ปุ่นที่ยื่นขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทย รองลงมาเป็นโครงการผลิตเครื่องไฟฟ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าโครงการรวม 18,497.5 ล้านบาท (สัดส่วน 22%) เคมีภัณฑ์และกระดาษ มูลค่าโครงการรวม 15.587 ล้านบาท (สัดส่วน 18.7%) ธุรกิจบริการ มูลค่าโครงการรวม 6,739 ล้านบาท (สัดส่วน 8%) ภาคเกษตร มูลค่าโครงการรวม 3,462 ล้านบาท แร่ธาตุ/เซรามิกส์ มูลค่าโครงการ 1,914 ล้านบาท และอุตสาหกรรมเบา/สิ่งทอ มูลค่าโครงการ 721 ล้านบาท ตามลำดับ

  หลังจากความตกลง JTEPA มีผลบังคับใช้ บริษัทผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของญี่ปุ่นสนใจเข้ามาลงทุนผลิตเหล็กต้นน้ำในไทย จากพันธกรณีภายใต้ความตกลง JTEPA ที่ไทยยกเลิกภาษีศุลกากรทันทีให้กับเหล็กรีดร้อนคุณภาพดีนำเข้าจากญี่ปุ่นที่ไม่มีการผลิตในไทย และการเปิดโควตาให้สำหรับเหล็กรีดร้อนที่นำไปรีดเย็นต่อสำหรับการผลิตในอุตสาหกรรมรถยนต์ หรือ เหล็ก P/O เหล็กคาร์บอนต่ำ และเหล็กแผ่นรีดเย็น ซึ่งในปัจจุบันไทยต้องนำเข้าเหล็กต้นน้ำคุณภาพดีเพื่อรองรับการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ การลดภาษีศุลกากรของไทยให้กับสินค้าส่งออกจากญี่ปุ่น เช่น รองเท้าและเครื่องหนังซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้แรงงานมาก จะส่งเสริมให้ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิต OEM มาไทยซึ่งมีต้นทุนการผลิตและค่าแรงงานต่ำกว่าญี่ปุ่นด้วย

ที่มา : บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/0 ... sid=200316
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/11/07

โพสต์ที่ 406

โพสต์

คลังเตือนงบขาดดุลฯ อัดเงินเข้าระบบมากเกินไป-กระทบเงินเฟ้อ

โดย ผู้จัดการออนไลน์
8 พฤศจิกายน 2550 13:27 น.  

      ที่ปรึกษาคลัง ชี้การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล มีการฉีดเงินเข้าสู่ระบบมากเกินไป อาจกระทบเงินเฟ้อ แนะรัฐบาลใหม่ ดูแลด้านเสถียรภาพ-ฐานะการคลัง หลังราคาน้ำมันแพง เริ่มกระทบภาพรวม ศก.
     
      วันนี้ (8 พ.ย.) นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวแสดงความกังวลการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล อาจส่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและฐานะทางการคลัง เพราะหากมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ปัญหาราคาน้ำมันแพง ก็เป็นแรงกดดันสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจในขณะนี้
     
      หากรัฐบาลใหม่เข้ามาแล้ว ต้องการจัดทำงบประมาณให้ขาดดุลมากขึ้นควรที่จะคำนึงถึงความยั่งยืนทางการคลัง เสถียรภาพทางการคลัง และฐานะทางการคลัง ซึ่งเชื่อว่าการกำหนดให้งบประมาณปี 2551 มีการขาดดุล 1.6 แสนล้านบาทน่าจะเพียงพอในการดำเนินนโยบายต่างๆ เพราะหากมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งหากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับตัวอยู่ในระดับสูงต่อไปก็อาจเกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ จนอาจถึงขั้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
     
      นายสมชัย สัจจพงษ์ กล่าวถึงการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2551 คาดว่า จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.495 ล้านล้านบาท แต่ก็ยังมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลทั้งในแง่บวกและลบ
     
      ปัจจัยบวก ได้แก่ เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้นเนื่องจากมีความชัดเจนทางการเมือง ทำให้มีการขยายตัวด้านการลงทุน, สศค.เตรียมเสนอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ เพื่อให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการภาครัฐ ซึ่งช่วยลดภาระการใช้งบประมาณให้ภาครัฐ ขณะที่ปัจจัยลบ ได้แก่ ความผันผวนของค่าเงินบาท ส่วนราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงสามารถเป็นได้ทั้งปัจจัยบวกและลบต่อการจัดเก็บรายได้
     
      ปัจจุบันรายได้หลักของรัฐมาจากภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 26.5 ของรายได้รวม รองลงมา คือ ภาษีนิติบุคคลมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 22.6 ของรายได้รวม และภาษีสรรพสามิตมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 18.9 ของรายได้รวม
     
      ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือน ต.ค.2550 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 116,093 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณจำนวน 1,521 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.3 และสูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน 8,630 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.0
     
      ในส่วนกรมสรรพากรจัดเก็บได้ 73,085 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสูงกว่าประมาณการ 138 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 เป็นผลจากภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ
     
      ด้านกรมสรรพสามิตจัดเก็บได้ 23,173 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 100 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.4 ผลจากภาษียาสูบและสุราจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ในทางกลับกันภาษีเบียร์ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และภาษีน้ำมันจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
     
      กรมศุลกากรจัดเก็บได้ 8,436 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 656 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.4
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000132615
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/11/07

โพสต์ที่ 407

โพสต์

"เอสเอ็มอี" แห่กู้กองทุนเปลี่ยนเครื่องจักรรับน้ำมันแพง

นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. บอกว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสนใจเข้าร่วมโครงการกองทุนฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร (Machine Fund) ซึ่งเป็นความร่วมมือของ สสว. และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ในการพัฒนาและปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการใช้พลังงานจำนวนมาก

ล่าสุดมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอียื่นขอกู้เงินจำนวน 179 ราย วงเงิน 2,300 ล้านบาท มากกว่างบประมาณที่โครงการกำหนดไว้ที่ 1,700 ล้านบาท แสดงให้ถึงเห็นการตื่นตัวของผู้ประกอบการที่ต้องการลดต้นทุนพลังงานเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันในอนาคต
ทั้งนี้ในจำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ส.อ.ท.ได้พิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นผ่านจำนวน 157 ราย วงเงิน 2,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้รับอนุมัติไปจำนวน 47 ราย วงเงิน 522 ล้านบาท และได้รับอนุมัติเงินกู้จากธนาคารแล้ว 5 ราย วงเงิน 87.6 ล้านบาท ถือว่าน้อยมากทั้งที่โครงการกำลังจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคมนี้

ดังนั้นเพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับความช่วยเหลือและสามารถกู้เงินจากโครงการได้มากขึ้น สสว.ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ จากเดิมกำหนดผู้ประกอบการที่จะได้รับความช่วยเหลือต้องเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรเก่าเท่านั้น ด้วยการเปิดโอกาสให้สามารถใช้เงินเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ได้ด้วย เพราะการเปลี่ยนเครื่องจักรเก่าเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุนพลังงานได้เท่าที่ควร เนื่องจากเครื่องจักรบางรายอาจมีอายุการใช้งานนาน จึงไม่คุ้มค่าการลงทุน น่าจะเปลี่ยนเป็นเครื่องจักรใหม่จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า

โครงการดังกล่าวธนาคารจะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องการสินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักร ปรับปรุงเครื่องจักรเดิม และติดตั้งเครื่องจักร วงเงินต่อรายไม่เกิน 100 ล้านบาท สสว.สนับสนุนอัตราดอกเบี้ย 3% เป็นระยะเวลา 5 ปี แต่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการต้องไม่เป็นหนี้เอ็นพีแอล หรือหากเคยเป็น จะต้องปรับโครงสร้างหนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี


http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/11/07

โพสต์ที่ 408

โพสต์

ใครได้ใครเสียกับพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯฉบับใหม่"
Posted on Friday, November 09, 2007
นายประสงค์ วินัยแพทย์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า เนื่องจากพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ได้ถูกใช้มาเป็นเวลานาน และยังมีบางประเด็นที่ทำให้ตลาดทุนไทยไม่สามารถก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนโลก สำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้จัดทำร่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฉบับใหม่ขึ้นมา ซึ่งขณะนี้กำลังเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
สำหรับร่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฉบับนี้ จะเพิ่มสิทธิและความคุ้มครองให้กับผู้ที่ลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทที่ออกหลักทรัพย์อื่น ๆ เช่น หุ้นกู้ เป็นต้น โดยกฎหมายกำหนดให้บริษัทจะต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่ ก.ล.ต. ระบุไว้ให้ครบถ้วน เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่มากพอ ส่วนข้อมูลใดที่เมื่อเปิดเผยแล้วอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ก.ล.ต. ก็ไม่ได้บังคับให้เปิดเผยข้อมูลในส่วนนี้ออกมา

นอกจากนั้นกฎหมายฉบับนี้ยังให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยสามารถเสนอวาระเข้าสู่การประชุมผู้ถือหุ้นได้ด้วย โดยให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยรวมเสียงให้ได้ 5% ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด และปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ เช่น ให้เสนอวาระก่อนการประชุมเป็นเวลา 70 วัน และระบุเหตุผลของการเสนอให้ชัดเจน เป็นต้น ถ้าคณะกรรมการบริษัทเห็นด้วยกับวาระการประชุมที่เสนอมา ก็ให้บรรจุเป็นวาระการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท แต่ถ้าคณะกรรมการบริษัทไม่เห็นด้วย ก็จะต้องระบุเหตุผลให้ชัดเจน พร้อมกับแจ้งในที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้ทราบ จากนั้นก็ให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติว่าต้องการให้นำประเด็นนั้นมาเป็นวาระการประชุมหรือไม่ ถ้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติเห็นด้วย ก็ให้จัดเป็นวาระการประชุมในครั้งถัดไป

นายประสงค์บอกว่า ผู้ถือหุ้นยังมีสิทธิที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกรรมการหรือผู้บริหารที่สร้างความเสียหายให้แก่บริษัทด้วย ถ้าศาลตัดสินให้ผู้ถือหุ้นชนะ ค่าเสียหายที่ได้จะตกเป็นของบริษัท ส่วนผู้ฟ้องร้องมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีดังกล่าวจากบริษัทตามสมควรตามคำสั่งศาล

นอกจากนั้น กฎหมายฉบับนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ด้วย โดยโครงสร้างใหม่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการ ก.ล.ต. นอกจากนั้นยังได้เพิ่มคณะกรรมการกำกับตลาดทุน เพื่อทำหน้าที่ออกกฎเกณฑ์ในระดับปฏิบัติ ส่วนคณะกรรมการ ก.ล.ต. จะดูแลด้านนโยบาย

นายมนตรี ศรีไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงแรกรู้สึกกังวลกับร่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์ เพราะเข้าใจว่ากฎหมายอนุญาตให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ แต่เมื่อ ก.ล.ต. ได้ระบุไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจนว่า อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่ไม่ใช่หุ้น ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น

ส่วนประเด็นเรื่องการเพิ่มหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการ และเลขานุการของบริษัทนั้น ก็อยากให้ระบุอำนาจหน้าที่ไว้อย่างชัดเจนด้วย มิฉะนั้นสิ่งที่คณะกรรมการและเลขานุการของบริษัททำ อาจจะมีความผิดและต้องโทษทางอาญาได้ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการก็อาจจะไม่มีความผิด ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่า ได้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง ภายใต้เงื่อนไขทางภาวะแวดล้อมในขณะนั้น
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/11/07

โพสต์ที่ 409

โพสต์

ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ช่วง 10 เดือนปีนี้ ลด แต่มูลค่าเพิ่มกว่า 20.14%

Posted on Friday, November 09, 2007

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนใน 10 เดือนแรกของปีนี้ มีผู้ขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 1,062 ราย ลดลงจากงวดปีก่อนที่มี 1,088 ราย แต่มีมูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นมาที่ 4.98 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.14% จากงวดปีก่อน ที่มีมูลค่า 4.14 แสนล้านบาท

โดยกิจการที่มีมูลค่าขอส่งเสริมลงทุนมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มบริการและสาธารณูปโภค รองลงมาเป็น อุตสาหกรรมเคมี กระดาษและพลาสติก, อิเล็คทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ,ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง, เกษตรกรรม และผลิตผลจากการเกษตร, เหมืองแร่ เซรามิกส์และโลหะขั้นมูลฐาน และอุตสาหกรรมเบา

สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดในช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ ยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่น รองลงมาเป็น ยุโรป และสิงคโปร์ เหมือนเคย
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/11/07

โพสต์ที่ 410

โพสต์

แบงก์ชาติยังไม่ยกเลิกกันสำรอง 30% - ข่าว 18.00 น.

Posted on Friday, November 09, 2007
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% แม้ว่าค่าเงินบาทของไทยจะแข็งค่าขึ้นใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้แล้ว และยอมรับด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้เข้าไปแทรกแซง เพื่อให้เงินบาทไม่แข็งค่าจนเกินไป

นางธาริษาบอกด้วยว่า ในการพิจารณายกเลิกจะต้องดูเวลาที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่า ดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลการค้าของไทย ซึ่งคาดว่าจะมีแรงกดดันน้อยลง เนื่องจากการส่งออกชะลอตัวจากสภาวะเศรษฐกิจโลก ขณะที่การนำเข้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการลงทุนในประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว

ทั้งนี้ ค่าเงินบาทช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้ว แข็งค่าขึ้นประมาณ 6% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ใกล้เคียงกับประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ขณะที่ค่าเงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นประมาณ 5% ขณะที่สัดส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยไม่ได้ถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว แต่มีการกระจายความเสี่ยงด้วยการถือครองเงินสกุลเงินอื่น ๆ ด้วย ซึ่งประเทศอื่นถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 66% ขณะที่ไทยถือครองน้อยกว่านั้น

ผู้ว่าการ ธปท. ยอมรับว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงเช่นเดียวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพราะไทยใช้น้ำมันมาก และเมื่อเทียบสัดส่วนการใช้ต่อ GDP ถือว่าสูงที่สุดในเอเชีย ไม่รวมสิงคโปร์ที่มีการนำเข้าเพื่อส่งออก ดังนั้น รัฐบาลจะต้องมีนโยบายด้านพลังงานที่ชัดเจน เร่งผลักดันให้เอกชนช่วยกันประหยัดพลังงาน และรัฐบาลเร่งระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อลดการใช้น้ำมัน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/11/07

โพสต์ที่ 411

โพสต์

รัฐบาลห่วงปัจจัยนอกกระทบเศรษฐกิจไทย
Posted on Friday, November 09, 2007
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี บอกถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า รัฐบาลได้ติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยการออกมาตรการใด ๆ นั้น จะพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งการชะลอการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการรณรงค์ประหยัดน้ำมัน ถือเป็นมาตรการที่ชะลอผลกระทบเท่านั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอให้รัฐบาลมาแก้ไขปัญหา แต่สิ่งสำคัญหน่วยงานราชการต้องทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลไว้ เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปสามารถดำเนินการได้ทันที ขณะที่ประชาชนจะต้องตระหนักว่า ราคาน้ำมันจะไม่กลับมาอยู่ที่บาร์เรลละ 50 - 60 ดอลลาร์สหรัฐอีกต่อไป

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ที่กำลังเข้าสู่การเลือกตั้ง ยังมีความน่าเป็นห่วงจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะราคาน้ำมันและความไม่สมดุลอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจโลก เพราะในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯตกต่ำ แต่เงินทุนสำรองของจีนและญี่ปุ่นกลับเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากการค้าขายเกินดุล ทำให้เป็นความเสี่ยงที่รัฐบาลใหม่ที่มาจากเลือกตั้งจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ว่าปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศจะเบาบางลงแล้วก็ตาม

ส่วนผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลรักษาการในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานั้น ได้วางพื้นฐานไว้เป็นอย่างดี แต่เป็นช่วงที่มีปัญหาเศรษฐกิจโลกหลายระลอก ประกอบกับรัฐบาลนี้ไม่ได้แก้ปัญหาด้วยการอัดฉีดเงินเหมือนรัฐบาลก่อน ประชาชนจึงมองว่ารัฐบาลไม่ได้ทำอะไร แต่แท้จริงแล้วรัฐบาลได้แก้ปัญหาที่ยั่งยืนมากกว่าการให้เงิน ซึ่งช่วยแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น และขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจไทยไม่ได้มีปัญหารุนแรงแต่อย่างใด
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/11/07

โพสต์ที่ 412

โพสต์

กสิกรชำแหละ หลากปัจจัยลบ ดึงศก.หัวทิ่มบ่อ

โพสต์ทูเดย์ กสิกรชำแหละปัจจัยลบดึงเศรษฐกิจไทยลงเหว


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนักในปีนี้และปีหน้าคือ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อภายในประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น และภาคการบริโภคในประเทศชะลอตัวลง

การแก้ไขกฎหมายด้านเศรษฐกิจ ที่สำคัญของไทย ได้แก่ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว และพระราชบัญญัติค้าปลีก ที่กระทบต่อนักลงทุน

สถานการณ์ความไม่มั่นใจต่อเสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้งในเดือน ธ.ค. 2550

การแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกของไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศในสัดส่วนที่สูง ได้แก่ สินค้าเกษตร/อาหารแปรรูป สิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า

การชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐ และการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีในสินค้า เครื่องประดับ ทำด้วยทอง เครื่องรับโทรทัศน์สี และเม็ดพลาสติก ทำให้สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน

นอกจากนี้ การชะลอตัวของ การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศจากปัจจัยทั้งหลายข้างต้นทำให้เศรษฐกิจชะงักได้ ต้องเร่งแก้ไข

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เห็นว่าครึ่งปีแรกของปีหน้าเศรษฐกิจ มีความเสี่ยง เพราะเป็นช่วงสุญญา กาศทางการเมือง และไทยจะมี ปัญหาด้านส่งออก จีดีพีปีหน้าจะไม่ดีเท่ากับปีนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202465
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/11/07

โพสต์ที่ 413

โพสต์

ตลาดส่งออกหลัก-รองส่อเค้าหด สภาฯส่งสินค้าทางเรือชี้ปีหน้าแย่

โพสต์ทูเดย์ สภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือฯ ชี้แนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยในปีหน้า ลดลง เหตุทั้งตลาดหลัก-รองขยายตัวน้อย สวนทางกำลังส่งออกของไทย


นายสุชาติ จันทรานาคราช ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ส่งออกและแนวโน้มการส่งออกในปี 2551 คาดว่าจะลดลง เนื่องจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นหลายประการ ประกอบกับตลาดหลักในภาคส่งออก ได้แก่ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น และตลาดรอง อย่าง ออสเตรเลีย ฮ่องกง และอินเดีย มีทิศทางชะลอการขยายตัวลง เหลือเพียง 4.79% และ 12.8% ตามลำดับ ขณะที่คาดการณ์ว่าในปี 2551 สินค้าเพื่อการส่งออกของไทยจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น

สาเหตุหลักที่จะส่งผลให้การส่งออกไทยปี 2551 ลดลงนั้น พิจารณาได้จากปัจจัยต่างๆ คือ ทิศทางอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ค่าบาทที่แข็งค่าขึ้น เกิดคู่แข่งในตลาดมากเช่น จีน เวียดนาม อินเดีย รวมทั้งผลจากมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีต่างๆ อาทิ การที่สหรัฐตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) สินค้า 3 รายการของไทย

ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ ได้เสนอมาตรการผลักดันการส่งออกของไทย โดยเสนอให้มีการสนับสนุนการลดต้นทุนในระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้า ด้วยการพัฒนาระบบอี-โลจิสติกส์ เพื่อนำไปสู่การให้บริการแบบครอบคลุมทั้งหมด รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาระบบการส่งออกด้วยการขนส่งในประเทศให้มากขึ้น ทั้งในด้านปริมาณและประสิทธิภาพในการให้บริการ โดยเฉพาะธุรกิจการขนส่งทั้งทางบกและทางเรือ

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ใช้การเจราจรทางการค้าเพื่อเปิดตลาดและแก้ไขปัญหากีดกันทางการค้าที่เกิดขึ้น และส่งเสริมการส่งออกเพื่อรักษาตลาดส่งออกหลักของไทย โดยวางแผนให้มีการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดหลักไม่น้อยกว่าปี 2549 รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคการส่งออก ที่สำคัญได้แก่ การขาดแคลนแรงงาน การกีดกันทางการค้า กฎระเบียบ ขั้นตอนการดำเนินการภายในประเทศ

สำหรับสถานการณ์การส่งออก ในปี 2550 ในช่วง 3 เดือนสุดท้าย พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม เพราะอยู่ใน ช่วงฤดูการส่งออก จึงเชื่อว่าไทยจะสามารถ ผลักดันเป้าหมายการส่งออกให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ได้

ทั้งนี้ หากย้อนไปพิจารณาภาพรวม การส่งออกของไทยในช่วง เดือน ม.ค.-ก.ย. 2550 พบว่ามีมูลค่าส่ง ออกรวมทั้งสิ้นกว่า 1.10 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 ปรากฏว่าในปี 2550 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.07%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202557
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 414

โพสต์

ธปท.ชี้ปี51บาทอ่อน

โพสต์ทูเดย์ ธาริษา เตือนค่าเงินบาทยังมีความผันผวน เตือนผู้ส่งออก นำเข้า รับมือ ค้านยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ตอนนี้


นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในปีหน้าแรงกดดันในเรื่องค่าเงินบาทน่าจะลดลง เนื่องจากการนำเข้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มชะลอลง ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง แต่ยังคงมีความผันผวน

ดังนั้น ผู้ส่งออกก็ไม่ควรหวังว่าเงินบาทจะแข็งค่าหรืออ่อนค่าในทิศทางเดียว เพราะมีโอกาสที่ค่าเงินจะผันผวนได้ตลอดเวลา จึงควรป้องกันความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ และต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

สำหรับความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐในวันที่ 9 พ.ย. นั้น อยู่ที่ 33.91/94 บาท/เหรียญสหรัฐ แข็งค่าเล็กน้อยจาก 33.92/95 บาท/เหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปีนี้เงินบาท แข็งค่าขึ้นมาแล้วกว่า 6% แข็งค่าสุดเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาค รองจากเงินเปโซ ฟิลิปปินส์, เงินรูปี อินเดีย และดอลลาร์ สิงคโปร์

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า สำหรับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นนับเป็นปัจจัยเสี่ยงอีกด้านที่ กระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะไทยมีสัดส่วนการใช้น้ำมันต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ยังต้องระวังภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐด้วย

สำหรับผลการใช้มาตรการกันสำรอง เงินทุนไหลเข้า 30% ที่จะครบรอบ 1 ปี ในวันที่ 19 ธ.ค. นี้ว่า ทำให้อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทแข็งค่าเกาะกลุ่มในภูมิภาค ส่วนที่นักวิชาการเรียกร้องให้ยกเลิกในขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ต้องรอดูสถานการณ์ในปีหน้า ทั้งในแง่ของเงินทุนไหลเข้า ความสมดุลของดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลการค้า รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่จะเข้ามากระทบจากราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ มีการประเมินโดยหอการค้าว่า การส่งออกในปีหน้ามีทิศทางการขยายตัวที่ชะลอลงประมาณ 10% โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น แต่เชื่อว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในตลาดรองและตลาดใหม่

นางธาริษา กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในขณะนี้ยังเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับค่าเงินในภูมิภาค จึงยังไม่มีแนวคิดที่จะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% สำหรับเงินทุนนำเข้าระยะสั้นในขณะนี้

ตอนนี้ค่าเงินบาทของเรายังเกาะกลุ่มภูมิภาค ในส่วนของมาตรการกันสำรอง 30% เป็นมาตรการชั่วคราว เมื่อไหร่ที่เหมาะสม ก็จะยกเลิก ซึ่งก็ต้องดูปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายใน และความพร้อมของเรา แต่ขณะนี้ ยังไม่เหมาะสม โดยได้ติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงิน และการไหลเข้าไหลออกของเงินทุนอยู่ตลอดเวลา รวมถึงมีระบบที่ดูแลการไหลเข้าไหลออกด้วย นางธาริษา กล่าว

ทั้งนี้ ธปท.ประกาศใช้มาตรการกันสำรอง 30% ตั้งแต่ 19 ธ.ค. 2550
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202713
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 415

โพสต์

แบงก์ฮุบยอด พันธบัตรธปท. 8หมื่นล.ไม่พอ

โพสต์ทูเดย์ ธปท.ไม่จำกัดวงเงินซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ 8 หมื่นล้าน ธาริษาชี้ยอดจองเต็มแล้ว


นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า พันธบัตรออมทรัพย์ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินวงเงิน 8 หมื่นล้านบาท อายุ 2 ปี และ 4 ปี ที่จะเปิดจองซื้อวันที่ 22-29 พ.ย. นี้ ได้ กำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท และซื้อเพิ่มเป็นจำนวนเท่าของ 1 หมื่นบาท แต่ไม่จำกัดวงเงินซื้อ

นางธาริษา กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่กำหนดวิธีการว่าจะกระจายให้ถึงมือรายย่อยมากที่สุดอย่างไร ต้องรอดูผลการจองซื้อก่อน และเป็นหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ที่จะไปจัดสรรพันธบัตรให้กับประชาชนกันเอง

ตอนนี้เท่าที่ได้คุยกับบางแบงก์ เห็นว่ากลัววงเงินจะไม่พอ เพราะ ออร์เดอร์หมดแล้ว นางธาริษา กล่าว

ด้านอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรของแต่ละประเภทอายุจะอ้างอิงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี และ 4 ปี บวกด้วยส่วนต่างไม่เกิน 15% ซึ่งผู้ถือพันธบัตรจะได้รับดอกเบี้ยทุก 6 เดือน

ปัจจุบันผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี อยู่ที่ 3.71% และพันธบัตรอายุ 4 ปี อยู่ที่ 4.07% เมื่อบวกส่วนต่างไม่เกิน 15% จะได้ผลตอบแทนของพันธบัตร 2 ปี ที่ 4.26% และพันธบัตร 4 ปี ที่ 4.68%

ผู้ว่า ธปท. กล่าวว่า ธปท.มี แผนจะออกพันธบัตรอีก 5 หมื่นล้านบาท แต่จะขายแบบเฉพาะเจาะจงกับนักลงทุนสถาบัน จะได้ไม่กระทบอัตราดอกเบี้ยในตลาด
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประ ธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ดอกเบี้ยในตลาดจะไม่มีทางปรับลดลงอีกแล้ว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=202687
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 416

โพสต์

ตลาดหุ้นช็อก!ติดเชื้อหุ้นนอกระวังลุ้นล่มจม [ ฉบับที่ 843 ประจำวันที่ 7-11-2007 ถึง 9-11-2007]  
UBS Citigroup แนะ Underweight Asia Ex Japan กดหุ้นเอเชียรูดทั้งภูมิภาค โบรกเกอร์แนะล้างพอร์ตหากยืน 877 จุดไม่ได้ แนะเลี่ยงบิ๊กแค็ปเลือกเล่นหุ้นเล็กรายตัว ขณะเดียวกันผลสำรวจผู้บริหาร บจ. จำนวน 110 แห่ง พบ 50% เชื่อการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น หนุนการลงทุนเพิ่มหลังเลือกตั้ง พร้อมยอม รับราคาน้ำมันพุ่งทำต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลัก ทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ซึ่งเป็น วันแรกของสัปดาห์ปรากฏว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทย ปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายช่วงเช้าและปรับตัวลงแรง โดยมาปิดที่ 872.86 จุด ลดลง 21.48 จุด หรือ 2.40% มีมูลค่าการซื้อขาย 19,020.60 ล้านบาท

นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายช่วงเช้า โดยแม้ในส่วนของดัชนีดาวโจนส์จะปรับเพิ่มขึ้นโดยปิดเพิ่มขึ้น 27.23 จุด ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนธันวาคม ที่ตลาดนิวยอร์ก ปิดตลาดที่ราคา 95.93 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.44 ดอลลาร์ แต่ก็ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ไทย เนื่องจากแรงเทขายในหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน หลังราคาปรับเพิ่มขึ้นมามากเกินปัจจัยพื้นฐาน เป็นตัวแปรกดดันดัชนีฯอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียที่ปรับลดลง โดยในส่วนของดัชนีฮั่งเส็ง ปิดลดลง 915.56 จุด ดัชนีสเตรทไทม์ ปิดลดลง 29.98 จุด สะท้อนให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยเคลื่อนไหว ทิศทางเดียวกัน

หุ้นลดลงตามคาด เพราะมีการปรับฐานของกลุ่มพลังงาน หลังนักลงทุนลดพอร์ตลงทุน ทั้ง PTT PTTEP BANPU TOP จากราคาที่วิ่งมานานเกินพื้นฐาน และราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับลดลงในระยะกลางถึงระยะยาว จากที่ธุรกิจส่วนใหญ่ได้รับ ผลกระทบต้นทุนที่เพิ่มขึ้น นางสาวมยุรี กล่าว และ ว่า สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ประเมินแนวรับไว้ที่ 875 จุด ส่วนแนวต้าน 885 จุด

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ และเลือกลงทุนรายตัวหุ้น ขนาดเล็ก ที่ผลประกอบการดี แนะนำหุ้นเด่น BEC, ROJANA, CCET, HANA, MCS และ PS

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าว ถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ว่า ดัชนีฯ ได้รับแรงกดดัน จากตลาดภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง จากความกังวลปัญหาตลาดซับไพร์มที่ยังมีอยู่ ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลลบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ดัชนีในตลาดภูมิภาคปรับตัวลดลงรวมถึงตลาดหุ้นไทยเช่นกัน ส่วนแนวโน้มดัชนีฯ ต้องติดตามรอดูตลาดหุ้นยุโรปประกอบกันด้วย หากดัชนีเปิดตัวในแดนลบ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยให้มีการปรับตัวลดลงต่อ

มองว่าหุ้นในกลุ่มมาร์เกตแคปใหญ่ต้องใจเย็นในการตั้งรับ เพราะยังมีแรงขายออกมามากอยู่ แนะเล่นตัวเล็กดีกว่าโดยพิจารณาเทคนิคเป็นรายตัวไป หรือดูจากผลประกอบการของหุ้นขนาดกลางเล็กที่มีแนวโน้มออกมาดี นายรณกฤตกล่าว

กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำซื้อเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลางและเล็ก โดยพิจารณาหุ้นที่มีแนวโน้ม ผลประกอบการออกมาดี อาทิ หุ้นในกลุ่มอสังหา ริมทรัพย์ อย่างบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (QH) และบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (SPALI) ทั้งนี้ประเมินแนวรับดัชนีฯ ไว้ที่ 875 จุด และแนวต้านประเมินไว้ที่ 885 จุด

บล.ฟินันซ่า ระบุว่า นักลงทุนควรระวังแรงขายปรับพอร์ตทั้งภูมิภาคหลัง Sentiment ค่อนข้างแย่ และบทวิเคราะห์ Underweight Asia Ex Japan จาก UBS และ Citigroup ทำให้ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวลดลงหนัก

ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นเรื่อง เกือบเดือนแล้ว เพียงแต่ขณะนั้นตลาดหุ้นไม่ตอบสนองจนกระทั่งปัญหา Subprime กลับมาอีกครั้ง ตลาดจึงหาทางที่จะลงอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งหลังจาก FOMC ลดดอกเบี้ยตามคาดและตลาด หวังว่าจะลดลงอีกอย่างน้อย 0.25-0.50% ก่อนจบปีนี้

บทวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวลงเรื่อยๆ การยืน 877 จุด ไม่ได้ แนะนำขายทำ กำไรทั้งหมด ส่วนความหวังเรื่องหุ้นกลุ่มพลังงานจะพยุงตลาดนั้น แม้ว่าอาจหวังได้ แต่ไม่ควรหวังมากเนื่องจากราคาเกิดเป้าหมายโดยเฉลี่ย บล.ต่าง ชาติ ทั้ง 10 แห่งมากแล้ว

ก่อนหน้านี้ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหาร สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าจากผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนจำนวน 110 แห่งใน 8 อุตสาหกรรม ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปรวมทั้งสิ้นประมาณ 50% ของมาร์เก็ตแคปรวมทั้งหมดของตลาดหลักทรัพย์ไทย ในไตรมาสที่ 3/2550 ปรากฏว่าส่วนใหญ่ 50% มีความคิดเห็นว่าการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังจากการเลือกตั้งปลายปีนี้ในขณะที่ 32% มีความคิดเห็นว่าการเมือง จะเหมือนเดิม และอีก 18% มีความคิดเห็นว่าการเมืองจะมีเสถียรภาพน้อยลง

นอกจากนี้ 52 บริษัทต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ 44 บริษัท ต้องการให้กระตุ้นการบริโภคในประเทศ ส่วน 18 บริษัทต้องการให้ดูแลความผันผวนของค่าเงิน และ อีก 12 บริษัทต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่กระตุ้นการ ส่งออก ในขณะที่ 75% มีความคิดเห็นว่าเศรษฐกิจ หลังการเลือกตั้ง 6 เดือนจะดีขึ้น 18% มีความคิดเห็นว่าเศรษฐกิจจะเหมือนเดิม และ 7% มีความคิดเห็นว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง

ส่วนอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2551 คาดว่าจะขยายตัว 4-4.4% ซึ่งอยู่ในอัตราเดียวกันกับปีนี้ที่ผู้บริหารส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวในขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 2-3%

นอกจากนี้ ยังมีมุมมองที่เป็นเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากที่มีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้รวมทั้งแผนในการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนในอีก 12 เดือนข้าง หน้าจะเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยพบว่า 66% มีความ คิดเห็นว่าการลงทุนของบริษัทในอีก 12 เดือนข้าง หน้าจะดีขึ้น 29% มีความคิดเห็นว่าการลงทุนจะเท่า เดิม และ 5% มีความคิดเห็นว่าการลงทุนจะแย่ลง

ส่วนแหล่งเงินทุนที่บริษัทจดทะเบียนจะนำมาใช้ในการลงทุนมากที่สุดคือการขอสินเชื่อจากธนาคารในประเทศจำนวน 76 บริษัท ใช้กำไรสะสม จำนวน 64 บริษัท ออกหุ้นกู้ภายในประเทศ 20 บริษัท เพิ่มทุนหรือระดมทุนจากผู้ถือหุ้น 16 บริษัท ขอสินเชื่อจากธนาคารในต่างประเทศ 10 บริษัทและออกหุ้นกู้ในต่างประเทศ 5 บริษัท

ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงมีแนวโน้มว่าจะปรับ เพิ่มราคาสินค้าในไตรมาส 4/2550 อีก 40% เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้มีผลกระทบเพียงแค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น หลังจากที่ในช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาวที่ต้องใช้น้ำมันอีกทั้งการเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์ และปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิรัก และตุรกี จึงทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุนในอนาคตของบริษัทจดทะเบียน

โดยจากผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหาร ดังกล่าวข้างต้นพบว่าปัจจัยที่มีผลกระทบต่อแผน การลงทุนมากที่สุด คือ เศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งมีถึง 69 บริษัท ส่วนปัจจัยการเมืองมี 47 บริษัท อัตราแลกเปลี่ยน 23 บริษัท อัตราดอกเบี้ย 22 บริษัท เศรษฐกิจโลก 21 บริษัท ราคาน้ำมัน 19 บริษัท และการลงทุนภาครัฐ 10 บริษัทที่มีความคิดเห็นว่าจะกระทบต่อการลงทุน

เศรษฐกิจในปีหน้าคงจะเติบโตได้ แต่ยังมีแรงกดดันจากราคาน้ำมัน และปัญหาซับไพร์ม ส่วนราคาน้ำมันจะส่งผลกระทบในช่วงสั้นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น 70-80% และพบว่าบริษัทคงจะมีการปรับเพิ่มราคาสินค้าขึ้นอีก 36-40% เพื่อไม่กระทบกับมาร์จิ้นให้ปรับลดลง นายกอบศักดิ์ กล่าว

นายกอบศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารดังกล่าวพบว่า ในอนาคตมีแผนการลงทุนเพิ่มหลังจากที่ปัจจัยทาง การเมืองนิ่ง ซึ่งคงจะเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน ในขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกจำนวน 16 แห่ง ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ดูแลความผัวผวนของ ค่าเงินบาท 13 แห่ง ต้องการให้เร่งโครงการเมกะโปรเจกต์ 9 แห่งต้องการให้กระตุ้นการบริโภคในประเทศและอีก 6 แห่งต้องการให้กระตุ้นการส่งออก

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น พบว่าในไตรมาสที่ 3/2550 มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการค่อนข้างมาก 11% มีผลลบบ้าง 4% ไม่มีผลกระทบ 32% มีผลบวกบ้าง 18% ในขณะที่ได้รับผลบวกค่อนข้างมากถึง 35% เพราะทำให้ต้นทุนสำหรับผู้ประกอบการในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศถูกลง
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=8483
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 417

โพสต์

ธปท.อ่วมหนี้บาน2ล้านล้าน [ ฉบับที่ 844 ประจำวันที่ 10-11-2007 ถึง 13-11-2007]  
รับภาระหนักจ่ายดอกเบี้ย8หมื่นล้านบาท/ปี

กระทรวงการคลัง ธปท.อ่วมหากคลังอนุมัติให้ออกเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท รวมของเดิมเป็น 2 ล้านล้านบาท เตรียมรับภาระหนักแบกหนี้ท่วมหัว จ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรปีละกว่า 8 หมื่นล้านบาท แลกยกเลิกมาตรการ 30% ด้าน กสิกรไทย ชี้บอนด์แบงก์ชาติป่วนตลาดตราสารหนี้ ดูดสภาพคล่องแย่งเงินฝากแบงก์

ดร.ฉลองภพ สุสังกร์ กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง กล่าวถึงกรณีที่ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) ขออนุมัติวงเงินเพิ่มเติมสำหรับการ ออกพันธบัตรอีก 500,000 ล้าน บาท ว่าพร้อมจะเซ็นอนุมัติทันที หากเรื่องมาถึง

ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นความจำเป็นของแบงก์ชาติในการดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้การออกพันธบัตรเป็นเครื่องมือ เพื่อซื้อเงินดอลลาร์ที่ ไหลเข้ามา ซึ่งหากในวงเงินดังกล่าวมีไม่เพียงพอก็สามารถขยายวงเงินได้อีก สำหรับเรื่อง กำไรขาดทุนของการออกพันธบัตรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะ หน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะต้องเข้าไปดูแลเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ จะ มองกำไรขาดทุนเหมือนธนาคารพาณิชย์ไม่ได้

ทั้งนี้ หากรวมวงเงินปัจจุบันที่มีอยู่ 1.5 แสนล้านบาท กับวงเงินใหม่ที่ขอ 5 แสนล้านบาท วงเงินรวมก็จะกลายเป็น 2 ล้านล้านบาท โดยมีภาระดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 8 หมื่นกว่าล้าน บาทต่อปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 4% ต่อปี

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง มองว่าหากแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่แบงก์ชาติจะต้องออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องเพิ่มขึ้นอีกก็มีอีกมาก ซึ่งที่ผ่านมาแบงก์ชาติไม่สามารถ ชำระดอกเบี้ยได้เอง เนื่องจากผลประกอบการของธปท.มีผลขาดทุน ทำให้ต้องตกเป็นภาระของคลังที่ต้องจัดสรรงบประมาณประเทศให้แบงก์ชาติไปชำระหนี้

โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าแบงก์ชาติได้ยื่นข้อเสนอให้กับรัฐมนตรีคลังว่า หากอนุมัติวงเงินออกพันธบัตรเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท แบงก์ชาติก็พร้อมจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เป็นการแลกเปลี่ยน ในต้นปีหน้า

สำหรับตลาดตราสารหนี้ มียอดคงค้างวันที่ 30 กันยายน 2550 ตราสารหนี้ทั้งสิ้น 3.73 ล้านล้านบาท โดยเป็นพันธบัตรรัฐบาลมากที่สุด 1.69 ล้านล้านบาท รองลงมาเป็นพันธบัตรธปท 1.24 ล้านล้านบาท พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 3.43 แสนล้านบาท พันธบัตรกองทุนฟื้นฟูและพัฒนา ระบบสถาบันการเงิน 2.97 แสน ล้านบาท ตั๋วเงินคลัง 1.47 แสน ล้านบาท และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ 1 หมื่นล้านบาท และในเดือน ต.ค.จน ถึงวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ในระบบมียอดพันธบัตรธปท.เพิ่มขึ้นอีก 3.9 แสนล้านบาท

ด้านบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มอง ว่าการขอออกพันธบัตรธปท.เพิ่มอีก 500,000 ล้านบาท จะสร้างความกังวลให้กับตลาดการเงินพอสมควร เพราะอาจกระทบต่อการระดมเงินทุนหรือสภาพคล่องในระบบ รวมทั้งอาจทำ ให้เกิดการโยกย้ายเงินออมออกจากเงินฝากธนาคารพาณิชย์

นอกจากนี้ธปท.จะต้องแบกรับภาระหนี้ในจำนวนที่สูงขึ้นในอนาคต แต่หากธปท.มีการ นำเงินตราต่างประเทศที่ได้รับมา ไปบริหารจัดการจนเกิดดอกผลเป็นกำไรสุทธิที่สูงกว่าต้นทุนการออกพันธบัตรธปท.แล้ว ฐานะการดำเนินงานของธปท.ก็คงจะไม่ใช่ประเด็นที่น่าวิตกกังวลจนเกินไปนัก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานอีกว่า การอนุมัติวงเงินเพิ่มเติมสำหรับการออกพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อีก 500,000 ล้านบาทของกระทรวงการคลังในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตามที่ธปท.เสนอ นับว่าเป็นครั้งที่สองของปี 2550 หลังจากที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติวงเงินเพิ่มเติมไปแล้ว 400,000 ล้านบาทในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งการ ดำเนินการดังกล่าว สร้างความกังวลใจพอสมควรให้กับตลาดการเงิน เนื่องจากหากธปท. มีการออกพันธบัตรจนครบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ยอดคงค้างพันธบัตรธปท.อาจขยับเข้าสู่ระดับ 2.0 ล้านล้านบาท จากยอดคงค้างพันธบัตรธปท. ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 ที่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท และยอดคงค้างที่ประมาณ 8.97 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2549 ซึ่งย่อมหมาย ความว่า ภาระหนี้ที่ธปท.ต้องแบกรับจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต และอาจส่งผลกระทบตามมาที่ฐานะการดำเนินงานของธปท.อย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้

ซึ่งผลกระทบที่ตามมาคือธปท.มีภาระหนี้สูงขึ้น แม้ว่าธปท.อาจจะไม่ได้ออกพันธบัตรจนเต็มวงเงินที่ขออนุมัติ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เงินดอลลาร์สหรัฐ ยังมีแนวโน้มปรับตัวอ่อนค่าลง ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปัญหาโครงสร้างภายในประเทศของสหรัฐฯ เพื่อรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันและชะลอการเสื่อมค่าลงของทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการของธปท. ส่งผลให้ธปท.จำต้องมีการดูดซับสภาพคล่องเงินบาทในระบบไม่ให้มีมากเกิน หรือ Sterilization ด้วยการออกพันธบัตรธปท.อย่างต่อเนื่อง และทำให้ธปท.มีแนวโน้มต้องแบกรับภาระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในอนาคตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=8598
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 418

โพสต์

โฆสิตรับน้ำมันแพงกระทบศก.ปีหน้า สั่งหน่วยงานรัฐหาทางรับมือ

10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 15:28:00

โฆสิตรับปัญหาน้ำมันพุ่งกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงพลังงาน-พาณิชย์ หามาตรการรับมือ จี้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันของโลกขณะนี้ ยังไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราการรขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ ส่วนในปีหน้าคงต้องติดตามสถานการณ์ราคาต่อไป

สำหรับผลกระทบของราคาน้ำมันมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศ ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของประเทศยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องราคาน้ำมันถือเป็นปัญหาระดับโลกเป็นปัญหาที่มีขนาดใหญ่กว่าระบบเศรษฐกิจของไทย จึงเป็นเรื่องยากที่ไทยจะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสามารถใช้เงินจากกองทุนน้ำมัน เข้ามาบริหารแก้ไขปัญหาได้ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ก็ติดตามราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/1 ... sid=201037
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 419

โพสต์

คาดตลาดหุ้นสัปดาห์หน้าลงต่อ จับตาปัญหาซับไพร์ม-ราคาน้ำมัน

10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 11:21:00

กสิกรไทยคาดแนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์หน้าปรับฐานลงต่อ จับตาปัญหาซับไพร์ม-ราคาน้ำมันในตลาดโลก คาดแนวรับที่ 857 และ 842 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 878 และ 894

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :


บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินถึงแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าว่า ดัชนีมีแนวโน้มปรับฐานต่อเนื่อง โดยยังคงขาดปัจจัยใหม่ๆ มาช่วยหนุน ทางด้านปัจจัยภายในประเทศ นักลงทุนคงจะจับตามองการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์หน้า

ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์หน้า เช่น ดัชนีราคาผู้ผลิตและดัชนีราคาผู้บริโภค เพื่อคาดการณ์ถึงแนวนโยบายการเงินของสหรัฐในอนาคต รวมถึงรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลถึงการปรับตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศในสัปดาห์หน้า และรายงานสต็อกน้ำมันของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางของราคาน้ำมันและหุ้นในกลุ่มพลังงานในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 857 และ 842 จุด และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 878 และ 894 ตามลำดับ

สำหรับความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 874.64 จุด ขยับลงร้อยละ 2.2 จากระดับปิดที่ 894.34 จุดในสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลงร้อยละ 33.35 จาก 134,218.06 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 89,445.43 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดจาก 26,843.61 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนมาอยู่ที่ 17,889.09 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ปิดที่ 289.32 จุด ปรับตัวลงร้อยละ 1.42 จาก 293.48จุดในสัปดาห์ก่อน

นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 8,702.76 ล้านบาท และ 1,931.02 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 10,633.81 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาในตลาดสินเชื่อของสหรัฐ

โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น ดัชนีปรับตัวลดลงตลอดวันจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งราคาได้ปรับขึ้นมาค่อนข้างมากและหุ้นในกลุ่มธนาคาร ขณะที่ในวันอังคารนั้น ดัชนีปรับตัวแคบในช่วงแรกก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับในหุ้นพลังงาน แต่ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่ออัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจ เป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทย ประกอบกับตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงแรง จากข่าวการเข้าไปตรวจสอบอุตสาหกรรมเงินกู้เพื่อซื้อบ้านและคำเตือนเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงตามไปด้วยในกลางสัปดาห์

ขณะที่ในวันศุกร์นั้น ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบตลอดวัน โดยมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานที่รายงานผลกำไรในไตรมาส 3 ที่เพิ่มขึ้น และแรงซื้อหุ้นที่คาดว่าจะรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งช่วยหนุนให้ดัชนีปิดเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/1 ... sid=201022
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/11/07

โพสต์ที่ 420

โพสต์

กองทุนหุ้นปี 50 'ร้อนแรง' ตามฟันด์โฟลว์

10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 05:00:00

ส่องผลงานกองทุนรวมรอบ 10 เดือนปี 2550 พระเอกแห่งปีต้องยกนิ้วให้ "กองทุนหุ้น" ที่ให้น้ำหนักลงทุนใน "หุ้นขนาดใหญ่" (บิ๊กแคป) สร้างผลตอบแทนสูงสุดถึง 55% ต่อปี

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ด้วยพลังแห่งเม็ดเงินต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ผลักดันหุ้นกลุ่มพลังงาน และดัชนีหุ้นทะยานพุ่งขึ้นสูงสุด

สวนทางกองทุนหุ้นที่เดินกลยุทธ์แบบ "Value Stock" ผลตอบแทนหด "ไม่" จูงใจเช่นปีที่ผ่านๆ มา

ต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2550 ถูกขับเคลื่อนโดยเงินทุนต่างชาติ หรือ "ฟันด์โฟลว์" ที่ไหลเข้ามาลงทุน "กระจุกตัว" ในหุ้นขนาดใหญ่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะเข้าซื้อหุ้น "กลุ่มพลังงาน" ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มนำตลาดที่มีมูลค่าตลาด หรือมาร์เก็ตแคปสูงถึง 17% ของมูลค่าตลาดรวม

ดัชนีปรับตัวขึ้นมาจากสิ้นปี 2549 ที่ 680 จุด ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2550 เป็น 907.28 จุด เพิ่มขึ้นถึง 33% มูลค่าหุ้นตลาด (Market Cap.) ทะยานขึ้นจากประมาณ 5.1 ล้านล้านบาท เป็น 7 ล้านล้านบาท

แน่นอนว่าตลาดหุ้นพุ่งทะยานรอบนี้ ย่อมส่งผลโดยตรงต่อผลงาน "กองทุนรวมหุ้น" ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ต่างประสบความสำเร็จในการบริหารพอร์ต สามารถ "เอาชนะ" ยืนเหนือดัชนีตลาดหุ้นไทย เรียกว่าทิ้งระยะห่างเกือบเท่าตัว

การกลับมา "ร้อนแรง" ของกองทุนหุ้นปีนี้ กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของอุตสาหกรรมกองทุนรวม ด้วยอัตราผลตอบแทนที่ "จูงใจ" หลังจากที่ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ "ตกต่ำ" ต่อเนื่องยาวนาน 3 ปีเต็ม (2547-2549)

สำรวจผลงานของกองทุนหุ้นทั่วไป ที่มีอยู่ในระบบทั้งหมด 97 กองทุน พบว่า 5 อันดับแรกที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดรอบ 10 เดือนปีนี้ (2550) สิ้นสุด 6 พฤศจิกายน 2550 ประกอบด้วย กองทุนเปิด "บัวหลวงโครงสร้างพื้นฐาน" 54.54% บัวหลวงทศพล 53.01% บริหารโดย บลจ.บัวหลวง อันดับ 3 "ไทยพาณิชย์เพิ่มผลมั่นคง" ของบลจ.ไทยพาณิชย์ 50.86% อันดับ 4 "ทรัพย์บัวหลวง" 50.79% และ "บัวแก้ว 2" 50.06% ของบลจ.บัวหลวง อีกเช่นกัน ..

กำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า กองทุนหุ้นส่วนใหญ่ที่ชนะดัชนีหุ้น เป็นเพราะพอร์ตลงทุนได้ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติใส่เม็ดเงินเข้ามาลงทุนอย่างมาก จนราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมาตลอดทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง เนื่องจากต่างชาติมองว่าราคาหุ้นกลุ่มพลังงานยังต่ำกว่าหุ้นพลังงานของประเทศเพื่อนบ้าน

ผลตอบแทนกองทุนหุ้นที่กลับมาร้อนแรง เกิดจากพอร์ตกองทุนส่วนใหญ่ของทุก บลจ.จะให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นพลังงาน ซึ่งจะมีมาร์เก็ตแคปสูง จึงทำให้พอร์ตลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดี

แต่ถึงแม้พอร์ตลงทุนของกองทุนหุ้นทุกค่าย บลจ. จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ หรือพอร์ตหุ้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายกัน แต่ผลงานของแต่ละกองทุน กลับแตกต่างกัน..

กำพลบอกว่า การที่ผลงานของกองทุนแต่ละค่ายต่างกัน ขึ้นอยู่กับ "เทคนิค" การบริหารกองทุนของผู้จัดการกองทุนแต่ละรายไม่เหมือนกัน

โดยเฉพาะความต่างใน 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่.. การกำหนด สัดส่วน และกระจายลงทุนของพอร์ต การหาจังหวะเข้าซื้อและขายที่ถูกเวลา การได้รับเม็ดเงินใหม่จากนักลงทุนนำไปลงทุนเพิ่ม ตลอดจนการ "ปรับพอร์ต" (Adjusted Port ) ของผู้จัดการกองทุนได้ทันในแต่ละช่วงเวลา

เหล่านี้คือปัจจัยที่ทำให้ผลงานของแต่ละกองทุนหุ้น เติบโต แตกต่างกันในรอบ 10 เดือนของปีนี้

การที่ผู้จัดการกองทุนหุ้นแต่ละค่าย มีเทคนิคการลงทุนที่ต่างกัน ประกอบกับได้รับอานิสงส์จากกระแสเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ จึงทำให้กองทุนหุ้นส่วนใหญ่เติบโตรวดเร็วมากในช่วงปีนี้ กำพลกล่าว

ข้อมูลสมาคมบริษัทจัดการลงทุน รายงานว่า ในรอบ 9 เดือน สิ้นสุด 28 กันยายน 2550 กองทุนหุ้นในระบบ 97 กองทุน คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 1.13 แสนล้านบาท จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 8.34 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 35% โดยมีจำนวน 88 กองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้น 24.37%

แต่พบว่ายังมีอีก 9 กองทุนหุ้นสวนทางตลาด มีผลงาน ต่ำกว่า ค่าเฉลี่ย หรือให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเพียง 13.59% เท่านั้น

แหล่งข่าวจากผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง ให้ข้อสังเกตว่า กองทุนหุ้นที่มีนโยบายลงทุนสไตล์หุ้นมูลค่า (Value Investment) สร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นไม่มากนัก และหลายกองทุนมีผลงาน แพ้ ดัชนีหุ้น แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นปีนี้จะเป็นขาขึ้นก็ตาม

กองทุนหุ้นที่เน้นนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก หรือแวลู อินเวสเมนท์ ที่เคยโดดเด่นติดต่อกันมาหลายปี ในปีนี้ให้ผลตอบแทนที่แตกต่างไปจากเดิม บางกองทุนผลงานรวม "ถดถอย" อย่างเห็นได้ชัด

จากนโยบายลงทุนที่ไม่ได้ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่อย่างกลุ่มพลังงานน้ำมันมากนัก ทำให้ผลงานไม่ติดอันดับแรกๆ เช่นปีผ่านๆ มา ผู้จัดการกองทุนรายหนึ่งให้มุมมอง

"ณสุ จันทร์สม" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อยุธยา ซึ่งเป็นบริษัทจัดการหนึ่งที่มีสไตล์การบริหารกองทุนหุ้นแบบ "แวลู อินเวสเมนท์" หรือลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า กล่าวว่า แม้ว่าผลงานของกองทุนเปิด "อยุธยาหุ้นปันผล" (AYFSDIV) และกองทุนเปิด "หุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล" (AYFLTFDIV) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก จะมีมูลค่าต่ำกว่าพื้นฐานที่แท้จริง จนมีผลงานต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่ผู้ลงทุนก็ยังพอใจในผลงาน เพราะได้รับผลตอบแทนที่ดีในอัตราเฉลี่ยราวๆ 20%

ในทางกลับกัน ผลงานของกองทุนไม่ได้ผันผวนตามภาวะตลาดที่ถูกผลักดันโดยเม็ดเงินต่างชาติ เนื่องจากหุ้นที่ถือลงทุนมีปัจจัยพื้นฐานดีรองรับ

"สองกองทุนของเราที่เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า อาจจะสร้างผลตอบแทนไม่ดีเท่าตลาดในปีนี้ แต่เอ็นเอวีกองทุนก็มีแรงเหวี่ยงน้อยกว่ากองทุนที่เน้นหุ้นใหญ่ เพราะหุ้นที่เราถืออยู่ไม่ได้เคลื่อนไหวตามเม็ดเงินต่างชาติ ที่มีความเสี่ยงสูงหากเข้าออกเร็ว

ขณะที่มูลค่าของหุ้นในพอร์ตยังดีอยู่ พื้นฐานหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง ซึ่งนักลงทุนแฮปปี้ แม้จะได้กำไรน้อย ก็ดีกว่ากองทุนมีความผันผวนหรือขาดทุน"

ทั้งนี้ในรอบ 6 เดือน สิ้นสุด 31 ตุลาคม 2550 กองทุนเปิด "อยุธยาหุ้นปันผล" (AYFSDIV) ให้ผลตอบแทน 19.38% และกองทุนเปิด "หุ้นระยะยาวอยุธยาปันผล" (AYFLTFDIV) 22.35% และ 26.54% สำหรับรอบ 10 เดือนปีนี้

แต่หากพิจารณาถึง อันดับ ผลตอบแทนกองทุนหุ้นสูงสุด 5 กองทุนแรกช่วง 10 เดือนปีนี้ ได้สลับสับเปลี่ยนไปจากช่วงก่อนหน้า

กองทุนหุ้นหน้าใหม่หลายค่าย ได้สร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น สลับกันขึ้นมาแทนกองทุนหุ้นเดิม ที่เคยติดอันดับมีผลตอบแทนดีเด่นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เช่นกรณีกองทุน ไทยพาณิชย์เพิ่มผลมั่นคง ของค่ายไทยพาณิชย์ ที่ไต่ขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ให้ผลตอบแทนกว่า 50% การที่กองทุนหุ้นของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทนที่ดี โดดเด่นระดับแนวหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการ "ปรับ" กลยุทธ์การลงทุนใหม่ในส่วนของกองทุนหุ้นทั่วไป รวมถึงกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF)

วิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ของกองทุนหุ้นทั่วไป และกองทุนแอลทีเอฟมาตั้งแต่ปี 2549 โดยใช้กลยุทธ์ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ผสมหุ้นเล็ก โดยในแต่ละจังหวะการลงทุน ก็จะมีการสับเปลี่ยนการลงทุนด้วย

"กลยุทธ์นี้เราเริ่มปรับการลงทุนในกองทุน LT3 ก่อน ซึ่งประสบความสำเร็จสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยในปีที่ผ่านมาจะเน้นลงทุนหุ้นเล็ก เพราะตลาดช่วงนั้นย่ำแย่มาก แต่ในปีนี้ก็ได้สวิตช์ไปยังหุ้นใหญ่ เนื่องจากฟันด์โฟลว์ผลักดันให้หุ้นใหญ่วิ่งขึ้นจนถึงช่วงปลายปี" เช่นเดียวกับนโยบายลงทุนของกองทุนเปิด "ไทยพาณิชย์เพิ่มผลมั่นคง" (PMO) บลจ.ไทยพาณิชย์ ก็หันมาใช้โครงสร้างลงทุนนี้เช่นกัน วิชชุกล่าวว่า กองทุนนี้จะลงทุนในหุ้นเล็ก และกลาง-ใหญ่ ในสัดส่วนเท่ากันคือ 40% ส่วนที่เหลืออีก 20% จะเป็นเงินที่กันไว้สำหรับการโยกไปมาในแต่ละจังหวะตามกระแสฟันด์โฟลว์

"ผลจากการปรับกลยุทธ์ลงทุนของค่ายนี้ จึงทำให้กองทุนเพิ่มผลมั่นคงมีผลงานติด 5 อันดับแรกกองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดี เพราะได้ 2 เครื่องยนต์ทั้งหุ้นใหญ่และหุ้นเล็กช่วยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานปีนี้" วิชชุกล่าว

นอกจากกองทุนหุ้นปกติทั่วไปทั้งอุตสาหกรรม จะให้ผลตอบแทนโดดเด่นกันถ้วนหน้าแล้ว กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นเพื่อรับสิทธิทางภาษี อย่าง "กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ" (RMF) และ "กองทุนหุ้นระยะยาว" (LTF) ก็ให้ผลตอบแทนในระดับที่พอใจ ไม่น้อยหน้าทีเดียว

สมาคมบริษัทจัดการลงทุนรายงานว่า รอบ 9 เดือนสิ้น 28 กันยายน 2550 กองทุนอาร์เอ็มเอฟ จำนวน 18 กองทุน ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี 15 กองทุน อันดับแรกให้ผลตอบแทน 42.08% รองลงมา 38.16% และอันดับสาม 36.40%

แต่มี 3 กองทุนที่ แพ้ ดัชนีที่ 24.37% หรือให้ผลตอบแทนเพียง 15.32%

ด้านกองทุนแอลทีเอฟ 33 กองทุน มี 25 กองทุนชนะดัชนี โดยให้ผลตอบแทนสูงสุด 38.45% รองลงมา 36.80% และ 36.78% ยกเว้น 8 กองทุน มีผลงาน "ต่ำกว่า" ดัชนี
http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/1 ... sid=200993