VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 361

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:เมื่อเราอายุ "มาก" ขึ้น

ความกล้าสู้กล้าเสี่ยง เราจะ "น้อย" ลง

ประโยคนี้จริงหรือเปล่าครับ?
ผมว่ามันเขียนวิชาการผิด ๆ มากกว่า น่าจะเป็นเพราะอายุมากขึ้น ทำอะไรก็ช้าลง เลยทำให้เขียนแบบให้เสี่ยงน้อยเพื่อให้สมดุลกับอายุ บางคนก็เบื่อหน่ายด้วยเพราะมีพอหรือเริ่มพอ

แต่ถ้ามีความรู้ในสิ่งที่จะทำแล้ว ผมว่าไม่เกี่ยวกับอายุแน่นอน เพราะความเสี่ยงมันลดตามความรู้ที่เรามี
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 362

โพสต์

kongkiti เขียน: คำถาม พี่หมอ leky ตอบยากแฮะ

เอาที่พอจำได้ ตัวแรก ประมาณปี 2012 ก็ LEE วอแรนท์ มั้งครับ ตอนนั้น บริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนราคาสูงกว่าตลาดมาก แล้วก็ราคา วอแรนท์ ก็น่าจะ พรีเมี่ยม ติดลบนิดๆ เลยคิดว่าน่าลองดู
สุดท้าย วอแรนท์ ไม่ไปไหน แถม ผบห. ขายหุ้นถล่ม มาซะอีก (เหมือนเอาเงินบริษัท เข้ากระเป๋าตัวเอง)
ความผิดพลาดหลักๆ น่าจะมาจากด้อยประสบการณ์ และไม่ได้ดูธุรกิจหลักแบบละเอียดเลยครับ
(ธุรกิจอาหารสัตว์ เป็นสินค้าที่ถูกรัฐควบคุมราคา จะขึ้นราคาทีต้องทำหนังสือชี้แจงต้นทุน...ไม่ไหวครับ)
จุดไต้ตำตอเสียแล้ว :D

คุณ kongkiti น่าจะเข้ามาถือ LEE-W2 หลังจากผม ขอเล่าเท่าที่จำได้แล้วกันครับ

เดิมทีก่อนน้ำท่วมปี 54 ตอนนั้นผมสนใจหุ้น LEE เพราะได้ข่าวว่าราคาข้าวโพดในตลาดมันตกต่ำ ตอนนั้นผมมองว่า LEE น่าจะได้ประโยชน์จากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลง ตอนนั้นประเมินราคาหุ้นแล้วโอเค ยังไม่นับว่าถ้าบ.จ่ายเงินปันผลออกมา ราคาหุ้นน่าจะขยับขึ้นไปได้อีกเพื่อรับเงินปันผล

ผมเลือก LEE-W2 แทน เพราะราคาอยู่ที่ 60 สต. ราคาใช้สิทธิ์ 2.5 บาท พรีเมี่ยมบวกหรือติดลบนิดหน่อย โดยมองว่าใช้เงินน้อย ยังไงถ้าหุ้นแม่ขึ้นไปมันต้องขยับตาม

ช่วงปลายปีเกิดน้ำท่วม ตลาดหุ้นไม่ดี LEE-W2 เลยลงไปด้วย แต่มันลงแบบไม่มีวอลุมครับ ประเภทคนเคาะไม่กี่ร้อยหุ้นก็ติดลบเยอะ ๆ แต่เราก็คิดว่าถ้าตลาดกลับมาได้มันคงไม่เลวร้ายนัก แต่เวลาเห็น % ตัวแดงแล้วถ้าใจไม่แข็งมันก็ทำใจลำบากไม่น้อย รอบนั้น LEE-W2 ลงไปต่ำสุดที่ 40 สต.

หลังน้ำท่วมผมสังเกตเห็นความผิดปกติ LEE และ LEE-W2 ขยับขึ้นผิดปกติพร้อมวอลุม เดิมทีผมเกือบจะซื้อเพิ่มตามเข้าไป แต่ยังไม่ได้ทำอะไร หลังจากนั้นไม่กี่วัน บ.ประกาศซื้อหุ้นคืนที่ราคาสูงกว่าตลาดคือ 5 บาท ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดราคาตลาดน่าจะ 3 บาทต้น ๆ

ก่อนหน้านั้นผมเคยโทรไปคุยกับ IR จะว่าไปบ.เองก็ยังไม่มีพัฒนาการอะไรที่ชัดเจน แม้แต่เรื่องเงินที่เกิดจากการแปลง W2 ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะนำไปลงทุนอะไร ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ เงินสดในบ.เองก็มีอยู่มาก ตอนนั้นมีการคาดการณ์จากนลท.หลายอย่างว่าทำไมบ.ถึงซื้อหุ้นคืนแพงแบบนั้น แม้กระทั่งจะมีใครมาเทคโอเวอร์หรือไม่ แต่ดูเหมือนตลาดก็ไม่เอาด้วย เพราะหลังจากประกาศข่าว ราคาหุ้นก็เคลื่อนไหวต่ำกว่า 5 บาท และเหมือนนลท.ส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่าหลังบ.ซื้อหุ้นคืนราคาหุ้นน่าจะยืนอยู่ไม่ไหว

ในส่วนของคนที่ถือ LEE-W2 อย่างผม ก็ต้องยอมรับว่าได้รับ "ส้มหล่น" แบบเป็นตะกร้าเลยครับ เพราะเดิมผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนมากมายขนาดนั้น หลังข่าวออก W2 ขึ้นไปแถว 1.3-1.4 ก่อนจะไหลลงมา จะว่าไปคนที่ถือ W2 ถ้าไม่ใช่ capital gain ที่เพิ่มขึ้นจากราคาแม่ขึ้นไป ก็แทบจะไม่ได้รับประโยชน์ด้านอื่น ๆ เลย เพราะไม่มีเอี่ยวกับการเอาหุ้นแม่ไปขายคืน หรือถ้าจะรอแปลงเป็นหุ้นแม่ก็เลยช่วงซื้อหุ้นคืนไปแล้ว นอกจากนั้นอย่างที่บอกผมยังไม่เห็นพัฒนาการอะไรใหม่ ๆ สุดท้ายผมเลยเลือกที่จะปล่อย W2 ออกไป

kongkiti เขียน:อีกตัวนึง ปีที่แล้ว เป็นข้อผิดพลาดที่ไม่ได้ซื้อมากกว่า คือ BAY ที่ MITSUBISHI UFJ ประกาศซื้อกิจการ
ตอนนั้นคิดว่าผลตอบแทนไม่เยอะเท่าไหร่ (หลังประกาศ) เลยไม่สนใจ
กลายเป็นว่า ราคานิ่งมาก ในขณะที่หุ้นอื่นลงเอาๆ เหมือนสวมเสื้อเกาะไหมฟ้า ป้องกันหุ้นตก ได้เลย
อันนี้คงแล้วแต่มุมมองครับ จริง ๆ ถ้าตลาดตกมากแล้วหุ้นอื่นตกเยอะมาก ถ้ามีเงินสดเหลือการเข้าไปซื้อหุ้นที่ตกหนักถ้าตลาดหยุดตกอาจจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าครับ แต่ถ้ากรณีเข้าไปซื้อ BAY มันอาจจะไม่ตกตามตลาด แต่ผลตอบแทนมันก็อาจจะน้อยมากครับ อาจจะมากกว่าดอกเบี้ยจากการฝากพิเศษไม่มากนัก เพราะเท่าที่จำได้ ถ้าไม่ใช่คนที่เข้าไปลุยตอนที่ข่าวออกมาใหม่ ๆ ผลตอบแทนจะเหลือไม่กี่% ยังไม่นับอีกว่าถ้าคิดจะเอาหุ้นไปขาย กระบวนการต่าง ๆ ต้องกินเวลาอีกหลายเดือน กว่าจะประชุมขอมติผถห. กว่าจะตั้งโต๊ะรับซื้อ กว่าจะได้เงิน หลายขั้นตอนมากครับ

แต่ถ้าเป็นการเข้าไปซื้อก่อนที่ข่าวจะออก อันนี้ก็จะมีความเสี่ยงที่ดีลอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาด เช่นกรณีของ TMB ที่หุ้นวิ่งขึ้นไปรับข่าวการซื้อกิจการของธนาคารต่างชาติ แต่สุดท้ายพอไม่มีอะไรเกิดขึ้น หุ้นก็ไหลลงอย่างแรง

เอากรณีข้อผิดพลาดของผมดีกว่าครับ ผมว่าน่าจะชัดเจนกว่า เรื่องมันนานมาแล้ว เอาเท่าที่จำได้นะครับ หลายคนน่าจะยังจำหุ้น ACL ได้นะครับ ธนาคารสินเอเซีย ซึ่งในปัจจุบันก็คือ ธนาคาร ICBC เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมทราบมาว่าธ.แห่งประเทศไทยมีกฎว่าธ.ห้ามถือหุ้นธ.ซ้ำซ้อนกันครับ ตอนนั้น BBL ถือหุ้น ACL อยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดราคาหุ้น ณ ตอนนั้น มันต่ำกว่า PB หรือว่าราคาต้นทุนอะไรซักอย่างครับ แต่เอาเป็นว่าถ้า BBL จะขาย ACL ออกไปจะต้องได้ราคามากกว่าราคาตลาด ณ ตอนนั้นค่อนข้างมากครับ และผมก็ติดตามเรื่องนี้มานานน่าจะเป็นปีทีเดียว เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่ทราบเดทไลน์ว่า BBL ต้องขาย ACL ออกไปไม่เกินตอนไหน ช่วงก่อนเกิดวิกฤติปี 51 ผมมีหุ้น ACL กับเค้าด้วยครับ ตอนนั้นตลาดสิ้นหวัง หุ้น ACL ของผมก็ลงไปด้วย พอดีจำราคาหุ้นไม่ได้นะครับ จำได้ว่าพอตลาดเริ่มตีขึ้นบ้าง เลยคิดจะเล่นรอบ ลดต้นทุนหุ้นของตัวเอง ตอนที่ขายไปถ้าจำไม่ผิดมันก็มีโอกาศจะซื้อหุ้นคืน แต่ก็ยังไม่ทำอะไร จนกระทั่งอยู่ดี ๆ หุ้นก็วิ่งเอา ๆ ครับ วิ่งไปเป็นเด้ง ๆ จำไม่ได้ว่ากี่เด้ง พร้อมกับมีข่าวดีลของธ.จากจีนที่จะเข้ามาซื้อ สุดท้ายสิ่งที่ผมเคยมองไว้มันก็เกิดขึ้นจริง ๆ ครับ แต่อนิจา ผมไม่มีหุ้นเสียแล้ว :'O :'O :'O ความผิดพลาดในครั้งนี้เกิดจากไม่อดทนพอครับ จะว่าไปถ้าดีลมันเกิดขึ้นจริงถึงตอนนั้นผมจะขาดทุน แต่มันต้องกลับมามีกำไรอย่างแน่นอนครับ

kongkiti เขียน:ดูแล้ว การลงทุนพวกนี้ ที่ อ. กรีนบลา เรียกว่าเป็นการลงทุนแบบ "Special Situations"
หากเชี่ยวชาญ น่าจะช่วยให้รอดพ้นช่วงตลาดตก ไปได้บ้างครับ (เหมือนกึ่งๆ การ Hedge ไว้ก่อน)
ผมว่าการลงทุนในแนวแบบนี้เป็นแนวที่ยากและเสี่ยงครับ นั่นแปลว่าเราต้องมีความรู้ที่ดีมาก ชั่วโมงบินในการลงทุนสูงมาก ผมยกตัวอย่างนะครับ เช่นพวกบ.ที่ล้มลายอะไรทำนองนั้น เรารับได้ไหมซื้อหุ้นที่กำลังจะเข้าแผนฟื้นฟูแล้วให้มันติด SP 5 ปีขึ้นไป ถ้ารอด ปลด SP ออกมาหุ้นหลายตัวกำไรเป็นพันเท่า ถ้าดูผลตอบแทนก็โคตรคุ้ม แต่ถ้าบ.นั้นหายไปจากตลาดจริง ๆ หรือระหว่างนั้นเราต้องใช้เงินจะทำอย่างไรครับ ถ้าถามว่าจะรอดจากตลาดตกไหม ผมว่าอาจจะไม่เกี่ยวกันทั้งหมดนะครับ หมายถึงไม่ใช่ทุกกรณีที่จะยันตลาดไว้ได้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 363

โพสต์

dr1 เขียน: ปล.2 ถ้าไทยวีไอเหมือนวัด หลักการลงทุนที่ถูกต้องก็คือ หลักธรรมคำสอน
หุ้นแจก ก็เหมือนพระเครื่อง ผ้ายันต์ ตะกรุด กำนันขิกฮะ เอาไว้เป็นกิมหมิก เรียกแขก(เจ๊ก ไทย หรั่ง..)
ผมรู้แต่ว่า "หุ้นเจิม" สภาพมันคนละเรื่องกับก่อนจะถูก "เจิม" แบบคนละเรื่องเลยครับ :D

รอบนี้ผมโดนเจิมไปสอง ตัวแรกติดลบเล็กน้อยมานาน อาการดูซึม ง่วงเหงา เหมือนคนไม่มีแรง มีแต่ข่าวไม่ค่อยเป็นมงคล หลังอัพเดทรายชื่อผถห.ใหญ่ล่าสุด โดนเจิมเข้าไป โดยท่านปรมาจารย์ ในห้องร้อยคนฯ คึกคักทันตาเห็น ราคาหุ้นกระเตื้อง

ตัวที่สองผมอุตส่าห์ขายหุ้นตัวหนึ่งออกไปหวังจะซื้อเพิ่ม เพราะยังเห็นอัพไซด์อยู่ ยังไม่ทันจะทำอะไร ราคาหุ้นวิ่งพรวด ๆ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพิ่งมารู้ทีหลังว่าอัพเดทผถห.รายใหญ่ใหม่แล้ว สรุปว่ามันเป็นอาการของหุ้นที่โดนเจิมเข้าไปเสียแล้ว เลยได้แต่ดู ปล่อยมันวิ่งขึ้นไป วันตลาดแดงมันเขียว กลายสภาพจากมวยหงอยกลายเป็นมวยไฟเตอร์ไปซะง้้น ทั้งดีใจที่มันวิ่งแต่ก็ปนเสียใจที่ซื้อได้ไม่ครบ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 364

โพสต์

ขอบคุณ comment ของพี่หมอ leky ครับ

แต่ผมชอบ ทดลอง หน่ะครับ
Lee w2 ก็ซื้อลองไปนิดหน่อย (ไม่พอหุ้นพี่ leky แน่ๆ เบย)
ไม่ได้ ไม่เสียอะไรอ่ะครับ (ไหวตัวทัน ว่าผิดทาง เลยชิ่งซะก่อน)
แต่ได้บทเรียนที่ดี หลังจากนั้น ก็ซื้อ วอแรนท์ อีกประปราย แต่รู้สึกเหมือนเกร็งกำไรยังไงพิกล
ที่แทัเราซื้อมีพรีเมี่ยม เยอะไปนี่เอง

มากระทู้นี้ก็ได้เคล็ดวิชา จากพี่ leky เพิ่ม ขอไปฝึกฝนใหม่ครับ :P
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 365

โพสต์

kongkiti เขียน:ขอบคุณ comment ของพี่หมอ leky ครับ

แต่ผมชอบ ทดลอง หน่ะครับ
Lee w2 ก็ซื้อลองไปนิดหน่อย (ไม่พอหุ้นพี่ leky แน่ๆ เบย)
ไม่ได้ ไม่เสียอะไรอ่ะครับ (ไหวตัวทัน ว่าผิดทาง เลยชิ่งซะก่อน)
แต่ได้บทเรียนที่ดี หลังจากนั้น ก็ซื้อ วอแรนท์ อีกประปราย แต่รู้สึกเหมือนเกร็งกำไรยังไงพิกล
ที่แทัเราซื้อมีพรีเมี่ยม เยอะไปนี่เอง

มากระทู้นี้ก็ได้เคล็ดวิชา จากพี่ leky เพิ่ม ขอไปฝึกฝนใหม่ครับ :P
เป็น key สำคัญเลยครับ ถ้าคิดจะซื้อ W

1) ค่าพรีเมี่ยมห้ามเยอะ ผมว่าถ้าปลอดภัยหน่อยก็ไม่ควรเกิน 10% นั่นแปลว่าถ้าไปดู W ทั้งหมด จะเหลือ W ที่ลงทุนได้น่าจะไม่ถึงครึ่ง
2) ไม่ควรใกล้หมดอายุ ควรมีอายุเหลืออยู่มากว่า 1 ปีขึ้นไป เพราะ W ที่ใกล้หมดอายุ ราคา W มักจะไหลลงจนค่าพรีเมี่ยมลดลงเรื่อย ๆ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 366

โพสต์

dr1 เขียน: ว่าด้วยฟูทัวร์(future) แลอ๊อปติอ้อนส์(options)
เรียน อ.หมอหนึ่ง

Future และ Option นั้น ผมใช้ครับ ปล. นลท.หลายท่านก็ใช้ เช่น บัฟเฟตต์หรือ Seth Clarman ก็ใช้

ทั้งสองอย่างนั้นเป็นอนุพันธ์ที่หมดอายุแบบ Fixed ไม่มีปันผลและไม่มีหุ้นจริง ๆ เมื่อถึงกำหนดเวลาต้องส่งมอบร้อยเปอร์เซนต์

มันเป็นการพนัน?
ทุกสิ่งอย่างมีสองมุมเสมอครับ จะมองฟุตบอลเป็นการพนันหรือกีฬา? หุ้นก็เหมือนกัน ก็ว่ากันไป

ใช้ลงทุนยังไง?
สมัยก่อนผมใช้ Option ครับ แต่ตอนนี้พอร์ตใหญ่ขึ้นก็ไม่ค่อยสะสม Option มันค่อนข้างเสียเวลา อีกอย่าง Option สภาพคล่องต่ำก็ไม่พยายามไปเสียเวลา

แนวคิด?
สมมุตินะครับ ผมมีเงินศูนย์บาท อยากซื้อหุ้นหรือ กองทุนประเภท Passive เช่น เซท50 สัก 946,530 บาท หรือ เท่ากับ 1,000 หน่วย (ณ วันนี้ SET50 = 946.53) ผมต้องใช้เงินเท่าไรครับ

ตอบ ผมต้องใช้เงินสด 946,530 บาทครับ

สมมุติต่อ ถ้าผมไม่มีเงิน ผมทำไง?
ตอบ กู้ครับ เสียดอกยืมมา สมมุติเป็นรายย่อย commercial loan โดนดอกประมาณ 15% อย่างต่ำ ๆ 12%

แล้วผมทำไง?

ผมอยากได้ SET50 1,000 หน่วย ถือครอง 1 ปี
ผมจ่าย = 1,000 บาท ซื้อ 1 สัญญา จบ

ถ้าหุ้นตกหล่ะ
มีค่าเท่ากันครับ หุ้นตก collateral asset ก็ตกก็เหมือนกัน กรณีเปรียบเทียบเท่ากัน

ยกตัวอย่าง ถือ Kbank 1 สัญญา = ถือ Kbank 1,000 หุ้น

Kbank ลงเท่าไรทั้งหุ้นทั้งอนุพันธ์ก็ลงในสัดส่วนเท่ากัน

บีบหัวใจเพราะเงินไม่พอ ผมไม่แนะนำให้จับเสือมือเปล่าครับ ผมเองมักจะคำนวณมูลค่าต่ำสุดที่เป็นไปได้โดยทำ Sensitivity Study โดยเป็นสถิติการเงินไว้เป็นมูลฐาน และเปรียบเทียบมูลค่าของเงินกับสินทรัพย์ อธิบายแล้วยาวไว้มีเวลาจะมาอธิบายให้ฟัง

เอาสั้น ๆ
สินทรัพย์ทุกตัวภายใต้เวลา i มูลค่าต่ำสุดของมันเป็นเท่าไร? ควรมีเงินสำรองเท่านั้น

เช่น ถ้าคุณมีเงิน 1,845,000 และคุณวิเคราะห์ Kbank มาเป็นอย่างดี คุณจะซื้อ Kbank ด้วยเงินสดหรืออนุพันธ์?

คำตอบ ซื้อด้วยเงินสด คุณซื้อได้ 10,000 หุ้น
ซื้อด้วยอนุพันธ์ คุณซื้อได้เท่าไร ไม่ใช่หาขั้นต่ำและอัด แต่คุณต้องเดาด้วยพื้นฐาน สมมุติคุณมั่นใจว่าไม่น่าต่ำกว่า 100 บาท เดานะ แสดงว่ามีส่วนต่างจากราคา 184.5 อยู่ 84.5 บาท

แปลว่าถ้าตก ตกได้ 84.5 บาทต่อหุ้น เงิน 1,845,000 ทนได้ 21,834 หุ้น

ถ้าขึ้น กรณีที่คุณถือ 1 หมื่นหุ้น คุณได้น้อยกว่า คุณถืออนุพันธ์ 21,834 หุ้น ถ้าลงเสียหายเท่ากัน

ไม่จริง หุ้นไม่มีวันหมดอายุ
อนุพันธ์ก็ Roll Over ได้ แต่คุณต้องมองยาวนะ ถ้าคุณเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หรือโดนตลาดบีบ loss มันจะเป็น loss จริง ๆ

Roll Over ยังไง
ส่วนใหญ่ผมถือสัญญา 1 ปี และก็ Roll Over ไป มีที่ถือแล้วขาดทุน แต่เรามองยาวไง เราก็ Roll Over ต่อไป

ฟังดูแปลก ๆ ไม่เหมือนนักลงทุน
ก็คงงั้นครับ อ่านแล้วไม่ได้ประโยชน์ก็โทษที

จบ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 367

โพสต์

ได้ประโยชน์มั่กๆสิครับ อาจารย์NB ขอบคุณมากครับ
เด๋วผมไปอ่านหนังสืออ.โรเบิร์ต อีกรอบนึง(รู้สึกว่าจะเป็นเล่มwho took my money?ถ้าจำไม่ผิด)
ในนั้นมีวิธีลงทุน(รึเก็งกำไรหว่า) แบบstraddle ของputกะcall มาถามอ.NBอีกทีนึงนะครับ
จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่คนยังไม่รู้เรื่องแบบผมฟังแล้วน่าสนใจมั่กๆ
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 368

โพสต์

ยินดีครับ จาร หมอ หนึ่ง

มันมี math อยู่ข้างในเยอะครับ

ถ้าสนใจก็จะทะยอยมาอัพครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 369

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:ยินดีครับ จาร หมอ หนึ่ง

มันมี math อยู่ข้างในเยอะครับ

ถ้าสนใจก็จะทะยอยมาอัพครับ
คุณ NB ครับ แล้วตั้งแต่ลงทุนมาผลเป็นไงบ้างครับ ดูเหมือนเป็นอาวุธอานุภาพสูงมาก ใช้เงินน้อย บริหารดี ๆ น่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดี

อ่านดูสุดท้ายมันอาจจะคล้าย ๆ กับที่ผมมอง W นะครับ คือต้องเข้าใจ และต้องพยายามทำให้มันไม่เสี่ยง ห้ามโลภ มีการกำหนดเพดานเพื่อจำกัดความเสี่ยง
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 370

โพสต์

leky เขียน:
คุณ NB ครับ แล้วตั้งแต่ลงทุนมาผลเป็นไงบ้างครับ ดูเหมือนเป็นอาวุธอานุภาพสูงมาก ใช้เงินน้อย บริหารดี ๆ น่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดี

อ่านดูสุดท้ายมันอาจจะคล้าย ๆ กับที่ผมมอง W นะครับ คือต้องเข้าใจ และต้องพยายามทำให้มันไม่เสี่ยง ห้ามโลภ มีการกำหนดเพดานเพื่อจำกัดความเสี่ยง
เรียน อ.หมอเล็ก

ใช่ครับ ที่ อ.หมอเล็ก พูดมานั้นถูกต้องเลยครับ

1) ต้องเข้าใจมาก ๆ
2) นี่ไม่ใช่การลงทุนแต่เป็นเกมส์คณิตศาสตร์ และสถิติ เรียกว่าเก็งกำไรหรือพนันก็ได้ หากเอาไปใช้ผิด

ผลตอบแทนของผมตั้งแต่เฉลี่ย ๆ มา ก็พอใจครับ เฉลี่ย 7 ปีย้อนหลังได้ CAGR อยู่ที่ 1x.xx % ต่อปี นับปีที่ดีแล้วก็ขาดทุน

ส่วนปีนี้ พอร์ต Future กำไรนับจาก Collateral Asset อยู่ที่ประมาณ 9% แต่ถ้านับจาก Cash Balance ก็เกือบ 100% แล้วครับ

ต.ย. สินทรัพย์ ต้นทุน 100 ราคา ณ วันนี้ 109
แต่เงินผมจริง ๆ วางไว้ 5 บาท กำไร 4.5 บาท

หัวใจคือ Hedging

ยุทธศาสตร์
1) ผมถือหุ้น 100% มีบ้างเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาโดยเฉลี่ยก็หุ้น 100% นั้นหล่ะครับ

2) หุ้นตกทำอย่างไร?

2.1) ทำใจสักพัก แต่ไม่หยุดมอง
2.2) ใข้ดาบสำรอง ดาบแรกคือ อนุพันธ์ ดาบสองคือ มาร์จิ้น ดังนี้

2.2.1) ในยามหุ้นตกเพราะตลาดไม่ใช่ผลประกอบการนะ ตรงนี้มือใหม่ถ้ามาอ่านต้องแยกให้ออกก่อนนะ ผมเงินหมด ผมจะมองหาอนุพันธ์ที่มีความปลอดภัย และผมศึกษาอย่างดีแล้วกับ collateral asset ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ผมถือหุ้น Mint และอนุพันธ์ Mint เพราะอะไร เพราะเมื่อต้นปี Mint ราคาตก อาจเพราะเรื่องการเมืองหรืออื่น ๆ ทำให้ในตลาดอนุพันธ์มีคนมาขายสัญญา Z (หมดอายุเดือนธันวา 2557) ให้ผมราคา 18.8 ผมซื้อไว้หมด (ปัจจุบัน Mint 24.x) ไม่ได้หมายความว่าผมจะกำไรนะ เพราะผมก็ไม่รู้ แต่จากราคาที่ได้บวกกับการบ้านที่เราทำอย่างดีแล้ว ผมจึงตัดสินใจ

2.2.2) ในยามหุ้นตก เรามักจะได้เจอคนขายแบบไร้เหตุผลและคนซื้อแบบต่อราคา สองคนนี้เราเจอยามหุ้นตก ขายกันไร้สติเลย ในตลาดอนุพันธ์นั้นยิ่งกว่า แรงผันผวนนั้นยิ่งกว่า เมื่อต้นปีผมสนใจ ธนาคาร ค่อนข้างมากครับ ก็สอย Kbank มา พร้อมกับ อนุพันธ์ Kbank ด้วยเพื่อทำ Risk Reversal (เก็บสินทรัพย์เสี่ยงไว้โดยขายสินทรัพย์เสี่ยงกว่าออกไป)
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 371

โพสต์

dr1 เขียน:ได้ประโยชน์มั่กๆสิครับ อาจารย์NB ขอบคุณมากครับ
เด๋วผมไปอ่านหนังสืออ.โรเบิร์ต อีกรอบนึง(รู้สึกว่าจะเป็นเล่มwho took my money?ถ้าจำไม่ผิด)
ในนั้นมีวิธีลงทุน(รึเก็งกำไรหว่า) แบบstraddle ของputกะcall มาถามอ.NBอีกทีนึงนะครับ
จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่คนยังไม่รู้เรื่องแบบผมฟังแล้วน่าสนใจมั่กๆ
Call หากมองสินทรัพย์อ้างอิง SET50 (200 บาท ต่อ 1 จุด ดัชนี)

ซื้อ Call แปลว่า แทงขึ้น เรียกว่า Long Call
ขาย Call แปลว่า แทงลง เรียกว่า Short Call

Put หากมองสินทรัพย์อ้างอิง SET50
ซื้อ Put แปลว่า แทงลง เรียกว่า Long Put
ขาย Put แปลว่า แทงขึ้น เรียกว่า Short Put

ตอนเช้าวันที่ 4 เมษายน SET50 อยู่ที่ 944
นาย A มองว่า SET50 ถึงสิ้นเดือน มิถุนา น่าจะมากกว่า 944.5
จึงตัดสินใจ long Call ที่ Stike Price 925 + 19.5 = 944.5
จ่ายจริง 19.5

นาย B มองว่า SET50 ถึงสิ้นเดือนมิถุนา ไม่มีทางมากกว่า 944.5 แน่นอน
จึงตัดสินใจ รับขายสัญญาล่วงหน้าของ นาย A มา (Short Call) ที่ Stike Price 925 + 19.5 โดยได้รับตังค์จาก นาย A มา 19.5 บาท

ใครเสี่ยง เกมส์นี้ใครจะกินใคร?

นาย A ต้นทุน = - 19.5 + จำนวนจุดที่เพิ่มขึ้นของ SET50
นาย B ต้นทุน = 19.5 - จำนวนจุดที่เพิ่มขึ้นของ SET50

พูดง่าย ๆ หากหุ้นขึ้นเกิน 19.5 จุด = ค่า Premium นาย A กำไร (จ่ายจำกัด กำไรไม่สิ้นสุด)
หากไม่ใช่ นาย B กำไร (ได้จำกัด เสียได้ไม่สิ้นสุด)

ฟัง ๆ ดูเหมือนฝั่ง Long จะได้เปรียบ แต่จริง ๆ อาจจะไม่ นาย B ทำตัวเหมือนบริษัทประกันรับความเสี่ยงคนอื่นมาบริหาร ไว้มาต่อขึ้นสูงขึ้น

ครั้งหน้าจะมาว่าเรื่อง Put ครับ

เรื่อง Straddle ของหมอหนึ่งขอติดไว้ก่อนนะครับ ขอปูพื้นก่อนเวลาขาดทุน จะได้ ขาดทุนกันเยอะ ๆ เพราะ การขาดทุนมักแปรตรงกับความรู้ ประมาณว่ารู้เยอะขาดทุนเยอะนั่นแล :'O
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 372

โพสต์

เรารู้จัก Call ไปแล้ว คราวนี้เรามาทำความรู้จักกับ Put

ขอใช้ตัวอย่างเดิม

Put หากมองสินทรัพย์อ้างอิง SET50
ซื้อ Put แปลว่า แทงลง เรียกว่า Long Put
ขาย Put แปลว่า แทงขึ้น เรียกว่า Short Put

ตอนเช้าวันที่ 4 เมษายน SET50 อยู่ที่ 945
นาย A มองว่า SET50 ถึงสิ้นเดือน มิถุนา น่าจะน้อยกว่า 945

แปลว่า แทงลงใช่มั๊ยครับ ถ้างั้นก็คือ Long Put

จึงตัดสินใจ long Put ที่ Stike Price 925 - 10 = 935
จ่ายจริง 10 บาท

แปลว่า

ถ้าหุ้นลงลึก ต่ำกว่า 935 นาย A จะเริ่มกำไร จุดละ 200 บาทไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าหุ้นลงไม่ถึง 935 นาย A ก็จะขาดทุน
แต่ถ้าหุ้นขึ้น ไม่ลง นาย A ก็เสีย 10 บาทนี้ไปเลย

กลับกัน นาย B เป็น คนที่ Short Put ของ นาย A
ถ้าหุ้นลงลึก ต่ำกว่า 935 นาย B จะเริ่มขาดทุน จุดละ 200 บาทไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าหุ้นลงไม่ถึง 935 นาย A ก็จะขาดทุน นาย B ยังกำไรอยู่ (เนื่องจากนาย B ใส่กระเป๋ามาแล้ว 10 บาท ถ้าลงก็ทนได้ 10 จุด)
แต่ถ้าหุ้นขึ้น ไม่ลง นาย B ก็ได้ 10 บาทนี้ไปเลย
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 373

โพสต์

มาทำความเข้าใจกันก่อน

สรุป เรามองเป็น 4 แนวทาง Basic ดังนี้

ซื้อ Call แปลว่า แทงขึ้น เรียกว่า Long Call
ขาย Call แปลว่า แทงลง เรียกว่า Short Call

ซื้อ Put แปลว่า แทงลง เรียกว่า Long Put
ขาย Put แปลว่า แทงขึ้น เรียกว่า Short Put

มองขึ้น
Long Call รายได้ = ส่วนต่างดัชนีสิ้นงวด - Premium
Short Put รายได้ = Premium - ส่วนต่างดัชนีสิ้นงวด

มองลง
Long Put รายได้ = ส่วนต่างดัชนีสิ้นงวด - Premium
Short Call รายได้ = Premium - ส่วนต่างดัชนีสิ้นงวด

คราวหน้ามาว่ากันเรื่อง Strategy แบบต่าง ๆ กันครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 374

โพสต์

เมื่อตอนต้นผมเกริ่นไว้ว่า Option วัตถุประสงค์จริง ๆ คือการ Hedging ความหมายคืออะไร
ขอกลับมาที่พื้นฐานก่อน

1. สำหรับคนซื้อหุ้น Collateral Asset คือ SET50

สมมุติซื้อไว้ SET50 = 945 บาท ในใจกลัวหุ้นตก ทำอย่างไร? จึงไปหาบริษัทประกัน บริษัทประกันพร้อมจะช่วย Hedge ให้ โดยคุณเสียค่า Premium โดยบอกกับคุณว่า คุณไม่ต้องกลัวนะ ถ้าหุ้นตก ผมพร้อมจะจ่ายคุณทุกบาททุกสตางค์ แต่คุณต้องจ่าย Premium ให้ผมนะ

คนซื้อประกัน คือ คน Long Put ยอมจ่ายค่าประกันเพื่อ Hedge Port ของตน หุ้นตกไม่เสียหายมากเสียหายเท่าค่าประกันที่จ่ายไป เหมือนประกันรถประกันภัย สบายใจ

คนขายประกัน คือ คน Short Put ยอมรับความเสี่ยงจากการที่หุ้นลง ได้ค่า Premium

2. สำหรับคน Short หุ้น

คนซื้อประกัน คือ คน Long Call ยอมจ่ายค่าประกันเพื่อ Hedge Port ของตน หุ้นขึ้น (เนื่องจากตนเอง short อยู่) ไม่เสียหายมาก เสียหายเท่ากับค่าประกันที่จ่ายไป

คนขายประกัน คือ คน Short Call ยอมรับความเสี่ยงจากการที่หุ้นขึ้นมาบริหาร ได้ค่า Premium
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 375

โพสต์

ผมว่ากระทู้นี้ยิ่งนานวันยิ่งไม่ธรรมดาเสียแล้วครับ มีครบทุกศาสตร์ ทุกแขนงวิชาจริง ๆ :D

งานสัปดาห์หนังสือ ผมไปสอยหนังสือมา แต่ปีนี้ผมซื้อน้อยกว่าปกติ ส่วนหนึ่งเพราะยังเคลียร์ของที่ซื้อมาตั้งแต่ปีก่อน ๆ ไม่หมด

ปีนี้ไปสอยเล่มนี้มาครับ ยอมรับว่าถึงแม้จะลงทุนแบบปัจจัยพื้นฐาน แต่ก็ชอบอ่านหนังสือแนวนี้ไม่น้อยครับ บางครั้งมันก็เหมือนได้แนวจิตวิทยาตลาดมาแบบอ้อม ๆ

https://www.se-ed.com/product/%E0%B8%9A ... 6167752204

ปีก่อนผมไปได้หนังสือเล่มนี้มาครับ จริง ๆ เห็นมานานมากแล้ว แต่ไม่คิดจะเปิดดู ตอนที่ซื้อก็เหลืออีกไม่กี่เล่ม แต่พอมาอ่านดู อืม ผมหลุดไปได้ยังไง จะว่าไปหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ใช่แนวพื้นฐานซะทีเดียวนะครับ แต่เหมือนมีเรื่องจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

https://www.se-ed.com/product/%E0%B9%80 ... 9742123963
"Become a risk taker, not a risk maker"
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 376

โพสต์

เล่มหลังนี้อ่านสนุกครับ เคยมีฉบับพิมพ์ที่ออกมานานมากแล้วครับ ชื่อ หลักการเก็งกำไร ประมาณนี้ ครับ เคยอ่านที่ห้องสมุดมารวย เมื่อพิมพ์ใหม่ เปลี่ยนชื่อใหม่ผมก็เลยซื้อสะสมไว้เหมือนกันครับ :D
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 377

โพสต์

กระบี่เพลงสามก๊อกสองของท่านอ.NB มิธรรมดา มิธรรมดา
ข้าพเจ้าเพียรอ่านไปอ่านมารอบแล้วรอบเล่า หวังใจว่าคงแตกฉานเข้าสักวัน
ตอนนี้ธาติน้ำแตก เอ๊ย..ธาติไฟแทรกหน่อยๆแร้ววว

มาส่งการบ้านก่อนนะครับ ปรากฎว่าผมจำผิด เป็นเล่มretire young retire rich
"เกษียณเร็ว เกษียณรวย" แปลโดยอ.สมจินต์และทีม
มีหลายจุดที่อ่านแล้วยังไม่เข้าใจ รอท่านอ.มาขยายความต่อไป เอาไว้เป็นวิชาเวลาจวนตัวก๊อกสองแบบที่อ.ว่าไว้
1.กลยุทธ์สแครดเดิลกับคอลลาร์(straddels(straddles?) or collars) หน้า389
ยังงงว่ามันอย่างเดียวกันหรือคนละอย่าง
2.ทำเงินจากอากาศ ตัวอย่างคือ
ขาย(write)ตราสารสิทธิในการขายหุ้น กขค แบบล่อนจ้อน(naked) (write a naked put option)
10สัญญา (1000หุ้น) คือตกลงว่าจะซื้อหุ้น กขค 1000หุ้น ที่40เหรียญต่อหุ้น
สมมติว่าได้เงิน 5เหรียญต่อหุ้น คือได้มา5000เหรียญ
ต่อมาถ้าหุ้นตกเหลือ35 เหรียญ ก็เตรียมเงิน40000เหรียญไปปิดสัญญา แต่ไม่กังวลเพราะ
1. มีเงินพอจะซื้อ ถ้าต้องซื้อ
2. สถิติบอกว่า85% ตราสารอนุพันธิ์ หมดอายุโดยไม่ใช้สิทธิ (โอกาสชนะ85% ดีกว่าเข้าบ่อน)
3. ต้องการหุ้น กขค อยู่แล้ว และอยากได้ส่วนลด
(อ่านแล้วราวๆ ถ้าหุ้นไม่ตก ก็ได้ตังค์ ถ้าหุ้นตก ก็ได้หุ้นราคาถูก)
ขั้นต่อไปก็ ขาย10 ตราสารสิทธิซื้อแบบมีหุ้นรองรับ(covered call options)
สมมติว่าได้5เหรียญต่อหุ้นที่ราคาหุ้น40เหรียญ คือได้มา5000เหรียญ
ต่อมาถ้าหุ้นขึ้นไปเป็น50เหรียญ ก็ขายหุ้นที่มีในราคา40ตามสัญญา ได้เงิน40000เหรียญคืน
ถ้าหุ้นไม่ขึ้น ก็ยังได้เงิน5000 เหรียญจากขายoptions
ถ้าหุ้นตกลงไปเหลือ30เหรียญ ก็ยังชิวๆ เพราะต้องการหุ้น กขค อยู่ แต่แทนที่ต้องจ่าย40000
ก็จ่ายแค่30000 เพราะได้5000+5000จากขายoptions มาลดต้นทุน

มาแปะไว้ก่อน เอาไว้อ่านซ้ำไปมาผสมกะของอ.NBจนกว่าจะหายงงรึธาติไฟแทรกครับ ไม่รู้เมืองไทยทำงี้ได้มั้ย
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 378

โพสต์

dr1 เขียน:กระบี่เพลงสามก๊อกสองของท่านอ.NB มิธรรมดา มิธรรมดา
ข้าพเจ้าเพียรอ่านไปอ่านมารอบแล้วรอบเล่า หวังใจว่าคงแตกฉานเข้าสักวัน
ตอนนี้ธาติน้ำแตก เอ๊ย..ธาติไฟแทรกหน่อยๆแร้ววว

มาส่งการบ้านก่อนนะครับ ปรากฎว่าผมจำผิด เป็นเล่มretire young retire rich
"เกษียณเร็ว เกษียณรวย" แปลโดยอ.สมจินต์และทีม
มีหลายจุดที่อ่านแล้วยังไม่เข้าใจ รอท่านอ.มาขยายความต่อไป เอาไว้เป็นวิชาเวลาจวนตัวก๊อกสองแบบที่อ.ว่าไว้
1.กลยุทธ์สแครดเดิลกับคอลลาร์(straddels(straddles?) or collars) หน้า389
ยังงงว่ามันอย่างเดียวกันหรือคนละอย่าง
2.ทำเงินจากอากาศ ตัวอย่างคือ
ขาย(write)ตราสารสิทธิในการขายหุ้น กขค แบบล่อนจ้อน(naked) (write a naked put option)
10สัญญา (1000หุ้น) คือตกลงว่าจะซื้อหุ้น กขค 1000หุ้น ที่40เหรียญต่อหุ้น
สมมติว่าได้เงิน 5เหรียญต่อหุ้น คือได้มา5000เหรียญ
ต่อมาถ้าหุ้นตกเหลือ35 เหรียญ ก็เตรียมเงิน40000เหรียญไปปิดสัญญา แต่ไม่กังวลเพราะ
1. มีเงินพอจะซื้อ ถ้าต้องซื้อ
2. สถิติบอกว่า85% ตราสารอนุพันธิ์ หมดอายุโดยไม่ใช้สิทธิ (โอกาสชนะ85% ดีกว่าเข้าบ่อน)
3. ต้องการหุ้น กขค อยู่แล้ว และอยากได้ส่วนลด
(อ่านแล้วราวๆ ถ้าหุ้นไม่ตก ก็ได้ตังค์ ถ้าหุ้นตก ก็ได้หุ้นราคาถูก)
ขั้นต่อไปก็ ขาย10 ตราสารสิทธิซื้อแบบมีหุ้นรองรับ(covered call options)
สมมติว่าได้5เหรียญต่อหุ้นที่ราคาหุ้น40เหรียญ คือได้มา5000เหรียญ
ต่อมาถ้าหุ้นขึ้นไปเป็น50เหรียญ ก็ขายหุ้นที่มีในราคา40ตามสัญญา ได้เงิน40000เหรียญคืน
ถ้าหุ้นไม่ขึ้น ก็ยังได้เงิน5000 เหรียญจากขายoptions
ถ้าหุ้นตกลงไปเหลือ30เหรียญ ก็ยังชิวๆ เพราะต้องการหุ้น กขค อยู่ แต่แทนที่ต้องจ่าย40000
ก็จ่ายแค่30000 เพราะได้5000+5000จากขายoptions มาลดต้นทุน

มาแปะไว้ก่อน เอาไว้อ่านซ้ำไปมาผสมกะของอ.NBจนกว่าจะหายงงรึธาติไฟแทรกครับ ไม่รู้เมืองไทยทำงี้ได้มั้ย
ทำได้ครับ จาร หมอหนึ่ง

ได้ทำครับ แต่กำไรหรือไม่อีกเรื่องนะครับ ทั้ง straddle. และอื่นๆ

ไว้มาต่อครับ

ปล เล่นหุ้นอย่างเดียว จารหมอ ยังรวยไม่พอเหรอครัช
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 379

โพสต์

เข้ามารดน้ำดำหัว ผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ จากกระทู้ viหาดใหญ่ ที่ผมได้เรียนรู้

ขอความสุข ความเจริญทั้งกายและใจ กับทุกๆท่านครับ :8)
You only live once, but if you do it right, once is enough.
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 380

โพสต์

image.jpg
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 381

โพสต์

มากราบสวัสดีปีใหม่ไทยกับอาจารย์และเพื่อนๆทุกท่านด้วยคนครับ
ขอให้สุขภาพกาย ใจ ผอร์ท แข็งแรงย่ิงยืนนาน
อารมณ์ดีมีหุ้นกะไอเดียดีๆมาให้ลอกเรื่อยๆต่อไป ไชโยโห่ฮิ้วววว...

มาส่งการบ้านหนังสืออ.leky กะท่านarica ไว้ก่อน
ผมไปคุ้ยมา ได้เป็นเล่มพิมพ์ครั้งแรก "กลยุทธ์การเก็งกำไร" The Zurich Axioms(1985)
อ.ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ แปล
ในเล่มพูดถึง เจสซี่ ลิเวอร์โมร์(มอร์) เจ. พอล เกตตี้ เดสคาร์ต(ฉันคิด ดังนั้นฉันจึงมีตัวตน)ไปถึงแวลลูไลน์
ราวๆอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ(กาลามสูตร)ให้เชื่อตัวเองโดยวิเคราะห์เอง มีหลักใหญ่12ข้อ หลักรอง16ข้อ

1. เรื่องของความเสี่ยง
ความวิตกกังวลไม่ใช่ความเจ็บป่วย หากแต่เป็นสัญญลักษณ์ของความสุขสมบูรณ์
ถ้าหากว่าคุณยังไม่มีความวิตกกังวลแล้ว แสดงว่าคุณยังไม่ได้เผชิญความเสี่ยงที่มากพอ
1.1 จงเล่นเพื่อผลลัพท์ที่มีคุณค่าพอเท่านั้น
1.2 จงหลีกเลี่ยงการกระจายความเสี่ยง
2. เรื่องของความโลภ
จงฉวยกำไรโดยเร็วที่สุด
2.3 จงตัดสินใจก่อน ว่าคุณต้องการกำไรเท่าไรและจงเลิกเล่นทันทีที่คุณทำได้ตามเป้านั้น
3. เรื่องของความหวัง
ถ้าเรือกำลังจะล่ม อย่ามัวแต่สวดภาวนา ให้กระโดดลงน้ำทันที
3.4 จงถือว่าการสูญเสียเล็กๆน้อยๆเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต
และจงเตรียมพร้อมกับการสูญเสียเล็กน้อยหลายๆครั้ง ก่อนที่จะทำกำไรได้มหาศาลในวันข้างหน้า
4. เรื่องของการพยากรณ์
คุณไม่สามารถทำนายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ ดังนั้นจงอย่าหลงเชื่อใครก็ตามที่อ้างว่ามองเห็นอนาคต
5. เรื่องของความมีระเบียบ
ความสับสนไม่ใช่เรื่องอันตราย แต่ถ้าเมื่อใดมันกลายเป็นความมีระเบียบแล้ว ก็ขอให้ระวังให้ดี
5.5 จงระวังกับดักจากประวัติศาสตร์
5.6 จงระวังภาพลวงตาจากแผนภูมิ
5.7 จงระวังภาพลวงตาจากความสัมพันธ์ชนิดเหตุผล
5.8 จงระวังกับดักของนักพนัน
6. เรื่อของการเคลื่อนย้าย
จงอย่ารากงอก เพราะมันเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้าย
6.9 จงอย่าติดกับดักของการลงทุนที่ไร้อนาคต เพราะสาเหตุจากความผูกพัน หรือความเสียดาย
6.10 ถ้ามีการลงทุนใหม่ที่น่าสนใจกว่า ก็ขอให้ลืมของเก่าเสีย
7. เรื่องของลางสังหรณ์
จงเชื่อลางสังหรณ์ถ้าหากมันมีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ
7.11 จงอย่าสับสนระหว่างลางสังหรณ์กับความหวัง
8 เรื่องของศาสนาและความลี้ลับ
พระเจ้าคงไม่มีแผนท่จะทำให้คุณรวยรวมอยู่ในแผนการสร้างจักรวาลอย่างแน่นอน
8.12 ถ้าโหราศาสตร์ใช้ได้จริง หมอดูทุกคนก็คงรวยไปนานแล้ว
8.13 จงอย่าเชื่อถืออำนาจลี้ลับ แต่จงสนุกกับมันเป็นครั้งคราวและให้จังหวะที่เหมาะสม
9. เรื่องของทัศนคติการมองโลก
การมองโลกในแง่ดีคือความหวังที่จะให้สิ่งที่ดีที่สุดบังเกิดขึ้น
ในขณะที่ความมั่นใจคือความรู้ตัวว่าจะสามารถรับกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้
จงอย่าตัดสินใจโดยการมองโลกในแง่ดีแต่เพียงอย่างเดียว
10. เรื่องของเสียงส่วนใหญ่
จงอย่าฟังเสียงส่วนใหญ่ เพราะมันอาจจะผิดก็ได้
10.14 จงอย่าเก็งกำไรตามคนส่วนใหญ่
ในหลายๆครั้งจังหวะที่เหมาะแก่การซื้อมากที่สุด คือเมื่อทุกคนไม่ต้องการซื้อ
11. เรื่องของความดื้อรั้น
ถ้าผลลัพท์ครั้งแรกไม่คุ้มค่า ก็ขอให้ลืมครั้งต่อไปเสีย
11.15 จงอย่าพยายามบรรเทาความเสียหายของการลงทุนที่พลาดไปแล้ว
ด้วยการ"เฉลี่ยความเสียหายให้น้อยลง"
12. เรื่องของการวางแผน
การวางแผนระยะยาวอาจทำให้ผู้วางแผนเข้าใจผิดคิดว่าตนเองสามารถควบคุมอนาคตใด้แล้ว
เพราะฉะนั้นจงอย่ายึดถือแผนระยะยาวให้มากจนเกินไป
12.16 จงหลีกเลี่ยงการลงทุนระยะยาว

อ่านแล้วอย่าลืมว่าเป็นหลัก"การเก็งกำไร"นะครับ
ใช้ผิดมาเป็นหลัก"การลงทุน"อาจรวยแต่(มะ)เขือ(เผา) จนรวยขายฆ้อง,เข้ได้ อิอิ
samatah
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 382

โพสต์

dr1 เขียน:มากราบสวัสดีปีใหม่ไทยกับอาจารย์และเพื่อนๆทุกท่านด้วยคนครับ
ขอให้สุขภาพกาย ใจ ผอร์ท แข็งแรงย่ิงยืนนาน
อารมณ์ดีมีหุ้นกะไอเดียดีๆมาให้ลอกเรื่อยๆต่อไป ไชโยโห่ฮิ้วววว...

มาส่งการบ้านหนังสืออ.leky กะท่านarica ไว้ก่อน
ผมไปคุ้ยมา ได้เป็นเล่มพิมพ์ครั้งแรก "กลยุทธ์การเก็งกำไร" The Zurich Axioms(1985)
อ.ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ แปล
ในเล่มพูดถึง เจสซี่ ลิเวอร์โมร์(มอร์) เจ. พอล เกตตี้ เดสคาร์ต(ฉันคิด ดังนั้นฉันจึงมีตัวตน)ไปถึงแวลลูไลน์
ราวๆอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ(กาลามสูตร)ให้เชื่อตัวเองโดยวิเคราะห์เอง มีหลักใหญ่12ข้อ หลักรอง16ข้อ
จริง ๆ ตอนที่ผมอ่านผมว่าหลักหลายอย่างมันใช้ได้กันการลงทุนทั่ว ๆ ไปเลยนะครับ ตัวอย่างในหนังสือเท่าที่จำได้ก็มีหลายแบบครับ ทั้งหุ้น ที่ดิน ฯลฯ หลายเรื่องก็ออกไปทางจิตวิทยาครับ ผมว่าเล่นนี้ ถ้าอ่านแล้วเหมือนเสริมความรู้เรื่องการตัดสินใจครับ

แต่เห็นฉบับ 1985 นี่ ผมหนาวเลยครับ สมัยผมยังเด็กอยู่เลยนี่ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 383

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:มาทำความเข้าใจกันก่อน

สรุป เรามองเป็น 4 แนวทาง Basic ดังนี้

ซื้อ Call แปลว่า แทงขึ้น เรียกว่า Long Call
ขาย Call แปลว่า แทงลง เรียกว่า Short Call

ซื้อ Put แปลว่า แทงลง เรียกว่า Long Put
ขาย Put แปลว่า แทงขึ้น เรียกว่า Short Put

มองขึ้น
Long Call รายได้ = ส่วนต่างดัชนีสิ้นงวด - Premium
Short Put รายได้ = Premium - ส่วนต่างดัชนีสิ้นงวด

มองลง
Long Put รายได้ = ส่วนต่างดัชนีสิ้นงวด - Premium
Short Call รายได้ = Premium - ส่วนต่างดัชนีสิ้นงวด

คราวหน้ามาว่ากันเรื่อง Strategy แบบต่าง ๆ กันครับ

พี่nb แนะนำหนังสือพวกอนุพันธและพวกฟิวเจอร์หน่อยสิครับ ผมไม่มีความรู้เลย
ถ้าเป็นไปได้อยากให้พี่nbเปิดคอร์สสอนเลยครับ ผมจะไปเรียนจริงๆด้วย
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 384

โพสต์

cobain_vi เขียน: พี่nb แนะนำหนังสือพวกอนุพันธและพวกฟิวเจอร์หน่อยสิครับ ผมไม่มีความรู้เลย
ถ้าเป็นไปได้อยากให้พี่nbเปิดคอร์สสอนเลยครับ ผมจะไปเรียนจริงๆด้วย
นานมาแล้วตอนที่ตลาดฟิวเจอร์เริ่มมีใหม่ ๆ เคยเห็นหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง เขียนไว้ละเอียดมากครับ เป็นหนังสือภาษาไทยหนาแบบ Textbook เลย แต่เข้าใจว่าคงพิมพ์ออกมาไม่มาก เพราะหลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีก แต่จำไม่ได้แล้วว่าหนังสือชื่ออะไร แต่เดี๋ยวนี้ก็มีหนังสือมากมายทีเดียวครับ

คุณ cobain_vi ต้องการให้คุณ NB รับเป็นศิษย์ สงสัยต้องใช้วิธีเดียวกับ เล่าปี่ตอนไปหาขงเบ้งแล้วครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 385

โพสต์

ผมคุ้น ๆ ว่าคุณ NB ก็สนใจวิชา CANSLIM ของปรมาจารย์ William O’Neil ด้วย (ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยครับ)

อยากให้คุณ NB เล่าให้ฟังหน่อยครับ ว่าอานุภาพของเคล็ดวิชานี้ร้ายกาจเพียงใด เพื่อให้เหล่าจอมยุทธได้เปิดหูเปิดตา

ตัวผมเองเท่าที่เคยอ่านแบบผิวเผินยอมรับว่าหลายเรื่องมันอาจจะใช้ได้ เพียงแต่เคล็ดวิชานี้มันเหมือนมีเรื่องทางเทคนิคเข้ามาเกี่ยวข้อง และหุ้นที่เข้าข่ายจะเป็นหุ้นในลักษณะกำลังเป็นขาขึ้น คล้าย ๆ กับหลักการทางเทคนิคที่มักจะตามหุ้นที่กำลังเป็นขาขึ้น ตามความรู้สึกของผมนั้น คิดว่ามันเลยทำให้มันมีความเสี่ยงในเรื่องของ MOS แต่ในความเห็นส่วนตัวก็คิดว่าถ้าหุ้นตัวไหนมีสินค้าใหม่ ๆ และกำไรเพิ่มขึ้นมาก ๆ ราคาหุ้นก็มักจะไปในทิศทางเดียวกัน
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
Value Way

"C-A-N-S-L-I-M" 7 เคล็ดลับ "วิลเลียม โอนิล"

วิลเลียม โอนิล (William O’Neil) เริ่มงานเป็นนายหน้าขายหลักทรัพย์ในปี 1958 สามปีที่เขาทำงานกับบริษัทนี้ ขาได้เรียนรู้การบริหารกองทุนรวมที่เด่นๆ ในขณะนั้น เขาได้ค้นพบว่ากองทุนเหล่านี้ประสบผลสำเร็จก็เพราะเลือกซื้อหุ้นที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ หรือทางเทคนิคเคิลเรียกว่า "breaking out" หุ้นหลายตัวที่มีลักษณะแบบนี้มักจะปรับตัวสูงขึ้นต่อมากกว่า 100%

โอนิล ได้เลียนแบบการลงทุนแบบนี้ ภายในหนึ่งปีผ่านไปเขาสามารถเพิ่มเงินของเขาจาก 5,000 เหรียญ เป็น 200,000 เหรียญ เขาเป็นผู้จัดการกองทุนที่จัดว่ามีผลการดำเนินงานดีเด่นในยุค 60 เลยทีเดียว และเป็นผู้บุกเบิกการเลือกหุ้นโดยอาศัยข้อมูลทางสถิติ และบริษัทของเขาก็ยังคงให้บริการข้อมูลเหล่านี้แก่ผู้ลงทุนจนทุกวันนี้

ผลการดำเนินงานของเขามีทั้งขึ้นและลงโดยเฉพาะในช่วงที่หลังการปรับตัวที่ดีของตลาดหุ้นในช่วงยุค 60 ผลตอบแทนที่ได้รับจะอยู่ในอัตราเฉลี่ย 40% ในรอบสิบปี หุ้นที่เขาลงทุนแล้วประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นหุ้นบริษัทยาซินเท็ค (SYNTEX) บริษัทนี้เป็นบริษัทแรกที่ผลิตยาคุมกำเนิด ขณะนั้นบริษัทประกาศผลกำไรโตขึ้นถึง 300% ราคาหุ้นปรับตัวจาก 100 เหรียญ เป็น 550 เหรียญ ทำให้เขามีกำไรมากพอที่จะเริ่มธุรกิจส่วนตัว ปัจจุบันเขาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทที่ปรึกษาของเขาเองตั้งอยู่ที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา

วิธีการและแนวทางการลงทุนของเขาคล้ายๆ กับ จิม สแลตเตอร์ เขาให้ส่วนผสมของข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณเป็นเกณฑ์ในการเลือกหุ้นลงทุน แนวคิดที่สำคัญในการลงทุนคือ “มองหาหุ้นที่โตเร็วที่มีศักยภาพในการที่ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง” นั้นคือ ซื้อหุ้นเมื่อบริษัทแข็งแกร่ง ขายออกเมื่อบริษัทอ่อนแอลงเขาแนะนำนักลงทุนให้ใช้แนวทาง 7 ประการในการลงทุน โดยมีตัวย่อ C-A-N-S-L-I-M ดังนี้

C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings) มองหาบริษัทที่เพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40-500%

A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases) มองหาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกัน 5 ปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ P/E Ratio ซึ่งช่วงของ P/E อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป

N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs) หุ้นที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆ อยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่

S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand) หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้

L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards) เลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆ สัก 2-3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆ ในหมวดเดียวกันในอัตรา 80-90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน

I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship) หาให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ

M = ทิศทางของตลาด (Market direction) ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญญาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น

เขาแนะนำให้ทำการขายหุ้นตัดขาดทุนเมื่อหุ้นนั้นตกลงต่ำกว่า 7-8% จากราคาที่ซื้อมาโดยไม่ต้องมีคำถาม และให้ขายหุ้นที่ขึ้นไม่ถึง 20% ภายใน 13 สัปดาห์ ให้ถือหุ้นที่ขึ้นเกิน 20% ภายใน 4-5 สัปดาห์ หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรมากที่สุด ในกรณีที่หุ้นที่ซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25% อย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดีทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บหุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรเช่นเดียวกัน
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 386

โพสต์

ปกติผมชอบอ่านเรื่องการลงทุนหลาย ๆ อย่างครับ แต่ที่แทบจะไม่ได้อ่านคือเรื่องการดูกราฟเทคนิค อันนี้ส่วนใหญ่ฟังจากคนอื่นมา แล้วก็เรื่องการเก็งกำไรในลักษณะเดย์เทรด ผมว่าหลักการหลาย ๆ อย่างมันเหมือนมีส่วนเชื่อมโยงกันอยู่บ้างครับ คล้าย ๆ กับเรื่อง set ที่มันมีส่วนที่ intersection กันอยู่ครับ ผมว่าถ้าเราลองศึกษาหลาย ๆ แบบมันจะทำให้มุมมองของเรากว้างขึ้นครับ แม้แต่เรื่องจิตวิทยาการลงทุน ผมเคยรู้จักน้องคนหนึ่ง แรก ๆ ก็ศึกษาด้านวีไอ ทำไปทำมาไปศึกษาแนวอื่น ๆ อีกมาก จนตอนหลังไปเอาจริงเอาจังกับแนวอื่น ๆ ก็มีครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 387

โพสต์

อาจารย์โอนีล ท่านเป็นอาจารย์ที่ผมนับถือครับ

ไว้มาเขียนให้ฟังครับเรื่อง canslim
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 388

โพสต์

ตัวเอ็มของ canslim นี่หล่ะครับ

วีไอในต่างประเทศถกซะไม่เหลือ

เพราะไม่มีใครจับจังหวะตลาดได้

อ. โอนีล ม่ายสน สอยไปถึงสาวกบัฟเฟต

Distribution Day ใช้ยังไง

แก้วกับหูใช้ยังไง
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 389

โพสต์

ผมว่าใช้แค่ C A N ก็น่าจะเหลือแหล่แล้วนะครับ จริง ๆ ผมไม่เคยอ่านเรื่องของ CANSLIM มาก่อนนะครับ แต่พอได้อ่านแล้วมาดูวิธีที่ตัวเองหาหุ้นอยู่ แล้วมาเปรียบเทียบดู บางเรื่องมันก็ดูคล้าย ๆ กับหลักของ CANSLIM ในบางข้อ

ถ้ายังจำที่ผมเคยบอกเรื่องสกรีนผลประกอบการหุ้นได้ จะว่าไปมันก็เหมือนการหาตัว C เพียงแต่ผมขยายขอบเขตออกไปให้กว้างขึ้นไปอีก รวมถึงพวกหุ้นที่แย่หนัก ๆ ด้วย

ส่วนข้อ A ผมมีดูแบบนี้บ้าง แต่ผมยังให้ความสำคัญกับค่า PE อยู่ ถ้าสูงเกินไปผมก็ไม่เอา เพราะผมคิดว่าหลักการของ CANSLIM ดูไม่เน้นเรื่อง MOS เท่าไหร่ (ถ้าผมเข้าใจผิดช่วยแก้ให้ด้วยนะครับ) ที่รู้สึกแบบนั้นเพราะมีการพูดถึงการคัทลอส ซึ่งตรงนี้ผมว่ามันคล้าย ๆ กับแนวคิดของนลท.แนวเทคนิคที่มักเน้นเรื่องของโมเมนตัมของหุ้น คือถ้าหุ้นไปต่อได้ถึงแม้ราคาจะแพงหน่อยก็ยังคงซื้อตามน้ำ ถ้าลงก็มีจุดคัทลอส

ข้อ N สำหรับผมก็คือการหา catalyst ของหุ้นนั่นเองครับ

ส่วนข้อ I ผมว่าตลาดไทยอาจจะประยุกต์ข้อนี้ได้ยากหน่อย เพราะหุ้นเล็ก ๆ มักไม่ค่อยมีสถาบันเข้ามาลงทุน

ข้อสุดท้ายเรื่องการจับจังหวะตลาดนี่ สำหรับผมยิ่งยากใหญ่ครับ

ได้ถกเถียงเรื่องเคล็ดวิชานี่สนุกจริง ๆ ครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
vim
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2748
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 390

โพสต์

ผมไม่ใช่คนหาดใหญ่ แต่บังเอิญได้มาอ่านเจอที่พี่ๆจอมยุทธคุยกันแล้วได้ความรู้มากเลยครับ :oops: ขอตามอ่านอยู่ห่างๆนะครับ

ตัว I ใน CAN SLIM นี่ผมรู้สึกว่านำมาประยุกต์กับการลงทุนในฝั่งอเมริกาได้ดีเลยครับ เราเห็นได้บ่อยๆว่าวันไหนที่มีการปรับเรทติ้งโดยสถาบัน หรือผลประกอบการไม่ตรงกับที่สถาบันต่างๆคาดการไว้ ราคาหุ้นก็จะขึ้นลงรุนแรงทันที ส่วนในไทยผมไม่ค่อยรู้สึกว่านักลงทุนสถาบันจะมีผลกระทบกับราคาหุ้นขนาดนั้น ตรงกันข้ามราคาหุ้นเปลี่ยนแล้วสถาบันในไทยค่อยมาปรับประมาณการเอาทีหลังเสียมากกว่า

ที่เห็นผลกับราคาหุ้นได้ชัดเจนกว่าน่าจะเป็นการซื้อขายของ"ฝรั่ง" ดังนั้นในไทยเราอาจจะต้องปรับมาประยุกต์เป็น I - International Investors แทน :mrgreen:
(ขำๆนะครับ)
Vi IMrovised