จึงตัดสินใจ long Put ที่ Stike Price 925 - 10 = 935
จ่ายจริง 10 บาท
แปลว่า
ถ้าหุ้นลงลึก ต่ำกว่า 935 นาย A จะเริ่มกำไร จุดละ 200 บาทไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าหุ้นลงไม่ถึง 935 นาย A ก็จะขาดทุน
แต่ถ้าหุ้นขึ้น ไม่ลง นาย A ก็เสีย 10 บาทนี้ไปเลย
กลับกัน นาย B เป็น คนที่ Short Put ของ นาย A
ถ้าหุ้นลงลึก ต่ำกว่า 935 นาย B จะเริ่มขาดทุน จุดละ 200 บาทไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าหุ้นลงไม่ถึง 935 นาย A ก็จะขาดทุน นาย B ยังกำไรอยู่ (เนื่องจากนาย B ใส่กระเป๋ามาแล้ว 10 บาท ถ้าลงก็ทนได้ 10 จุด)
แต่ถ้าหุ้นขึ้น ไม่ลง นาย B ก็ได้ 10 บาทนี้ไปเลย
คนซื้อประกัน คือ คน Long Put ยอมจ่ายค่าประกันเพื่อ Hedge Port ของตน หุ้นตกไม่เสียหายมากเสียหายเท่าค่าประกันที่จ่ายไป เหมือนประกันรถประกันภัย สบายใจ
คนขายประกัน คือ คน Short Put ยอมรับความเสี่ยงจากการที่หุ้นลง ได้ค่า Premium
2. สำหรับคน Short หุ้น
คนซื้อประกัน คือ คน Long Call ยอมจ่ายค่าประกันเพื่อ Hedge Port ของตน หุ้นขึ้น (เนื่องจากตนเอง short อยู่) ไม่เสียหายมาก เสียหายเท่ากับค่าประกันที่จ่ายไป
คนขายประกัน คือ คน Short Call ยอมรับความเสี่ยงจากการที่หุ้นขึ้นมาบริหาร ได้ค่า Premium
C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings) มองหาบริษัทที่เพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40-500%
A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases) มองหาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกัน 5 ปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ P/E Ratio ซึ่งช่วงของ P/E อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป
N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs) หุ้นที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆ อยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่
S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand) หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้