VI หาดใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3421
กลยุทธ์วีไอปี64 ตอนที่4
คุณพีรนารถ โชควัฒนา
พิธีกรดำเนินรายการ
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ดร นิเวศน์. เหมวชิรวรากร
อ นิเวศน์ถามว่า อยากให้เล่าภาพในปี63 หลังจากนั้นค่อยเข้าประเด็น
พี่พี บอกว่า เป็นFailureอย่างหนักในช่วงต้นปี63
แต่อยากเล่าย้อนหลังไปในช่วงปลายปี62
ช่วงเดือนพย 62 มีปัญหาคอนโดที่จะต้องโอนปี63เยอะที่สุดในชีวิต
คือประมาณ 13-14 ห้อง แล้วบางโครงการดึงเข้าโอนในเดือน ธค 62
ผมกู้มามากแล้ว ที่โอนใหม่ต้องจ่ายเงินสดหมด
ต้องเสียเงินสดค่อนข้างเยอะ ต้องเอาจากไหนมาโอน
พอช่วงCovidมา ถือเป็นBlack swan เพราะหุ้นที่ถือเยอะสุด
ราคาลงมา ที่ 1.08 บาท อีกตัวราคาลงจาก12 เหลือ 4บาท
ผมใช้marginอยู่แล้ว ก็มีปัญหาหนักมาก
ทำให้คิดถึงอาจารย์เลยว่า ปลายปีที่แล้ว คงไม่ได้ออกรายการแน่
จบชื่อเสียงไปเลย
ส่วน อาจารย์ไพบูลย์ บอกว่าตัวเองอาจต้องปิดรายการMoneytalk
และพอร์ตก็ลดลงไป50%
พี่พีพูดต่อ Ananตอนเข้าตลาดด้วยเกณฑ์ market cap ยังไม่มีกำไรเลย
ตอนเข้าไปช่วงต่ำสุดคือ 1.75 บาท ไม่ได้นึกว่าบริษัทราคาจะลงไปลึกขนาดนั้น
ไม่ได้นึกถึงว่าจะถูกcall หรือ Force sell
ในวันที่หุ้นลงมาเรื่อยๆ ยินดีขายคอนโด และ หุ้นที่ขาดทุน
หุ้นที่ต้องขาย40-50ล้านหุ้น แต่มีBidแค่แสนหุ้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขายออก
ถ้าขายลงไป ก็ทำร้ายตนเอง เพราะราคาจะลงไปด้วย
เงินสดก็ไม่มีเพราะโอนคอนโดไป 3ห้อง ถ้ารู้ว่ามีปัญหาแบบนี้ก็ทิ้งดาว์นคอนโดไปแล้ว
ดังนั้นเราไม่ได้เตรียมเงินสดไว้ แต่มีหุ้นที่อยู่ในบัญชีเงินสด
เราเตรียมขายเพื่อจะไปโอนคอนโดที่ต้องโอนช่วงนั้น
สิ่งที่ต้องทำ คือ หุ้นที่ถือเป็นตัวเล็ก ไม่สามารถเอาไปค้ำประกัน
ส่วนตัวที่รับ เพื่อโอนไปค้ำประกัน ก็โอนไปแล้ว แต่ก็ยังไม่พอตลอด
คอนโดคิดว่าจะขายได้ไหม ผมลดราคาก่อนเจ้าของคอนโดเสียอีก
คุณบอย ท่าพระจันทร์ โอนขายพระเครื่องง่ายกว่าผมอีก
เลยเข้าใจคนที่คิดฆ่าตัวตาย
ผมเลยมาเล่าในส่วนที่พลาดขนาดหนัก ให้คนในรายการฟัง
ผมไม่มีโอกาสที่ซื้อ แต่คิดว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร
นอนไม่หลับมาหลายสัปดาห์
แหล่งแรกสุด คือ ยืมเงินจากครอบครัว แต่ไม่ใช่ทุกคนจะให้ยืม
เลยต้องหาคนที่มาซื้อbiglot ให้ได้ สุขภาพแย่ ต้องalertตลอดเวลา
คุณแม่ส่งคำเทศนามาให้พี่พีฟัง ช่วงนี้เลยได้ฟังคำเทศนา
ในที่สุด คือแก้ปัญหา ใช้สมองแก้ไม่ได้ เลยใช้วิธี
คุกเข่าสวดมนต์ ในที่สุด เราไม่คิดว่าบางคนที่เราไม่คิดรบกวน
ก็มาอาสาแก้ปัญหาให้
เขามาช่วยซื้อหุ้นไป และก็มีคนlineมาถามให้ หุ้นกู้Anan
ปลอดภัยไหม ผมก็ไปช่วยรับประกันให้ ทำให้เราดีขึ้นในเรื่องหุ้น
ทำให้ผมสามารถผ่านสิ่งเหล่านี้มาได้
ทำให้มีเวลาไปอ่าน Why we sleep ที่Bill Gatesแนะนำ
เเละเลื่อนเวลานอนจากตีหนึ่งมานอนสี่ทุ่มแทน
แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด ผมก็อธิษฐานทุกวัน และนอนหลับได้เร็วขึ้น
สุขภาพก็ดีขึ้น
ช่วงเดือน มีนาคม และ เมษายน หนักสุด และช่วงเดือนพฤษภาคมก็เบาลงเเล้ว
ปัญหาหุ้นก็เบาลง หลังหุ้นreboundขึ้น ที่มีmarginก็พอซื้อหุ้นได้แล้ว
แต่ปัญหาคอนโดยังไม่จบ จริงๆก็ปล่อยยึดไปก็ได้
แต่ก็ไม่อยากให้ยึดคอนโดไป
อยู่ดีๆก็มีคนมาติดต่อขอซื้อคอนโด แน่นอนครับว่าราคาขายก็ขาย
ขาดทุน30-40% ผมขายก่อน developerอยู่แล้ว
โดยขายคอนโดที่ไม่ชอบ และ โอนคอนโดที่ชอบเก็บไว้โดย
ขายคอนโดที่มีอยู่ไป กำไรบางคอนโดก็ลดลงเยอะมากเทียบกับคนอื่นขายก่อนหน้า
ไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายสิ่งต่างๆที่เจอมา ก็ผ่านไปให้ (ลุ้นแทนพี่พีซะเหนื่อยเลย
ไม่เคยทราบมาก่อนว่าเจอขนาดนี้ พี่พีไม่เคยเล่าสิ่งเหล่านี้มาเลย)
เหตุการณ์ช่วงเมษายน ที่รอดมาได้ หลังจากรู้จักกับพระเจ้าและอธิษฐานทุกวัน
ตอนที่เคยเป็นกรรมการมา2ปีของบริษัทSinger คนที่ส่งผมไปเป็นกรรมการ
ต้องการเอาผมออกจากการเป็นกรรมการ ซึ่งผมมีความรู้สึกเสียใจมาก
ว่าเราไม่เคยทำอะไรผิดเลย ผมทำเต็มที่ในฐานะกรรมการ
อันนี้อาจเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ไม่เคยใช้marginกับหุ้นSinger
เพราะขี้เกียจมารายงานตลาดหลักทรัพย์ ตอนขายอาจโดนว่า
ผมมานั่งคิดดูว่า เขาไม่ไว้ใจในการมาเป็นกรรมการsinger
แต่คิดว่าsingerเป็นบริษัทที่ดี เลยซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นเยอะเลย
ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ว่า ถ้ายังเป็นกรรมการอยู่ก็คงไม่ได้ซื้อหุ้นนี้เยอะขนาดนี้
โดยใช้marginส่วนนึง และ เงินจากการขายหุ้นAnanส่วนนึง
ตอนนั้น คนที่เลือกซื้อหุ้นระหว่างAnanกับ Jmart เขาเลือกAnan
ผมก็ดีใจว่าทุกคนที่ช่วยซื้อหุ้นbig lotจากผม ทุกคนกำไรหมด แต่ผมขาดทุนคนเดียว
แต่กลายเป็นว่าถ้าตอนนั้น ไม่เคยคิดจะขายหุ้นAnan
แต่พอดีต้องหาเงินสดเลยต้องขายAnanไป
และหลังจากน้ันก็เลือกซื้อหุ้นอีกหลายตัวที่out performมากๆ
พี่พีพูดต่อว่า
กลายเป็นว่า failureของปีที่แล้ว กลายเป็นSuccessful Failure
เจ้าของAmazonเคยพูดไว้ว่า ไม่ต้องกลัวFailure เพราะในที่สุด
เราก็ได้เรียนรู้จากFailure
เมื่อก่อนมีความเกรงใจตอนขายหุ้น หรือ คอนโดออก
แต่ตอนนี้เคยขายหุ้นหรือคอนโด ตอนที่ขาดทุน
เราก็ขายหุ้นหรือคอนโดตอนที่กำไรได้
คุณอดิศักดิ์ จากJmart ก็มาบอกว่า เห็นคุณลงทุน และหุ้นขึ้นลงหลายรอบ
คราวหน้าก็ขายหุ้นไปบ้างก็ได้ ตอนหุ้นขึ้น
ไม่ใช่ถือตลอด ตอนหุ้นขึ้น ลง
ทำให้เราเปลี่ยนไป ขายขาดทุนได้ เปลี่ยนทัศนคติใหม่
ผมได้ตายไปและเกิดใหม่
ทุกสิ่งที่เรามีอยู่ เป็นของพระเจ้า และผมเป็นผู้บริหารแทน
บริษัทหลานปู่ที่บริหารให้ครอบครัว ไม่ค่อยขาดทุน มีการขายตอนกำไร
ตอนนี้พอร์ตตัวเอง จะไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวแล้ว
มุมมองปีนี้จะเปลี่ยนไป ถ้าหุ้นขึ้นไปก็จะขายเพราะผมบริหารไม่ใช่เจ้าของ
ทำให้การตัดสินใจลงทุนดีขึ้น
เมื่อก่อนหุ้นขึ้น ก็เกรงใจเจ้าของ เลยไม่ขาย
ตอนนี้พอร์ตยังลดลงเมื่อเทียบกับพอร์ตปลายปี62
เดือนธค เริ่มคืนหนี้เงินกู้ แต่ยังไม่ได้คืนmargin
ตอนนี้ถ้ามีคนสนใจคอนโดที่ผมไม่ชอบ สามารถขายขาดทุนได้
เพราะมีผ่อนคอนโดสิบกว่าหลัง และยังต้องรอโอนอีก
อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า จริงๆแล้ว คุณพีรนารถ รู้จักคนเยอะในวงการการลงทุน
ถ้าบอกว่ามีสินทรัพย์ที่จะขาย ก็มีหลายคนสามารถมาช่วยได้
เพราะกลุ่มวีไอที่รู้จักกันมา ไม่ใช่กลุ่มรู้จักฉาบฉวย สามารถช่วยเหลือกันได้
หุ้นที่เสนอขายเป็นBig lot ก็น่าสนใจซื้อในราคาที่สมเหตุผลตอนนั้น
แต่ที่ผ่านมา คุณพีรนารถแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
พี่พี บอกว่า หลังจากเหตุการณ์นั้นเเล้ว มีหลายคนพูดเหมือน
อาจารย์นิเวศน์ว่า ไม่รู้ว่าจะเจอหนักขนาดนี้ ไม่งั้นก็สามารถช่วยเหลือกันได้
อาจารย์ไพบูลย์ บอกว่า พี่พีถือเป็นน้อยคนที่มาเผยบทเรียนที่พลาดมา
และมาเล่าหลายครั้งแล้ว
ซึ่งถือเป็นบทเรียนให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่จะได้เรียนรู้และระวังไว้
อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า ถือเป็นอุทาหรณ์
นักลงทุนรุ่นใหม่ไม่เคยเจอแบบนี้ ได้ยินแต่success story
ถามเรื่องกลยุทธ์การลงทุนในปี64จะทำอย่างไร
พี่พีตอบว่า ลงทุนแบบวีไอ ลงทุนในบริษัทที่รู้จัก
ส่วนcommodityก็ไม่คุ้นเคยและไม่อยากศึกษา
ปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว
ดูบริษัทที่ช่วงq2 63 ไม่ขาดทุน ช่วงที่แย่สุด ยังมีกระแสเงินสดอยู่
ดังนั้นบริษัทเหล่านี้ ก็สามารถอยู่รอดได้ในปีนี้
บริษัทที่มีPE20-30เท่า ส่วนกลับของpeคือ กำไรคิดเป็น 3.3%สำหรับPE 30เท่า
ถ้าปันผลครึ่งนึง คิดเป็นปันผล 1.7%ก็ไม่เลว
แต่จริงๆพี่พีคงไม่ซื้อหุ้นตอนPE 30 เพราะมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยmargin6%ด้วย
พี่พีซื้อหุ้นที่PE20เท่าก็พอไหว อาจขาดทุนดอกเบี้ยบ้างนิดหน่อย
ดังนั้นปีนี้ยินดีถือหุ้นที่ซื้อตอนPE 20 ถือยาวจนถึง PE 30ได้
หุ้นกลุ่มอสังหา ปีที่แล้วดูดีหลายตัว แต่ตลาดไม่ให้peสูงเลย
อาจมีปัญหาในส่วนของคอนโด แต่ถ้าเป็นส่วนแนวราบ
และราคาต่ำกว่าBook valueเยอะ PEไม่สูงมาก ก็น่าสนใจ
พี่พี ก็ยังมีหุ้นอสังหาอยู่ไม่ได้ขาย เลยต้องbalance port
อาจมีswitchในกลุ่อสังหาด้วยกัน
แต่สินทรัพย์อื่น ไม่ยุ่ง เช่น บิตคอย ทอง
ส่วนหุ้นต่างประเทศ พยายามปิดหูไม่ฟัง ถ้าไปลงทุนก็เป็นฐานคนอื่นแน่
ไม่ใช่เวลานี้ที่จะไปต่างประเทศ
ผมบริหารเงินให้คนอื่นและบริหารให้พระเจ้า กำไร30%คนถือก็appriciateแล้ว
อาจารย์ไพบูลย์ ถามถึงในเเง่มุมมองความเสี่ยง
ปรับให้เข้ากับความเสี่ยงที่ไม่Take risk อย่างไร
พี่พีตอบว่า ก็พยายามขายคอนโดออกไป และก่อนจะซื้อคอนโด
จะตอบถามพระเจ้าก่อนซื้อ
อาจารย์นิเวศน์ ถามว่าจะมีวันที่ลดขนาดพอร์ตลงโดยไม่ใช้marginหรือเปล่า
พี่พีตอบว่า มีโอกาสที่จะลดพอร์ตลง ไม่ใช้marginครับ
แต่ต้องใช้marginช่วงนี้ไปก่อน ไม่งั้นก็ไม่สามารถคืนหนี้ได้
หุ้นธนาคารดูก็ถูก แต่ไม่ได้ศึกษา
หุ้นjmartที่ซื้อ ตอนแรกขายมือถือ ตอนนี้เปลี่ยนไปปล่อยกู้แล้ว
เขามีexprosureค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
อาจารย์ไพบูลย์เสริมว่า คุณพีรนารถบอกว่าไม่เชี่ยวชาญหุ้นกลุ่มอื่นๆ
แต่ตอนเรียนวิศวะจุฬา ได้เกียรติ์นิยมเหรียญทองอันดับหนึ่งนะครับ
Background คือ ถ้าจะศึกษาอะไรจริงๆก็สามารถทำได้
และที่บอกว่าไม่รู้จริงๆ ก็รู้มากกว่าคนอื่นได้
จริงๆคุณพีรนารถ จะลงทุนแต่สิ่งที่ตัวเองถนัด ถือเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ได้
อาจารย์ไพบูลย์ สรุปก่อนจบสัมมนาว่า
สุดท้ายเงินไม่ใช่สิ่งสุดท้ายของชีวิต ไม่ต้องมีเงินหลักหลายสิบล้าน
แต่ใช้สิ่งชีวิตอย่างมีความสุข
ขอขอบคุณ พี่พีรนารถที่มาเปิดใจถึงบทเรียนอันมีค่ากับผู้ฟังรายการนะครับ
ขอขอบคุณ อาจารย์ไพบูลย์ และ อาจารย์นิเวศน์ที่เชิญพี่พีมาออกรายการและสัมภาษณ์ประสบการณ์ในช่วงCovidด้วยครับ
คุณพีรนารถ โชควัฒนา
พิธีกรดำเนินรายการ
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ดร นิเวศน์. เหมวชิรวรากร
อ นิเวศน์ถามว่า อยากให้เล่าภาพในปี63 หลังจากนั้นค่อยเข้าประเด็น
พี่พี บอกว่า เป็นFailureอย่างหนักในช่วงต้นปี63
แต่อยากเล่าย้อนหลังไปในช่วงปลายปี62
ช่วงเดือนพย 62 มีปัญหาคอนโดที่จะต้องโอนปี63เยอะที่สุดในชีวิต
คือประมาณ 13-14 ห้อง แล้วบางโครงการดึงเข้าโอนในเดือน ธค 62
ผมกู้มามากแล้ว ที่โอนใหม่ต้องจ่ายเงินสดหมด
ต้องเสียเงินสดค่อนข้างเยอะ ต้องเอาจากไหนมาโอน
พอช่วงCovidมา ถือเป็นBlack swan เพราะหุ้นที่ถือเยอะสุด
ราคาลงมา ที่ 1.08 บาท อีกตัวราคาลงจาก12 เหลือ 4บาท
ผมใช้marginอยู่แล้ว ก็มีปัญหาหนักมาก
ทำให้คิดถึงอาจารย์เลยว่า ปลายปีที่แล้ว คงไม่ได้ออกรายการแน่
จบชื่อเสียงไปเลย
ส่วน อาจารย์ไพบูลย์ บอกว่าตัวเองอาจต้องปิดรายการMoneytalk
และพอร์ตก็ลดลงไป50%
พี่พีพูดต่อ Ananตอนเข้าตลาดด้วยเกณฑ์ market cap ยังไม่มีกำไรเลย
ตอนเข้าไปช่วงต่ำสุดคือ 1.75 บาท ไม่ได้นึกว่าบริษัทราคาจะลงไปลึกขนาดนั้น
ไม่ได้นึกถึงว่าจะถูกcall หรือ Force sell
ในวันที่หุ้นลงมาเรื่อยๆ ยินดีขายคอนโด และ หุ้นที่ขาดทุน
หุ้นที่ต้องขาย40-50ล้านหุ้น แต่มีBidแค่แสนหุ้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขายออก
ถ้าขายลงไป ก็ทำร้ายตนเอง เพราะราคาจะลงไปด้วย
เงินสดก็ไม่มีเพราะโอนคอนโดไป 3ห้อง ถ้ารู้ว่ามีปัญหาแบบนี้ก็ทิ้งดาว์นคอนโดไปแล้ว
ดังนั้นเราไม่ได้เตรียมเงินสดไว้ แต่มีหุ้นที่อยู่ในบัญชีเงินสด
เราเตรียมขายเพื่อจะไปโอนคอนโดที่ต้องโอนช่วงนั้น
สิ่งที่ต้องทำ คือ หุ้นที่ถือเป็นตัวเล็ก ไม่สามารถเอาไปค้ำประกัน
ส่วนตัวที่รับ เพื่อโอนไปค้ำประกัน ก็โอนไปแล้ว แต่ก็ยังไม่พอตลอด
คอนโดคิดว่าจะขายได้ไหม ผมลดราคาก่อนเจ้าของคอนโดเสียอีก
คุณบอย ท่าพระจันทร์ โอนขายพระเครื่องง่ายกว่าผมอีก
เลยเข้าใจคนที่คิดฆ่าตัวตาย
ผมเลยมาเล่าในส่วนที่พลาดขนาดหนัก ให้คนในรายการฟัง
ผมไม่มีโอกาสที่ซื้อ แต่คิดว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร
นอนไม่หลับมาหลายสัปดาห์
แหล่งแรกสุด คือ ยืมเงินจากครอบครัว แต่ไม่ใช่ทุกคนจะให้ยืม
เลยต้องหาคนที่มาซื้อbiglot ให้ได้ สุขภาพแย่ ต้องalertตลอดเวลา
คุณแม่ส่งคำเทศนามาให้พี่พีฟัง ช่วงนี้เลยได้ฟังคำเทศนา
ในที่สุด คือแก้ปัญหา ใช้สมองแก้ไม่ได้ เลยใช้วิธี
คุกเข่าสวดมนต์ ในที่สุด เราไม่คิดว่าบางคนที่เราไม่คิดรบกวน
ก็มาอาสาแก้ปัญหาให้
เขามาช่วยซื้อหุ้นไป และก็มีคนlineมาถามให้ หุ้นกู้Anan
ปลอดภัยไหม ผมก็ไปช่วยรับประกันให้ ทำให้เราดีขึ้นในเรื่องหุ้น
ทำให้ผมสามารถผ่านสิ่งเหล่านี้มาได้
ทำให้มีเวลาไปอ่าน Why we sleep ที่Bill Gatesแนะนำ
เเละเลื่อนเวลานอนจากตีหนึ่งมานอนสี่ทุ่มแทน
แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด ผมก็อธิษฐานทุกวัน และนอนหลับได้เร็วขึ้น
สุขภาพก็ดีขึ้น
ช่วงเดือน มีนาคม และ เมษายน หนักสุด และช่วงเดือนพฤษภาคมก็เบาลงเเล้ว
ปัญหาหุ้นก็เบาลง หลังหุ้นreboundขึ้น ที่มีmarginก็พอซื้อหุ้นได้แล้ว
แต่ปัญหาคอนโดยังไม่จบ จริงๆก็ปล่อยยึดไปก็ได้
แต่ก็ไม่อยากให้ยึดคอนโดไป
อยู่ดีๆก็มีคนมาติดต่อขอซื้อคอนโด แน่นอนครับว่าราคาขายก็ขาย
ขาดทุน30-40% ผมขายก่อน developerอยู่แล้ว
โดยขายคอนโดที่ไม่ชอบ และ โอนคอนโดที่ชอบเก็บไว้โดย
ขายคอนโดที่มีอยู่ไป กำไรบางคอนโดก็ลดลงเยอะมากเทียบกับคนอื่นขายก่อนหน้า
ไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายสิ่งต่างๆที่เจอมา ก็ผ่านไปให้ (ลุ้นแทนพี่พีซะเหนื่อยเลย
ไม่เคยทราบมาก่อนว่าเจอขนาดนี้ พี่พีไม่เคยเล่าสิ่งเหล่านี้มาเลย)
เหตุการณ์ช่วงเมษายน ที่รอดมาได้ หลังจากรู้จักกับพระเจ้าและอธิษฐานทุกวัน
ตอนที่เคยเป็นกรรมการมา2ปีของบริษัทSinger คนที่ส่งผมไปเป็นกรรมการ
ต้องการเอาผมออกจากการเป็นกรรมการ ซึ่งผมมีความรู้สึกเสียใจมาก
ว่าเราไม่เคยทำอะไรผิดเลย ผมทำเต็มที่ในฐานะกรรมการ
อันนี้อาจเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ไม่เคยใช้marginกับหุ้นSinger
เพราะขี้เกียจมารายงานตลาดหลักทรัพย์ ตอนขายอาจโดนว่า
ผมมานั่งคิดดูว่า เขาไม่ไว้ใจในการมาเป็นกรรมการsinger
แต่คิดว่าsingerเป็นบริษัทที่ดี เลยซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นเยอะเลย
ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ว่า ถ้ายังเป็นกรรมการอยู่ก็คงไม่ได้ซื้อหุ้นนี้เยอะขนาดนี้
โดยใช้marginส่วนนึง และ เงินจากการขายหุ้นAnanส่วนนึง
ตอนนั้น คนที่เลือกซื้อหุ้นระหว่างAnanกับ Jmart เขาเลือกAnan
ผมก็ดีใจว่าทุกคนที่ช่วยซื้อหุ้นbig lotจากผม ทุกคนกำไรหมด แต่ผมขาดทุนคนเดียว
แต่กลายเป็นว่าถ้าตอนนั้น ไม่เคยคิดจะขายหุ้นAnan
แต่พอดีต้องหาเงินสดเลยต้องขายAnanไป
และหลังจากน้ันก็เลือกซื้อหุ้นอีกหลายตัวที่out performมากๆ
พี่พีพูดต่อว่า
กลายเป็นว่า failureของปีที่แล้ว กลายเป็นSuccessful Failure
เจ้าของAmazonเคยพูดไว้ว่า ไม่ต้องกลัวFailure เพราะในที่สุด
เราก็ได้เรียนรู้จากFailure
เมื่อก่อนมีความเกรงใจตอนขายหุ้น หรือ คอนโดออก
แต่ตอนนี้เคยขายหุ้นหรือคอนโด ตอนที่ขาดทุน
เราก็ขายหุ้นหรือคอนโดตอนที่กำไรได้
คุณอดิศักดิ์ จากJmart ก็มาบอกว่า เห็นคุณลงทุน และหุ้นขึ้นลงหลายรอบ
คราวหน้าก็ขายหุ้นไปบ้างก็ได้ ตอนหุ้นขึ้น
ไม่ใช่ถือตลอด ตอนหุ้นขึ้น ลง
ทำให้เราเปลี่ยนไป ขายขาดทุนได้ เปลี่ยนทัศนคติใหม่
ผมได้ตายไปและเกิดใหม่
ทุกสิ่งที่เรามีอยู่ เป็นของพระเจ้า และผมเป็นผู้บริหารแทน
บริษัทหลานปู่ที่บริหารให้ครอบครัว ไม่ค่อยขาดทุน มีการขายตอนกำไร
ตอนนี้พอร์ตตัวเอง จะไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวแล้ว
มุมมองปีนี้จะเปลี่ยนไป ถ้าหุ้นขึ้นไปก็จะขายเพราะผมบริหารไม่ใช่เจ้าของ
ทำให้การตัดสินใจลงทุนดีขึ้น
เมื่อก่อนหุ้นขึ้น ก็เกรงใจเจ้าของ เลยไม่ขาย
ตอนนี้พอร์ตยังลดลงเมื่อเทียบกับพอร์ตปลายปี62
เดือนธค เริ่มคืนหนี้เงินกู้ แต่ยังไม่ได้คืนmargin
ตอนนี้ถ้ามีคนสนใจคอนโดที่ผมไม่ชอบ สามารถขายขาดทุนได้
เพราะมีผ่อนคอนโดสิบกว่าหลัง และยังต้องรอโอนอีก
อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า จริงๆแล้ว คุณพีรนารถ รู้จักคนเยอะในวงการการลงทุน
ถ้าบอกว่ามีสินทรัพย์ที่จะขาย ก็มีหลายคนสามารถมาช่วยได้
เพราะกลุ่มวีไอที่รู้จักกันมา ไม่ใช่กลุ่มรู้จักฉาบฉวย สามารถช่วยเหลือกันได้
หุ้นที่เสนอขายเป็นBig lot ก็น่าสนใจซื้อในราคาที่สมเหตุผลตอนนั้น
แต่ที่ผ่านมา คุณพีรนารถแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
พี่พี บอกว่า หลังจากเหตุการณ์นั้นเเล้ว มีหลายคนพูดเหมือน
อาจารย์นิเวศน์ว่า ไม่รู้ว่าจะเจอหนักขนาดนี้ ไม่งั้นก็สามารถช่วยเหลือกันได้
อาจารย์ไพบูลย์ บอกว่า พี่พีถือเป็นน้อยคนที่มาเผยบทเรียนที่พลาดมา
และมาเล่าหลายครั้งแล้ว
ซึ่งถือเป็นบทเรียนให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่จะได้เรียนรู้และระวังไว้
อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า ถือเป็นอุทาหรณ์
นักลงทุนรุ่นใหม่ไม่เคยเจอแบบนี้ ได้ยินแต่success story
ถามเรื่องกลยุทธ์การลงทุนในปี64จะทำอย่างไร
พี่พีตอบว่า ลงทุนแบบวีไอ ลงทุนในบริษัทที่รู้จัก
ส่วนcommodityก็ไม่คุ้นเคยและไม่อยากศึกษา
ปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว
ดูบริษัทที่ช่วงq2 63 ไม่ขาดทุน ช่วงที่แย่สุด ยังมีกระแสเงินสดอยู่
ดังนั้นบริษัทเหล่านี้ ก็สามารถอยู่รอดได้ในปีนี้
บริษัทที่มีPE20-30เท่า ส่วนกลับของpeคือ กำไรคิดเป็น 3.3%สำหรับPE 30เท่า
ถ้าปันผลครึ่งนึง คิดเป็นปันผล 1.7%ก็ไม่เลว
แต่จริงๆพี่พีคงไม่ซื้อหุ้นตอนPE 30 เพราะมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยmargin6%ด้วย
พี่พีซื้อหุ้นที่PE20เท่าก็พอไหว อาจขาดทุนดอกเบี้ยบ้างนิดหน่อย
ดังนั้นปีนี้ยินดีถือหุ้นที่ซื้อตอนPE 20 ถือยาวจนถึง PE 30ได้
หุ้นกลุ่มอสังหา ปีที่แล้วดูดีหลายตัว แต่ตลาดไม่ให้peสูงเลย
อาจมีปัญหาในส่วนของคอนโด แต่ถ้าเป็นส่วนแนวราบ
และราคาต่ำกว่าBook valueเยอะ PEไม่สูงมาก ก็น่าสนใจ
พี่พี ก็ยังมีหุ้นอสังหาอยู่ไม่ได้ขาย เลยต้องbalance port
อาจมีswitchในกลุ่อสังหาด้วยกัน
แต่สินทรัพย์อื่น ไม่ยุ่ง เช่น บิตคอย ทอง
ส่วนหุ้นต่างประเทศ พยายามปิดหูไม่ฟัง ถ้าไปลงทุนก็เป็นฐานคนอื่นแน่
ไม่ใช่เวลานี้ที่จะไปต่างประเทศ
ผมบริหารเงินให้คนอื่นและบริหารให้พระเจ้า กำไร30%คนถือก็appriciateแล้ว
อาจารย์ไพบูลย์ ถามถึงในเเง่มุมมองความเสี่ยง
ปรับให้เข้ากับความเสี่ยงที่ไม่Take risk อย่างไร
พี่พีตอบว่า ก็พยายามขายคอนโดออกไป และก่อนจะซื้อคอนโด
จะตอบถามพระเจ้าก่อนซื้อ
อาจารย์นิเวศน์ ถามว่าจะมีวันที่ลดขนาดพอร์ตลงโดยไม่ใช้marginหรือเปล่า
พี่พีตอบว่า มีโอกาสที่จะลดพอร์ตลง ไม่ใช้marginครับ
แต่ต้องใช้marginช่วงนี้ไปก่อน ไม่งั้นก็ไม่สามารถคืนหนี้ได้
หุ้นธนาคารดูก็ถูก แต่ไม่ได้ศึกษา
หุ้นjmartที่ซื้อ ตอนแรกขายมือถือ ตอนนี้เปลี่ยนไปปล่อยกู้แล้ว
เขามีexprosureค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
อาจารย์ไพบูลย์เสริมว่า คุณพีรนารถบอกว่าไม่เชี่ยวชาญหุ้นกลุ่มอื่นๆ
แต่ตอนเรียนวิศวะจุฬา ได้เกียรติ์นิยมเหรียญทองอันดับหนึ่งนะครับ
Background คือ ถ้าจะศึกษาอะไรจริงๆก็สามารถทำได้
และที่บอกว่าไม่รู้จริงๆ ก็รู้มากกว่าคนอื่นได้
จริงๆคุณพีรนารถ จะลงทุนแต่สิ่งที่ตัวเองถนัด ถือเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ได้
อาจารย์ไพบูลย์ สรุปก่อนจบสัมมนาว่า
สุดท้ายเงินไม่ใช่สิ่งสุดท้ายของชีวิต ไม่ต้องมีเงินหลักหลายสิบล้าน
แต่ใช้สิ่งชีวิตอย่างมีความสุข
ขอขอบคุณ พี่พีรนารถที่มาเปิดใจถึงบทเรียนอันมีค่ากับผู้ฟังรายการนะครับ
ขอขอบคุณ อาจารย์ไพบูลย์ และ อาจารย์นิเวศน์ที่เชิญพี่พีมาออกรายการและสัมภาษณ์ประสบการณ์ในช่วงCovidด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3422
เพจซั่มหุ้น หัวข้อเปิดปี2564
รวมEvent หุ้นไทยปี64
หลังจากหยุดFB liveมาตั้งแต่ปลายธค ปีที่แล้ว น้องออฟ
ก็เริ่มliveตอนแรก ที่ชื่อว่า รวมEventหุ้นไทยปี64
โดยเริ่มเกริ่นเรื่อง Covid-19ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย
น้องออฟโชว์short note
เรามาวิเคราะห์เหตุการณ์ที่มากระทบเศรษฐกิจ และ เราวิเคราะห์ต่อว่า
ธุรกิจไหนไม่ได้รับผลกระทบ ธุรกิจไหนที่ได้รับผลกระทบ
และเราไปแยกว่าอุตสาหกรรมไหนบ้างที่ถูกกระทบ และ กระทบหนักแค่ไหน
กลุ่มที่ถูกกระทบหนักคือกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งCovidทำให้นักท่องเที่ยวหายไป
ส่วนธุรกิจที่ไม่ถูกกระทบแล้วยังได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ
เรามาดูธุรกิจกลุ่มนี้กันก่อนครับ
กลุ่มโรงพยาบาล แยกเป็น กลุ่มที่ถูกกระทบ และไม่ถูกกระทบ
ช่วงแรกที่ไวรัส Covid-19เข้ามา มีค-เมษา คนตื่นตัวมาก
ถ้าไม่จำเป็นจะไม่เข้ามาที่รพ ดังน้ันรายได้OPDจะลดลงอย่างมาก
ดังนั้น รพ ไหนที่มีลูกค้าต่างประเทศมากกว่า50%จะกระทบมาก
บางรพ รายได้หายไปหลักพันกว่าลบ
บางรพ ก็ถูกกระทบน้อย เพราะมีรายได้จากประกันสังคมเข้ามา
ทำให้ถ้าดูงบอย่างเดียวอาจมองไม่เห็นว่า รพ นี้เคยถูกกระทบจากไวรัสเลย
กลุ่มรพ ที่ไม่กระทบ Valuationดูว่า ถูกหรือแพง
ซึ่งช่วงไวรัสมา ราคาส่วนใหญ่ลงมาทุกตัว เพราะไม่รู้ข้างหน้าจะดีขึ้นเมื่อไหร่
แต่เมื่อคนเริ่มหายตกใจ และ เริ่มเห็นว่าการขายใกล้หมด จะเริ่มมีกำลังใจ
เวลาฟื้น หุ้นเติบโตจะแพงกว่าปกติมาก น้องออฟก็เจอว่าตกรถไปเพราะถือหุ้นเต็มพอร์ต
เลยไม่ได้enjoyช่วงนี้ แต่กลุ่มนี้ต้องขุดหากัน
กลุ่มที่โตได้ จะเป็นจุดสนใจและเด่นขึ้นมา
ส่วนถัดมา กลุ่มที่โดนกระทบ
อยู่รอดหรือเปล่า ถ้ามีความเสี่ยงต้องเพิ่มทุน ก็จะหลีกเลี่ยงไปก่อน
ถ้าเลือกได้ อยากเลือกหุ้นที่รอดได้ งบกำไรขาดทุน ไม่ติดลบ และ กระเเสเงินสดเป็นบวก
PE ไม่สูง
ส่วนที่โฟกัส คือ หุ้นที่อยู่รอด จะดูต่อว่า ราคาหุ้นฟื้นหรือยัง
1.หุ้นที่รอด และราคาหุ้นฟื้นตัวไปแล้ว
2.หุ้นที่รอด และราคาหุ้นยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่น้องออฟสนใจ เช่น
กลุ่มธนาคารที่พูดคุยกันในช่วงปลายปี63
เวลาวิกฤต ปกติกลุ่มธนาคารจะโดนเทก่อน
เวลาลงแรงๆ ถ้าขึ้นก็จะขึ้นแรงด้วย บางตัวจะขึ้นถึง 30-40%
จริงๆถ้าเราเข้าไปดูว่าโดนกระทบเท่าไหร่ และ ตลาดมองลบเกินไปหรือเปล่า
บางคร้ังราคาลงมากเกินไป ก็จะเป็นโอกาสของนักลงทุนวีไอ
อีกกลุ่มนึงคือ ได้รับผลกระทบ แต่ฟื้นตัวเร็วในแง่ผลประกอบการ อีกหน่อยก็ฟื้นเร็ว
ตอนนี้น้องออฟโฟกัสกลุ่มน้ีอยู่
ดังนั้นสรุปกลุ่มที่น้องออฟสนใจ จะมีสามกลุ่มคือ
1.กลุ่มที่ไม่กระทบ และ valuationไม่แพง
2.กลุ่มที่ถูกกระทบ อยู่รอดได้ และราคาหุ้นยังไม่ฟื้น
3.กลุ่มที่ถูกกระทบ แต่ฟื้นตัวเร็วมาก
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
วัคซีนเริ่มมาไทย สามารถใช้กับไวรัสที่กลายพันธ์
เส้นทางวัคซีนของไทย ข้อมูลจาก สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
1.Sinovac เริ่มเข้ามาไทย กพ นี้ เริ่มส่งมอบ 200,000โดส
และทยอยส่งถึงเมษา อีก 1.8 ล้านโดส
(ประสิทธิภาพที่ทดลองที่บราซิลแค่เกิน50%มานิดเดียว)
2.AstraZeneca เริ่มส่งมอบใน พค 26ล้านโดส
และ ตค จะเริ่มถ่ายทอดความรู้ให้สยามไบโอไซเอนซ์ของไทย
ปัจจุบันยังเจรจากับ Pfizer, Moderna และอื่นๆเพื่อให้ได้วัคซีนตามาเป้า70ล้านโดส
ล่าสุดนายกระบุจัดหาวัคซีนเพิ่มอีก 35 ล้านโดส
มองว่าวัคซีนกระจายไปทั่วประเทศภายในกลางปีหน้าแล้ว
กลุ่มประชากรอย่างน้อย40-50%ได้รับวัคซีน ทำให้คนกลางที่แพร่เชื้อถูกตัดตอน
และควบคุมโรคได้ ทำให้เกิดภาพดังกล่าวตามสไลด์แนบ
ต่างประเทศเริ่มฉีดวัคซีนแล้ว ส่วนไทยอยู่ในช่วงจัดหาวัคซีน
เมื่อวัคซีนมาไทย เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
มาตราการที่ทางรัฐช่วยเหลือลูกหนี้ สามารถดูจากFB ของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ เช่น
1.Soft loanเพิ่ม
2.ปรับโครงสร้างหนี้ รับความช่วยเหลือ ผ่อนยอดลดลง
3.ยืดหนี้
น้องออฟได้พูดคุยกับสองสถาบันการเงินและได้ข้อมูลมาว่า
มาตราการคราวนี้ ไม่เหมือนคราวที่แล้ว
ใครที่มีปัญหาก็เข้ามาติดต่อ ยังมีแค่ไม่ถึง10%ที่ยังมีปัญหา
ก็จะปรับโครงสร้างหนี้ให้ แต่ถ้าลูกค้าที่มีปัญหาที่แก้ไม่ได้
ก็เอาสินทรัพย์มาเพื่อล้างหนี้ จะไม่เหมือนคราวที่แล้วที่freezeหนี้ไว้
หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้น บริษัทที่ไปไหว ก็จะลงทุนเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าบริษัทไหนที่ไม่ฟื้น หลังเศรษฐกิจฟื้น ก็จะกลายไปเป็นNPL
ซึ่งน้องออฟคิดว่า ไม่น่าจะน้อย ก็จะมีระดับนึง
หลังเศรษฐกิจฟื้น ก็จะเห็นว่ามีรายไหนไปไม่ไหวบ้าง
หวังว่า เอาใจช่วยบริษัททุกบริษัทนะครับ
หลังจากวัคซีนมา ก็มีการฉีดวัคซีนในต่างประเทศ เริ่มเปิดประเทศมากขึ้น
มีการลงทุนเพิ่ม เกิดการรักษาพยาบาล เช่น IVF และ มีการท่องเที่ยวในเฟสถัดไป
หลังจากอั้นการลงทุนจากก่อนหน้านี้
ปัญหา pain point 4 อย่าง
1.การฉีดวัคซีน60ล้านคน
2.การจัดการ npl
3.กิจกรรมที่ถูกอั้นไว้
4.การกระตุ้นเศรษฐกิจ อาศัยการบริโภคในประเทศอย่างเดียวก็อาจไม่พอ
แต่ปัจจัยจากต่างประเทศ จะกระตุ้นอย่างไร ดังนั้นรัฐบาลจะกระตุ้นกำลังซื้อ
ในประเทศก่อน
น้องออฟไม่คาดหวังว่าจะช่วยได้ แต่ถ้ามา ก็ลองหาดู อาจลงทุนเป็นรอบๆ
พอfactออกมา ก็ทำกำไรเป็นรอบไป
ให้ผู้ฟังไปคิดต่อว่า ใครได้ประโยชน์บ้าง
บางธนาคารเริ่มปรับตัว ไปเชื่อมกับส่วนต่างๆ เช่น Grab food
ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงเทรนดอกเบี้ยขาขึ้น ก็จะได้ประโยชน์
Theme ต่อมา คือ รถยนต์ไฟฟ้า ที่เปลี่ยนจากใช้น้ำมันมาใช้ไฟฟ้าแทน
กับอีกส่วนที่ ขับเคลื่อนอัตโนมัติ รวมถึง IOT ที่เชื่อมโยงกับชิ้นส่วนรถยนต์
ชิปที่แต่ก่อนอยู่ในเครื่องPC จะเข้ามาในรถยนต์
ดังนั้น กลุ่มอิเลคทรอนิคส์ เช่น KCE,Delta, Hana ก็จะไม่ได้หยุดเฉพาะ 5G
Plain point ของรถยนต์ คือ ใช้เวลาchargeนาน เช่น 10-30นาที
ไม่เหมือนกับเติมน้ำมัน ใช้เวลาไม่นาน
แต่อาจใช้วิธีการเปลี่ยนแบต ดังนั้นอาจเป็นธุรกิจ ซื้อรถและพ่วงการการซื้อแบตด้วย
กลุ่มอุตสาหกรรม. วิเคราะห์โอกาสในการลงทุน
-อาหารและเครื่องดื่ม เช่น Functional drink และ ฉลากดูน่าสนใจ
-ธนาคาร มองอนาคต ยังมีdoubtถึงแม้ถูกระดับนึงก็ตาม NPL จะมาไหม
เช่น npl Aeon เพิ่มจาก3มา4% แต่ยังมีการสำรองค่อนข้างเยอะ
-Finance ชอบมาตั้งแต่ปลายปี แต่valuationเริ่มไม่น่าดึงดูด ราคาขึ้นมาแล้ว
รวมถึง financeนอกสายตาก็ขึ้นมาแล้ว
แต่มีตัวที่เช่าซื้อ บางตัวPE 8 เท่าก็ยังน่าสนใจ
-กลุ่มประกันก็ยังเฉย
-ยานยนต์ มีปัญหาเรื่องการหาชิ้นส่วนในการผลิต
สายเรือทำให้กระทบต่อการจัดหาวัตถุดิบยานยนต์ทำให้บางค่าย
ปรับประมาณการผลิตรถยนต์ลดลง ต้องติดตามดู
-ไม่ถนัดกลุ่มปิโตรเคมี บางคนชอบก็น่าทำการบ้าน
-บรรจุภัณฑ์ ชอบแต่หาตัวเล่นไม่ได้ ตัวที่เก่ง SCGP เคยลงมาพักเดียวตอนนี้เกือบAll time highแล้ว บางตัวก็เจอเรื่องกำลังการผลิต Kerryราคาก็ซื้อไม่ลงเรลย
-วัสดุก่อสร้าง น่าจะมา
-อสังหาริมทรัพย์ ชอบบางตัวที่ทำได้ดีมาก
น่าจะมาพร้อมกับธนาคาร เวลาวิกฤต ลงก่อนคนอื่น ตอนนี้ขึ้นมาเเล้ว
-รับเหมา จะมา แต่ไม่คาดหวัง บางทีจะมีstoryให้เราเห็น
-พลังงาน และ พาณิชย์ ดูน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มไอที 5G ทำให้ดูน่าสนใจ
-การแพทย์ Q4 63 ก็ฟื้นแล้ว ปีนี้น่าจะดี รพ รอบที่แล้ว คนกลัวเยอะ คนติดน้อย
รอบนี้ คนกลัวกลางๆ แต่ติดกันเยอะ บางจังหวัด ต้องมี รพ สนามกันเลย
ดูน่าสนใจ รวมถึงการฉีดวัคซีน รอบนี้ipdในกลุ่มรพในจังหวัดที่ระบาดขึ้นทุกตัวเลย
ถ้าใครไม่รีบและรอวัคซีนได้ ให้รอAstraZeneca ดูน่าจะดีกว่า
สุดท้ายถ้าภาครัฐหาไม่ได้บางส่วน เอกชนก็จะหามาเอง
ปีนี้รพ น่าสนใจ รวมถึง รพ ที่มีคนไข้ต่างประเทศและราคาลงมาแรงก็น่าสนใจ
-สิ่งพิมพ์ ท่องเที่ยว รู้สึกเฉยๆ
-ICT และชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ story¢imentมา สุดท้ายใครทำได้ใครทำไม่ได้
ก็ต้องลองติดตามดูอีกครั้ง
4 Sector ที่น่าสนใจ:
Finance, การแพทย์ , พาณิชย์ , เลือกจากBottom up (ไม่สนภาพใหญ่ แต่ดูเป็นรายบริษัท)
Valuation
1.หุ้นดี
2.ราคาเหมาะสม
สุดท้ายขอบคุณน้องออฟที่มาสรุปเหตุการณ์และกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนครับ
รวมEvent หุ้นไทยปี64
หลังจากหยุดFB liveมาตั้งแต่ปลายธค ปีที่แล้ว น้องออฟ
ก็เริ่มliveตอนแรก ที่ชื่อว่า รวมEventหุ้นไทยปี64
โดยเริ่มเกริ่นเรื่อง Covid-19ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย
น้องออฟโชว์short note
เรามาวิเคราะห์เหตุการณ์ที่มากระทบเศรษฐกิจ และ เราวิเคราะห์ต่อว่า
ธุรกิจไหนไม่ได้รับผลกระทบ ธุรกิจไหนที่ได้รับผลกระทบ
และเราไปแยกว่าอุตสาหกรรมไหนบ้างที่ถูกกระทบ และ กระทบหนักแค่ไหน
กลุ่มที่ถูกกระทบหนักคือกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งCovidทำให้นักท่องเที่ยวหายไป
ส่วนธุรกิจที่ไม่ถูกกระทบแล้วยังได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ
เรามาดูธุรกิจกลุ่มนี้กันก่อนครับ
กลุ่มโรงพยาบาล แยกเป็น กลุ่มที่ถูกกระทบ และไม่ถูกกระทบ
ช่วงแรกที่ไวรัส Covid-19เข้ามา มีค-เมษา คนตื่นตัวมาก
ถ้าไม่จำเป็นจะไม่เข้ามาที่รพ ดังน้ันรายได้OPDจะลดลงอย่างมาก
ดังนั้น รพ ไหนที่มีลูกค้าต่างประเทศมากกว่า50%จะกระทบมาก
บางรพ รายได้หายไปหลักพันกว่าลบ
บางรพ ก็ถูกกระทบน้อย เพราะมีรายได้จากประกันสังคมเข้ามา
ทำให้ถ้าดูงบอย่างเดียวอาจมองไม่เห็นว่า รพ นี้เคยถูกกระทบจากไวรัสเลย
กลุ่มรพ ที่ไม่กระทบ Valuationดูว่า ถูกหรือแพง
ซึ่งช่วงไวรัสมา ราคาส่วนใหญ่ลงมาทุกตัว เพราะไม่รู้ข้างหน้าจะดีขึ้นเมื่อไหร่
แต่เมื่อคนเริ่มหายตกใจ และ เริ่มเห็นว่าการขายใกล้หมด จะเริ่มมีกำลังใจ
เวลาฟื้น หุ้นเติบโตจะแพงกว่าปกติมาก น้องออฟก็เจอว่าตกรถไปเพราะถือหุ้นเต็มพอร์ต
เลยไม่ได้enjoyช่วงนี้ แต่กลุ่มนี้ต้องขุดหากัน
กลุ่มที่โตได้ จะเป็นจุดสนใจและเด่นขึ้นมา
ส่วนถัดมา กลุ่มที่โดนกระทบ
อยู่รอดหรือเปล่า ถ้ามีความเสี่ยงต้องเพิ่มทุน ก็จะหลีกเลี่ยงไปก่อน
ถ้าเลือกได้ อยากเลือกหุ้นที่รอดได้ งบกำไรขาดทุน ไม่ติดลบ และ กระเเสเงินสดเป็นบวก
PE ไม่สูง
ส่วนที่โฟกัส คือ หุ้นที่อยู่รอด จะดูต่อว่า ราคาหุ้นฟื้นหรือยัง
1.หุ้นที่รอด และราคาหุ้นฟื้นตัวไปแล้ว
2.หุ้นที่รอด และราคาหุ้นยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่น้องออฟสนใจ เช่น
กลุ่มธนาคารที่พูดคุยกันในช่วงปลายปี63
เวลาวิกฤต ปกติกลุ่มธนาคารจะโดนเทก่อน
เวลาลงแรงๆ ถ้าขึ้นก็จะขึ้นแรงด้วย บางตัวจะขึ้นถึง 30-40%
จริงๆถ้าเราเข้าไปดูว่าโดนกระทบเท่าไหร่ และ ตลาดมองลบเกินไปหรือเปล่า
บางคร้ังราคาลงมากเกินไป ก็จะเป็นโอกาสของนักลงทุนวีไอ
อีกกลุ่มนึงคือ ได้รับผลกระทบ แต่ฟื้นตัวเร็วในแง่ผลประกอบการ อีกหน่อยก็ฟื้นเร็ว
ตอนนี้น้องออฟโฟกัสกลุ่มน้ีอยู่
ดังนั้นสรุปกลุ่มที่น้องออฟสนใจ จะมีสามกลุ่มคือ
1.กลุ่มที่ไม่กระทบ และ valuationไม่แพง
2.กลุ่มที่ถูกกระทบ อยู่รอดได้ และราคาหุ้นยังไม่ฟื้น
3.กลุ่มที่ถูกกระทบ แต่ฟื้นตัวเร็วมาก
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
วัคซีนเริ่มมาไทย สามารถใช้กับไวรัสที่กลายพันธ์
เส้นทางวัคซีนของไทย ข้อมูลจาก สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
1.Sinovac เริ่มเข้ามาไทย กพ นี้ เริ่มส่งมอบ 200,000โดส
และทยอยส่งถึงเมษา อีก 1.8 ล้านโดส
(ประสิทธิภาพที่ทดลองที่บราซิลแค่เกิน50%มานิดเดียว)
2.AstraZeneca เริ่มส่งมอบใน พค 26ล้านโดส
และ ตค จะเริ่มถ่ายทอดความรู้ให้สยามไบโอไซเอนซ์ของไทย
ปัจจุบันยังเจรจากับ Pfizer, Moderna และอื่นๆเพื่อให้ได้วัคซีนตามาเป้า70ล้านโดส
ล่าสุดนายกระบุจัดหาวัคซีนเพิ่มอีก 35 ล้านโดส
มองว่าวัคซีนกระจายไปทั่วประเทศภายในกลางปีหน้าแล้ว
กลุ่มประชากรอย่างน้อย40-50%ได้รับวัคซีน ทำให้คนกลางที่แพร่เชื้อถูกตัดตอน
และควบคุมโรคได้ ทำให้เกิดภาพดังกล่าวตามสไลด์แนบ
ต่างประเทศเริ่มฉีดวัคซีนแล้ว ส่วนไทยอยู่ในช่วงจัดหาวัคซีน
เมื่อวัคซีนมาไทย เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
มาตราการที่ทางรัฐช่วยเหลือลูกหนี้ สามารถดูจากFB ของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ เช่น
1.Soft loanเพิ่ม
2.ปรับโครงสร้างหนี้ รับความช่วยเหลือ ผ่อนยอดลดลง
3.ยืดหนี้
น้องออฟได้พูดคุยกับสองสถาบันการเงินและได้ข้อมูลมาว่า
มาตราการคราวนี้ ไม่เหมือนคราวที่แล้ว
ใครที่มีปัญหาก็เข้ามาติดต่อ ยังมีแค่ไม่ถึง10%ที่ยังมีปัญหา
ก็จะปรับโครงสร้างหนี้ให้ แต่ถ้าลูกค้าที่มีปัญหาที่แก้ไม่ได้
ก็เอาสินทรัพย์มาเพื่อล้างหนี้ จะไม่เหมือนคราวที่แล้วที่freezeหนี้ไว้
หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้น บริษัทที่ไปไหว ก็จะลงทุนเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าบริษัทไหนที่ไม่ฟื้น หลังเศรษฐกิจฟื้น ก็จะกลายไปเป็นNPL
ซึ่งน้องออฟคิดว่า ไม่น่าจะน้อย ก็จะมีระดับนึง
หลังเศรษฐกิจฟื้น ก็จะเห็นว่ามีรายไหนไปไม่ไหวบ้าง
หวังว่า เอาใจช่วยบริษัททุกบริษัทนะครับ
หลังจากวัคซีนมา ก็มีการฉีดวัคซีนในต่างประเทศ เริ่มเปิดประเทศมากขึ้น
มีการลงทุนเพิ่ม เกิดการรักษาพยาบาล เช่น IVF และ มีการท่องเที่ยวในเฟสถัดไป
หลังจากอั้นการลงทุนจากก่อนหน้านี้
ปัญหา pain point 4 อย่าง
1.การฉีดวัคซีน60ล้านคน
2.การจัดการ npl
3.กิจกรรมที่ถูกอั้นไว้
4.การกระตุ้นเศรษฐกิจ อาศัยการบริโภคในประเทศอย่างเดียวก็อาจไม่พอ
แต่ปัจจัยจากต่างประเทศ จะกระตุ้นอย่างไร ดังนั้นรัฐบาลจะกระตุ้นกำลังซื้อ
ในประเทศก่อน
น้องออฟไม่คาดหวังว่าจะช่วยได้ แต่ถ้ามา ก็ลองหาดู อาจลงทุนเป็นรอบๆ
พอfactออกมา ก็ทำกำไรเป็นรอบไป
ให้ผู้ฟังไปคิดต่อว่า ใครได้ประโยชน์บ้าง
บางธนาคารเริ่มปรับตัว ไปเชื่อมกับส่วนต่างๆ เช่น Grab food
ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงเทรนดอกเบี้ยขาขึ้น ก็จะได้ประโยชน์
Theme ต่อมา คือ รถยนต์ไฟฟ้า ที่เปลี่ยนจากใช้น้ำมันมาใช้ไฟฟ้าแทน
กับอีกส่วนที่ ขับเคลื่อนอัตโนมัติ รวมถึง IOT ที่เชื่อมโยงกับชิ้นส่วนรถยนต์
ชิปที่แต่ก่อนอยู่ในเครื่องPC จะเข้ามาในรถยนต์
ดังนั้น กลุ่มอิเลคทรอนิคส์ เช่น KCE,Delta, Hana ก็จะไม่ได้หยุดเฉพาะ 5G
Plain point ของรถยนต์ คือ ใช้เวลาchargeนาน เช่น 10-30นาที
ไม่เหมือนกับเติมน้ำมัน ใช้เวลาไม่นาน
แต่อาจใช้วิธีการเปลี่ยนแบต ดังนั้นอาจเป็นธุรกิจ ซื้อรถและพ่วงการการซื้อแบตด้วย
กลุ่มอุตสาหกรรม. วิเคราะห์โอกาสในการลงทุน
-อาหารและเครื่องดื่ม เช่น Functional drink และ ฉลากดูน่าสนใจ
-ธนาคาร มองอนาคต ยังมีdoubtถึงแม้ถูกระดับนึงก็ตาม NPL จะมาไหม
เช่น npl Aeon เพิ่มจาก3มา4% แต่ยังมีการสำรองค่อนข้างเยอะ
-Finance ชอบมาตั้งแต่ปลายปี แต่valuationเริ่มไม่น่าดึงดูด ราคาขึ้นมาแล้ว
รวมถึง financeนอกสายตาก็ขึ้นมาแล้ว
แต่มีตัวที่เช่าซื้อ บางตัวPE 8 เท่าก็ยังน่าสนใจ
-กลุ่มประกันก็ยังเฉย
-ยานยนต์ มีปัญหาเรื่องการหาชิ้นส่วนในการผลิต
สายเรือทำให้กระทบต่อการจัดหาวัตถุดิบยานยนต์ทำให้บางค่าย
ปรับประมาณการผลิตรถยนต์ลดลง ต้องติดตามดู
-ไม่ถนัดกลุ่มปิโตรเคมี บางคนชอบก็น่าทำการบ้าน
-บรรจุภัณฑ์ ชอบแต่หาตัวเล่นไม่ได้ ตัวที่เก่ง SCGP เคยลงมาพักเดียวตอนนี้เกือบAll time highแล้ว บางตัวก็เจอเรื่องกำลังการผลิต Kerryราคาก็ซื้อไม่ลงเรลย
-วัสดุก่อสร้าง น่าจะมา
-อสังหาริมทรัพย์ ชอบบางตัวที่ทำได้ดีมาก
น่าจะมาพร้อมกับธนาคาร เวลาวิกฤต ลงก่อนคนอื่น ตอนนี้ขึ้นมาเเล้ว
-รับเหมา จะมา แต่ไม่คาดหวัง บางทีจะมีstoryให้เราเห็น
-พลังงาน และ พาณิชย์ ดูน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มไอที 5G ทำให้ดูน่าสนใจ
-การแพทย์ Q4 63 ก็ฟื้นแล้ว ปีนี้น่าจะดี รพ รอบที่แล้ว คนกลัวเยอะ คนติดน้อย
รอบนี้ คนกลัวกลางๆ แต่ติดกันเยอะ บางจังหวัด ต้องมี รพ สนามกันเลย
ดูน่าสนใจ รวมถึงการฉีดวัคซีน รอบนี้ipdในกลุ่มรพในจังหวัดที่ระบาดขึ้นทุกตัวเลย
ถ้าใครไม่รีบและรอวัคซีนได้ ให้รอAstraZeneca ดูน่าจะดีกว่า
สุดท้ายถ้าภาครัฐหาไม่ได้บางส่วน เอกชนก็จะหามาเอง
ปีนี้รพ น่าสนใจ รวมถึง รพ ที่มีคนไข้ต่างประเทศและราคาลงมาแรงก็น่าสนใจ
-สิ่งพิมพ์ ท่องเที่ยว รู้สึกเฉยๆ
-ICT และชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ story¢imentมา สุดท้ายใครทำได้ใครทำไม่ได้
ก็ต้องลองติดตามดูอีกครั้ง
4 Sector ที่น่าสนใจ:
Finance, การแพทย์ , พาณิชย์ , เลือกจากBottom up (ไม่สนภาพใหญ่ แต่ดูเป็นรายบริษัท)
Valuation
1.หุ้นดี
2.ราคาเหมาะสม
สุดท้ายขอบคุณน้องออฟที่มาสรุปเหตุการณ์และกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3424
กลยุทธ์วีไอปี64 ตอนที่5 ในปีแห่งการฟื้นตัว
ข้อคิด:การลงทุนในต่างประเทศ?
และเส้นทางลงทุนกับเส้นทางธรรม
โดย อาจารย์ชาย มโนภาส
พิธีกรดำเนินรายการ
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ดร นิเวศน์. เหมวชิรวรากร
อาจารย์นิเวศน์เริ่มคำถามแรก กับอดีตนายกThaivi
ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ไหม
เพราะเจอหุ้นที่อยู่ๆก็ขึ้นและลงทีละ20-30%
Volumnซื้อขายของSETสูง 100,000กว่าล้านบาท
อาจารย์ชายตอบว่า สำหรับผม หลักการลงทุนในการลงทุนแบบวีไอก็เหมือนเดิม
ถึงแม้สภาพแวดล้อมในการลงทุนจะเปลี่ยนแปลงไป
ผมอ่านresearchของตปท ตอนนี้ในโลกสภาวะที่คล้ายกัน
เงินล้นโลก ปริมาณเงินM1,M2 สภาพคล่องสูงล้นโลก
การเก็งกำไรก็สูง สินทรัพย์แบบบิตคอยก็ผันผวนสูง
ดอกเบี้ยต่ำ คนเลยเอาเงินไปลงทุนแบบเสี่ยงดีกว่า
ไม่แน่ใจที่ขึ้นจาก ปัจจัยพื้นฐาน หรือ การเก็งกำไร
หลักการของผมคล้ายเดิม ที่เปลี่ยนแปลงคือ
สนใจในบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น จากการอ่านresearch
ทุกอย่างจะต่อเชื่อมกันด้วยinternet
4Gที่เกิดขึ้นทำให้การเชื่อมโยงผ่านinternet
ข้อมูลข่าวสาร ทั้งข้อมูลวิเคราะห์ ด้านสาระ และบันเทิง
ข้อมูลได้รับการเชื่อมผ่าน4G
พอ5Gเกิดขึ้น ผมเชื่อว่า
การเชื่อมโยงinternet of thing (IOT)มากขึ้น ซึ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม 100 เท่า
เปรียบเหมือนกับ ถนนเปลี่ยนจาก 1 เลน เป็น 100เลน
การเชื่อมโยงของอุปกรณ์ง่ายขึ้น
เช่น Telemedical, Smart Manufacturing , Autonomous จะสนใจมากเป็นพิเศษ
ที่เปลี่ยนไปในการดู Ratio เช่น PB จะมีผลค่อนข้างมาก ซึ่งสินทรัพย์เมื่อก่อนเรามาจาก
Manufacturing base สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะเป็นสินทรัพย์จับต้องได้(Tangible )
ต่อไปเชื่อว่า สินทรัพย์ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็น สินทรัพย์แบบจับต้องไม่ได้ (Intangible)
เช่นบริษัท Software company
ต้องดูทรัพย์สินมากกว่าเดิม มีpatientอะไรบ้าง Softwareอะไรบ้างที่ก่อให้เกิด
กระแสเงินสด
อะไรที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่ลงทุนเหมือนเดิม
อาจารย์ไพบูลย์ถามอาจารย์นิเวศน์ ว่าหุ้นที่ผันผวน ได้กำไรในเวลาเพียง1-2 วัน
อาจารย์นิเวศน์ตอบว่า ไม่ทำอยู่แล้ว ไม่สามารถปรับตัวไปลงทุนแบบนี้ได้
คนรุ่นใหม่คิดกำไรกันเป็นรายวันเช่น ต้องได้วันละแสนบาท
เขาจะทนไหวเหรอ ที่ถือหุ้นและไม่ไปไหนเลย แต่หุ้นอยู่บนกระดาน
ที่ขึ้นทุกวัน เลยย้ายไปหุ้นที่ผันผวน ตอนนี้หุ้นที่ถูกconnerกำไรวันละ
25% แต่เขาบอกว่ามีวิธีในการลงทุน
มีผู้นำในการจับตาหุ้นแต่ละตัว อาจารย์ไม่อยากไปยุ่งถึงแม้จะเจ็บใจก็ตาม
หุ้นที่ถือจะนิ่งไปอีกกี่ปี
อาจารย์ไพบูลย์บอกว่า ประวัติศาสตร์สอนเราว่า
ปีนี้จะมีนักลงทุนรวยหุ้นด้วยการลงทุนแบบนี้100คน
แต่พอผ่านไปปีนึงจะเหลือแค่5คน อีก90กว่าคนก็ตายจะตลาดไป
เป็นแบบนี้มาตลอด ใครจะเป็น5คนที่รอดซึ่งจะรวยมากๆ
และจะไปสร้างความรู้สึกว่าลงทุนแบบนี้จะได้กำไรมากๆ
กลับมาถามอาจารย์ชายว่า ที่พูดมาทั้งหมดในไทยมีไหม
อาจารย์ชายตอบว่า เมืองไทยหายาก เพราะเรายังเป็นmanufacturing base
และขึ้นกับการท่องเที่ยวด้วย(17%ของGDPในปี62)
ถ้าเป็นเทคโนโลยีสูง , Software company , Software as a service
หายาก ถ้ามีก็จะเป็นบริษัทเล็กๆ 2-3 บริษัทในตลาดต่างประเทศ
แต่หาได้เยอะในตลาดต่างประเทศ
ถ้าเป็นนักลงทุนในตลาดมา5ปี ควรศึกษาสัก1-2ปี
เพื่อศึกษาความรู้และกฏเกณฑ์ต่างๆ
แต่ถ้าใครที่คิดว่าเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ไปลงทุนตปทก็จะได้ความรู้กว้างขวาง
นำไปใช้กับตลาดหุ้นไทยได้ แต่ต้องระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราด้วย
เพราะภาพแมคโครเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน
เช่นในละตินอเมริกา อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน10%กว่า
ถ้ากำไรหุ้นแล้วมาขาดทุนค่าเงิน อยู่ตลาดหุ้นไทยจะดีกว่า
อาจารย์ไพบูลย์ถามว่า มีบลจเปิดกองทุนใหม่ๆเยอะ โดยเฉพาะ
ไตรมาสสี่ปีที่แล้ว นักลงทุนไทยซื้อกองทุนหุ้นแบบนี้ดีไหม
อาจารย์ชายตอบว่า เป็นทางเลือกที่ดี กองทุนมีหลากหลายต้องจัดสรรให้ดี
หลายกองคิดค่าธรรมเนียมค่อนข้างแพง ซื้อตรงจะดีกว่า
ถ้าเราเชื่อใจ ผจก กองทุน และถืออย่างเข้าใจ
แต่ไม่เห็นด้วยที่ซื้อกองทุนตามแห่
อยู่ดีๆNAVกองทุนลดลงอย่างมาก
ดังนั้นควรศึกษากองทุนให้ดีก่อนลงทุน เหมือนกับการซื้อหุ้น
ที่เราต้องศึกษาก่อนการลงทุน ให้รู้ว่ากิจการทำอะไรอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร
เราต้องรู้ว่า กองทุนนี้ปันผลหรือเปล่า มีการhedgeอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่
ลงทุนfeeder fundกองเดียวหรือเปล่า
ปี63ลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน20%ของport
ปีนี้ก็คงสัดส่วนเท่าเดิม เพราะยังลงทุนหุ้นไทยได้ดี
ต้องรักษาสุขภาพ เพราะการลงทุนต่างประเทศ ต้องนอนดึกเพื่อดูหุ้น
บริษัทที่ขึ้นราคาสูงๆได้ในต่างประเทศ ทุกๆปีต่อเนื่องยาวนาน
มีค่อนข้างมาก แต่หายากในตลาดหุ้นไทย แต่ก็ยังมีบริษัทที่น่าสนใจเหลืออยู่บ้าง
ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Domestic play ทางด้านบริการ
แต่ถ้าพวกการผลิต ไม่ค่อยมีหุ้นในเมืองไทยมากนัก
มีบ้างซึ่งไม่ได้ลงcapexไม่มาก แต่สามารถขยายงานต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามมีpotential
อาจารย์ชายมองว่าศักยภาพในการลงทุน ไม่สามารถลงทุนได้3-4ประเทศ
ผมเลยลงทุนในต่างประเทศแค่ที่เดียว ไม่ต้องไปศึกษา accounting policy
หลายประเทศ ซึ่งมีกฏเกณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน
การลงทุนในไทยได้ผลตอบแทนชนะเงินฝากมาหลายปี
มีecosystem ที่ทำให้การลงทุนได้ผลตอบแทนดี เช่น
มีเเหล่งข้อมูลที่ดีมากจาก Webboard Thaivi, Settrade.com,set.or.th
นอกจากนี้ มีรายการหลายรายการที่ให้ความรู้ข้อมูลข่าวสาร เช่น Moneytalk
เลยเลือกอเมริกา ซึ่งมีecosystemพอๆกับที่หาได้ในเมืองไทย
มีwebboard รายการที่ให้ข่าวสารเยอะมาก
ปัญหาคือดูไม่ทัน ก็เลยเลือกลงทุนในอเมริกา
ส่วนที่เวียดนาม ก็สนใจ ถ้าดูจาก GDP, รายได้ประชากรต่อหัว มีโอกาสเติบโตอีกมาก
แต่ได้ยินว่า นักลงทุนบางท่านไปเรียนภาษาเวียดนาม ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้
อาจารย์นิเวศน์ ไปลงทุนที่เวียดนามแบบETFในช่วงหลัง
ส่วนอาจารย์ก็ลงทุน5 ตัวในตลาดหุ้นอเมริกา
โดยเน้นหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก
ส่วนหุ้นที่ถือ market cap อย่างน้อยสุด 20,000ล้าน$
หุ้นในBig tech สามารถทำได้หลายธุรกิจและเปลี่ยนไปทำธุรกิจได้ง่ายมาก
ก็เลยมีถือหุ้นลักษณะไว้เหมือนกัน
หุ้นฮุนได ขึ้นมา20%กว่าหลังมีข่าวว่าจะพัฒนารถกับบริษัทApple
อาจารย์ไพบูลย์ บอกว่า อาจารย์ชายดำเนินชีวิตในสายธรรมด้วย
เป็นลูกศิษย์ของ พระอาจารย์ภาวนาวิสุทธิญาณเถร(แบน ธนากโร) วัดดอยธรรมเจดีย์
ปฎิบัติธรรมตลอด อายุเพียง49ปี ถึงเวลาปรับชีวิตไปทางใดทางหนึ่งมากขึ้นไหม
อาจารย์ชายตอบว่า ทุกวันนี้ที่ปฏิบัตอยู่ คู่ขนานกันไป ทั้งสายธรรมและการลงทุน
ตอนเช้าตื่นมาปฏิบัติ เดินจงกรม หนึ่ง ชม และนั่งสมาธิ หนึ่งชม
สามารถเดินในคอนโดได้เลย ถ้าจดจ่อกับการมีสติ ก็จะไปเดินในสวนสาธารณะก็ได้
อาจารย์ไพบูลย์บอก เดินจงกรม โดยอยู่กับที่ก็ได้
ส่วนการออกกำลังกาย โดยตีแบตสัปดาห์ละสองครั้ง
สำหรับการให้คำแนะนำกับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เป็นวีไอ
นักลงทุนรุ่นใหม่ไม่ควรลงทุนอะไรที่ไม่เข้าใจ โดยไม่เข้ากลไกของบริษัท
อาจารย์ชายจะไม่สนใจว่าจะชนะหรือแพ้ตลาด
เปรียบเหมือน ชอบเล่นบาส แล้วมีคนมาชวนเล่นบอล โดยมีรางวัล
ซึ่งถ้าเราย้ายไปเล่นบอล ก็อาจแพ้ได้เพราะเราไม่ชำนาญกับกีฬาใหม่
ดังนั้นผมอยู่กับที่ลงทุนแบบเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างไร เข้าใจผู้บริหารของบริษัทนั้น
ในโลกของการลงทุนที่สภาพคล่องสูง จะมีเหนือการคาดหมาย
คนที่ไปซื้อ negative bond yield มูลค่าของบอนด์ 15ล้านล้าน $
เท่ากับmarket cap ของตลาดแนสแดกตอนนี้
เกิดจากการเก็งกำไร และ regulationของบริษัทประกันว่าต้องซื้อ
ถึงแม้ดอกเบี้ยติดลบก็ตาม
ซึ่งมูลค่าขนาดนี้อาจทำให้เกิด super bubble
ถ้าโรคระบาดหายไป เงินเฟ้อจะกลับมาเร็วมาก เพราะดอกเบี้ยของบอนด์กินดอกเบี้ยต่ำมาก
อาจารย์ไพบูลย์เสริมว่า เงินเฟ้อเพิ่ม จะทำให้เกิดการซื้อทรัพย์สินมาก และจะเกิดฟองสบู่
อาจารย์ชายไม่ห่วงว่าพอร์ตจะunderperformถ้าไม่ได้ลงทุนสินทรัพย์ที่ขึ้นมาเยอะ
แต่อาจมีเล่นบ้างเล็กน้อยเพื่อหาประสบการณ์ เช่น
เทสล่า ตอนแรกก็ไม่สนใจ พอศึกษามากขึ้น ก็เห็นเหตุผลที่ทำไมราคาขึ้น
แต่ไม่เอาเงินส่วนใหญ่มาลงทุน
ส่วนอาจารย์นิเวศน์ ไม่ลงทุนแบบนี้เลย ไม่รู้จะทำไปทำไม อายุขนาดนี้
Enjoyกับชีวิตดีกว่า
อย่างตลาดเวียดนาม ควรศึกษามากกว่านี้ แต่ก็ไปลงทุนผ่านETFดีกว่า
อาจารย์ชายบอกว่า เมืองไทยยังมีสิ่งนึงที่undervalue
ทางภูมิศาสตร์ เราเหมาะเป็นศูนย์การlogistic โดยต่อรถไฟรางเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน
รวมทั้งถนน ทำให้เพิ่มมูลค่ากับที่ดิน
ที่ดินเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านถูกมาก และเป็นfreeholdด้วย
Wealthของประเทศไทยมีโอกาสขยับขึ้นอีก จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่ดิน
และสำหรับคำถามเรื่องสัดส่วนในการลงทุนต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นไหมในอนาคต
อาจารย์ชายตอบว่า มีแนวโน้มจะขยายพอร์ตลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
จะหลีกเลี่ยงบริษัทที่ไม่สามารถต่อเชื่อมกับinternet , IOTได้
บริษัทคาร์เทอพิลาร์ ผลิตรถขุดดิน ตอนนี้เป็นAutonomousแล้ว
ถ้าเราเข้าไปที่เหมือง จะไม่เห็นคนในเหมือง รถทำงานเองหมด
บริษัทที่เป็น old economy แต่ก็เอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ก็ดูน่าสนใจ
แต่valuationอาจไม่เท่าบริษัทเทคโนโลยี
มีmarket share ใหญ่กว่าอันดับสองและสามรวมกัน
สำหรับหุ้นเทคโนโลยี น่าลงทุนแต่ต้องดูว่าราคาแพงไปหรือไม่
บัฟเฟตต์ ตอนที่ซื้อapple ก็ซื้อในราคาที่ดีมาก ซึ่งห้าปีที่ผ่านมา
ชนะamazon , google (สรุปคือเลือกหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสม)
สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์ชาย ที่มาให้ความรู้
และขอบคุณอาจารย์ไพบูลย์ และ อาจารย์นิเวศน์ สำหรับคำถามดีๆครับ
ข้อคิด:การลงทุนในต่างประเทศ?
และเส้นทางลงทุนกับเส้นทางธรรม
โดย อาจารย์ชาย มโนภาส
พิธีกรดำเนินรายการ
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ดร นิเวศน์. เหมวชิรวรากร
อาจารย์นิเวศน์เริ่มคำถามแรก กับอดีตนายกThaivi
ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ไหม
เพราะเจอหุ้นที่อยู่ๆก็ขึ้นและลงทีละ20-30%
Volumnซื้อขายของSETสูง 100,000กว่าล้านบาท
อาจารย์ชายตอบว่า สำหรับผม หลักการลงทุนในการลงทุนแบบวีไอก็เหมือนเดิม
ถึงแม้สภาพแวดล้อมในการลงทุนจะเปลี่ยนแปลงไป
ผมอ่านresearchของตปท ตอนนี้ในโลกสภาวะที่คล้ายกัน
เงินล้นโลก ปริมาณเงินM1,M2 สภาพคล่องสูงล้นโลก
การเก็งกำไรก็สูง สินทรัพย์แบบบิตคอยก็ผันผวนสูง
ดอกเบี้ยต่ำ คนเลยเอาเงินไปลงทุนแบบเสี่ยงดีกว่า
ไม่แน่ใจที่ขึ้นจาก ปัจจัยพื้นฐาน หรือ การเก็งกำไร
หลักการของผมคล้ายเดิม ที่เปลี่ยนแปลงคือ
สนใจในบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น จากการอ่านresearch
ทุกอย่างจะต่อเชื่อมกันด้วยinternet
4Gที่เกิดขึ้นทำให้การเชื่อมโยงผ่านinternet
ข้อมูลข่าวสาร ทั้งข้อมูลวิเคราะห์ ด้านสาระ และบันเทิง
ข้อมูลได้รับการเชื่อมผ่าน4G
พอ5Gเกิดขึ้น ผมเชื่อว่า
การเชื่อมโยงinternet of thing (IOT)มากขึ้น ซึ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม 100 เท่า
เปรียบเหมือนกับ ถนนเปลี่ยนจาก 1 เลน เป็น 100เลน
การเชื่อมโยงของอุปกรณ์ง่ายขึ้น
เช่น Telemedical, Smart Manufacturing , Autonomous จะสนใจมากเป็นพิเศษ
ที่เปลี่ยนไปในการดู Ratio เช่น PB จะมีผลค่อนข้างมาก ซึ่งสินทรัพย์เมื่อก่อนเรามาจาก
Manufacturing base สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะเป็นสินทรัพย์จับต้องได้(Tangible )
ต่อไปเชื่อว่า สินทรัพย์ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็น สินทรัพย์แบบจับต้องไม่ได้ (Intangible)
เช่นบริษัท Software company
ต้องดูทรัพย์สินมากกว่าเดิม มีpatientอะไรบ้าง Softwareอะไรบ้างที่ก่อให้เกิด
กระแสเงินสด
อะไรที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่ลงทุนเหมือนเดิม
อาจารย์ไพบูลย์ถามอาจารย์นิเวศน์ ว่าหุ้นที่ผันผวน ได้กำไรในเวลาเพียง1-2 วัน
อาจารย์นิเวศน์ตอบว่า ไม่ทำอยู่แล้ว ไม่สามารถปรับตัวไปลงทุนแบบนี้ได้
คนรุ่นใหม่คิดกำไรกันเป็นรายวันเช่น ต้องได้วันละแสนบาท
เขาจะทนไหวเหรอ ที่ถือหุ้นและไม่ไปไหนเลย แต่หุ้นอยู่บนกระดาน
ที่ขึ้นทุกวัน เลยย้ายไปหุ้นที่ผันผวน ตอนนี้หุ้นที่ถูกconnerกำไรวันละ
25% แต่เขาบอกว่ามีวิธีในการลงทุน
มีผู้นำในการจับตาหุ้นแต่ละตัว อาจารย์ไม่อยากไปยุ่งถึงแม้จะเจ็บใจก็ตาม
หุ้นที่ถือจะนิ่งไปอีกกี่ปี
อาจารย์ไพบูลย์บอกว่า ประวัติศาสตร์สอนเราว่า
ปีนี้จะมีนักลงทุนรวยหุ้นด้วยการลงทุนแบบนี้100คน
แต่พอผ่านไปปีนึงจะเหลือแค่5คน อีก90กว่าคนก็ตายจะตลาดไป
เป็นแบบนี้มาตลอด ใครจะเป็น5คนที่รอดซึ่งจะรวยมากๆ
และจะไปสร้างความรู้สึกว่าลงทุนแบบนี้จะได้กำไรมากๆ
กลับมาถามอาจารย์ชายว่า ที่พูดมาทั้งหมดในไทยมีไหม
อาจารย์ชายตอบว่า เมืองไทยหายาก เพราะเรายังเป็นmanufacturing base
และขึ้นกับการท่องเที่ยวด้วย(17%ของGDPในปี62)
ถ้าเป็นเทคโนโลยีสูง , Software company , Software as a service
หายาก ถ้ามีก็จะเป็นบริษัทเล็กๆ 2-3 บริษัทในตลาดต่างประเทศ
แต่หาได้เยอะในตลาดต่างประเทศ
ถ้าเป็นนักลงทุนในตลาดมา5ปี ควรศึกษาสัก1-2ปี
เพื่อศึกษาความรู้และกฏเกณฑ์ต่างๆ
แต่ถ้าใครที่คิดว่าเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ไปลงทุนตปทก็จะได้ความรู้กว้างขวาง
นำไปใช้กับตลาดหุ้นไทยได้ แต่ต้องระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราด้วย
เพราะภาพแมคโครเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน
เช่นในละตินอเมริกา อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน10%กว่า
ถ้ากำไรหุ้นแล้วมาขาดทุนค่าเงิน อยู่ตลาดหุ้นไทยจะดีกว่า
อาจารย์ไพบูลย์ถามว่า มีบลจเปิดกองทุนใหม่ๆเยอะ โดยเฉพาะ
ไตรมาสสี่ปีที่แล้ว นักลงทุนไทยซื้อกองทุนหุ้นแบบนี้ดีไหม
อาจารย์ชายตอบว่า เป็นทางเลือกที่ดี กองทุนมีหลากหลายต้องจัดสรรให้ดี
หลายกองคิดค่าธรรมเนียมค่อนข้างแพง ซื้อตรงจะดีกว่า
ถ้าเราเชื่อใจ ผจก กองทุน และถืออย่างเข้าใจ
แต่ไม่เห็นด้วยที่ซื้อกองทุนตามแห่
อยู่ดีๆNAVกองทุนลดลงอย่างมาก
ดังนั้นควรศึกษากองทุนให้ดีก่อนลงทุน เหมือนกับการซื้อหุ้น
ที่เราต้องศึกษาก่อนการลงทุน ให้รู้ว่ากิจการทำอะไรอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร
เราต้องรู้ว่า กองทุนนี้ปันผลหรือเปล่า มีการhedgeอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่
ลงทุนfeeder fundกองเดียวหรือเปล่า
ปี63ลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน20%ของport
ปีนี้ก็คงสัดส่วนเท่าเดิม เพราะยังลงทุนหุ้นไทยได้ดี
ต้องรักษาสุขภาพ เพราะการลงทุนต่างประเทศ ต้องนอนดึกเพื่อดูหุ้น
บริษัทที่ขึ้นราคาสูงๆได้ในต่างประเทศ ทุกๆปีต่อเนื่องยาวนาน
มีค่อนข้างมาก แต่หายากในตลาดหุ้นไทย แต่ก็ยังมีบริษัทที่น่าสนใจเหลืออยู่บ้าง
ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Domestic play ทางด้านบริการ
แต่ถ้าพวกการผลิต ไม่ค่อยมีหุ้นในเมืองไทยมากนัก
มีบ้างซึ่งไม่ได้ลงcapexไม่มาก แต่สามารถขยายงานต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามมีpotential
อาจารย์ชายมองว่าศักยภาพในการลงทุน ไม่สามารถลงทุนได้3-4ประเทศ
ผมเลยลงทุนในต่างประเทศแค่ที่เดียว ไม่ต้องไปศึกษา accounting policy
หลายประเทศ ซึ่งมีกฏเกณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน
การลงทุนในไทยได้ผลตอบแทนชนะเงินฝากมาหลายปี
มีecosystem ที่ทำให้การลงทุนได้ผลตอบแทนดี เช่น
มีเเหล่งข้อมูลที่ดีมากจาก Webboard Thaivi, Settrade.com,set.or.th
นอกจากนี้ มีรายการหลายรายการที่ให้ความรู้ข้อมูลข่าวสาร เช่น Moneytalk
เลยเลือกอเมริกา ซึ่งมีecosystemพอๆกับที่หาได้ในเมืองไทย
มีwebboard รายการที่ให้ข่าวสารเยอะมาก
ปัญหาคือดูไม่ทัน ก็เลยเลือกลงทุนในอเมริกา
ส่วนที่เวียดนาม ก็สนใจ ถ้าดูจาก GDP, รายได้ประชากรต่อหัว มีโอกาสเติบโตอีกมาก
แต่ได้ยินว่า นักลงทุนบางท่านไปเรียนภาษาเวียดนาม ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้
อาจารย์นิเวศน์ ไปลงทุนที่เวียดนามแบบETFในช่วงหลัง
ส่วนอาจารย์ก็ลงทุน5 ตัวในตลาดหุ้นอเมริกา
โดยเน้นหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก
ส่วนหุ้นที่ถือ market cap อย่างน้อยสุด 20,000ล้าน$
หุ้นในBig tech สามารถทำได้หลายธุรกิจและเปลี่ยนไปทำธุรกิจได้ง่ายมาก
ก็เลยมีถือหุ้นลักษณะไว้เหมือนกัน
หุ้นฮุนได ขึ้นมา20%กว่าหลังมีข่าวว่าจะพัฒนารถกับบริษัทApple
อาจารย์ไพบูลย์ บอกว่า อาจารย์ชายดำเนินชีวิตในสายธรรมด้วย
เป็นลูกศิษย์ของ พระอาจารย์ภาวนาวิสุทธิญาณเถร(แบน ธนากโร) วัดดอยธรรมเจดีย์
ปฎิบัติธรรมตลอด อายุเพียง49ปี ถึงเวลาปรับชีวิตไปทางใดทางหนึ่งมากขึ้นไหม
อาจารย์ชายตอบว่า ทุกวันนี้ที่ปฏิบัตอยู่ คู่ขนานกันไป ทั้งสายธรรมและการลงทุน
ตอนเช้าตื่นมาปฏิบัติ เดินจงกรม หนึ่ง ชม และนั่งสมาธิ หนึ่งชม
สามารถเดินในคอนโดได้เลย ถ้าจดจ่อกับการมีสติ ก็จะไปเดินในสวนสาธารณะก็ได้
อาจารย์ไพบูลย์บอก เดินจงกรม โดยอยู่กับที่ก็ได้
ส่วนการออกกำลังกาย โดยตีแบตสัปดาห์ละสองครั้ง
สำหรับการให้คำแนะนำกับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เป็นวีไอ
นักลงทุนรุ่นใหม่ไม่ควรลงทุนอะไรที่ไม่เข้าใจ โดยไม่เข้ากลไกของบริษัท
อาจารย์ชายจะไม่สนใจว่าจะชนะหรือแพ้ตลาด
เปรียบเหมือน ชอบเล่นบาส แล้วมีคนมาชวนเล่นบอล โดยมีรางวัล
ซึ่งถ้าเราย้ายไปเล่นบอล ก็อาจแพ้ได้เพราะเราไม่ชำนาญกับกีฬาใหม่
ดังนั้นผมอยู่กับที่ลงทุนแบบเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างไร เข้าใจผู้บริหารของบริษัทนั้น
ในโลกของการลงทุนที่สภาพคล่องสูง จะมีเหนือการคาดหมาย
คนที่ไปซื้อ negative bond yield มูลค่าของบอนด์ 15ล้านล้าน $
เท่ากับmarket cap ของตลาดแนสแดกตอนนี้
เกิดจากการเก็งกำไร และ regulationของบริษัทประกันว่าต้องซื้อ
ถึงแม้ดอกเบี้ยติดลบก็ตาม
ซึ่งมูลค่าขนาดนี้อาจทำให้เกิด super bubble
ถ้าโรคระบาดหายไป เงินเฟ้อจะกลับมาเร็วมาก เพราะดอกเบี้ยของบอนด์กินดอกเบี้ยต่ำมาก
อาจารย์ไพบูลย์เสริมว่า เงินเฟ้อเพิ่ม จะทำให้เกิดการซื้อทรัพย์สินมาก และจะเกิดฟองสบู่
อาจารย์ชายไม่ห่วงว่าพอร์ตจะunderperformถ้าไม่ได้ลงทุนสินทรัพย์ที่ขึ้นมาเยอะ
แต่อาจมีเล่นบ้างเล็กน้อยเพื่อหาประสบการณ์ เช่น
เทสล่า ตอนแรกก็ไม่สนใจ พอศึกษามากขึ้น ก็เห็นเหตุผลที่ทำไมราคาขึ้น
แต่ไม่เอาเงินส่วนใหญ่มาลงทุน
ส่วนอาจารย์นิเวศน์ ไม่ลงทุนแบบนี้เลย ไม่รู้จะทำไปทำไม อายุขนาดนี้
Enjoyกับชีวิตดีกว่า
อย่างตลาดเวียดนาม ควรศึกษามากกว่านี้ แต่ก็ไปลงทุนผ่านETFดีกว่า
อาจารย์ชายบอกว่า เมืองไทยยังมีสิ่งนึงที่undervalue
ทางภูมิศาสตร์ เราเหมาะเป็นศูนย์การlogistic โดยต่อรถไฟรางเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน
รวมทั้งถนน ทำให้เพิ่มมูลค่ากับที่ดิน
ที่ดินเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านถูกมาก และเป็นfreeholdด้วย
Wealthของประเทศไทยมีโอกาสขยับขึ้นอีก จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่ดิน
และสำหรับคำถามเรื่องสัดส่วนในการลงทุนต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นไหมในอนาคต
อาจารย์ชายตอบว่า มีแนวโน้มจะขยายพอร์ตลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
จะหลีกเลี่ยงบริษัทที่ไม่สามารถต่อเชื่อมกับinternet , IOTได้
บริษัทคาร์เทอพิลาร์ ผลิตรถขุดดิน ตอนนี้เป็นAutonomousแล้ว
ถ้าเราเข้าไปที่เหมือง จะไม่เห็นคนในเหมือง รถทำงานเองหมด
บริษัทที่เป็น old economy แต่ก็เอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ก็ดูน่าสนใจ
แต่valuationอาจไม่เท่าบริษัทเทคโนโลยี
มีmarket share ใหญ่กว่าอันดับสองและสามรวมกัน
สำหรับหุ้นเทคโนโลยี น่าลงทุนแต่ต้องดูว่าราคาแพงไปหรือไม่
บัฟเฟตต์ ตอนที่ซื้อapple ก็ซื้อในราคาที่ดีมาก ซึ่งห้าปีที่ผ่านมา
ชนะamazon , google (สรุปคือเลือกหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสม)
สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์ชาย ที่มาให้ความรู้
และขอบคุณอาจารย์ไพบูลย์ และ อาจารย์นิเวศน์ สำหรับคำถามดีๆครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3425
จารย์หมอหนึ่งครับ
ผมกำลังจะเดินทางไปหาดใหญ่
ผมรบกวน อาจารย์ ทักหลังไมค์ มาทีครับ ขอบพระคุณอย่างสูง
ผมกำลังจะเดินทางไปหาดใหญ่
ผมรบกวน อาจารย์ ทักหลังไมค์ มาทีครับ ขอบพระคุณอย่างสูง
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3426
กลยุทธ์ลงทุน เอก ธำรง ภาค3
2564
แนะนำอ่านภาคหนึ่งและสองในโพสต์ด้านล่างก่อนครับ เรียงกันมาเลยเป็น 321
หรือจะกดอ่านจากลิงค์ที่แนบให้ก็ได้ครับ
ภาค1
https://www.facebook.com/10224555446661 ... xtid=0&d=n
ภาค2
https://www.facebook.com/10224555446661 ... xtid=0&d=n
อ่านจบแล้วมาต่อกันเลย
หุ้นที่ขึ้นได้เยอะมี2อย่าง
1หุ้นที่ลงมาเยอะจากสถานการณ์ชั่วคราว
ถ้าสถานการณ์เหมือนเดิมทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมราคาน่าจะกลับไปเหมือนเดิมและเติบโตขึ้นถ้าทุกอย่างดูดีขึ้นรายได้และกำไรมีโอกาสเติบโตขึ้น
2หุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงจากขนาดของตลาดที่ใหญ่มาก
แล้วบริษัทนั้นนั้นมีโอกาสที่จะกินส่วนแบ่งตลาดได้สูงแต่ตอนนี้ยังมีไม่เยอะ เมื่อไหร่ที่มีความชัดเจนระดับหนึ่งว่ามีโอกาสทิ้งห่างคู่แข่งเยอะมาก(เช่นมีเทคโนโลยี ข้อมูล โนว์ฮาวเหนือกว่าเบอร์สองมากๆ)มันจะขึ้นได้เยอะและมีโอกาสขึ้นได้เยอะอีกหลังจากทุกอย่างชัดเจนเรียบร้อย (รถอีวี เทค) แล้วพอมันชัดแบบโอกาสพลาดน้อย หุ้นมีโอกาสที่จะขึ้นล่วงหน้าหลายปี (ตัวอย่างหนึ่งคือช่วงเดือนเมษาปีที่แล้วความเข้าใจคนส่วนใหญ่วัคซีนมาอย่างเร็วคือกลางปีนี้ หลังจากโดนเซอร์กิตเบรคเกอร์สองวันติดเดือนมีนาหลังจากนั้นก็เป็นขาขึ้นชัดเจนแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาเกินสามถึงหกเดือนก็ตาม)
ขอขยายความข้อ1
ปีที่แล้ว(ย้ำ)ผมมีคิดถึงธีมการลงทุนตอนช่วงปิดเมือง ว่าใครที่โดนโควิทเล่นงานสูงสุด (และแน่นอนยิ่งลงมาเยอะยิ่งกลับไปเยอะ มีข้อแม้อย่างเดียวคืออย่าตายก่อน)
มุมมองนี้เรียกว่า ท๊อปดาวน์ มองจากภาพใหญ่ลงไปภาพย่อยซึ่งก็คือบริษัท
ซึ่งก็คือภาพของการท่องเที่ยว
ช่วงนั้นผมคิดถึงหุ้นเรือสำราญที่ราคาตอนนั้นลงไปน่าจะ 70%
ธรรมชาตินักท่องเที่ยวที่ล่องเรือสำราญมันคือการท่องเที่ยวและพักผ่อนจริงๆ และใช้เงินไม่น้อย ดังนั้นการที่เศรษฐกิจจะกลับมาดีเหมือนเดิมและให้ความมั่นใจให้ลูกค้ากลับไปใช้บริการใหม่มันน่าจะต้องใช้เวลา
พลันคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงต้นปีที่แล้ว ที่แต่ละประเทศไม่ยอมให้เรือเทียบถ้าเลยเพราะกลัวจะมีคนติดโควิดแล้วไปติดคนในประเทศ ผู้โดยสารคงไม่น่าจะกลับมาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะภาพจำที่เห็น และน่าจะมีความกังวลว่าการไปอยู่ในเรืออย่างน้อยหลายวันถ้ามันจะติด โอกาสก็สูง
มันจะมีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่เหมือนกันซะทีเดียวแต่ก็เหมือนกันมากที่สุด
ผมคิดถึงสายการบิน
ซึ่งมีแนวโน้มที่ควรจะกลับมาให้บริการได้เร็วกว่าเรือสำราญ ในประเด็นการใช้เวลาอยู่ในเครื่องบินก็น้อยกว่าในเรืออย่างเห็นได้ชัด(ไม่กี่ชั่วโมง/ครั้ง) ในแง่ค่าใช้จ่ายก็น้อยกว่ามาก แล้วในการเดินทางก็ต้องใส่หน้ากากซึ่งผมคิดว่าคนคุ้นชินกันแล้ว ความปลอดภัยก็มีอยู่สูง แน่นอนผมรู้ข่าววอร์เรนบัฟเฟตขายหุ้นสายการบินทิ้ง แต่เข้าใจว่านั่นเป็นช่วงก่อนที่จะมีความชัดเจนอย่างหนึ่งซึ่งเป็นหัวใจสำคัญเกิดขึ้นตามมา
นั่นคือโซเชียล ดิสแทนส์ หรือการนั่งที่นั่งแบบมีระยะห่าง
ไม่ต้องคาดการณ์ประเมินมูลค่าอย่างรอบคอบ ก็เดาได้แล้วว่ารายได้คงหายไป 50% แล้วถ้าเป็นอย่างนี้กลุ่มนี้ก็จะไม่น่าสนใจอีกเลย (อัตรากำไรสุทธิสมมติ 20% ยังไม่น่าสนใจเลยเพราะรายได้ 100 เหลือ 50)
สุดท้ายการเดินทางด้วยเครื่องบินทุกวันนี้นั่งกันเหมือนเดิม กินอาหารได้เหมือนเดิม สิ่งที่แตกต่างอย่างเดียวคือทุกคนใส่หน้ากากเข้าหากัน
ในไทยมีอยู่4ตัว ba aav thai nok ตัวแรกเป็นตัวที่รอดแน่นอนสถานะทางการเงินเข้มแข็งมั่นคงเน้นการบินที่สมุยและเมืองรอง ตัวที่2บินไปทั่วด้วยสัดส่วนการบินช่วงปกติในประเทศ 60-70% ที่เหลือเป็นต่างประเทศ ในแง่การเงินมีความเสียวกว่าตอนแรกมาก สองตัวหลังเหมือนอยู่กลุ่มเดียวกันคือกลุ่มฟื้นฟูกิจการ
สิ่งที่น่าสนุกคือภาพมันชัดแล้วว่าวัคซีนจะมาในปีนี้เยอะมาก มีวัคซีนก็จบ แต่ดันมีโควิดระบาดรอบสอง ตอนนี้มีแต่คนมองแย่ ยอดการบินเดือนมกราไม่ดีแน่นอน(อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ช่วงหลังคนอยู่ในกรุงเทพบางพื้นที่ สมุทรปราการจะบินไปเที่ยวภูเก็ตต้องมีตรวจโควิดก่อนและลงทะเบียนนะครับ) การจราจรไม่ค่อยติดขัด โบรคส่วนใหญ่แนะนำเลี่ยงการลงทุน วันนี้ทุกอย่างดูไม่ดีเลย มันทำให้ผมคิดถึงตอนที่ทองราคาลงไปต่ำกว่าต้นทุนจากการขุดจากที่เหมือง แล้วสุดท้ายทุกอย่างมันก็จะกลับไปที่เดิมที่มันควรจะเป็น
ที่น่าสนุกกว่าเดิมคือคนรอดมีโอกาสสูงที่จะกินส่วนแบ่งการตลาดของคนที่ไม่รอดหรือคนที่ร่อแร่มาเป็นส่วนแบ่งของตัวเองได้ แล้วการเดินทางโดยเครื่องบินมันไม่ใช่การท่องเที่ยวร้อยเปอร์เซ็นต์มันมีเรื่องของการเดินทางไปทำธุระด้วย ดังนั้นโอกาสเหลือที่นั่งว่างมัน <เรือสำราญ
mint centel ก็ไม่เลวตราบใดที่การท่องเที่ยวกลับมาก็กลับมาได้แต่ความน่าสนใจอาจจะน้อยกว่าสายการบินตรงที่ว่าคนจะนอนโรงแรมไหน กินอาหารที่ไหนก็ได้
มีแนบข้อมูลสำคัญๆในรูปเลยครับ มีเพิ่มเติมอีกหน่อยคือผู้บริหารเครือเอราวัณ ดุสิตธานีมีให้สัมภาษณ์เร็วนี้คิดว่าต่างชาติจะเริ่มกลับมาได้ครึ่งปีหลัง
เบื้องหลังจากใจ:สังเกตเลยว่าตั้งแต่ทำ Page นี้มา คอนเทนท์อะไรก็สู้คอนเทนท์สาระความรู้ที่ได้จากการเจอเซียน&วิเคราะห์หุ้นไม่ได้ ตอนแรกว่าจะเขียนสั้นกว่านี้มากแต่ก็เกรงใจคนที่ติดตามอ่าน มีหลังไมค์มาก็ไม่น้อย เลยเขียนยาวขนาดนี้ แต่จริงๆถ้าฟีตแบคมันดีกว่านี้เยอะคงเขียนแบบหมดเปลือก แต่เท่านี้แต่ละภาคก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงๆแล้ว
เท่านี้แล้วกันครับตอนหน้าคิดว่าน่าจะกลับมาถึงหุ้นรายตัวเอายอดไลค์&แชร์บ้างละ
2564
แนะนำอ่านภาคหนึ่งและสองในโพสต์ด้านล่างก่อนครับ เรียงกันมาเลยเป็น 321
หรือจะกดอ่านจากลิงค์ที่แนบให้ก็ได้ครับ
ภาค1
https://www.facebook.com/10224555446661 ... xtid=0&d=n
ภาค2
https://www.facebook.com/10224555446661 ... xtid=0&d=n
อ่านจบแล้วมาต่อกันเลย
หุ้นที่ขึ้นได้เยอะมี2อย่าง
1หุ้นที่ลงมาเยอะจากสถานการณ์ชั่วคราว
ถ้าสถานการณ์เหมือนเดิมทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมราคาน่าจะกลับไปเหมือนเดิมและเติบโตขึ้นถ้าทุกอย่างดูดีขึ้นรายได้และกำไรมีโอกาสเติบโตขึ้น
2หุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูงจากขนาดของตลาดที่ใหญ่มาก
แล้วบริษัทนั้นนั้นมีโอกาสที่จะกินส่วนแบ่งตลาดได้สูงแต่ตอนนี้ยังมีไม่เยอะ เมื่อไหร่ที่มีความชัดเจนระดับหนึ่งว่ามีโอกาสทิ้งห่างคู่แข่งเยอะมาก(เช่นมีเทคโนโลยี ข้อมูล โนว์ฮาวเหนือกว่าเบอร์สองมากๆ)มันจะขึ้นได้เยอะและมีโอกาสขึ้นได้เยอะอีกหลังจากทุกอย่างชัดเจนเรียบร้อย (รถอีวี เทค) แล้วพอมันชัดแบบโอกาสพลาดน้อย หุ้นมีโอกาสที่จะขึ้นล่วงหน้าหลายปี (ตัวอย่างหนึ่งคือช่วงเดือนเมษาปีที่แล้วความเข้าใจคนส่วนใหญ่วัคซีนมาอย่างเร็วคือกลางปีนี้ หลังจากโดนเซอร์กิตเบรคเกอร์สองวันติดเดือนมีนาหลังจากนั้นก็เป็นขาขึ้นชัดเจนแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาเกินสามถึงหกเดือนก็ตาม)
ขอขยายความข้อ1
ปีที่แล้ว(ย้ำ)ผมมีคิดถึงธีมการลงทุนตอนช่วงปิดเมือง ว่าใครที่โดนโควิทเล่นงานสูงสุด (และแน่นอนยิ่งลงมาเยอะยิ่งกลับไปเยอะ มีข้อแม้อย่างเดียวคืออย่าตายก่อน)
มุมมองนี้เรียกว่า ท๊อปดาวน์ มองจากภาพใหญ่ลงไปภาพย่อยซึ่งก็คือบริษัท
ซึ่งก็คือภาพของการท่องเที่ยว
ช่วงนั้นผมคิดถึงหุ้นเรือสำราญที่ราคาตอนนั้นลงไปน่าจะ 70%
ธรรมชาตินักท่องเที่ยวที่ล่องเรือสำราญมันคือการท่องเที่ยวและพักผ่อนจริงๆ และใช้เงินไม่น้อย ดังนั้นการที่เศรษฐกิจจะกลับมาดีเหมือนเดิมและให้ความมั่นใจให้ลูกค้ากลับไปใช้บริการใหม่มันน่าจะต้องใช้เวลา
พลันคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงต้นปีที่แล้ว ที่แต่ละประเทศไม่ยอมให้เรือเทียบถ้าเลยเพราะกลัวจะมีคนติดโควิดแล้วไปติดคนในประเทศ ผู้โดยสารคงไม่น่าจะกลับมาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะภาพจำที่เห็น และน่าจะมีความกังวลว่าการไปอยู่ในเรืออย่างน้อยหลายวันถ้ามันจะติด โอกาสก็สูง
มันจะมีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่เหมือนกันซะทีเดียวแต่ก็เหมือนกันมากที่สุด
ผมคิดถึงสายการบิน
ซึ่งมีแนวโน้มที่ควรจะกลับมาให้บริการได้เร็วกว่าเรือสำราญ ในประเด็นการใช้เวลาอยู่ในเครื่องบินก็น้อยกว่าในเรืออย่างเห็นได้ชัด(ไม่กี่ชั่วโมง/ครั้ง) ในแง่ค่าใช้จ่ายก็น้อยกว่ามาก แล้วในการเดินทางก็ต้องใส่หน้ากากซึ่งผมคิดว่าคนคุ้นชินกันแล้ว ความปลอดภัยก็มีอยู่สูง แน่นอนผมรู้ข่าววอร์เรนบัฟเฟตขายหุ้นสายการบินทิ้ง แต่เข้าใจว่านั่นเป็นช่วงก่อนที่จะมีความชัดเจนอย่างหนึ่งซึ่งเป็นหัวใจสำคัญเกิดขึ้นตามมา
นั่นคือโซเชียล ดิสแทนส์ หรือการนั่งที่นั่งแบบมีระยะห่าง
ไม่ต้องคาดการณ์ประเมินมูลค่าอย่างรอบคอบ ก็เดาได้แล้วว่ารายได้คงหายไป 50% แล้วถ้าเป็นอย่างนี้กลุ่มนี้ก็จะไม่น่าสนใจอีกเลย (อัตรากำไรสุทธิสมมติ 20% ยังไม่น่าสนใจเลยเพราะรายได้ 100 เหลือ 50)
สุดท้ายการเดินทางด้วยเครื่องบินทุกวันนี้นั่งกันเหมือนเดิม กินอาหารได้เหมือนเดิม สิ่งที่แตกต่างอย่างเดียวคือทุกคนใส่หน้ากากเข้าหากัน
ในไทยมีอยู่4ตัว ba aav thai nok ตัวแรกเป็นตัวที่รอดแน่นอนสถานะทางการเงินเข้มแข็งมั่นคงเน้นการบินที่สมุยและเมืองรอง ตัวที่2บินไปทั่วด้วยสัดส่วนการบินช่วงปกติในประเทศ 60-70% ที่เหลือเป็นต่างประเทศ ในแง่การเงินมีความเสียวกว่าตอนแรกมาก สองตัวหลังเหมือนอยู่กลุ่มเดียวกันคือกลุ่มฟื้นฟูกิจการ
สิ่งที่น่าสนุกคือภาพมันชัดแล้วว่าวัคซีนจะมาในปีนี้เยอะมาก มีวัคซีนก็จบ แต่ดันมีโควิดระบาดรอบสอง ตอนนี้มีแต่คนมองแย่ ยอดการบินเดือนมกราไม่ดีแน่นอน(อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ช่วงหลังคนอยู่ในกรุงเทพบางพื้นที่ สมุทรปราการจะบินไปเที่ยวภูเก็ตต้องมีตรวจโควิดก่อนและลงทะเบียนนะครับ) การจราจรไม่ค่อยติดขัด โบรคส่วนใหญ่แนะนำเลี่ยงการลงทุน วันนี้ทุกอย่างดูไม่ดีเลย มันทำให้ผมคิดถึงตอนที่ทองราคาลงไปต่ำกว่าต้นทุนจากการขุดจากที่เหมือง แล้วสุดท้ายทุกอย่างมันก็จะกลับไปที่เดิมที่มันควรจะเป็น
ที่น่าสนุกกว่าเดิมคือคนรอดมีโอกาสสูงที่จะกินส่วนแบ่งการตลาดของคนที่ไม่รอดหรือคนที่ร่อแร่มาเป็นส่วนแบ่งของตัวเองได้ แล้วการเดินทางโดยเครื่องบินมันไม่ใช่การท่องเที่ยวร้อยเปอร์เซ็นต์มันมีเรื่องของการเดินทางไปทำธุระด้วย ดังนั้นโอกาสเหลือที่นั่งว่างมัน <เรือสำราญ
mint centel ก็ไม่เลวตราบใดที่การท่องเที่ยวกลับมาก็กลับมาได้แต่ความน่าสนใจอาจจะน้อยกว่าสายการบินตรงที่ว่าคนจะนอนโรงแรมไหน กินอาหารที่ไหนก็ได้
มีแนบข้อมูลสำคัญๆในรูปเลยครับ มีเพิ่มเติมอีกหน่อยคือผู้บริหารเครือเอราวัณ ดุสิตธานีมีให้สัมภาษณ์เร็วนี้คิดว่าต่างชาติจะเริ่มกลับมาได้ครึ่งปีหลัง
เบื้องหลังจากใจ:สังเกตเลยว่าตั้งแต่ทำ Page นี้มา คอนเทนท์อะไรก็สู้คอนเทนท์สาระความรู้ที่ได้จากการเจอเซียน&วิเคราะห์หุ้นไม่ได้ ตอนแรกว่าจะเขียนสั้นกว่านี้มากแต่ก็เกรงใจคนที่ติดตามอ่าน มีหลังไมค์มาก็ไม่น้อย เลยเขียนยาวขนาดนี้ แต่จริงๆถ้าฟีตแบคมันดีกว่านี้เยอะคงเขียนแบบหมดเปลือก แต่เท่านี้แต่ละภาคก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงๆแล้ว
เท่านี้แล้วกันครับตอนหน้าคิดว่าน่าจะกลับมาถึงหุ้นรายตัวเอายอดไลค์&แชร์บ้างละ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3427
ซั่มหุ้น ปี64 20 มค 2021
ปัญหาโลกแตกในตลาดหุ้น ซื้อเมื่อไหร่&ขายเมื่อไหร่
หลังช่วงcovid จะเห็นหุ้นขึ้นเยอะมาก และมีปัญหาว่าจะขายตอนไหนดี
น้องออฟมาแชร์มุมมองเรื่องนี้
หัวข้อ
1.ซื้อหุ้นอะไรดี
2.ซื้อเมื่อไหร่
3.ขายเมื่อไหร่
1.ซื้อหุ้นอะไรดี : หุ้นที่มีปัจจัย
1.1แนววีไอ&หุ้นgrowth จับที่core business แล้วไปดูเรื่องอื่น ถ้าดีจริง แต่ราคายังไม่ขึ้น ไม่กลัวที่จะซื้อเลย
-ดูเรื่องกิจการที่ดี
-มีการเติบโต เน้นหุ้นเติบโต
-ราคาสมเหตุ&ผล ไม่ได้เน้นราคาถูก
บางครั้งนักวิเคราะห์ไปเจาะประเด็นและมาเผยแพร่ให้คนทั่วไปรู้ ทำให้ราคาวิ่งเลย
1.2แนวเก็งกำไรด้วยพื้นฐาน เช่นเก็งงบที่จะออกดี หรือ เก็งstory แต่ไม่สามารถทำต่อได้บ่อยๆ
-เก็งงบ
-เก็งstory
-เก็งการประมูลงาน
การลงทุนดูพื้นฐานเหมือนกันกับเก็งกำไรด้วยพื้นฐาน
1.3แนวเก็งกำไร กราฟเทคนิคมีหลายสาย เล่นสั้น เล่นยาว
เก็งด้วยกราฟ ไม่สนใจซื้อถูก แต่ซื้อแล้วขึ้นหรือเปล่า ต้องซื้อในแนวโน้มขาขึ้น
-เก็งแรงซื้อ
-เก็งแนวโน้มขาขึ้น
ทุกแนว มีแนวทางของตัวเอง แต่บางครั้งอาจเป็นหุ้นตัวเดียวกันได้
เวลาเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับนักลงทุน
สายลงทุน เมื่อซื้อหุ้นที่ดี เวลาเป็นเพื่อนที่ดีของนักลงทุน
บางทีซื้อแพง เวลาก็มาช่วยทำให้เกิดกำไรในที่สุด
2. ซื้อเมื่อไหร่
2.1แนววีไอ&growth
-ดูที่ความคุ้มค่า
-upside ในเวลาหนึ่งปี หุ้นควรจะขึ้นเท่าไหร่ ถ้าส่วนต่างกว้างเช่น 30%ก็ถือเป็นโอกาสซื้อ
-ถ้าหุ้นไม่ขึ้น เราจะได้อะไร สำคัญมาก หลายครั้ง ซื้อแล้วหุ้นไม่ขึ้น
Upside จากหุ้นแพงแล้วมีโอกาสแพงได้อีก เราไปจับในจังหวะที่แพงเกินไป
สิ่งที่ได้ คือหุ้นที่แพง ถ้าเราคิดผิด ผลก็ไม่เกิด คือ ราคาไม่ขึ้น
ที่เราได้ 1. Dividend 4-5%
2.ได้ราคามาถูกเช่น PE 15 เท่า ปีหน้า PE จะลดลง เพราะหุ้นมีการเติบโต
หุ้นดี แต่อนาคตไม่ดี ก็ลงได้ ถ้าหุ้นที่ดี แต่ช่วงวิกฤตเช่น Covid ถูกdriveด้วยความกลัว
ก็มีโอกาสลงเยอะกว่าปกติ แต่ขึ้นกลับไปเป็น2เท่า
ถ้ามนุษย์ยังมีความกลัว ก็จะเกิดแบบนี้อีก คนที่รู้ก็จะใช้โอกาสนี้ซื้อหุ้นถูก
ถ้าเราเข้าใจภาพนี้ การpanicก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร
2.2 การเก็งกำไรพื้นฐาน
-เก็งงบ เช่น stockบวม แสดงว่ายอดขายจะโตในไตรมาสหน้า รวมถึงได้ต้นทุนดี ก็จะได้กำไรเยอะ
-storyมา
-ตัวปลดล๊อคมูลค่าหุ้น
-Upside
2.3 เก็งกำไร กราฟเทคนิค
-มีdemandเข้ามา
-ผ่านแนวต้านสำคัญ
-ทำnew high
-ย่อตัวในขาขึ้น
Fact ของการซื้อหุ้น
-เราไม่สามารถซื้อได้ที่ราคาต่ำสุด ไม่ต้องซีเรียส
-ซื้อเมื่อควรซื้อ เราจะรู้ด้วยตัวเองว่าตอนไหนน่าซื้อ บางครั้งถ้าหุ้นขึ้นไปก่อนเช่นเขียวสองวันติด ก็จะไม่ซื้อแล้ว
-ไม่ซื้อเพราะอยากซื้อ หรือ คิดว่าราคาจะขึ้น
พยายามไม่ใช้อารมณ์ในทุกขณะของการลงทุน
การประเมิน Upside (ผลตอบแทนของการลงทุน)
1.ประเมินแบบ Conservative ประเมินหุ้นที่เราประเมินได้ ถ้าไม่เข้าใจต้องหาวิธีอื่น
-ประเมิน รายได้-กำไร แบบโอกาสพลาดน้อย
2.คิดเผื่อคนซื้อ
-ทำไมจะมีคนมาซื้อต่อจากเรา
-ความเป็นไปได้ มีราคาที่คนยอมจ่าย
3.ขายเมื่อไหร่
3.1 แนววีไอ
-พื้นฐานเปลี่ยน
-Upside เหลือน้อย ไม่รอให้ถึงเป้า อาจไปก่อน เพื่อเข้าตัวใหม่
-ถึงแม้upsideเหลือน้อย แต่ไม่ขาย แล้วมองภาพใหญ่ มีโอกาสโตได้อีก หรืออยู่ในMega trend เช่นหุ้นค้าปลีก
3.2 เก็งกำไรพื้นฐาน
-เราคิดผิด
-Upside เหลือน้อย
3.3 เก็งกำไร กราฟเทคนิค
-หลุดแนวรับ
-ถึงจุดตัดขาดทุน
Factของการขาย
-เราไม่สามารถขายได้ราคาสูงสุด เป็นปกติ
-อย่าเป็นคนที่ตกใจง่ายในตลาดหุ้น
-จุดที่น่าขายที่สุดในตลาด คือจุดที่ไม่ควรขาย ส่วนใหญ่ที่ขายเพราะคนอื่นขาย เราก็ขายตาม
-ซื้อเพราะสิ่งใด ขายเมื่อสิ่งนั้นหมดไป
สุดท้ายขอขอบคุณน้องออฟที่มาให้ความรู้นะครับ
ปัญหาโลกแตกในตลาดหุ้น ซื้อเมื่อไหร่&ขายเมื่อไหร่
หลังช่วงcovid จะเห็นหุ้นขึ้นเยอะมาก และมีปัญหาว่าจะขายตอนไหนดี
น้องออฟมาแชร์มุมมองเรื่องนี้
หัวข้อ
1.ซื้อหุ้นอะไรดี
2.ซื้อเมื่อไหร่
3.ขายเมื่อไหร่
1.ซื้อหุ้นอะไรดี : หุ้นที่มีปัจจัย
1.1แนววีไอ&หุ้นgrowth จับที่core business แล้วไปดูเรื่องอื่น ถ้าดีจริง แต่ราคายังไม่ขึ้น ไม่กลัวที่จะซื้อเลย
-ดูเรื่องกิจการที่ดี
-มีการเติบโต เน้นหุ้นเติบโต
-ราคาสมเหตุ&ผล ไม่ได้เน้นราคาถูก
บางครั้งนักวิเคราะห์ไปเจาะประเด็นและมาเผยแพร่ให้คนทั่วไปรู้ ทำให้ราคาวิ่งเลย
1.2แนวเก็งกำไรด้วยพื้นฐาน เช่นเก็งงบที่จะออกดี หรือ เก็งstory แต่ไม่สามารถทำต่อได้บ่อยๆ
-เก็งงบ
-เก็งstory
-เก็งการประมูลงาน
การลงทุนดูพื้นฐานเหมือนกันกับเก็งกำไรด้วยพื้นฐาน
1.3แนวเก็งกำไร กราฟเทคนิคมีหลายสาย เล่นสั้น เล่นยาว
เก็งด้วยกราฟ ไม่สนใจซื้อถูก แต่ซื้อแล้วขึ้นหรือเปล่า ต้องซื้อในแนวโน้มขาขึ้น
-เก็งแรงซื้อ
-เก็งแนวโน้มขาขึ้น
ทุกแนว มีแนวทางของตัวเอง แต่บางครั้งอาจเป็นหุ้นตัวเดียวกันได้
เวลาเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับนักลงทุน
สายลงทุน เมื่อซื้อหุ้นที่ดี เวลาเป็นเพื่อนที่ดีของนักลงทุน
บางทีซื้อแพง เวลาก็มาช่วยทำให้เกิดกำไรในที่สุด
2. ซื้อเมื่อไหร่
2.1แนววีไอ&growth
-ดูที่ความคุ้มค่า
-upside ในเวลาหนึ่งปี หุ้นควรจะขึ้นเท่าไหร่ ถ้าส่วนต่างกว้างเช่น 30%ก็ถือเป็นโอกาสซื้อ
-ถ้าหุ้นไม่ขึ้น เราจะได้อะไร สำคัญมาก หลายครั้ง ซื้อแล้วหุ้นไม่ขึ้น
Upside จากหุ้นแพงแล้วมีโอกาสแพงได้อีก เราไปจับในจังหวะที่แพงเกินไป
สิ่งที่ได้ คือหุ้นที่แพง ถ้าเราคิดผิด ผลก็ไม่เกิด คือ ราคาไม่ขึ้น
ที่เราได้ 1. Dividend 4-5%
2.ได้ราคามาถูกเช่น PE 15 เท่า ปีหน้า PE จะลดลง เพราะหุ้นมีการเติบโต
หุ้นดี แต่อนาคตไม่ดี ก็ลงได้ ถ้าหุ้นที่ดี แต่ช่วงวิกฤตเช่น Covid ถูกdriveด้วยความกลัว
ก็มีโอกาสลงเยอะกว่าปกติ แต่ขึ้นกลับไปเป็น2เท่า
ถ้ามนุษย์ยังมีความกลัว ก็จะเกิดแบบนี้อีก คนที่รู้ก็จะใช้โอกาสนี้ซื้อหุ้นถูก
ถ้าเราเข้าใจภาพนี้ การpanicก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร
2.2 การเก็งกำไรพื้นฐาน
-เก็งงบ เช่น stockบวม แสดงว่ายอดขายจะโตในไตรมาสหน้า รวมถึงได้ต้นทุนดี ก็จะได้กำไรเยอะ
-storyมา
-ตัวปลดล๊อคมูลค่าหุ้น
-Upside
2.3 เก็งกำไร กราฟเทคนิค
-มีdemandเข้ามา
-ผ่านแนวต้านสำคัญ
-ทำnew high
-ย่อตัวในขาขึ้น
Fact ของการซื้อหุ้น
-เราไม่สามารถซื้อได้ที่ราคาต่ำสุด ไม่ต้องซีเรียส
-ซื้อเมื่อควรซื้อ เราจะรู้ด้วยตัวเองว่าตอนไหนน่าซื้อ บางครั้งถ้าหุ้นขึ้นไปก่อนเช่นเขียวสองวันติด ก็จะไม่ซื้อแล้ว
-ไม่ซื้อเพราะอยากซื้อ หรือ คิดว่าราคาจะขึ้น
พยายามไม่ใช้อารมณ์ในทุกขณะของการลงทุน
การประเมิน Upside (ผลตอบแทนของการลงทุน)
1.ประเมินแบบ Conservative ประเมินหุ้นที่เราประเมินได้ ถ้าไม่เข้าใจต้องหาวิธีอื่น
-ประเมิน รายได้-กำไร แบบโอกาสพลาดน้อย
2.คิดเผื่อคนซื้อ
-ทำไมจะมีคนมาซื้อต่อจากเรา
-ความเป็นไปได้ มีราคาที่คนยอมจ่าย
3.ขายเมื่อไหร่
3.1 แนววีไอ
-พื้นฐานเปลี่ยน
-Upside เหลือน้อย ไม่รอให้ถึงเป้า อาจไปก่อน เพื่อเข้าตัวใหม่
-ถึงแม้upsideเหลือน้อย แต่ไม่ขาย แล้วมองภาพใหญ่ มีโอกาสโตได้อีก หรืออยู่ในMega trend เช่นหุ้นค้าปลีก
3.2 เก็งกำไรพื้นฐาน
-เราคิดผิด
-Upside เหลือน้อย
3.3 เก็งกำไร กราฟเทคนิค
-หลุดแนวรับ
-ถึงจุดตัดขาดทุน
Factของการขาย
-เราไม่สามารถขายได้ราคาสูงสุด เป็นปกติ
-อย่าเป็นคนที่ตกใจง่ายในตลาดหุ้น
-จุดที่น่าขายที่สุดในตลาด คือจุดที่ไม่ควรขาย ส่วนใหญ่ที่ขายเพราะคนอื่นขาย เราก็ขายตาม
-ซื้อเพราะสิ่งใด ขายเมื่อสิ่งนั้นหมดไป
สุดท้ายขอขอบคุณน้องออฟที่มาให้ความรู้นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3428
กลยุทธ์วีไอปี64 ตอนที่7 ทิวา ชินธาดาพงศ์
ดร ไพบูลย์และ ดร นิเวศน์ ดำเนินรายการ
กลยุทธ์วีไอในปี63 ของคุณมี่ หลังcrisis ทำให้หุ้นลงไป ถึง969 จุด
ทำให้การลงทุนง่ายขึ้น หุ้นตัวไหนที่เราศึกษา จะเห็นupsideแต่ละตัวได้ชัด ทำให้ลงทุนง่าย
พอถึงปี64 การvaluationตลาด EPSตลาดปีที่แล้วปิดปีที่53บาทต่อหุ้น
ปีนี้จะได้ประมาณสูงสุด 78บาท แต่พอเจอCovidตั้งแต่ต้นปี64
ทุกคนปรับEPSตลาดเหลือ62-66 บาท จริงๆแล้ว
มองด้วยPBไม่แพงแต่มีปัญหาในการมอง ปีที่แล้วเป็นปีแห่งการเล่นหุ้น
ปีนี้เป็นปีแห่งการเลือกหุ้น
ปี63 มีเหตุการณ์พิเศษ 2-3 เรื่อง
1.คนว่างงานกันเยอะ ปกติตลาดหลักทรัพย์มีคนเปิดบัญชีใหม่300,000-350,000คน
แต่ปีที่แล้วมีการเปิดบัญชีใหม่ 660,000 คน
2. ตลาดหลักทรัพย์เก็บข้อมูลปกติคนเทรดจริงแค่300,000คน
ปีที่แล้วมีคนเทรดจริง500,000คน มีน้องใหม่เข้ามา ซึ่งหลายสื่อเชียร์หุ้น
ทำให้เกิดการเก็งกำไร
ตลาดหุ้นที่ดัชนี 1,500—1,600 จุดด้วยEPSตลาดแบบนี้ คิดว่าเต็มมูลค่าไปแล้ว
อจ ไพบูลย์เสริมว่า ภัทรมองนักท่องเที่ยวปีนี้เข้ามาเพียง 2ล้านคนเอง
คุณมี่บอกว่าปีนี้การลงทุนหุ้นถือว่ายาก ต้องเลือกหุ้นที่ดี และดูกำไร(EPS)
ตลาดกลับมาอยู่ในหมวดที่มีเหตุผล
ปีที่แล้ว หุ้น100ตัว มีหุ้นunder valueให้เลือกถึง 60-70ตัว
แต่ปีนี้จะมีหุ้นunder valueให้ดูแค่20ตัว ต้องดูให้ดี
อจ นิเวศน์ บอกว่าปีนี้เปิดปีนี้ด้วยความสุดยอด ขึ้น6-7%
คุณมี่บอกว่าด้วยEPSขนาดนี้ หุ้นใหญ่จะไปไกลกว่านี้ก็ลำบาก
แต่หุ้นตัวเล็ก มีกำไรnew high
การแข่งขันทางธุรกิจยากขึ้น มีคู่แข่งจากจีนเข้ามา การวิเคราะห์หุ้นก็เหมือนกัน
ปีนี้ ต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น
อจ นิเวศน์บอกว่า มีหุ้นที่ไม่ขึ้นอีกเยอะ นักลงทุนรุ่นใหม่อดทนน้อย
แค่ไม่ขึ้น3วัน ก็ไม่ถือแล้ว
สถานการณ์แบบนี้ คุณมี่มองว่าเปลี่ยน
แต่ตลาดหุ้นมีการหลอกล่อ บางทีอาจเจอ3-4ปีที่หุ้นไม่ขึ้น
คุณมี่ เคยฟังเทปmoneytalkที่ โจเอล กรีนแบตพูดถึง Magic formula แล้วชอบมาก
เพราะบางครั้งการลงทุนในแนววีไอ อาจได้ผลตอบแทนไม่ดี แค่ 5-6%ในบางช่วง
ดัชนีDJ ปี2000-2010 ไม่ค่อยไปไหน เพราะเจอวิกฤตหลายรอบ เช่น Crisis ดอดคอม , แฮมเบอร์เกอร์
แต่มีกองทุนที่ทำเฉลี่ยทบต้นได้ปีละ 18% แต่นักลงทุนในกองนี้ -11% เพราะนักลงทุนซื้อขายตลอดเวลา
อจ นิเวศน์พูดถึง ตลาดหุ้นเวียดนามที่ไม่ไปไหนหลายปี ปีนี้ขึ้นดีมาก
แต่คุณมี่ก็เชื่อในการลงทุนวีไอ และมั่นใจในตัว อจ นิเวศน์ ที่เปรียบวีไอคล้ายๆเต่า
การลงทุนแบบเต่า ลักษณะของเต่า คือ กินอะไรที่อยู่นิ่ง (หมายถึงเคลื่อนไหวช้า แต่มั่นคง)
แต่การกินของปลา ชอบกินเหยื่อที่กระดุกกระดิก และ ปลาความจำสั้น
ส่วนเต่าความจำแม่น จำฐานที่เกิดได้ วางไข่ที่หาดที่เต่าเกิด
ตอนนี้อาจเป็นช่วงที่ปลาทองกำลังเล่นหุ้นอยู่ ส่วนเต่าก็เหงาหงอยเศร้าซึม
อจ ไพบูลย์ถามคุณมี่ ถึงตลาดหุ้นเวียดนาม และ หุ้นต่างประเทศที่มีPEสูง มองว่าอย่างไร
คุณมีตอบว่า ต้องดูในแต่ละตลาด เช่น ตลาดอเมริกา เคยเข้าไปศึกษา (น้องที่เข้าไปลงทุนได้กำไรดีมาก)
พบว่ามีหุ้นกลุ่มเดียวที่ขึ้น เลยต้องศึกษาให้ดีก่อนลงทุน
การลงทุนในอเมริกา ก็คล้ายกับลงทุนในไทย คนฉลาดชนะ คนโง่แพ้
แต่ปี2008-2014 นั้น ถึงแม้คนโง่มาลงทุนในตลาดหุ้น ก็ชนะ
ไม่ต้องรู้เรื่องหุ้นเยอะ แต่ภาพรวมของธุรกิจดี GDPโต
ดังนั้นแบ่งแยกตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรก ตลาดหุ้นที่คนเก่งเท่านั้นถึงจะทำกำไรได้ ผมไม่สนใจ ลงทุนหุ้นไทยดีกว่า
กลุ่มที่สองที่สนใจ มีตลาดหุ้นต่างประเทศสองตลาดที่น่าสนใจ
เมืองจีนและเวียดนาม มีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างGDP
ที่เห็นได้ชัดคือ Covid กระทบรุนแรง แต่GDPของจีนและเวียดนามเป็นบวก
PE ก็ไม่ได้แพงมาก จีน A share PE 15 เท่า , H share 8 เท่า เปรียบกับ
PE ตลาดหุ้นอเมริกา 28 เท่า
ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม PE 20 เท่า ก็ยังมองว่าOkเมื่อเทียบกับการเติบโต
เราไปสองประเทศนี้ที่กำลังเติบโตสูง 6-7% ถึงแม้เราไม่เก่งสุด แต่เราก็โตไปกับเขาได้
อินโดนีเซียก็น่าสนใจ GDPก็โตมาก
ตอนนี้คุณมี่ ไปจีนประเทศเดียว ในสัดส่วน30%ของPort
ก่อนหน้านี้ลงทุนหุ้นเล็ก แต่ต่อมาเริ่มเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นที่ทุกๆคนรู้จัก
(มาจากการฟังคุณตันเลือกตำแหน่งของที่ดินที่ซื้อ ต้องเป็นที่รู้จัก)
เช่น Xiaomi , กล้อง Hi-vision
เพื่อกันแรงการโกง ถึงแม้PEสูงก็ตาม Xiaomi ซื้อตั้งแต่ 10เหรียญ ตั้งแต่ April 2020
อจ ไพบูลย์ บอกว่า คนทั่วไปเลือกหุ้นรายตัวยาก แนะนำลงทุนผ่านกองทุนรวมไหม
คุณมี่ตอบว่า สามารถลงทุนผ่านกองทุน หรือ ETFได้ ยิ่งถ้าเป็นการลงทุนETFในจีน
จะมีแยกETFที่ลงทุนในแต่ละแบบ เช่น กลุ่มTechnology ซื้อ K wave เลย
ส่วน consumer ให้ซื้อ หนงฝู ขายน้ำแร่ หรือ เหมาไถ ที่ขายเหล้า
ไม่แนะนำให้ดัชนีรวม เพราะหุ้นธนาคารไม่ไปไหนเลย
เดี๋ยวนี้ กองทุนไทย เริ่มมีให้แยกซื้อแต่ละกลุ่ม หรือ หุ้นตามTrendได้แล้ว
(Fund of Fund) แต่มีข้อเสียคือ เสียค่าธรรมเนียมทั้งสองฝั่งคือค่าบริหารทั้งฝั่งไทยและจีน
อจ ไพบูลย์ เสริมว่ายังค่าธรรมเนียม Front end ตอนซื้อกองทุนด้วย
คุณมี่ พูดถึงการลงทุนในETFว่า จะไม่พยายามเก็งกำไร เข้าออก แต่จะลงทุนแบบวีไอ
และตั้งใจว่าจะถือยาว ไม่ขาย แต่การลงทุนในหุ้นไทย จะถือแค่1-2ปี
เช่น Xiaomi มองเรื่องIOT เป็น Theme ระยะยาว
ส่วนที่ลงทุนใน Hivision จะมองTheme Smart city ซึ่งจะใช้กล้องเยอะมาก
เดี๋ยวนี้นอกจากการดูเรื่องการจราจรแล้ว ยังเอามาจัดการเรื่องเวลาในการเปิด ปิดไฟจราจรด้วย
ถือเป็น Mega trend ของต่างประเทศจริงๆ
ดร ไพบูลย์และ ดร นิเวศน์ ดำเนินรายการ
กลยุทธ์วีไอในปี63 ของคุณมี่ หลังcrisis ทำให้หุ้นลงไป ถึง969 จุด
ทำให้การลงทุนง่ายขึ้น หุ้นตัวไหนที่เราศึกษา จะเห็นupsideแต่ละตัวได้ชัด ทำให้ลงทุนง่าย
พอถึงปี64 การvaluationตลาด EPSตลาดปีที่แล้วปิดปีที่53บาทต่อหุ้น
ปีนี้จะได้ประมาณสูงสุด 78บาท แต่พอเจอCovidตั้งแต่ต้นปี64
ทุกคนปรับEPSตลาดเหลือ62-66 บาท จริงๆแล้ว
มองด้วยPBไม่แพงแต่มีปัญหาในการมอง ปีที่แล้วเป็นปีแห่งการเล่นหุ้น
ปีนี้เป็นปีแห่งการเลือกหุ้น
ปี63 มีเหตุการณ์พิเศษ 2-3 เรื่อง
1.คนว่างงานกันเยอะ ปกติตลาดหลักทรัพย์มีคนเปิดบัญชีใหม่300,000-350,000คน
แต่ปีที่แล้วมีการเปิดบัญชีใหม่ 660,000 คน
2. ตลาดหลักทรัพย์เก็บข้อมูลปกติคนเทรดจริงแค่300,000คน
ปีที่แล้วมีคนเทรดจริง500,000คน มีน้องใหม่เข้ามา ซึ่งหลายสื่อเชียร์หุ้น
ทำให้เกิดการเก็งกำไร
ตลาดหุ้นที่ดัชนี 1,500—1,600 จุดด้วยEPSตลาดแบบนี้ คิดว่าเต็มมูลค่าไปแล้ว
อจ ไพบูลย์เสริมว่า ภัทรมองนักท่องเที่ยวปีนี้เข้ามาเพียง 2ล้านคนเอง
คุณมี่บอกว่าปีนี้การลงทุนหุ้นถือว่ายาก ต้องเลือกหุ้นที่ดี และดูกำไร(EPS)
ตลาดกลับมาอยู่ในหมวดที่มีเหตุผล
ปีที่แล้ว หุ้น100ตัว มีหุ้นunder valueให้เลือกถึง 60-70ตัว
แต่ปีนี้จะมีหุ้นunder valueให้ดูแค่20ตัว ต้องดูให้ดี
อจ นิเวศน์ บอกว่าปีนี้เปิดปีนี้ด้วยความสุดยอด ขึ้น6-7%
คุณมี่บอกว่าด้วยEPSขนาดนี้ หุ้นใหญ่จะไปไกลกว่านี้ก็ลำบาก
แต่หุ้นตัวเล็ก มีกำไรnew high
การแข่งขันทางธุรกิจยากขึ้น มีคู่แข่งจากจีนเข้ามา การวิเคราะห์หุ้นก็เหมือนกัน
ปีนี้ ต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น
อจ นิเวศน์บอกว่า มีหุ้นที่ไม่ขึ้นอีกเยอะ นักลงทุนรุ่นใหม่อดทนน้อย
แค่ไม่ขึ้น3วัน ก็ไม่ถือแล้ว
สถานการณ์แบบนี้ คุณมี่มองว่าเปลี่ยน
แต่ตลาดหุ้นมีการหลอกล่อ บางทีอาจเจอ3-4ปีที่หุ้นไม่ขึ้น
คุณมี่ เคยฟังเทปmoneytalkที่ โจเอล กรีนแบตพูดถึง Magic formula แล้วชอบมาก
เพราะบางครั้งการลงทุนในแนววีไอ อาจได้ผลตอบแทนไม่ดี แค่ 5-6%ในบางช่วง
ดัชนีDJ ปี2000-2010 ไม่ค่อยไปไหน เพราะเจอวิกฤตหลายรอบ เช่น Crisis ดอดคอม , แฮมเบอร์เกอร์
แต่มีกองทุนที่ทำเฉลี่ยทบต้นได้ปีละ 18% แต่นักลงทุนในกองนี้ -11% เพราะนักลงทุนซื้อขายตลอดเวลา
อจ นิเวศน์พูดถึง ตลาดหุ้นเวียดนามที่ไม่ไปไหนหลายปี ปีนี้ขึ้นดีมาก
แต่คุณมี่ก็เชื่อในการลงทุนวีไอ และมั่นใจในตัว อจ นิเวศน์ ที่เปรียบวีไอคล้ายๆเต่า
การลงทุนแบบเต่า ลักษณะของเต่า คือ กินอะไรที่อยู่นิ่ง (หมายถึงเคลื่อนไหวช้า แต่มั่นคง)
แต่การกินของปลา ชอบกินเหยื่อที่กระดุกกระดิก และ ปลาความจำสั้น
ส่วนเต่าความจำแม่น จำฐานที่เกิดได้ วางไข่ที่หาดที่เต่าเกิด
ตอนนี้อาจเป็นช่วงที่ปลาทองกำลังเล่นหุ้นอยู่ ส่วนเต่าก็เหงาหงอยเศร้าซึม
อจ ไพบูลย์ถามคุณมี่ ถึงตลาดหุ้นเวียดนาม และ หุ้นต่างประเทศที่มีPEสูง มองว่าอย่างไร
คุณมีตอบว่า ต้องดูในแต่ละตลาด เช่น ตลาดอเมริกา เคยเข้าไปศึกษา (น้องที่เข้าไปลงทุนได้กำไรดีมาก)
พบว่ามีหุ้นกลุ่มเดียวที่ขึ้น เลยต้องศึกษาให้ดีก่อนลงทุน
การลงทุนในอเมริกา ก็คล้ายกับลงทุนในไทย คนฉลาดชนะ คนโง่แพ้
แต่ปี2008-2014 นั้น ถึงแม้คนโง่มาลงทุนในตลาดหุ้น ก็ชนะ
ไม่ต้องรู้เรื่องหุ้นเยอะ แต่ภาพรวมของธุรกิจดี GDPโต
ดังนั้นแบ่งแยกตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรก ตลาดหุ้นที่คนเก่งเท่านั้นถึงจะทำกำไรได้ ผมไม่สนใจ ลงทุนหุ้นไทยดีกว่า
กลุ่มที่สองที่สนใจ มีตลาดหุ้นต่างประเทศสองตลาดที่น่าสนใจ
เมืองจีนและเวียดนาม มีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างGDP
ที่เห็นได้ชัดคือ Covid กระทบรุนแรง แต่GDPของจีนและเวียดนามเป็นบวก
PE ก็ไม่ได้แพงมาก จีน A share PE 15 เท่า , H share 8 เท่า เปรียบกับ
PE ตลาดหุ้นอเมริกา 28 เท่า
ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม PE 20 เท่า ก็ยังมองว่าOkเมื่อเทียบกับการเติบโต
เราไปสองประเทศนี้ที่กำลังเติบโตสูง 6-7% ถึงแม้เราไม่เก่งสุด แต่เราก็โตไปกับเขาได้
อินโดนีเซียก็น่าสนใจ GDPก็โตมาก
ตอนนี้คุณมี่ ไปจีนประเทศเดียว ในสัดส่วน30%ของPort
ก่อนหน้านี้ลงทุนหุ้นเล็ก แต่ต่อมาเริ่มเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นที่ทุกๆคนรู้จัก
(มาจากการฟังคุณตันเลือกตำแหน่งของที่ดินที่ซื้อ ต้องเป็นที่รู้จัก)
เช่น Xiaomi , กล้อง Hi-vision
เพื่อกันแรงการโกง ถึงแม้PEสูงก็ตาม Xiaomi ซื้อตั้งแต่ 10เหรียญ ตั้งแต่ April 2020
อจ ไพบูลย์ บอกว่า คนทั่วไปเลือกหุ้นรายตัวยาก แนะนำลงทุนผ่านกองทุนรวมไหม
คุณมี่ตอบว่า สามารถลงทุนผ่านกองทุน หรือ ETFได้ ยิ่งถ้าเป็นการลงทุนETFในจีน
จะมีแยกETFที่ลงทุนในแต่ละแบบ เช่น กลุ่มTechnology ซื้อ K wave เลย
ส่วน consumer ให้ซื้อ หนงฝู ขายน้ำแร่ หรือ เหมาไถ ที่ขายเหล้า
ไม่แนะนำให้ดัชนีรวม เพราะหุ้นธนาคารไม่ไปไหนเลย
เดี๋ยวนี้ กองทุนไทย เริ่มมีให้แยกซื้อแต่ละกลุ่ม หรือ หุ้นตามTrendได้แล้ว
(Fund of Fund) แต่มีข้อเสียคือ เสียค่าธรรมเนียมทั้งสองฝั่งคือค่าบริหารทั้งฝั่งไทยและจีน
อจ ไพบูลย์ เสริมว่ายังค่าธรรมเนียม Front end ตอนซื้อกองทุนด้วย
คุณมี่ พูดถึงการลงทุนในETFว่า จะไม่พยายามเก็งกำไร เข้าออก แต่จะลงทุนแบบวีไอ
และตั้งใจว่าจะถือยาว ไม่ขาย แต่การลงทุนในหุ้นไทย จะถือแค่1-2ปี
เช่น Xiaomi มองเรื่องIOT เป็น Theme ระยะยาว
ส่วนที่ลงทุนใน Hivision จะมองTheme Smart city ซึ่งจะใช้กล้องเยอะมาก
เดี๋ยวนี้นอกจากการดูเรื่องการจราจรแล้ว ยังเอามาจัดการเรื่องเวลาในการเปิด ปิดไฟจราจรด้วย
ถือเป็น Mega trend ของต่างประเทศจริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3429
E-AGM FTREIT 27 Jan 2021 14.00
มีผู้เข้าประชุมจำนวน 478 ราย คิดเป็นจำนวนหน่วย 2,189,873,751 หน่วย
วาระที่1 รับทราบผลการดำเนินงานที่ผ่านมาในรอบปี2563 ( 1 oct 62 - 30 sep 63 )
สรุปผลการดำเนินงานทางด้านบริหารอสังหาริมทรัพย์
ภาพรวมของกองทรัสต์
อัตราการเช่าเฉลี่ย ปี63 = 83.6% เพิ่มขึ้นจากปี 62 เท่ากับ 1%
แบ่งเป็น กรุงเทพตอนเหนือ อัตราการเช่าเฉลี่ย 75% เพิ่มขึ้น 2.5%
กรุงเทพ ตะวันออก อัตราการเช่าเฉลี่ย 98% ลดลง 1.4%
EEC. อัตราการเช่าเฉลี่ย 83.8% เพิ่มขึ้น 0.9%
ภาพรวมของ port
ได้มีการลดค่าเช่าสำหรับผู้ที่เดือดร้อนจากCovid-19 นับจากมีนาคม 63 ถึงเมษายน 64 คิดเป็น 16 ลบ
ค่าเช่าที่คิดลด =0.6% ของรายได้ค่าเช่าทั้งหมด
สัญญาเช่าจะหมดอายุในปี64 คิดเป็น 29.5% ของสัญญาเช่าทั้งหมด
ทางทรัสต์พยายามจะต่อกับรายเดิม หรือ หารายใหม่ ซึ่งเป้าหมายการต่ออายุไม่ต่ำกว่า 80%ในแต่ละปี
ฐานผู้เช่าหลากหลาย ไม่มีรายใดมากกว่า 10%
ยานยนต์ 26%
Logistic. 26%
Electronic 21%
อื่นๆ 19%
ค้าปลีก 6%
แยกเป็นประเทศที่เข้ามาเช่า
Japan 46%
EU. 20%
Thai. 16%
Asia ex japan 15%
US. 3%
การบริหารจัดการหนี้ ที่มีภาระดอกเบี้ย
ปี64. 43.1% แบ่งเป็น
เงินกู้ระยะสั้น 2,858 ลบ
หุ้นกู้ที่ครบกำหนด 2,100 ลบ
ดูรายละเอียดจากรูป
ผลการดำเนินงาน
รายได้. 3,048 ลบ เพิ่มขึ้น 8.6%
ต้นทุนเช่าและบริการ 192 ลบ ลดลง 45.1%
ต้นทุนทางการเงิน 315 ลบ เพิ่มขึ้น 16%
รายได้จากการลงทุน 2,099 ลบ เพิ่มขึ้น 20%
Net profit margin 1,200 ลบ ลดลง 33.1%
เพราะมีผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์
งบดุลที่แข็งแกร่ง
มีเงินลงทุนในอสังหา 41,144 ลบ
รวมสินทรัพย์ 42,870 ลบ เพิ่มขึ้น 11.4%
สินทรัพย์สุทธิ 29,975 ลบ เพิ่มขึ้น 9.0%
NAV ปรับเพิ่มเป็น 10.6203 บาทต่อหน่วย
Q: การลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมปีนี้เป็นโรงงาน คลังสินค้า หรืออะไรที่เกี่ยวข้องใช่ไหม
A: ปีนี้เน้น อุตสาหกรรมที่เติบโตให้ผลตอบแทนดี เราเน้นในIndustrial property
เช่นโรงงาน คลังสินค้าให้เช่า
วาระที่2 รับทราบงบการเงินที่ตรวจสอบแล้วของกองทรัสต์
ทางผู้บริหารโชว์หน้างบดุลและไปวาระถัดไป เพราะอธิบายไปก่อนหน้าแล้ว
วาระที่3 รับทราบการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี KPMG เป็นผู้สอบกองทรัสต์ และค่าตอบแทน
ประจำปี2564 ที่เพิ่มขึ้น300,000บาท
ผมได้สอบถามถึงสาเหตุที่ปรับเพิ่มขึ้น
ทางทรัสตีให้ข้อมูลมาว่า มาจากสาเหตุที่ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 10% และขอบเขต
ของงานเพิ่มเติมขึ้นจากข้อกำหนดของกลต ซึ่งได้เปรียบเทียบกับเจ้าอื่นเเล้วสมเหตุผลในการขึ้นราคา
วาระที่4-6 เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและเป็นเงื่อนไขของกันและกัน
โดยเป็นการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate)ของกองทรัสต์
โดยถ้ามีวาระใดไม่ได้รับการอนุมัติ ให้ถือว่าไม่ผ่านทั้งสามวาระ
ซึ่งทั้งสามวาระได้ผ่านการอนุมัตของผู้ถือหน่วยเรียบร้อย
ดูรายละเอียดจากสไลด์ได้ครับ
วาระที่4 ต้องอนุมัติผ่าน 75%. ผลอนุมัติ 88.4599%
วาระที่5 พิจารณาอนุมัติการเสนอขาย และ จัดสรรหน่วยทรัสต์จากการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป
RO. < 30%
Non-Right offering
PPO < 20%
PO < 20% , PP < 10% รวมแล้ว <= 20%
และรวมทั้งหมดไม่เกิน 30% คิดเป็น 846.72 ล้านหน่วย
อนุมัติ 88.4533%
มีเงื่อนไขว่า คนคัดค้านไม่เกิน 10% จึงสามารถเสนอขายจัดสรรเฉพาะเจาะจงให้ผู้ถือหุ้นบางรายได้
ปรากฏว่าคัดค้านเพียง 7.5339% ก็ผ่านการอนุมัติ
วาระที่6 การพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาก่อตั้งทรัสต์ โดยแก้ไขจำนวนหน่วยทรัสต์
สอดคล้องกับ General Mandate ออกหน่วยเพิ่มไม่เกิน 846ล้านหน่วย
โดยต้องมติ 50% ผลอนุมัติ 88.4536%
Q: สัญญาที่แก้ไขมีผลแค่1ปีใช่ไหม
A: มีผลตลอดไป
วาระที่7 อนุมัติการกู้ยืม วงเงินกู้ระยะสั้นและยาวไม่เกิน 10,000 ลบ (เดิมได้ 6,000 ลบจากการอนุมัติ
เมื่อสค 63)
ผล อนุมัติ 95.977%
วาระที่8 พิจารณาอนุมัติการเข้าทำธุรกรรมที่เป็นการขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างกองทรัสต์
กับทรัสตี ซึ่งเป็นธนาคารกรุงเทพ ถือหน่วยอยู่4% เเละ บลจ บัวหลวง ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคาร
กรุงเทพ เป็นทรัสตี
ผล อนุมัติ 94.8786%
มีผู้เข้าประชุมจำนวน 478 ราย คิดเป็นจำนวนหน่วย 2,189,873,751 หน่วย
วาระที่1 รับทราบผลการดำเนินงานที่ผ่านมาในรอบปี2563 ( 1 oct 62 - 30 sep 63 )
สรุปผลการดำเนินงานทางด้านบริหารอสังหาริมทรัพย์
ภาพรวมของกองทรัสต์
อัตราการเช่าเฉลี่ย ปี63 = 83.6% เพิ่มขึ้นจากปี 62 เท่ากับ 1%
แบ่งเป็น กรุงเทพตอนเหนือ อัตราการเช่าเฉลี่ย 75% เพิ่มขึ้น 2.5%
กรุงเทพ ตะวันออก อัตราการเช่าเฉลี่ย 98% ลดลง 1.4%
EEC. อัตราการเช่าเฉลี่ย 83.8% เพิ่มขึ้น 0.9%
ภาพรวมของ port
ได้มีการลดค่าเช่าสำหรับผู้ที่เดือดร้อนจากCovid-19 นับจากมีนาคม 63 ถึงเมษายน 64 คิดเป็น 16 ลบ
ค่าเช่าที่คิดลด =0.6% ของรายได้ค่าเช่าทั้งหมด
สัญญาเช่าจะหมดอายุในปี64 คิดเป็น 29.5% ของสัญญาเช่าทั้งหมด
ทางทรัสต์พยายามจะต่อกับรายเดิม หรือ หารายใหม่ ซึ่งเป้าหมายการต่ออายุไม่ต่ำกว่า 80%ในแต่ละปี
ฐานผู้เช่าหลากหลาย ไม่มีรายใดมากกว่า 10%
ยานยนต์ 26%
Logistic. 26%
Electronic 21%
อื่นๆ 19%
ค้าปลีก 6%
แยกเป็นประเทศที่เข้ามาเช่า
Japan 46%
EU. 20%
Thai. 16%
Asia ex japan 15%
US. 3%
การบริหารจัดการหนี้ ที่มีภาระดอกเบี้ย
ปี64. 43.1% แบ่งเป็น
เงินกู้ระยะสั้น 2,858 ลบ
หุ้นกู้ที่ครบกำหนด 2,100 ลบ
ดูรายละเอียดจากรูป
ผลการดำเนินงาน
รายได้. 3,048 ลบ เพิ่มขึ้น 8.6%
ต้นทุนเช่าและบริการ 192 ลบ ลดลง 45.1%
ต้นทุนทางการเงิน 315 ลบ เพิ่มขึ้น 16%
รายได้จากการลงทุน 2,099 ลบ เพิ่มขึ้น 20%
Net profit margin 1,200 ลบ ลดลง 33.1%
เพราะมีผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์
งบดุลที่แข็งแกร่ง
มีเงินลงทุนในอสังหา 41,144 ลบ
รวมสินทรัพย์ 42,870 ลบ เพิ่มขึ้น 11.4%
สินทรัพย์สุทธิ 29,975 ลบ เพิ่มขึ้น 9.0%
NAV ปรับเพิ่มเป็น 10.6203 บาทต่อหน่วย
Q: การลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมปีนี้เป็นโรงงาน คลังสินค้า หรืออะไรที่เกี่ยวข้องใช่ไหม
A: ปีนี้เน้น อุตสาหกรรมที่เติบโตให้ผลตอบแทนดี เราเน้นในIndustrial property
เช่นโรงงาน คลังสินค้าให้เช่า
วาระที่2 รับทราบงบการเงินที่ตรวจสอบแล้วของกองทรัสต์
ทางผู้บริหารโชว์หน้างบดุลและไปวาระถัดไป เพราะอธิบายไปก่อนหน้าแล้ว
วาระที่3 รับทราบการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี KPMG เป็นผู้สอบกองทรัสต์ และค่าตอบแทน
ประจำปี2564 ที่เพิ่มขึ้น300,000บาท
ผมได้สอบถามถึงสาเหตุที่ปรับเพิ่มขึ้น
ทางทรัสตีให้ข้อมูลมาว่า มาจากสาเหตุที่ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 10% และขอบเขต
ของงานเพิ่มเติมขึ้นจากข้อกำหนดของกลต ซึ่งได้เปรียบเทียบกับเจ้าอื่นเเล้วสมเหตุผลในการขึ้นราคา
วาระที่4-6 เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและเป็นเงื่อนไขของกันและกัน
โดยเป็นการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate)ของกองทรัสต์
โดยถ้ามีวาระใดไม่ได้รับการอนุมัติ ให้ถือว่าไม่ผ่านทั้งสามวาระ
ซึ่งทั้งสามวาระได้ผ่านการอนุมัตของผู้ถือหน่วยเรียบร้อย
ดูรายละเอียดจากสไลด์ได้ครับ
วาระที่4 ต้องอนุมัติผ่าน 75%. ผลอนุมัติ 88.4599%
วาระที่5 พิจารณาอนุมัติการเสนอขาย และ จัดสรรหน่วยทรัสต์จากการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป
RO. < 30%
Non-Right offering
PPO < 20%
PO < 20% , PP < 10% รวมแล้ว <= 20%
และรวมทั้งหมดไม่เกิน 30% คิดเป็น 846.72 ล้านหน่วย
อนุมัติ 88.4533%
มีเงื่อนไขว่า คนคัดค้านไม่เกิน 10% จึงสามารถเสนอขายจัดสรรเฉพาะเจาะจงให้ผู้ถือหุ้นบางรายได้
ปรากฏว่าคัดค้านเพียง 7.5339% ก็ผ่านการอนุมัติ
วาระที่6 การพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาก่อตั้งทรัสต์ โดยแก้ไขจำนวนหน่วยทรัสต์
สอดคล้องกับ General Mandate ออกหน่วยเพิ่มไม่เกิน 846ล้านหน่วย
โดยต้องมติ 50% ผลอนุมัติ 88.4536%
Q: สัญญาที่แก้ไขมีผลแค่1ปีใช่ไหม
A: มีผลตลอดไป
วาระที่7 อนุมัติการกู้ยืม วงเงินกู้ระยะสั้นและยาวไม่เกิน 10,000 ลบ (เดิมได้ 6,000 ลบจากการอนุมัติ
เมื่อสค 63)
ผล อนุมัติ 95.977%
วาระที่8 พิจารณาอนุมัติการเข้าทำธุรกรรมที่เป็นการขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างกองทรัสต์
กับทรัสตี ซึ่งเป็นธนาคารกรุงเทพ ถือหน่วยอยู่4% เเละ บลจ บัวหลวง ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคาร
กรุงเทพ เป็นทรัสตี
ผล อนุมัติ 94.8786%
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3430
บทเรียนราคาแพง โดย เพจ ซั่มหุ้น
วิเคราะห์ความผิดพลาด เวลาเกิดการผิดพลาดต้องดูว่าผิดที่อะไร
-ผิดพลาดเพราะกระบวนการ ระบบคิด วิธีการลงทุน
ถ้าผิดพลาดก็มาดูเช่น วิธีคิดที่ทำให้ผิดพลาด
-ผิดพลาดที่ผลลัพธ์ ปรากฏว่าขาดทุนมักไม่ซีเรียส บางครั้งไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุน
บางครั้งเราคิดผิด เราก็ต้องมีวิธีการจำกัดความเสี่ยง ขายขาดทุนไป
บางครั้งเราก็คิดถูก
ความผิดพลาดทำให้เราโตขึ้น เราไม่ทำซ้ำในข้อผิดพลาดเดิม
ลดการกระทำที่ไม่ควรทำ
และทำต่อในสิ่งที่ควรทำ สุดท้ายจะเจอทางที่พาเราไปเจอเป้าหมายได้
ผลลัพธ์ของการลงทุน
-การขาดทุนที่ดี บางครั้งคิดดีแล้ว แต่เจอที่ควบคุมไม่ได้ เช่น วิกฤตCovidไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
เพียงแต่เกิดแล้ว ก็เจอผลลัพธ์ต่อภาพรวม
-การขาดทุนที่แย่ คือการขาดทุนโดยไม่จำเป็น จุดไหนที่ไม่ควรซื้อ พาให้ขายในจุดที่ไม่ควรขาย
พาไปถึงผลลัพธ์ที่ขาดทุน
-การได้กำไรที่ดี เพราะทำการบ้านมาดี
-การได้กำไรที่แย่. เพราะเราพาตัวในภาวะเสี่ยง โอกาสได้เงินก็มี แต่ไม่ทุกครั้งท่ีอยู่รอดปลอดภัย
การลงทุนเป็นระยะยาว ไม่สำคัญที่วิ่งเร็วแค่ไหน สุดท้ายก็เงินหมด ตลาดวัดที่ความสม่ำเสมอ
มีการคุมความเสี่ยงอย่างดี
ถ้าเรามีวิธีการคิดที่ดี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้
ถ้าเราไม่คิดให้ดีก่อนซื้อ เราจะต้องคิดหนักหลังจากซื้อหุ้นไปแล้ว
โดยเฉพาะมือใหม่ การลงทุนในหุ้นไม่ต้องรับ ทำการบ้านจนมั่นใจ
รู้โอกาส ความเสี่ยง เปรียบเทียบกับหุ้นอื่น จนมั่นใจ
บางตัวถ้าไม่เข้าใจ เรื่องอะไรเป็นตัวdriveกำไรของกิจการ เรายังไม่ต้องเข้าซื้อ
หลังซื้อหุ้น เเล้วก็ถือรอ
แต่ถ้าซื้อหุ้นไม่ดี ปัญหาจะตามมา ถือต่อจะขึ้นไหม แล้วถ้าลงต่อจะทำอย่างไร
อยากให้ใช้สติ ทำการบ้านให้ดี และเตรียมทางออกไว้หลายทาง
ได้รับข้อคิดจาก พี่มี่ ที่ออกเมื่อวาน ในคลิป เรื่องบทเรียนของข้อผิดพลาด (ลองหาฟังดูนะครับ)
ได้ข้อคิดดังนี้
เราเตรียมพร้อม ก็จะไม่เจอปัญหาในภายหลัง
ได้ข้อคิดจากการดูหนัง one punch ตอนไซทามาะมาช่วยฮีโร่คนอื่นที่หมดกำลังใจเพราะสู้เหล่าร้ายไม่ได้
ได้ข้อคิดว่า
ถ้ามีเวลามาผิดหวัง ทำไมไม่ใช้มันพัฒนาตัวเองละ
ดังนั้นให้เรื่องนี้เป็นข้อคิดสำหรับเพื่อนๆนักลงทุน โดยเฉพาะมือใหม่
น้องออฟฝากไว้ก่อนจบรายการว่า
บทเรียนราคาแพง ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเสมอไป
วิเคราะห์ความผิดพลาด เวลาเกิดการผิดพลาดต้องดูว่าผิดที่อะไร
-ผิดพลาดเพราะกระบวนการ ระบบคิด วิธีการลงทุน
ถ้าผิดพลาดก็มาดูเช่น วิธีคิดที่ทำให้ผิดพลาด
-ผิดพลาดที่ผลลัพธ์ ปรากฏว่าขาดทุนมักไม่ซีเรียส บางครั้งไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุน
บางครั้งเราคิดผิด เราก็ต้องมีวิธีการจำกัดความเสี่ยง ขายขาดทุนไป
บางครั้งเราก็คิดถูก
ความผิดพลาดทำให้เราโตขึ้น เราไม่ทำซ้ำในข้อผิดพลาดเดิม
ลดการกระทำที่ไม่ควรทำ
และทำต่อในสิ่งที่ควรทำ สุดท้ายจะเจอทางที่พาเราไปเจอเป้าหมายได้
ผลลัพธ์ของการลงทุน
-การขาดทุนที่ดี บางครั้งคิดดีแล้ว แต่เจอที่ควบคุมไม่ได้ เช่น วิกฤตCovidไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
เพียงแต่เกิดแล้ว ก็เจอผลลัพธ์ต่อภาพรวม
-การขาดทุนที่แย่ คือการขาดทุนโดยไม่จำเป็น จุดไหนที่ไม่ควรซื้อ พาให้ขายในจุดที่ไม่ควรขาย
พาไปถึงผลลัพธ์ที่ขาดทุน
-การได้กำไรที่ดี เพราะทำการบ้านมาดี
-การได้กำไรที่แย่. เพราะเราพาตัวในภาวะเสี่ยง โอกาสได้เงินก็มี แต่ไม่ทุกครั้งท่ีอยู่รอดปลอดภัย
การลงทุนเป็นระยะยาว ไม่สำคัญที่วิ่งเร็วแค่ไหน สุดท้ายก็เงินหมด ตลาดวัดที่ความสม่ำเสมอ
มีการคุมความเสี่ยงอย่างดี
ถ้าเรามีวิธีการคิดที่ดี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้
ถ้าเราไม่คิดให้ดีก่อนซื้อ เราจะต้องคิดหนักหลังจากซื้อหุ้นไปแล้ว
โดยเฉพาะมือใหม่ การลงทุนในหุ้นไม่ต้องรับ ทำการบ้านจนมั่นใจ
รู้โอกาส ความเสี่ยง เปรียบเทียบกับหุ้นอื่น จนมั่นใจ
บางตัวถ้าไม่เข้าใจ เรื่องอะไรเป็นตัวdriveกำไรของกิจการ เรายังไม่ต้องเข้าซื้อ
หลังซื้อหุ้น เเล้วก็ถือรอ
แต่ถ้าซื้อหุ้นไม่ดี ปัญหาจะตามมา ถือต่อจะขึ้นไหม แล้วถ้าลงต่อจะทำอย่างไร
อยากให้ใช้สติ ทำการบ้านให้ดี และเตรียมทางออกไว้หลายทาง
ได้รับข้อคิดจาก พี่มี่ ที่ออกเมื่อวาน ในคลิป เรื่องบทเรียนของข้อผิดพลาด (ลองหาฟังดูนะครับ)
ได้ข้อคิดดังนี้
เราเตรียมพร้อม ก็จะไม่เจอปัญหาในภายหลัง
ได้ข้อคิดจากการดูหนัง one punch ตอนไซทามาะมาช่วยฮีโร่คนอื่นที่หมดกำลังใจเพราะสู้เหล่าร้ายไม่ได้
ได้ข้อคิดว่า
ถ้ามีเวลามาผิดหวัง ทำไมไม่ใช้มันพัฒนาตัวเองละ
ดังนั้นให้เรื่องนี้เป็นข้อคิดสำหรับเพื่อนๆนักลงทุน โดยเฉพาะมือใหม่
น้องออฟฝากไว้ก่อนจบรายการว่า
บทเรียนราคาแพง ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเสมอไป
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3431
E-AGM IRC 29 Jan 2021. 14.00
บริษัทนี้ ดร นิเวศน์ลงทุนมาอย่างยาวนาน และ ผู้บริหารก็ถือลงทุนบริษัทมาตลอด
วันนี้ได้โอกาสประชุมผ่านonlineเป็นครั้งแรก ปกติต้องเดินทางไปประชุม ที่จังหวัดอยุธยา
วันนี้ผู้เข้าประชุมด้วยตนเอง 23 ราย
มอบฉันทะ. 36 ราย
รวมทั้งสิ้น 59 ราย คิดเป็นคะแนนเสียงที่มาประชุม 76.279 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
วาระที่1 พิจารณารับรองรายงานการประชุมประจำปี 2562
มติ. ผ่าน
วาระที่2 รับทราบรายงานผลการดำเนินงานในปีบัญชี2563
ประธานมอบหมายให้ นายคะชิโนริ อิโตะ ประธานบริหารรายงานผลการดำเนินงานในปีบัญชี2563
1.ภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
1.1 ภาพรวมเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยถูกกระทบจากสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ รวมถึงโรคระบาดCovid-19
ซึ่งส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและไทย ส่งผลให้ยอดขายลดลงจากปี62 5,427 MB
เป็น 4,362 MB (-19.62%)
GDP ไทยปี 2563 ลดลง 6.4%
ราคาวัตถุดิบโดยรวมของบริษัทลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็น
ก. ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีบัญชี 2563 ลดลงจาก 57.48 เป็น 42.85 $ต่อบาเรล ตามทิศทางราคาน้ำมันโลก
ข. ราคายางสังเคราะห์ เฉลี่ยทั้งปี จากปี2562 ที่ 1,553.46 $ต่อตัน ลดลงไป 15.52%
ค. ราคายางธรรมชาติ เฉลี่ยทั้งปี จากปี2562 45.38 เหลือ 41 บาทต่อกก ลดลง 9.47%
ง. ราคาเคมีภัณฑ์ เช่น Zinc Oxide เฉลี่ยทั้งปี ลดลง 10กว่า%
จ. ราคา Carbon Black เฉลี่ยทั้งปีจากเดิม 38.41 บาทต่อกก ลดลง 32.5%
ฉ. ราคา Nylon เฉลี่ยทั้งปี ลดลงจาก 167.32 เหลือ 154 บาทต่อกก ลดลง 7.96%
1.2 ภาพรวมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์
ยอดผลิตลดลงจากปีก่อน ที่ 1,962,319 คัน เหลือ 1,605,971 คัน ลดลง 18.16%
แบ่งเป็นDomestic ลดลงเหลือ 1,537,374 คัน ลดลง 12.12%
Export ลดลงเหลือจาก 411,798คัน เป็น 326,411 คัน
2.ผลการดำเนินงาน
2.1 ด้านยอดขาย ยอดขายปี63 ลดลงจาก 5,427 เป็น 4,362 ลบ ลดลง 1,065 ลบ(-19.63%)
ก. สายธุรกิจยางนอก ยางในรถจักรยานยนต์มูลค่า 2,079 ลบ ลดลง 13%
ข. สายธุรกิจชิ้นส่วนยางอุตสาหกรรม มูลค่า 2,283 ลบ ลดลง 25%
2.2 ด้านรายได้
รายได้รวม จากปี62 5,481.27 ลบ ลดลงเหลือ 4,433.89 ลบ ลดลง 19.11%
แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 4,034 ลบ ลดลง 19.10%จากปีบัญชีก่อน
รายได้อื่นๆ จาก การลงทุนใน ไออาร์ซี เอเซีย รีเสิร์ชจำนวน 13 ลบ
รายได้จากบริษัทคินโนะ โฮชิ 4 ลบ
รายได้จาก ไออาร์ซี เวียดนาม 22.1 ลบ
2.3 ด้านค่าใช้จ่าย
ต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลง 21.10% จาก 5,284 เหลือ 4,170 ลบ
ส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 166.54 เป็น 219.06 ลบ เพิ่มขึ้น 31.54%
Net profit margin 5.02%
กำไรต่อหุ้น 1.12 บาท
2.4 ฐานะทางการเงินบริษัท
สินทรัพย์ ลดลงจาก 4,849 เป็น 4,589 ลบ (ลูกหนี้และสินค้าคงเหลือลดลง)
หนี้สิน 1,040 ลบ และ ส่วนผู้ถือหุ้น 3,549 ลบ
DE = 0.29 , ROA = 4.77%
ROE 6.17% ,BV = 18.14 บาท
3 รางวัลความสำเร็จ
ได้แก่ รางวัลหุ้นยั่งยืน ,CG อยู่ระดับดีมาก ,ESG , โครงการ50ปี IRC คืนกำไรสนามยางให้ชุมชน เป็นต้น
ไม่ต้องลงมติ
วาระที่3 พิจารณาอนุมัติงบการเงิน ประจำปี2563
ผล อนุมัติ
วาระที่4 พิจารณาอนุมัติการจ่ายปันผล สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2563
จากกำไรสุทธิ 219,062,850 บาท อนุมัติในที่ประชุมจ่ายในอัตรา50%
คิดเป็น 0.5699 บาทต่อหุ้น
XD 8 Feb and pay 25 Feb 2021
วาระที่5 พิจารณาแต่งตั้งกรรมการแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ
มติ อนุมัติ
วาระที่6 พิจารณาอนุมัติกำหนดค่าตอบแทนกรรมการปี2564 เท่ากับปี2563
มติ อนุมัติ
วาระที่7 พิจารณาแต่งตั้งผู้สอบบัญชีและกำหนดค่าสอบบัญชีปี2564
PWC เป็นผู้สอบบัญชี โดยปีนี้ ค่าสอบบัญชีปรับเพิ่มขึ้น 26.980 บาทเป็น 1,375,580 บาท
ส่วนค่าสอบบัญชีบริษัทย่อยเท่าเดิม คือ 505,680 บาท
มติ อนุมัติ
วาระที่8เรื่องอื่นๆ
ไม่มี
Q: outlookปีนี้ กับ Covid-19 เป็นอย่างไร
A: ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของรัฐว่าควบคุมได้อย่างไร แต่จากสอบถามCEOบริษัทต่างๆ
พบว่าจะควบคุมได้ภายใน 2-4 เดือน น่าจะกระทบกับเศรษฐกิจ อาจไม่ต่างจากปีที่แล้ว
ข่าวดี คือ วัคซีนจะมาแล้ว จะกู้สถานการณ์กลับมาได้
ส่วนบริษัทก็จะพยายามทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ เพิ่มยอดขายอีก 10%จากปีที่แล้ว
Q: US มีมาตราการ Anti Dumpingมีผลอย่างไรกับบริษัท
A: กระทบต่อยางรถยนต์4ล้อ และรถบรรทุกขนาดเล็ก(LG) ไม่ใช่รถจักรยานยนต์
เลยไม่กระทบต่อเรา
US มีผู้ผลิตยางรถจักรยานยนต์น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตจากต่างประเทศเข้ามาผลิต
มีข้อเสนอแนะว่า อยากให้จัดonlineทุกปี และ มีผู้เสนอขอรายงานงบการเงินจัดส่งไปที่บ้าน
ผู้บริหารรับไว้พิจารณา
ปิดประชุม 15.00 น.
บริษัทนี้ ดร นิเวศน์ลงทุนมาอย่างยาวนาน และ ผู้บริหารก็ถือลงทุนบริษัทมาตลอด
วันนี้ได้โอกาสประชุมผ่านonlineเป็นครั้งแรก ปกติต้องเดินทางไปประชุม ที่จังหวัดอยุธยา
วันนี้ผู้เข้าประชุมด้วยตนเอง 23 ราย
มอบฉันทะ. 36 ราย
รวมทั้งสิ้น 59 ราย คิดเป็นคะแนนเสียงที่มาประชุม 76.279 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
วาระที่1 พิจารณารับรองรายงานการประชุมประจำปี 2562
มติ. ผ่าน
วาระที่2 รับทราบรายงานผลการดำเนินงานในปีบัญชี2563
ประธานมอบหมายให้ นายคะชิโนริ อิโตะ ประธานบริหารรายงานผลการดำเนินงานในปีบัญชี2563
1.ภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
1.1 ภาพรวมเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยถูกกระทบจากสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ รวมถึงโรคระบาดCovid-19
ซึ่งส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและไทย ส่งผลให้ยอดขายลดลงจากปี62 5,427 MB
เป็น 4,362 MB (-19.62%)
GDP ไทยปี 2563 ลดลง 6.4%
ราคาวัตถุดิบโดยรวมของบริษัทลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็น
ก. ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีบัญชี 2563 ลดลงจาก 57.48 เป็น 42.85 $ต่อบาเรล ตามทิศทางราคาน้ำมันโลก
ข. ราคายางสังเคราะห์ เฉลี่ยทั้งปี จากปี2562 ที่ 1,553.46 $ต่อตัน ลดลงไป 15.52%
ค. ราคายางธรรมชาติ เฉลี่ยทั้งปี จากปี2562 45.38 เหลือ 41 บาทต่อกก ลดลง 9.47%
ง. ราคาเคมีภัณฑ์ เช่น Zinc Oxide เฉลี่ยทั้งปี ลดลง 10กว่า%
จ. ราคา Carbon Black เฉลี่ยทั้งปีจากเดิม 38.41 บาทต่อกก ลดลง 32.5%
ฉ. ราคา Nylon เฉลี่ยทั้งปี ลดลงจาก 167.32 เหลือ 154 บาทต่อกก ลดลง 7.96%
1.2 ภาพรวมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์
ยอดผลิตลดลงจากปีก่อน ที่ 1,962,319 คัน เหลือ 1,605,971 คัน ลดลง 18.16%
แบ่งเป็นDomestic ลดลงเหลือ 1,537,374 คัน ลดลง 12.12%
Export ลดลงเหลือจาก 411,798คัน เป็น 326,411 คัน
2.ผลการดำเนินงาน
2.1 ด้านยอดขาย ยอดขายปี63 ลดลงจาก 5,427 เป็น 4,362 ลบ ลดลง 1,065 ลบ(-19.63%)
ก. สายธุรกิจยางนอก ยางในรถจักรยานยนต์มูลค่า 2,079 ลบ ลดลง 13%
ข. สายธุรกิจชิ้นส่วนยางอุตสาหกรรม มูลค่า 2,283 ลบ ลดลง 25%
2.2 ด้านรายได้
รายได้รวม จากปี62 5,481.27 ลบ ลดลงเหลือ 4,433.89 ลบ ลดลง 19.11%
แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 4,034 ลบ ลดลง 19.10%จากปีบัญชีก่อน
รายได้อื่นๆ จาก การลงทุนใน ไออาร์ซี เอเซีย รีเสิร์ชจำนวน 13 ลบ
รายได้จากบริษัทคินโนะ โฮชิ 4 ลบ
รายได้จาก ไออาร์ซี เวียดนาม 22.1 ลบ
2.3 ด้านค่าใช้จ่าย
ต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลง 21.10% จาก 5,284 เหลือ 4,170 ลบ
ส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 166.54 เป็น 219.06 ลบ เพิ่มขึ้น 31.54%
Net profit margin 5.02%
กำไรต่อหุ้น 1.12 บาท
2.4 ฐานะทางการเงินบริษัท
สินทรัพย์ ลดลงจาก 4,849 เป็น 4,589 ลบ (ลูกหนี้และสินค้าคงเหลือลดลง)
หนี้สิน 1,040 ลบ และ ส่วนผู้ถือหุ้น 3,549 ลบ
DE = 0.29 , ROA = 4.77%
ROE 6.17% ,BV = 18.14 บาท
3 รางวัลความสำเร็จ
ได้แก่ รางวัลหุ้นยั่งยืน ,CG อยู่ระดับดีมาก ,ESG , โครงการ50ปี IRC คืนกำไรสนามยางให้ชุมชน เป็นต้น
ไม่ต้องลงมติ
วาระที่3 พิจารณาอนุมัติงบการเงิน ประจำปี2563
ผล อนุมัติ
วาระที่4 พิจารณาอนุมัติการจ่ายปันผล สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2563
จากกำไรสุทธิ 219,062,850 บาท อนุมัติในที่ประชุมจ่ายในอัตรา50%
คิดเป็น 0.5699 บาทต่อหุ้น
XD 8 Feb and pay 25 Feb 2021
วาระที่5 พิจารณาแต่งตั้งกรรมการแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ
มติ อนุมัติ
วาระที่6 พิจารณาอนุมัติกำหนดค่าตอบแทนกรรมการปี2564 เท่ากับปี2563
มติ อนุมัติ
วาระที่7 พิจารณาแต่งตั้งผู้สอบบัญชีและกำหนดค่าสอบบัญชีปี2564
PWC เป็นผู้สอบบัญชี โดยปีนี้ ค่าสอบบัญชีปรับเพิ่มขึ้น 26.980 บาทเป็น 1,375,580 บาท
ส่วนค่าสอบบัญชีบริษัทย่อยเท่าเดิม คือ 505,680 บาท
มติ อนุมัติ
วาระที่8เรื่องอื่นๆ
ไม่มี
Q: outlookปีนี้ กับ Covid-19 เป็นอย่างไร
A: ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของรัฐว่าควบคุมได้อย่างไร แต่จากสอบถามCEOบริษัทต่างๆ
พบว่าจะควบคุมได้ภายใน 2-4 เดือน น่าจะกระทบกับเศรษฐกิจ อาจไม่ต่างจากปีที่แล้ว
ข่าวดี คือ วัคซีนจะมาแล้ว จะกู้สถานการณ์กลับมาได้
ส่วนบริษัทก็จะพยายามทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ เพิ่มยอดขายอีก 10%จากปีที่แล้ว
Q: US มีมาตราการ Anti Dumpingมีผลอย่างไรกับบริษัท
A: กระทบต่อยางรถยนต์4ล้อ และรถบรรทุกขนาดเล็ก(LG) ไม่ใช่รถจักรยานยนต์
เลยไม่กระทบต่อเรา
US มีผู้ผลิตยางรถจักรยานยนต์น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตจากต่างประเทศเข้ามาผลิต
มีข้อเสนอแนะว่า อยากให้จัดonlineทุกปี และ มีผู้เสนอขอรายงานงบการเงินจัดส่งไปที่บ้าน
ผู้บริหารรับไว้พิจารณา
ปิดประชุม 15.00 น.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3432
เทศกาลสำคัญของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนและคนจีนทั่วโลกคือ วันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจีน ในปีนี้วัน "ตรุษจีน" ตรงกับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564
ในช่วงเทศกาล “ตรุษจีน” จะประกอบไปด้วย 3 วันสำคัญ คือ วันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว(วันขึ้นปีใหม่จีน) โดยเฉพาะ "วันไหว้" พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนและคนจีนทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะด้วยวิถีชีวิตที่ทำอาชีพค้าขายเป็นหลักจึงมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพและการขอพรเรื่องโชคลาภ โดยในวันตรุษจีนของแต่ละปีชาวจีนจะมีการตั้งโต๊ะไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ซิงเอี้ย) กันทุกปี ตามความเชื่อที่ว่าองค์เทพไฉ่ซิงเอี้ยจะดลบันดาลให้ทำมาค้าขึ้น ทำธุรกิจได้ราบรื่น เจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง เงินทองไหลมาเทมา เป็นต้น
นอกจากการไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยแล้ว ยังมีธรรมเนียมการไหว้สิ่งอื่นๆ ในวันตรุษจีนด้วย ขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัวว่าสะดวกไหว้แบบไหนบ้าง ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว
แต่.. ถ้าใครอยากไหว้ให้ครบสูตรตั้งแต่เช้ายันดึก เรามีคำแนะนำสำหรับการไหว้เจ้า “ตรุษจีน 2564” มาฝากกัน โดยหากต้องการไหว้แบบชุดใหญ่เพื่อเสริมความเฮงและความเป็นสิริมงคลในวันตรุษจีนนั้น ควรตั้งโต๊ะไหว้ทั้งหมด 4 รอบด้วยกัน ได้แก่
1. ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วงเช้ามืด
เริ่มต้นด้วยการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ไป๊เล่าเอี๊ย) ในช่วงเช้าเวลาประมาณ 06.00-07.00 น. ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นการไหว้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทพเทวดาผู้คุ้มครองบ้านเรือน ที่มาปกปักดูแลให้เจ้าบ้านอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข หลังจากไหว้เสร็จ รอสักครู่จากนั้นให้เผากระดาษเงินกระดาษทองตามประเพณี แต่เนื่องจากช่วงนี้มีการรณรงค์ไม่ให้เผากระดาษและงดเผาขยะ เพื่อป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 จึงควรงดเผาหรือเผาเล็กน้อยพอเป็นพิธีก็พอ
ของไหว้ : เนื้อสัตว์ต้มสุก(ซาแซ) 3 อย่าง หรือ 5 อย่าง (โหงวแซ) เช่น ไก่ เป็ด หมู ฯลฯ ต่อด้วยผลไม้มงคล 5-7 อย่าง เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง ใช้ธูปในการไหว้ 5 ดอก
2. ไหว้บรรพบุรุษ ช่วงสาย
การไหว้บรรพบุรุษ (ไป๊เป้บ๊อ) เป็นการไหว้เพื่อระลึกถึงญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีตามคติความเชื่อของชาวจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เวลาประมาณ 10.00-11.00 น. ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากไหว้แล้วรอจนธูปหมด จากนั้นทุกคนในครอบครัวก็จะนำของไหว้มารับประทานร่วมกันและแจกจ่ายแบ่งปันเพื่อนบ้าน
ของไหว้ : เนื้อสัตว์ต้มสุก 3-5 อย่าง (ซาแซหรือโหงวแซ) เหมือนการไหว้ช่วงเช้า และให้เพิ่มอาหารอื่นๆ ที่บรรพบุรุษชอบหรืออาหารที่มีความหมายมงคล เช่น อาหารจานเส้น อาหารจานปลา อาหารที่มีปลาหมึกแห้ง และเมนูซุปใสหรือแกงจืด เป็นต้น ขนมมงคล เช่น จันอับ ขนมถ้วยฟู ขนมเข่ง ขนมเทียน ซาลาเปา ฯลฯ ผลไม้มงคล และกระดาษเงินกระดาษทอง ใช้ธูปในการไหว้ 3 ดอก
ข้อควรระวัง : คนจีนไม่นำเต้าหู้ขาวมาไหว้วันตรุษจีน เนื่องจากสีขาวสำหรับชาวจีนเป็นสีแห่งความโศกเศร้า และของไหว้ไม่ควรเป็นอาหารที่มีรสเผ็ด รสขม และผลไม้ที่มีหนาม เพราะจะทำให้ชีวิตมีอุปสรรคขวากหนามไม่ราบรื่น
3. ไหว้ทำทานสัมภเวสี ช่วงบ่าย
การไหว้ทำทานแก่ผีไม่มีญาติหรือสัมภเวสี (ไป๊ฮ้อเฮียตี๋) จะไหว้ตอนบ่ายเวลาประมาณ 14.00-16.00 น. ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 พอไหว้เสร็จ รอสักครู่ จากนั้นให้จุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปให้หมด และเพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับตรุษจีน
ของไหว้ : อาหารต่างๆ ที่เหลือจากการไหว้รอบเช้าและรอบสาย ข้าวสวย ขนมต่างๆ เช่น ขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล และกระดาษเงินกระดาษทอง ใช้ธูปในการไหว้เพียง 1 ดอกเท่านั้น
4. ไหว้ “ไฉ่ซิงเอี้ย” เทพแห่งโชคลาภ ช่วงดึก
สำหรับใครที่อยากไหว้เสริมดวงและเพิ่มโชคลาภ ต้อนรับความเฮงในวันตรุษจีนปีหนูทองปีนี้ ก็แนะนำให้ไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ เป็นการไหว้ครั้งที่ 4 เพิ่มเข้ามา โดยฤกษ์ในการไหว้คือช่วงกลางดึกของคืนวันสิ้นปี ก่อนจะย่างเข้าวัน "ตรุษจีน" ระหว่างเวลา 23.00-01.00 น. (คืนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ คาบเกี่ยวไปยังวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564) โดยมีความเชื่อว่าการไหว้เทพไฉ่ซิงเอี้ยจะทำให้เกิดโชคลาภและร่ำรวยตลอดปี
ของไหว้ : รูปภาพหรือรูปปั้นขององค์ไฉ่ซิงเอี้ย, แจกันดอกไม้สด 1 คู่, เทียนแดง 1 คู่, กระถางธูปและธูปสำหรับไหว้, น้ำชา 5 ถ้วย, ขนมอี้(สาคูแดง) 5 ถ้วย หรือข้าวสวย 5 ถ้วย, ขนมจันอับ, น้ำชา 5 ถ้วยเล็ก, ผลไม้มงคล 5 อย่าง เช่น ส้ม แอปเปิ้ลแดง องุ่นแดง กล้วยหอมทอง สับปะรด ฯลฯ, เจไฉ่ 5 อย่าง เช่น ดอกไม้จีน ฟองเต้าหู้ วุ้นเส้น เห็ดหอม เห็ดหูหนู และกระดาษเงินกระดาษทอง
วิธีการไหว้ : จุดธูป 3 ดอก 5 ดอก 9 ดอก หรือ 12 ดอกก็ได้ แล้วกล่าวคำสวดมนต์ไหว้สักการะ ดังนี้ “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ” (3 จบ)
จากนั้นสวดบทสักการะว่า “โอม ชัมภาลา จาเลนไน เยโซฮา” (สวด 3 จบ 5 จบ 9 จบ หรือ 12 จบก็ได้) จากนั้นให้กล่าวชื่อและนามสกุลของตัวเอง และเรื่องที่จะขอพร จากนั้นนำกระดาษเงินกระดาษทองไปเผาแล้วให้ผู้ใหญ่ในบ้านถือรูปภาพหรือรูปปั้นไฉ่ซิงเอี้ยพร้อมกระถางธูปเข้าบ้าน เป็นการเชิญเทพเข้าบ้าน และของไหว้ก็ห้ามทิ้งเพราะถือเป็นของมงคลให้นำไปแบ่งกันรับประทานในครอบครัว
ทิศในการไหว้ไฉ่ซิงเอี้ยของปี 2564 (ปีฉลู) ให้ตั้งโต๊ะไหว้หันหน้าไปทาง "ทิศตะวันออก" เพราะเชื่อว่าปีนี้เทพจะเสด็จมาในทิศตะวันออก
การกราบไหว้ขอพรจาก ไฉ่ซิงเอี้ย จะทำให้กิจการเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ประสบความสำเร็จ และนำมาซึ่งโชคลาภเงินทอง นอกจากนี้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยยังช่วยดลบันดาลให้ผู้ที่บูชาให้มีลาภลอยเข้ามาในชีวิต ตลอดจนเสริมดวงในด้านความโชคดีต่างๆ ด้วย
ในช่วงเทศกาล “ตรุษจีน” จะประกอบไปด้วย 3 วันสำคัญ คือ วันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว(วันขึ้นปีใหม่จีน) โดยเฉพาะ "วันไหว้" พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนและคนจีนทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะด้วยวิถีชีวิตที่ทำอาชีพค้าขายเป็นหลักจึงมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพและการขอพรเรื่องโชคลาภ โดยในวันตรุษจีนของแต่ละปีชาวจีนจะมีการตั้งโต๊ะไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ซิงเอี้ย) กันทุกปี ตามความเชื่อที่ว่าองค์เทพไฉ่ซิงเอี้ยจะดลบันดาลให้ทำมาค้าขึ้น ทำธุรกิจได้ราบรื่น เจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง เงินทองไหลมาเทมา เป็นต้น
นอกจากการไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยแล้ว ยังมีธรรมเนียมการไหว้สิ่งอื่นๆ ในวันตรุษจีนด้วย ขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัวว่าสะดวกไหว้แบบไหนบ้าง ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว
แต่.. ถ้าใครอยากไหว้ให้ครบสูตรตั้งแต่เช้ายันดึก เรามีคำแนะนำสำหรับการไหว้เจ้า “ตรุษจีน 2564” มาฝากกัน โดยหากต้องการไหว้แบบชุดใหญ่เพื่อเสริมความเฮงและความเป็นสิริมงคลในวันตรุษจีนนั้น ควรตั้งโต๊ะไหว้ทั้งหมด 4 รอบด้วยกัน ได้แก่
1. ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วงเช้ามืด
เริ่มต้นด้วยการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ไป๊เล่าเอี๊ย) ในช่วงเช้าเวลาประมาณ 06.00-07.00 น. ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นการไหว้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทพเทวดาผู้คุ้มครองบ้านเรือน ที่มาปกปักดูแลให้เจ้าบ้านอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข หลังจากไหว้เสร็จ รอสักครู่จากนั้นให้เผากระดาษเงินกระดาษทองตามประเพณี แต่เนื่องจากช่วงนี้มีการรณรงค์ไม่ให้เผากระดาษและงดเผาขยะ เพื่อป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 จึงควรงดเผาหรือเผาเล็กน้อยพอเป็นพิธีก็พอ
ของไหว้ : เนื้อสัตว์ต้มสุก(ซาแซ) 3 อย่าง หรือ 5 อย่าง (โหงวแซ) เช่น ไก่ เป็ด หมู ฯลฯ ต่อด้วยผลไม้มงคล 5-7 อย่าง เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง ใช้ธูปในการไหว้ 5 ดอก
2. ไหว้บรรพบุรุษ ช่วงสาย
การไหว้บรรพบุรุษ (ไป๊เป้บ๊อ) เป็นการไหว้เพื่อระลึกถึงญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีตามคติความเชื่อของชาวจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เวลาประมาณ 10.00-11.00 น. ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากไหว้แล้วรอจนธูปหมด จากนั้นทุกคนในครอบครัวก็จะนำของไหว้มารับประทานร่วมกันและแจกจ่ายแบ่งปันเพื่อนบ้าน
ของไหว้ : เนื้อสัตว์ต้มสุก 3-5 อย่าง (ซาแซหรือโหงวแซ) เหมือนการไหว้ช่วงเช้า และให้เพิ่มอาหารอื่นๆ ที่บรรพบุรุษชอบหรืออาหารที่มีความหมายมงคล เช่น อาหารจานเส้น อาหารจานปลา อาหารที่มีปลาหมึกแห้ง และเมนูซุปใสหรือแกงจืด เป็นต้น ขนมมงคล เช่น จันอับ ขนมถ้วยฟู ขนมเข่ง ขนมเทียน ซาลาเปา ฯลฯ ผลไม้มงคล และกระดาษเงินกระดาษทอง ใช้ธูปในการไหว้ 3 ดอก
ข้อควรระวัง : คนจีนไม่นำเต้าหู้ขาวมาไหว้วันตรุษจีน เนื่องจากสีขาวสำหรับชาวจีนเป็นสีแห่งความโศกเศร้า และของไหว้ไม่ควรเป็นอาหารที่มีรสเผ็ด รสขม และผลไม้ที่มีหนาม เพราะจะทำให้ชีวิตมีอุปสรรคขวากหนามไม่ราบรื่น
3. ไหว้ทำทานสัมภเวสี ช่วงบ่าย
การไหว้ทำทานแก่ผีไม่มีญาติหรือสัมภเวสี (ไป๊ฮ้อเฮียตี๋) จะไหว้ตอนบ่ายเวลาประมาณ 14.00-16.00 น. ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 พอไหว้เสร็จ รอสักครู่ จากนั้นให้จุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปให้หมด และเพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับตรุษจีน
ของไหว้ : อาหารต่างๆ ที่เหลือจากการไหว้รอบเช้าและรอบสาย ข้าวสวย ขนมต่างๆ เช่น ขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล และกระดาษเงินกระดาษทอง ใช้ธูปในการไหว้เพียง 1 ดอกเท่านั้น
4. ไหว้ “ไฉ่ซิงเอี้ย” เทพแห่งโชคลาภ ช่วงดึก
สำหรับใครที่อยากไหว้เสริมดวงและเพิ่มโชคลาภ ต้อนรับความเฮงในวันตรุษจีนปีหนูทองปีนี้ ก็แนะนำให้ไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ เป็นการไหว้ครั้งที่ 4 เพิ่มเข้ามา โดยฤกษ์ในการไหว้คือช่วงกลางดึกของคืนวันสิ้นปี ก่อนจะย่างเข้าวัน "ตรุษจีน" ระหว่างเวลา 23.00-01.00 น. (คืนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ คาบเกี่ยวไปยังวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564) โดยมีความเชื่อว่าการไหว้เทพไฉ่ซิงเอี้ยจะทำให้เกิดโชคลาภและร่ำรวยตลอดปี
ของไหว้ : รูปภาพหรือรูปปั้นขององค์ไฉ่ซิงเอี้ย, แจกันดอกไม้สด 1 คู่, เทียนแดง 1 คู่, กระถางธูปและธูปสำหรับไหว้, น้ำชา 5 ถ้วย, ขนมอี้(สาคูแดง) 5 ถ้วย หรือข้าวสวย 5 ถ้วย, ขนมจันอับ, น้ำชา 5 ถ้วยเล็ก, ผลไม้มงคล 5 อย่าง เช่น ส้ม แอปเปิ้ลแดง องุ่นแดง กล้วยหอมทอง สับปะรด ฯลฯ, เจไฉ่ 5 อย่าง เช่น ดอกไม้จีน ฟองเต้าหู้ วุ้นเส้น เห็ดหอม เห็ดหูหนู และกระดาษเงินกระดาษทอง
วิธีการไหว้ : จุดธูป 3 ดอก 5 ดอก 9 ดอก หรือ 12 ดอกก็ได้ แล้วกล่าวคำสวดมนต์ไหว้สักการะ ดังนี้ “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ” (3 จบ)
จากนั้นสวดบทสักการะว่า “โอม ชัมภาลา จาเลนไน เยโซฮา” (สวด 3 จบ 5 จบ 9 จบ หรือ 12 จบก็ได้) จากนั้นให้กล่าวชื่อและนามสกุลของตัวเอง และเรื่องที่จะขอพร จากนั้นนำกระดาษเงินกระดาษทองไปเผาแล้วให้ผู้ใหญ่ในบ้านถือรูปภาพหรือรูปปั้นไฉ่ซิงเอี้ยพร้อมกระถางธูปเข้าบ้าน เป็นการเชิญเทพเข้าบ้าน และของไหว้ก็ห้ามทิ้งเพราะถือเป็นของมงคลให้นำไปแบ่งกันรับประทานในครอบครัว
ทิศในการไหว้ไฉ่ซิงเอี้ยของปี 2564 (ปีฉลู) ให้ตั้งโต๊ะไหว้หันหน้าไปทาง "ทิศตะวันออก" เพราะเชื่อว่าปีนี้เทพจะเสด็จมาในทิศตะวันออก
การกราบไหว้ขอพรจาก ไฉ่ซิงเอี้ย จะทำให้กิจการเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ประสบความสำเร็จ และนำมาซึ่งโชคลาภเงินทอง นอกจากนี้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยยังช่วยดลบันดาลให้ผู้ที่บูชาให้มีลาภลอยเข้ามาในชีวิต ตลอดจนเสริมดวงในด้านความโชคดีต่างๆ ด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3433
Alibaba ฝ่าวิกฤติ รายได้ยังเพิ่มขึ้นมากถึง 37% YoY ใน December Quarter 2020
รายได้จาก Cloud เพิ่มขึ้นมากถึง 50% YoY ทำกำไรได้เป็นครั้งแรก(Adjusted EBITA เป็นบวก)
รายได้จาก Cainiao Logistics เพิ่มขึ้นมากถึง 51% YoY กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกแล้ว
รายได้จาก New Retail เพิ่มขึ้นมากถึง 101% YoY กำลังจะเป็นหน่วยธุรกิจที่มีรายได้มากที่สุดของ Alibaba
Net income เพิ่มขึ้นมากถึง 56% YoY
Diluted earnings per share เพิ่มขึ้นมากถึง 48% YoY
โดยใน December Quarter 2020 Alibaba มีรายได้ 221,084 ล้านหยวน (33,883 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นมากถึง 37% YoY
มีผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปีในประเทศจีน(Annual Active Consumers) ของ China Retail Marketplaces 779 ล้านคน เพิ่มขึ้น 22 ล้านคนจาก September Quarter 2020
มีผู้ใช้งานในแต่ละเดือนผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile MAUs) ของ China Retail Marketplaces 902 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21 ล้านคนจาก September Quarter 2020
กำไรจากการดำเนินงาน (Income from operations) อยู่ที่ 49,002 ล้านหยวน (7,510 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 24% YoY
กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดจ่ายทางบัญชีอื่นๆที่ปรับปรุงแล้ว(Adjusted EBITDA) ที่ไม่ได้คำนวณตามมาตรฐานบัญชีทั่วไป non-GAAP measurement เพิ่มขึ้น 22% YoY อยู่ที่ 68,380 ล้านหยวน (10,480 ล้านเหรียญสหรัฐ)
มี Adjusted EBITDA margin 31%
กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย, ภาษี และค่าใช้จ่ายตัดจ่ายทางบัญชีอื่นๆที่ปรับปรุงแล้ว(Adjusted EBITA) ที่ไม่ได้คำนวณตามมาตรฐานบัญชีทั่วไป non-GAAP measurement เพิ่มขึ้น 21% YoY อยู่ที่ 61,253 ล้านหยวน (9,387 ล้านเหรียญสหรัฐ)
มี Adjusted EBITA margin 28%
กำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นสามัญ(Net Income attributable to ordinary shareholders) อยู่ที่ 79,427 ล้านหยวน (12,173 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นมากถึง 52% YoY จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ Alibaba ลงทุนอยู่
กำไรสุทธิ(Net Income) อยู่ที่ 77,977 ล้านหยวน (11,950 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นมากถึง 56% YoY จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ Alibaba ลงทุนอยู่
กำไรสุทธิที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป(Non-GAAP net income) อยู่ที่ 59,207 ล้านหยวน (9,074 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 27% YoY
กำไรต่อหุ้น American Depositary Shares ซึ่งเท่ากับ 8 หุ้นสามัญ
ที่ปรับลดแล้ว (Diluted earnings per ADS) อยู่ที่ 28.85 หยวน (4.42 เหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นมากถึง 48% YoY จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ Alibaba ลงทุนอยู่
กำไรต่อหุ้น American Depositary Shares ซึ่งเท่ากับ 8 หุ้นสามัญ ที่ปรับลดแล้ว ที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป(non-GAAP diluted earnings per ADS) อยู่ที่ 22.03 หยวน (3.38 เหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 21% YoY
กำไรต่อหุ้นที่ปรับลดแล้ว(Diluted earnings per share) อยู่ที่ 3.61 หยวน (0.55 เหรียญสหรัฐหรือ 4.29 ดอลลาร์ฮ่องกง ) เพิ่มขึ้นมากถึง 48% YoY จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ Alibaba ลงทุนอยู่
กำไรต่อหุ้นที่ปรับลดแล้วที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป(non-GAAP diluted earnings per share ) อยู่ที่ 2.75 หยวน (0.42 เหรียญสหรัฐหรือ3.27 ดอลลาร์ฮ่องกง) เพิ่มขึ้น 21% YoY
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน(Net cash provided by operating activities) อยู่ที่ 103,208 ล้านหยวน (15,817 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 7% YoY
กระแสเงินสดอิสระที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป(non-GAAP free cash flow) อยู่ที่ 96,210 ล้านหยวน (14,745 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 23% YoY
สิ้นสุดวันที่ December 31, 2020 Alibaba มีพนักงานทั้งหมด 252,084 คน
Daniel Zhang ยอมรับว่าการ IPO ของ Ant Group ในอนาคตยังมีความไม่แน่นอน
ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ Fintech ใหม่ของทางรัฐบาล
รวมถึงการปรับโครงสร้างทางธุรกิจใหม่ของ Ant และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใหม่
Alibaba ก็กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานสอบสวนการผูกขาดอย่างใกล้ชิด จนแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน
โดยได้ตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมา เพื่อทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานตรวจสอบ
โดย Alibaba พร้อมที่จะปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ต่อต้านการผูกขาดอย่างเคร่งครัด
การมีเครดิตจาก Huabei ของ Ant ไม่ใช่เหตุผลหลักที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าใน Marketplace ของ Alibaba
แต่เป็นเพราะการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุมและมีคุณภาพสูงในราคาที่แข่งขันได้ และความสามารถของ Alibaba ในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
การเปลี่ยนแปลงกฎของ Fintech สร้างความท้าทายให้กับ Alibaba แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสใหม่ๆให้กับ Alibaba เช่นกันในการประเมินและปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจอีกครั้ง
ในสภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้สิ่งที่ท้าทาย Alibaba คือการสร้างคุณค่าเพิ่มและส่งมอบให้กับลูกค้าด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในหลายๆด้าน
เช่น การค้าปลีกในประเทศจีน, Local Services, Cloud Computing และการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งมีการแข่งขันสูงแต่ก็มีศักยภาพในการเติบสูงเช่นกัน
จึงต้องลงทุนสร้างนวัตกรรมเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มและการเติบโตในระยะยาว
ในขณะที่จีนกำลังพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ Alibaba ก็ยังเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้
ด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของ Alibaba ในด้านการค้า, บริการทางการเงิน, โลจิสติกส์ และ Cloud Computing ที่ได้สร้างมาตลอด 20 ปี
การเติบโตของการบริโภคภายในประเทศ, เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและโลกาภิวัตน์ ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเหล่านี้สอดคล้องกับทิศทางนโยบายของจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจ
รายได้จากธุรกิจ New Retail ของ Alibaba เพิ่มขึ้นมากถึง 101% YoY ใน December Quarter 2020
กำลังจะเป็นหน่วยธุรกิจที่มีรายได้มากที่สุดของ Alibaba
โดยมีรายได้ 51,760 ล้านหยวน(7,932 ล้านเหรียญสหรัฐ) คิดเป็น 23% จากรายได้ทั้งหมดของ Alibaba
SunArt Hypermarket ยักษ์ใหญ่ของจีนที่ Alibaba ถือหุ้นใหญ่และเปลี่ยนเป็น New Retail มียอดขายจากออนไลน์มากถึง 24% จากยอดขายทั้งหมด
same-store sales ของ Freshippo Supermarket แบบ New Retail โตแบบ double-digit
ปัจจุบัน Freshippo มี 246 สาขาทั่วประเทศจีน ส่วนใหญ่อยู่ในหัวเมืองชั้น1 และ 2
โดยขยายสาขาในหลากหลายรูปแบบ ตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในบริเวณนั้น
Freshippo ได้เปิดร้านในรูปแบบ Warehouse ชื่อว่า "X Membership(X)" ที่เซี่ยงไฮ้ซึ่งขายสินค้าคุณภาพสูงในราคาถูก สามารถซื้อได้โดยผู้ที่เป็นสมาชิกเท่านั้น
โดยสมาชิกมีค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ 258 หยวน(38 เหรียญสหรัฐ) มีสมาชิกแล้วเกือบ 1 ล้านคน
สามารถจัดส่งสินค้าได้ภายในครึ่งวันให้กับลูกค้าที่อาศัยอยู่ในรัศมี 20 กิโลเมตรจากร้าน
ส่วนสินค้าจากร้าน Freshippo อื่น ๆ สามารถจัดส่งให้กับลูกค้าที่อาศัยอยู่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตรจากร้าน ได้ภายใน 30 นาทีเท่านั้น
Freshippo ยังได้เปิดตัว private brand ชื่อว่า "Hema MAX" ซึ่งจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย เช่น ข้าว, น้ำมัน, โยเกิร์ตและถั่ว
สินค้ากว่า 40% ในร้าน X เป็นสินค้าที่ขายอยู่ใน Freshippo เท่านั้น ซึ่งรวมถึงสินค้าจาก Hema MAX ด้วย และสินค้ากว่า 10% มาจากผู้ผลิตในต่างประเทศ
GMV ของ Freshippo กว่า 65% มาจากช่องทางออนไลน์
รายได้ของ Alibaba Cloud เพิ่มขึ้นมากถึง 50% YoY ใน December Quarter 2020
ทำกำไรได้เป็นครั้งแรก Adjusted EBITA 24 ล้านหยวน(3 ล้านเหรียญสหรัฐ)
โดยมีรายได้ 16,115 ล้านหยวน(2,470 ล้านเหรียญสหรัฐ)
รายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาจากลูกค้าในอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต, ค้าปลีกและภาครัฐ
ในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งระดับโลกวันคนโสด 11.11 Alibaba Cloud สามารถประมวลผลคำสั่งซื้อได้สูงสุดถึง 583,000 คำสั่งต่อวินาที
Alibaba ได้ย้ายธุรกิจอีคอมเมิร์ซขึ้นไปยัง Public Cloud เมื่อปีที่แล้ว ทำให้สามารถ, อัปเกรดและปรับใช้ Cloud Native ได้อย่างราบรื่น
ช่วยให้ Alibaba สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยม
Alibaba Cloud ยังคงลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี Cloud เพื่อช่วยลูกค้าในการทำ Digital Transformation และทำให้ธุรกิจเติบโตได้
เทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Alibaba Cloud ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องจากสถาบันวิจัยและองค์กรที่ปรึกษาชั้นนำเช่น Gartner และ Forrester
ตัวอย่างเช่นตามรายงานเดือนพฤศจิกายน 2020 ของ Gartner ในบรรดาผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ทั่วโลก Alibaba Cloud เป็นบริษัทจีนเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้นำสำหรับระบบการจัดการฐานข้อมูลภายใต้การวัด Magic Quadrant ของ Gartner
รายได้จาก Cainiao Network ของ Alibaba เพิ่มขึ้นมากถึง 51% YoY กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกแล้ว
โดยมีรายได้ 11,360 ล้านหยวน(1,741 ล้านเหรียญสหรัฐ)ใน December Quarter 2020
สาเหตุหลักมาจากปริมาณการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน(Cross-Border E-commerce) และธุรกิจค้าปลีกระหว่างประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
Cainiao Network ขยายบริการไปทั่วโลก โดยร่วมมือกับพันธมิตรด้านโลจิสติกส์จากทั่วโลก ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆอยู่เสมอ
ในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งระดับโลกวันคนโสด 11.11 Cainiao ได้ประมวลผลคำสั่งซื้อกว่า 2,300 ล้านรายการ ในขณะที่ยังลดเวลาในการจัดส่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภค
Cainiao ยังคงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับผู้ค้าทั่วโลกและลดข้อจำกัดด้านความสามารถในการขนส่งที่เกิดจากการระบาดของ COVID-19
ในเดือนธันวาคมปี 2020 Cainiao ได้ให้บริการเที่ยวบินขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมากกว่า 200 เที่ยวบินสำหรับ AliExpress
ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพการจัดส่งของ AliExpress ดีขึ้นมากและลดเวลาในการจัดส่งโดยเฉลี่ยลง 3.5 วันสำหรับการจัดส่งสินค้าจากจีนไปยังตลาดต่างประเทศ
Alibaba Group Announces December Quarter 2020 Results Press Release
https://www.alibabagroup.com/en/news/pr ... 210202.pdf
Alibaba Group Announces December Quarter 2020 Results Presentation
https://www.alibabagroup.com/en/ir/pres ... 210202.pdf
ALIBABA REPORTS DECEMBER 2020 QUARTER EARNINGS
https://www.alizila.com/alibaba-reports ... -earnings/
DANIEL ZHANG ON ALIBABA EARNINGS AND REGULATORY ENVIRONMENT
https://www.alizila.com/aliviews-daniel ... vironment/
Alibaba Group Holding Limited (BABA) CEO Daniel Zhang on Q3 2021 Results - Earnings Call Transcript
https://seekingalpha.com/article/440285 ... nings-call
#Alibaba #Tmall #Taobao #AlibabaCloud #Cainiao #NewRetail #Eleme #Koubei #Youku
#Freshippo #อาลีบาบา #ผลประกอบการ #September2020
Cr:เสือใหญ่
รายได้จาก Cloud เพิ่มขึ้นมากถึง 50% YoY ทำกำไรได้เป็นครั้งแรก(Adjusted EBITA เป็นบวก)
รายได้จาก Cainiao Logistics เพิ่มขึ้นมากถึง 51% YoY กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกแล้ว
รายได้จาก New Retail เพิ่มขึ้นมากถึง 101% YoY กำลังจะเป็นหน่วยธุรกิจที่มีรายได้มากที่สุดของ Alibaba
Net income เพิ่มขึ้นมากถึง 56% YoY
Diluted earnings per share เพิ่มขึ้นมากถึง 48% YoY
โดยใน December Quarter 2020 Alibaba มีรายได้ 221,084 ล้านหยวน (33,883 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นมากถึง 37% YoY
มีผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปีในประเทศจีน(Annual Active Consumers) ของ China Retail Marketplaces 779 ล้านคน เพิ่มขึ้น 22 ล้านคนจาก September Quarter 2020
มีผู้ใช้งานในแต่ละเดือนผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile MAUs) ของ China Retail Marketplaces 902 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21 ล้านคนจาก September Quarter 2020
กำไรจากการดำเนินงาน (Income from operations) อยู่ที่ 49,002 ล้านหยวน (7,510 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 24% YoY
กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดจ่ายทางบัญชีอื่นๆที่ปรับปรุงแล้ว(Adjusted EBITDA) ที่ไม่ได้คำนวณตามมาตรฐานบัญชีทั่วไป non-GAAP measurement เพิ่มขึ้น 22% YoY อยู่ที่ 68,380 ล้านหยวน (10,480 ล้านเหรียญสหรัฐ)
มี Adjusted EBITDA margin 31%
กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย, ภาษี และค่าใช้จ่ายตัดจ่ายทางบัญชีอื่นๆที่ปรับปรุงแล้ว(Adjusted EBITA) ที่ไม่ได้คำนวณตามมาตรฐานบัญชีทั่วไป non-GAAP measurement เพิ่มขึ้น 21% YoY อยู่ที่ 61,253 ล้านหยวน (9,387 ล้านเหรียญสหรัฐ)
มี Adjusted EBITA margin 28%
กำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นสามัญ(Net Income attributable to ordinary shareholders) อยู่ที่ 79,427 ล้านหยวน (12,173 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นมากถึง 52% YoY จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ Alibaba ลงทุนอยู่
กำไรสุทธิ(Net Income) อยู่ที่ 77,977 ล้านหยวน (11,950 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นมากถึง 56% YoY จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ Alibaba ลงทุนอยู่
กำไรสุทธิที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป(Non-GAAP net income) อยู่ที่ 59,207 ล้านหยวน (9,074 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 27% YoY
กำไรต่อหุ้น American Depositary Shares ซึ่งเท่ากับ 8 หุ้นสามัญ
ที่ปรับลดแล้ว (Diluted earnings per ADS) อยู่ที่ 28.85 หยวน (4.42 เหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นมากถึง 48% YoY จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ Alibaba ลงทุนอยู่
กำไรต่อหุ้น American Depositary Shares ซึ่งเท่ากับ 8 หุ้นสามัญ ที่ปรับลดแล้ว ที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป(non-GAAP diluted earnings per ADS) อยู่ที่ 22.03 หยวน (3.38 เหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 21% YoY
กำไรต่อหุ้นที่ปรับลดแล้ว(Diluted earnings per share) อยู่ที่ 3.61 หยวน (0.55 เหรียญสหรัฐหรือ 4.29 ดอลลาร์ฮ่องกง ) เพิ่มขึ้นมากถึง 48% YoY จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ Alibaba ลงทุนอยู่
กำไรต่อหุ้นที่ปรับลดแล้วที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป(non-GAAP diluted earnings per share ) อยู่ที่ 2.75 หยวน (0.42 เหรียญสหรัฐหรือ3.27 ดอลลาร์ฮ่องกง) เพิ่มขึ้น 21% YoY
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน(Net cash provided by operating activities) อยู่ที่ 103,208 ล้านหยวน (15,817 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 7% YoY
กระแสเงินสดอิสระที่ไม่ได้คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป(non-GAAP free cash flow) อยู่ที่ 96,210 ล้านหยวน (14,745 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 23% YoY
สิ้นสุดวันที่ December 31, 2020 Alibaba มีพนักงานทั้งหมด 252,084 คน
Daniel Zhang ยอมรับว่าการ IPO ของ Ant Group ในอนาคตยังมีความไม่แน่นอน
ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ Fintech ใหม่ของทางรัฐบาล
รวมถึงการปรับโครงสร้างทางธุรกิจใหม่ของ Ant และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใหม่
Alibaba ก็กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานสอบสวนการผูกขาดอย่างใกล้ชิด จนแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน
โดยได้ตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมา เพื่อทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานตรวจสอบ
โดย Alibaba พร้อมที่จะปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ต่อต้านการผูกขาดอย่างเคร่งครัด
การมีเครดิตจาก Huabei ของ Ant ไม่ใช่เหตุผลหลักที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าใน Marketplace ของ Alibaba
แต่เป็นเพราะการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุมและมีคุณภาพสูงในราคาที่แข่งขันได้ และความสามารถของ Alibaba ในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
การเปลี่ยนแปลงกฎของ Fintech สร้างความท้าทายให้กับ Alibaba แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสใหม่ๆให้กับ Alibaba เช่นกันในการประเมินและปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจอีกครั้ง
ในสภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้สิ่งที่ท้าทาย Alibaba คือการสร้างคุณค่าเพิ่มและส่งมอบให้กับลูกค้าด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในหลายๆด้าน
เช่น การค้าปลีกในประเทศจีน, Local Services, Cloud Computing และการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งมีการแข่งขันสูงแต่ก็มีศักยภาพในการเติบสูงเช่นกัน
จึงต้องลงทุนสร้างนวัตกรรมเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มและการเติบโตในระยะยาว
ในขณะที่จีนกำลังพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ Alibaba ก็ยังเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้
ด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของ Alibaba ในด้านการค้า, บริการทางการเงิน, โลจิสติกส์ และ Cloud Computing ที่ได้สร้างมาตลอด 20 ปี
การเติบโตของการบริโภคภายในประเทศ, เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและโลกาภิวัตน์ ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเหล่านี้สอดคล้องกับทิศทางนโยบายของจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจ
รายได้จากธุรกิจ New Retail ของ Alibaba เพิ่มขึ้นมากถึง 101% YoY ใน December Quarter 2020
กำลังจะเป็นหน่วยธุรกิจที่มีรายได้มากที่สุดของ Alibaba
โดยมีรายได้ 51,760 ล้านหยวน(7,932 ล้านเหรียญสหรัฐ) คิดเป็น 23% จากรายได้ทั้งหมดของ Alibaba
SunArt Hypermarket ยักษ์ใหญ่ของจีนที่ Alibaba ถือหุ้นใหญ่และเปลี่ยนเป็น New Retail มียอดขายจากออนไลน์มากถึง 24% จากยอดขายทั้งหมด
same-store sales ของ Freshippo Supermarket แบบ New Retail โตแบบ double-digit
ปัจจุบัน Freshippo มี 246 สาขาทั่วประเทศจีน ส่วนใหญ่อยู่ในหัวเมืองชั้น1 และ 2
โดยขยายสาขาในหลากหลายรูปแบบ ตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในบริเวณนั้น
Freshippo ได้เปิดร้านในรูปแบบ Warehouse ชื่อว่า "X Membership(X)" ที่เซี่ยงไฮ้ซึ่งขายสินค้าคุณภาพสูงในราคาถูก สามารถซื้อได้โดยผู้ที่เป็นสมาชิกเท่านั้น
โดยสมาชิกมีค่าธรรมเนียมรายปีอยู่ที่ 258 หยวน(38 เหรียญสหรัฐ) มีสมาชิกแล้วเกือบ 1 ล้านคน
สามารถจัดส่งสินค้าได้ภายในครึ่งวันให้กับลูกค้าที่อาศัยอยู่ในรัศมี 20 กิโลเมตรจากร้าน
ส่วนสินค้าจากร้าน Freshippo อื่น ๆ สามารถจัดส่งให้กับลูกค้าที่อาศัยอยู่ภายในรัศมี 3 กิโลเมตรจากร้าน ได้ภายใน 30 นาทีเท่านั้น
Freshippo ยังได้เปิดตัว private brand ชื่อว่า "Hema MAX" ซึ่งจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย เช่น ข้าว, น้ำมัน, โยเกิร์ตและถั่ว
สินค้ากว่า 40% ในร้าน X เป็นสินค้าที่ขายอยู่ใน Freshippo เท่านั้น ซึ่งรวมถึงสินค้าจาก Hema MAX ด้วย และสินค้ากว่า 10% มาจากผู้ผลิตในต่างประเทศ
GMV ของ Freshippo กว่า 65% มาจากช่องทางออนไลน์
รายได้ของ Alibaba Cloud เพิ่มขึ้นมากถึง 50% YoY ใน December Quarter 2020
ทำกำไรได้เป็นครั้งแรก Adjusted EBITA 24 ล้านหยวน(3 ล้านเหรียญสหรัฐ)
โดยมีรายได้ 16,115 ล้านหยวน(2,470 ล้านเหรียญสหรัฐ)
รายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาจากลูกค้าในอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต, ค้าปลีกและภาครัฐ
ในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งระดับโลกวันคนโสด 11.11 Alibaba Cloud สามารถประมวลผลคำสั่งซื้อได้สูงสุดถึง 583,000 คำสั่งต่อวินาที
Alibaba ได้ย้ายธุรกิจอีคอมเมิร์ซขึ้นไปยัง Public Cloud เมื่อปีที่แล้ว ทำให้สามารถ, อัปเกรดและปรับใช้ Cloud Native ได้อย่างราบรื่น
ช่วยให้ Alibaba สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยม
Alibaba Cloud ยังคงลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี Cloud เพื่อช่วยลูกค้าในการทำ Digital Transformation และทำให้ธุรกิจเติบโตได้
เทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Alibaba Cloud ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องจากสถาบันวิจัยและองค์กรที่ปรึกษาชั้นนำเช่น Gartner และ Forrester
ตัวอย่างเช่นตามรายงานเดือนพฤศจิกายน 2020 ของ Gartner ในบรรดาผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ทั่วโลก Alibaba Cloud เป็นบริษัทจีนเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้นำสำหรับระบบการจัดการฐานข้อมูลภายใต้การวัด Magic Quadrant ของ Gartner
รายได้จาก Cainiao Network ของ Alibaba เพิ่มขึ้นมากถึง 51% YoY กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกแล้ว
โดยมีรายได้ 11,360 ล้านหยวน(1,741 ล้านเหรียญสหรัฐ)ใน December Quarter 2020
สาเหตุหลักมาจากปริมาณการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน(Cross-Border E-commerce) และธุรกิจค้าปลีกระหว่างประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
Cainiao Network ขยายบริการไปทั่วโลก โดยร่วมมือกับพันธมิตรด้านโลจิสติกส์จากทั่วโลก ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆอยู่เสมอ
ในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งระดับโลกวันคนโสด 11.11 Cainiao ได้ประมวลผลคำสั่งซื้อกว่า 2,300 ล้านรายการ ในขณะที่ยังลดเวลาในการจัดส่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภค
Cainiao ยังคงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับผู้ค้าทั่วโลกและลดข้อจำกัดด้านความสามารถในการขนส่งที่เกิดจากการระบาดของ COVID-19
ในเดือนธันวาคมปี 2020 Cainiao ได้ให้บริการเที่ยวบินขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมากกว่า 200 เที่ยวบินสำหรับ AliExpress
ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพการจัดส่งของ AliExpress ดีขึ้นมากและลดเวลาในการจัดส่งโดยเฉลี่ยลง 3.5 วันสำหรับการจัดส่งสินค้าจากจีนไปยังตลาดต่างประเทศ
Alibaba Group Announces December Quarter 2020 Results Press Release
https://www.alibabagroup.com/en/news/pr ... 210202.pdf
Alibaba Group Announces December Quarter 2020 Results Presentation
https://www.alibabagroup.com/en/ir/pres ... 210202.pdf
ALIBABA REPORTS DECEMBER 2020 QUARTER EARNINGS
https://www.alizila.com/alibaba-reports ... -earnings/
DANIEL ZHANG ON ALIBABA EARNINGS AND REGULATORY ENVIRONMENT
https://www.alizila.com/aliviews-daniel ... vironment/
Alibaba Group Holding Limited (BABA) CEO Daniel Zhang on Q3 2021 Results - Earnings Call Transcript
https://seekingalpha.com/article/440285 ... nings-call
#Alibaba #Tmall #Taobao #AlibabaCloud #Cainiao #NewRetail #Eleme #Koubei #Youku
#Freshippo #อาลีบาบา #ผลประกอบการ #September2020
Cr:เสือใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3434
วันก่อนผมนั่งฟังสรุปมุมมองการลงทุนของ ARK Invest มาครับ ส่วนตัวอยากเข้าใจการลงทุนของ ARK และแนวคิดของ Cathie Wood มากขึ้น วันนี้เลยเอาสิ่งที่ฟังมาบวกกับความเห็นส่วนตัวในบางจุดมาสรุปให้เพื่อนๆนะครับ เผื่อเป็นประโยชน์ในการลงทุน
Cr:Buffett code
ฟองสบู่ หุ้นและตราสารหนี้
1. เปิดคลิปมาก็ประเด็นร้อนเลยคือ ตอนนี้ตลาดหุ้นกำลังอยู่ใน “ฟองสบู่” รึเปล่า Cathie คิดว่าด้วยสถานะปัจจุบันน่าจะยังไม่เข้าข่ายฟองสบู่ เหตุผลคือแพคเกจช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของ FED ที่น่าจะออกมาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาร้อนแรงมากๆ ซึ่งจะทำให้ Business confident และ Spending มีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ ตอนนี้ปัญหาเฉพาะหน้าคือจะผลิตยังไงให้เพียงพอกับ Demand ที่กำลังกลับมาหลังเปิดเมือง
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นราคาบ้าน, ราคาหุ้น, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นหมด การปรับประมาณการของนักวิเคราะห์ก็มีแนวโน้มสูงขึ้น จากกำไรที่เริ่มฟื้นตัวจากปีที่แล้ว
2. แต่สิ่งที่น่ากังวลต่อคือถ้าอัดฉีดกันมากไปในปี 2021 ปี 2022 อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่บริษัทต่างๆผลิตสินค้าออกมามากเกินความต้องการและอาจจะเกิด Correction ได้
3. Cathie มองว่าฟองสบู่ไม่น่าอยู่ที่หุ้นแต่น่าจะอยู่ที่ตราสารหนี้มากกว่า เหตุผลหนึ่งมาจากการที่บริษัทที่ Mature แล้วไม่ยอมเอาเงินที่มีไปลงทุนสร้างการเติบโตต่อ แต่เอาเงินมหาศาลเหล่านั้นไปลงทุนในตราสารหนี้แทน ที่ผ่านมาเลยทำให้ราคาตราสารหนี้พุ่งสูง และ Yield ต่ำสุดๆ
เงินเฟ้อที่กำลังมา
4. เราน่าจะเริ่มเห็นอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป เพราะปีที่แล้วต่ำมากจาก COVID อย่างไรก็ตาม FED รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้และไม่น่าจะมีการเปลี่ยนมุมมองกับการปรับดอกเบี้ยขึ้นหรือลง เพราะเหตุการณ์นี้
5. อย่างไรก็ตาม เริ่มมีการคาดการณ์เงินเฟ้อเกิดขึ้นแล้ว ถ้าดูที่ตลาดตราสารหนี้ จะเห็นว่า Bond Yield เริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้น ถ้า FED จะมีการลด Stimulus หรือมีการทำ Tapering น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดในปี 2022-2023
6. การดูการเติบโตของ GDP ตอนนี้อาจจะใช้ไม่ค่อยได้แล้ว เพราะการคำนวณ GDP ไม่ได้เอา Output เชิง Digital เข้าไปคำนวณด้วย เช่น การที่คนใช้ Google Maps ฟรี อันนี้ถูกนับ การ Video Call ระหว่างกันใน LINE ก็ไม่ถูกนับ เช่นกัน ซึ่งเอาจริงๆของพวกนี้มี Value
หุ้น Platform และ Big Winner
7. หุ้นที่ไม่ฟองสบู่แน่นอนคือหุ้นประเภท Platform Company ซึ่งเป็นหุ้นที่สร้าง Platform ขึ้นมาให้คนมาใช้ สุดท้ายเก็บค่าใช้งานจากเทคโนโลยีที่บริษัทสร้างขึ้น
8. สำหรับหุ้นที่มีราคาถูก ตอนนี้ต้องระวังสิ่งที่เรียกว่า Value Trap หุ้นที่ราคาถูก เพราะมันมีเหตุผลของมัน เช่น หุ้นพวกนี้ไม่เคยลงทุนเพื่อให้เกิดการเติบโต ไม่เคยปรับโมเดลธุรกิจให้เติบโตไปกับโลกยุคใหม่ ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งไม่โต แถมยังถดถอยลงเรื่อยๆ ทำให้ปันผลที่เคยปันสูงก็จะลดลงเอง
9. ในอีกมุมหนึ่งหุ้นที่ ARK เลือกทั้ง 5 Platform คือ Blockchain, AI, DNA Sequencing, Energy Storage และ Robotics จะกลายเป็นหุ้น Big Winner ในอนาคต
10. และแน่นอนว่าถ้ามีหุ้น Big Winner ก็ต้องมีหุ้น Big Loser มหาศาลที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกับหุ้น Big Winner
หุ้น New World
11. ตัวอย่างเช่นหุ้น Ride Hailing ที่อาจมีรายได้รวมกับกว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญในปี 2030 แต่ Ride Hailing ก็มีหุ้นหลายประเภทในนั้นเช่น Platform Provider, Automaker และ Fleet-Owner
12. กว่า 80% ของ Value ทั้งหมดจะตกเป็นของ Platform Provider โดย Automaker กับ Fleet-Owner จะได้แค่ 20% จะเห็นว่าแม้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่อยู่ใน Value Chain ที่แตกต่างกัน หุ้นจะมีมูลค่าต่างกันมหาศาล
Tesla vs Waymo
13. ที่ Waymo บอกว่า Tesla จะไม่มีทางทำ Full Autonomy ได้ (รถยนต์แบบไร้คนขับ 100%) นั่นเป็นเพราะ Waymo และ Tesla ใช้กลยุทธ์ที่ต่างกัน Tesla เป็นระบบที่อิงอยู่บน Radar และกล้องแบบชัดโคตรๆรอบตัวรถ ส่วน Waymo เน้นไปที่ Lidar และการใช้แผนที่แบบโคตรละเอียด
14. Tesla ได้เปรียบกว่าเพราะรถได้ไปขับและเก็บข้อมูลในสถานที่จริง ยิ่งมีรถมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งแม่นยำเท่านั้น โดยไม่ต้องพึ่งพิงแผนที่ Waymo ใช้เวลา 2 ปีในการพัฒนาเพื่อให้ใช้ Self-Driving ได้ในเมืองใหม่ๆ แต่ Tesla ใช้ข้อมูลจากรถของลูกค้าที่อยู่บนถนนเต็มไปหมดแล้ว เกมของ Self-Driving คือการมีรถเยอะกว่าในระยะเวลาที่สั้นกว่า กลยุทธ์ของ Tesla จึง Scalable กว่าของ Waymo (การที่ Tesla ไม่ใช้ Lidar เพราะราคาแพงก็เพื่อกดให้ราคารถของ Tesla ถูกลง มีรถเยอะขึ้น ทำ Full Self-Driving ได้เร็วขึ้น)
การเปลี่ยนแปลงของหุ้น Tech
15. นอกจากเทคโนโลยีรถแล้วก็มี Drone ที่น่าสนใจ ต้นทุนในการขนส่งของ Drone ถูกมากแค่ 8 เหรียญต่อ 10 ไมล์ แต่จะถูกกว่านั้นถ้า Drone เป็นระบบอัตโนมัติและไม่ต้องใช้คน ต้นทุนจะเหลือเพียง 25 เซนต์ การเอา Drone มาใช้ส่งของกลายเป็นอุตสาหกรรมแสนล้านเหรียญในอนาคต
16. ธุรกิจ Social Media กำลังปรับตัวเป็น E-Commerce และธุรกิจ E-Commerce กำลังปรับตัวเข้าหา Social … อุตสาหกรรม Social Commerce จะโตโหดมากๆในอนาคต ตอนนี้เป็นเพียงแค่ 5% ของ E-Commerce จะโตเป็น 20%
17. การโฆษณาออนไลน์จะยังโตอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาถูกกว่า วัดผลได้ง่ายกว่า ประสิทธิภาพสูงกว่า
Bitcoin จะขึ้นไปได้แค่ไหน?
Bitcoin มีแนวโน้มเป็นอนาคตของการจ่ายเงิน ตอนนี้รัฐบาลมีการตั้ง CBDC (Central Bank Digital Currency) พูดง่ายๆคือเป็นคริปโตของรัฐบาล ซึ่งการทำแบบนี้ยิ่งเป็นการบ่งบอกถึงการยอมรับคริปโต ยิ่งทำให้การที่ Bitcoin จะถูกแบนน่าจะน้อยลง
กลับกันคนที่ซวยจริงๆน่าจะเป็นคนกลาง หรือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะถ้ารัฐบาลสามารถต่อตรงถึงประชาชนได้ด้วยคริปโต ผ่าน Digital Platform ประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์จะน้อยลงทันที
ส่วนเรื่องราคา Bitcoin ทาง ARK Invest ประเมินว่าถ้าบริษัทใน S&P500 เอาเงินสภาพคล่องส่วนเหลือลงทุนใน Bitcoin 1% จะทำราคาขึ้นไปถึง 50000 เหรียญ แต่ถ้าลง 10% จะกลายเป็น 400000 เหรียญ
ฟังแล้วก็ต้องยอมรับจริงๆว่านักลงทุนที่คิดไปในอนาคตได้เยอะๆนี่ต้องใช้ความรู้เชิงลึกและการติดตามเยอะมากๆ นักลงทุนธรรมดาแบบผมก็อาศัยฟังเยอะๆ ติดตามบ่อยๆ การลงทุนก็น่าจะดีขึ้นตามลำดับ (หวังว่า)
ภาษาอังกฤษผมไม่ค่อยแข็งแรง ถ้าเข้าใจผิดตรงไหนก็ขออภัยด้วยครับ
ใครมีแหล่งข้อมูลดีๆแชร์หน่อยนะครับ ไปด้วยกันไปได้ไกลฮะ
ไฟล์ต้นทางอยู่ที่ เว็บ ARK Invest นะครับลองเข้าไปดูเพิ่มเติมกันได้ครับ
ชอบสรุปข้อมูลหุ้นอ่านง่ายแบบนี้ อย่าลืมกด Like Page Facebook ให้กำลังใจทีมงาน Buffettcode ด้วยนะครับ
Cr:Buffett code
Cr:Buffett code
ฟองสบู่ หุ้นและตราสารหนี้
1. เปิดคลิปมาก็ประเด็นร้อนเลยคือ ตอนนี้ตลาดหุ้นกำลังอยู่ใน “ฟองสบู่” รึเปล่า Cathie คิดว่าด้วยสถานะปัจจุบันน่าจะยังไม่เข้าข่ายฟองสบู่ เหตุผลคือแพคเกจช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของ FED ที่น่าจะออกมาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาร้อนแรงมากๆ ซึ่งจะทำให้ Business confident และ Spending มีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ ตอนนี้ปัญหาเฉพาะหน้าคือจะผลิตยังไงให้เพียงพอกับ Demand ที่กำลังกลับมาหลังเปิดเมือง
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นราคาบ้าน, ราคาหุ้น, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นหมด การปรับประมาณการของนักวิเคราะห์ก็มีแนวโน้มสูงขึ้น จากกำไรที่เริ่มฟื้นตัวจากปีที่แล้ว
2. แต่สิ่งที่น่ากังวลต่อคือถ้าอัดฉีดกันมากไปในปี 2021 ปี 2022 อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่บริษัทต่างๆผลิตสินค้าออกมามากเกินความต้องการและอาจจะเกิด Correction ได้
3. Cathie มองว่าฟองสบู่ไม่น่าอยู่ที่หุ้นแต่น่าจะอยู่ที่ตราสารหนี้มากกว่า เหตุผลหนึ่งมาจากการที่บริษัทที่ Mature แล้วไม่ยอมเอาเงินที่มีไปลงทุนสร้างการเติบโตต่อ แต่เอาเงินมหาศาลเหล่านั้นไปลงทุนในตราสารหนี้แทน ที่ผ่านมาเลยทำให้ราคาตราสารหนี้พุ่งสูง และ Yield ต่ำสุดๆ
เงินเฟ้อที่กำลังมา
4. เราน่าจะเริ่มเห็นอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป เพราะปีที่แล้วต่ำมากจาก COVID อย่างไรก็ตาม FED รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้และไม่น่าจะมีการเปลี่ยนมุมมองกับการปรับดอกเบี้ยขึ้นหรือลง เพราะเหตุการณ์นี้
5. อย่างไรก็ตาม เริ่มมีการคาดการณ์เงินเฟ้อเกิดขึ้นแล้ว ถ้าดูที่ตลาดตราสารหนี้ จะเห็นว่า Bond Yield เริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้น ถ้า FED จะมีการลด Stimulus หรือมีการทำ Tapering น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดในปี 2022-2023
6. การดูการเติบโตของ GDP ตอนนี้อาจจะใช้ไม่ค่อยได้แล้ว เพราะการคำนวณ GDP ไม่ได้เอา Output เชิง Digital เข้าไปคำนวณด้วย เช่น การที่คนใช้ Google Maps ฟรี อันนี้ถูกนับ การ Video Call ระหว่างกันใน LINE ก็ไม่ถูกนับ เช่นกัน ซึ่งเอาจริงๆของพวกนี้มี Value
หุ้น Platform และ Big Winner
7. หุ้นที่ไม่ฟองสบู่แน่นอนคือหุ้นประเภท Platform Company ซึ่งเป็นหุ้นที่สร้าง Platform ขึ้นมาให้คนมาใช้ สุดท้ายเก็บค่าใช้งานจากเทคโนโลยีที่บริษัทสร้างขึ้น
8. สำหรับหุ้นที่มีราคาถูก ตอนนี้ต้องระวังสิ่งที่เรียกว่า Value Trap หุ้นที่ราคาถูก เพราะมันมีเหตุผลของมัน เช่น หุ้นพวกนี้ไม่เคยลงทุนเพื่อให้เกิดการเติบโต ไม่เคยปรับโมเดลธุรกิจให้เติบโตไปกับโลกยุคใหม่ ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งไม่โต แถมยังถดถอยลงเรื่อยๆ ทำให้ปันผลที่เคยปันสูงก็จะลดลงเอง
9. ในอีกมุมหนึ่งหุ้นที่ ARK เลือกทั้ง 5 Platform คือ Blockchain, AI, DNA Sequencing, Energy Storage และ Robotics จะกลายเป็นหุ้น Big Winner ในอนาคต
10. และแน่นอนว่าถ้ามีหุ้น Big Winner ก็ต้องมีหุ้น Big Loser มหาศาลที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกับหุ้น Big Winner
หุ้น New World
11. ตัวอย่างเช่นหุ้น Ride Hailing ที่อาจมีรายได้รวมกับกว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญในปี 2030 แต่ Ride Hailing ก็มีหุ้นหลายประเภทในนั้นเช่น Platform Provider, Automaker และ Fleet-Owner
12. กว่า 80% ของ Value ทั้งหมดจะตกเป็นของ Platform Provider โดย Automaker กับ Fleet-Owner จะได้แค่ 20% จะเห็นว่าแม้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่อยู่ใน Value Chain ที่แตกต่างกัน หุ้นจะมีมูลค่าต่างกันมหาศาล
Tesla vs Waymo
13. ที่ Waymo บอกว่า Tesla จะไม่มีทางทำ Full Autonomy ได้ (รถยนต์แบบไร้คนขับ 100%) นั่นเป็นเพราะ Waymo และ Tesla ใช้กลยุทธ์ที่ต่างกัน Tesla เป็นระบบที่อิงอยู่บน Radar และกล้องแบบชัดโคตรๆรอบตัวรถ ส่วน Waymo เน้นไปที่ Lidar และการใช้แผนที่แบบโคตรละเอียด
14. Tesla ได้เปรียบกว่าเพราะรถได้ไปขับและเก็บข้อมูลในสถานที่จริง ยิ่งมีรถมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งแม่นยำเท่านั้น โดยไม่ต้องพึ่งพิงแผนที่ Waymo ใช้เวลา 2 ปีในการพัฒนาเพื่อให้ใช้ Self-Driving ได้ในเมืองใหม่ๆ แต่ Tesla ใช้ข้อมูลจากรถของลูกค้าที่อยู่บนถนนเต็มไปหมดแล้ว เกมของ Self-Driving คือการมีรถเยอะกว่าในระยะเวลาที่สั้นกว่า กลยุทธ์ของ Tesla จึง Scalable กว่าของ Waymo (การที่ Tesla ไม่ใช้ Lidar เพราะราคาแพงก็เพื่อกดให้ราคารถของ Tesla ถูกลง มีรถเยอะขึ้น ทำ Full Self-Driving ได้เร็วขึ้น)
การเปลี่ยนแปลงของหุ้น Tech
15. นอกจากเทคโนโลยีรถแล้วก็มี Drone ที่น่าสนใจ ต้นทุนในการขนส่งของ Drone ถูกมากแค่ 8 เหรียญต่อ 10 ไมล์ แต่จะถูกกว่านั้นถ้า Drone เป็นระบบอัตโนมัติและไม่ต้องใช้คน ต้นทุนจะเหลือเพียง 25 เซนต์ การเอา Drone มาใช้ส่งของกลายเป็นอุตสาหกรรมแสนล้านเหรียญในอนาคต
16. ธุรกิจ Social Media กำลังปรับตัวเป็น E-Commerce และธุรกิจ E-Commerce กำลังปรับตัวเข้าหา Social … อุตสาหกรรม Social Commerce จะโตโหดมากๆในอนาคต ตอนนี้เป็นเพียงแค่ 5% ของ E-Commerce จะโตเป็น 20%
17. การโฆษณาออนไลน์จะยังโตอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาถูกกว่า วัดผลได้ง่ายกว่า ประสิทธิภาพสูงกว่า
Bitcoin จะขึ้นไปได้แค่ไหน?
Bitcoin มีแนวโน้มเป็นอนาคตของการจ่ายเงิน ตอนนี้รัฐบาลมีการตั้ง CBDC (Central Bank Digital Currency) พูดง่ายๆคือเป็นคริปโตของรัฐบาล ซึ่งการทำแบบนี้ยิ่งเป็นการบ่งบอกถึงการยอมรับคริปโต ยิ่งทำให้การที่ Bitcoin จะถูกแบนน่าจะน้อยลง
กลับกันคนที่ซวยจริงๆน่าจะเป็นคนกลาง หรือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะถ้ารัฐบาลสามารถต่อตรงถึงประชาชนได้ด้วยคริปโต ผ่าน Digital Platform ประโยชน์ของธนาคารพาณิชย์จะน้อยลงทันที
ส่วนเรื่องราคา Bitcoin ทาง ARK Invest ประเมินว่าถ้าบริษัทใน S&P500 เอาเงินสภาพคล่องส่วนเหลือลงทุนใน Bitcoin 1% จะทำราคาขึ้นไปถึง 50000 เหรียญ แต่ถ้าลง 10% จะกลายเป็น 400000 เหรียญ
ฟังแล้วก็ต้องยอมรับจริงๆว่านักลงทุนที่คิดไปในอนาคตได้เยอะๆนี่ต้องใช้ความรู้เชิงลึกและการติดตามเยอะมากๆ นักลงทุนธรรมดาแบบผมก็อาศัยฟังเยอะๆ ติดตามบ่อยๆ การลงทุนก็น่าจะดีขึ้นตามลำดับ (หวังว่า)
ภาษาอังกฤษผมไม่ค่อยแข็งแรง ถ้าเข้าใจผิดตรงไหนก็ขออภัยด้วยครับ
ใครมีแหล่งข้อมูลดีๆแชร์หน่อยนะครับ ไปด้วยกันไปได้ไกลฮะ
ไฟล์ต้นทางอยู่ที่ เว็บ ARK Invest นะครับลองเข้าไปดูเพิ่มเติมกันได้ครับ
ชอบสรุปข้อมูลหุ้นอ่านง่ายแบบนี้ อย่าลืมกด Like Page Facebook ให้กำลังใจทีมงาน Buffettcode ด้วยนะครับ
Cr:Buffett code
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3435
จัด Port การลงทุน สไตล์ "หนีดอย"
แบบถือได้ยาวๆ 3-10 ปี
By เพจ หนีดอย
โดยจัดเป็นพอร์ทที่มีความเสี่ยงสูง
แบบไม่มีถือตราสารหนี้ และ REITs
ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกคนนะครับ
เพราะคนเรารับความเสี่ยงได้ไม่เหมือนกัน
แบ่งออกมาเป็น 3 ประเภท
1. เน้นถือน้อยตัว 3-5 กองขึ้นไป
�จีน 20% : ASP-EVOCHINA*** หรือ KT-CHINA-A** หรือ TMBCOF*
�ทั่วโลก 40% : ONE-UGG-RA***หรือ K-CHANGE-A** หรือ TNEXTGEN*
อเมริกา 20% : K-USA-A*** หรือ KF-US** หรือ K-USXNDQ-A*
พลังงานสะอาด (ESG) 10%: T-Globalenergy/Mrenew*** หรือ WE-TENERGY** หรือ T-ES-GGREEN*�
ทองคำ 10% : SCBGOLDH *** หรือ I-GOLD** หรือ SCBGOLD*
2. เน้นถือกลางๆ 8-10 กองขึ้นไป�
จีน 15% : ASP-EVOCHINA*** หรือ KT-CHINA-A** หรือ TMBCOF*
�ทั่วโลก 30% : ONE-UGG-RA***หรือ K-CHANGE-A** หรือ TNEXTGEN*�
อเมริกา 25% : K-USA-A*** หรือ KF-US** หรือ K-USXNDQ-A*�
เอเชีย 10% : MATECH-A + KFORTFLEX�
พลังงานสะอาด (ESG) 5%: T-Globalenergy/Mrenew*** หรือ WE-TENERGY** หรือ T-ES-GGREEN*
เทคโนโลยีด้านสุขภาพ 5% : TGHDIGI*** หรือ PRINCIPAL GHEALTH-A*** TGENOME�
ทองคำ 10% : SCBGOLDH *** หรือ I-GOLD** หรือ SCBGOLD*
3. เน้นถือเยอะตัว 11 กองขึ้นไป
จีน 15% : ASP-EVOCHINA + UCI + WE-CHIG + KT-ASHARES-A�
ทั่วโลก 25% : ONE-UGG-RA + ONE-DISC-RA + TNEXTGEN
อเมริกา 15% : K-USA-A + SCBUSSM�เอเชีย 10% : MATECH-A + KFORTFLEX
เกมส์ อีสปอร์ต 5% : LHESPORT-A
เทคโนโลยีด้านสุขภาพ 5% : TGHDIGI + PRINCIPAL GHEALTH-A + TGENOME
Cloud 5% : PRINCIPAL GCLOUD-A*** หรือ TCLOUD**
พลังงานสะอาด (ESG) 5% : T-Globalenergy/Mrenew*** หรือ WE-TENERGY** หรือ T-ES-GGREEN*�
E-commerce 5% : ONEGECOM
ทองคำ 10% : SCBGOLDH *** หรือ I-GOLD** หรือ SCBGOLD*
หมายเหตุสำหรับเครื่องหมาย *
*** = ผมชอบอันดับ 1
** = ผมชอบอันดับ 2
* = ผมชอบอันดับ 3
แบบถือได้ยาวๆ 3-10 ปี
By เพจ หนีดอย
โดยจัดเป็นพอร์ทที่มีความเสี่ยงสูง
แบบไม่มีถือตราสารหนี้ และ REITs
ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกคนนะครับ
เพราะคนเรารับความเสี่ยงได้ไม่เหมือนกัน
แบ่งออกมาเป็น 3 ประเภท
1. เน้นถือน้อยตัว 3-5 กองขึ้นไป
�จีน 20% : ASP-EVOCHINA*** หรือ KT-CHINA-A** หรือ TMBCOF*
�ทั่วโลก 40% : ONE-UGG-RA***หรือ K-CHANGE-A** หรือ TNEXTGEN*
อเมริกา 20% : K-USA-A*** หรือ KF-US** หรือ K-USXNDQ-A*
พลังงานสะอาด (ESG) 10%: T-Globalenergy/Mrenew*** หรือ WE-TENERGY** หรือ T-ES-GGREEN*�
ทองคำ 10% : SCBGOLDH *** หรือ I-GOLD** หรือ SCBGOLD*
2. เน้นถือกลางๆ 8-10 กองขึ้นไป�
จีน 15% : ASP-EVOCHINA*** หรือ KT-CHINA-A** หรือ TMBCOF*
�ทั่วโลก 30% : ONE-UGG-RA***หรือ K-CHANGE-A** หรือ TNEXTGEN*�
อเมริกา 25% : K-USA-A*** หรือ KF-US** หรือ K-USXNDQ-A*�
เอเชีย 10% : MATECH-A + KFORTFLEX�
พลังงานสะอาด (ESG) 5%: T-Globalenergy/Mrenew*** หรือ WE-TENERGY** หรือ T-ES-GGREEN*
เทคโนโลยีด้านสุขภาพ 5% : TGHDIGI*** หรือ PRINCIPAL GHEALTH-A*** TGENOME�
ทองคำ 10% : SCBGOLDH *** หรือ I-GOLD** หรือ SCBGOLD*
3. เน้นถือเยอะตัว 11 กองขึ้นไป
จีน 15% : ASP-EVOCHINA + UCI + WE-CHIG + KT-ASHARES-A�
ทั่วโลก 25% : ONE-UGG-RA + ONE-DISC-RA + TNEXTGEN
อเมริกา 15% : K-USA-A + SCBUSSM�เอเชีย 10% : MATECH-A + KFORTFLEX
เกมส์ อีสปอร์ต 5% : LHESPORT-A
เทคโนโลยีด้านสุขภาพ 5% : TGHDIGI + PRINCIPAL GHEALTH-A + TGENOME
Cloud 5% : PRINCIPAL GCLOUD-A*** หรือ TCLOUD**
พลังงานสะอาด (ESG) 5% : T-Globalenergy/Mrenew*** หรือ WE-TENERGY** หรือ T-ES-GGREEN*�
E-commerce 5% : ONEGECOM
ทองคำ 10% : SCBGOLDH *** หรือ I-GOLD** หรือ SCBGOLD*
หมายเหตุสำหรับเครื่องหมาย *
*** = ผมชอบอันดับ 1
** = ผมชอบอันดับ 2
* = ผมชอบอันดับ 3
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3436
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี)กล่าวผ่านแอพพลิเคชั่น คลับเฮ้าส์ ในหัวข้อ SME Clinic ร่วมคิดฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ ว่า เทคโนโลยีที่นำเข้ามาใช้ในธุรกิจจะช่วยทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่แม้จะมีข้อดีแต่ก็ล้าสมัยและที่สำคัญต้องบริหารคนจำนวนมาก ซึ่งขอเรียกว่า “ตัวหนัก”จึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับธุรกิจในเครือ ดังนั้นจะต้องมีการเรียนรู้สิ่งใหม่
ตอนนี้คือยุค4.0 ที่การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เมื่อเกิดโควิด-19 จะยิ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เกิดเร็วขึ้นจากเดิมไม่เข้าใจยุคใหม่ เทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องรีบเข้าใจ ดังนั้น แม้โควิด จะเป็นวิกฤติแต่ในวิกฤติก็ตามมาด้วยโอกาส
ทั้งนี้ วิกฤติโควิด-19 รุนแรงกว่าหลายวิกฤติที่ผ่านมา โดยเฉพาะวิกฤติทางการเงินอย่างต้มยำกุ้ง ซึ่งเกิดขึ้นที่ไทยและเอเชีย ที่เศรษฐกิจไม่ได้ใหญ่มากผลกระทบจึงไม่เกิดไปถึง ยุโรป หรือ สหรัฐ ตอนนั้น กลายเป็นโอกาสให้เกิดการซื้อของถูก ซึ่งไทยก็ได้นำของดีมีค่าไปขายในราคาถูกๆ เพราะบริหารไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจวิกฤติการเงิน ว่าควรจัดการอย่างไร ไม่ได้ตัดไฟแต่ต้นลม
นายธนินท์ กล่าวอีกว่า กลับมาที่สตาร์ทอัพ พบว่า สตาร์ทอัพจากทั่วโลกต้องการเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองไทยต้องการเข้ามาลงทุนโดยผลสำรวจชี้ว่า นักลงทุน อยากมาอยู่เมืองไทย เมืองไทยน่าอยู่ เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้เราทำงานจากที่ไหนก็ได้ จะที่บ้านหรือสำนักงานก็ไม่ต่างกัน แต่ไทยไม่ค่อยส่งเสริมให้มามีการกำหนดเงื่อนไข เช่นต้องรายงานตัวเข้าเมืองทุก 3 เดือน เพราะมองว่าคนเหล่านี้จะมาแย่งงาน แต่ที่จริงแล้วเขาก็ทำงานของเขาและจะช่วยดึงเราให้เป็นคนเก่งเหมือนเขา
“ประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส แต่รัฐบาลต้องเข้าใจและส่งเสริมอย่างตรงจุด”
ชี้จุดอ่อนสตาร์ทอัพไทย
สำหรับสตาร์ทอัพเมืองไทยขาดอยู่อย่างหนึ่งคือขาดการเมืองสนับสนุน รัฐบาลไม่ได้เอื้อ แม้บอกว่าจะส่งเสริม ทำให้สตาร์ทอัพต้องไปจดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เพราะรัฐบาลไทยจะเก็บภาษีรายได้สตาร์ทอัพ แต่ถามว่าถ้าลงทุนไปแล้วขาดทุนใครจะช่วยรับผิดชอบ ประเทศไทย 4.0 คนเก่งๆอยากอยู่เมืองไทย แต่กฎหมายไทยไม่ต้อนรับ เพราะต้องการแค่แรงงานราคาถูกมาทำงานเท่านั้น
ตอนนี้เป็นยุคเถ้าแก่เกิดใหม่ มหาวิทยาลัยจากเดิมสร้างคนไปรับใช้บริษัทใหญ่ๆ ตอนนี้ สร้างคนไปเป็นเถ้าแก่มีธุรกิจของตัวเอง จากนี้ไปไม่มีคำว่าแรงงาน มีแต่วิศวกร มีแต่คนมาคุมเทคโนโลยี ยกตัวอย่างถ้าจะหาซื้อวัตถุดิบ จากเดิมต้องให้คนไปหาที่ไหนดี ที่ไหนถูก แต่ตอนนี้เข้าเวบไซด์ ก็รู้หมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม การสร้างธุรกิจก็ดี แต่เมื่อสร้างแล้วธุรกิจประสบกับวิกฤติอย่างโควิด-19 ก่อนอื่นต้องศึกษาว่า ในธุรกิจที่มีอยู่นั้นสามารถต่อยอดหรือปรับให้เป็นสินค้าหรือบริการที่เป็นที่ต้องการได้อย่างไร แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนธุรกิจไปทำอย่างอื่นที่ไม่ถนัดเพราะเป็นการเริ่มต้นใหม่ ขณะเดียวกันภาครัฐก็ต้องเลี้ยงธุรกิจที่แม้จะประสบปัญหาเหล่านี้ ให้อยู่ได้ เช่นให้เงินกู้ ซึ่งไม่ใช่ให้แค่ 3ปี แต่ต้องนานเป็น 5 ปี เพราะเมื่อโควิดหายไปแล้วโอกาสต่างๆจะกลับมา เช่น ธุรกิจกระเป๋าเดินทางตอนนี้ ไม่มีคนเดินทาง แต่เชื่อว่าหลังจากนี้การเดินทางจะเกิดขึ้นอย่างมากชนิดที่เรียกว่ารับกันไม่ทันเลยทีเดียว
ปั้นกองทุนพันล้านเป็นกองหนุนสตาร์ทอัพ
สำหรับกลุ่มซีพี ได้ตั้งกองทุนมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพ ภายใต้เงื่อนไขเดียวคือ เป็นธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและเป็นธุรกิจใหม่ เพราะ ธุรกิจแบบเดิมตัวหนักก็ให้คนเก่าๆทำไปส่วนธุรกิจใหม่ต้องตัวเบาเเละให้คนรุ่นใหม่ทำ ซึ่งพบว่า ธุรกิจใหม่ยังขาดเงินซึ่งกองทุนนี้ก็ไม่ได้จะให้เงินเพียงอย่างเดียวจะต้องให้ความรู้ด้วย
“ก่อนจะเริ่มธุรกิจต้องหาข้อมูล ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ตลาดจะทำอะไร มีคนเลือกทำหรือไม่ หรือไปต่อยอดได้หรือไม่ ขาดคนก็ไปเชิญคนเก่งๆจากทั่วโลกมาช่วย เพราะธุรกิจเทคโนโลยี จะไม่มี one man show แต่จะต้องเป็นเรื่องของการตลาดและเทคโนโลยีเป็นหลัก”
สำหรับการทำงานต้องตั้งเป้าหมาย ซึ่งซีพีจะยึดหลักให้ลองผิดลองถูกให้อำนาจในการตัดสินใจ ไม่ใช่ไปห้ามเพราะคิดว่าจะต้องผิด แต่จะปล่อยให้ทำ ผิดวันนี้พรุ่งนี้แก้ไข แต่ถ้าผิดอีกแก้ไขไม่ได้อันนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน ต้องเป็นแค่การชี้แนะไม่ใช่ชี้นำ
“ผมอาจมีกองทุนใหม่เพื่อเข้าไปลงทุนก้บธุรกิจสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จแล้ว อย่างสำเร็จสัก 80-90% แล้วเราก็เข้าไปช่วยให้ขยายธุรกิจเพิ่มไปได้ด้วยเงินทุนของเรา”
8พันคนฟังธนินท์สอนมวยธุรกิจแน่นคลับเฮ้าส์
ทั้งนี้ ในการเปิดห้อง คลับเฮ้าส์ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมฟัง 8,000 คน ได้มีการเปิดโอกาสให้เปิดการซักถาม จากผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีในสาขาต่างๆ โดยนายธนินท์ได้สอบถามรายละเอียดธุรกิจพร้อมชี้แนะและให้กำลังใจ และย้ำว่าหลังโควิด-19 จะมีโอกาสต่างๆเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดจากทั่วโลก
โดยนายธนินท์ กล่าวถึง แอพพลิเคชั่น คลับเฮ้าส์ สาเหตุที่สนใจเข้าร่วมแม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้สนใจโซเชียลมีเดียลักษณะเข้าร่วมด้วยตัวเองมาก่อนเพราะมองว่าคนที่เข้ามาฟังในคลับเฮ้าส์คือคนที่มีความตั้งใจจริงๆที่จะเข้ามาฟังและน่าจะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพราะเศรษฐกิจยุคใหม่ไม่เหมือนแบบเก่า ต้องเรียนรู้กับสิ่งใหม่และคนรุ่นใหม่แม้ส่วนตัวจะมีประสบการณ์มามากก็ตาม
เสียดายเคยปฎิเสธแจ๊คหม่า
โดยหนึ่งในคำถามจากผู้ฟังถามถึงสาเหตุที่นายธนินท์เคยปฎิเสธที่จะร่วมก่อตั้งและทำธุรกิจกับนายแจ๊ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา อีคอมเมิร์ชยักษ์ใหญ่ในจีน นายธนินท์ กล่าวว่า “ผมยังคิดถึงวันนั้น และยอมรับว่าตอนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไปเข้าคอร์สเรื่องอีคอมเมิร์ชถึงฮ่องกง ถ้าตอนนั้นผมเข้าใจป่านนี้คงรวยไม่รู้เรื่อง นั่นแหละทำไมผมถึงบอกว่า สตาร์ทอัพต้องหาความรู้มองหาสิ่งใหม่เลือกใช้เทคโนโลยี ดึงคนเก่งมาช่วยงาน เพราะโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ”
Cr:กรุงเทพธุรกิจ
ตอนนี้คือยุค4.0 ที่การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เมื่อเกิดโควิด-19 จะยิ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เกิดเร็วขึ้นจากเดิมไม่เข้าใจยุคใหม่ เทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องรีบเข้าใจ ดังนั้น แม้โควิด จะเป็นวิกฤติแต่ในวิกฤติก็ตามมาด้วยโอกาส
ทั้งนี้ วิกฤติโควิด-19 รุนแรงกว่าหลายวิกฤติที่ผ่านมา โดยเฉพาะวิกฤติทางการเงินอย่างต้มยำกุ้ง ซึ่งเกิดขึ้นที่ไทยและเอเชีย ที่เศรษฐกิจไม่ได้ใหญ่มากผลกระทบจึงไม่เกิดไปถึง ยุโรป หรือ สหรัฐ ตอนนั้น กลายเป็นโอกาสให้เกิดการซื้อของถูก ซึ่งไทยก็ได้นำของดีมีค่าไปขายในราคาถูกๆ เพราะบริหารไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจวิกฤติการเงิน ว่าควรจัดการอย่างไร ไม่ได้ตัดไฟแต่ต้นลม
นายธนินท์ กล่าวอีกว่า กลับมาที่สตาร์ทอัพ พบว่า สตาร์ทอัพจากทั่วโลกต้องการเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองไทยต้องการเข้ามาลงทุนโดยผลสำรวจชี้ว่า นักลงทุน อยากมาอยู่เมืองไทย เมืองไทยน่าอยู่ เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้เราทำงานจากที่ไหนก็ได้ จะที่บ้านหรือสำนักงานก็ไม่ต่างกัน แต่ไทยไม่ค่อยส่งเสริมให้มามีการกำหนดเงื่อนไข เช่นต้องรายงานตัวเข้าเมืองทุก 3 เดือน เพราะมองว่าคนเหล่านี้จะมาแย่งงาน แต่ที่จริงแล้วเขาก็ทำงานของเขาและจะช่วยดึงเราให้เป็นคนเก่งเหมือนเขา
“ประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส แต่รัฐบาลต้องเข้าใจและส่งเสริมอย่างตรงจุด”
ชี้จุดอ่อนสตาร์ทอัพไทย
สำหรับสตาร์ทอัพเมืองไทยขาดอยู่อย่างหนึ่งคือขาดการเมืองสนับสนุน รัฐบาลไม่ได้เอื้อ แม้บอกว่าจะส่งเสริม ทำให้สตาร์ทอัพต้องไปจดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เพราะรัฐบาลไทยจะเก็บภาษีรายได้สตาร์ทอัพ แต่ถามว่าถ้าลงทุนไปแล้วขาดทุนใครจะช่วยรับผิดชอบ ประเทศไทย 4.0 คนเก่งๆอยากอยู่เมืองไทย แต่กฎหมายไทยไม่ต้อนรับ เพราะต้องการแค่แรงงานราคาถูกมาทำงานเท่านั้น
ตอนนี้เป็นยุคเถ้าแก่เกิดใหม่ มหาวิทยาลัยจากเดิมสร้างคนไปรับใช้บริษัทใหญ่ๆ ตอนนี้ สร้างคนไปเป็นเถ้าแก่มีธุรกิจของตัวเอง จากนี้ไปไม่มีคำว่าแรงงาน มีแต่วิศวกร มีแต่คนมาคุมเทคโนโลยี ยกตัวอย่างถ้าจะหาซื้อวัตถุดิบ จากเดิมต้องให้คนไปหาที่ไหนดี ที่ไหนถูก แต่ตอนนี้เข้าเวบไซด์ ก็รู้หมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม การสร้างธุรกิจก็ดี แต่เมื่อสร้างแล้วธุรกิจประสบกับวิกฤติอย่างโควิด-19 ก่อนอื่นต้องศึกษาว่า ในธุรกิจที่มีอยู่นั้นสามารถต่อยอดหรือปรับให้เป็นสินค้าหรือบริการที่เป็นที่ต้องการได้อย่างไร แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนธุรกิจไปทำอย่างอื่นที่ไม่ถนัดเพราะเป็นการเริ่มต้นใหม่ ขณะเดียวกันภาครัฐก็ต้องเลี้ยงธุรกิจที่แม้จะประสบปัญหาเหล่านี้ ให้อยู่ได้ เช่นให้เงินกู้ ซึ่งไม่ใช่ให้แค่ 3ปี แต่ต้องนานเป็น 5 ปี เพราะเมื่อโควิดหายไปแล้วโอกาสต่างๆจะกลับมา เช่น ธุรกิจกระเป๋าเดินทางตอนนี้ ไม่มีคนเดินทาง แต่เชื่อว่าหลังจากนี้การเดินทางจะเกิดขึ้นอย่างมากชนิดที่เรียกว่ารับกันไม่ทันเลยทีเดียว
ปั้นกองทุนพันล้านเป็นกองหนุนสตาร์ทอัพ
สำหรับกลุ่มซีพี ได้ตั้งกองทุนมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพ ภายใต้เงื่อนไขเดียวคือ เป็นธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและเป็นธุรกิจใหม่ เพราะ ธุรกิจแบบเดิมตัวหนักก็ให้คนเก่าๆทำไปส่วนธุรกิจใหม่ต้องตัวเบาเเละให้คนรุ่นใหม่ทำ ซึ่งพบว่า ธุรกิจใหม่ยังขาดเงินซึ่งกองทุนนี้ก็ไม่ได้จะให้เงินเพียงอย่างเดียวจะต้องให้ความรู้ด้วย
“ก่อนจะเริ่มธุรกิจต้องหาข้อมูล ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ตลาดจะทำอะไร มีคนเลือกทำหรือไม่ หรือไปต่อยอดได้หรือไม่ ขาดคนก็ไปเชิญคนเก่งๆจากทั่วโลกมาช่วย เพราะธุรกิจเทคโนโลยี จะไม่มี one man show แต่จะต้องเป็นเรื่องของการตลาดและเทคโนโลยีเป็นหลัก”
สำหรับการทำงานต้องตั้งเป้าหมาย ซึ่งซีพีจะยึดหลักให้ลองผิดลองถูกให้อำนาจในการตัดสินใจ ไม่ใช่ไปห้ามเพราะคิดว่าจะต้องผิด แต่จะปล่อยให้ทำ ผิดวันนี้พรุ่งนี้แก้ไข แต่ถ้าผิดอีกแก้ไขไม่ได้อันนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน ต้องเป็นแค่การชี้แนะไม่ใช่ชี้นำ
“ผมอาจมีกองทุนใหม่เพื่อเข้าไปลงทุนก้บธุรกิจสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จแล้ว อย่างสำเร็จสัก 80-90% แล้วเราก็เข้าไปช่วยให้ขยายธุรกิจเพิ่มไปได้ด้วยเงินทุนของเรา”
8พันคนฟังธนินท์สอนมวยธุรกิจแน่นคลับเฮ้าส์
ทั้งนี้ ในการเปิดห้อง คลับเฮ้าส์ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมฟัง 8,000 คน ได้มีการเปิดโอกาสให้เปิดการซักถาม จากผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีในสาขาต่างๆ โดยนายธนินท์ได้สอบถามรายละเอียดธุรกิจพร้อมชี้แนะและให้กำลังใจ และย้ำว่าหลังโควิด-19 จะมีโอกาสต่างๆเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดจากทั่วโลก
โดยนายธนินท์ กล่าวถึง แอพพลิเคชั่น คลับเฮ้าส์ สาเหตุที่สนใจเข้าร่วมแม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้สนใจโซเชียลมีเดียลักษณะเข้าร่วมด้วยตัวเองมาก่อนเพราะมองว่าคนที่เข้ามาฟังในคลับเฮ้าส์คือคนที่มีความตั้งใจจริงๆที่จะเข้ามาฟังและน่าจะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพราะเศรษฐกิจยุคใหม่ไม่เหมือนแบบเก่า ต้องเรียนรู้กับสิ่งใหม่และคนรุ่นใหม่แม้ส่วนตัวจะมีประสบการณ์มามากก็ตาม
เสียดายเคยปฎิเสธแจ๊คหม่า
โดยหนึ่งในคำถามจากผู้ฟังถามถึงสาเหตุที่นายธนินท์เคยปฎิเสธที่จะร่วมก่อตั้งและทำธุรกิจกับนายแจ๊ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา อีคอมเมิร์ชยักษ์ใหญ่ในจีน นายธนินท์ กล่าวว่า “ผมยังคิดถึงวันนั้น และยอมรับว่าตอนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไปเข้าคอร์สเรื่องอีคอมเมิร์ชถึงฮ่องกง ถ้าตอนนั้นผมเข้าใจป่านนี้คงรวยไม่รู้เรื่อง นั่นแหละทำไมผมถึงบอกว่า สตาร์ทอัพต้องหาความรู้มองหาสิ่งใหม่เลือกใช้เทคโนโลยี ดึงคนเก่งมาช่วยงาน เพราะโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ”
Cr:กรุงเทพธุรกิจ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3437
ThaiVI Go USA น้องแดม ชนาเมธ เฟื่องวรรธนะ
Report Quote
Posts by amornkowa » 27 Feb 2021 06:52
ThaiVI GO EP 2 –หุ้นอเมริกา (USA)
By น้องแดม ชนาเมธ เฟื่องวรรธนะ เจ้าของเพจ เล่าเท่าที่รู้
วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทในอเมริกา น้องแดมจะใช้วิธีการของ Venture Capital (VC) มาประเมินมูลค่าหุ้น
โดยปกติถ้บริษัทก่อนเข้าตลาด ถ้ามีการvaluationมาสูง หลังเข้าตลาดก็จะมีราคาสูงต่อเนื่อง
ถ้าเราเข้าใจว่า VC ว่าเขาคิดวิเคราะห์อย่างไร ก็จะได้ประเมินมูลค่าของบริษัทได้ถูกต้อง
การทำการบ้าน สำหรับหุ้นในอเมริกาที่ไม่มีอยู่ในเมืองไทยนั้น
-การเข้าใจธุรกิจ เราต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถ้าเราต้องการให้การลงทุนในบริษัทนี้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปเลย
ซึ่งต้องใช้พลังในการศึกษาบริษัทให้มากหน่อย บางธุรกิจมีแต่ในUS เราไม่สามารถทดลองใช้สินค้าได้
ทำอย่างไรละ เราก็สามารถรู้ได้ โดยโทรถามเพื่อนที่อยู่US
เช่น Pinterest ไม่เคยใช้บริการ แต่เคยได้ยินมา นึกถึงเพื่อนที่อยู่US เลยโทรไปถามว่า
ใช้อย่างไร , ทำไมถึงใช้ , ดีกว่าตัวอื่นอย่างไร
เราต้องวิเคราะห์ให้ขาดในตัวธุรกิจ กับกิจการ
เราต้องทำตัวเหมือนเป็น VC ซึ่งลงทุนในกิจการต้องอยู่กับธุรกิจ 5-10ปี ดังนั้นเราต้องคิดเหมือนกัน
คือ ถือบริษัท 5-10 ปี
ไอเดียที่ได้จาก Pinterest
ดูหุ้นสองตัวที่มีกำไร 10 เท่าในสองปี คือ Livongo , Square
เลยคิดว่า Pinterest ก็มีโอกาสเป็นไปได้ เลยทำการบ้านอย่างหนัก และ ตัดสินใจลงทุนในบริษัทนี้
บางทีการลงทุนขึ้นกับ จังหวะ ความรู้เกี่ยวกับบริษัท
เข้าใจในเรื่อง Platform Business Model
และ เก็บทีละจุด (connect the dot) จนเกิดยูเรก้า เข้าใจได้เอง
ตอนนี้ที่ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนหนัก น้องแดม บอกว่า ตลาดเหวี่ยง ไม่ใช่มีผลเสียต่อนักลงทุนอย่างเดียว
ถ้าคนนั้นไม่ได้ใช้margin หมายถึงสามารถถือหุ้นต่อได้ ไม่ถูกบังคับขายจากราคาที่ต่ำลง
น้องแดมบอกว่า เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นในราคาที่ดี ผมFocus ที่กิจกรรมแทนมองตลาดที่เหวี่ยง
โดยยึดหลักการ
1.เราไม่ตามเล่นกับคนส่วนใหญ่ ความเสี่ยงจริงๆเกิดจากตัวเราเอง
2.Price per sales ไม่สามารถใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม
ตอนนี้คนแห่เล่นตามกันเยอะ ทั้งที่ไม่เข้าใจสูตรของ Price per sales
เราไม่เข้าใจเรื่องvaluationเลย ถ้าฟองสบู่แตก ก็จะเจ็บหนัก ถือเป็นความเสี่ยง
Price per sales ค่อนข้างจะฉาบฉวย เราต้องมีหลักการด้วย
เช่น ตอนนี้ธุรกิจไม่มีกำไร แต่ต้องแน่ใจว่าอีก 5-10ปี ต้องมีกำไรนะ ตัวอย่างเช่น Amazon ซึ่ง
ไป ในที่สุดปลายทางก็มีกำไรมหาศาล
ตัวอย่าง เคสที่ยกมา คือ
หุ้นในกลุ่ม Health Tech ซึ่งเคยซื้อเมื่อกลางปีที่แล้ว และขายในวันรุ่งขึ้น เพราะไม่เข้าใจในธุรกิจ
หลังจากที่ได้ศึกษาจนเข้าใจ ก็กลับมาซื้ออีกรอบ
ซึ่งหุ้นตัวนี้ รุ่นพี่ที่เห็นเราชอบธุรกิจที่เป็น Platform เลยแนะนำมา และ น้องแดมก็ไปศึกษาต่อจนมั่นใจ
การประเมินมูลค่าหุ้นTech
1.Backward
2.Forward
วิธีการ Forward คือ หาว่าอีก 5 ปี ประเมินรายได้ได้เท่าไหร่ ซื่งมาจาก
การดูว่า market share ตอนนั้นสมมติว่าเท่ากับ 10% , Growth 20% จะได้รายได้เท่านี้
จากนั้นก็คำนวณว่า Operating margin ได้เท่าไหร่ สุดท้ายก็จะหาราคาออกมาได้
ส่วนวิธี Backward
ตัวอย่างจาก หุ้น Fiverr , Livongo คิดย้อนกลับ โดยเริ่มจากว่าต้องการกำไร 10 เท่าจากราคาหุ้น
ก็คิดย้อนกลับไปว่า ควรมีสัดส่วนจาก TAM(Total Addressible Market)เท่าไหร่
เป็นไปได้ไหม ถ้าเป็นไปได้ ก็เป็นโอกาสในการลงทุน
สุดท้ายขอขอบคุณสมาคมที่จัดสัมมนาบน Club house มากๆครับ
ติดตาม ThaiVI GO EP3 ได้ในสัปดาห์หน้าครับ
Report Quote
Posts by amornkowa » 27 Feb 2021 06:52
ThaiVI GO EP 2 –หุ้นอเมริกา (USA)
By น้องแดม ชนาเมธ เฟื่องวรรธนะ เจ้าของเพจ เล่าเท่าที่รู้
วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทในอเมริกา น้องแดมจะใช้วิธีการของ Venture Capital (VC) มาประเมินมูลค่าหุ้น
โดยปกติถ้บริษัทก่อนเข้าตลาด ถ้ามีการvaluationมาสูง หลังเข้าตลาดก็จะมีราคาสูงต่อเนื่อง
ถ้าเราเข้าใจว่า VC ว่าเขาคิดวิเคราะห์อย่างไร ก็จะได้ประเมินมูลค่าของบริษัทได้ถูกต้อง
การทำการบ้าน สำหรับหุ้นในอเมริกาที่ไม่มีอยู่ในเมืองไทยนั้น
-การเข้าใจธุรกิจ เราต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถ้าเราต้องการให้การลงทุนในบริษัทนี้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปเลย
ซึ่งต้องใช้พลังในการศึกษาบริษัทให้มากหน่อย บางธุรกิจมีแต่ในUS เราไม่สามารถทดลองใช้สินค้าได้
ทำอย่างไรละ เราก็สามารถรู้ได้ โดยโทรถามเพื่อนที่อยู่US
เช่น Pinterest ไม่เคยใช้บริการ แต่เคยได้ยินมา นึกถึงเพื่อนที่อยู่US เลยโทรไปถามว่า
ใช้อย่างไร , ทำไมถึงใช้ , ดีกว่าตัวอื่นอย่างไร
เราต้องวิเคราะห์ให้ขาดในตัวธุรกิจ กับกิจการ
เราต้องทำตัวเหมือนเป็น VC ซึ่งลงทุนในกิจการต้องอยู่กับธุรกิจ 5-10ปี ดังนั้นเราต้องคิดเหมือนกัน
คือ ถือบริษัท 5-10 ปี
ไอเดียที่ได้จาก Pinterest
ดูหุ้นสองตัวที่มีกำไร 10 เท่าในสองปี คือ Livongo , Square
เลยคิดว่า Pinterest ก็มีโอกาสเป็นไปได้ เลยทำการบ้านอย่างหนัก และ ตัดสินใจลงทุนในบริษัทนี้
บางทีการลงทุนขึ้นกับ จังหวะ ความรู้เกี่ยวกับบริษัท
เข้าใจในเรื่อง Platform Business Model
และ เก็บทีละจุด (connect the dot) จนเกิดยูเรก้า เข้าใจได้เอง
ตอนนี้ที่ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนหนัก น้องแดม บอกว่า ตลาดเหวี่ยง ไม่ใช่มีผลเสียต่อนักลงทุนอย่างเดียว
ถ้าคนนั้นไม่ได้ใช้margin หมายถึงสามารถถือหุ้นต่อได้ ไม่ถูกบังคับขายจากราคาที่ต่ำลง
น้องแดมบอกว่า เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นในราคาที่ดี ผมFocus ที่กิจกรรมแทนมองตลาดที่เหวี่ยง
โดยยึดหลักการ
1.เราไม่ตามเล่นกับคนส่วนใหญ่ ความเสี่ยงจริงๆเกิดจากตัวเราเอง
2.Price per sales ไม่สามารถใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม
ตอนนี้คนแห่เล่นตามกันเยอะ ทั้งที่ไม่เข้าใจสูตรของ Price per sales
เราไม่เข้าใจเรื่องvaluationเลย ถ้าฟองสบู่แตก ก็จะเจ็บหนัก ถือเป็นความเสี่ยง
Price per sales ค่อนข้างจะฉาบฉวย เราต้องมีหลักการด้วย
เช่น ตอนนี้ธุรกิจไม่มีกำไร แต่ต้องแน่ใจว่าอีก 5-10ปี ต้องมีกำไรนะ ตัวอย่างเช่น Amazon ซึ่ง
ไป ในที่สุดปลายทางก็มีกำไรมหาศาล
ตัวอย่าง เคสที่ยกมา คือ
หุ้นในกลุ่ม Health Tech ซึ่งเคยซื้อเมื่อกลางปีที่แล้ว และขายในวันรุ่งขึ้น เพราะไม่เข้าใจในธุรกิจ
หลังจากที่ได้ศึกษาจนเข้าใจ ก็กลับมาซื้ออีกรอบ
ซึ่งหุ้นตัวนี้ รุ่นพี่ที่เห็นเราชอบธุรกิจที่เป็น Platform เลยแนะนำมา และ น้องแดมก็ไปศึกษาต่อจนมั่นใจ
การประเมินมูลค่าหุ้นTech
1.Backward
2.Forward
วิธีการ Forward คือ หาว่าอีก 5 ปี ประเมินรายได้ได้เท่าไหร่ ซื่งมาจาก
การดูว่า market share ตอนนั้นสมมติว่าเท่ากับ 10% , Growth 20% จะได้รายได้เท่านี้
จากนั้นก็คำนวณว่า Operating margin ได้เท่าไหร่ สุดท้ายก็จะหาราคาออกมาได้
ส่วนวิธี Backward
ตัวอย่างจาก หุ้น Fiverr , Livongo คิดย้อนกลับ โดยเริ่มจากว่าต้องการกำไร 10 เท่าจากราคาหุ้น
ก็คิดย้อนกลับไปว่า ควรมีสัดส่วนจาก TAM(Total Addressible Market)เท่าไหร่
เป็นไปได้ไหม ถ้าเป็นไปได้ ก็เป็นโอกาสในการลงทุน
สุดท้ายขอขอบคุณสมาคมที่จัดสัมมนาบน Club house มากๆครับ
ติดตาม ThaiVI GO EP3 ได้ในสัปดาห์หน้าครับ
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3438
น้ำตาจะไหล ข้อมูลที่พี่หมอหนึ่งสรุปไว้ตอน มีตติ้งviหาดใหญ่Q4 2563 หายเกลี้ยง T_T
อันนี้ก็ถือเป็น BlackSwan แบบนึงในโลกความเป็นจริงสินะครับ หวังว่าคนที่โพสเนื้อหาดีๆ ก็อย่าน้อยใจเซ็ง หนีหายไปก่อนนะครับ
ปล1.ตอนนี้หุ้นอะไรๆก็ออกมาทำกัญชงกันหมดเลย ทั้งเก็บหนี้, ทำยางรถยนต์, ทำwind farm solarfarm
คือขอให้บอกแหละ ว่าจะทำกัญชง เด๋วราคาหุ้นก็วิ่งไปเอง อารมณ์เหมือนตอนยุคทำsolarfarm เมื่อ4-5ปีก่อนโน้นเด๊ะๆเลยครับ เหอๆๆ
ปล.2 จะรอดูบริษัท TNR, SABINA ทำกับเขาด้วยมั้ย อยากรู้ผลิตภัณฑ์จะออกมาหน้าตาไงหว่า
อันนี้ก็ถือเป็น BlackSwan แบบนึงในโลกความเป็นจริงสินะครับ หวังว่าคนที่โพสเนื้อหาดีๆ ก็อย่าน้อยใจเซ็ง หนีหายไปก่อนนะครับ
ปล1.ตอนนี้หุ้นอะไรๆก็ออกมาทำกัญชงกันหมดเลย ทั้งเก็บหนี้, ทำยางรถยนต์, ทำwind farm solarfarm
คือขอให้บอกแหละ ว่าจะทำกัญชง เด๋วราคาหุ้นก็วิ่งไปเอง อารมณ์เหมือนตอนยุคทำsolarfarm เมื่อ4-5ปีก่อนโน้นเด๊ะๆเลยครับ เหอๆๆ
ปล.2 จะรอดูบริษัท TNR, SABINA ทำกับเขาด้วยมั้ย อยากรู้ผลิตภัณฑ์จะออกมาหน้าตาไงหว่า
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3439
ไม่น่าจะเป็น Black swan ครับ แค่เลือก Cloud service กาก
โชคยังดี ผมได้อ่านสรุปของพี่หมอแล้ว
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3440
สรุปเนื้อหาเน้น ๆ จาก "กิจกรรม CV@RS" เมื่อ 16 มี.ค. 64
ทีมสมาชิกนักลงทุน สมาคม Thai VI ได้เข้าเยี่ยมชม Warehouse RS Mall รังสิต จ.ปทุมธานี
โดยมี ผู้บริหาร Mr. Wittawat Wetchabutsakorn ตำแหน่ง Chief Financial Officer
Tipnipa Kananub ตำแหน่ง Assistant Director – Investor Relations
Nathamon Thongpatchote ตำแหน่ง Manager – Investor Relations and Sustainable Development
หลังจากที่ผู้บริหาร RS พาสมาชิก Thai VI เข้าชมคลังสินค้า RS Mall เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึง Update ข้อมูลของบริษัทต่อ
โดยมี คุณ Wittawat และ คุณ Tipnipa มาให้ข้อมูลร่วมกัน
RS มีการทำเต็มรูปแบบของ Commerce (Full intregrate commerce )
และ ตระกูลเชษฐโชติศักดิ์ ถือหุ้นอยู่ 22.64% และ สถาบันการเงินเริ่มมาถือหุ้นบริษัทมากขึ้น
RS GROUP Structure
1. Life Star (RS MALL)
Type of Business : Commerce
สินค้าของบริษัทเองใน RS MALL คิดเป็นสัดส่วน 50% และมีรายได้คิดเป็น 65% ของทั้งหมด
ลูกค้ามีทั้งหมดกว่า 5 ล้านคน ช่วง COVID-19 ก็ยังขายได้ ยอดขาย e-Commerce โตทุกไตรมาส
โดยมีการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า และ พัฒนาเป็นสินค้าตอบสนองความต้องการของลูกค้า
2. Coolism
Type of Business : Media
คิดเป็นรายได้ 30% ของทั้งหมด ถ่ายทอดผ่านทาง Digital TV , Radio , Web&App
3. เพลงจาก Rose sound, Kamikaze , RSIAM
Type of Business : Music
ใช้ Influencer ปีที่แล้ว สัดส่วนลดลง เพราะว่า จัด Concert ไม่ได้
รายได้คิดเป็น 5% ของทั้งหมด
4. อีกส่วนที่ยังไม่นับเป็นรายได้ คือ Financial service – Chase ยังไม่มีรายได้
ปีนี้จะ Contribute อยู่ในส่วน Gain/Loss
อาจมี Share skill ระหว่าง Call Center ด้วยกัน
Entertainmerce Business Model
Life (Product & Service Company) แบ่งเป็น
1. Media Commerce Platform
1.1 RS MALL ได้แก่ TV (Channel 8 , Amarin , Workpoint , PSI ) , Online (Website & App) , e-Commerce (Shopee, Lazada )
1.2 Coolism ได้แก่ Online : Cool anything (App & Website)
1.3 Star Commerce RS’s & KOL
2. Outbound Marketing แบ่งเป็น Telemarketing , Digital Marketing นำข้อมูลจาก
Database ที่เก็บไว้ โทรชวนลูกค้าซื้อซ้ำ
3. Mass Market
ขายผ่าน 7-11 ,Watson , Boots , EDN
ข้อมูลจากทุก Channel จะเก็บไว้ใน Database ของเรา เพื่อใช้ในการทำ Outbound ติดต่อลูกค้ากลับไป
Life Star product launch on 1H 21
1. 90% ที่ขายได้ มาจากการขายใน RS Mall
- Scientfic food supplement : S.O.M เช่น Probio-10, Phytoblend.
- Vitanature : Product champion ต้นทุนต่ำกว่า S.O.M ราคาขายต่ำกว่า 1,500 บาท เช่น
Mulberry & Moringa extract.
ซึ่งประสบความสำเร็จในการขายมาก
- ทองเอก เช่น Andrographis paniculta extract
2. Innovative food supplement ผ่าน EDN Network
สินค้าที่ขายผ่านช่องทาง EDN ซึ่งเป็น networkใหม่
: Well U แบ่งเป็น Premium collagen, Meal replacement
บริษัทเปิดตัวคอลลาเจน Well U เข้า MASS Mkt. โดยจ้าง ดารา 3 คน คือ น้องแต้ว น้องแพท และน้องเจนนี่
งบการตลาดเบื้องต้น 300 ล้านบาท ขายผ่าน EDN (Exclusive distribution network) เป็นหลัก 80%
3. สินค้าที่ขายผ่านช่องทาง Modern Trade
- Functional drink
4. Pet care channel & Traditional Trade
-สินค้าพวก Dry pet food
RS’s 4 Strategy Pillars for 2021
1. Build on our key strengths
2. Diversification of new products into untapped markets
3. A Growth of content driven utilization โดยขาย Content แบบมัดรวม ปีที่แล้วขายได้ 200 ลบ.
ทำให้ปิดยอดขายในส่วน T.V. ได้ 1,000 ลบ.
4. M&A Execution. ปีนี้ ปิดไป 1 deal คือ Chase และจะมีอีก 1-2 deal ในปีนี้
Sales Channel & Platform Expansion
1. RS MALL
- TV Commerce เช่น ช่อง 8 , Amarin TV , Workpoint TV และ ผ่านช่องดาวเทียม RS MALL Channel
- Online เช่น Line, Web&Social media , RS MALL App ซึ่งจะ launch ใน เมษายน 2021
2. Life
- Online เช่น e-Commerce : Lazada , Shopee เป็นต้น
- Offline เช่น ECN , Modern trade & Tradition trade เช่น Watson,Family Mart,Big C , 7-11
3. Coolism
- Online เช่น Cool anything ซึ่ง App Cool Anything web จะ launch Jun 2021
Update PDS & Voice Analytics
1. PDS สามารถรับสายได้ 100% จาก 80% ใน Q4 2020
2. Voice Analytics
เป็นระบบจับน้ำเสียงของลูกค้า เพื่อช่วยเสนอทางเลือก และช่วยจบการขาย ระบบนี้ซื้อจาก vendorมา
จะทดสอบ full version ในเดือน พค
ข้อมูลที่ได้จะนำเสนอให้พิจารณาในการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าต่อไป
FDA Regulation & Hemp-Derived Products
- กัญชง เน้นที่relax ประกอบไปด้วย สินค้า พวก กาแฟ ,skin care เราทำได้หลากหลายมาก
- 1 เมษายน มีงานเปิดตัวสินค้าใหม่
functional drink และผลิตภัณฑ์กัญชง กัญชา
- กัญชง กัญชา เราจะทำทุก Product Segment ที่เป็นไปได้
และจะออก Product line ตาม timeline ที่ สำนักงานอาหารและยา (อ.ย.) อนุมัติ
Life Star’s 2H21 Product lauch
1. ใน RS Mall
- Scientfic food supplement : S.O.M เช่น Fibre powder drink,Eye,NCD และ Hemp products.
- Vitanature : Immune health.
- ทองเอก เช่น Laxative medicine.
2.Innovative food supplement ผ่าน EDN Network
สินค้าที่ขายผ่านช่องทาง EDN ซึ่งเป็น networkใหม่
: Well U : Hemp products
3.สินค้าที่ขายผ่านช่องทาง Modern Trade
- Hemp products
4.Hair care
Revive : new size serum ผ่านช่องทาง EDN
A Growth of content – Driven Utilization
ผ่าน 3 ช่องทาง
1. ช่อง 8 ปีที่แล้วขายรายการแบบมัดรวม ได้ 200 ลบ
2. Coolism
3. RoseSound,Kamikaze,RSIAM
2021 Estimated Performance
Revenue 5,700 ลบ. แบ่งเป็น Commerce 4,000 ลบ (New product 1,000 ลบ. และ สินค้าเดิม 3,000 ลบ.)
Media TV 1,000 ลบ. และ
Coolism 200 ลบ. , Music 200 ลบ. , Concert & Event 200 ลบ.
GP 50-52%
NP 12-14%
Capex 56 MB
ตั้งเป้า ยอดขายอีก 5 ปี 10,500 MB
ถามตอบ Q&A
1. ทำไมออก W4 ทั้งที่ DE เราต่ำ
A :เตรียมความพร้อมขยายกิจการ และ มองเป็น yield ที่ดีกว่าจ่ายเป็น เงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น
2. ยอดขายปี COVID-19 ถือเป็นปีพิเศษหรือไม่เมื่อคนอยู่บ้านมากขึ้น?
A :เท่าที่ดูตัวเลขไม่ได้พุ่งขึ้นมาก บริษัทฯ มองว่าเกิดจากองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง โควิด-19 ทำให้คนเปลี่ยนความคิด
เช่น พอเกิดโควิด คนเน้นและหันมาดูแลรักษาสุขภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น
3. วัดยอด View ช่วง COVID-19 vs Non- COVID-19 ได้ไหม?
A : คนดูผ่านทีวี มากกว่าปกติในช่วง Non primetime
- คนดู 6- 8 ล้าน ช่อง 8 ต่อวัน (เฉลี่ย 300,000-400,000 คนต่อนาที)
- มีชี้แจงเพิ่มเติมว่า จํานวนคนดูไม่เกี่ยวกับยอดขายมากนัก อยู่ใน
ระบบที่ RS นำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลแล้วจัด Promotion ได้เข้าเป้ามากกว่า
4. NPM ช่องทางไหนเยอะสุด?
A :ไม่ต่างมากช่องทาง Mass อาจต่ำกว่าเล็กน้อย
RS MALL จะมี Margin สูง แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าขนส่งเพิ่มมา
ส่วน Mass เราต้องจ่ายให้ร้านค้า จะได้ Margin ต่ำกว่า
5. ยอดขาย Q นี้เทียบกับ Q4 ปีที่แล้ว เป็นอย่างไร?
A : มีแนวโน้มดีขึ้น
6. ทำไม GP สูงขึ้นทุกปีจาก 20% มา 50%
A : Commerce contribute รายได้มากขึ้นเรื่อย ๆ และมี GP สูงกว่า ธุรกิจสื่อ
7. สินค้า Beauty OEM ใช้บริษัทภายในประเทศ หรือต่างประเทศ?
A : ไปค้นคว้าที่ต่างประเทศแล้วนำมา OEM ในไทยแล้วจึงส่งไปทดสอบที่ Lab ที่ต่างประเทศอีกที
8.RS App จะ position แบบไหน
A : ใช้ทีมเดิมที่ทำ Website อยู่ ไม่ได้ทำตัวเป็น Market place แข่งกับ Lazada, shopee
9. วงจรเงินสดทำไมจึงติดลบ
A :ระยะเวลาในการจ่ายเจ้าหนี้การค้า ใช้ระยะเวลานานขึ้น, จากการลงทุน เช่น เปิดสำนักงานใหญ่ใหม่ปีที่แล้ว
ทำธุรกิจใหม่ รวมถึงค่าโฆษณาผ่านสื่อเพิ่ม
10. EDN มีเป้าหมายหรือไม่สำหรับปีนี้?
A : Functional drink 400-500 ล้านบาท
11. เพิ่ม Price ได้ไหม?
A : ตอนนี้เน้นเพิ่ม Quantity มากกว่าในเศรษฐกิจช่วงนี้
Price เพิ่มลำบาก และการเพิ่มการสั่งซื้อซ้ำ ช่วยได้เยอะ
12. ยอดขายเป็น Seasonal ไหม?
A : ไม่มี ส่วนมากตาม Promotion ช่วงนั้น ๆ มากกว่า
13. งบการตลาด 300 ลบ. ในการโปรโมทสินค้าจะเพิ่มอีกไหม?
A : ทางบริษัทฯ ชี้แจงว่า มองเป็น % ต่อยอดขายมากกว่า แต่ยังไงก็ตาม NP ต้องได้ตามเป้าหมาย (12-14%)
----------------------------------------------
ขอขอบคุณ : Mr. Wittawat Wetchabutsakorn - CEO, เจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน มา ณ โอกาสนี้
ข้อมูลสรุปจาก : คุณ amornkowa คุณ patience
ทีมสมาชิกนักลงทุน สมาคม Thai VI ได้เข้าเยี่ยมชม Warehouse RS Mall รังสิต จ.ปทุมธานี
โดยมี ผู้บริหาร Mr. Wittawat Wetchabutsakorn ตำแหน่ง Chief Financial Officer
Tipnipa Kananub ตำแหน่ง Assistant Director – Investor Relations
Nathamon Thongpatchote ตำแหน่ง Manager – Investor Relations and Sustainable Development
หลังจากที่ผู้บริหาร RS พาสมาชิก Thai VI เข้าชมคลังสินค้า RS Mall เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึง Update ข้อมูลของบริษัทต่อ
โดยมี คุณ Wittawat และ คุณ Tipnipa มาให้ข้อมูลร่วมกัน
RS มีการทำเต็มรูปแบบของ Commerce (Full intregrate commerce )
และ ตระกูลเชษฐโชติศักดิ์ ถือหุ้นอยู่ 22.64% และ สถาบันการเงินเริ่มมาถือหุ้นบริษัทมากขึ้น
RS GROUP Structure
1. Life Star (RS MALL)
Type of Business : Commerce
สินค้าของบริษัทเองใน RS MALL คิดเป็นสัดส่วน 50% และมีรายได้คิดเป็น 65% ของทั้งหมด
ลูกค้ามีทั้งหมดกว่า 5 ล้านคน ช่วง COVID-19 ก็ยังขายได้ ยอดขาย e-Commerce โตทุกไตรมาส
โดยมีการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า และ พัฒนาเป็นสินค้าตอบสนองความต้องการของลูกค้า
2. Coolism
Type of Business : Media
คิดเป็นรายได้ 30% ของทั้งหมด ถ่ายทอดผ่านทาง Digital TV , Radio , Web&App
3. เพลงจาก Rose sound, Kamikaze , RSIAM
Type of Business : Music
ใช้ Influencer ปีที่แล้ว สัดส่วนลดลง เพราะว่า จัด Concert ไม่ได้
รายได้คิดเป็น 5% ของทั้งหมด
4. อีกส่วนที่ยังไม่นับเป็นรายได้ คือ Financial service – Chase ยังไม่มีรายได้
ปีนี้จะ Contribute อยู่ในส่วน Gain/Loss
อาจมี Share skill ระหว่าง Call Center ด้วยกัน
Entertainmerce Business Model
Life (Product & Service Company) แบ่งเป็น
1. Media Commerce Platform
1.1 RS MALL ได้แก่ TV (Channel 8 , Amarin , Workpoint , PSI ) , Online (Website & App) , e-Commerce (Shopee, Lazada )
1.2 Coolism ได้แก่ Online : Cool anything (App & Website)
1.3 Star Commerce RS’s & KOL
2. Outbound Marketing แบ่งเป็น Telemarketing , Digital Marketing นำข้อมูลจาก
Database ที่เก็บไว้ โทรชวนลูกค้าซื้อซ้ำ
3. Mass Market
ขายผ่าน 7-11 ,Watson , Boots , EDN
ข้อมูลจากทุก Channel จะเก็บไว้ใน Database ของเรา เพื่อใช้ในการทำ Outbound ติดต่อลูกค้ากลับไป
Life Star product launch on 1H 21
1. 90% ที่ขายได้ มาจากการขายใน RS Mall
- Scientfic food supplement : S.O.M เช่น Probio-10, Phytoblend.
- Vitanature : Product champion ต้นทุนต่ำกว่า S.O.M ราคาขายต่ำกว่า 1,500 บาท เช่น
Mulberry & Moringa extract.
ซึ่งประสบความสำเร็จในการขายมาก
- ทองเอก เช่น Andrographis paniculta extract
2. Innovative food supplement ผ่าน EDN Network
สินค้าที่ขายผ่านช่องทาง EDN ซึ่งเป็น networkใหม่
: Well U แบ่งเป็น Premium collagen, Meal replacement
บริษัทเปิดตัวคอลลาเจน Well U เข้า MASS Mkt. โดยจ้าง ดารา 3 คน คือ น้องแต้ว น้องแพท และน้องเจนนี่
งบการตลาดเบื้องต้น 300 ล้านบาท ขายผ่าน EDN (Exclusive distribution network) เป็นหลัก 80%
3. สินค้าที่ขายผ่านช่องทาง Modern Trade
- Functional drink
4. Pet care channel & Traditional Trade
-สินค้าพวก Dry pet food
RS’s 4 Strategy Pillars for 2021
1. Build on our key strengths
2. Diversification of new products into untapped markets
3. A Growth of content driven utilization โดยขาย Content แบบมัดรวม ปีที่แล้วขายได้ 200 ลบ.
ทำให้ปิดยอดขายในส่วน T.V. ได้ 1,000 ลบ.
4. M&A Execution. ปีนี้ ปิดไป 1 deal คือ Chase และจะมีอีก 1-2 deal ในปีนี้
Sales Channel & Platform Expansion
1. RS MALL
- TV Commerce เช่น ช่อง 8 , Amarin TV , Workpoint TV และ ผ่านช่องดาวเทียม RS MALL Channel
- Online เช่น Line, Web&Social media , RS MALL App ซึ่งจะ launch ใน เมษายน 2021
2. Life
- Online เช่น e-Commerce : Lazada , Shopee เป็นต้น
- Offline เช่น ECN , Modern trade & Tradition trade เช่น Watson,Family Mart,Big C , 7-11
3. Coolism
- Online เช่น Cool anything ซึ่ง App Cool Anything web จะ launch Jun 2021
Update PDS & Voice Analytics
1. PDS สามารถรับสายได้ 100% จาก 80% ใน Q4 2020
2. Voice Analytics
เป็นระบบจับน้ำเสียงของลูกค้า เพื่อช่วยเสนอทางเลือก และช่วยจบการขาย ระบบนี้ซื้อจาก vendorมา
จะทดสอบ full version ในเดือน พค
ข้อมูลที่ได้จะนำเสนอให้พิจารณาในการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าต่อไป
FDA Regulation & Hemp-Derived Products
- กัญชง เน้นที่relax ประกอบไปด้วย สินค้า พวก กาแฟ ,skin care เราทำได้หลากหลายมาก
- 1 เมษายน มีงานเปิดตัวสินค้าใหม่
functional drink และผลิตภัณฑ์กัญชง กัญชา
- กัญชง กัญชา เราจะทำทุก Product Segment ที่เป็นไปได้
และจะออก Product line ตาม timeline ที่ สำนักงานอาหารและยา (อ.ย.) อนุมัติ
Life Star’s 2H21 Product lauch
1. ใน RS Mall
- Scientfic food supplement : S.O.M เช่น Fibre powder drink,Eye,NCD และ Hemp products.
- Vitanature : Immune health.
- ทองเอก เช่น Laxative medicine.
2.Innovative food supplement ผ่าน EDN Network
สินค้าที่ขายผ่านช่องทาง EDN ซึ่งเป็น networkใหม่
: Well U : Hemp products
3.สินค้าที่ขายผ่านช่องทาง Modern Trade
- Hemp products
4.Hair care
Revive : new size serum ผ่านช่องทาง EDN
A Growth of content – Driven Utilization
ผ่าน 3 ช่องทาง
1. ช่อง 8 ปีที่แล้วขายรายการแบบมัดรวม ได้ 200 ลบ
2. Coolism
3. RoseSound,Kamikaze,RSIAM
2021 Estimated Performance
Revenue 5,700 ลบ. แบ่งเป็น Commerce 4,000 ลบ (New product 1,000 ลบ. และ สินค้าเดิม 3,000 ลบ.)
Media TV 1,000 ลบ. และ
Coolism 200 ลบ. , Music 200 ลบ. , Concert & Event 200 ลบ.
GP 50-52%
NP 12-14%
Capex 56 MB
ตั้งเป้า ยอดขายอีก 5 ปี 10,500 MB
ถามตอบ Q&A
1. ทำไมออก W4 ทั้งที่ DE เราต่ำ
A :เตรียมความพร้อมขยายกิจการ และ มองเป็น yield ที่ดีกว่าจ่ายเป็น เงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น
2. ยอดขายปี COVID-19 ถือเป็นปีพิเศษหรือไม่เมื่อคนอยู่บ้านมากขึ้น?
A :เท่าที่ดูตัวเลขไม่ได้พุ่งขึ้นมาก บริษัทฯ มองว่าเกิดจากองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง โควิด-19 ทำให้คนเปลี่ยนความคิด
เช่น พอเกิดโควิด คนเน้นและหันมาดูแลรักษาสุขภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น
3. วัดยอด View ช่วง COVID-19 vs Non- COVID-19 ได้ไหม?
A : คนดูผ่านทีวี มากกว่าปกติในช่วง Non primetime
- คนดู 6- 8 ล้าน ช่อง 8 ต่อวัน (เฉลี่ย 300,000-400,000 คนต่อนาที)
- มีชี้แจงเพิ่มเติมว่า จํานวนคนดูไม่เกี่ยวกับยอดขายมากนัก อยู่ใน
ระบบที่ RS นำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลแล้วจัด Promotion ได้เข้าเป้ามากกว่า
4. NPM ช่องทางไหนเยอะสุด?
A :ไม่ต่างมากช่องทาง Mass อาจต่ำกว่าเล็กน้อย
RS MALL จะมี Margin สูง แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าขนส่งเพิ่มมา
ส่วน Mass เราต้องจ่ายให้ร้านค้า จะได้ Margin ต่ำกว่า
5. ยอดขาย Q นี้เทียบกับ Q4 ปีที่แล้ว เป็นอย่างไร?
A : มีแนวโน้มดีขึ้น
6. ทำไม GP สูงขึ้นทุกปีจาก 20% มา 50%
A : Commerce contribute รายได้มากขึ้นเรื่อย ๆ และมี GP สูงกว่า ธุรกิจสื่อ
7. สินค้า Beauty OEM ใช้บริษัทภายในประเทศ หรือต่างประเทศ?
A : ไปค้นคว้าที่ต่างประเทศแล้วนำมา OEM ในไทยแล้วจึงส่งไปทดสอบที่ Lab ที่ต่างประเทศอีกที
8.RS App จะ position แบบไหน
A : ใช้ทีมเดิมที่ทำ Website อยู่ ไม่ได้ทำตัวเป็น Market place แข่งกับ Lazada, shopee
9. วงจรเงินสดทำไมจึงติดลบ
A :ระยะเวลาในการจ่ายเจ้าหนี้การค้า ใช้ระยะเวลานานขึ้น, จากการลงทุน เช่น เปิดสำนักงานใหญ่ใหม่ปีที่แล้ว
ทำธุรกิจใหม่ รวมถึงค่าโฆษณาผ่านสื่อเพิ่ม
10. EDN มีเป้าหมายหรือไม่สำหรับปีนี้?
A : Functional drink 400-500 ล้านบาท
11. เพิ่ม Price ได้ไหม?
A : ตอนนี้เน้นเพิ่ม Quantity มากกว่าในเศรษฐกิจช่วงนี้
Price เพิ่มลำบาก และการเพิ่มการสั่งซื้อซ้ำ ช่วยได้เยอะ
12. ยอดขายเป็น Seasonal ไหม?
A : ไม่มี ส่วนมากตาม Promotion ช่วงนั้น ๆ มากกว่า
13. งบการตลาด 300 ลบ. ในการโปรโมทสินค้าจะเพิ่มอีกไหม?
A : ทางบริษัทฯ ชี้แจงว่า มองเป็น % ต่อยอดขายมากกว่า แต่ยังไงก็ตาม NP ต้องได้ตามเป้าหมาย (12-14%)
----------------------------------------------
ขอขอบคุณ : Mr. Wittawat Wetchabutsakorn - CEO, เจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน มา ณ โอกาสนี้
ข้อมูลสรุปจาก : คุณ amornkowa คุณ patience
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3441
Company Visit Sabina 11 March 2021 14.00
คุณบุญชัย ปัณฑุรอัมพร CEO Sabina กล่าวต้อนรับนักลงทุนจากสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย)
และแนะนำผู้บริหาร ได้แก่
คุณ ดวงดาว มหะนาวานนท์ หรือ คุณหมวย กรรมการ ดูแลการขายOnline
คุณ วชิรวรรณ แย้มศรี กรรมการ และ พาชมโรงงานในช่วงเย็น
คุณ แก้ม ขวัญชนก ที่มาช่วยประสานงานระหว่าง Sabina และ สมาคมThaiviครับ
คุณบุญชัย พูดถึง ธุรกิจของบริษัท ซึ่งพูดออกOpp day ไปเมื่อวันที่ 24 กพ 2564
ดังนั้น ทุกคนได้ดูมาแล้ว เลยจะมาพูดต่อในเรื่องของ การทำให้ Net profit margin (NP) เพิ่มขึ้นได้อย่างไร
วิธีทำได้หลายอย่าง เช่น การลด SG&A , การเพิ่มยอดขาย ให้สูงกว่าปี2562
ถ้า NP ทำได้สูงกว่าปี 2563 และ สูงกว่าปี 2562 ถือว่าสุดยอดมาก
การปรับองค์กร ( Restructuring )
การปรับโครงสร้างอย่างไรให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ที่เห็นได้ชัด การปรับ NSR (Non Store Retailing)
ให้เป็นleadในการขายสินค้า
เมื่อก่อนเน้นขายสินค้าoff line ตอนนี้ ใช้ E-commerce เป็นตัวนำ โดย NSR ซึ่งขึ้นตรงกับหน่วยงาน
ธุรกิจสมัยใหม่ Omni Channel ซึ่งคุณดวงดาว หรือ คุณหมวย ดูแลในส่วนนี้มากล่าวเสริม
ว่า เราปรับมาสามเดือน รวมส่วนที่ดูแล เช่น งานหาเงิน (ปกติทำofflineจะดี แต่ทำonlineจะไม่ดี ช้า)
ไม่ง่ายที่คนที่ทำธุรกิจ Off line มีหน้าร้าน จะมาขายของบน Online
ปีแรก ปรับโครงสร้างให้พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไป ที่ยากคือการปรับทัศนคติ
เดิมทำธุรกิจแบบครอบครัว ซึ่งชินกับการทำงานแบบเดิมๆ
ปีที่สอง เริ่มเห็นผล คนเพิ่มจากปีแรก 2 คน เป็น 4 คน และเราพยายามสร้างความเชื่อว่า
ทำยอดขายได้จริงๆ
ผู้บริหารทำให้ทีม NSR เชื่อว่า สามารถทำยอดขายได้เร็วๆ จนทีมมีคนถึง 40 คน
และทำยอดขาย NSR ได้ถึง 20% ของทั้งหมด
ชีวิต off line ต่างกับ On line กว่าจะเป็นวันนี้ เราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
Operation มหาศาลมาก ความสำเร็จเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีการประชุมตลอดเวลา
ทำให้เรามีพื้นที่ ที่จะเล่น room ในส่วนของ SG&A อีกเยอะ
ปีนี้ NSR น่าจะถึง 25% และเพิ่ม off line ให้โตอีก เกิด Omni Channel ปีนี้เราพร้อมที่จะทำแล้ว
ในส่วนของonline ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าใหม่ซึ่งเพิ่มเข้ามาใหม่
เมื่อก่อน influencer เป็นเรื่องใหม่ ค่าจ้างแพงมาก เลยจ้างแบบ part time
ซึ่งเห็นผลในปีที่สอง (2557)
ปีที่แล้ว Covid Wave 1 & 2 นั้นต่างกัน
Wave 1 คนยังมีเงิน และ มีงานทำอยู่
หลังWave 1 คนเริ่มตกงาน , ฐานกำลังซื้อลดลง
ยอดบิลจะไม่เหมือนเดิม ยอดเงินกู้สูงขึ้นตลอดเวลา
ความขยันเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ยอมให้ยอดขายตก
Q2 ดีขึ้น และปกติ Q4 ดีมาตลอด จาก ช๊อปช่วยชาติ เราก็สร้างกระแสต่อให้เข้ากับเหตุการณ์
แต่พอวันที่ 21 ธค หลังจาก จังหวัดสมุทรสาคร ประกาศมีคนติดเชื้อ Covid มากกว่า 500 คน
คนหนีเข้าบ้านกันหมด ไม่มีคนไปเที่ยวในห้าง
ซึ่งปกติ ยอดขาย 10วันสุดท้ายของ ธค จะเท่ากับยอดขายปกติทั้งเดือน
ทำให้ ยอด Q4 ผิดเป้าไป เลยต้องrevise ยอดขายในปี 2564
ทำอย่างไรให้กำไรมากกว่าปี 2020 และจะดีมาก ถ้ามากกว่าปี 2019
ปี64 ไม่กล้าบอกว่าโต30% เอาแค่ โต 10% ก็พอ
Net profit margin ปี63 ซึ่งต่ำกว่าปี 62 เกือบทุกไตรมาส
Q2 2020 เราขายของผ่านonline (D To C)
ถ้า ครึ่งปีแรก ผ่านไปได้ จะเชื่อมั่นมากขึ้น
คุณหมวย เสริม ว่า ห้างควบคุมไม่ได้ เพราะเป็นปัจจัยแบบ external ทำให้วิเคราะห์ยากขึ้น
กลยุทธ์ คือ Direct to Customer
ห้างต้องการทำ Omni Channel แต่ทำอย่างไรให้เป็นเรื่องonline
คนในโลก Online จะเห็น Sabinaมากที่สุด ทำให้เรามีอำนาจในการต่อรองค่อนข้างสูง
กลุ่มลูกค้า เช่น Central Online ที่พึ่งพาSabina เพราะเป็นที่1ทางด้านการขายonline
เราทำกิจกรรมโดยมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 50% บน off line
หลังจากคุณหมวยพูดเสร็จ คุณบุญชัยมาพูดต่อว่า
ก่อน covid ,NSR กำไรสุทธิสูงกว่า off line เท่าตัว
หลัง covid ,NSR กำไรสุทธิสูงกว่า off line 4 เท่าตัว
ที่off lineต่ำกว่า เพราะปีที่แล้วไปผลิตหน้ากากผ้า แจกฟรีในช่วงcovid และ ขายในราคาไม่แพง
เพราะช่วงcovid ห้างปิด เลยหยุดผลิตชุดชั้นใน และหันมาผลิตหน้ากากผ้าแทน
ซึ่งต้นทุนช่วงนั้นสูง และ ค่าใช้จ่ายของคนขายยังมีอยู่
ส่วนonline ใช้คน30คนเท่าเดิม GrowthสูงและNet profit ก็สูงมาก
แต่ถ้าในช่วงปกติ ก็ต่างกันไม่เกินสามเท่า
ตลาดเมืองไทย สัดส่วน E-commerce ประมาณ3%
Sabina สัดส่วน online เกือบ 20% แล้ว ทำให้ NP สูงกว่าส่วน off line แน่นอน
ทำให้ส่วน NSR ของ Sabina ยิ่งโตขึ้น
สัดส่วน OEM ต่อยอดทั้งหมด เราคุมไว้ไม่ให้เกิน 9% มานาน และ marginก็ปรับปรุงให้
ดีขึ้นกว่าเดิม มาจากการปรับคนให้น้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีต
ช่วงปิดห้าง OEM ก็เลิกเย็บชุดชั้นใน แต่รับจ้างทำงานอื่นแทน
พอwave2 หน้ากากอนามัยเยอะขึ้น ราคาถูกลง เลยไปรับจ้างงานอื่นเช่น เย็บหมวก ในช่วง มค-กพ
พอมีค กลับมาเย็บชุดชั้นในเหมือนเดิม
Export
พม่า
มีข่าวว่า H&M จะหยุดผลิตและมาจ้างที่ไทยแทน ต้องเช็คว่าจริงไหม แต่เป็นแค่ช่วงสั้นๆ
วาโก้ เอาคนออกเลย ทำให้งบไม่สวย
(มีข่าวเมื่อวาน จากadmin ว่า โรงงานผลิตเสื้อผ้าปิดโรงงาน ปลดคนออก 1,300 คน )
แต่เราไม่ได้ปลดคนออก แต่หางานอื่นให้ทำ มีโอทีตอนงานเยอะๆด้วย
ปีที่แล้วส่วนOEMรับงานเย็บหน้ากากผ้าเกือบ 100 ลบ ปีนี้เป้า 300 ลบ เป็นลุกค้ารายใหญ่ที่อังกฤษ
เพราะ โรงงานที่จีนปิดตัวลง
การส่งออกปีที่แล้วยังน้อย 3% เทียบกับปีก่อน 2019 =2% ยังโตได้อีกเป็น10ปี
ในเวียดนาม NPLน้อย ซึ่งคนเวียดนามมีวินัยในการใช้จ่าย และ มีกำลังซื้อ
ธุรกิจแบบใหม่ น่าจะไปใช้กับประเทศมาเลเซีย และ สิงค์โปร์
เรามีการterminateเจ้าเดิมที่มาเลเซีย เพราะมีเอาของจากจีนมาติดยี่ห้อSabina แต่หาเจ้าใหม่มาแทนยาก
แต่ช่วงโควิด ก็ยังติดวันละ 1000 คน
เราทำPlatform โดยใช้เวลา6-7 ปี และได้เป็นที่1
Shoppee ช่วง 10-10 ได้อันดับห้า และ ช่วง 11-11 ได้อันดับสี่
เรายังไม่ใช่ Global band เหมือน Adidas ซึ่งได้อันดับหนึ่ง แต่เราเป็น Reginal Brand
เรายังตาม Adidas ซึ่งเป็นGlobal อยู่
ตอนนี้ยอดขาย 90% ยังอยู่ในไทย มีโอกาสทำยอดขายเพิ่มในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม
Online Conversion : คนเห็นจากonline , กดเข้าไปดู และเช็คว่าซื้อกี่คน
Facebook , จะทำ off line conversion เห็นในFacebook แต่อาจไปซื้อที่shopก็ได้
เราจะไป Direct to customer (D To C ) ซึ่งใหญ่ที่สุด
ผนวก online , off line เป็น Omni Channel ถ้าทำได้ก็จะสนุกเลย
แต่ต้องให้เวลากับbrand เพราะเราทำเอง
ปีที่แล้ว ผลิต 8.4 ล้านชิ้น ลดลง 29% โดยปี19 ผลิต 11.7 ล้านชิ้น เราระมัดระวังการผลิต
เรารับผลิตให้เจ้าอื่นที่อังกฤต โดยเป็นNiche Market ยกทรงใหญ่ และ งานที่marginต่ำ ก็จ้างคนอื่นผลิต
เพราะเราเอาคนไปผลิตสินค้าที่มีMarginสูง
Seamless bra , Wireless bra เราไม่ไว้คนอื่นผลิต เลยยังต้องผลิตเอง
โรงงานจะเล็กลงเรื่อยๆ ในแง่ของพนักงานเย็บ จากเดิม OEM 100% 3,000กว่าคน ลดลง
เหลือ 2,400 ล่าสุด 1,400 คน
ช่วงปี 2011-2013 ที่ไทย ปรับค่าแรงขั้นต่ำจาก 167 บาทเป็น 300 บาท เราก็ลดคนจาก 5,100 คนเหลือ 3,900 คน
Save เงินได้เกือบ 200 ลบ
เราเปลี่ยนวีธีเย็บ จากนั่งเย็บ มาเป็น ยืนเย็บ และลดคนในline ผลิต จาก 40 เหลือ 20 คน
ช่วงปี 2019 ไป 2020 ลดคนจาก 4,529 คน เหลือ 3,939 คน ลดคนลง 600 คน
Save ค่าใช้จ่ายกว่า 100 ลบ ยอดขายเพิ่มขึ้น และ ลดค่าใช้จ่ายลง ค่าน้ำและค่าไฟฟ้าก็ลดลง
โรงงานที่ท่าพระ ปิดไป1ตึก เอาไปทำpackaging ไปขายสินค้าใน lazada , Shoppee
ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ก็leanไปตามกระบวนการ คนขายลดลงนิดหน่อย
ผู้ชาย 30% ที่ลาออกไปขับPandaส่งอาหาร รายได้ดีกว่าทำที่นี่
มีต่างชาติเข้ามาดู และ แนะนำให้ปิดโรงงาน จะทำให้marginสูงในระยะสั้น
คุณบุญชัยไม่เห็นด้วย เพราะการทำกำไรจากการปิดโรงงานได้แค่ปีแรกเท่านั้น
และกำลังซื้อก็จะลดลง ให้คนออก เทียบกับ ไปเองดีกว่า
Inventory , GPM highlight
ปี2018 Sourcing 18% , GP 51.6% ผลิตเอง : Sourcing = 50.4 : 58.9 (%)
ปี2019 Sourcing 37% , GP 54.4% ผลิตเอง : Sourcing = 53.3 : 58.6 (%)
ปี2020 Sourcing 46% , GP 47.4% ผลิตเอง : Sourcing = 43.2 : 57.6 (%)
ปี2020 ที่ผลิตเอง ได้ GP ต่ำ เพราะช่วงโควิค มาช่วยผลิตหน้ากากผ้า
ช่วงนี้มี Seamless bra , Wireless bra เพิ่มขึ้น ทำให้ GP สูงขึ้น
ปีนี้ GP 50-52%
ช่องทาง Online ประหยัดในเรื่อง
- พื้นที่จัดเก็บสินค้า
- การcarryของ
- Inventory
ยอดขาย เมื่อก่อน 2,600-2,700 ลบ มาเป็น 10ปี ยอดขายก็ไม่เพิ่ม
หลังจากที่ลดสัดส่วนของ OEM ลง และเพิ่มสัดส่วนของBrandมากขึ้น
ถ้าได้ยอดขาย 3,400 ลบ ถือว่าทำnew high record เป้าของเรา โต 15%
การค้าonline ในตลาด แค่ 3% เทียบกับยอดขายทั้งหมด ถ้าสัดส่วนขยายไปถึง 26%
Sabina ก็ยิ่งโตใหญ่ขึ้น
Q&A
1.อยากทราบว่า ตลาดกลุ่ม LGBT เดิมมีการซื้อใส่อยู่แล้ว มีการซื้อเพิ่มเข้ามาอย่างมีนัยยะในช่วงหลังๆหรือไม่
ตอบ เราไม่ได้ทำแยกยอดขายของLGBT
2.labor cost ของไทยสูงกว่าเพื่อนบ้าน เป็นความเสี่ยงหรือเปล่าครับ
ตอบว่า ใช่ครับ ทางบริษัทเลยนำเข้าสินค้าจากoutsourcing
3. ภาพการแข่งชันที่เวียดนาม เป็นอย่างไรครับ
ตอบว่า ที่เวียดนามคู่ค้ายังไม่เก่ง เปิด80shop ลดเหลือ30shopเพราะขาดทุน
แล้วไปเน้นขายwholesale เจาะช่องตัวละ400ตามผู้นำตลาด(triump)
4.Outsource GPMลดลง เพราะเป็นสินค้าราคาต่ำกว่า ขายง่ายโดยเราดูตามเศรษฐกิจ
5.Manpowerจะลดลงจาก 3,900 คนอีกเท่าไหร่
ตอบว่า ลดลงในอัตราที่ต่ำลง เรามี 600 ร้านค้า ถ้าจะปิด 30 ร้านค้า ก็ลดคนไม่เยอะ
และยังมีเปิดในทำเลใหม่ด้วยอีก 2-3 จุด
6. เราไม่มีนโยบายleave without pay ปีที่แล้วมี WFH แต่ก็ยังpayอยู่ และยังมีแจกโบนัสด้วย
7. ถามถึงเป้าในระยะยาว NSR จะเป็นเท่าไหร่
ตอบว่า เราเน้นปรับตามสถานการณ์ใกล้ชิด ไม่มีแผนยาว5-10ปี
หวังNSR 25%ปลายปีนี้
Onlineของเยอะ ครบกว่า ของเยอะกว่าหน้าร้านที่ของมากที่สุดด้วย
Onlineทำให้เราstockของน้อยลง ทำให้ใช้พื้นที่shopน้อยลง ค่าใช้จ่ายและค่าขนส่งลดลงทั้งหมด
ยอดonlineเป็นลูกค้าใหม่70% มากกว่าลูกค้าเก่าที่อยู่30%
ยังใช้คนตอบchatทางonline 8:00-24:00 มองเป็นจุดแข็ง เพราะลูกค้าชอบคุยกับคนมากกว่า คิดว่าเป็นkey success ของSabinaเลยด้วยซ้ำ
8. ลูกค้าซื้อซ้ำบ่อยไหม
ตอบว่า การซื้อซ้ำปกติ2ครั้งต่อปี เราพยายามเน้นemotional พยายามจับtrendในโลกปัจจุบันให้โดนใจลูกค้า
จะได้ซื้อบ่อยขึ้น
9. Export มีปัญหาตู้containerหรือไม่
ตอบว่า ค่าตู้containerที่เพิ่มขึ้นไม่เป็นปัญหาแค่หลักพันบาท
ในส่วนของOEM รายได้จะย้ายไปลงในQ1 2021แทน
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณบุญชัย และ ผู้บริหารทุกท่านที่ให้มาข้อมูล และ พาชมโรงงานนะครับ
คุณบุญชัย ปัณฑุรอัมพร CEO Sabina กล่าวต้อนรับนักลงทุนจากสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย)
และแนะนำผู้บริหาร ได้แก่
คุณ ดวงดาว มหะนาวานนท์ หรือ คุณหมวย กรรมการ ดูแลการขายOnline
คุณ วชิรวรรณ แย้มศรี กรรมการ และ พาชมโรงงานในช่วงเย็น
คุณ แก้ม ขวัญชนก ที่มาช่วยประสานงานระหว่าง Sabina และ สมาคมThaiviครับ
คุณบุญชัย พูดถึง ธุรกิจของบริษัท ซึ่งพูดออกOpp day ไปเมื่อวันที่ 24 กพ 2564
ดังนั้น ทุกคนได้ดูมาแล้ว เลยจะมาพูดต่อในเรื่องของ การทำให้ Net profit margin (NP) เพิ่มขึ้นได้อย่างไร
วิธีทำได้หลายอย่าง เช่น การลด SG&A , การเพิ่มยอดขาย ให้สูงกว่าปี2562
ถ้า NP ทำได้สูงกว่าปี 2563 และ สูงกว่าปี 2562 ถือว่าสุดยอดมาก
การปรับองค์กร ( Restructuring )
การปรับโครงสร้างอย่างไรให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ที่เห็นได้ชัด การปรับ NSR (Non Store Retailing)
ให้เป็นleadในการขายสินค้า
เมื่อก่อนเน้นขายสินค้าoff line ตอนนี้ ใช้ E-commerce เป็นตัวนำ โดย NSR ซึ่งขึ้นตรงกับหน่วยงาน
ธุรกิจสมัยใหม่ Omni Channel ซึ่งคุณดวงดาว หรือ คุณหมวย ดูแลในส่วนนี้มากล่าวเสริม
ว่า เราปรับมาสามเดือน รวมส่วนที่ดูแล เช่น งานหาเงิน (ปกติทำofflineจะดี แต่ทำonlineจะไม่ดี ช้า)
ไม่ง่ายที่คนที่ทำธุรกิจ Off line มีหน้าร้าน จะมาขายของบน Online
ปีแรก ปรับโครงสร้างให้พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไป ที่ยากคือการปรับทัศนคติ
เดิมทำธุรกิจแบบครอบครัว ซึ่งชินกับการทำงานแบบเดิมๆ
ปีที่สอง เริ่มเห็นผล คนเพิ่มจากปีแรก 2 คน เป็น 4 คน และเราพยายามสร้างความเชื่อว่า
ทำยอดขายได้จริงๆ
ผู้บริหารทำให้ทีม NSR เชื่อว่า สามารถทำยอดขายได้เร็วๆ จนทีมมีคนถึง 40 คน
และทำยอดขาย NSR ได้ถึง 20% ของทั้งหมด
ชีวิต off line ต่างกับ On line กว่าจะเป็นวันนี้ เราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
Operation มหาศาลมาก ความสำเร็จเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีการประชุมตลอดเวลา
ทำให้เรามีพื้นที่ ที่จะเล่น room ในส่วนของ SG&A อีกเยอะ
ปีนี้ NSR น่าจะถึง 25% และเพิ่ม off line ให้โตอีก เกิด Omni Channel ปีนี้เราพร้อมที่จะทำแล้ว
ในส่วนของonline ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าใหม่ซึ่งเพิ่มเข้ามาใหม่
เมื่อก่อน influencer เป็นเรื่องใหม่ ค่าจ้างแพงมาก เลยจ้างแบบ part time
ซึ่งเห็นผลในปีที่สอง (2557)
ปีที่แล้ว Covid Wave 1 & 2 นั้นต่างกัน
Wave 1 คนยังมีเงิน และ มีงานทำอยู่
หลังWave 1 คนเริ่มตกงาน , ฐานกำลังซื้อลดลง
ยอดบิลจะไม่เหมือนเดิม ยอดเงินกู้สูงขึ้นตลอดเวลา
ความขยันเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ยอมให้ยอดขายตก
Q2 ดีขึ้น และปกติ Q4 ดีมาตลอด จาก ช๊อปช่วยชาติ เราก็สร้างกระแสต่อให้เข้ากับเหตุการณ์
แต่พอวันที่ 21 ธค หลังจาก จังหวัดสมุทรสาคร ประกาศมีคนติดเชื้อ Covid มากกว่า 500 คน
คนหนีเข้าบ้านกันหมด ไม่มีคนไปเที่ยวในห้าง
ซึ่งปกติ ยอดขาย 10วันสุดท้ายของ ธค จะเท่ากับยอดขายปกติทั้งเดือน
ทำให้ ยอด Q4 ผิดเป้าไป เลยต้องrevise ยอดขายในปี 2564
ทำอย่างไรให้กำไรมากกว่าปี 2020 และจะดีมาก ถ้ามากกว่าปี 2019
ปี64 ไม่กล้าบอกว่าโต30% เอาแค่ โต 10% ก็พอ
Net profit margin ปี63 ซึ่งต่ำกว่าปี 62 เกือบทุกไตรมาส
Q2 2020 เราขายของผ่านonline (D To C)
ถ้า ครึ่งปีแรก ผ่านไปได้ จะเชื่อมั่นมากขึ้น
คุณหมวย เสริม ว่า ห้างควบคุมไม่ได้ เพราะเป็นปัจจัยแบบ external ทำให้วิเคราะห์ยากขึ้น
กลยุทธ์ คือ Direct to Customer
ห้างต้องการทำ Omni Channel แต่ทำอย่างไรให้เป็นเรื่องonline
คนในโลก Online จะเห็น Sabinaมากที่สุด ทำให้เรามีอำนาจในการต่อรองค่อนข้างสูง
กลุ่มลูกค้า เช่น Central Online ที่พึ่งพาSabina เพราะเป็นที่1ทางด้านการขายonline
เราทำกิจกรรมโดยมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 50% บน off line
หลังจากคุณหมวยพูดเสร็จ คุณบุญชัยมาพูดต่อว่า
ก่อน covid ,NSR กำไรสุทธิสูงกว่า off line เท่าตัว
หลัง covid ,NSR กำไรสุทธิสูงกว่า off line 4 เท่าตัว
ที่off lineต่ำกว่า เพราะปีที่แล้วไปผลิตหน้ากากผ้า แจกฟรีในช่วงcovid และ ขายในราคาไม่แพง
เพราะช่วงcovid ห้างปิด เลยหยุดผลิตชุดชั้นใน และหันมาผลิตหน้ากากผ้าแทน
ซึ่งต้นทุนช่วงนั้นสูง และ ค่าใช้จ่ายของคนขายยังมีอยู่
ส่วนonline ใช้คน30คนเท่าเดิม GrowthสูงและNet profit ก็สูงมาก
แต่ถ้าในช่วงปกติ ก็ต่างกันไม่เกินสามเท่า
ตลาดเมืองไทย สัดส่วน E-commerce ประมาณ3%
Sabina สัดส่วน online เกือบ 20% แล้ว ทำให้ NP สูงกว่าส่วน off line แน่นอน
ทำให้ส่วน NSR ของ Sabina ยิ่งโตขึ้น
สัดส่วน OEM ต่อยอดทั้งหมด เราคุมไว้ไม่ให้เกิน 9% มานาน และ marginก็ปรับปรุงให้
ดีขึ้นกว่าเดิม มาจากการปรับคนให้น้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีต
ช่วงปิดห้าง OEM ก็เลิกเย็บชุดชั้นใน แต่รับจ้างทำงานอื่นแทน
พอwave2 หน้ากากอนามัยเยอะขึ้น ราคาถูกลง เลยไปรับจ้างงานอื่นเช่น เย็บหมวก ในช่วง มค-กพ
พอมีค กลับมาเย็บชุดชั้นในเหมือนเดิม
Export
พม่า
มีข่าวว่า H&M จะหยุดผลิตและมาจ้างที่ไทยแทน ต้องเช็คว่าจริงไหม แต่เป็นแค่ช่วงสั้นๆ
วาโก้ เอาคนออกเลย ทำให้งบไม่สวย
(มีข่าวเมื่อวาน จากadmin ว่า โรงงานผลิตเสื้อผ้าปิดโรงงาน ปลดคนออก 1,300 คน )
แต่เราไม่ได้ปลดคนออก แต่หางานอื่นให้ทำ มีโอทีตอนงานเยอะๆด้วย
ปีที่แล้วส่วนOEMรับงานเย็บหน้ากากผ้าเกือบ 100 ลบ ปีนี้เป้า 300 ลบ เป็นลุกค้ารายใหญ่ที่อังกฤษ
เพราะ โรงงานที่จีนปิดตัวลง
การส่งออกปีที่แล้วยังน้อย 3% เทียบกับปีก่อน 2019 =2% ยังโตได้อีกเป็น10ปี
ในเวียดนาม NPLน้อย ซึ่งคนเวียดนามมีวินัยในการใช้จ่าย และ มีกำลังซื้อ
ธุรกิจแบบใหม่ น่าจะไปใช้กับประเทศมาเลเซีย และ สิงค์โปร์
เรามีการterminateเจ้าเดิมที่มาเลเซีย เพราะมีเอาของจากจีนมาติดยี่ห้อSabina แต่หาเจ้าใหม่มาแทนยาก
แต่ช่วงโควิด ก็ยังติดวันละ 1000 คน
เราทำPlatform โดยใช้เวลา6-7 ปี และได้เป็นที่1
Shoppee ช่วง 10-10 ได้อันดับห้า และ ช่วง 11-11 ได้อันดับสี่
เรายังไม่ใช่ Global band เหมือน Adidas ซึ่งได้อันดับหนึ่ง แต่เราเป็น Reginal Brand
เรายังตาม Adidas ซึ่งเป็นGlobal อยู่
ตอนนี้ยอดขาย 90% ยังอยู่ในไทย มีโอกาสทำยอดขายเพิ่มในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม
Online Conversion : คนเห็นจากonline , กดเข้าไปดู และเช็คว่าซื้อกี่คน
Facebook , จะทำ off line conversion เห็นในFacebook แต่อาจไปซื้อที่shopก็ได้
เราจะไป Direct to customer (D To C ) ซึ่งใหญ่ที่สุด
ผนวก online , off line เป็น Omni Channel ถ้าทำได้ก็จะสนุกเลย
แต่ต้องให้เวลากับbrand เพราะเราทำเอง
ปีที่แล้ว ผลิต 8.4 ล้านชิ้น ลดลง 29% โดยปี19 ผลิต 11.7 ล้านชิ้น เราระมัดระวังการผลิต
เรารับผลิตให้เจ้าอื่นที่อังกฤต โดยเป็นNiche Market ยกทรงใหญ่ และ งานที่marginต่ำ ก็จ้างคนอื่นผลิต
เพราะเราเอาคนไปผลิตสินค้าที่มีMarginสูง
Seamless bra , Wireless bra เราไม่ไว้คนอื่นผลิต เลยยังต้องผลิตเอง
โรงงานจะเล็กลงเรื่อยๆ ในแง่ของพนักงานเย็บ จากเดิม OEM 100% 3,000กว่าคน ลดลง
เหลือ 2,400 ล่าสุด 1,400 คน
ช่วงปี 2011-2013 ที่ไทย ปรับค่าแรงขั้นต่ำจาก 167 บาทเป็น 300 บาท เราก็ลดคนจาก 5,100 คนเหลือ 3,900 คน
Save เงินได้เกือบ 200 ลบ
เราเปลี่ยนวีธีเย็บ จากนั่งเย็บ มาเป็น ยืนเย็บ และลดคนในline ผลิต จาก 40 เหลือ 20 คน
ช่วงปี 2019 ไป 2020 ลดคนจาก 4,529 คน เหลือ 3,939 คน ลดคนลง 600 คน
Save ค่าใช้จ่ายกว่า 100 ลบ ยอดขายเพิ่มขึ้น และ ลดค่าใช้จ่ายลง ค่าน้ำและค่าไฟฟ้าก็ลดลง
โรงงานที่ท่าพระ ปิดไป1ตึก เอาไปทำpackaging ไปขายสินค้าใน lazada , Shoppee
ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ก็leanไปตามกระบวนการ คนขายลดลงนิดหน่อย
ผู้ชาย 30% ที่ลาออกไปขับPandaส่งอาหาร รายได้ดีกว่าทำที่นี่
มีต่างชาติเข้ามาดู และ แนะนำให้ปิดโรงงาน จะทำให้marginสูงในระยะสั้น
คุณบุญชัยไม่เห็นด้วย เพราะการทำกำไรจากการปิดโรงงานได้แค่ปีแรกเท่านั้น
และกำลังซื้อก็จะลดลง ให้คนออก เทียบกับ ไปเองดีกว่า
Inventory , GPM highlight
ปี2018 Sourcing 18% , GP 51.6% ผลิตเอง : Sourcing = 50.4 : 58.9 (%)
ปี2019 Sourcing 37% , GP 54.4% ผลิตเอง : Sourcing = 53.3 : 58.6 (%)
ปี2020 Sourcing 46% , GP 47.4% ผลิตเอง : Sourcing = 43.2 : 57.6 (%)
ปี2020 ที่ผลิตเอง ได้ GP ต่ำ เพราะช่วงโควิค มาช่วยผลิตหน้ากากผ้า
ช่วงนี้มี Seamless bra , Wireless bra เพิ่มขึ้น ทำให้ GP สูงขึ้น
ปีนี้ GP 50-52%
ช่องทาง Online ประหยัดในเรื่อง
- พื้นที่จัดเก็บสินค้า
- การcarryของ
- Inventory
ยอดขาย เมื่อก่อน 2,600-2,700 ลบ มาเป็น 10ปี ยอดขายก็ไม่เพิ่ม
หลังจากที่ลดสัดส่วนของ OEM ลง และเพิ่มสัดส่วนของBrandมากขึ้น
ถ้าได้ยอดขาย 3,400 ลบ ถือว่าทำnew high record เป้าของเรา โต 15%
การค้าonline ในตลาด แค่ 3% เทียบกับยอดขายทั้งหมด ถ้าสัดส่วนขยายไปถึง 26%
Sabina ก็ยิ่งโตใหญ่ขึ้น
Q&A
1.อยากทราบว่า ตลาดกลุ่ม LGBT เดิมมีการซื้อใส่อยู่แล้ว มีการซื้อเพิ่มเข้ามาอย่างมีนัยยะในช่วงหลังๆหรือไม่
ตอบ เราไม่ได้ทำแยกยอดขายของLGBT
2.labor cost ของไทยสูงกว่าเพื่อนบ้าน เป็นความเสี่ยงหรือเปล่าครับ
ตอบว่า ใช่ครับ ทางบริษัทเลยนำเข้าสินค้าจากoutsourcing
3. ภาพการแข่งชันที่เวียดนาม เป็นอย่างไรครับ
ตอบว่า ที่เวียดนามคู่ค้ายังไม่เก่ง เปิด80shop ลดเหลือ30shopเพราะขาดทุน
แล้วไปเน้นขายwholesale เจาะช่องตัวละ400ตามผู้นำตลาด(triump)
4.Outsource GPMลดลง เพราะเป็นสินค้าราคาต่ำกว่า ขายง่ายโดยเราดูตามเศรษฐกิจ
5.Manpowerจะลดลงจาก 3,900 คนอีกเท่าไหร่
ตอบว่า ลดลงในอัตราที่ต่ำลง เรามี 600 ร้านค้า ถ้าจะปิด 30 ร้านค้า ก็ลดคนไม่เยอะ
และยังมีเปิดในทำเลใหม่ด้วยอีก 2-3 จุด
6. เราไม่มีนโยบายleave without pay ปีที่แล้วมี WFH แต่ก็ยังpayอยู่ และยังมีแจกโบนัสด้วย
7. ถามถึงเป้าในระยะยาว NSR จะเป็นเท่าไหร่
ตอบว่า เราเน้นปรับตามสถานการณ์ใกล้ชิด ไม่มีแผนยาว5-10ปี
หวังNSR 25%ปลายปีนี้
Onlineของเยอะ ครบกว่า ของเยอะกว่าหน้าร้านที่ของมากที่สุดด้วย
Onlineทำให้เราstockของน้อยลง ทำให้ใช้พื้นที่shopน้อยลง ค่าใช้จ่ายและค่าขนส่งลดลงทั้งหมด
ยอดonlineเป็นลูกค้าใหม่70% มากกว่าลูกค้าเก่าที่อยู่30%
ยังใช้คนตอบchatทางonline 8:00-24:00 มองเป็นจุดแข็ง เพราะลูกค้าชอบคุยกับคนมากกว่า คิดว่าเป็นkey success ของSabinaเลยด้วยซ้ำ
8. ลูกค้าซื้อซ้ำบ่อยไหม
ตอบว่า การซื้อซ้ำปกติ2ครั้งต่อปี เราพยายามเน้นemotional พยายามจับtrendในโลกปัจจุบันให้โดนใจลูกค้า
จะได้ซื้อบ่อยขึ้น
9. Export มีปัญหาตู้containerหรือไม่
ตอบว่า ค่าตู้containerที่เพิ่มขึ้นไม่เป็นปัญหาแค่หลักพันบาท
ในส่วนของOEM รายได้จะย้ายไปลงในQ1 2021แทน
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณบุญชัย และ ผู้บริหารทุกท่านที่ให้มาข้อมูล และ พาชมโรงงานนะครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3442
สรุปข้อมูลจาก "กิจกรรม CV@BAM" เมื่อ 17 มี.ค. 64
ทีมสมาชิกนักลงทุน สมาคม Thai VI ได้เข้าเยี่ยมชม บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ - BAM ณ สำนักงานใหญ่
โดยมี คุณบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ BAM มาให้ข้อมูลพร้อมกับ ทีมคณะผู้บริหาร มีดังนี้
- คุณสันธิษณ์ วัฒนกุล / รองผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน (CFO)
- คุณวีรเวช ศิริชาติไชย / รองผู้จัดการใหญ่ สายสนับสนุนองค์กร
- คุณรฐนนท์ ฟูเกียรติ / ผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
คุณบัณฑิต อนันตมงคล - CEO เริ่มนำเสนอข้อมูล ให้ทีมสมาชิกนักลงทุน สมาคม Thai VI ฟังว่า
- ทั้งปี 2563 เก็บเงินสดได้ 13,134 ลบ. ลดลงจาก 14,000 - 15,000 ลบ. เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ช่วง Q2-Q3 (2,706 และ 3,267 ลบ.) ส่วน Q4 - Pick up กลับมา เป็น 3,976 ลบ.
ปี 2019 Q1 มีรายได้เพิ่มจากการรับชำระจากลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่งถึง 5,342 ลบ. ทำให้ยอดพุ่งถึง 7,952 ลบ.
- แต่ฝั่ง NPA ขายดีขึ้นคิดเป็น 1,654 รายการตั้งแต่ Q1-Q4 ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการใช้ Pricing Strategy
ราคาขายเฉลี่ยประมาณ 92% ของราคาประเมิน
- Supply NPL, NPA แนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ปีที่แล้ว ยอดคงค้าง NPL ต่อสินเชื่อรวม อยู่ที่ 3.11%
NPL & NPA ที่ Bank เอาออกมาขายประมาณ 50,000 - 60,000 ล้านบาท ถือว่าปกติ
ปีที่แล้วออกมา 65,000 ล้านบาท BAM ประมูลได้ 27,000 ล้านบาท โดยใช้เงินไป 16,000 ล้านบาท จะมี NPA อยู่ 1,100 กว่าล้าน
- ในอนาคตคิดว่า NPL ,NPA จะมากขึ้นต่อเนื่อง โดยดูจากข้อมูล ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
คนที่ได้รับการช่วยเหลือจาก COVID-19 ประมาณ 8.28 ล้านบัญชี คิดเป็นเงินกว่า 5 ล้านล้านบาท ที่มี Potential ที่จะเป็น NPL ในอนาคต
- ในแง่ของการแข่งขันมี AMC จดทะเบียนอยู่ 69 แห่ง , Active จริง ๆ ประมาณ 8- 9 แห่ง
- ฝั่ง Secure มี BAM, SAM ที่ Active สุด บางครั้งอาจมี JMT, CHAYO, SAWAD เข้ามาบ้าง ซึ่ง SAWAD เข้ามา 2 ปีที่แล้ว ตอนนี้เงียบ ๆไป
ต่างชาติมี Loan star เข้ามาแล้วประมูลได้ไป ตอนนี้เอามาขายคืน 2 ปีให้หลัง
- ฝั่ง Unsecure ก็มี JMT , CHAYO เป็นผู้นำ
- Financial Highlight มีขายทรัพย์ชิ้นใหญ่ใน Q4 ทำให้กำไรสูงขึ้น
เป็น NPA แบบผ่อนชำระ พอตัดต้นทุนแล้วทำให้กำไรกระโดดขึ้น
- ค่าเผื่อผลขาดทุนทางด้านเครดิต สร้างมาเผื่อ หักกับตัวรายได้ดอกเบี้ยค้างรับ เผื่อให้เห็นผลประกอบการที่แท้จริง
- รักษาอัตรากำไรได้ 50% กว่าๆ ถึงแม้ COVID-19 ทั้งฝั่ง NPA และ NPL รักษาระดับนี้ ได้มา 4-5 ปีแล้ว
Vision BAM คือ เป็นศูนย์กลางในการสร้างโอกาสและมูลค่าเพิ่ม จากการบริหารสินทรัพย์ครบวงจร
เพื่อการเติบโต และขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
- เตรียมเป็นผู้นำแปลงสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
- แนวโน้มสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ DE สูงขึ้นเรื่อยๆ เราแก้โดย ทำ JV, split-off แต่ติดกฎมากมาย
จึงมองว่าจะขึ้นไปเป็น Holding company ก่อน (ก่อนเปิดดูหน้าจอ)
- อยากไปแนวทาง Asset light จึงปรับปรุงให้หลังบ้านพร้อม และ ให้ IT มาช่วยได้
- DATA สำคัญของเรา คือ ข้อมูลการประเมิน อาจตั้งบริษัทประเมินเป็น Data Analytics Company support ทั้งเราและ SAM ได้
- กำลังศึกษาการนำ Google Earth มาใช้ประโยชน์
- เรื่องสังคม และสิ่งแวดล้อม บริษัท Shell ยึดถือ Good social responsibility is a good business เขามาถูกทาง ทันสมัยมากที่คิดเมื่อ 20 ปีก่อน
- งานกาชาดที่จัดทุกปี BAM ก็ขายบ้าน หรือ คอนโดที่ถูกกว่าราคาตลาดให้เป็นรางวัลสำหรับผู้ซื้อฉลาก เพื่อลุ้นรางวัลในงานกาชาด
- สำหรับกระทรวงเกษตร ให้ใช้โรงสีข้าว นำไปเป็น โรงสีชุมชน แก้ปัญหาเกษตรกรโดนกดราคาตามค่าความชื้น
- อยาก split off ตั้งบริษัทไปทำแบบ JMT , CHAYO
- ปรับปรุง Website ที่สามารถดูได้ถึงห้องที่ตกแต่งเลย เพราะลูกค้า Complain ว่า Website ของ BAM หาสินทรัพย์ยาก
- ติดต่อพูดคุยกับกรมบังคับคดีพยายามให้ใช้ DIGITAL มาทำให้ระยะเวลาการบังคับคดีสั้นลง = คืนทุนเร็วขึ้น
ถามตอบ Q&A
1. ทำไมตั้งเป้าซื้อ NPL, NPA ลดลงเหลือ 9,000 ลบ. น้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งที่ตลาดมีการออกมาขายมากขึ้น?
A :- ยังซื้อสินทรัพย์เหมือนเดิม (โดยปกติจะซื้อมาเติม ตามที่ขายออกไป และบวกเพิ่มอีก 10%)
แต่ปรับว่าเราเลือกทรัพย์ที่ขายง่าย และราคาเหมาะสม
- เน้น Focus อยู่ที่คุณภาพกับราคาสินทรัพย์ ไม่อยากซื้อมากองแล้วเสียดอก
- ของเรายังเยอะ NPL ต้นทุน 8 - 90,000 ล้าน มูลค่า 4 แสนกว่าล้าน เป็นหลักประกัน 2 แสนล้าน
NPA 2 ถึง 3 หมื่นล้าน ราคาประเมิน 60,000 ล้าน
ช่วงนี้ Bank ยัง Wait & See ไม่ยอมขายราคาดีๆ มาให้
- เรากังวลเรื่อง Rating Agency เราไม่อยากปล่อยเยอะ กลัว Rating ลดลง, ปกติจะดู ค่า DE, ROA ไม่อยากให้ต่ำกว่าเกณฑ์
- ออกหุ้นกู้ Rollover ของเดิมที่หมดอายุ คาดว่าปลายปีน่าจะมีของถูกๆ มาเยอะ อาจจะขอเผื่อ ๆ ไว้ใน AGM
- แบงก์ชาติมองเรา เป็น แก้มลิงรับน้ำ แต่ BAM จะไม่รับแบบนั้น เราอยากเป็นเชิงรุกมากกว่า ทำ Clean Loan ด้วย
จะเน้นเลือกรับไม่เยอะ และเลือกให้มีปะโยชน์กับ BAM สูงสุด
2. Cash Collection Q4 ทำไมถึงสูง?
A :- ใช้ในค่าสถิติในอดีตมาประเมิน
- Cash collection 5 ปี ทบต้น 8% เป็นค่าสถิติในอดีตมาทำ Projection
- ปรับทุกสิ้นปี ใช้เอาไว้ใช้ดูเปรียบเทียบเพื่อให้ทำได้ดีขึ้น
3. นโยบายแบงก์ชาติ อยากให้ Update ในเรื่องผลจาก COVID-19 และสภาพการขายทรัพย์ ตอนนั้นมีส่วนลด ตอนนี้เป็นอย่างไร?
A : - แบงก์ชาติไม่มี Inside ข้างใน เราเก็บจากข่าว
ในแง่ความช่วยเหลือ พยายามที่จะยืดเวลาให้ทุกอย่างนิ่ง แต่ยังไม่มีความชัดเจน
เรื่อง Asset freezer เลยรอดูว่าทรัพย์จะออกมาแบบไหน
Model Asset freezer คือ ทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการ BANK, AMC หาทางออกร่วมกัน
โดยออกมาเป็น การกดปุ่มหยุด อาจจ่ายเป็นค่าเช่าแล้วซื้อกลับ ที่ราคาที่ตกลงกันไว้ก่อน (leaseback) แต่ถ้าล้มละลายแล้วก็ทำตาม Process เดิมเลยมากกว่าตอนนี้ แค่เป็นไอเดียจากทางรัฐ ยังไม่ได้ทำจริง
> BANK จะได้ทรัพย์สินไปเลยแล้ว leaseback กลับ
- เรื่อง JV ระหว่าง BANK กับ BAM โดยตั้งบริษัทแยกออกมาร่วมทุนกัน
ถ้า Bank สนใจ BAM บริหารให้
- เป็น ไอเดียของเราเสนอทาง Bank เข้าไปพักนึงแล้ว
4. Efficiency ของ BAM วางแผนจะทำให้ได้ดีขึ้นอย่างไร?
A : - เก็บองค์ความรู้ เน้นจะใช้พนักงานให้ Productivity มากขึ้นโดยจะนำ เทคโนโลยีมาแก้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง Upskill, Reskill
พนักงานทั้งหมด เช่น Upskill back office ให้มี Skill ของ Front สามารถพบปะลูกค้าได้
- ไอเดียการเข้าไปถึงบริเวณที่ลูกหนี้อยู่ เข้าใกล้ทรัพย์โดยที่ลูกหนี้ไม่ต้องเข้ามาหาเราที่สำนักงานใหญ่
- ปัจจุบันเรามีสาขา 26 แห่ง ,ในกทม. มีแค่สำนักงานใหญ่กับดอนเมือง
มีแผนจะตั้ง Office เพิ่มขึ้น ตามแหล่งลูกค้าอยู่
- เราลอง Test ที่ดอนเมืองแล้วสามารถ จัดการ NPL, NPA ได้ดีขึ้น
5. Digital BAM D. มี AO ไปเยอะแค่ไหน Back ไป Front กี่คน
A : - มี blueprint แล้วทำ TOR ปลายปี 65 อาจ go live
- AO ที่ Move ไป อาจจะเริ่มแค่ 50 คน ไม่เกิน 100 คน
- ต้องรอดูผลกลางปี 65 ว่าจะดีขึ้นแค่ไหน
- องค์กรเรา 22 ปี เรามีปัญหา Management gap โดย BAM ให้ทุนการศึกษาแล้วมา ทำงานที่ BAM ใช้ทุน BAM มี Retirement 50-60 คนต่อปี
คนแก่มี Soft ,Skill แต่เด็ก ๆ มีแนวคิดใหม่ ๆ แปลกแตกต่าง
6. อายุเฉลี่ยเท่าไร?
A :ตอนแรกเยอะ เพราะรับโอนมาตอนปี 40 ตอนนี้เฉลี่ย 40 ปี
7. พนักงานที่เกษียณได้รับอะไรพิเศษไหม?
A :ไม่มี มีแค่กฎหมายแรงงานปกติ แต่ทาง BAM ก็เชิญมาช่วย Training เด็กใหม่ ๆ
- พนักงาน Front 400 คนที่นี่ ต่างจังหวัด 400 คน และ 400 คน Back office
8. ถามสถานการณ์ซื้อ NPA , NPL
A :ปีที่แล้ว ราคาต่ำกว่า 5% นับเฉพาะที่เราซื้อได้ เพราะมี COVID-19 อสังหาขายยาก
- ต้นปีนี้มีรายใหม่ที่เข้ามาเสนอราคาสูง กำลังสืบอยู่ ราคาเสนอสูงกว่าเราประมาณ 10% กว่า
9. เรื่อง Clean Loan สมาชิกเสนอให้เปิดประมูล ถ้าได้สูง ขายให้ไปเลยหรือไม่?
A :ถ้าราคาต่ำ เราขายให้บริษัทลูกที่เราจะตั้ง
10. เรื่อง Clean Loan, BAM จะทำเลยไหม?
A :ตอนนี้ติด พ.ร.ก. อยู่ จึงศึกษาการตั้ง Holding แล้วตั้งบริษัทลูกมาทำ Clean Loan ต้องถามแม่เราที่ถือหุ้นอยู่ 46% ว่าให้ไปไหม
- อยากปรับ Pay System เช่น ออก Stock Option Warrant อิงตามผลประกอบการระยะยาว เป็นเหมือน Incentive
11. เรื่อง Holding ติดอยู่ 2 อย่าง ใช่ไหม?
A :- สัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนฟื้นฟู ต้องมีการประชุมตกลงถ้าจะเปลี่ยนไปเป็น Holding
- ต้องเป็นประโยชน์แก่ ecosystem ทั้งประเทศ
- อาคารเขต
12. กองทุนฟื้นฟูใครเป็นผู้มีสิทธิ์ขายหุ้น?
A :-ธนาคารแห่งประเทศไทย
- ให้ Bank มาถือหุ้นเราไม่ได้, มี conflict of interest เวลาซื้อ NPA, NPL
13. ไตรมาสนี้มีเก็บหนี้ 500 - 1,000 ล้าน ไหม?
A :ไม่มี มีแค่ 100-200 ล้าน
14. เดือนมกราคม มีอะไรมากระทบไหม?
A :ไม่มีปกติ พยายาม Keep ให้ได้ตาม Record เก่า
15. เมื่อ BAM เข้าตลาดแล้ว การบริหารแตกต่างจากเดิม ก่อนเข้าตลาดอย่างไร?
A :- พอเข้าตลาดเป็นอิสระ ยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ต้องเอาไอเดียใหญ่ ๆ ต้องไปขออนุญาต Regulator ตามปกติ - แบงก์ชาติไม่มีนโยบายที่จะขายหุ้น เมื่อพ้น Silent Period
- รอดูว่า Second half ปีนี้ว่าจะปรับวงเงินซื้อ NPA, NPL หรือไม่? ตอนนี้ยังมองไม่ชัด
- สิ้นปีเรื่อง Holding จะขอ ETM พอได้แล้วเรื่องอื่น ๆ จะตามมาเร็ว เช่น Split off บริษัทลูก AMC - Clean Loan
16. NPLเฉลี่ยต่อราย เกือบ 6 ล้าน เทียบ NPA 3 ล้าน ทำไมต่างกันเยอะ?
A :- NPA เกิดจากการแปลง หลักประกันของ NPL มาด้วย ซื้อ NPA ตรงประมาณ 10%
Core ของเราจริง ๆ คือ NPL
- ราคาที่ดิน กับ รร.ไม่ค่อยดี
- ตอนมีธุรกิจอสังหาฯ มาตั้งบริษัทมาซื้อ NPL, NPA ไปบริหารแข่ง เรารอดูอยู่ว่าเค้ามีทุนมากน้อยแค่ไหน
17. ราคาปรับจาก 103% เป็น 92% เพราะอะไร?
A :เราลดเป็น Selected item และทาง CEO เน้น Inventory หมุนเร็ว เลยอาจขายถูกลง ไม่ต้องถือไปอีก 1- 2 ปี
18. จะขายต่ำกว่า 103% ตลอดเลยไหม?
A :Pricing Strategy นี้คงใช้แต่ช่วง COVID-19
19. NPA จำนวน 6 - 7 หมื่นล้าน ใช้เวลากี่ปี ถึงมองว่าไม่ดีแล้ว
A :เกิน 5 ปีขึ้นไป
20. NPA ขายหลัก ๆ ช่องทางไหน?
A : - ปัจจุบัน ไช้ Physical เป็นส่วนใหญ่ แต่ Online ก็มี
- วิธีการติดป้ายขายดีสุด คนละแวกใกล้เคียงมาซื้อ
- มี Virtual ผ่าน Shopee มีส่วนลด ใช้กลยุทธ์การตลาดต่าง ๆ เสริม
- ไม่ใช้ Agency ชอบมีปัญหาทะเลาะ และทำให้ราคาสูงขึ้นด้วย
- วัฒนธรรมองค์กรของ BAM ไม่มีจ่ายค่าคอมมิสชั่น แต่มี Bonus ถ้าทีมไหนยอดดีก็จะได้ Bonus มากกว่า
----------------------------------------------
ขอขอบคุณ : คุณบัณฑิต อนันตมงคล - CEO, และทีมคณะผู้บริหารทุกท่าน / คุณรฐนนท์ ฟูเกียรติ ผู้จัดการกลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กรเจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์ และผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน มา ณ โอกาสนี้
ข้อมูลสรุปจาก : คุณ amornkowa คุณ patience
ทีมสมาชิกนักลงทุน สมาคม Thai VI ได้เข้าเยี่ยมชม บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ - BAM ณ สำนักงานใหญ่
โดยมี คุณบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ BAM มาให้ข้อมูลพร้อมกับ ทีมคณะผู้บริหาร มีดังนี้
- คุณสันธิษณ์ วัฒนกุล / รองผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน (CFO)
- คุณวีรเวช ศิริชาติไชย / รองผู้จัดการใหญ่ สายสนับสนุนองค์กร
- คุณรฐนนท์ ฟูเกียรติ / ผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
คุณบัณฑิต อนันตมงคล - CEO เริ่มนำเสนอข้อมูล ให้ทีมสมาชิกนักลงทุน สมาคม Thai VI ฟังว่า
- ทั้งปี 2563 เก็บเงินสดได้ 13,134 ลบ. ลดลงจาก 14,000 - 15,000 ลบ. เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ช่วง Q2-Q3 (2,706 และ 3,267 ลบ.) ส่วน Q4 - Pick up กลับมา เป็น 3,976 ลบ.
ปี 2019 Q1 มีรายได้เพิ่มจากการรับชำระจากลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่งถึง 5,342 ลบ. ทำให้ยอดพุ่งถึง 7,952 ลบ.
- แต่ฝั่ง NPA ขายดีขึ้นคิดเป็น 1,654 รายการตั้งแต่ Q1-Q4 ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการใช้ Pricing Strategy
ราคาขายเฉลี่ยประมาณ 92% ของราคาประเมิน
- Supply NPL, NPA แนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ปีที่แล้ว ยอดคงค้าง NPL ต่อสินเชื่อรวม อยู่ที่ 3.11%
NPL & NPA ที่ Bank เอาออกมาขายประมาณ 50,000 - 60,000 ล้านบาท ถือว่าปกติ
ปีที่แล้วออกมา 65,000 ล้านบาท BAM ประมูลได้ 27,000 ล้านบาท โดยใช้เงินไป 16,000 ล้านบาท จะมี NPA อยู่ 1,100 กว่าล้าน
- ในอนาคตคิดว่า NPL ,NPA จะมากขึ้นต่อเนื่อง โดยดูจากข้อมูล ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
คนที่ได้รับการช่วยเหลือจาก COVID-19 ประมาณ 8.28 ล้านบัญชี คิดเป็นเงินกว่า 5 ล้านล้านบาท ที่มี Potential ที่จะเป็น NPL ในอนาคต
- ในแง่ของการแข่งขันมี AMC จดทะเบียนอยู่ 69 แห่ง , Active จริง ๆ ประมาณ 8- 9 แห่ง
- ฝั่ง Secure มี BAM, SAM ที่ Active สุด บางครั้งอาจมี JMT, CHAYO, SAWAD เข้ามาบ้าง ซึ่ง SAWAD เข้ามา 2 ปีที่แล้ว ตอนนี้เงียบ ๆไป
ต่างชาติมี Loan star เข้ามาแล้วประมูลได้ไป ตอนนี้เอามาขายคืน 2 ปีให้หลัง
- ฝั่ง Unsecure ก็มี JMT , CHAYO เป็นผู้นำ
- Financial Highlight มีขายทรัพย์ชิ้นใหญ่ใน Q4 ทำให้กำไรสูงขึ้น
เป็น NPA แบบผ่อนชำระ พอตัดต้นทุนแล้วทำให้กำไรกระโดดขึ้น
- ค่าเผื่อผลขาดทุนทางด้านเครดิต สร้างมาเผื่อ หักกับตัวรายได้ดอกเบี้ยค้างรับ เผื่อให้เห็นผลประกอบการที่แท้จริง
- รักษาอัตรากำไรได้ 50% กว่าๆ ถึงแม้ COVID-19 ทั้งฝั่ง NPA และ NPL รักษาระดับนี้ ได้มา 4-5 ปีแล้ว
Vision BAM คือ เป็นศูนย์กลางในการสร้างโอกาสและมูลค่าเพิ่ม จากการบริหารสินทรัพย์ครบวงจร
เพื่อการเติบโต และขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
- เตรียมเป็นผู้นำแปลงสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
- แนวโน้มสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ DE สูงขึ้นเรื่อยๆ เราแก้โดย ทำ JV, split-off แต่ติดกฎมากมาย
จึงมองว่าจะขึ้นไปเป็น Holding company ก่อน (ก่อนเปิดดูหน้าจอ)
- อยากไปแนวทาง Asset light จึงปรับปรุงให้หลังบ้านพร้อม และ ให้ IT มาช่วยได้
- DATA สำคัญของเรา คือ ข้อมูลการประเมิน อาจตั้งบริษัทประเมินเป็น Data Analytics Company support ทั้งเราและ SAM ได้
- กำลังศึกษาการนำ Google Earth มาใช้ประโยชน์
- เรื่องสังคม และสิ่งแวดล้อม บริษัท Shell ยึดถือ Good social responsibility is a good business เขามาถูกทาง ทันสมัยมากที่คิดเมื่อ 20 ปีก่อน
- งานกาชาดที่จัดทุกปี BAM ก็ขายบ้าน หรือ คอนโดที่ถูกกว่าราคาตลาดให้เป็นรางวัลสำหรับผู้ซื้อฉลาก เพื่อลุ้นรางวัลในงานกาชาด
- สำหรับกระทรวงเกษตร ให้ใช้โรงสีข้าว นำไปเป็น โรงสีชุมชน แก้ปัญหาเกษตรกรโดนกดราคาตามค่าความชื้น
- อยาก split off ตั้งบริษัทไปทำแบบ JMT , CHAYO
- ปรับปรุง Website ที่สามารถดูได้ถึงห้องที่ตกแต่งเลย เพราะลูกค้า Complain ว่า Website ของ BAM หาสินทรัพย์ยาก
- ติดต่อพูดคุยกับกรมบังคับคดีพยายามให้ใช้ DIGITAL มาทำให้ระยะเวลาการบังคับคดีสั้นลง = คืนทุนเร็วขึ้น
ถามตอบ Q&A
1. ทำไมตั้งเป้าซื้อ NPL, NPA ลดลงเหลือ 9,000 ลบ. น้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งที่ตลาดมีการออกมาขายมากขึ้น?
A :- ยังซื้อสินทรัพย์เหมือนเดิม (โดยปกติจะซื้อมาเติม ตามที่ขายออกไป และบวกเพิ่มอีก 10%)
แต่ปรับว่าเราเลือกทรัพย์ที่ขายง่าย และราคาเหมาะสม
- เน้น Focus อยู่ที่คุณภาพกับราคาสินทรัพย์ ไม่อยากซื้อมากองแล้วเสียดอก
- ของเรายังเยอะ NPL ต้นทุน 8 - 90,000 ล้าน มูลค่า 4 แสนกว่าล้าน เป็นหลักประกัน 2 แสนล้าน
NPA 2 ถึง 3 หมื่นล้าน ราคาประเมิน 60,000 ล้าน
ช่วงนี้ Bank ยัง Wait & See ไม่ยอมขายราคาดีๆ มาให้
- เรากังวลเรื่อง Rating Agency เราไม่อยากปล่อยเยอะ กลัว Rating ลดลง, ปกติจะดู ค่า DE, ROA ไม่อยากให้ต่ำกว่าเกณฑ์
- ออกหุ้นกู้ Rollover ของเดิมที่หมดอายุ คาดว่าปลายปีน่าจะมีของถูกๆ มาเยอะ อาจจะขอเผื่อ ๆ ไว้ใน AGM
- แบงก์ชาติมองเรา เป็น แก้มลิงรับน้ำ แต่ BAM จะไม่รับแบบนั้น เราอยากเป็นเชิงรุกมากกว่า ทำ Clean Loan ด้วย
จะเน้นเลือกรับไม่เยอะ และเลือกให้มีปะโยชน์กับ BAM สูงสุด
2. Cash Collection Q4 ทำไมถึงสูง?
A :- ใช้ในค่าสถิติในอดีตมาประเมิน
- Cash collection 5 ปี ทบต้น 8% เป็นค่าสถิติในอดีตมาทำ Projection
- ปรับทุกสิ้นปี ใช้เอาไว้ใช้ดูเปรียบเทียบเพื่อให้ทำได้ดีขึ้น
3. นโยบายแบงก์ชาติ อยากให้ Update ในเรื่องผลจาก COVID-19 และสภาพการขายทรัพย์ ตอนนั้นมีส่วนลด ตอนนี้เป็นอย่างไร?
A : - แบงก์ชาติไม่มี Inside ข้างใน เราเก็บจากข่าว
ในแง่ความช่วยเหลือ พยายามที่จะยืดเวลาให้ทุกอย่างนิ่ง แต่ยังไม่มีความชัดเจน
เรื่อง Asset freezer เลยรอดูว่าทรัพย์จะออกมาแบบไหน
Model Asset freezer คือ ทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการ BANK, AMC หาทางออกร่วมกัน
โดยออกมาเป็น การกดปุ่มหยุด อาจจ่ายเป็นค่าเช่าแล้วซื้อกลับ ที่ราคาที่ตกลงกันไว้ก่อน (leaseback) แต่ถ้าล้มละลายแล้วก็ทำตาม Process เดิมเลยมากกว่าตอนนี้ แค่เป็นไอเดียจากทางรัฐ ยังไม่ได้ทำจริง
> BANK จะได้ทรัพย์สินไปเลยแล้ว leaseback กลับ
- เรื่อง JV ระหว่าง BANK กับ BAM โดยตั้งบริษัทแยกออกมาร่วมทุนกัน
ถ้า Bank สนใจ BAM บริหารให้
- เป็น ไอเดียของเราเสนอทาง Bank เข้าไปพักนึงแล้ว
4. Efficiency ของ BAM วางแผนจะทำให้ได้ดีขึ้นอย่างไร?
A : - เก็บองค์ความรู้ เน้นจะใช้พนักงานให้ Productivity มากขึ้นโดยจะนำ เทคโนโลยีมาแก้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง Upskill, Reskill
พนักงานทั้งหมด เช่น Upskill back office ให้มี Skill ของ Front สามารถพบปะลูกค้าได้
- ไอเดียการเข้าไปถึงบริเวณที่ลูกหนี้อยู่ เข้าใกล้ทรัพย์โดยที่ลูกหนี้ไม่ต้องเข้ามาหาเราที่สำนักงานใหญ่
- ปัจจุบันเรามีสาขา 26 แห่ง ,ในกทม. มีแค่สำนักงานใหญ่กับดอนเมือง
มีแผนจะตั้ง Office เพิ่มขึ้น ตามแหล่งลูกค้าอยู่
- เราลอง Test ที่ดอนเมืองแล้วสามารถ จัดการ NPL, NPA ได้ดีขึ้น
5. Digital BAM D. มี AO ไปเยอะแค่ไหน Back ไป Front กี่คน
A : - มี blueprint แล้วทำ TOR ปลายปี 65 อาจ go live
- AO ที่ Move ไป อาจจะเริ่มแค่ 50 คน ไม่เกิน 100 คน
- ต้องรอดูผลกลางปี 65 ว่าจะดีขึ้นแค่ไหน
- องค์กรเรา 22 ปี เรามีปัญหา Management gap โดย BAM ให้ทุนการศึกษาแล้วมา ทำงานที่ BAM ใช้ทุน BAM มี Retirement 50-60 คนต่อปี
คนแก่มี Soft ,Skill แต่เด็ก ๆ มีแนวคิดใหม่ ๆ แปลกแตกต่าง
6. อายุเฉลี่ยเท่าไร?
A :ตอนแรกเยอะ เพราะรับโอนมาตอนปี 40 ตอนนี้เฉลี่ย 40 ปี
7. พนักงานที่เกษียณได้รับอะไรพิเศษไหม?
A :ไม่มี มีแค่กฎหมายแรงงานปกติ แต่ทาง BAM ก็เชิญมาช่วย Training เด็กใหม่ ๆ
- พนักงาน Front 400 คนที่นี่ ต่างจังหวัด 400 คน และ 400 คน Back office
8. ถามสถานการณ์ซื้อ NPA , NPL
A :ปีที่แล้ว ราคาต่ำกว่า 5% นับเฉพาะที่เราซื้อได้ เพราะมี COVID-19 อสังหาขายยาก
- ต้นปีนี้มีรายใหม่ที่เข้ามาเสนอราคาสูง กำลังสืบอยู่ ราคาเสนอสูงกว่าเราประมาณ 10% กว่า
9. เรื่อง Clean Loan สมาชิกเสนอให้เปิดประมูล ถ้าได้สูง ขายให้ไปเลยหรือไม่?
A :ถ้าราคาต่ำ เราขายให้บริษัทลูกที่เราจะตั้ง
10. เรื่อง Clean Loan, BAM จะทำเลยไหม?
A :ตอนนี้ติด พ.ร.ก. อยู่ จึงศึกษาการตั้ง Holding แล้วตั้งบริษัทลูกมาทำ Clean Loan ต้องถามแม่เราที่ถือหุ้นอยู่ 46% ว่าให้ไปไหม
- อยากปรับ Pay System เช่น ออก Stock Option Warrant อิงตามผลประกอบการระยะยาว เป็นเหมือน Incentive
11. เรื่อง Holding ติดอยู่ 2 อย่าง ใช่ไหม?
A :- สัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนฟื้นฟู ต้องมีการประชุมตกลงถ้าจะเปลี่ยนไปเป็น Holding
- ต้องเป็นประโยชน์แก่ ecosystem ทั้งประเทศ
- อาคารเขต
12. กองทุนฟื้นฟูใครเป็นผู้มีสิทธิ์ขายหุ้น?
A :-ธนาคารแห่งประเทศไทย
- ให้ Bank มาถือหุ้นเราไม่ได้, มี conflict of interest เวลาซื้อ NPA, NPL
13. ไตรมาสนี้มีเก็บหนี้ 500 - 1,000 ล้าน ไหม?
A :ไม่มี มีแค่ 100-200 ล้าน
14. เดือนมกราคม มีอะไรมากระทบไหม?
A :ไม่มีปกติ พยายาม Keep ให้ได้ตาม Record เก่า
15. เมื่อ BAM เข้าตลาดแล้ว การบริหารแตกต่างจากเดิม ก่อนเข้าตลาดอย่างไร?
A :- พอเข้าตลาดเป็นอิสระ ยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ต้องเอาไอเดียใหญ่ ๆ ต้องไปขออนุญาต Regulator ตามปกติ - แบงก์ชาติไม่มีนโยบายที่จะขายหุ้น เมื่อพ้น Silent Period
- รอดูว่า Second half ปีนี้ว่าจะปรับวงเงินซื้อ NPA, NPL หรือไม่? ตอนนี้ยังมองไม่ชัด
- สิ้นปีเรื่อง Holding จะขอ ETM พอได้แล้วเรื่องอื่น ๆ จะตามมาเร็ว เช่น Split off บริษัทลูก AMC - Clean Loan
16. NPLเฉลี่ยต่อราย เกือบ 6 ล้าน เทียบ NPA 3 ล้าน ทำไมต่างกันเยอะ?
A :- NPA เกิดจากการแปลง หลักประกันของ NPL มาด้วย ซื้อ NPA ตรงประมาณ 10%
Core ของเราจริง ๆ คือ NPL
- ราคาที่ดิน กับ รร.ไม่ค่อยดี
- ตอนมีธุรกิจอสังหาฯ มาตั้งบริษัทมาซื้อ NPL, NPA ไปบริหารแข่ง เรารอดูอยู่ว่าเค้ามีทุนมากน้อยแค่ไหน
17. ราคาปรับจาก 103% เป็น 92% เพราะอะไร?
A :เราลดเป็น Selected item และทาง CEO เน้น Inventory หมุนเร็ว เลยอาจขายถูกลง ไม่ต้องถือไปอีก 1- 2 ปี
18. จะขายต่ำกว่า 103% ตลอดเลยไหม?
A :Pricing Strategy นี้คงใช้แต่ช่วง COVID-19
19. NPA จำนวน 6 - 7 หมื่นล้าน ใช้เวลากี่ปี ถึงมองว่าไม่ดีแล้ว
A :เกิน 5 ปีขึ้นไป
20. NPA ขายหลัก ๆ ช่องทางไหน?
A : - ปัจจุบัน ไช้ Physical เป็นส่วนใหญ่ แต่ Online ก็มี
- วิธีการติดป้ายขายดีสุด คนละแวกใกล้เคียงมาซื้อ
- มี Virtual ผ่าน Shopee มีส่วนลด ใช้กลยุทธ์การตลาดต่าง ๆ เสริม
- ไม่ใช้ Agency ชอบมีปัญหาทะเลาะ และทำให้ราคาสูงขึ้นด้วย
- วัฒนธรรมองค์กรของ BAM ไม่มีจ่ายค่าคอมมิสชั่น แต่มี Bonus ถ้าทีมไหนยอดดีก็จะได้ Bonus มากกว่า
----------------------------------------------
ขอขอบคุณ : คุณบัณฑิต อนันตมงคล - CEO, และทีมคณะผู้บริหารทุกท่าน / คุณรฐนนท์ ฟูเกียรติ ผู้จัดการกลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กรเจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์ และผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน มา ณ โอกาสนี้
ข้อมูลสรุปจาก : คุณ amornkowa คุณ patience
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3444
เปลือยพอร์ต ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร VI ตัวพ่อ เมืองไทย
โดย น้องบิว Chittima Tawaret และ คุณ กาญจนา หงส์ทอง
ปกติ อาจารย์นิเวศน์นอน 5 ทุ่มครึ่ง วันนี้มาพูดยาวได้ แต่กลัวคนเบื่อ
ตอนนี้ คุณกาญจนาบอกว่า ช่วงนี้ดี เพราะวิกฤตจากCovidที่ผ่านมา
อยากให้อาจารย์พูดให้กำลังใจกับผู้ฟัง
อ บอกว่า รอบนี้ต่างกับวิกฤตปี40 ซึ่งหุ้นตกเยอะและตกนาน
รอบนี้หุ้นตกไม่นาน ก็หุ้นขึ้น ไม่เกิดโอกาสในการลงทุน
เวลาสั้นมากคนไม่ทันตั้งตัว หุ้นขึ้นมาก่อน
ส่วนตัวอาจารย์ไม่ทำอะไร ตั้งแต่เกิดวิกฤตcovidเลย
ตอนที่หุ้นตกอย่างรวดเร็ว และ ขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ไม่ได้ทำอะไร
หลังจากนั้นก็มีขายหุ้นมาหนึ่งตัว และซื้อเพิ่มหุ้นมาหนึ่งตัว (ลงทุนเพิ่ม)
ผ่านมาปีหน่อยๆ ซื้อหุ้นใหม่มาสองตัว อีกส่วนก็ไปลงทุนในเวียดนาม
ซื้อเพิ่มกองทุนหุ้นเวียดนาม
หลักการลงทุน
ไม่ได้ดูราคาหุ้นเป็นหลัก แต่เน้นดูกิจการเป็นหลัก
ราคาไม่ใช่หลักเกณฑ์ในการซื้อหรือขายหุ้น
พิจารณาว่ากิจการจะแข็งแกร่งไหม ค่อยมาพิจารณาซื้อ หรือ ขายหุ้น
ถ้ากิจการแย่ลง อาจไม่ดีในสามปีข้างหน้า ก็ขายหุ้นออก ไม่ได้ดูราคา
แต่ถ้ากิจการในอีกสามปีขึ้นไปโตขึ้น ความเสี่ยงน้อย โตโดยไม่มีใครมาขวางได้
ถ้าเป็นMonopoly ก็อาจไม่ดูราคา แต่ถ้ากิจการดี แต่ราคาสูงกว่าที่เป็นจริง ก็จบเหมือนกัน
กิจการที่ขายของเกี่ยวกับ Covid ไม่ใช่กิจการที่ดีในระยะยาว คู่แข่งก็เข้ามาได้
ก่อนหน้าที่โตเพราะความต้องการเยอะ ก็ไม่เอา เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนั้น จะดีต่อเนื่อง
ดี ในความหมายของ อาจารย์ คือ แข็งแกร่ง ไม่มีใครทำลายมันได้ ทนทานได้เกือบทุกอย่าง
บางบริษัทยอดขายตก ในช่วงcovid แต่ยอดขายกลับมาหลังCovid ก็แข็งแกร่ง เช่น บริษัทขายน้ำ
ถ้าบริษัทไม่เติบโต ก็ไม่ค่อยดี ถึงแม้แข็งแกร่ง ต่ำกว่าดีนิดหน่อย
ถ้าแข็งแกร่ง และ โตเร็ว ดีเลิศ
ถ้าแข็งแกร่ง แต่ไม่โตเร็ว ถือว่าดี
การซื้อขาย ต้องดูตรงนี้ก่อน
ถ้ากิจการกลับมาได้หลังcovid และเติบโตช้าๆ ก็สามารถถือต่อไปได้
รอบนี้ covidมา หุ้นที่ดีมากๆ ราคาไม่ตกเลยแถมขึ้นอีกต่างหาก
ปี2008 ยังเห็นหุ้นที่น่าซื้อ แต่รอบนี้หาหุ้นที่จะลงทุนยาก
นี่คือประเทศไทย ปี40 ไทยอยู่ในช่วงแข็งแกร่ง
แต่ปี60 อยู่ในช่วงอิ่มตัว และตกต่ำลงอย่างยาวนาน
ถ้าเราอยู่ในสภาพแบบนี้ และในอนาคตอาจตกต่ำลง อาจจะคิดว่าต้องขายหุ้นหรือเปล่า
อาจารย์คิดมาหลายปี มีความเสี่ยงมาก ถ้ายังถือหุ้นทั้งหมดในไทย
อายุ ถ้าบอกว่าปีหน้า ไทยอยู่ในสังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ คือ แก่ตัวเรียบร้อยแล้ว
หลายปีที่ผ่านมา คิดตลอดเวลา หาจุดที่กำหนดเติบโตไหม
ผมเป็นคนแรก ที่พูดว่าไปเวียดนาม แต่อายุขนาดนี้ ก็เลยไปในระดับหนึ่ง
ตอนนี้พอร์ตเวียดนาม ก็ยังไม่ถึง 20% ( 17-18%)
เราไม่ชำนาญ เลยไปได้แค่นี้ เพราะยังไม่รู้ความเสี่ยงอีกหลายอย่าง
ไปครั้งแรกแทบไม่คิดอะไร ไม่ได้ดูหลายปี
มาดูจริงๆตอนช่วง covid ตอนนี้ขึ้นสูงสุดแล้ว ขึ้นมาเกือบ200จุดแล้ว
แสดงว่าเวียดนามโตเร็วมาก
น้องบิว บอกว่าให้ย้อนกลับมาที่เมืองไทย
หนังสือตีแตก พูดถึง ธุรกิจส่งออก ดีในช่วงต้มยำกุ้ง
ตอนนี้ธุรกิจอะไรด
อ ตอบว่า ธุรกิจการบริการกับคน
สังคมประเทศไทย Friendly country , Flexible
ถ้าไปสังคม อาจมีเคร่งในบางเรื่อง ไม่ค่อยfriendly
สังคมไทย สบายๆ การท่องเที่ยวดีมาอย่างรวดเร็ว และสะดุดช่วงcovid
แต่ไม่ใช่ชวนซื้อหุ้นไทย หุ้นท่องเที่ยว ตกมาต่ำกว่าช่วงก่อนcovid
แต่หลายตัว ก็ยังแพงเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของบริษัท
ถ้าการท่องเที่ยวโต บริษัทก็ไม่สามารถกินรวบได้
ถ้าไทยเติบโตอย่างใช้ได้ ไม่ถึงกับปี40 มาเพิ่มเรื่องสุขภาพ การรักษาพยาบาลยังใช้ได้อยู่
คุณกาญจนา ถามเรื่องคนที่มาสายวีไอ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป คนอยากรวยเร็ว
ต้องทำอย่างไร
อ บอกว่า พูดว่าปรับตัว โดยธรรมชาติไม่ง่าย อะไรที่ฝังไปแล้ว มันเปลี่ยนยาก
ทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก ไม่มีทางเปลี่ยนความคิด หรือสมองได้
วีไอพันธ์แท้ ไม่ค่อยกำไร เพราะหุ้นที่ขึ้นเยอะ ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเติบโต ที่เก็งกำไร
หุ้นเติบโต ไม่พูดเรื่องราคา มีstoryที่จะเติบโต โดยไม่สนใจเรื่องราคา
กระแสเก็งกำไรสูงมาก ในบ้านเราและทั่วโลก
Social media ทำให้เรื่องที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นกระแสโลก เพราะไทยรับเรื่องมาหมด
ในus นักลงทุนส่วนบุคคลแห่มาลงทุนและนำตลาด ทั้งที่รายย่อยตายไปนานแล้ว
เมืองไทยก็เหมือนกัน คนที่มาลงทุนอายุน้อยลง ไม่สามารถถือหุ้นได้นาน
เขาเข้าตลาดหุ้น ต้องการความเร็ว ไม่สามารถรอได้เป็นปี
อยากรู้ว่า หุ้นตัวไหนน่าลงทุนวันพรุ่งนี้
หุ้นตัวไหนทำกัญชง ก็ลุย
หรือ หุ้นไหนที่เซียนเข้า ก็เข้าบ้าง
ตอนนี้หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นเล็กอย่างเดียว หุ้นขนาดใหญ่ก็เก็งกำไรได้เหมือนกัน
หุ้นขึ้นจากความเชื่อว่ามันจะดี ไม่รู้ว่าดีจริงในอีกห้าปี สิบปีหรือไม่
วีไอตัวจริงเลยพลาดไป หุ้นไม่ไปไหน ซึ่งคนธรรมดาจะทนไม่ไหว
วีไอตัวจริง จะผ่านช่วงแบบนี้ บริษัทเหล่านี้สุดท้ายก็จะหายไป
อาจารย์มีdiscipline ไม่อยากจะเก็งกำไร ทั้งที่ทำได้
ในพอร์ต หุ้นที่ถือสั้นสุด คือหุ้นที่พึ่งซื้อ
หุ้นที่ยาวสุด บางตัวถือมา20ปีแล้ว จำไม่ได้ นานมาก
ส่วนใหญ่ถือไม่ต่ำกว่า5ปี
หุ้นที่ขายไป น่าจะถือมา20ปี เพราะตอนหลังรู้สึกว่าบริษัทที่ผลิตสินค้า
แต่อนาคตระยะยาวอีก5ปี จะไหวไหม ขายเพราะLong run อาจจะไม่ไหว
เพราะมีการย้ายฐานการผลิต
เช่น พานาโซนิค เป็นผู้นำ ยังต้องย้ายเลย
น้องบิว ถามหุ้นที่อาจารย์ชอบ เป็นกุลสตรี กอดได้
ดังนั้นหุ้นที่ซื้อล่าสุดเป็นอย่างไร
อาจารย์ตอบว่า ไม่เซ็กซี่เลย
วีไอคนจริงจะเป็นคนสวนกระแส Contrarian
มันมีอะไรที่ดีอยู่ เช่น ปันผลที่จ่ายได้ยาว มีความแข็งแกร่ง
หุ้นที่ไม่เอา เพราะ pe 30กว่าเท่า
ใช้หลักการวีไอแบบเดิมมาตัดสินใจลงทุน
และเน้นหุ้นที่เป็นหุ้นคุณค่ามากขึ้น เพราะราคาหุ้นอาจถูกลง
แต่บริษัทต้องไม่ตาย และแข็งแกร่งในarea ของคุณ
หุ้นไทย 70-80% , เวียดนาม 17% ที่เหลือเป็นเงินสด
ส่วนหุ้นต่างประเทศอื่นๆเช่นทำ เอไอ เรายังไม่เข้าใจ หุ้นที่ดูก็ไม่รู้จัก
หรือไม่รู้ลึก เช่น FB , Google อนาคตจะเปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก
หลักวีไอ MOS ของหุ้นเหล่านี้ไม่มีเลย ไม่รู้ว่าใครจะชนะในอนาคต
ตั้งแต่เป็นนักลงทุนวีไอ จะเป็นนักเลือก
ที่ไหนที่จะไปตาย ก็ไม่ไป ไม่เอา
หุ้นที่เลือก ต้องชนะ โดยได้ผลตอบแทน 10%ต่อปี ก็พอใจแล้ว เงินฝากได้น้อย
พันธบัตรก็จ่ายดอกเบี้ยต่ำ
ตอนนี้ลงทุนแบบ conservative ตอนแรกที่มาลงทุนก็ไม่ได้หวังรวยเร็ว
แค่หวังว่าได้ปีละ10% ก็พอ ลงทุนช่วงแรกมีเงิน10ล้านบาทอย่างเดียว ไม่มีสินทรัพย์อย่างอื่น
ไม่มีงานfreelance เหมือนสมัยนี้
ได้ผลตอบแทนเดือนละเกือบแสนบาท ก็พอใจ
ผมเป็นคนโชคดี เข้ามาตลาดไม่นาน ก็บูม และลงทุนหุ้นวีไอ
เช่น หุ้นโรงพยาบาล หุ้นค้าปลีก
ไม่ลงในหุ้นFinance กลายเป็นโอกาสในการลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยม
วิกฤตรอบนี้ คนเข้ามาลงทุนด้วยความโลภ
แต่รอบปี40 คนที่เข้ามา เงินที่ลงทุน คิดแล้วคิดอีกก่อนลงทุน
และลงทุนหลายปีกว่าหุ้นจะบูม
ตอนนี้เมืองไทยไม่มีหุ้นเติบโตเหมือนเมืองนอกที่growthจริง
คนไทยแก่ตัวลง จำนวนคนก็ลดลง
หุ้นlow tech จำนวนคนน้อยลง ไม่เติบโต
แต่เงินเข้ามา ก็ไปอัดในหุ้นที่story , มีTheme ก็ทำให้ราคาไปได้
หุ้นพลังงานไม่growth คนใช้ไฟตอนนี้ไม่เติบโตแล้ว
สร้างstory และเอาเงินอัดเข้าไป หุ้นก็เลยขึ้น แต่สุดท้ายก็จะreverse
ราคาหุ้นไม่ไปจริง ที่บอกว่าgrowthเป็นแค่story ไม่ได้growthจริงก็จะขายแล้ว
คนเอาผลมาเป็นเหตุ เอาเหตุมาเป็นผล หุ้นที่ราคาวิ่งขึ้นแรงๆ ก็จะบอกว่าเป็นหุ้นgrowth
คนที่เป็นเซียนจริงๆ รู้เรื่องหุ้นgrowthดี ก็จะเลือกหุ้นได้ถูกต้องมีfreefloatต่ำ
สรุป ไม่ใช่หุ้นgrowth จริง สุดท้ายก็จะลงมา เลยไม่อยากไปเก็งกำไรแบบนี้
Keywordสำหรับนักลงทุนวีไอ
ต้องพยายามตัดสิ่งที่ชวนเชื่อให้เก็งกำไร ไม่bias ไม่ถูกconvince ไม่ตามกระแส
ต้นแบบวีไอ ของอาจารย์ มาจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์
วีไอเป็นชีวิตของเขาด้วย ขับรถเอง ทำอาหารเอง ถือเป็นความสุขในชีวิต
อาจารย์เขียนบทความบ่อยๆ การใช้ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
การถือหุ้นยาว เป็นส่วนนึงของหลักการวีไอเท่านั้น
Check list ของวีไอ
-ซื้อหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน และขายหุ้นตอนราคาเกินพื้นฐาน
แต่ถ้าซื้อ ขายบ่อยๆอาจไม่ใช่หลักการ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ซื้อขายหุ้นบ่อย
-การซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือย ก็ไม่ใช่นิสัยของวีไอ
-วีไอจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นContrarianในตัวหุ้น ตอนหุ้นไฮเทคขึ้นแรง ก็จะขายให้เช่น บิลเกตต์
พึ่งขายหุ้นไฮเทคจนเกือบเกลี้ยงเลย เป็นขายหุ้นแบบcontrarian
โลกการลงทุนเปลี่ยนแปลงไป แต่อาจารย์ยังยึดหลักการเดิม ในการซื้อหุ้นตัวล่าสุด
หุ้นไทยไม่ใช่growthจริง เป็นการเล่นstoryมากกว่า
Q&A
1.สอบถามว่า ถ้าลงทุนไม่เป็นตามที่คาด แต่มั่นใจหุ้นที่ถือ จะบริหารจิตใจอย่างไร
ตอบ อาจารย์ลงทุนเป็นport บางตัวไม่ไปไหน แต่บางตัวoutperformดีๆ ถัวผลตอบแทนไปเรื่อยๆ
ทำให้ผลตอบแทนport ดีระดับนึง
เราก็แค่พิจารณาหุ้นที่ไม่ไปไหน ว่ายังแข็งแกร่งเหมือนเดิมไหม ปันผลดีเหมือนเดิมไหม
หรือ ถ้ามีหุ้นที่สนใจเปลี่ยนตัว ก็อาจเปลี่ยนตัวได้
ตัวอย่าง หุ้นสื่อ กิจการตกต่ำ ก็จะขายออก สรุปคือ ดูกิจการเป็นหลัก
2. การจัดพอร์ตการลงทุน ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ละคนไม่เหมือนกัน
คนที่รับความเสี่ยงได้มาก ก็อาจมีหุ้นต่างประเทศได้
แต่คนที่รับความเสี่ยงไม่มาก ก็อาจไม่ลงในหุ้นที่เสี่ยง
แต่ไม่ควรconservativeเกินไป เพราะระยะเวลาการลงทุนยาว
ดังนั้นดูเป็นรายๆไป
3.EV มาถึงเมืองไทยเร็วมาก แต่น้ำมันยังอยู่ได้เป็นสิบปี นาทีนี้ยังไม่ถึงกับconcernมากเกินไป
ถึงแม้น้ำมันไม่ใช่future บริษัทก็มีการปรับตัว ก็ยังพอลงทุนได้
4.ผู้ฟังมีเงิน10ล้าน อายุ35ปี อาจารย์แนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมเพราะเป็นมือใหม่
เวียดนามเหมือนเมืองไทย จะเติบโตเหมือนไทยในอดีต มีstability
ตลาด US, China เรายังใหม่ เราไม่รู้ ตลาดผันผวนมาก
ถ้าเข้าไปตอนแพงสุด ก็จะเละ ดังนั้นก็ซื้อกองทุนแบ่งเป็นสี่ส่วน
คือ กองหุ้นไทย สหรัฐ อเมริกา และเวียดนาม อย่างละ25%
5.อยากทราบมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย
ตอบว่า ในช่วง3-4 ปีที่ผ่านมา เพื่อนนักลงทุนที่เคยลงในไทย
บอกว่าไทยไม่ไหวแล้ว ก็ไปลงทุนที่เวียดนาม
เวลานี้ อาจารย์คิดว่าอาจจะเป็นก๊อกสุดท้ายสำหรับประเทศไทยสำหรับอาจารย์
ดัชนีอาจไปถึง 1,800 หรือ ALL TIME HIGH ใหม่แล้ว
ดังนั้นการไปหาหุ้นในประเทศที่มีคนวัยทำงานเยอะ น่าสนใจกว่า
Port หุ้นไทย ในช่วง3-4 ปีที่ผ่าน พอๆกับตลาดเลย ไม่ได้ชนะเหมือนสมัยก่อน
6.สอบถามว่าหุ้นขนาดเล็ก หลักพันถึงหมื่นล้านมีโอกาสเติบโตไหม
อาจารย์ตอบว่า บริษัทถึงแม้ขนาดเล็ก แต่ไม่ได้ทำอะไรที่ใหม่ ตลาดไม่โต ก็ยากจะเบียดเข้าไปได้
ต้องกระจายลงทุนไปหลายตัว และวิเคราะห์อย่างละเอียด
แต่ถ้าไปที่อื่นๆที่หาหุ้นง่ายๆ ก็จะดีกว่า
หลักเกณฑ์ในการดูว่าหุ้นไหนสามารถถือได้ยาวๆ
การดูmarket size ของบริษัท ถ้าตอนแรกยังเล็ก และโตขึ้นเรื่อยๆ คนใช้สินค้าเยอะ
ก็จะถือต่อไปเรื่อยๆ
7.การประเมินมูลค่าหุ้นของอาจารย์ สำหรับหุ้นที่มียอดขายในต่างประเทศแค่1%
ต้องดูว่าเขาทำอะไรในต่างประเทศ
ถ้าเป็นconsumer product ถ้าประเทศที่เจริญกว่าเรา เขาไม่อยากใช้ของเรา
แต่ถ้าเจริญน้อยกว่าเรา เขาก็อยากใช้สินค้าของเรา
ต้องระวังสุดๆ ว่าจะไปได้ไหม
เมื่อก่อน จีนยังใช้ของเรา แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจ
ดังนั้นไม่ควรมองส่วนยอดขายต่างประเทศที่ขายเพียง1%
การดูPE,Market Cap เพื่อประเมินมูลค่าหุ้น
ถ้าmarket cap ใหญ่มากเลย โอกาสโตอีกก็จะยาก
8. มุมมองการลงทุนETFในอินเดีย
อาจารย์บอกว่า ตลาด Future มีอินเดียด้วย ประเทศที่คนจนเยอะ มีความเหลื่อมล้ำเยอะ
หลายอย่างยังล้าหลังในความรู้สึกของเรา ยังไม่อยากไปเที่ยวเลย
ไม่มีความเห็นในการลงทุน แต่ส่วนตัวอาจารย์ไม่สนใจ
9.อาจารย์ไม่ค่อยดูงบการเงินอย่างละเอียด ดูแค่บรรทัดสุดท้าย
แต่จะไปดูเรื่องการตลาดมากกว่า ดูตัวสินค้าของบริษัท
ต้องมีความโดดเด่น ทำไมต้องใช้สินค้านี้ เราถึงบอกว่าดี
แล้วค่อยมาดูตัวเลขงบการเงินในลำดับถัดไป
10.สอบถามการเติบโตของ Mobile world ว่า E-commerce จะมากระทบไหม
มือถือในเวียดนามค่อนข้างอิ่มตัว
แต่เครื่องใช้ไฟฟ้ายังไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่ยังไม่มีเครี่องซักผ้า ไม่มีผู้เล่นใหญ่ๆ
ตอนนี้เล่นหนักในส่วน supermarket ขนาดเล็ก ซึ่งกำลังพึ่งเริ่ม ร้านอยู่ในชุมชน
คนจะไม่ซื้อในE-commerce โอกาสโตสูงมาก
ตอนนี้ยังเริ่มทำร้านเครื่องสำอาง และ อื่นๆอีก ยอดขายแสนล้าน
และโตกว่าหลายบริษัทในไทย แต่market cap ไม่กี่หมื่นล้านเอง
11.ถามว่า เวียดนามยังน่าลงทุนไหม
อาจารย์บอกว่า ถูกที่สุดในอาเซียน
มีหุ้นที่เป็น super stock อยู่ในmega trend
ยังไม่มีบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อเลย
ไปเวียดนามได้ เกือบทุกsector
ถ้าไม่มีเวลา ก็แนะนำให้ซื้อ ETF Diamond
12.ตอนนี้อาจารย์ไม่ได้อ่านหนังสือแนววีไอ แต่ไปอ่านหนังสือแนวอื่น เกี่ยวมนุษย์
สุขภาพ หรือ อื่นๆ
อาจารย์ใช้เวลาที่เหลือจากลงทุน โดยการออกกำลังกาย ผลคือสุขภาพดีขึ้น ซึ่งดีที่สุด
อ่านหนังสือน้อยลง เขียนบทความ และจ่ายตลาดช่วงวันหยุด เวลาก็หมดลงแล้ว
สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์นิเวศน์ และ น้องบิว คุณกาญจนา ด้วยครับ
ติดตามอาจารย์ได้ ทาง FM 96.5 รายการรู้ใช้เข้าใจเงิน ทุกวันจันทร์ เวลา 10.00น
โดย น้องบิว Chittima Tawaret และ คุณ กาญจนา หงส์ทอง
ปกติ อาจารย์นิเวศน์นอน 5 ทุ่มครึ่ง วันนี้มาพูดยาวได้ แต่กลัวคนเบื่อ
ตอนนี้ คุณกาญจนาบอกว่า ช่วงนี้ดี เพราะวิกฤตจากCovidที่ผ่านมา
อยากให้อาจารย์พูดให้กำลังใจกับผู้ฟัง
อ บอกว่า รอบนี้ต่างกับวิกฤตปี40 ซึ่งหุ้นตกเยอะและตกนาน
รอบนี้หุ้นตกไม่นาน ก็หุ้นขึ้น ไม่เกิดโอกาสในการลงทุน
เวลาสั้นมากคนไม่ทันตั้งตัว หุ้นขึ้นมาก่อน
ส่วนตัวอาจารย์ไม่ทำอะไร ตั้งแต่เกิดวิกฤตcovidเลย
ตอนที่หุ้นตกอย่างรวดเร็ว และ ขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ไม่ได้ทำอะไร
หลังจากนั้นก็มีขายหุ้นมาหนึ่งตัว และซื้อเพิ่มหุ้นมาหนึ่งตัว (ลงทุนเพิ่ม)
ผ่านมาปีหน่อยๆ ซื้อหุ้นใหม่มาสองตัว อีกส่วนก็ไปลงทุนในเวียดนาม
ซื้อเพิ่มกองทุนหุ้นเวียดนาม
หลักการลงทุน
ไม่ได้ดูราคาหุ้นเป็นหลัก แต่เน้นดูกิจการเป็นหลัก
ราคาไม่ใช่หลักเกณฑ์ในการซื้อหรือขายหุ้น
พิจารณาว่ากิจการจะแข็งแกร่งไหม ค่อยมาพิจารณาซื้อ หรือ ขายหุ้น
ถ้ากิจการแย่ลง อาจไม่ดีในสามปีข้างหน้า ก็ขายหุ้นออก ไม่ได้ดูราคา
แต่ถ้ากิจการในอีกสามปีขึ้นไปโตขึ้น ความเสี่ยงน้อย โตโดยไม่มีใครมาขวางได้
ถ้าเป็นMonopoly ก็อาจไม่ดูราคา แต่ถ้ากิจการดี แต่ราคาสูงกว่าที่เป็นจริง ก็จบเหมือนกัน
กิจการที่ขายของเกี่ยวกับ Covid ไม่ใช่กิจการที่ดีในระยะยาว คู่แข่งก็เข้ามาได้
ก่อนหน้าที่โตเพราะความต้องการเยอะ ก็ไม่เอา เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนั้น จะดีต่อเนื่อง
ดี ในความหมายของ อาจารย์ คือ แข็งแกร่ง ไม่มีใครทำลายมันได้ ทนทานได้เกือบทุกอย่าง
บางบริษัทยอดขายตก ในช่วงcovid แต่ยอดขายกลับมาหลังCovid ก็แข็งแกร่ง เช่น บริษัทขายน้ำ
ถ้าบริษัทไม่เติบโต ก็ไม่ค่อยดี ถึงแม้แข็งแกร่ง ต่ำกว่าดีนิดหน่อย
ถ้าแข็งแกร่ง และ โตเร็ว ดีเลิศ
ถ้าแข็งแกร่ง แต่ไม่โตเร็ว ถือว่าดี
การซื้อขาย ต้องดูตรงนี้ก่อน
ถ้ากิจการกลับมาได้หลังcovid และเติบโตช้าๆ ก็สามารถถือต่อไปได้
รอบนี้ covidมา หุ้นที่ดีมากๆ ราคาไม่ตกเลยแถมขึ้นอีกต่างหาก
ปี2008 ยังเห็นหุ้นที่น่าซื้อ แต่รอบนี้หาหุ้นที่จะลงทุนยาก
นี่คือประเทศไทย ปี40 ไทยอยู่ในช่วงแข็งแกร่ง
แต่ปี60 อยู่ในช่วงอิ่มตัว และตกต่ำลงอย่างยาวนาน
ถ้าเราอยู่ในสภาพแบบนี้ และในอนาคตอาจตกต่ำลง อาจจะคิดว่าต้องขายหุ้นหรือเปล่า
อาจารย์คิดมาหลายปี มีความเสี่ยงมาก ถ้ายังถือหุ้นทั้งหมดในไทย
อายุ ถ้าบอกว่าปีหน้า ไทยอยู่ในสังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ คือ แก่ตัวเรียบร้อยแล้ว
หลายปีที่ผ่านมา คิดตลอดเวลา หาจุดที่กำหนดเติบโตไหม
ผมเป็นคนแรก ที่พูดว่าไปเวียดนาม แต่อายุขนาดนี้ ก็เลยไปในระดับหนึ่ง
ตอนนี้พอร์ตเวียดนาม ก็ยังไม่ถึง 20% ( 17-18%)
เราไม่ชำนาญ เลยไปได้แค่นี้ เพราะยังไม่รู้ความเสี่ยงอีกหลายอย่าง
ไปครั้งแรกแทบไม่คิดอะไร ไม่ได้ดูหลายปี
มาดูจริงๆตอนช่วง covid ตอนนี้ขึ้นสูงสุดแล้ว ขึ้นมาเกือบ200จุดแล้ว
แสดงว่าเวียดนามโตเร็วมาก
น้องบิว บอกว่าให้ย้อนกลับมาที่เมืองไทย
หนังสือตีแตก พูดถึง ธุรกิจส่งออก ดีในช่วงต้มยำกุ้ง
ตอนนี้ธุรกิจอะไรด
อ ตอบว่า ธุรกิจการบริการกับคน
สังคมประเทศไทย Friendly country , Flexible
ถ้าไปสังคม อาจมีเคร่งในบางเรื่อง ไม่ค่อยfriendly
สังคมไทย สบายๆ การท่องเที่ยวดีมาอย่างรวดเร็ว และสะดุดช่วงcovid
แต่ไม่ใช่ชวนซื้อหุ้นไทย หุ้นท่องเที่ยว ตกมาต่ำกว่าช่วงก่อนcovid
แต่หลายตัว ก็ยังแพงเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของบริษัท
ถ้าการท่องเที่ยวโต บริษัทก็ไม่สามารถกินรวบได้
ถ้าไทยเติบโตอย่างใช้ได้ ไม่ถึงกับปี40 มาเพิ่มเรื่องสุขภาพ การรักษาพยาบาลยังใช้ได้อยู่
คุณกาญจนา ถามเรื่องคนที่มาสายวีไอ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป คนอยากรวยเร็ว
ต้องทำอย่างไร
อ บอกว่า พูดว่าปรับตัว โดยธรรมชาติไม่ง่าย อะไรที่ฝังไปแล้ว มันเปลี่ยนยาก
ทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก ไม่มีทางเปลี่ยนความคิด หรือสมองได้
วีไอพันธ์แท้ ไม่ค่อยกำไร เพราะหุ้นที่ขึ้นเยอะ ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเติบโต ที่เก็งกำไร
หุ้นเติบโต ไม่พูดเรื่องราคา มีstoryที่จะเติบโต โดยไม่สนใจเรื่องราคา
กระแสเก็งกำไรสูงมาก ในบ้านเราและทั่วโลก
Social media ทำให้เรื่องที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นกระแสโลก เพราะไทยรับเรื่องมาหมด
ในus นักลงทุนส่วนบุคคลแห่มาลงทุนและนำตลาด ทั้งที่รายย่อยตายไปนานแล้ว
เมืองไทยก็เหมือนกัน คนที่มาลงทุนอายุน้อยลง ไม่สามารถถือหุ้นได้นาน
เขาเข้าตลาดหุ้น ต้องการความเร็ว ไม่สามารถรอได้เป็นปี
อยากรู้ว่า หุ้นตัวไหนน่าลงทุนวันพรุ่งนี้
หุ้นตัวไหนทำกัญชง ก็ลุย
หรือ หุ้นไหนที่เซียนเข้า ก็เข้าบ้าง
ตอนนี้หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นเล็กอย่างเดียว หุ้นขนาดใหญ่ก็เก็งกำไรได้เหมือนกัน
หุ้นขึ้นจากความเชื่อว่ามันจะดี ไม่รู้ว่าดีจริงในอีกห้าปี สิบปีหรือไม่
วีไอตัวจริงเลยพลาดไป หุ้นไม่ไปไหน ซึ่งคนธรรมดาจะทนไม่ไหว
วีไอตัวจริง จะผ่านช่วงแบบนี้ บริษัทเหล่านี้สุดท้ายก็จะหายไป
อาจารย์มีdiscipline ไม่อยากจะเก็งกำไร ทั้งที่ทำได้
ในพอร์ต หุ้นที่ถือสั้นสุด คือหุ้นที่พึ่งซื้อ
หุ้นที่ยาวสุด บางตัวถือมา20ปีแล้ว จำไม่ได้ นานมาก
ส่วนใหญ่ถือไม่ต่ำกว่า5ปี
หุ้นที่ขายไป น่าจะถือมา20ปี เพราะตอนหลังรู้สึกว่าบริษัทที่ผลิตสินค้า
แต่อนาคตระยะยาวอีก5ปี จะไหวไหม ขายเพราะLong run อาจจะไม่ไหว
เพราะมีการย้ายฐานการผลิต
เช่น พานาโซนิค เป็นผู้นำ ยังต้องย้ายเลย
น้องบิว ถามหุ้นที่อาจารย์ชอบ เป็นกุลสตรี กอดได้
ดังนั้นหุ้นที่ซื้อล่าสุดเป็นอย่างไร
อาจารย์ตอบว่า ไม่เซ็กซี่เลย
วีไอคนจริงจะเป็นคนสวนกระแส Contrarian
มันมีอะไรที่ดีอยู่ เช่น ปันผลที่จ่ายได้ยาว มีความแข็งแกร่ง
หุ้นที่ไม่เอา เพราะ pe 30กว่าเท่า
ใช้หลักการวีไอแบบเดิมมาตัดสินใจลงทุน
และเน้นหุ้นที่เป็นหุ้นคุณค่ามากขึ้น เพราะราคาหุ้นอาจถูกลง
แต่บริษัทต้องไม่ตาย และแข็งแกร่งในarea ของคุณ
หุ้นไทย 70-80% , เวียดนาม 17% ที่เหลือเป็นเงินสด
ส่วนหุ้นต่างประเทศอื่นๆเช่นทำ เอไอ เรายังไม่เข้าใจ หุ้นที่ดูก็ไม่รู้จัก
หรือไม่รู้ลึก เช่น FB , Google อนาคตจะเปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก
หลักวีไอ MOS ของหุ้นเหล่านี้ไม่มีเลย ไม่รู้ว่าใครจะชนะในอนาคต
ตั้งแต่เป็นนักลงทุนวีไอ จะเป็นนักเลือก
ที่ไหนที่จะไปตาย ก็ไม่ไป ไม่เอา
หุ้นที่เลือก ต้องชนะ โดยได้ผลตอบแทน 10%ต่อปี ก็พอใจแล้ว เงินฝากได้น้อย
พันธบัตรก็จ่ายดอกเบี้ยต่ำ
ตอนนี้ลงทุนแบบ conservative ตอนแรกที่มาลงทุนก็ไม่ได้หวังรวยเร็ว
แค่หวังว่าได้ปีละ10% ก็พอ ลงทุนช่วงแรกมีเงิน10ล้านบาทอย่างเดียว ไม่มีสินทรัพย์อย่างอื่น
ไม่มีงานfreelance เหมือนสมัยนี้
ได้ผลตอบแทนเดือนละเกือบแสนบาท ก็พอใจ
ผมเป็นคนโชคดี เข้ามาตลาดไม่นาน ก็บูม และลงทุนหุ้นวีไอ
เช่น หุ้นโรงพยาบาล หุ้นค้าปลีก
ไม่ลงในหุ้นFinance กลายเป็นโอกาสในการลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยม
วิกฤตรอบนี้ คนเข้ามาลงทุนด้วยความโลภ
แต่รอบปี40 คนที่เข้ามา เงินที่ลงทุน คิดแล้วคิดอีกก่อนลงทุน
และลงทุนหลายปีกว่าหุ้นจะบูม
ตอนนี้เมืองไทยไม่มีหุ้นเติบโตเหมือนเมืองนอกที่growthจริง
คนไทยแก่ตัวลง จำนวนคนก็ลดลง
หุ้นlow tech จำนวนคนน้อยลง ไม่เติบโต
แต่เงินเข้ามา ก็ไปอัดในหุ้นที่story , มีTheme ก็ทำให้ราคาไปได้
หุ้นพลังงานไม่growth คนใช้ไฟตอนนี้ไม่เติบโตแล้ว
สร้างstory และเอาเงินอัดเข้าไป หุ้นก็เลยขึ้น แต่สุดท้ายก็จะreverse
ราคาหุ้นไม่ไปจริง ที่บอกว่าgrowthเป็นแค่story ไม่ได้growthจริงก็จะขายแล้ว
คนเอาผลมาเป็นเหตุ เอาเหตุมาเป็นผล หุ้นที่ราคาวิ่งขึ้นแรงๆ ก็จะบอกว่าเป็นหุ้นgrowth
คนที่เป็นเซียนจริงๆ รู้เรื่องหุ้นgrowthดี ก็จะเลือกหุ้นได้ถูกต้องมีfreefloatต่ำ
สรุป ไม่ใช่หุ้นgrowth จริง สุดท้ายก็จะลงมา เลยไม่อยากไปเก็งกำไรแบบนี้
Keywordสำหรับนักลงทุนวีไอ
ต้องพยายามตัดสิ่งที่ชวนเชื่อให้เก็งกำไร ไม่bias ไม่ถูกconvince ไม่ตามกระแส
ต้นแบบวีไอ ของอาจารย์ มาจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์
วีไอเป็นชีวิตของเขาด้วย ขับรถเอง ทำอาหารเอง ถือเป็นความสุขในชีวิต
อาจารย์เขียนบทความบ่อยๆ การใช้ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
การถือหุ้นยาว เป็นส่วนนึงของหลักการวีไอเท่านั้น
Check list ของวีไอ
-ซื้อหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน และขายหุ้นตอนราคาเกินพื้นฐาน
แต่ถ้าซื้อ ขายบ่อยๆอาจไม่ใช่หลักการ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ซื้อขายหุ้นบ่อย
-การซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือย ก็ไม่ใช่นิสัยของวีไอ
-วีไอจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นContrarianในตัวหุ้น ตอนหุ้นไฮเทคขึ้นแรง ก็จะขายให้เช่น บิลเกตต์
พึ่งขายหุ้นไฮเทคจนเกือบเกลี้ยงเลย เป็นขายหุ้นแบบcontrarian
โลกการลงทุนเปลี่ยนแปลงไป แต่อาจารย์ยังยึดหลักการเดิม ในการซื้อหุ้นตัวล่าสุด
หุ้นไทยไม่ใช่growthจริง เป็นการเล่นstoryมากกว่า
Q&A
1.สอบถามว่า ถ้าลงทุนไม่เป็นตามที่คาด แต่มั่นใจหุ้นที่ถือ จะบริหารจิตใจอย่างไร
ตอบ อาจารย์ลงทุนเป็นport บางตัวไม่ไปไหน แต่บางตัวoutperformดีๆ ถัวผลตอบแทนไปเรื่อยๆ
ทำให้ผลตอบแทนport ดีระดับนึง
เราก็แค่พิจารณาหุ้นที่ไม่ไปไหน ว่ายังแข็งแกร่งเหมือนเดิมไหม ปันผลดีเหมือนเดิมไหม
หรือ ถ้ามีหุ้นที่สนใจเปลี่ยนตัว ก็อาจเปลี่ยนตัวได้
ตัวอย่าง หุ้นสื่อ กิจการตกต่ำ ก็จะขายออก สรุปคือ ดูกิจการเป็นหลัก
2. การจัดพอร์ตการลงทุน ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ละคนไม่เหมือนกัน
คนที่รับความเสี่ยงได้มาก ก็อาจมีหุ้นต่างประเทศได้
แต่คนที่รับความเสี่ยงไม่มาก ก็อาจไม่ลงในหุ้นที่เสี่ยง
แต่ไม่ควรconservativeเกินไป เพราะระยะเวลาการลงทุนยาว
ดังนั้นดูเป็นรายๆไป
3.EV มาถึงเมืองไทยเร็วมาก แต่น้ำมันยังอยู่ได้เป็นสิบปี นาทีนี้ยังไม่ถึงกับconcernมากเกินไป
ถึงแม้น้ำมันไม่ใช่future บริษัทก็มีการปรับตัว ก็ยังพอลงทุนได้
4.ผู้ฟังมีเงิน10ล้าน อายุ35ปี อาจารย์แนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมเพราะเป็นมือใหม่
เวียดนามเหมือนเมืองไทย จะเติบโตเหมือนไทยในอดีต มีstability
ตลาด US, China เรายังใหม่ เราไม่รู้ ตลาดผันผวนมาก
ถ้าเข้าไปตอนแพงสุด ก็จะเละ ดังนั้นก็ซื้อกองทุนแบ่งเป็นสี่ส่วน
คือ กองหุ้นไทย สหรัฐ อเมริกา และเวียดนาม อย่างละ25%
5.อยากทราบมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย
ตอบว่า ในช่วง3-4 ปีที่ผ่านมา เพื่อนนักลงทุนที่เคยลงในไทย
บอกว่าไทยไม่ไหวแล้ว ก็ไปลงทุนที่เวียดนาม
เวลานี้ อาจารย์คิดว่าอาจจะเป็นก๊อกสุดท้ายสำหรับประเทศไทยสำหรับอาจารย์
ดัชนีอาจไปถึง 1,800 หรือ ALL TIME HIGH ใหม่แล้ว
ดังนั้นการไปหาหุ้นในประเทศที่มีคนวัยทำงานเยอะ น่าสนใจกว่า
Port หุ้นไทย ในช่วง3-4 ปีที่ผ่าน พอๆกับตลาดเลย ไม่ได้ชนะเหมือนสมัยก่อน
6.สอบถามว่าหุ้นขนาดเล็ก หลักพันถึงหมื่นล้านมีโอกาสเติบโตไหม
อาจารย์ตอบว่า บริษัทถึงแม้ขนาดเล็ก แต่ไม่ได้ทำอะไรที่ใหม่ ตลาดไม่โต ก็ยากจะเบียดเข้าไปได้
ต้องกระจายลงทุนไปหลายตัว และวิเคราะห์อย่างละเอียด
แต่ถ้าไปที่อื่นๆที่หาหุ้นง่ายๆ ก็จะดีกว่า
หลักเกณฑ์ในการดูว่าหุ้นไหนสามารถถือได้ยาวๆ
การดูmarket size ของบริษัท ถ้าตอนแรกยังเล็ก และโตขึ้นเรื่อยๆ คนใช้สินค้าเยอะ
ก็จะถือต่อไปเรื่อยๆ
7.การประเมินมูลค่าหุ้นของอาจารย์ สำหรับหุ้นที่มียอดขายในต่างประเทศแค่1%
ต้องดูว่าเขาทำอะไรในต่างประเทศ
ถ้าเป็นconsumer product ถ้าประเทศที่เจริญกว่าเรา เขาไม่อยากใช้ของเรา
แต่ถ้าเจริญน้อยกว่าเรา เขาก็อยากใช้สินค้าของเรา
ต้องระวังสุดๆ ว่าจะไปได้ไหม
เมื่อก่อน จีนยังใช้ของเรา แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจ
ดังนั้นไม่ควรมองส่วนยอดขายต่างประเทศที่ขายเพียง1%
การดูPE,Market Cap เพื่อประเมินมูลค่าหุ้น
ถ้าmarket cap ใหญ่มากเลย โอกาสโตอีกก็จะยาก
8. มุมมองการลงทุนETFในอินเดีย
อาจารย์บอกว่า ตลาด Future มีอินเดียด้วย ประเทศที่คนจนเยอะ มีความเหลื่อมล้ำเยอะ
หลายอย่างยังล้าหลังในความรู้สึกของเรา ยังไม่อยากไปเที่ยวเลย
ไม่มีความเห็นในการลงทุน แต่ส่วนตัวอาจารย์ไม่สนใจ
9.อาจารย์ไม่ค่อยดูงบการเงินอย่างละเอียด ดูแค่บรรทัดสุดท้าย
แต่จะไปดูเรื่องการตลาดมากกว่า ดูตัวสินค้าของบริษัท
ต้องมีความโดดเด่น ทำไมต้องใช้สินค้านี้ เราถึงบอกว่าดี
แล้วค่อยมาดูตัวเลขงบการเงินในลำดับถัดไป
10.สอบถามการเติบโตของ Mobile world ว่า E-commerce จะมากระทบไหม
มือถือในเวียดนามค่อนข้างอิ่มตัว
แต่เครื่องใช้ไฟฟ้ายังไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่ยังไม่มีเครี่องซักผ้า ไม่มีผู้เล่นใหญ่ๆ
ตอนนี้เล่นหนักในส่วน supermarket ขนาดเล็ก ซึ่งกำลังพึ่งเริ่ม ร้านอยู่ในชุมชน
คนจะไม่ซื้อในE-commerce โอกาสโตสูงมาก
ตอนนี้ยังเริ่มทำร้านเครื่องสำอาง และ อื่นๆอีก ยอดขายแสนล้าน
และโตกว่าหลายบริษัทในไทย แต่market cap ไม่กี่หมื่นล้านเอง
11.ถามว่า เวียดนามยังน่าลงทุนไหม
อาจารย์บอกว่า ถูกที่สุดในอาเซียน
มีหุ้นที่เป็น super stock อยู่ในmega trend
ยังไม่มีบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อเลย
ไปเวียดนามได้ เกือบทุกsector
ถ้าไม่มีเวลา ก็แนะนำให้ซื้อ ETF Diamond
12.ตอนนี้อาจารย์ไม่ได้อ่านหนังสือแนววีไอ แต่ไปอ่านหนังสือแนวอื่น เกี่ยวมนุษย์
สุขภาพ หรือ อื่นๆ
อาจารย์ใช้เวลาที่เหลือจากลงทุน โดยการออกกำลังกาย ผลคือสุขภาพดีขึ้น ซึ่งดีที่สุด
อ่านหนังสือน้อยลง เขียนบทความ และจ่ายตลาดช่วงวันหยุด เวลาก็หมดลงแล้ว
สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์นิเวศน์ และ น้องบิว คุณกาญจนา ด้วยครับ
ติดตามอาจารย์ได้ ทาง FM 96.5 รายการรู้ใช้เข้าใจเงิน ทุกวันจันทร์ เวลา 10.00น
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3445
สรุปคลิป “ORI โต 5 ช่วงชีวิต”
By ทีมงานหุ้นพอร์ตระเบิด
สวัสดีครับเพื่อนๆสมาชิกเพจของเราทุกท่าน หากเราจะมองหาหุ้นที่สามารถทำผลงานได้โดดเด่นกว่าหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว หุ้นอย่าง ORI หรือบมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจเลยทีเดียวครับ
เนื่องจากว่า ORI นั้นก็จัดว่าเป็นอีกบริษัทหนึ่งจากกลุ่มอุตสาหกรรม “อสังหาริมทรัพย์” ที่กำลังมีความร้อนแรงและได้รับความสนใจจากตลาดเป็นอย่างมาก
ซึ่งถ้าวัดจากจุดที่ราคาของ ORI ลงไปทำ Bottom ที่ 3.06 บาท เมื่อ 17 มีนาคม 63 จนถึงปัจจุบันนั้น ก็จะถือว่าราคาหุ้นได้มีการปรับตัวขึ้นมากว่า 194%
และในวันนี้พวกเรา หุ้นพอร์ตระเบิด ก็อยากจะนำเอาเนื้อหาที่น่าสนใจของบทสัมภาษณ์ของคุณ “พีระพงศ์ จรูญเอก” จากคลิป “ORI โต 5 ช่วงชีวิต” ของ Money Chat Thailand มาฝากเพื่อนๆทุกคนกัน
ส่วนประเด็นที่คุณ พีระพงศ์ ได้กล่าวไว้จะเกี่ยวกับเรื่องอะไร และจะน่าติดตามแค่ไหน ? เตรียมตัวให้พร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ
โดยพฤติกรรมสำคัญที่ทำให้ ORI รอดพ้นมาจากวิกฤติได้นั้นก็คือ “การปรับตัว” เพราะก่อนหน้านี้กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาฯก็ถือว่าเป็นขาลงมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของ Trade war ระหว่างสหรัฐกับจัน
และความกดดันจากมาตรการ LTV ส่งผลให้ GDP หดตัวลงมาอย่างหนักหน่วง ต่อมาถึงฟางเส้นสุดท้ายคือ Covid-19 ที่กระทบทั้งอุตสาหกรรมให้หดตัวลงไป 25% ในขณะที่ ORI หดตัวราวๆ 12% เนื่องจากว่าค่าใช้จ่ายในการขาย & การตลาดของบริษัทได้ลดลงไปครึ่งนึง
สำหรับเรื่องต่อมาก็คือเมกะเทรนด์อย่าง “สังคมสูงวัย(Aging society)” ที่ทางคุณ พีระพงษ์ ศึกษาจากประเทศแถบๆยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากเขามองว่าประเทศไทยกำลังเดินตามรอยประเทศเหล่านั้นอยู่
ซึ่ง Ecosystem ที่ ORI วางแผนไว้ในอนาคตก็จะสามารถเปลื่ยนลูกค้า One time ให้เป็นลูกค้าทั้ง 5 ช่วงชีวิตได้ ตั้งแต่เกิด เป็นวัยรุ่น จนเรียนมหาลัย เข้าสู่วัยทำงาน และช่วงบั้นปลายของชีวิตคือวัยชรา
เรียกง่ายๆว่าเป็นโมเดลที่ทำให้ ORI สามารถดูแลผู้บริโภคได้อย่างครบวงจรในทุกช่วงเวลาของชีวิต ซึ่งรวมไปถึงHospital at Home ที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคไม่ต้องเดินทางไปถึงโรงพยาบาล
ด้วยแนวคิด “ORIGIN NEXT LEVEL” ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 แกนไอเดียหลักคือ Next normal ที่ ORI จะทำการขายประสบการณ์ไปด้วยแบบ Next normal และดียิ่งขึ้นไปแบบ Up Level
ต่อมากับการเกาะเมกะเทรนด์ E-Commerce ด้วยการทำ Joint Venture กับ JWD เพื่อทำ Logistic Warehouse ที่คาดว่าจะเสร็จ 2 โปรเจ็คและสามารถรับรู้รายได้เลยทันทีเมื่อเริ่มให้บริการในช่วงกลางปีหน้า จากการเช่าของบริษัทย่อยต่างๆของ JWD ที่มีลูกค้าอยู่แล้ว (ถือหุ้นคนละ 50%)
ส่วนธุรกิจใหม่ต่อมาอย่าง AMC ทาง ORI ก็จะดำเนินการผ่านบริษัทย่อยคือบจ. บริหารสินทรัพย์ พรอมมิเนนท์(ORI ถือหุ้น 99.9%) ที่กำลังรอการอนุมัติใบอนุญาตจากแบงก์ชาติ และคาดว่าน่าจะเริ่มไปประมูลหนี้บ้าน & หนี้คอนโด ได้ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 นี้ ด้วยวงเงินราวๆ 1,000 ล้านบาท
โดยรายได้หลักในปี 2021 นี้ก็ยังคงจะมีมาจากคอนโด 65% บ้าน 35% ซึ่งบ้านจัดสรรเป็น New S-Curve ที่โตเร็วมากจาก 0% เมื่อ 3 ปีก่อน โดยเพิ่มมาที่ 1,200 ลบ. 2,500 ลบ. และคาดว่าจะกลายเป็น 5,000 ลบ. ได้ในปีนี้
และในส่วนของคอนโดก็มี Backlog อยู่ราวๆ 30,000 - 40,000 ล้านบาท ส่งผลให้ NPM ของ ORI ในปี 2564 น่าจะเติบโตได้ 25% ด้วยการยกระดับบริษัทขึ้นไปภายใต้แนวคิด “ORIGIN NEXT LEVEL”
ซึ่งเป้าหมายระยะยาวในอีก 5 ปีของ ORI ก็คือการเพิ่ม Market cap ที่ 50,000 ล้านบาท และต่อไปที่ 100,000 ในช่วง5-10 ปีหน้า
เป็นยังไงกันบ้างครับกับแผนการเติบโตของ ORI ผ่านการให้สัมภาษณ์ของคุณ “พีระพงศ์ จรูญเอก” ผู้บริหารอีกท่านหนึ่งที่มีวิสัยทัศน์น่าติดตามของบ้านเรา เชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้จาก ORI ก็คือแผนอนาคตที่ชัดเจน และการเลือกชิงDisrupt ตัวเองไปพร้อมๆกับการต่อยอดธุรกิจหลัก
สำหรับในวันนี้พวกเรา หุ้นพอร์ตระเบิด ก็คงจะต้องขอตัวลาเพื่อนๆสมาชิกทุกท่านกันไปก่อน ส่วนใครที่อยากฟังคลิปการสัมภาษณ์เต็มๆก็สามารถคลิกเข้าไปได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลย
“ORI โต 5 ช่วงชีวิต” https://youtu.be/1eZIKTstdtk
ขอขอบคุณคลิปดีๆจาก Money Chat Thailand มา ณ ที่นี้ด้วย สวัสดีครับ
By ทีมงานหุ้นพอร์ตระเบิด
สวัสดีครับเพื่อนๆสมาชิกเพจของเราทุกท่าน หากเราจะมองหาหุ้นที่สามารถทำผลงานได้โดดเด่นกว่าหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว หุ้นอย่าง ORI หรือบมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจเลยทีเดียวครับ
เนื่องจากว่า ORI นั้นก็จัดว่าเป็นอีกบริษัทหนึ่งจากกลุ่มอุตสาหกรรม “อสังหาริมทรัพย์” ที่กำลังมีความร้อนแรงและได้รับความสนใจจากตลาดเป็นอย่างมาก
ซึ่งถ้าวัดจากจุดที่ราคาของ ORI ลงไปทำ Bottom ที่ 3.06 บาท เมื่อ 17 มีนาคม 63 จนถึงปัจจุบันนั้น ก็จะถือว่าราคาหุ้นได้มีการปรับตัวขึ้นมากว่า 194%
และในวันนี้พวกเรา หุ้นพอร์ตระเบิด ก็อยากจะนำเอาเนื้อหาที่น่าสนใจของบทสัมภาษณ์ของคุณ “พีระพงศ์ จรูญเอก” จากคลิป “ORI โต 5 ช่วงชีวิต” ของ Money Chat Thailand มาฝากเพื่อนๆทุกคนกัน
ส่วนประเด็นที่คุณ พีระพงศ์ ได้กล่าวไว้จะเกี่ยวกับเรื่องอะไร และจะน่าติดตามแค่ไหน ? เตรียมตัวให้พร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ
โดยพฤติกรรมสำคัญที่ทำให้ ORI รอดพ้นมาจากวิกฤติได้นั้นก็คือ “การปรับตัว” เพราะก่อนหน้านี้กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาฯก็ถือว่าเป็นขาลงมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของ Trade war ระหว่างสหรัฐกับจัน
และความกดดันจากมาตรการ LTV ส่งผลให้ GDP หดตัวลงมาอย่างหนักหน่วง ต่อมาถึงฟางเส้นสุดท้ายคือ Covid-19 ที่กระทบทั้งอุตสาหกรรมให้หดตัวลงไป 25% ในขณะที่ ORI หดตัวราวๆ 12% เนื่องจากว่าค่าใช้จ่ายในการขาย & การตลาดของบริษัทได้ลดลงไปครึ่งนึง
สำหรับเรื่องต่อมาก็คือเมกะเทรนด์อย่าง “สังคมสูงวัย(Aging society)” ที่ทางคุณ พีระพงษ์ ศึกษาจากประเทศแถบๆยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากเขามองว่าประเทศไทยกำลังเดินตามรอยประเทศเหล่านั้นอยู่
ซึ่ง Ecosystem ที่ ORI วางแผนไว้ในอนาคตก็จะสามารถเปลื่ยนลูกค้า One time ให้เป็นลูกค้าทั้ง 5 ช่วงชีวิตได้ ตั้งแต่เกิด เป็นวัยรุ่น จนเรียนมหาลัย เข้าสู่วัยทำงาน และช่วงบั้นปลายของชีวิตคือวัยชรา
เรียกง่ายๆว่าเป็นโมเดลที่ทำให้ ORI สามารถดูแลผู้บริโภคได้อย่างครบวงจรในทุกช่วงเวลาของชีวิต ซึ่งรวมไปถึงHospital at Home ที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคไม่ต้องเดินทางไปถึงโรงพยาบาล
ด้วยแนวคิด “ORIGIN NEXT LEVEL” ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 แกนไอเดียหลักคือ Next normal ที่ ORI จะทำการขายประสบการณ์ไปด้วยแบบ Next normal และดียิ่งขึ้นไปแบบ Up Level
ต่อมากับการเกาะเมกะเทรนด์ E-Commerce ด้วยการทำ Joint Venture กับ JWD เพื่อทำ Logistic Warehouse ที่คาดว่าจะเสร็จ 2 โปรเจ็คและสามารถรับรู้รายได้เลยทันทีเมื่อเริ่มให้บริการในช่วงกลางปีหน้า จากการเช่าของบริษัทย่อยต่างๆของ JWD ที่มีลูกค้าอยู่แล้ว (ถือหุ้นคนละ 50%)
ส่วนธุรกิจใหม่ต่อมาอย่าง AMC ทาง ORI ก็จะดำเนินการผ่านบริษัทย่อยคือบจ. บริหารสินทรัพย์ พรอมมิเนนท์(ORI ถือหุ้น 99.9%) ที่กำลังรอการอนุมัติใบอนุญาตจากแบงก์ชาติ และคาดว่าน่าจะเริ่มไปประมูลหนี้บ้าน & หนี้คอนโด ได้ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 นี้ ด้วยวงเงินราวๆ 1,000 ล้านบาท
โดยรายได้หลักในปี 2021 นี้ก็ยังคงจะมีมาจากคอนโด 65% บ้าน 35% ซึ่งบ้านจัดสรรเป็น New S-Curve ที่โตเร็วมากจาก 0% เมื่อ 3 ปีก่อน โดยเพิ่มมาที่ 1,200 ลบ. 2,500 ลบ. และคาดว่าจะกลายเป็น 5,000 ลบ. ได้ในปีนี้
และในส่วนของคอนโดก็มี Backlog อยู่ราวๆ 30,000 - 40,000 ล้านบาท ส่งผลให้ NPM ของ ORI ในปี 2564 น่าจะเติบโตได้ 25% ด้วยการยกระดับบริษัทขึ้นไปภายใต้แนวคิด “ORIGIN NEXT LEVEL”
ซึ่งเป้าหมายระยะยาวในอีก 5 ปีของ ORI ก็คือการเพิ่ม Market cap ที่ 50,000 ล้านบาท และต่อไปที่ 100,000 ในช่วง5-10 ปีหน้า
เป็นยังไงกันบ้างครับกับแผนการเติบโตของ ORI ผ่านการให้สัมภาษณ์ของคุณ “พีระพงศ์ จรูญเอก” ผู้บริหารอีกท่านหนึ่งที่มีวิสัยทัศน์น่าติดตามของบ้านเรา เชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้จาก ORI ก็คือแผนอนาคตที่ชัดเจน และการเลือกชิงDisrupt ตัวเองไปพร้อมๆกับการต่อยอดธุรกิจหลัก
สำหรับในวันนี้พวกเรา หุ้นพอร์ตระเบิด ก็คงจะต้องขอตัวลาเพื่อนๆสมาชิกทุกท่านกันไปก่อน ส่วนใครที่อยากฟังคลิปการสัมภาษณ์เต็มๆก็สามารถคลิกเข้าไปได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลย
“ORI โต 5 ช่วงชีวิต” https://youtu.be/1eZIKTstdtk
ขอขอบคุณคลิปดีๆจาก Money Chat Thailand มา ณ ที่นี้ด้วย สวัสดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3446
สรุปจาก คุยเรื่องลงทุน บอกครบจบทุก Gen
=================
สรุปสั้นๆ
=================
- วิธีการดูการลงทุนที่เหมาะสมกับเรา 1. ดู Performance, 2. ดูใจเราเอง ว่าถ้าราคามันลงขนาดนี้ เรานอนหลับไหม
.
- การลงทุนก้อนเดียวยาวๆ กับการแบ่งเป็นหลายๆ ก้อนแล้วลงทุน แบบหลังมักจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่า
.
- วิธีการเพิ่มเงิน 1. หาความรู้ เพิ่มผลตอบแทน 2. เก่งขึ้น หารายได้มากขึ้น 3. ประหยัด รายได้เหลือลงทุนได้มากขึ้น
.
- เงินสำรองควรมี 6 เท่า ถ้าผ่านโควิดไปควรมี 10-12 เท่าของรายจ่าย
.
- การลงทุน ต้องเริ่มต้นทันที ถ้ายังรับความเสี่ยงได้แนะนำให้ลงหุ้น ถ้ายังไม่กล้าให้ลงกองทุนรวมในหุ้นก่อนก็ได้
.
- ต้องซื้อหุ้นที่ได้ราคาถูก ราคาต่ำกว่าคนอื่น ซึ่งจะทำให้ได้ผลตอบแทนสูงกว่าคนอื่น
.
- พอลงทุนไปเรื่อยๆ แล้วอย่าลืม Rebalance พอร์ตอยู่เสมอ ประมาณ 1-2 ครั้งต่อปี กำลังดี
.
- 80% ของคนที่ลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ มักจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย เพราะเราไม่มีความรู้ (กฎ 80/20) มีแค่ 20% ที่ชนะตลาด มันคือโจทย์ที่เราต้องคิด
===============
[โค้ชหนุ่ม - Money Coach]
.
- การมีรายได้ทางเดียวเสี่ยงจริงๆ การต่อยอดและการลงทุนเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้
.
- การลงทุนสำคัญและต้องใช้ความรู้ ต่อยอดเงินต้องใช้ความรู้ความสามารถ
.
- ไม่ว่าจะเป็นการดูแลครอบครัว ความมั่งคั่ง ระหว่างทางเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
.
- ส่งแต่เงิน หุ้น ให้ลูกหลานต่อไปอย่างเดียวคงไม่ใช่ อยากส่งต่อความรู้ไปด้วย สอนกันเองในครอบครัวนี้จริงๆ ยาก
.
- ในช่วง 10-20 ปี มีการเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่มาศึกษาการลงทุนเร็ว แต่ใจร้อน
===============
Speaker Introduction
===============
[คุณกวี ชูกิจเกษม]
- รองกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย
- ดูแลจัดพอร์ตการลงทุน วางแผนทางการเงินให้กับลูกค้าทุกวัย
- ทำงานมาเกือบ 30 ปี ทำให้รู้ว่าแต่ละ Gen มีปัญหาไม่เหมือนกัน หรือแม้แต่ Gen เดียวกันเองบางทีก็ไม่เหมือนกัน
- ต้องพิจารณาอะไรบ้าง ในการลงทุน จุดหมายปลายคือเกษียณให้ได้ก่อนอายุ 60
.
[คุณวีระพล บดีรัฐ]
- ผู้บริหาร ธนาคารกสิกรไทย
- งานหลักเกี่ยวกับให้ความรู้มาตลอด โดย 10 ปีย้อนหลังเป็นเรื่องการเงิน
- ในอดีตเขียนหนังสือให้กับตลาดหลักทรัพย์ให้ครูเอาไปใช้ในโรงเรียน ชื่อหนังสือว่า “เงินทองของมีค่า” 10 กว่าปีแล้ว ช่วง 5 ปีหลัง เขียนหนังสือ “เกษียณสำหรับคนมีลูก”
- งานหลักๆ ที่กสิกรไทยคือ ทำเทรนนิ่ง ให้ความรู้การเงินตามบริษัทต่างๆ ช่วงหลังโฟกัสพนักงานและ Sale ของกสิกรไทยมากขึ้น แต่ยังวนเวียนเกี่ยวกับความรู้เรื่องการเงิน
- ไม่ได้ตั้งเป้าหมายเกษียณเป็นอายุ แต่ให้เราได้ไปที่ชอบๆ มีอิสระจากการหารายได้ได้
===============
—————————————
1. ทั้งสองคนใช้เวลานานไหม และใช้เครื่องมืออะไร
—————————————
[คุณกวี]
- ผมได้เปรียบเพราะทำงานด้านการลงทุนมาก่อน ตั้งแต่เรียนตรีวิศวะ ตั้งใจจะมาทำงานสายการลงทุนมาตั้งแต่ต้น เคยไปลงคอร์สนึงเกี่ยวกับการลงทุน เศรษฐกิจ แล้วชอบ ก็เลยไปตามความฝัน ไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการเงิน อยากเป็นกำลังใจไม่ว่าคุณเริ่มชีวิตยังไง เงินเดือนมากน้อยแค่ไหน ไม่สายที่จะเริ่มลงทุน
.
- เริ่มทำงานตอนปี 1994 จน 1997 ก็เจอวิกฤติต้มยำกุ้ง เงินที่สร้างมาหมดตัว เอาเงินคุณพ่อคุณแม่มา ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตอนต้มยำกุ้ง ท้อมาก ว่าสิ่งที่เรียนรู้มาว่า การลงทุนทำให้เป็นอิสรภาพทางการเงินได้ ไม่เห็นเป็นจริงเลย เลยไปลองอ่านหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับการลงทุน จึงพบว่า ที่ผ่านมาเราเรียนด้านการเงินมา แต่เราไม่เคยเจอประสบการณ์จริงๆ นักลงทุนมีหลายแบบ สินทรัพย์ก็มีหลายแบบ ลงทุนก็มีหลายแบบ เลยกลับมาเชื่อในการลงทุนใหม่ เราเข้าใจผิดไปเอง เหมือนคุณจะไปไหน คุณหลงทาง คุณก็ต้องเปิด Google Map ให้กลับมาถนนเส้นเดิม
.
- จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็เรียนรู้ว่าต้องลงทุนสไตล์นี้ เวลาแนะนำใคร ก็ใช้ประสบการณ์ตัวเอง ไม่ว่าคุณจะ Gen ไหน X, Y, Z เวลาคุยในเรื่องของคอร์ส เขาจะระบุไปเลย Gen นี้ลงทุนแบบนี้ เช่น 20 ต้นๆ ยังเสี่ยงได้ เสี่ยงไปเลย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบเสี่ยง ชอบลงทุนเหมือนกัน เวลาเราไปดูภาพรวมของหนังสือ จะบอกอายุเท่านี้เสี่ยงเท่านี้ อายุ 60 ไม่ต้องเสี่ยง แต่ผมเคยเจอ อาแป๊ะ อายุเยอะ แกชอบเสี่ยงๆ และสนุกกับการเสี่ยง แล้วประสบความสำเร็จ ต้องเข้าใจว่าเขาผ่านเรื่องการเก็งกำไรมานานและมีประสบการณ์ บางคนเขาบอกต้องเสี่ยง ก็เสี่ยงแต่อาจจะไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์ รายได้ ภาระท่ีต้องดูแล ผมก็พยายามทำความเข้าใจแต่ละคน ไม่ได้ดูว่า Gen ไหน แต่ดูว่าเป็นคนลักษณะไหนมากกว่า เวลาคนให้ช่วยจัดพอร์ต
.
- การจัดพอร์ตลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับทุกคน แผนการเกษียณก็ไม่มี ยอดภูเขาขึ้นได้หลายทาง 360 องศา บางคนชอบปีน บางคนชอบขึ้นลิฟต์ แต่พอถึงยอดเขาแล้วเห็นวิวเดียวกัน
.
-สำรวจตัวเองก่อน ศึกษาสินทรัพย์ให้รอบด้าน แล้วเราคอยมาดูว่าเราควรปีนภูเขามุมไหน ไม่งั้นเวลาคุณจะเดินเข้าไปที่ไหน เขาก็จะแนะนำ อายุเท่านี้แบ่งอัตราส่วนแบบนี้ กี่ % มันให้ง่าย แต่พอเวลาผ่านไป คุณก็จะไม่รู้ว่าทำยังไงต่อ พอไปถามคนเดิมเขาก็อาจลาออกไปแล้ว คนใหม่เข้ามาก็เหมือนเริ่มต้นใหม่
.
- เป็นสิ่งที่ทุกคนชอบพลาด ถึงรู้ว่าต้องศึกษา แต่ก็ชอบไม่ศึกษา หวังว่าที่ปรึกษาจะเป็นหมอ แจกสูตรยาพาราสำเร็จสำหรับทุกคนได้แต่เรื่องการลงทุน Pattern ของแต่ละคนมันต่างกัน
.
- เงินเดือนน้อย ต้มยำกุ้ง ติดดอยหุ้น ผมผ่านมาหมดแล้ว โดนไล่ออกก็เคย
[คุณวีระพล]
- ผมเรียนจบปี 2540 ตอนต้มยำกุ้ง ต้องใช้เวลาถึง 8 เดือนกว่าจะได้งานทำ เริ่มต้นจากเงินไม่มี แล้วพอเริ่มมี ต้องพยายามใช้ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี จุดเริ่มต้นคือพยายามจัดเงินให้เงินเหลือแบบไม่มีความรู้ มีบัตรเครดิตครั้งแรกก็ไม่มีใครแนะนำ เครดิต 45 วัน คิดว่ารูดวันที่ 1 ก็คือ นับไป 45 วัน วันที่ 2 ก็นับไปอีก 45 วัน ก็ใช้ผิดโดนดอกเบี้ย ก็วนเวียนหาใช้ไปเรื่อยๆ จนมีโอกาสเข้ามาทำงานที่ตลาดหลักทรัพย์ มาเจอพี่กวี แต่ก็ยังไม่ได้เอ็นจอยกับการลงทุนมาก ไปเรียนคลาสพี่กวี เริ่มเห็นภาพแต่ก็ยังไม่อิน เราไม่ได้อยากเสียเวลากับตรงนี้ เริ่มจริงๆ ตอนไปต่างประเทศที่อเมริกา ตอน CFP จะเริ่มมาในไทย มีสอนเรื่องภาษี มีพาร์ทลงทุน เหมือนที่พี่กวีบอก เรียนมาไม่เหมือนของจริงเลย ตอนนั้นได้จังหวะพอดีพอจะมีเงิน เลยลองลงทุน เดาแบบไม่มีความรู้ หุ้นตัวแรกที่ซื้อคือ Pfizer เพราะแฟนอยู่ในวงการการแพทย์ พอเห็นข่าวสารเชื่อว่าน่าจะเวิร์ค อีกตัวที่ซื้อคือ ธนาคาร Top 4 ของไอริส ลงเสร็จ Lehman Brothers ล้มทันที เล่นแบบไม่รู้เรื่อง ไปซื้อ Penny Stock พอ Lehman Brothers ล้ม ไอริสเหลือ 50 เซนต์ จากที่ซื้อมา 1 เหรียญ ขายทิ้งแทบไม่ทัน แต่ก็ไม่ได้ซื้อเยอะมาก
.
- บทเรียนที่ได้คือ ถ้าเราไม่มีเวลา เราอาจจะไม่เหมาะกับตลาดหุ้น ที่ต้องใช้ข้อมูลในการลงทุนเยอะๆ ให้ได้ตามเป้าหมาย
.
- พอกลับมาไทย ช้อยส์แรกที่เลือกคือกองทุนรวม กองทุนที่ซื้อตัวแรกคือ กองทุนประหยัดภาษี ก็อยู่มาเรื่อยๆ ไม่ได้ไขว่คว้าหาตัวท๊อปตลอด ผมเป็นแนว Asset Allocation พยายามอยู่กับสัดส่วนที่เหมาะกับผม Maintain สัดส่วน ไม่ได้ดูขึ้นลงเยอะ แค่ดูว่ากองทุนที่เราถืออยู่ ยังพอไปได้ แล้วก็พยายามใช้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ
.
- บางทีเราฟังข้อมูลมาเหมือนใบ้หวย เขาให้มาแบบไม่รู้นิสัย รู้สไตล์ของเรา ถ้าเขาไม่ถามข้อมูลของเราแล้วให้มาเลย ตอนจบก็จะไม่แมตช์กับสิ่งที่คุณอยากได้ สินทรัพย์เสี่ยงมีได้ แต่ต้องเป็นสินทรัพย์ที่มีคนจัดการให้ ถ้าผมจะลงอะไรที่ไม่ใช่หุ้น ผมลงเพื่อกระจายความเสี่ยง บาลานซ์พอร์ต จะได้ไม่ไปทางเดียวกันหมดเวลาบางตัวลง
.
- วันนี้ถ้าแยก LTF ออกจากพอร์ต ผมจะเหลือหุ้นกับตราสารหนี้ครึ่งๆ แต่ถ้าเอา LTF มารวม จะเป็นหุ้นประมาณ 70% ต้องดูว่าเหมาะกับเราไหม
.
*1. ดู Performance: ยาวๆ 1-5 ปี ได้ 4-5% แบบนี้เราโอเคไหม
*2. ดูใจเราเอง: บางทีมีหุ้น 50% หรือ 70% ตอบไม่ได้ว่าแบบไหนเหมาะ ดูใจตัวเองตอนตลาดเปลี่ยนแปลง ตอนลงแล้วเป็นทุกข์ นอนไม่หลับ กินไม่ลง แบบนี้คือเรารับไม่ได้ แปลว่าคุณต้องลดสัดส่วนหุ้นตรงนี้ลง แต่ถ้าคนบอกว่าแดง เราก็ยังไม่มีปัญหา รับได้ เราก็เล่นสูงได้ ยิ่งถ้าทำงานมีรายได้อยู่ เราก็เติมหุ้นไปเรื่อยๆ หุ้นลงก็เติม หุ้นขึ้นก็เติม
.
หาสัดส่วนที่เหมาะกับเราได้เจอ ดูความเสี่ยงปัจจุบัน ถ้าเรายังยิ้มได้แปลว่าแบบนี้โอเค
—————————————
2. High Risk High Return เสมอไปหรือไม่?
—————————————
[คุณกวี]
- ผมไม่ชอบคำว่า High Risk High Return ไม่งั้นคุณก็ไปเล่นหุ้นปั่นสิ ไปเล่นแล้วก็ได้ผลตอบแทนต่ำ งั้นเก็งกำไรเถอะ เพราะเสี่ยงเยอะ ถ้าแบบนั้นเล่นหวยน่าจะรวยสุด เพราะเสี่ยงสุด
.
- บางครั้ง Low Risk ก็ High Return ได้ด้วยความรู้ ในร้อยปีจะมีสินทรัพย์ใหม่ๆ แทรกมาตลอด หุ้นกับอสังหาริมทรัพย์ หลังๆ จะพบว่าหุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่าอสังหาฯ อาจจะเพราะ Aging Society หรือการใช้ชีวิตแบบคนปัจจุบันที่ไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะแบบสมัยก่อน ที่บ้านไหนมีสนามหญ้าหน้าบ้านถือว่ารวย ในยุโรปทำแบบนี้ แต่ปัจจุบันมันไม่จำเป็นแล้ว แต่ในระยะยาวให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกัน
—————————————
3. ตลาดหุ้นไทย vs. ตลาดหุ้นอเมริกา
—————————————
[คุณกวี]
- อีกเรื่องที่หลายคนชอบเข้าใจผิดคือ ถ้าย้อนกลับไปตอนที่ตลาดหุ้นไทยเปิดตัวตั้งแต่ปี 1975 แล้วเอา Set Index มาคำนวณตั้งแต่ 100 ถึง 1,500 จุด เราจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยแค่ 6% ต่อปีเอง ไหนบอกว่าผลตอบแทนสูงสุด นี่มันยังน้อยกว่ากองทุนอสังหาริมทรัพย์อีก ตลาดหุ้นอเมริกาจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 12% แต่ที่เราลืมคิดคือ เราไม่ได้คิดเงินปันผลที่เราได้รับระหว่างนั้น นี่คือความรู้ที่คุณต้องเข้าใจ ประเทศไหนที่อิ่มตัว ถ้าผลตอบแทนเป็นราคาหุ้น จะไม่สูงแล้วเพราะเขาอิ่มตัว แต่ข้อดีคือ เขาไม่ต้องลงทุนเพิ่ม ขยายต่อไม่ได้ แต่จะได้เงินปันผล เพราะเงินไม่ได้เอาไปลงทุน
.
- จะสังเกตประเทศที่เข้าสู่ Aging Society อิ่มตัว พื้นฐานดี ประเทศไทยถือว่าผลตอบแทนสูงมากสุดในเอเชีย อย่างวันนี้ธนาคารใหญ่ๆ ให้เงินปันผล 5-7% อสังหาฯ 7-8% บางตัวถึง 10% ถ้าจะไปดูแค่ราคาหุ้นที่ไม่ขึ้นและไม่ดูผลตอบแทน เราจะเกิดความเข้าใจผิด เพราะเวลาได้เงินปันผลจากหุ้น คุณมักไม่เอาไปซื้อหุ้น คุณมักจะเอาไปซื้อสิ่งของ มือถือ กล้องถ่ายรูป หนักสุดก็รถยนต์ ทำให้เรารู้สึกว่าการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงแบบหุ้น ไม่ได้ให้ผลตอบแทนเราในตลาดหุ้นไทย
.
- พอไปดูตลาดอเมริกา รู้สึกว่าได้ผลตอบแทนดี แต่อย่าลืมนะเขาจ่ายเงินปันผลน้อยกว่า ถ้าเราซื้อหุ้นในตลาดไทยไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เปิดตัวมา 40 กว่าปี ตอนนี้จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี ถ้ารวมเงินปันผลที่ได้แล้วเอาไปลงทุน ถ้าลงทุนไปร้อยบาท ตอนนี้ได้คืนเกินหมื่นแล้ว
—————————————
4. เคล็ดลับในการลงทุน
—————————————
[คุณกวี]
- แต่แน่นอนการลงทุนหุ้นมีความผันผวน แต่การไม่มีสินทรัพย์ที่เสี่ยงเลยก็ถือว่าเป็นความเสี่ยง กองทุนตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล ให้ผลตอบแทนค่อนข้างน้อย อยากให้คิดถึงความเสี่ยงขึ้นมานิดนึงก่อน
.
- สมมุติถ้าคุณลงทุนหนี่งแสนบาท แล้วได้ผลตอบแทน 8% ต่อปี ลงทุนไป 20 ปี เงินจะเพิ่มมาเป็นแสนเจ็ดแสนแปด
.
- แต่ถ้าคุณแบ่งเงินเป็นห้าก้อนเท่าๆ กัน ก้อนละสองหมื่นบาท ก้อนนึงไปลงความเสี่ยงที่ทำให้เงินหายไปเลย ก้อนนึงได้ผลตอบแทน 0% ก้อนนึง 10% ก้อนนึง 15% ปรากฏว่าเงินที่ได้รับจะมากกว่ากรณีแรก
.
- เห็นไหมว่าการใส่ความเสี่ยงขึ้นไปนิดนึง มันจะแตกต่าง ยิ่งเด็กๆ ยิ่งต้องใส่ เพราะฉะนั้นเรื่องอายุมีความจำเป็น แต่ปัญหาคือ เมื่อคุณเริ่มมาลงทุน ไม่ว่าจะเข้ามาอายุเท่าไหร่ จะบอกว่า คุณมีอายุลงทุนเท่ากัน เพราะฉะนั้นเริ่มต้นคุณต้องหาความรู้ก่อน แล้วความรู้จะทำให้ความเสี่ยงลดลง
.
- อันแรกคือ หุ้นมีผลตอบแทนสูงสุด ตลาดหุ้นไทยเคยมีมูลค่าลดลงไป 50% ทั้งหมดสองครั้ง ส่วนในอเมริกาลดลงไป 50% นับครั้งไม่ถ้วน ในอเมริกามีเยอะมาก ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งสงคราม, Hamburger Crisis, Dot-Com เจอไม่รู้กี่รอบ แต่พอผ่านไป หุ้นก็ยังให้ผลตอบแทนสูงสุด ถ้าคุณมีความรู้ คุณจะมั่นใจกับมันว่าหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุด
.
- สินทรัพย์ที่ลงทุน กับสินทรัพย์เก็งกำไรต่างกันตรงไหน สินทรัพย์ลงทุนคือ หุ้น ตราสารหนี้ มีปันผล ให้เงินเราได้ แม้เราไม่ได้ซื้อๆขายๆ ส่วนพวก Cryptocurrency ค่าเงิน ทองคำ เป็นการลงทุนทางเลือก ไม่มีเงินปันผล แต่พวกนี้ลองไปเปิดประตูโอกาสเอาไว้ได้
.
- ถ้าศึกษาไปเรื่อยๆ ตอนแรกอาจจะมีหุ้นแค่ 10% ซื้อผ่านกองทุนก็ได้ พอคุณศึกษาไปเรื่อยๆ คุณก็จะเพิ่มความเสี่ยงได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้คือจุดที่อยากให้เริ่มต้น ก่อนจะไปดูว่าเรามีศักยภาพสามารถทำเงินได้เพิ่มเท่าไหร่ เพราะมันโคตรยาก แต่หาความรู้ง่ายกว่า เพราะมันไม่ต้องพึ่งใคร ทุกรายได้ต้องพึ่งคนอื่นทั้งสิ้น คุณจะทำอะไร คุณจะไปเอาเงินเขา ก็ต้องยาก หาความรู้แล้วเพิ่มความเสี่ยงไปเรื่อยๆ มีความสำคัญ พอเราได้ตรงนั้นปุ๊บ ก็มากำหนดเป้าหมายว่าเราจะมีเงินเท่าไหร่ จะเกษียณอายุ 50 หรือ 60 ต้องมีเงินเท่าไหร่ แล้วระหว่างทางก็ปรับไปเรื่อยๆ ถ้ายังไม่มีความรู้แล้วใส่ 50-80% ปีแรกเละเลย เข็ดไปเลย เราก็จะขยาดกับการลงทุน เรารู้แค่ไหนเราลงแค่นั้น พอมีความรู้ค่อยเพิ่มความเสี่ยง แล้วมาดูเป้าหมาย สมมุติเราทำๆ ไป เราทำไม่ได้ก็เพิ่มอายุ
.
*1. หาความรู้เพิ่มผลตอบแทน
*2. เก่งขึ้น หารายได้มากขึ้น
.
ทุกคนชอบลืมอีกข้อหนึ่งที่เราทำได้คือ
*3. ประหยัดรายได้ ถ้าเหลือมากขึ้นก็ลงทุนได้มากขึ้น
.
- อันนี้คือสิ่งที่คุณต้องรู้ ฟังจบแล้วก็จบวันนี้ แค่นี้ไม่พอ ไปซื้อหนังสือหาอ่านเพิ่ม เล่มนึง 200 บาท กินข้าววันเดียวก็หมดแล้ว
.
- หลายคนรู้ว่าผมทำงานหนักมาก สัมมนาเยอะมาก ทำบทวิเคราะห์ ทำ YouTube แต่ทำไมผมมีเวลาอ่านหนังสือ วิ่งออกกำลังกายวันเว้นวันด้วยนะ ถ้าผมมีเวลา คุณจะไม่มีได้ไง คุณก็ต้องมีเวลาหาความรู้ แล้วต้องทำด้วย รู้ไปก็เท่านั้น ถ้ารู้แล้วไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์
—————————————
5. วิธีการประหยัดเพื่อเพิ่มเงินลงทุน
—————————————
[คุณวีระพล]
- Personal Finance การเติมความรู้ประสบการณ์ ทุกคนมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเงินที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเรามาฟังเพื่อพยายามหาท่าของตัวเอง มันบอกไม่ได้
.
- แค่ให้ความสำคัญของเรื่องการเงินในมิติไหนก็ได้ ในยุคเก่า การหาเงินอาจจะยากจริงๆ แต่คนยุคนี้ มีแหล่งหาเงินได้เยอะ หารายได้ได้หลายทางมากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าคุณเอ็นจอยกับการหาเงิน คุณก็ไปโฟกัสด้านนั้น แค่ไปทำเรื่องการใช้จ่ายแล้วเหลือเงินเก็บ
.
- ในยุคผม คนที่มี Cash ในกระเป๋าอาจจะมีโอกาสใช้เยอะ นิสัยเสียคือบัตรพลาสติก (บัตรเครดิต) ผมจะดัดนิสัยด้วยการใส่เงินสดให้พอดีใช้ มีซองวันจันทร์ อังคาร พุธ เงินสดในแต่ละวันดีไซน์มาแล้ว ขนาดเราจัดเงินมาแล้ว เงินยังเหลือเลย
.
- แต่พอเราเข้าสู่ยุค Cashless มันไม่ง่ายแล้ว ผมใช้มือถือเครื่องเดียวจ่ายได้หมดเลย เราต้องรู้ก่อนว่า วิธีที่จะทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋ามีทางไหนบ้างและคุมให้อยู่ เราเป็นภูมิแพ้อะไร เช่น ผมเป็นโรคภูมิแพ้หนังสือ ผมจะต้องรู้ก่อนเสมอผมอยากซื้อหนังสืออะไร ผมจะทำการบ้านมาก่อนเข้าร้านหนังสือ จะได้ไม่เผลอซื้อเยอะ
.
- ทุกครั้งเวลาบรรยายการลงทุน ผมจะพยายามพูดเรื่องการประหยัดก่อน คนจะตกม้าตายตอนบอกว่าเงินเดือนน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินมากน้อย แต่ขึ้นอยู่ว่าเราเงินเหลือเท่าไหร่ หาภูมิแพ้คุมให้อยู่ จะได้มีเงินเหลือเอาไปลงทุน
—————————————
6. การเตรียมความพร้อมสำหรับเรื่องฉุกเฉิน
—————————————
- การจัดการการเงิน ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่การเตรียมตัวมีสูตรบางอย่าง จะถามคนที่มาปรึกษาเสมอว่า มีเงินสำรองหรือยัง ในชีวิตเราจะเจอเหตุการณ์ฉุกเฉิน น้ำท่วม โควิด มีลูก เกิดมาตลอดเวลา ตอนวัยรุ่นผมไม่เคยคิดอะไรแบบนี้ เรามีสวัสดิการ พอวันนึงเรามีลูกเราจะพบว่า สวัสดิการบางอย่างจัดการแทนไม่ได้ เรามีแผนเก็บเงินให้ลูกเรียนหลายๆ แผน สามารถล่มไปก่อนได้ อย่าลืม Protect ความเสี่ยง ผมไม่ทำประกันอุบัติเหตุเลย จนสุนัขกัด และเข็นรถตัวเองชนตัวเอง หลังจากนั้นไม่เคยลืมทำเลยทุกปี ขึ้นอยู่กับว่าเราประเมินความเสี่ยง ความเสี่ยงแต่ละคนไม่เท่ากัน
.
- ผมทำประกันให้ลูก ภรรยา ผมคิดว่าลูกของเรา แปดขวบ มีแนวโน้มจะเป็นโรคเบาหวาน เลยเอาที่ทดสอบ มาทดสอบเองที่บ้านดูปรากฎว่าขึ้นไปพีคสุด คิดว่าเป็นแน่ ภรรยาผมก็เตรียมลาออกจากงานมาดูแลลูก ผมเช็กเลย ถ้าเขาเป็นเบาหวานจริง ประกันที่ทำไว้ไม่ครอบคลุมแน่นอน จนพอเราไปทดสอบเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล แล้วรู้ว่าผลที่เราทดสอบมาก่อนมัน Error เหตุการณ์นี้เลยทำให้เรารู้ว่าเราต้องเตรียมประกัน เตรียมความพร้อมให้เขาไว้มากกว่านี้
.
- ทั้งหลายทั้งปวงคือการเตรียมตัวสร้างความมั่งคั่ง เงินสำรองควรมี 6 เท่า ถ้าผ่านโควิดไปควรมี 10-12 เท่าของรายจ่าย Protect ส่วนที่ควร Protect
—————————————
7. เคล็ดลับในการลงทุน (2)
—————————————
- การลงทุน ต้องเริ่มต้นทันที หุ้นถ้ายัง Take Risk ได้แนะนำ ถ้ายังไม่กล้า ให้ลงกองทุนรวมในหุ้นก่อนก็ได้ มีที่ในไทยให้ผลตอบแทนเกิน 20% ต่างประเทศ 40-60% เกิดแบบนี้ถ้าเราไม่ลง เราเสียโอกาส
.
- ในยุคนี้ถ้าจะลงแค่ตลาดไทย มันเสียโอกาส แต่ลงนอกแบบผ่านหุ้นตรงๆ อาจจะยาก ให้ซื้อกองทุนรวม 1,000 บาท กองทุนรวมที่ถือหุ้น ลองไป Google ได้
.
- Bitcoin หรืออะไรที่เสี่ยงมาก ลงเป็นทรัพย์สินทางเลือกได้ 5% แต่อย่าเอาเงินทั้งหมดไปลงทีเดียว อันนี้ไม่สนับสนุน
.
- ลงทุนเพื่ออะไรต้องตอบตัวเองให้ได้ ลงเพื่อเกษียณตัวเอง หรือมีเงินสิบล้านยี่สิบล้านไว้ทำกิจการ
ถ้าเป้าหมายทั่วไป เช่น มีเงิน 10 ล้าน ให้ใช้ชีวิตได้อีก 10-20 ปี ถ้าลงทุนไปแล้วไม่ทันก็ยืดเวลาเกษียณออกไป กะว่าเราจะใช้เดือนละเท่าไร มีอายุอีกสักเท่าไร ถ้าไม่มีเป้าหมาย เราจะไม่รู้ว่าลงทุนไปเพื่ออะไร แล้วจะต้องปรับแผนระหว่างทางหรือไม่
.
[คุณหนุ่ม]
- ประสบการณ์ส่วนตัวของผม คือผมลงทุนกองทุนรวมแล้วรู้สึกช้า เลยไปลงทุนทำธุรกิจก่อน เสร็จแล้วซื้ออสังหาฯ แล้วก็ไปลงทุน ผมไม่ลงทุนในหุ้นเยอะแต่ใช้กองทุนรวม ยิ่งไปต่างประเทศเนียนเลย จุดนึงที่สำคัญมาก ผมว่าการมีโจทย์ไปสักนิดนึง มีโจทย์อันนึงของผม ที่เรียกว่าเพี้ยน คือ ผมอยากได้ผลตอบแทนสูงสุด วิ่งไปหากองไหนก็ได้ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด เวลาผมให้คำแนะนำกองไหนดีสุด บางทีผลตอบแทน 7-8% บางคนส่ายหัว เขาไม่สนใจเลย กองทุนต่างประเทศ ขึ้น 100% คำแนะนำเราดูแบบช้าไปเลย
.
- ผมเชื่อมั่นเรื่องการมีแผนลงทุนที่ชัดเจน จัดสรรเงินเท่าไหร่ คาดหวังผลตอบแทนเท่าไหร่ ผมก็ไม่ได้บู๊ 100% มีตราสารหนี้บ้าง ผมเป็นคนมักน้อย 8% ก็อยู่ได้ ผมว่าไปได้
—————————————
8. การ Rebalance พอร์ต/ การลงทุนแบบ Warren Buffett
—————————————
[คุณกวี]
- จริงๆ อย่างที่บอก ถ้าชอบก็คือขยันทำมาหากินก็ได้ ที่คุณวีระพลชอบพูดเสมอว่าไม่ใช่ว่าเกษียณแล้วหยุดทำงาน แต่คือเกษียณแล้วเรายังไปที่ชอบๆ ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ มีบทความอันนึงของลงทุนแมน เขาเขียนว่าถ้าหลังจากเกษียณ เราจะทำอะไรต่อได้ 1. เป็นที่ปรึกษา ด้านที่ถนัด 2. ขับ Grab หลังเกษียณเราอาจจะอยากทำอะไรที่สนุก และไม่ได้หวังรายได้
.
- แต่กลับมาเรื่องวางแผนการเงิน แต่ละคนมีเป้าหมาย การรับความเสี่ยงไม่เหมือนกัน จัดพอร์ตไม่เหมือนกัน Warren Buffett ลงทุนหุ้นระยะยาวตั้งแต่ 11 ขวบ เป็นที่มาที่ทำให้ผมให้ลูกชายลงทุน ซื้อหุ้นไทยแบบ DCA ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ วันนี้อายุ 17 ขวบ แล้ว ทำ DCA มาหกปี ปีนี้เป็นปีที่เขาได้ผลตอบแทนสูงมาก ก่อนหน้านี้ได้ผลตอบแทนไม่เยอะ การลงทุนในหุ้นต้องใช้เวลา ไม่ได้มารวดเร็ว
.
- ต่อให้ตลาดหุ้นมีขึ้นๆ ลงๆ แต่ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของ Warren Buffett คือ 26% ต่อปี เขาเก่งมาก จับจังหวะการลงทุน สังเกตว่าเขาจะปรับพอร์ตไม่เยอะ แต่หุ้นหลักๆ ที่อยู่ใน Top Ten ถือมานานมาก เป็นสิบๆ ปี ตัวอย่างเช่น Coca-Cola วิธีการของเขาคือต้องซื้อหุ้นได้ราคาถูก ต้องซื้อราคาต่ำกว่าคนอื่น ซึ่งจะทำให้ได้ผลตอบแทนสูงกว่าคนอื่น อันนี้คือหลักคิดง่ายๆ สำหรับทุกสินทรัพย์ แต่วันนี้ที่เราลงทุนในสินทรัพย์มักจะซื้อในตอนที่แพง คือซื้อตอนทุกคนอยากซื้อ ตอนโควิด ผมเพิ่มพอร์ตเยอะมากตอนหุ้นตก ตอนหุ้นขึ้นผมไม่ซื้อเลย ผมพยายามหาสินทรัพย์ต้นทุนให้น้อยสุด นี่คือความรู้ ความเข้าใจที่เราต้องใส่ใจ ถ้าคุณมั่นใจกับหุ้นตัวใดตัวนึง คุณจะไม่กล้วที่จะซื้อ ไม่ว่ามันจะขึ้นหรือลง หรือซื้อกองทุนก็ได้
.
- การลงทุนแบบ Warren Buffett อาจจะไม่ได้ต้องซื้อขายทุกวัน ลองดูคนมั่งคั่งในโลกหรือประเทศไทย ผมไม่ค่อยเห็นนักเก็งกำไรนะ ขนาดปรมาจารย์ทางด้านการลงทุน Technical ก็อาจจะไม่ติด Top 50 มั่งคั่งระดับโลก ส่วนใหญ่จะมาจากธุรกิจและการลงทุนในระยะยาว
.
- ผลตอบแทนสูงต้องไปซื้อตอนถูก แต่เมื่อไหร่ที่คุณได้สูตรสำเร็จสัดส่วนการลงทุน อย่าลืม Rebalance ปรับสมดุลของพอร์ต ข้อดีคือ เหมือน DCA เราจะขายของที่แพง แล้วมาซื้อของที่ถูก อันนี้คนชอบลืมทำ แล้วก็ปล่อยให้พอร์ตเบี้ยว สมมุติเราจัดพอร์ตให้เขาพอผ่านไป 3-4 เดือน ทุกอย่างมีการผันผวน สัดส่วนจะเพี้ยนทันที สมมุติถ้าหุ้นขึ้น จาก 30% ก็กลายเป็น 40% อย่าปล่อยให้ขึ้น ต้องทำทุกเดือนหรือทุกไตรมาส เพราะฉะนั้นคุณต้องขายตอนแพง และซื้อสินทรัพย์สินอื่นๆ ให้สัดส่วนหุ้นเหลือ 30% เท่าเดิม อันนี้ไม่รวมกับเงินที่กันไว้สำหรับยามฉุกเฉิน ผมก็มีเงินก้อนนึงกันไว้ให้ลูกเรียน
.
- ยกตัวอย่าง Warren Buffett เขาซื้อหุ้น Apple อยู่ประมาณ 40% ตอนเริ่มต้น เวลาผ่านไปมันขึ้นมากกว่าตัวอื่น หุ้น Apple ขึ้นจาก 40% เป็น 70% โดยประมาณ คนก็ไปตีความว่า Warren ไม่เอาหุ้นนี้แล้ว เททิ้ง ไม่เอาเทคโนโลยี หลายคนก็ด่า จริงๆ Warren เลือกที่จะขายหุ้น เพราะอยากคงไว้ 40% เหมือนเดิม แล้วก็เอาเงินไปซื้อหุ้นตัวเดิมที่สัดส่วนต่ำ หรือซื้อตัวใหม่ๆ กลับมาที่เริ่มต้น ต้องจัดพอร์ตเท่าไหร่
.
- พอได้สัดส่วนตัวเองแล้ว จะทำยังไงให้สัดส่วนมันนิ่ง คนที่ประสบความสำเร็จทำแบบนี้ เราก็ควรทำตาม เวลาของแพงเราก็ขายออก มาซื้อของถูก แต่สินทรัพย์เราเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ หรือกองทุนก็ได้ เช่น คุณซื้อ Cryptocurrency 5% พอมันขึ้นเป็น 10% คุณก็ควรเอาออกมาส่วนนึง และเอามาซื้อให้ได้ตามสัดส่วน
.
- ถ้าคุณมีความรู้ก็ศึกษาต่อ ถ้าคุณเก่งมากพอ สมมุติเราตั้งไว้ 30% ในช่วงวิกฤติโควิด ต้มยำกุ้ง ราคาลงเยอะ บางคนจะมีความเข้าใจเรื่องวิกฤติ จะรู้ว่าเขาควรเพิ่มสัดส่วนหุ้นจาก 30% เพิ่มเป็น 40-50% แต่อันนี้ต้องใช้ความรู้ที่มากขึ้น ถึงจะเพิ่มความเสี่ยงได้มากขึ้น เป็นอิสระได้มากขึ้น แต่ถ้ายังไม่มีความรู้ อย่าเพิ่งทำ ไปตรงๆ ก่อนนะ แต่ผมเล่าไว้ให้เป็นความรู้ก่อนเฉยๆ ให้รู้ว่ามีวิธีนี้ด้วย
.
- Warren Buffett บอกวันนี้เขาถือหุ้น 40% แต่ถ้ารวมเงินที่เอาออกมาด้วยจะเหลือ 30% วันนี้ Warren Buffett ถืออยู่ที่ 35% แปลว่าเขามองว่า หุ้นวันนี้ราคาแพง เลยเก็บเงินสดไว้รอ ค่อยซื้อตอนถูก
.
- เขาก็ใช้หลักการเดิมคือพยายามซื้อของถูก ไม่ซื้อของแพง ทำแบบนี้ คุณก็จะได้ 12% สูงกว่าทุกคน แต่ถ้าคุณไปลงทุนแบบไม่มีความรู้ แบบแมงเม่า ก็จะได้ผลตอบแทนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
.
- 80% ของคนที่ลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ มักจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย เพราะเราไม่มีความรู้ (กฎ 80/20) มีแค่ 20% ที่ชนะตลาด มันคือโจทย์ที่เราต้องคิด เราก็ต้องอดทนซื้อของถูก
.
- แต่ถ้าคุณเก็งกำไร คุณก็ต้องมีวินัย ต้องตัด คนชนะเขารู้จักตัดขาดทุนได้ ใช้เครื่องมือยังไง เรื่องนี้ลึกลับ ถ้ามานั่งฟังนักวิเคราะห์ทุกวัน ตายแน่ๆ เขาแนะนำให้ซื้อวันนี้ แต่วันที่ขายเขาไม่บอกหรอก หรือบางทีเขาบอกแต่เราไม่รู้ เพราะเราเข้าไม่ถึงตัวเขา อันนี้ถึงบอกให้พึ่งพาตัวเอง เวลาคนมาถามว่าซื้ออะไรดี ผมมักจะเลี่ยงไม่บอกตรงๆ เพราะผมไม่รู้ว่าเขาเป็นนักเก็งกำไร หรือนักลงทุนระยะยาว หรือว่าคิดว่าเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่ซื้อหุ้นวันเดียวขาย ผมมักจะถามแทนว่า คิดว่าหุ้นที่ดีเป็นยังไง ไม่พูดชื่อหุ้นตรงๆ สอนวิธีให้เขาตกปลา ถ้าตกมาได้ แล้วค่อยมาถามว่าจะทำกินยังไงดี
.
[คุณวีระพล]
- ผมชอบที่พี่กวีบอก เรื่องการกระตุกให้คิด โดยทฤษฎีจะเชื่อว่า คนรุ่นใหม่อยากได้ผลตอบแทนสูง ไม่ต้องทำงานหนัก ผมว่าก็เป็นธรรมชาติ ผมก็ไม่ได้รู้สึกขนาดนั้นจนเจอคนแบบนี้เยอะจริงๆ แบบไม่อยากทำงาน แล้วก็อยากเป็นนักลงทุนจริงๆ Trader เยอะขึ้นจริงๆ เกิดขึ้น จากอยากรวยเร็ว อะไรง่ายๆ เร็วๆ อันนึงที่จำเป็นมากๆ คือต้องมีใครมากระตุกว่า มันเป็นไปได้นะ แต่ไม่ได้เป็นได้กับทุกคน
.
- เราเลือกลงทุนในการลงทุนเสี่ยงได้ แต่ต้องไม่เป็นการลงทุนเดียวของเรา Generation นี้เกิดมามีลูกน้อย พ่อแม่ทำงานหนัก รายได้สูง พร้อมจะเลี้ยงดูลูกคนเดียว คนเราคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย เราต้องหาทางของตัวเองให้เจอ โซเชียลอาจจะพยายามบอกให้คุณทำแบบนู้นแบบนี้ มันอาจจะไม่ได้จริงทั้งหมด เราจำเป็นที่จะต้องมีทางเลือกในการลงทุนที่ไม่ได้เสี่ยงเท่านั้น ถ้าคุณจะไม่ทำงานประจำ คุณก็ต้องหารายได้ทางอื่นด้วย ที่ไม่ได้มีแค่ Trading ไม่งั้น Source of Income คุณจะมีทางเดียว
.
- อีกเทคนิคคือการ Rebalance พอร์ต ใครเพิ่งเริ่มต้น แนะนำ 1-2 ครั้งต่อปี สิ่งนึงที่เราจะเจอคือค่า Fee ถ้าเรา Rebalance บ่อยๆ โดยไม่ได้มีหลัก 1-2 ครั้งจะทำให้เราช่วยบาลานซ์ค่า Fee บาลานซ์พอร์ต ผมพยายามกระตุกคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดียการลงทุนว่า ตลาดไม่ไช่ของเราตลอด คนที่ Protect เราก็ไม่ได้อยู่ได้ตลอด ต้องควบคุมอารมณ์ให้อยู่ ถ้ามีความโลภคือ ความเสี่ยงสูงสุด
=================
ช่วง Q&A
=================
—————————————
Q1. ตอนนี้ปัจจุบันลงทุนในหุ้นอยู่เป็นหลัก แต่มีกระแส Yield Farming หรือ DeFi เยอะมาก แล้วเขาบอกว่าได้เงินเร็ว ปล่อยเหรียญให้คนกู้และไม่เสี่ยงมาก อยากรู้ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกับสิ่งนี้
—————————————
[คุณกวี]
- ตอนนี้ Top 20 ก็ยังไม่เห็นเศรษฐีจาก cryptocurrency ขึ้นมานะ โดยเฉพาะในไทย หรือว่าเขาอาจจะไม่ได้เปิดเผยออกมา
.
- ถามว่าเราเปิดประตูโอกาสกับสิ่งพวกนี้ได้ไหม ได้ แต่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงจนน่าเหลือเชื่อ จะให้ผลตอบแทนแบบนี้ในระยะยาวจริงเหรอ แล้วตามมาด้วยความเสี่ยงมากไหม เพราะไม่มีอะไรได้มาฟรี นึกถึงตอน Subprime, Hamburger Crisis/ CDF หลายคนบอกไม่มีความเสี่ยง เครื่องมือทางการเงินที่เอาสินเชื่อ มาขายเป็นสินทรัพย์ แล้วก็เอามาขายไปเรื่อยๆ แล้วบอกว่าไม่มีความเสี่ยงแบงค์รับประกัน ต่อให้ลูกหนี้ไม่จ่าย แบงค์ก็จ่าย แต่ปรากฏว่าแบงค์เจ๊ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่การลงทุนหลัก เราเปิดประตูได้ แต่เปิดแบบเสียแล้ว ไม่รู้สึกไม่ดี ลงไปสิบมันหายไปหมดเหลือศูนย์แล้วเรายังโอเคอยู่ cryptocurrency ผมก็พอมี แล้วก็ rebalance ไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่อง DeFi นี่ผมยังศึกษาอยู่ แต่ถ้าลงหุ้น 100% แล้วมาเข้าอันนี้ 100% คิดว่าไม่แนะนำเลย
.
[คุณวีระพล]
อะไรที่ทำให้ลงทุนหุ้นปัจจุบันอยู่แล้ว ทำไมถึงคิดจะขยับขึ้นไป หรือเพราะอะไร
.
[คุณ A]
คิดว่ามันได้ดอกเบี้ย 10-20% ต่อปี เรียกว่าเป็นค่าทำธุรกรรม กะจะใส่ 2-5% เราไม่ใช่ฝั่งเทรด แต่เป็นเหมือนฝั่งให้ยืม
.
[คุณกวี]
- ฟังเหมือนเรากำลังใช้การลงทุนจริงเพื่อการเรียนรู้ แต่ถ้าเริ่มต้นใส่แค่ 2-5% แบบนี้ก็ยังโอเค เราลงทุนไปแล้ว เราต้องเรียนรู้ว่า เราจะกำไรจากอะไร ขาดทุนเพราะอะไร ถ้าจะเริ่มใส่เงินเข้าไปเพิ่มต้องตอบตรงนี้ให้ได้ก่อน ถ้าตอบไม่ได้ให้หยุด ถ้าเงินหายแล้วได้เรียนรู้ก็โอเค แต่ถ้าไม่ได้เรียนรู้จะไม่มีประโยชน์เลย ใช้เงินน้อยก็จริงแต่เราต้องเรียนรู้ DeFi ก็แบ่งออกเป็นอีกหลายทาง ต้องศึกษา
.
- อยากให้ศึกษาเครื่องมือตอนเกิดวิกฤติสมัยก่อน ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว หุ้นไทยลง 50% อเมริกาลง 50% ด้วยเครื่องมือใหม่ๆ พวกนี้ เป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงกลัว อยากให้ไปดูหนังเรื่อง short sale (The Big Short) กับ Inside Job เป็นหนังที่เกี่ยวกับตอน Hamburger Crisis
.
[คุณวีระพล]
- คนรุ่นใหม่อาจจะอยากลงทุนแบบ unique ด้วยซึ่งก็ไม่ได้ผิด แต่ฟังเราสามคนอาจจะเข้าใจว่า ทำไมเราถึง conservative ผมก็ยังสนับสนุนให้ลงทุน แต่ลงทุนน้อยๆ educate เยอะๆ ฟังพวกเราคอยกระตุกความคิดบ้าง
.
[โค้ชหนุ่ม]
- ผมขอแชร์ ส่วนตัวผมศึกษามา 2-3 ปี แล้ว แต่ผมยังไม่ได้ลงทั้ง DeFi และ Blockchain ผมชอบพูดตลกๆ ว่าเพราะที่ลงอยู่ทุกวันนี้ ก็มีอิสรภาพแล้ว ถ้าง่ายแล้วทำได้ แล้วได้เงิน ทำงานหาเงิน เก็บเงินของเรา เราก็อาจจะไม่ได้ต้องวื่งไปหาเครื่องมือใหม่ๆ ผมก็ยังอยู่กับอสังหาฯ ที่ผมคุ้นเคย ETF ก็มีลงบ้าง
.
[คุณกวี]
- ผมลงทุนกองทุนสุขภาพ เชื่อไหมผลตอบแทนอยู่ในอันดับ 2 ปีที่แล้ว 57% โห มันได้ขนาดนี้เลยเหรอ ท่าง่ายๆ
.
[โค้ชหนุ่ม]
- ผมว่าต้องระวังท่านี้ ที่เราอยากจะหาวิธี หาสิ่งใหม่ๆ เสมอ ทั้งๆ ที่เราทำอยู่ก็สามารถทำได้ เราไม่ได้มีแค่การลงทุน สุขภาพ หน้าที่การงาน การใช้ชีวิต เราอาจจะจัดให้ยังยิ้มได้ ให้เหมาะกับเรา บอกว่าของใหม่ไม่ได้ผิด ถ้าของเก่าพอทำได้ แต่ของใหม่อยากจะลอง ก็อยากให้จัด 2-5% ไป ที่เหลือก็ยังอยู่กับของเดิมได้
—————————————
Q2. สอบถามเรื่อง ETF และการเปิดตัวในไทยเป็นยังไง
—————————————
[คุณวีระพล]
- ผมเคยซื้อ ETF แต่ตอนอยู่ที่อเมริกา ที่ไทยสภาพคล่องยังไม่โอเค ผมจะซื้อให้เกาะตามดัชนี เราเชื่อในตลาดไหนก็จะไปซื้ออันนั้น แต่ ETF ในไทยยังไม่ค่อยเห็นความน่าสนใจ
.
[คุณกวี]
- ความแตกต่างระหว่าง EFT กับกองทุน คือ ETF ค่าธรรมเนียมต่ำ แต่สภาพคล่องก็ต่ำกว่า ถ้าซื้อแล้วขายเยอะจริงๆ บางทีขายไม่ได้ มันก็อิงไปกับดัชนีด้วยกัน ถ้าเราเข้าใจว่าลงทุนตามดัชนีประเทศ อุตสาหกรรม หรือธีมต่างๆ เช่น ธีมเทคโนโลยี ต่างประเทศมีเยอะมาก สภาพคล่องสูงกว่าเยอะมาก แต่อันนั้นเราก็ต้องไปเปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศ ในหลายๆ โบรกเกอร์ ต้องเปิดพอร์ตก่อน ถึงจะเปิด ETF ได้ แต่ก็จะมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินอีก ถ้าเรายังไม่มีความรู้ อาจจะเริ่มจากกองทุนอิงตามดัชนีไปก่อน อีกข้อที่ ETF ดีกว่าคือ มัน Real Time เพราะกองทุนข้อเสียคือต้องรอสรุปราคาเมื่อจบวัน บางทีก็ต้องรอสี่ห้าวันถึงจะได้เงิน แต่ ETF ไปได้เร็ว แนะนำให้ลงทุน ETF แต่ต้องเป็น ETF ต่างประทศ แต่ยังไงอย่าลืมศึกษาก่อน
.
[คุณวีระพล]
- ผมแนะนำให้เปิดพอร์ต Offshore ต่างประเทศมีให้เลือกเยอะมาก ธีม Casino ธีม Health Care ธีม e-Sport การลงทุนธีมไม่ได้หมายความว่าจะมีกำไรเสมอ แต่บางทีมันเป็น Passion ไม่ได้เป็นแค่การหากำไร ถ้าเรามี Passion เริ่มต้น ETF ก็ได้ แต่อย่างที่บอก เวลาสภาพคล่องไม่มี มันยาก
.
[คุณ B]
- สมมุติผมสนใจ ETF ที่ล้อไปตามดัชนี ถ้าเทียบกับกองทุนเลย อันไหนน่าสนใจกว่า
.
[คุณกวี]
- ถ้ามีเงินเย็น แนะนำ ETF แต่ ETF 11 ตัวในตลาดหุ้นไทย สภาพจะยังไม่คล่องเท่าไหร่
=================
ฝากทิ้งท้าย
=================
[คุณวีระพล]
- ดีใจที่เห็นคนที่เข้ามาฟังเป็น New Gen อย่างที่อยากให้ฟัง จะเห็นว่าวันนี้พวกเราทั้งสามคนใช้คำว่า กระตุกเยอะ Educate ตัวเองให้เข้าใจเยอะ ผมขอทิ้งคำเดียวคือ เวลาเราอยากเร็วบางทีมันจะช้า แต่บางทีถ้าเราช้ามันจะเร็ว ถ้าเรามีคำนี้อยู่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ถ้าเราใจเย็นบ้าง เรารู้จักช้าบ้าง บางทีเราจะถึงเป้าหมายเร็วกว่าที่คิด มันใช้ได้เสมอสำหรับ หลายๆ Scenario โดยเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้การ Shopping เวลาเราเจอของที่อยากได้มากๆ ลองให้เวลาสัก 24 ชม. ถ้ายังอยากซื้ออยู่ แปลว่าเราอยากได้จริงๆ แต่ถ้าเราไม่อยากได้ แปลว่าเราไม่ได้อยากได้จริงๆ
.
[คุณกวี]
- ถ้าจะลงทุนเสี่ยงมาก ก็ต้องมีความรู้ หลายคนเข้าใจคำว่ากระจายความเสี่ยงผิด Warren Buffett บอกว่า ให้กระจายความเสี่ยง อย่าใส่ไข่ไว้ที่ตะกร้าใบเดียว แต่ก็พูดว่า เราต้องโฟกัสที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง มันดูแย้งกัน แต่มันทำได้ในสองคำพูดที่ย้อนแย้ง ดูหุ้นในพอร์ตของ Warren Buffett เขามีหุ้น 40 ตัวถือว่ากระจายเยอะมาก แต่เขาโฟกัส เพราะเขาถือหุ้น Apple 40%
.
- อันนี้คือกระจายความเสี่ยงกับโฟกัส เขาโฟกัสในสิ่งที่เขารู้ที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเขาต้องถือหุ้นตัวเดียว ถือ 40 ตัว เพื่อกระจายความเสี่ยง
.
- ถ้าคุณมีความรู้ด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าเรารู้เรื่องหุ้นเยอะ เราอาจจะกระจายความเสี่ยงไปสินทรัพย์อื่น แต่เราก็โฟกัสหุ้น มันเป็นของคู่กันได้ ขอให้เราเข้าใจมัน
.
- บางทีเราไม่มีความรู้เรื่องหุ้น แต่มีความรู้เรื่อง พระเครื่อง ไวน์ นาฬิกา ของสะสมเก่าๆ แล้วบังเอิญมีความรู้เยอะมากกว่าคนอื่น
คนที่รู้ก็หาพระจริงได้ คนไม่รู้ก็โดนหลอกพระปลอม ถ้าคุณรู้มากกว่า คุณก็โฟกัสพระเครื่อง แล้วที่เหลือก็กระจายหุ้น กระจายสินทรัพย์ไป วันนี้เราไม่ได้พูดเรื่องการลงทุนทางเลือก มันก็ทำได้ แต่คุณต้องรู้มากกว่าคนอื่นด้วย ไม่ใช่รู้เท่าหรือน้อยกว่า
=================
Date: 24 MAR 2021 (20:00-22:00)
Moderator:
@coachnumm โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ Money Coach
@kbanklive KBank Live
Speaker:
@kavee_ks คุณกวี ชูกิจเกษม
@weeraponb คุณวีระพล บดีรัฐ
#Clubhouse #ClubhouseTH #ClubhouseThailand
#KBankLive #KBank #กสิกรไทย #คุยเรื่องลงทุน #บอกครบจบทุกGEN #investment #โค้ชหนุ่ม #MoneyCoach #กวีชูกิจเกษม #todayinotetotext #todayinoteto #วันนี้สรุปมา
=================
สรุปสั้นๆ
=================
- วิธีการดูการลงทุนที่เหมาะสมกับเรา 1. ดู Performance, 2. ดูใจเราเอง ว่าถ้าราคามันลงขนาดนี้ เรานอนหลับไหม
.
- การลงทุนก้อนเดียวยาวๆ กับการแบ่งเป็นหลายๆ ก้อนแล้วลงทุน แบบหลังมักจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่า
.
- วิธีการเพิ่มเงิน 1. หาความรู้ เพิ่มผลตอบแทน 2. เก่งขึ้น หารายได้มากขึ้น 3. ประหยัด รายได้เหลือลงทุนได้มากขึ้น
.
- เงินสำรองควรมี 6 เท่า ถ้าผ่านโควิดไปควรมี 10-12 เท่าของรายจ่าย
.
- การลงทุน ต้องเริ่มต้นทันที ถ้ายังรับความเสี่ยงได้แนะนำให้ลงหุ้น ถ้ายังไม่กล้าให้ลงกองทุนรวมในหุ้นก่อนก็ได้
.
- ต้องซื้อหุ้นที่ได้ราคาถูก ราคาต่ำกว่าคนอื่น ซึ่งจะทำให้ได้ผลตอบแทนสูงกว่าคนอื่น
.
- พอลงทุนไปเรื่อยๆ แล้วอย่าลืม Rebalance พอร์ตอยู่เสมอ ประมาณ 1-2 ครั้งต่อปี กำลังดี
.
- 80% ของคนที่ลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ มักจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย เพราะเราไม่มีความรู้ (กฎ 80/20) มีแค่ 20% ที่ชนะตลาด มันคือโจทย์ที่เราต้องคิด
===============
[โค้ชหนุ่ม - Money Coach]
.
- การมีรายได้ทางเดียวเสี่ยงจริงๆ การต่อยอดและการลงทุนเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้
.
- การลงทุนสำคัญและต้องใช้ความรู้ ต่อยอดเงินต้องใช้ความรู้ความสามารถ
.
- ไม่ว่าจะเป็นการดูแลครอบครัว ความมั่งคั่ง ระหว่างทางเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
.
- ส่งแต่เงิน หุ้น ให้ลูกหลานต่อไปอย่างเดียวคงไม่ใช่ อยากส่งต่อความรู้ไปด้วย สอนกันเองในครอบครัวนี้จริงๆ ยาก
.
- ในช่วง 10-20 ปี มีการเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่มาศึกษาการลงทุนเร็ว แต่ใจร้อน
===============
Speaker Introduction
===============
[คุณกวี ชูกิจเกษม]
- รองกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย
- ดูแลจัดพอร์ตการลงทุน วางแผนทางการเงินให้กับลูกค้าทุกวัย
- ทำงานมาเกือบ 30 ปี ทำให้รู้ว่าแต่ละ Gen มีปัญหาไม่เหมือนกัน หรือแม้แต่ Gen เดียวกันเองบางทีก็ไม่เหมือนกัน
- ต้องพิจารณาอะไรบ้าง ในการลงทุน จุดหมายปลายคือเกษียณให้ได้ก่อนอายุ 60
.
[คุณวีระพล บดีรัฐ]
- ผู้บริหาร ธนาคารกสิกรไทย
- งานหลักเกี่ยวกับให้ความรู้มาตลอด โดย 10 ปีย้อนหลังเป็นเรื่องการเงิน
- ในอดีตเขียนหนังสือให้กับตลาดหลักทรัพย์ให้ครูเอาไปใช้ในโรงเรียน ชื่อหนังสือว่า “เงินทองของมีค่า” 10 กว่าปีแล้ว ช่วง 5 ปีหลัง เขียนหนังสือ “เกษียณสำหรับคนมีลูก”
- งานหลักๆ ที่กสิกรไทยคือ ทำเทรนนิ่ง ให้ความรู้การเงินตามบริษัทต่างๆ ช่วงหลังโฟกัสพนักงานและ Sale ของกสิกรไทยมากขึ้น แต่ยังวนเวียนเกี่ยวกับความรู้เรื่องการเงิน
- ไม่ได้ตั้งเป้าหมายเกษียณเป็นอายุ แต่ให้เราได้ไปที่ชอบๆ มีอิสระจากการหารายได้ได้
===============
—————————————
1. ทั้งสองคนใช้เวลานานไหม และใช้เครื่องมืออะไร
—————————————
[คุณกวี]
- ผมได้เปรียบเพราะทำงานด้านการลงทุนมาก่อน ตั้งแต่เรียนตรีวิศวะ ตั้งใจจะมาทำงานสายการลงทุนมาตั้งแต่ต้น เคยไปลงคอร์สนึงเกี่ยวกับการลงทุน เศรษฐกิจ แล้วชอบ ก็เลยไปตามความฝัน ไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการเงิน อยากเป็นกำลังใจไม่ว่าคุณเริ่มชีวิตยังไง เงินเดือนมากน้อยแค่ไหน ไม่สายที่จะเริ่มลงทุน
.
- เริ่มทำงานตอนปี 1994 จน 1997 ก็เจอวิกฤติต้มยำกุ้ง เงินที่สร้างมาหมดตัว เอาเงินคุณพ่อคุณแม่มา ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตอนต้มยำกุ้ง ท้อมาก ว่าสิ่งที่เรียนรู้มาว่า การลงทุนทำให้เป็นอิสรภาพทางการเงินได้ ไม่เห็นเป็นจริงเลย เลยไปลองอ่านหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับการลงทุน จึงพบว่า ที่ผ่านมาเราเรียนด้านการเงินมา แต่เราไม่เคยเจอประสบการณ์จริงๆ นักลงทุนมีหลายแบบ สินทรัพย์ก็มีหลายแบบ ลงทุนก็มีหลายแบบ เลยกลับมาเชื่อในการลงทุนใหม่ เราเข้าใจผิดไปเอง เหมือนคุณจะไปไหน คุณหลงทาง คุณก็ต้องเปิด Google Map ให้กลับมาถนนเส้นเดิม
.
- จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็เรียนรู้ว่าต้องลงทุนสไตล์นี้ เวลาแนะนำใคร ก็ใช้ประสบการณ์ตัวเอง ไม่ว่าคุณจะ Gen ไหน X, Y, Z เวลาคุยในเรื่องของคอร์ส เขาจะระบุไปเลย Gen นี้ลงทุนแบบนี้ เช่น 20 ต้นๆ ยังเสี่ยงได้ เสี่ยงไปเลย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบเสี่ยง ชอบลงทุนเหมือนกัน เวลาเราไปดูภาพรวมของหนังสือ จะบอกอายุเท่านี้เสี่ยงเท่านี้ อายุ 60 ไม่ต้องเสี่ยง แต่ผมเคยเจอ อาแป๊ะ อายุเยอะ แกชอบเสี่ยงๆ และสนุกกับการเสี่ยง แล้วประสบความสำเร็จ ต้องเข้าใจว่าเขาผ่านเรื่องการเก็งกำไรมานานและมีประสบการณ์ บางคนเขาบอกต้องเสี่ยง ก็เสี่ยงแต่อาจจะไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์ รายได้ ภาระท่ีต้องดูแล ผมก็พยายามทำความเข้าใจแต่ละคน ไม่ได้ดูว่า Gen ไหน แต่ดูว่าเป็นคนลักษณะไหนมากกว่า เวลาคนให้ช่วยจัดพอร์ต
.
- การจัดพอร์ตลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับทุกคน แผนการเกษียณก็ไม่มี ยอดภูเขาขึ้นได้หลายทาง 360 องศา บางคนชอบปีน บางคนชอบขึ้นลิฟต์ แต่พอถึงยอดเขาแล้วเห็นวิวเดียวกัน
.
-สำรวจตัวเองก่อน ศึกษาสินทรัพย์ให้รอบด้าน แล้วเราคอยมาดูว่าเราควรปีนภูเขามุมไหน ไม่งั้นเวลาคุณจะเดินเข้าไปที่ไหน เขาก็จะแนะนำ อายุเท่านี้แบ่งอัตราส่วนแบบนี้ กี่ % มันให้ง่าย แต่พอเวลาผ่านไป คุณก็จะไม่รู้ว่าทำยังไงต่อ พอไปถามคนเดิมเขาก็อาจลาออกไปแล้ว คนใหม่เข้ามาก็เหมือนเริ่มต้นใหม่
.
- เป็นสิ่งที่ทุกคนชอบพลาด ถึงรู้ว่าต้องศึกษา แต่ก็ชอบไม่ศึกษา หวังว่าที่ปรึกษาจะเป็นหมอ แจกสูตรยาพาราสำเร็จสำหรับทุกคนได้แต่เรื่องการลงทุน Pattern ของแต่ละคนมันต่างกัน
.
- เงินเดือนน้อย ต้มยำกุ้ง ติดดอยหุ้น ผมผ่านมาหมดแล้ว โดนไล่ออกก็เคย
[คุณวีระพล]
- ผมเรียนจบปี 2540 ตอนต้มยำกุ้ง ต้องใช้เวลาถึง 8 เดือนกว่าจะได้งานทำ เริ่มต้นจากเงินไม่มี แล้วพอเริ่มมี ต้องพยายามใช้ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี จุดเริ่มต้นคือพยายามจัดเงินให้เงินเหลือแบบไม่มีความรู้ มีบัตรเครดิตครั้งแรกก็ไม่มีใครแนะนำ เครดิต 45 วัน คิดว่ารูดวันที่ 1 ก็คือ นับไป 45 วัน วันที่ 2 ก็นับไปอีก 45 วัน ก็ใช้ผิดโดนดอกเบี้ย ก็วนเวียนหาใช้ไปเรื่อยๆ จนมีโอกาสเข้ามาทำงานที่ตลาดหลักทรัพย์ มาเจอพี่กวี แต่ก็ยังไม่ได้เอ็นจอยกับการลงทุนมาก ไปเรียนคลาสพี่กวี เริ่มเห็นภาพแต่ก็ยังไม่อิน เราไม่ได้อยากเสียเวลากับตรงนี้ เริ่มจริงๆ ตอนไปต่างประเทศที่อเมริกา ตอน CFP จะเริ่มมาในไทย มีสอนเรื่องภาษี มีพาร์ทลงทุน เหมือนที่พี่กวีบอก เรียนมาไม่เหมือนของจริงเลย ตอนนั้นได้จังหวะพอดีพอจะมีเงิน เลยลองลงทุน เดาแบบไม่มีความรู้ หุ้นตัวแรกที่ซื้อคือ Pfizer เพราะแฟนอยู่ในวงการการแพทย์ พอเห็นข่าวสารเชื่อว่าน่าจะเวิร์ค อีกตัวที่ซื้อคือ ธนาคาร Top 4 ของไอริส ลงเสร็จ Lehman Brothers ล้มทันที เล่นแบบไม่รู้เรื่อง ไปซื้อ Penny Stock พอ Lehman Brothers ล้ม ไอริสเหลือ 50 เซนต์ จากที่ซื้อมา 1 เหรียญ ขายทิ้งแทบไม่ทัน แต่ก็ไม่ได้ซื้อเยอะมาก
.
- บทเรียนที่ได้คือ ถ้าเราไม่มีเวลา เราอาจจะไม่เหมาะกับตลาดหุ้น ที่ต้องใช้ข้อมูลในการลงทุนเยอะๆ ให้ได้ตามเป้าหมาย
.
- พอกลับมาไทย ช้อยส์แรกที่เลือกคือกองทุนรวม กองทุนที่ซื้อตัวแรกคือ กองทุนประหยัดภาษี ก็อยู่มาเรื่อยๆ ไม่ได้ไขว่คว้าหาตัวท๊อปตลอด ผมเป็นแนว Asset Allocation พยายามอยู่กับสัดส่วนที่เหมาะกับผม Maintain สัดส่วน ไม่ได้ดูขึ้นลงเยอะ แค่ดูว่ากองทุนที่เราถืออยู่ ยังพอไปได้ แล้วก็พยายามใช้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ
.
- บางทีเราฟังข้อมูลมาเหมือนใบ้หวย เขาให้มาแบบไม่รู้นิสัย รู้สไตล์ของเรา ถ้าเขาไม่ถามข้อมูลของเราแล้วให้มาเลย ตอนจบก็จะไม่แมตช์กับสิ่งที่คุณอยากได้ สินทรัพย์เสี่ยงมีได้ แต่ต้องเป็นสินทรัพย์ที่มีคนจัดการให้ ถ้าผมจะลงอะไรที่ไม่ใช่หุ้น ผมลงเพื่อกระจายความเสี่ยง บาลานซ์พอร์ต จะได้ไม่ไปทางเดียวกันหมดเวลาบางตัวลง
.
- วันนี้ถ้าแยก LTF ออกจากพอร์ต ผมจะเหลือหุ้นกับตราสารหนี้ครึ่งๆ แต่ถ้าเอา LTF มารวม จะเป็นหุ้นประมาณ 70% ต้องดูว่าเหมาะกับเราไหม
.
*1. ดู Performance: ยาวๆ 1-5 ปี ได้ 4-5% แบบนี้เราโอเคไหม
*2. ดูใจเราเอง: บางทีมีหุ้น 50% หรือ 70% ตอบไม่ได้ว่าแบบไหนเหมาะ ดูใจตัวเองตอนตลาดเปลี่ยนแปลง ตอนลงแล้วเป็นทุกข์ นอนไม่หลับ กินไม่ลง แบบนี้คือเรารับไม่ได้ แปลว่าคุณต้องลดสัดส่วนหุ้นตรงนี้ลง แต่ถ้าคนบอกว่าแดง เราก็ยังไม่มีปัญหา รับได้ เราก็เล่นสูงได้ ยิ่งถ้าทำงานมีรายได้อยู่ เราก็เติมหุ้นไปเรื่อยๆ หุ้นลงก็เติม หุ้นขึ้นก็เติม
.
หาสัดส่วนที่เหมาะกับเราได้เจอ ดูความเสี่ยงปัจจุบัน ถ้าเรายังยิ้มได้แปลว่าแบบนี้โอเค
—————————————
2. High Risk High Return เสมอไปหรือไม่?
—————————————
[คุณกวี]
- ผมไม่ชอบคำว่า High Risk High Return ไม่งั้นคุณก็ไปเล่นหุ้นปั่นสิ ไปเล่นแล้วก็ได้ผลตอบแทนต่ำ งั้นเก็งกำไรเถอะ เพราะเสี่ยงเยอะ ถ้าแบบนั้นเล่นหวยน่าจะรวยสุด เพราะเสี่ยงสุด
.
- บางครั้ง Low Risk ก็ High Return ได้ด้วยความรู้ ในร้อยปีจะมีสินทรัพย์ใหม่ๆ แทรกมาตลอด หุ้นกับอสังหาริมทรัพย์ หลังๆ จะพบว่าหุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่าอสังหาฯ อาจจะเพราะ Aging Society หรือการใช้ชีวิตแบบคนปัจจุบันที่ไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะแบบสมัยก่อน ที่บ้านไหนมีสนามหญ้าหน้าบ้านถือว่ารวย ในยุโรปทำแบบนี้ แต่ปัจจุบันมันไม่จำเป็นแล้ว แต่ในระยะยาวให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกัน
—————————————
3. ตลาดหุ้นไทย vs. ตลาดหุ้นอเมริกา
—————————————
[คุณกวี]
- อีกเรื่องที่หลายคนชอบเข้าใจผิดคือ ถ้าย้อนกลับไปตอนที่ตลาดหุ้นไทยเปิดตัวตั้งแต่ปี 1975 แล้วเอา Set Index มาคำนวณตั้งแต่ 100 ถึง 1,500 จุด เราจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยแค่ 6% ต่อปีเอง ไหนบอกว่าผลตอบแทนสูงสุด นี่มันยังน้อยกว่ากองทุนอสังหาริมทรัพย์อีก ตลาดหุ้นอเมริกาจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 12% แต่ที่เราลืมคิดคือ เราไม่ได้คิดเงินปันผลที่เราได้รับระหว่างนั้น นี่คือความรู้ที่คุณต้องเข้าใจ ประเทศไหนที่อิ่มตัว ถ้าผลตอบแทนเป็นราคาหุ้น จะไม่สูงแล้วเพราะเขาอิ่มตัว แต่ข้อดีคือ เขาไม่ต้องลงทุนเพิ่ม ขยายต่อไม่ได้ แต่จะได้เงินปันผล เพราะเงินไม่ได้เอาไปลงทุน
.
- จะสังเกตประเทศที่เข้าสู่ Aging Society อิ่มตัว พื้นฐานดี ประเทศไทยถือว่าผลตอบแทนสูงมากสุดในเอเชีย อย่างวันนี้ธนาคารใหญ่ๆ ให้เงินปันผล 5-7% อสังหาฯ 7-8% บางตัวถึง 10% ถ้าจะไปดูแค่ราคาหุ้นที่ไม่ขึ้นและไม่ดูผลตอบแทน เราจะเกิดความเข้าใจผิด เพราะเวลาได้เงินปันผลจากหุ้น คุณมักไม่เอาไปซื้อหุ้น คุณมักจะเอาไปซื้อสิ่งของ มือถือ กล้องถ่ายรูป หนักสุดก็รถยนต์ ทำให้เรารู้สึกว่าการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงแบบหุ้น ไม่ได้ให้ผลตอบแทนเราในตลาดหุ้นไทย
.
- พอไปดูตลาดอเมริกา รู้สึกว่าได้ผลตอบแทนดี แต่อย่าลืมนะเขาจ่ายเงินปันผลน้อยกว่า ถ้าเราซื้อหุ้นในตลาดไทยไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เปิดตัวมา 40 กว่าปี ตอนนี้จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี ถ้ารวมเงินปันผลที่ได้แล้วเอาไปลงทุน ถ้าลงทุนไปร้อยบาท ตอนนี้ได้คืนเกินหมื่นแล้ว
—————————————
4. เคล็ดลับในการลงทุน
—————————————
[คุณกวี]
- แต่แน่นอนการลงทุนหุ้นมีความผันผวน แต่การไม่มีสินทรัพย์ที่เสี่ยงเลยก็ถือว่าเป็นความเสี่ยง กองทุนตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล ให้ผลตอบแทนค่อนข้างน้อย อยากให้คิดถึงความเสี่ยงขึ้นมานิดนึงก่อน
.
- สมมุติถ้าคุณลงทุนหนี่งแสนบาท แล้วได้ผลตอบแทน 8% ต่อปี ลงทุนไป 20 ปี เงินจะเพิ่มมาเป็นแสนเจ็ดแสนแปด
.
- แต่ถ้าคุณแบ่งเงินเป็นห้าก้อนเท่าๆ กัน ก้อนละสองหมื่นบาท ก้อนนึงไปลงความเสี่ยงที่ทำให้เงินหายไปเลย ก้อนนึงได้ผลตอบแทน 0% ก้อนนึง 10% ก้อนนึง 15% ปรากฏว่าเงินที่ได้รับจะมากกว่ากรณีแรก
.
- เห็นไหมว่าการใส่ความเสี่ยงขึ้นไปนิดนึง มันจะแตกต่าง ยิ่งเด็กๆ ยิ่งต้องใส่ เพราะฉะนั้นเรื่องอายุมีความจำเป็น แต่ปัญหาคือ เมื่อคุณเริ่มมาลงทุน ไม่ว่าจะเข้ามาอายุเท่าไหร่ จะบอกว่า คุณมีอายุลงทุนเท่ากัน เพราะฉะนั้นเริ่มต้นคุณต้องหาความรู้ก่อน แล้วความรู้จะทำให้ความเสี่ยงลดลง
.
- อันแรกคือ หุ้นมีผลตอบแทนสูงสุด ตลาดหุ้นไทยเคยมีมูลค่าลดลงไป 50% ทั้งหมดสองครั้ง ส่วนในอเมริกาลดลงไป 50% นับครั้งไม่ถ้วน ในอเมริกามีเยอะมาก ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งสงคราม, Hamburger Crisis, Dot-Com เจอไม่รู้กี่รอบ แต่พอผ่านไป หุ้นก็ยังให้ผลตอบแทนสูงสุด ถ้าคุณมีความรู้ คุณจะมั่นใจกับมันว่าหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุด
.
- สินทรัพย์ที่ลงทุน กับสินทรัพย์เก็งกำไรต่างกันตรงไหน สินทรัพย์ลงทุนคือ หุ้น ตราสารหนี้ มีปันผล ให้เงินเราได้ แม้เราไม่ได้ซื้อๆขายๆ ส่วนพวก Cryptocurrency ค่าเงิน ทองคำ เป็นการลงทุนทางเลือก ไม่มีเงินปันผล แต่พวกนี้ลองไปเปิดประตูโอกาสเอาไว้ได้
.
- ถ้าศึกษาไปเรื่อยๆ ตอนแรกอาจจะมีหุ้นแค่ 10% ซื้อผ่านกองทุนก็ได้ พอคุณศึกษาไปเรื่อยๆ คุณก็จะเพิ่มความเสี่ยงได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้คือจุดที่อยากให้เริ่มต้น ก่อนจะไปดูว่าเรามีศักยภาพสามารถทำเงินได้เพิ่มเท่าไหร่ เพราะมันโคตรยาก แต่หาความรู้ง่ายกว่า เพราะมันไม่ต้องพึ่งใคร ทุกรายได้ต้องพึ่งคนอื่นทั้งสิ้น คุณจะทำอะไร คุณจะไปเอาเงินเขา ก็ต้องยาก หาความรู้แล้วเพิ่มความเสี่ยงไปเรื่อยๆ มีความสำคัญ พอเราได้ตรงนั้นปุ๊บ ก็มากำหนดเป้าหมายว่าเราจะมีเงินเท่าไหร่ จะเกษียณอายุ 50 หรือ 60 ต้องมีเงินเท่าไหร่ แล้วระหว่างทางก็ปรับไปเรื่อยๆ ถ้ายังไม่มีความรู้แล้วใส่ 50-80% ปีแรกเละเลย เข็ดไปเลย เราก็จะขยาดกับการลงทุน เรารู้แค่ไหนเราลงแค่นั้น พอมีความรู้ค่อยเพิ่มความเสี่ยง แล้วมาดูเป้าหมาย สมมุติเราทำๆ ไป เราทำไม่ได้ก็เพิ่มอายุ
.
*1. หาความรู้เพิ่มผลตอบแทน
*2. เก่งขึ้น หารายได้มากขึ้น
.
ทุกคนชอบลืมอีกข้อหนึ่งที่เราทำได้คือ
*3. ประหยัดรายได้ ถ้าเหลือมากขึ้นก็ลงทุนได้มากขึ้น
.
- อันนี้คือสิ่งที่คุณต้องรู้ ฟังจบแล้วก็จบวันนี้ แค่นี้ไม่พอ ไปซื้อหนังสือหาอ่านเพิ่ม เล่มนึง 200 บาท กินข้าววันเดียวก็หมดแล้ว
.
- หลายคนรู้ว่าผมทำงานหนักมาก สัมมนาเยอะมาก ทำบทวิเคราะห์ ทำ YouTube แต่ทำไมผมมีเวลาอ่านหนังสือ วิ่งออกกำลังกายวันเว้นวันด้วยนะ ถ้าผมมีเวลา คุณจะไม่มีได้ไง คุณก็ต้องมีเวลาหาความรู้ แล้วต้องทำด้วย รู้ไปก็เท่านั้น ถ้ารู้แล้วไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์
—————————————
5. วิธีการประหยัดเพื่อเพิ่มเงินลงทุน
—————————————
[คุณวีระพล]
- Personal Finance การเติมความรู้ประสบการณ์ ทุกคนมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเงินที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเรามาฟังเพื่อพยายามหาท่าของตัวเอง มันบอกไม่ได้
.
- แค่ให้ความสำคัญของเรื่องการเงินในมิติไหนก็ได้ ในยุคเก่า การหาเงินอาจจะยากจริงๆ แต่คนยุคนี้ มีแหล่งหาเงินได้เยอะ หารายได้ได้หลายทางมากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าคุณเอ็นจอยกับการหาเงิน คุณก็ไปโฟกัสด้านนั้น แค่ไปทำเรื่องการใช้จ่ายแล้วเหลือเงินเก็บ
.
- ในยุคผม คนที่มี Cash ในกระเป๋าอาจจะมีโอกาสใช้เยอะ นิสัยเสียคือบัตรพลาสติก (บัตรเครดิต) ผมจะดัดนิสัยด้วยการใส่เงินสดให้พอดีใช้ มีซองวันจันทร์ อังคาร พุธ เงินสดในแต่ละวันดีไซน์มาแล้ว ขนาดเราจัดเงินมาแล้ว เงินยังเหลือเลย
.
- แต่พอเราเข้าสู่ยุค Cashless มันไม่ง่ายแล้ว ผมใช้มือถือเครื่องเดียวจ่ายได้หมดเลย เราต้องรู้ก่อนว่า วิธีที่จะทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋ามีทางไหนบ้างและคุมให้อยู่ เราเป็นภูมิแพ้อะไร เช่น ผมเป็นโรคภูมิแพ้หนังสือ ผมจะต้องรู้ก่อนเสมอผมอยากซื้อหนังสืออะไร ผมจะทำการบ้านมาก่อนเข้าร้านหนังสือ จะได้ไม่เผลอซื้อเยอะ
.
- ทุกครั้งเวลาบรรยายการลงทุน ผมจะพยายามพูดเรื่องการประหยัดก่อน คนจะตกม้าตายตอนบอกว่าเงินเดือนน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินมากน้อย แต่ขึ้นอยู่ว่าเราเงินเหลือเท่าไหร่ หาภูมิแพ้คุมให้อยู่ จะได้มีเงินเหลือเอาไปลงทุน
—————————————
6. การเตรียมความพร้อมสำหรับเรื่องฉุกเฉิน
—————————————
- การจัดการการเงิน ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่การเตรียมตัวมีสูตรบางอย่าง จะถามคนที่มาปรึกษาเสมอว่า มีเงินสำรองหรือยัง ในชีวิตเราจะเจอเหตุการณ์ฉุกเฉิน น้ำท่วม โควิด มีลูก เกิดมาตลอดเวลา ตอนวัยรุ่นผมไม่เคยคิดอะไรแบบนี้ เรามีสวัสดิการ พอวันนึงเรามีลูกเราจะพบว่า สวัสดิการบางอย่างจัดการแทนไม่ได้ เรามีแผนเก็บเงินให้ลูกเรียนหลายๆ แผน สามารถล่มไปก่อนได้ อย่าลืม Protect ความเสี่ยง ผมไม่ทำประกันอุบัติเหตุเลย จนสุนัขกัด และเข็นรถตัวเองชนตัวเอง หลังจากนั้นไม่เคยลืมทำเลยทุกปี ขึ้นอยู่กับว่าเราประเมินความเสี่ยง ความเสี่ยงแต่ละคนไม่เท่ากัน
.
- ผมทำประกันให้ลูก ภรรยา ผมคิดว่าลูกของเรา แปดขวบ มีแนวโน้มจะเป็นโรคเบาหวาน เลยเอาที่ทดสอบ มาทดสอบเองที่บ้านดูปรากฎว่าขึ้นไปพีคสุด คิดว่าเป็นแน่ ภรรยาผมก็เตรียมลาออกจากงานมาดูแลลูก ผมเช็กเลย ถ้าเขาเป็นเบาหวานจริง ประกันที่ทำไว้ไม่ครอบคลุมแน่นอน จนพอเราไปทดสอบเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล แล้วรู้ว่าผลที่เราทดสอบมาก่อนมัน Error เหตุการณ์นี้เลยทำให้เรารู้ว่าเราต้องเตรียมประกัน เตรียมความพร้อมให้เขาไว้มากกว่านี้
.
- ทั้งหลายทั้งปวงคือการเตรียมตัวสร้างความมั่งคั่ง เงินสำรองควรมี 6 เท่า ถ้าผ่านโควิดไปควรมี 10-12 เท่าของรายจ่าย Protect ส่วนที่ควร Protect
—————————————
7. เคล็ดลับในการลงทุน (2)
—————————————
- การลงทุน ต้องเริ่มต้นทันที หุ้นถ้ายัง Take Risk ได้แนะนำ ถ้ายังไม่กล้า ให้ลงกองทุนรวมในหุ้นก่อนก็ได้ มีที่ในไทยให้ผลตอบแทนเกิน 20% ต่างประเทศ 40-60% เกิดแบบนี้ถ้าเราไม่ลง เราเสียโอกาส
.
- ในยุคนี้ถ้าจะลงแค่ตลาดไทย มันเสียโอกาส แต่ลงนอกแบบผ่านหุ้นตรงๆ อาจจะยาก ให้ซื้อกองทุนรวม 1,000 บาท กองทุนรวมที่ถือหุ้น ลองไป Google ได้
.
- Bitcoin หรืออะไรที่เสี่ยงมาก ลงเป็นทรัพย์สินทางเลือกได้ 5% แต่อย่าเอาเงินทั้งหมดไปลงทีเดียว อันนี้ไม่สนับสนุน
.
- ลงทุนเพื่ออะไรต้องตอบตัวเองให้ได้ ลงเพื่อเกษียณตัวเอง หรือมีเงินสิบล้านยี่สิบล้านไว้ทำกิจการ
ถ้าเป้าหมายทั่วไป เช่น มีเงิน 10 ล้าน ให้ใช้ชีวิตได้อีก 10-20 ปี ถ้าลงทุนไปแล้วไม่ทันก็ยืดเวลาเกษียณออกไป กะว่าเราจะใช้เดือนละเท่าไร มีอายุอีกสักเท่าไร ถ้าไม่มีเป้าหมาย เราจะไม่รู้ว่าลงทุนไปเพื่ออะไร แล้วจะต้องปรับแผนระหว่างทางหรือไม่
.
[คุณหนุ่ม]
- ประสบการณ์ส่วนตัวของผม คือผมลงทุนกองทุนรวมแล้วรู้สึกช้า เลยไปลงทุนทำธุรกิจก่อน เสร็จแล้วซื้ออสังหาฯ แล้วก็ไปลงทุน ผมไม่ลงทุนในหุ้นเยอะแต่ใช้กองทุนรวม ยิ่งไปต่างประเทศเนียนเลย จุดนึงที่สำคัญมาก ผมว่าการมีโจทย์ไปสักนิดนึง มีโจทย์อันนึงของผม ที่เรียกว่าเพี้ยน คือ ผมอยากได้ผลตอบแทนสูงสุด วิ่งไปหากองไหนก็ได้ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด เวลาผมให้คำแนะนำกองไหนดีสุด บางทีผลตอบแทน 7-8% บางคนส่ายหัว เขาไม่สนใจเลย กองทุนต่างประเทศ ขึ้น 100% คำแนะนำเราดูแบบช้าไปเลย
.
- ผมเชื่อมั่นเรื่องการมีแผนลงทุนที่ชัดเจน จัดสรรเงินเท่าไหร่ คาดหวังผลตอบแทนเท่าไหร่ ผมก็ไม่ได้บู๊ 100% มีตราสารหนี้บ้าง ผมเป็นคนมักน้อย 8% ก็อยู่ได้ ผมว่าไปได้
—————————————
8. การ Rebalance พอร์ต/ การลงทุนแบบ Warren Buffett
—————————————
[คุณกวี]
- จริงๆ อย่างที่บอก ถ้าชอบก็คือขยันทำมาหากินก็ได้ ที่คุณวีระพลชอบพูดเสมอว่าไม่ใช่ว่าเกษียณแล้วหยุดทำงาน แต่คือเกษียณแล้วเรายังไปที่ชอบๆ ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ มีบทความอันนึงของลงทุนแมน เขาเขียนว่าถ้าหลังจากเกษียณ เราจะทำอะไรต่อได้ 1. เป็นที่ปรึกษา ด้านที่ถนัด 2. ขับ Grab หลังเกษียณเราอาจจะอยากทำอะไรที่สนุก และไม่ได้หวังรายได้
.
- แต่กลับมาเรื่องวางแผนการเงิน แต่ละคนมีเป้าหมาย การรับความเสี่ยงไม่เหมือนกัน จัดพอร์ตไม่เหมือนกัน Warren Buffett ลงทุนหุ้นระยะยาวตั้งแต่ 11 ขวบ เป็นที่มาที่ทำให้ผมให้ลูกชายลงทุน ซื้อหุ้นไทยแบบ DCA ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ วันนี้อายุ 17 ขวบ แล้ว ทำ DCA มาหกปี ปีนี้เป็นปีที่เขาได้ผลตอบแทนสูงมาก ก่อนหน้านี้ได้ผลตอบแทนไม่เยอะ การลงทุนในหุ้นต้องใช้เวลา ไม่ได้มารวดเร็ว
.
- ต่อให้ตลาดหุ้นมีขึ้นๆ ลงๆ แต่ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของ Warren Buffett คือ 26% ต่อปี เขาเก่งมาก จับจังหวะการลงทุน สังเกตว่าเขาจะปรับพอร์ตไม่เยอะ แต่หุ้นหลักๆ ที่อยู่ใน Top Ten ถือมานานมาก เป็นสิบๆ ปี ตัวอย่างเช่น Coca-Cola วิธีการของเขาคือต้องซื้อหุ้นได้ราคาถูก ต้องซื้อราคาต่ำกว่าคนอื่น ซึ่งจะทำให้ได้ผลตอบแทนสูงกว่าคนอื่น อันนี้คือหลักคิดง่ายๆ สำหรับทุกสินทรัพย์ แต่วันนี้ที่เราลงทุนในสินทรัพย์มักจะซื้อในตอนที่แพง คือซื้อตอนทุกคนอยากซื้อ ตอนโควิด ผมเพิ่มพอร์ตเยอะมากตอนหุ้นตก ตอนหุ้นขึ้นผมไม่ซื้อเลย ผมพยายามหาสินทรัพย์ต้นทุนให้น้อยสุด นี่คือความรู้ ความเข้าใจที่เราต้องใส่ใจ ถ้าคุณมั่นใจกับหุ้นตัวใดตัวนึง คุณจะไม่กล้วที่จะซื้อ ไม่ว่ามันจะขึ้นหรือลง หรือซื้อกองทุนก็ได้
.
- การลงทุนแบบ Warren Buffett อาจจะไม่ได้ต้องซื้อขายทุกวัน ลองดูคนมั่งคั่งในโลกหรือประเทศไทย ผมไม่ค่อยเห็นนักเก็งกำไรนะ ขนาดปรมาจารย์ทางด้านการลงทุน Technical ก็อาจจะไม่ติด Top 50 มั่งคั่งระดับโลก ส่วนใหญ่จะมาจากธุรกิจและการลงทุนในระยะยาว
.
- ผลตอบแทนสูงต้องไปซื้อตอนถูก แต่เมื่อไหร่ที่คุณได้สูตรสำเร็จสัดส่วนการลงทุน อย่าลืม Rebalance ปรับสมดุลของพอร์ต ข้อดีคือ เหมือน DCA เราจะขายของที่แพง แล้วมาซื้อของที่ถูก อันนี้คนชอบลืมทำ แล้วก็ปล่อยให้พอร์ตเบี้ยว สมมุติเราจัดพอร์ตให้เขาพอผ่านไป 3-4 เดือน ทุกอย่างมีการผันผวน สัดส่วนจะเพี้ยนทันที สมมุติถ้าหุ้นขึ้น จาก 30% ก็กลายเป็น 40% อย่าปล่อยให้ขึ้น ต้องทำทุกเดือนหรือทุกไตรมาส เพราะฉะนั้นคุณต้องขายตอนแพง และซื้อสินทรัพย์สินอื่นๆ ให้สัดส่วนหุ้นเหลือ 30% เท่าเดิม อันนี้ไม่รวมกับเงินที่กันไว้สำหรับยามฉุกเฉิน ผมก็มีเงินก้อนนึงกันไว้ให้ลูกเรียน
.
- ยกตัวอย่าง Warren Buffett เขาซื้อหุ้น Apple อยู่ประมาณ 40% ตอนเริ่มต้น เวลาผ่านไปมันขึ้นมากกว่าตัวอื่น หุ้น Apple ขึ้นจาก 40% เป็น 70% โดยประมาณ คนก็ไปตีความว่า Warren ไม่เอาหุ้นนี้แล้ว เททิ้ง ไม่เอาเทคโนโลยี หลายคนก็ด่า จริงๆ Warren เลือกที่จะขายหุ้น เพราะอยากคงไว้ 40% เหมือนเดิม แล้วก็เอาเงินไปซื้อหุ้นตัวเดิมที่สัดส่วนต่ำ หรือซื้อตัวใหม่ๆ กลับมาที่เริ่มต้น ต้องจัดพอร์ตเท่าไหร่
.
- พอได้สัดส่วนตัวเองแล้ว จะทำยังไงให้สัดส่วนมันนิ่ง คนที่ประสบความสำเร็จทำแบบนี้ เราก็ควรทำตาม เวลาของแพงเราก็ขายออก มาซื้อของถูก แต่สินทรัพย์เราเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ หรือกองทุนก็ได้ เช่น คุณซื้อ Cryptocurrency 5% พอมันขึ้นเป็น 10% คุณก็ควรเอาออกมาส่วนนึง และเอามาซื้อให้ได้ตามสัดส่วน
.
- ถ้าคุณมีความรู้ก็ศึกษาต่อ ถ้าคุณเก่งมากพอ สมมุติเราตั้งไว้ 30% ในช่วงวิกฤติโควิด ต้มยำกุ้ง ราคาลงเยอะ บางคนจะมีความเข้าใจเรื่องวิกฤติ จะรู้ว่าเขาควรเพิ่มสัดส่วนหุ้นจาก 30% เพิ่มเป็น 40-50% แต่อันนี้ต้องใช้ความรู้ที่มากขึ้น ถึงจะเพิ่มความเสี่ยงได้มากขึ้น เป็นอิสระได้มากขึ้น แต่ถ้ายังไม่มีความรู้ อย่าเพิ่งทำ ไปตรงๆ ก่อนนะ แต่ผมเล่าไว้ให้เป็นความรู้ก่อนเฉยๆ ให้รู้ว่ามีวิธีนี้ด้วย
.
- Warren Buffett บอกวันนี้เขาถือหุ้น 40% แต่ถ้ารวมเงินที่เอาออกมาด้วยจะเหลือ 30% วันนี้ Warren Buffett ถืออยู่ที่ 35% แปลว่าเขามองว่า หุ้นวันนี้ราคาแพง เลยเก็บเงินสดไว้รอ ค่อยซื้อตอนถูก
.
- เขาก็ใช้หลักการเดิมคือพยายามซื้อของถูก ไม่ซื้อของแพง ทำแบบนี้ คุณก็จะได้ 12% สูงกว่าทุกคน แต่ถ้าคุณไปลงทุนแบบไม่มีความรู้ แบบแมงเม่า ก็จะได้ผลตอบแทนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
.
- 80% ของคนที่ลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ มักจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย เพราะเราไม่มีความรู้ (กฎ 80/20) มีแค่ 20% ที่ชนะตลาด มันคือโจทย์ที่เราต้องคิด เราก็ต้องอดทนซื้อของถูก
.
- แต่ถ้าคุณเก็งกำไร คุณก็ต้องมีวินัย ต้องตัด คนชนะเขารู้จักตัดขาดทุนได้ ใช้เครื่องมือยังไง เรื่องนี้ลึกลับ ถ้ามานั่งฟังนักวิเคราะห์ทุกวัน ตายแน่ๆ เขาแนะนำให้ซื้อวันนี้ แต่วันที่ขายเขาไม่บอกหรอก หรือบางทีเขาบอกแต่เราไม่รู้ เพราะเราเข้าไม่ถึงตัวเขา อันนี้ถึงบอกให้พึ่งพาตัวเอง เวลาคนมาถามว่าซื้ออะไรดี ผมมักจะเลี่ยงไม่บอกตรงๆ เพราะผมไม่รู้ว่าเขาเป็นนักเก็งกำไร หรือนักลงทุนระยะยาว หรือว่าคิดว่าเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่ซื้อหุ้นวันเดียวขาย ผมมักจะถามแทนว่า คิดว่าหุ้นที่ดีเป็นยังไง ไม่พูดชื่อหุ้นตรงๆ สอนวิธีให้เขาตกปลา ถ้าตกมาได้ แล้วค่อยมาถามว่าจะทำกินยังไงดี
.
[คุณวีระพล]
- ผมชอบที่พี่กวีบอก เรื่องการกระตุกให้คิด โดยทฤษฎีจะเชื่อว่า คนรุ่นใหม่อยากได้ผลตอบแทนสูง ไม่ต้องทำงานหนัก ผมว่าก็เป็นธรรมชาติ ผมก็ไม่ได้รู้สึกขนาดนั้นจนเจอคนแบบนี้เยอะจริงๆ แบบไม่อยากทำงาน แล้วก็อยากเป็นนักลงทุนจริงๆ Trader เยอะขึ้นจริงๆ เกิดขึ้น จากอยากรวยเร็ว อะไรง่ายๆ เร็วๆ อันนึงที่จำเป็นมากๆ คือต้องมีใครมากระตุกว่า มันเป็นไปได้นะ แต่ไม่ได้เป็นได้กับทุกคน
.
- เราเลือกลงทุนในการลงทุนเสี่ยงได้ แต่ต้องไม่เป็นการลงทุนเดียวของเรา Generation นี้เกิดมามีลูกน้อย พ่อแม่ทำงานหนัก รายได้สูง พร้อมจะเลี้ยงดูลูกคนเดียว คนเราคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย เราต้องหาทางของตัวเองให้เจอ โซเชียลอาจจะพยายามบอกให้คุณทำแบบนู้นแบบนี้ มันอาจจะไม่ได้จริงทั้งหมด เราจำเป็นที่จะต้องมีทางเลือกในการลงทุนที่ไม่ได้เสี่ยงเท่านั้น ถ้าคุณจะไม่ทำงานประจำ คุณก็ต้องหารายได้ทางอื่นด้วย ที่ไม่ได้มีแค่ Trading ไม่งั้น Source of Income คุณจะมีทางเดียว
.
- อีกเทคนิคคือการ Rebalance พอร์ต ใครเพิ่งเริ่มต้น แนะนำ 1-2 ครั้งต่อปี สิ่งนึงที่เราจะเจอคือค่า Fee ถ้าเรา Rebalance บ่อยๆ โดยไม่ได้มีหลัก 1-2 ครั้งจะทำให้เราช่วยบาลานซ์ค่า Fee บาลานซ์พอร์ต ผมพยายามกระตุกคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดียการลงทุนว่า ตลาดไม่ไช่ของเราตลอด คนที่ Protect เราก็ไม่ได้อยู่ได้ตลอด ต้องควบคุมอารมณ์ให้อยู่ ถ้ามีความโลภคือ ความเสี่ยงสูงสุด
=================
ช่วง Q&A
=================
—————————————
Q1. ตอนนี้ปัจจุบันลงทุนในหุ้นอยู่เป็นหลัก แต่มีกระแส Yield Farming หรือ DeFi เยอะมาก แล้วเขาบอกว่าได้เงินเร็ว ปล่อยเหรียญให้คนกู้และไม่เสี่ยงมาก อยากรู้ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกับสิ่งนี้
—————————————
[คุณกวี]
- ตอนนี้ Top 20 ก็ยังไม่เห็นเศรษฐีจาก cryptocurrency ขึ้นมานะ โดยเฉพาะในไทย หรือว่าเขาอาจจะไม่ได้เปิดเผยออกมา
.
- ถามว่าเราเปิดประตูโอกาสกับสิ่งพวกนี้ได้ไหม ได้ แต่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงจนน่าเหลือเชื่อ จะให้ผลตอบแทนแบบนี้ในระยะยาวจริงเหรอ แล้วตามมาด้วยความเสี่ยงมากไหม เพราะไม่มีอะไรได้มาฟรี นึกถึงตอน Subprime, Hamburger Crisis/ CDF หลายคนบอกไม่มีความเสี่ยง เครื่องมือทางการเงินที่เอาสินเชื่อ มาขายเป็นสินทรัพย์ แล้วก็เอามาขายไปเรื่อยๆ แล้วบอกว่าไม่มีความเสี่ยงแบงค์รับประกัน ต่อให้ลูกหนี้ไม่จ่าย แบงค์ก็จ่าย แต่ปรากฏว่าแบงค์เจ๊ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่การลงทุนหลัก เราเปิดประตูได้ แต่เปิดแบบเสียแล้ว ไม่รู้สึกไม่ดี ลงไปสิบมันหายไปหมดเหลือศูนย์แล้วเรายังโอเคอยู่ cryptocurrency ผมก็พอมี แล้วก็ rebalance ไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่อง DeFi นี่ผมยังศึกษาอยู่ แต่ถ้าลงหุ้น 100% แล้วมาเข้าอันนี้ 100% คิดว่าไม่แนะนำเลย
.
[คุณวีระพล]
อะไรที่ทำให้ลงทุนหุ้นปัจจุบันอยู่แล้ว ทำไมถึงคิดจะขยับขึ้นไป หรือเพราะอะไร
.
[คุณ A]
คิดว่ามันได้ดอกเบี้ย 10-20% ต่อปี เรียกว่าเป็นค่าทำธุรกรรม กะจะใส่ 2-5% เราไม่ใช่ฝั่งเทรด แต่เป็นเหมือนฝั่งให้ยืม
.
[คุณกวี]
- ฟังเหมือนเรากำลังใช้การลงทุนจริงเพื่อการเรียนรู้ แต่ถ้าเริ่มต้นใส่แค่ 2-5% แบบนี้ก็ยังโอเค เราลงทุนไปแล้ว เราต้องเรียนรู้ว่า เราจะกำไรจากอะไร ขาดทุนเพราะอะไร ถ้าจะเริ่มใส่เงินเข้าไปเพิ่มต้องตอบตรงนี้ให้ได้ก่อน ถ้าตอบไม่ได้ให้หยุด ถ้าเงินหายแล้วได้เรียนรู้ก็โอเค แต่ถ้าไม่ได้เรียนรู้จะไม่มีประโยชน์เลย ใช้เงินน้อยก็จริงแต่เราต้องเรียนรู้ DeFi ก็แบ่งออกเป็นอีกหลายทาง ต้องศึกษา
.
- อยากให้ศึกษาเครื่องมือตอนเกิดวิกฤติสมัยก่อน ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว หุ้นไทยลง 50% อเมริกาลง 50% ด้วยเครื่องมือใหม่ๆ พวกนี้ เป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงกลัว อยากให้ไปดูหนังเรื่อง short sale (The Big Short) กับ Inside Job เป็นหนังที่เกี่ยวกับตอน Hamburger Crisis
.
[คุณวีระพล]
- คนรุ่นใหม่อาจจะอยากลงทุนแบบ unique ด้วยซึ่งก็ไม่ได้ผิด แต่ฟังเราสามคนอาจจะเข้าใจว่า ทำไมเราถึง conservative ผมก็ยังสนับสนุนให้ลงทุน แต่ลงทุนน้อยๆ educate เยอะๆ ฟังพวกเราคอยกระตุกความคิดบ้าง
.
[โค้ชหนุ่ม]
- ผมขอแชร์ ส่วนตัวผมศึกษามา 2-3 ปี แล้ว แต่ผมยังไม่ได้ลงทั้ง DeFi และ Blockchain ผมชอบพูดตลกๆ ว่าเพราะที่ลงอยู่ทุกวันนี้ ก็มีอิสรภาพแล้ว ถ้าง่ายแล้วทำได้ แล้วได้เงิน ทำงานหาเงิน เก็บเงินของเรา เราก็อาจจะไม่ได้ต้องวื่งไปหาเครื่องมือใหม่ๆ ผมก็ยังอยู่กับอสังหาฯ ที่ผมคุ้นเคย ETF ก็มีลงบ้าง
.
[คุณกวี]
- ผมลงทุนกองทุนสุขภาพ เชื่อไหมผลตอบแทนอยู่ในอันดับ 2 ปีที่แล้ว 57% โห มันได้ขนาดนี้เลยเหรอ ท่าง่ายๆ
.
[โค้ชหนุ่ม]
- ผมว่าต้องระวังท่านี้ ที่เราอยากจะหาวิธี หาสิ่งใหม่ๆ เสมอ ทั้งๆ ที่เราทำอยู่ก็สามารถทำได้ เราไม่ได้มีแค่การลงทุน สุขภาพ หน้าที่การงาน การใช้ชีวิต เราอาจจะจัดให้ยังยิ้มได้ ให้เหมาะกับเรา บอกว่าของใหม่ไม่ได้ผิด ถ้าของเก่าพอทำได้ แต่ของใหม่อยากจะลอง ก็อยากให้จัด 2-5% ไป ที่เหลือก็ยังอยู่กับของเดิมได้
—————————————
Q2. สอบถามเรื่อง ETF และการเปิดตัวในไทยเป็นยังไง
—————————————
[คุณวีระพล]
- ผมเคยซื้อ ETF แต่ตอนอยู่ที่อเมริกา ที่ไทยสภาพคล่องยังไม่โอเค ผมจะซื้อให้เกาะตามดัชนี เราเชื่อในตลาดไหนก็จะไปซื้ออันนั้น แต่ ETF ในไทยยังไม่ค่อยเห็นความน่าสนใจ
.
[คุณกวี]
- ความแตกต่างระหว่าง EFT กับกองทุน คือ ETF ค่าธรรมเนียมต่ำ แต่สภาพคล่องก็ต่ำกว่า ถ้าซื้อแล้วขายเยอะจริงๆ บางทีขายไม่ได้ มันก็อิงไปกับดัชนีด้วยกัน ถ้าเราเข้าใจว่าลงทุนตามดัชนีประเทศ อุตสาหกรรม หรือธีมต่างๆ เช่น ธีมเทคโนโลยี ต่างประเทศมีเยอะมาก สภาพคล่องสูงกว่าเยอะมาก แต่อันนั้นเราก็ต้องไปเปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศ ในหลายๆ โบรกเกอร์ ต้องเปิดพอร์ตก่อน ถึงจะเปิด ETF ได้ แต่ก็จะมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินอีก ถ้าเรายังไม่มีความรู้ อาจจะเริ่มจากกองทุนอิงตามดัชนีไปก่อน อีกข้อที่ ETF ดีกว่าคือ มัน Real Time เพราะกองทุนข้อเสียคือต้องรอสรุปราคาเมื่อจบวัน บางทีก็ต้องรอสี่ห้าวันถึงจะได้เงิน แต่ ETF ไปได้เร็ว แนะนำให้ลงทุน ETF แต่ต้องเป็น ETF ต่างประทศ แต่ยังไงอย่าลืมศึกษาก่อน
.
[คุณวีระพล]
- ผมแนะนำให้เปิดพอร์ต Offshore ต่างประเทศมีให้เลือกเยอะมาก ธีม Casino ธีม Health Care ธีม e-Sport การลงทุนธีมไม่ได้หมายความว่าจะมีกำไรเสมอ แต่บางทีมันเป็น Passion ไม่ได้เป็นแค่การหากำไร ถ้าเรามี Passion เริ่มต้น ETF ก็ได้ แต่อย่างที่บอก เวลาสภาพคล่องไม่มี มันยาก
.
[คุณ B]
- สมมุติผมสนใจ ETF ที่ล้อไปตามดัชนี ถ้าเทียบกับกองทุนเลย อันไหนน่าสนใจกว่า
.
[คุณกวี]
- ถ้ามีเงินเย็น แนะนำ ETF แต่ ETF 11 ตัวในตลาดหุ้นไทย สภาพจะยังไม่คล่องเท่าไหร่
=================
ฝากทิ้งท้าย
=================
[คุณวีระพล]
- ดีใจที่เห็นคนที่เข้ามาฟังเป็น New Gen อย่างที่อยากให้ฟัง จะเห็นว่าวันนี้พวกเราทั้งสามคนใช้คำว่า กระตุกเยอะ Educate ตัวเองให้เข้าใจเยอะ ผมขอทิ้งคำเดียวคือ เวลาเราอยากเร็วบางทีมันจะช้า แต่บางทีถ้าเราช้ามันจะเร็ว ถ้าเรามีคำนี้อยู่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ถ้าเราใจเย็นบ้าง เรารู้จักช้าบ้าง บางทีเราจะถึงเป้าหมายเร็วกว่าที่คิด มันใช้ได้เสมอสำหรับ หลายๆ Scenario โดยเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้การ Shopping เวลาเราเจอของที่อยากได้มากๆ ลองให้เวลาสัก 24 ชม. ถ้ายังอยากซื้ออยู่ แปลว่าเราอยากได้จริงๆ แต่ถ้าเราไม่อยากได้ แปลว่าเราไม่ได้อยากได้จริงๆ
.
[คุณกวี]
- ถ้าจะลงทุนเสี่ยงมาก ก็ต้องมีความรู้ หลายคนเข้าใจคำว่ากระจายความเสี่ยงผิด Warren Buffett บอกว่า ให้กระจายความเสี่ยง อย่าใส่ไข่ไว้ที่ตะกร้าใบเดียว แต่ก็พูดว่า เราต้องโฟกัสที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง มันดูแย้งกัน แต่มันทำได้ในสองคำพูดที่ย้อนแย้ง ดูหุ้นในพอร์ตของ Warren Buffett เขามีหุ้น 40 ตัวถือว่ากระจายเยอะมาก แต่เขาโฟกัส เพราะเขาถือหุ้น Apple 40%
.
- อันนี้คือกระจายความเสี่ยงกับโฟกัส เขาโฟกัสในสิ่งที่เขารู้ที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเขาต้องถือหุ้นตัวเดียว ถือ 40 ตัว เพื่อกระจายความเสี่ยง
.
- ถ้าคุณมีความรู้ด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าเรารู้เรื่องหุ้นเยอะ เราอาจจะกระจายความเสี่ยงไปสินทรัพย์อื่น แต่เราก็โฟกัสหุ้น มันเป็นของคู่กันได้ ขอให้เราเข้าใจมัน
.
- บางทีเราไม่มีความรู้เรื่องหุ้น แต่มีความรู้เรื่อง พระเครื่อง ไวน์ นาฬิกา ของสะสมเก่าๆ แล้วบังเอิญมีความรู้เยอะมากกว่าคนอื่น
คนที่รู้ก็หาพระจริงได้ คนไม่รู้ก็โดนหลอกพระปลอม ถ้าคุณรู้มากกว่า คุณก็โฟกัสพระเครื่อง แล้วที่เหลือก็กระจายหุ้น กระจายสินทรัพย์ไป วันนี้เราไม่ได้พูดเรื่องการลงทุนทางเลือก มันก็ทำได้ แต่คุณต้องรู้มากกว่าคนอื่นด้วย ไม่ใช่รู้เท่าหรือน้อยกว่า
=================
Date: 24 MAR 2021 (20:00-22:00)
Moderator:
@coachnumm โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ Money Coach
@kbanklive KBank Live
Speaker:
@kavee_ks คุณกวี ชูกิจเกษม
@weeraponb คุณวีระพล บดีรัฐ
#Clubhouse #ClubhouseTH #ClubhouseThailand
#KBankLive #KBank #กสิกรไทย #คุยเรื่องลงทุน #บอกครบจบทุกGEN #investment #โค้ชหนุ่ม #MoneyCoach #กวีชูกิจเกษม #todayinotetotext #todayinoteto #วันนี้สรุปมา
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3447
AGM AUCT 9 Apr 2021 10.00
มีผู้เข้าประชุม
มาด้วยตนเอง 18 ราย
รับมอบฉันทะ 15 ราย
รวม 33 ราย คิดเป็นจำนวนหุ้น 402,992,102 หุ้น หรือ 73.2713% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ถือว่าครบองค์ประชุม
มีกรรมการสองท่านที่เข้าร่วมประชุมonline
ได้แก่ ดร มนตรี โสคติยานุรักษ์ ประธานกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน
และ นางวิไลวรรณ ศรีสำรวล กรรมการอิสระ และ กรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ประธานกรรมการ เป็นผู้กล่าวเปิดประชุม
วาระที่2 รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทประจำปี2563
นางอัญชลี พรรคกลิน กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีและการเงิน
มาพูดในเรื่อง งบแสดงฐานะทางการเงิน
ปี2563 มีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานทางการบัญชี ที่กระทบคือ IFRS16 เรื่องสัญญาเช่า
สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ตัวสัญญาเช่า ได้ตีมูลค่า สินทรัพย์สุทธิการใช้ เพิ่มเข้าไปในสินทรัพย์จำนวนน 829.79 ลบ
ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่สำนักงานใหญ่และสาขาที่เช่าระยะยาว
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เพิ่มขึ้น 181.5% เพราะรอคืนเจ้าหนี้รถ ในช่วงปิดงบปลายปี
ส่วนหนี้สินตามสัญญาเช่า สุทธิ คิดคำนวณจากสัญญาเช่าที่เหลือ 799.13 ลบ
และส่วน เจ้าหนี้ค่ารถเจ้าหนี้การค้า เพิ่มขึ้น 57.1% เพราะตอนปิดงบ มีเงินรอคืนเจ้าหนี้รถอยู่
ทำให้สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 110.4% และ หนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 287%
งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 21.66 ลบ จากปีก่อนหน้าไม่มี เพราะมาจากมาตราฐานบัญชีใหม่ที่16
แต่ไม่มีผลต่องบ
รายได้การให้บริการ เพิ่มขึ้นจาก 803 เป็น 864 ลบ +7.6%
รายได้อื่นๆลดลงจาก 9 ลบ เป็น 4.75 ลบ
ต้นทุนบริการ เพิ่มขึ้นจาก 378 เป็น 411 ลบ +8.9% เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการเพิ่มขึ้น 2.3%
ดังนั้น กำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น 6.7% = 312.89 ลบ
แต่เจอภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น7% และต้นทุนทางการเงินซึ่งไม่ได้จ่ายจริว ทำให้กำไรสุทธิลดลง 2.7%=227.97ลบ
โครงสร้างรายได้จากการให้บริการ
รายได้ประมูลรถยนต์ เพิ่มจาก 636 —> 656 ลบ
รายได้จากการประมูลรถจักรยานยนต์เพิ่มจาก 66.59 —> 77.55ลบ
เพราะเรามีผู้ขายรายใหม่และความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น
รายได้จากการขนย้าย เพิ่มจาก 86 —-> 99.58 ลบ
รายได้จากการประมูลอื่น 13.87 —> 30.79 ลบ
รายได้อื่น. 9.16 —>. 4.75 ลบ
รายได้รวม เพิ่มขึ้น. 812.58 —-> 869.09 ลบ
ผลการดำเนินงาน
รายได้การดำเนินงาน เพิ่มขึ้น 60.92 ลบ เป็น 864.34 ลบ
ต้นทุนการให้บริการ. เพิ่มขึ้น 33.69 ลบเป็น. 411.70 ลบ
ค่าใช้จ่ายการขายและบริการ เพิ่มขึ้น 3.31 ลบเป็น 144.50 ลบ
กำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น 19.51 ลบ เป็น 312.89 ลบ
ต้นทุนทางการเงิน 21.66 ลบและภาษี63.26 ลบ
กำไรสุทธิ ลดลง 2.7% เป็น 227.97 ลบ
EBITDA เพิ่มขึ้น 91.81 ลบ = 433.26 ลบ
GP เพิ่มจาก 425 —> 452 ลบ
NP ลดลงจาก 234 —> 227 ลบ
ROEลดลงจาก 53.6 —> 44.5%
ROAลดลงจาก 26.1 —> 23.9%
คุณวรัญญู กรรมการผู้จัดการ ได้พูดถึงเรื่องการต่อต้านทุจริตว่า
ทางบริษัทได้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด ไม่ได้ละเลย
แต่กังวลว่าหลังจากเข้าร่วม จะกระทบต่อการทำงาน ก็เลยต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อน
Q&A
1.ดอกเบี้ยที่กระทบจากIFRS16 มีหลักเกณฑ์คิดอย่างไร
ตอบ ตามมาตรฐานบัญชี คิดดอกเบี้ยที่เกิดจากการคำนวณ หนี้สินจากสัญญาเช่า มาคิดpresent value
ดอกเบี้ยจะใช้อัตราอ้างอิงเพราะบริษัทไม่ได้กู้เงิน โดยใช้อัตราพันธบัตรรัฐบาล+เครดิตเรตติ้ง
ทำให้ต้นทุนไม่สูงมากนัก แต่เทียบกับมูลค่าทั้งหมด สัญญาเช่าที่ยาว20-50ปีมาคิด
เป็นแบบFrontend load ปีแรกจะสูง ซึ่งไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยจริง
2.สอบถามปี63 ยอดเฉลี่ยต่อเดือนเท่าไหร่ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ ปีนี้แนวโน้มเป็นอย่างไร
ตอบ ปีนี้ตอบไม่ได้ แต่ปีที่แล้ว ประมูลรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ ไม่ได้เปิดเผยเป็นสาธารณะ
แต่เนื่องจากCovidปริมาณรถเข้าลดลง เลยทำให้ยอดQ3ปริมาณรถลดลง ปีนี้ไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับปีที่ผ่านมา
3.ต้นทุนที่กระทบทางการเงิน มีผลกระทบต่อปีนี้ด้วยไหม
ตอบว่า ถ้าสัญญาเช่าไม่เปลี่ยนแปลง ก็มีผลกระทบต่อปีนี้และปีถัดไปด้วย
จะกระทบค่อยๆลดลง คิดโดยตรงจากหนี้สินก้อนนี้ที่ไม่เกิดขึ้นจริง
และคำถามที่ถามว่ารายละเอียดของสัญญาเช่า อยากให้ลงไว้ให้ผู้ถือหุ้นรับทราบ
ก็สามารถดูได้จากหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 18
วาระที่4 พิจารณาอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิเพื่อเป็นทุนสำรองตามกฎหมายและการ
จ่ายเงินปันผลสำหรับปี2563
เนื่องจากจัดสรรครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนเงินปันผลงวดนี้ 0.23 บาท
XD 23 apr , pay 7 May รวมจ่ายทั้งปี 0.41 บาท
วาระที่9 ได้มีการเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัทโดยการแก้วัตถุประสงค์ข้อ34และ
เพิ่มวัตถุประสงค์จำนวน25ข้อดังในหนังสือเชิญประชุม
ทำให้วัตถุประสงค์เพิ่มจาก 49 เป็น 74 ข้อ ที่ประชุมอนุมัติ
วาระที่10 พิจารณาเรื่องอื่นๆ
Q&A
4.สอบถามแผนงานปีนี้ ซึ่งคุณวรัญญู ได้บอกว่า มีการพัฒนาเรื่องบุคลากร
และพัฒนาระบบให้มีการmanualน้อยลง การมีข้อมูลลูกค้าอยู่ในระบบ ทำให้
ดูเทรนและตอบโจทย์ลูกค้าได้ และจะเน้นรายได้จาก pre auction,post auction
5.EV ส่งผลต่อบริษัทอย่างไร
อาจารย์ไพบูลย์ให้ความเห็นว่า ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงmodelมากขึ้น
จะส่งผลดีต่อธุรกิจดีขึ้น แต่จะเห็นเมื่อไหร่ยังบอกไม่ได้
6.การปรับราคา มีความคืบหน้าอย่างไร
คุณวรัญญู ตอบว่า ได้ปรับราคาตั้งแต่กลางเดือนสค ปี63จาก8,000เป็น 9,000บาท
คู่แข่งบางรายคิดแพงกว่าเรา
แต่ก็กระทบต่อราคาสินค้าที่ส่งมาด้วย. เราจะสร้างความมั่นใจกับลูกค้าด้วยการให้บริการเพิ่ม
7.สอบถามความคืบหน้าของMarket. Place
ตอนนี้ยังไม่ได้ทำ และพื้นที่นั้นยังให้บริการลูกค้าอยู่
หลังจากประชุมจบ ทางบริษัทมีการตรวจCovid โดยวิธี
Rapid test ซึ่งเป็นการเจาะปลายนิ้วนาง ซึ่งผิวจะอ่อนเจาะง่าย
วิธีการดูผลคล้ายๆกับการตรวจการตั้งท้อง
ถ้าผลเป็นขีดเดียว ก็ไม่เป็น
ถ้าผล มีสองขีด ก็ท้อง เอ้ย ติดCovidครับ
แต่วิธีนี้รับรองผลแค่90%เอง
ผลก็ลองตรวจดูแล้ว ก็สดวกดีครับ เพราะตอนนี้หลายๆรพ
ก็ไม่รับตรวจ เนื่องจาก นำ้ยาหมด หรือ ห้องเต็ม
นอกจากนี้ยังมีการให้ของว่างทาน เหมือนไปบริจาคเลือดเลย
ต้องขอขอบคุณผู้บริหารมากครับ
มีผู้เข้าประชุม
มาด้วยตนเอง 18 ราย
รับมอบฉันทะ 15 ราย
รวม 33 ราย คิดเป็นจำนวนหุ้น 402,992,102 หุ้น หรือ 73.2713% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ถือว่าครบองค์ประชุม
มีกรรมการสองท่านที่เข้าร่วมประชุมonline
ได้แก่ ดร มนตรี โสคติยานุรักษ์ ประธานกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน
และ นางวิไลวรรณ ศรีสำรวล กรรมการอิสระ และ กรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน
ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ประธานกรรมการ เป็นผู้กล่าวเปิดประชุม
วาระที่2 รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทประจำปี2563
นางอัญชลี พรรคกลิน กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีและการเงิน
มาพูดในเรื่อง งบแสดงฐานะทางการเงิน
ปี2563 มีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานทางการบัญชี ที่กระทบคือ IFRS16 เรื่องสัญญาเช่า
สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ตัวสัญญาเช่า ได้ตีมูลค่า สินทรัพย์สุทธิการใช้ เพิ่มเข้าไปในสินทรัพย์จำนวนน 829.79 ลบ
ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่สำนักงานใหญ่และสาขาที่เช่าระยะยาว
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เพิ่มขึ้น 181.5% เพราะรอคืนเจ้าหนี้รถ ในช่วงปิดงบปลายปี
ส่วนหนี้สินตามสัญญาเช่า สุทธิ คิดคำนวณจากสัญญาเช่าที่เหลือ 799.13 ลบ
และส่วน เจ้าหนี้ค่ารถเจ้าหนี้การค้า เพิ่มขึ้น 57.1% เพราะตอนปิดงบ มีเงินรอคืนเจ้าหนี้รถอยู่
ทำให้สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 110.4% และ หนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 287%
งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 21.66 ลบ จากปีก่อนหน้าไม่มี เพราะมาจากมาตราฐานบัญชีใหม่ที่16
แต่ไม่มีผลต่องบ
รายได้การให้บริการ เพิ่มขึ้นจาก 803 เป็น 864 ลบ +7.6%
รายได้อื่นๆลดลงจาก 9 ลบ เป็น 4.75 ลบ
ต้นทุนบริการ เพิ่มขึ้นจาก 378 เป็น 411 ลบ +8.9% เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการเพิ่มขึ้น 2.3%
ดังนั้น กำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น 6.7% = 312.89 ลบ
แต่เจอภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น7% และต้นทุนทางการเงินซึ่งไม่ได้จ่ายจริว ทำให้กำไรสุทธิลดลง 2.7%=227.97ลบ
โครงสร้างรายได้จากการให้บริการ
รายได้ประมูลรถยนต์ เพิ่มจาก 636 —> 656 ลบ
รายได้จากการประมูลรถจักรยานยนต์เพิ่มจาก 66.59 —> 77.55ลบ
เพราะเรามีผู้ขายรายใหม่และความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น
รายได้จากการขนย้าย เพิ่มจาก 86 —-> 99.58 ลบ
รายได้จากการประมูลอื่น 13.87 —> 30.79 ลบ
รายได้อื่น. 9.16 —>. 4.75 ลบ
รายได้รวม เพิ่มขึ้น. 812.58 —-> 869.09 ลบ
ผลการดำเนินงาน
รายได้การดำเนินงาน เพิ่มขึ้น 60.92 ลบ เป็น 864.34 ลบ
ต้นทุนการให้บริการ. เพิ่มขึ้น 33.69 ลบเป็น. 411.70 ลบ
ค่าใช้จ่ายการขายและบริการ เพิ่มขึ้น 3.31 ลบเป็น 144.50 ลบ
กำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น 19.51 ลบ เป็น 312.89 ลบ
ต้นทุนทางการเงิน 21.66 ลบและภาษี63.26 ลบ
กำไรสุทธิ ลดลง 2.7% เป็น 227.97 ลบ
EBITDA เพิ่มขึ้น 91.81 ลบ = 433.26 ลบ
GP เพิ่มจาก 425 —> 452 ลบ
NP ลดลงจาก 234 —> 227 ลบ
ROEลดลงจาก 53.6 —> 44.5%
ROAลดลงจาก 26.1 —> 23.9%
คุณวรัญญู กรรมการผู้จัดการ ได้พูดถึงเรื่องการต่อต้านทุจริตว่า
ทางบริษัทได้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด ไม่ได้ละเลย
แต่กังวลว่าหลังจากเข้าร่วม จะกระทบต่อการทำงาน ก็เลยต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อน
Q&A
1.ดอกเบี้ยที่กระทบจากIFRS16 มีหลักเกณฑ์คิดอย่างไร
ตอบ ตามมาตรฐานบัญชี คิดดอกเบี้ยที่เกิดจากการคำนวณ หนี้สินจากสัญญาเช่า มาคิดpresent value
ดอกเบี้ยจะใช้อัตราอ้างอิงเพราะบริษัทไม่ได้กู้เงิน โดยใช้อัตราพันธบัตรรัฐบาล+เครดิตเรตติ้ง
ทำให้ต้นทุนไม่สูงมากนัก แต่เทียบกับมูลค่าทั้งหมด สัญญาเช่าที่ยาว20-50ปีมาคิด
เป็นแบบFrontend load ปีแรกจะสูง ซึ่งไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยจริง
2.สอบถามปี63 ยอดเฉลี่ยต่อเดือนเท่าไหร่ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ ปีนี้แนวโน้มเป็นอย่างไร
ตอบ ปีนี้ตอบไม่ได้ แต่ปีที่แล้ว ประมูลรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ ไม่ได้เปิดเผยเป็นสาธารณะ
แต่เนื่องจากCovidปริมาณรถเข้าลดลง เลยทำให้ยอดQ3ปริมาณรถลดลง ปีนี้ไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับปีที่ผ่านมา
3.ต้นทุนที่กระทบทางการเงิน มีผลกระทบต่อปีนี้ด้วยไหม
ตอบว่า ถ้าสัญญาเช่าไม่เปลี่ยนแปลง ก็มีผลกระทบต่อปีนี้และปีถัดไปด้วย
จะกระทบค่อยๆลดลง คิดโดยตรงจากหนี้สินก้อนนี้ที่ไม่เกิดขึ้นจริง
และคำถามที่ถามว่ารายละเอียดของสัญญาเช่า อยากให้ลงไว้ให้ผู้ถือหุ้นรับทราบ
ก็สามารถดูได้จากหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 18
วาระที่4 พิจารณาอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิเพื่อเป็นทุนสำรองตามกฎหมายและการ
จ่ายเงินปันผลสำหรับปี2563
เนื่องจากจัดสรรครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนเงินปันผลงวดนี้ 0.23 บาท
XD 23 apr , pay 7 May รวมจ่ายทั้งปี 0.41 บาท
วาระที่9 ได้มีการเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัทโดยการแก้วัตถุประสงค์ข้อ34และ
เพิ่มวัตถุประสงค์จำนวน25ข้อดังในหนังสือเชิญประชุม
ทำให้วัตถุประสงค์เพิ่มจาก 49 เป็น 74 ข้อ ที่ประชุมอนุมัติ
วาระที่10 พิจารณาเรื่องอื่นๆ
Q&A
4.สอบถามแผนงานปีนี้ ซึ่งคุณวรัญญู ได้บอกว่า มีการพัฒนาเรื่องบุคลากร
และพัฒนาระบบให้มีการmanualน้อยลง การมีข้อมูลลูกค้าอยู่ในระบบ ทำให้
ดูเทรนและตอบโจทย์ลูกค้าได้ และจะเน้นรายได้จาก pre auction,post auction
5.EV ส่งผลต่อบริษัทอย่างไร
อาจารย์ไพบูลย์ให้ความเห็นว่า ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงmodelมากขึ้น
จะส่งผลดีต่อธุรกิจดีขึ้น แต่จะเห็นเมื่อไหร่ยังบอกไม่ได้
6.การปรับราคา มีความคืบหน้าอย่างไร
คุณวรัญญู ตอบว่า ได้ปรับราคาตั้งแต่กลางเดือนสค ปี63จาก8,000เป็น 9,000บาท
คู่แข่งบางรายคิดแพงกว่าเรา
แต่ก็กระทบต่อราคาสินค้าที่ส่งมาด้วย. เราจะสร้างความมั่นใจกับลูกค้าด้วยการให้บริการเพิ่ม
7.สอบถามความคืบหน้าของMarket. Place
ตอนนี้ยังไม่ได้ทำ และพื้นที่นั้นยังให้บริการลูกค้าอยู่
หลังจากประชุมจบ ทางบริษัทมีการตรวจCovid โดยวิธี
Rapid test ซึ่งเป็นการเจาะปลายนิ้วนาง ซึ่งผิวจะอ่อนเจาะง่าย
วิธีการดูผลคล้ายๆกับการตรวจการตั้งท้อง
ถ้าผลเป็นขีดเดียว ก็ไม่เป็น
ถ้าผล มีสองขีด ก็ท้อง เอ้ย ติดCovidครับ
แต่วิธีนี้รับรองผลแค่90%เอง
ผลก็ลองตรวจดูแล้ว ก็สดวกดีครับ เพราะตอนนี้หลายๆรพ
ก็ไม่รับตรวจ เนื่องจาก นำ้ยาหมด หรือ ห้องเต็ม
นอกจากนี้ยังมีการให้ของว่างทาน เหมือนไปบริจาคเลือดเลย
ต้องขอขอบคุณผู้บริหารมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3448
ตอนนี้เพื่อนดูแลสุขภาพกันดีๆนะครับ
Covidช่วงนี้ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากอังกฤษ ไม่แสดงอาการ
และติดง่ายขึ้น
คนที่ฉีดวัคซีนSinovac ก็อาจป้องกันไม่ได้ หรือ มีประสิทธิภาพต่ำในการป้องกัน
หลายๆจังหวัดก็มีมาตราการของตัวเอง สามารถกักตัวคนที่มาจากต่างถิ่นได้
ถึงแม้ทางการไม่ได้ระบุกรุงเทพเป็นพื้นที่สีแดง
และให้ตรวจrapid test โดยเสียค่าตรวจเอง600บาท
ถ้าไม่พบก็ให้กักตรวจอยู่แต่ในบ้าน14วัน
พอพูดถึงการตรวจแบบrapid test พอดีได้มีโอกาสตรวจจาก
การประชุมAGM AUCT ทางบริษัทให้ตรวจพนักงานพอดี
เลยให้สิทธ์ผู้ถือหุ้นที่มีเข้าร่วมประชุม สมัครใจตรวจได้ฟรี
การตรวจCovid มี2วิธีเท่าที่ทราบ
แบบแรก คือ nasal swab ปั่นที่จมูก ผมเคยตรวจ
ใช้เวลา4ชม ขึ้นไปจึงจะทราบผล
แบบสองคือ Rapid test ซึ่งเป็นการเจาะปลายนิ้วนาง ซึ่งผิวจะอ่อนเจาะง่าย
วิธีการดูผลคล้ายๆกับการตรวจการตั้งท้อง
ถ้าผลเป็นขีดเดียว ก็ไม่เป็น
ถ้าผล มีสองขีด ก็ท้อง เอ้ย ติดCovidครับ
แต่วิธีนี้รับรองผลแค่90%เอง
ผลก็ลองตรวจดูแล้ว ก็สดวกดีครับ
เพราะตอนนี้หลายๆรพ
ก็ไม่รับตรวจ เนื่องจาก นำ้ยาหมด หรือ ห้องเต็ม
เผื่อเป็นอีกทางเลือกในช่วงที่คนแย่งกันตรวจมากช่วงนี้
และคนไข้มา รพ กันแน่นมาก อาจติดcovidตอนมารพ ก็ได้
Covidช่วงนี้ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากอังกฤษ ไม่แสดงอาการ
และติดง่ายขึ้น
คนที่ฉีดวัคซีนSinovac ก็อาจป้องกันไม่ได้ หรือ มีประสิทธิภาพต่ำในการป้องกัน
หลายๆจังหวัดก็มีมาตราการของตัวเอง สามารถกักตัวคนที่มาจากต่างถิ่นได้
ถึงแม้ทางการไม่ได้ระบุกรุงเทพเป็นพื้นที่สีแดง
และให้ตรวจrapid test โดยเสียค่าตรวจเอง600บาท
ถ้าไม่พบก็ให้กักตรวจอยู่แต่ในบ้าน14วัน
พอพูดถึงการตรวจแบบrapid test พอดีได้มีโอกาสตรวจจาก
การประชุมAGM AUCT ทางบริษัทให้ตรวจพนักงานพอดี
เลยให้สิทธ์ผู้ถือหุ้นที่มีเข้าร่วมประชุม สมัครใจตรวจได้ฟรี
การตรวจCovid มี2วิธีเท่าที่ทราบ
แบบแรก คือ nasal swab ปั่นที่จมูก ผมเคยตรวจ
ใช้เวลา4ชม ขึ้นไปจึงจะทราบผล
แบบสองคือ Rapid test ซึ่งเป็นการเจาะปลายนิ้วนาง ซึ่งผิวจะอ่อนเจาะง่าย
วิธีการดูผลคล้ายๆกับการตรวจการตั้งท้อง
ถ้าผลเป็นขีดเดียว ก็ไม่เป็น
ถ้าผล มีสองขีด ก็ท้อง เอ้ย ติดCovidครับ
แต่วิธีนี้รับรองผลแค่90%เอง
ผลก็ลองตรวจดูแล้ว ก็สดวกดีครับ
เพราะตอนนี้หลายๆรพ
ก็ไม่รับตรวจ เนื่องจาก นำ้ยาหมด หรือ ห้องเต็ม
เผื่อเป็นอีกทางเลือกในช่วงที่คนแย่งกันตรวจมากช่วงนี้
และคนไข้มา รพ กันแน่นมาก อาจติดcovidตอนมารพ ก็ได้
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3449
AGM TU 5 Apr 2021 14.00 E-AGM
มีผู้ประชุมมาด้วยตนเอง 30 คน
รับมอบฉันทะ 770 คน
รวม 800 คน คิดเป็นจำนวนหุ้น 52.4919%
วาระที่3 พิจารณาอนุมัติงบการเงินสำหรับปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธค 2563
รายได้รวม
ในไตรมาสที่ 4/2563 บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด มหาชน (บริษัทฯ) รายงานยอดขายเพิ่มขึ้น1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4/2562 มาอยู่ที่ 33,464 ล้านบาท โดยมาจากยอดขายกลุ่ม สินค้าธุรกิจอาหารทะเลแปร รูปเติบโตกว่า 8.8% จากปีก่อนเนื่องจากปริมาณการขายที่ปรับเพิ่มขึ้น 6.9% ยอดขายธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม และ อื่นๆปรับเพิ่มขึ้น8.0%โดยยอดขายรวมปี2563ปรับเพิ่มขึ้น 4.9%มา อยู่ที่ 132,402 ล้านบาท
กําไรขั้นต้น
เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น และมี สัดส่วนยอดขายที่ปรับดีขึ้นรวมถึงความต้องการสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง เพิ่มขึ้นทั้งในตลาดในประเทศและส่งออกส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส4/2563ยังอยู่ในระดับสูงที่18.0%ปรับเพิ่มขึ้น 1.9%เมื่อเทียบกับปีก่อน ดังนั้น บริษัทรายงานตัวเลขกำไรขั้นต้นไตรมาส 4/2563 ที่ 6,023ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13.9%จากปีก่อนหน้ากำไรขั้นต้นปี2563 อยู่ที่ 23,418ล้านบาทปรับเพิ่มขึ้น 16.4%
กําไรจากการดําเนินงาน
บริ ษัทรายงานกำไร Q4 จากการดำเนินงาน 1,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.1% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากกาไรขั้นต้นที่ ปรับสูงขึ้น อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายอยู่ที่ 12.2% เมื่อเทียบกับ 11.4% ในไตรมาส 4/2562 ค่าใช้จ่ายการบริหารที่ปรับสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจาก ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายในการลงทุนในแบรนด์และ ต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น กำไรจากการดำเนินงานปี 2563 อยู่ที่ 7,821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น38.6%จากปีก่อนหน้า
กําไรสุทธิ
บริษัทฯรายงานกำไรสุทธิไตรมาส4/2563ปรับเพิ่มสูงขึ้นถึง38%จาก ปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1,457 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจหลัก แข็งแกร่ง บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิสูงกว่าระดับ 6 พันล้านบาทเป็น ครั้งแรกในประวัติการณ์ที่6,246ล้านบาทปรับเพิ่มขึ้น 64%จากปี ก่อนหน้าโดยแม้หักค่าใช้จ่ายทางกฎหมายในประเทศสหรัฐอเมริกาใน ปี2562จำนวน 1,402ลบ
กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปรกติก็ยังเพิ่มขึ้น 20%จากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 5,217ลบ ไม่รวมone time loss.
วาระที่4 พิจารณาและอนุมัติจัดสรรกำไรสุทธิสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี2563
บริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลสาหรับผลการดาเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี2563มูลค่า0.40บาทต่อหุ้น
ส่งผลให้อัตราการจ่ายเงินปันผลทั้งปีอยู่ที่ 0.72บาทต่อหุ้น (เพิ่มขึ้นจาก0.47บาทต่อหุ้นในปี2562)
วาระที่8 พิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิข้อ3ตามมาตรา31 ข้อ54
สรุป เห็นด้วย 99.9998%
วาระที่9 พิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟิดมิลล์ จำกัด(มหาชน)
หรือ TFM ให้กับกรรมการ ผู้บริหาร และหรือ พนักงานของบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟิดมิลล์ จำกัด(มหาชน)
คะแนนเสียง ไม่อนุมัติเนื่องจากคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยเกิน 10% มตินี้เลยไม่ผ่าน
เห็นด้วย 89.9321%
ไม่เห็นด้วย 10.0607%
วาะที่10 เรื่องอื่นๆ
Q&A
1. อยากสอบถามความคืบหน้าของการร่วมทุนกับสองบริษัทคือ IPและไทยเบฟ
ตอบว่า การร่วมทุนกับทั้งสองบริษัท ถือเป็นสัดส่วนค่อนข้างเล็กมาก รายได้ไม่มีผลต่อบริษัท
การJV IP โดยการนำอาหารเสริมมาขายผ่านช่องทางโรงพยาบาลที่ทางIPเชี่ยวชาญ สินค้าสามารถออกขายได้
ในอีกสามเดือนข้างหน้า
ส่วนการJV กับไทยเบฟ นั้น ร่วมมือกันผลิตสินค้าเครื่องดื่มสุขภาพ อยู่ในช่วงสร้างโรงงาน
ปีหน้าออกสินค้าได้
2. บริษัทบอกว่ากำไรจะโต17% ทั้งที่รายได้โตแค่5%ทำได้อย่างไร
คุณช้างตอบว่า ไม่ได้บอกว่ากำไรสุทธิโต17% แต่เป็นGP น่าจะอยู่ที่17% ขณะที่รายได้โต5%ครับ
(ดูที่GP ปี 63 ประมาณ 18%ของยอดขาย)
มีผู้ประชุมมาด้วยตนเอง 30 คน
รับมอบฉันทะ 770 คน
รวม 800 คน คิดเป็นจำนวนหุ้น 52.4919%
วาระที่3 พิจารณาอนุมัติงบการเงินสำหรับปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธค 2563
รายได้รวม
ในไตรมาสที่ 4/2563 บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด มหาชน (บริษัทฯ) รายงานยอดขายเพิ่มขึ้น1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4/2562 มาอยู่ที่ 33,464 ล้านบาท โดยมาจากยอดขายกลุ่ม สินค้าธุรกิจอาหารทะเลแปร รูปเติบโตกว่า 8.8% จากปีก่อนเนื่องจากปริมาณการขายที่ปรับเพิ่มขึ้น 6.9% ยอดขายธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม และ อื่นๆปรับเพิ่มขึ้น8.0%โดยยอดขายรวมปี2563ปรับเพิ่มขึ้น 4.9%มา อยู่ที่ 132,402 ล้านบาท
กําไรขั้นต้น
เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น และมี สัดส่วนยอดขายที่ปรับดีขึ้นรวมถึงความต้องการสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง เพิ่มขึ้นทั้งในตลาดในประเทศและส่งออกส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส4/2563ยังอยู่ในระดับสูงที่18.0%ปรับเพิ่มขึ้น 1.9%เมื่อเทียบกับปีก่อน ดังนั้น บริษัทรายงานตัวเลขกำไรขั้นต้นไตรมาส 4/2563 ที่ 6,023ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13.9%จากปีก่อนหน้ากำไรขั้นต้นปี2563 อยู่ที่ 23,418ล้านบาทปรับเพิ่มขึ้น 16.4%
กําไรจากการดําเนินงาน
บริ ษัทรายงานกำไร Q4 จากการดำเนินงาน 1,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.1% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากกาไรขั้นต้นที่ ปรับสูงขึ้น อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายอยู่ที่ 12.2% เมื่อเทียบกับ 11.4% ในไตรมาส 4/2562 ค่าใช้จ่ายการบริหารที่ปรับสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจาก ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายในการลงทุนในแบรนด์และ ต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น กำไรจากการดำเนินงานปี 2563 อยู่ที่ 7,821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น38.6%จากปีก่อนหน้า
กําไรสุทธิ
บริษัทฯรายงานกำไรสุทธิไตรมาส4/2563ปรับเพิ่มสูงขึ้นถึง38%จาก ปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1,457 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจหลัก แข็งแกร่ง บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิสูงกว่าระดับ 6 พันล้านบาทเป็น ครั้งแรกในประวัติการณ์ที่6,246ล้านบาทปรับเพิ่มขึ้น 64%จากปี ก่อนหน้าโดยแม้หักค่าใช้จ่ายทางกฎหมายในประเทศสหรัฐอเมริกาใน ปี2562จำนวน 1,402ลบ
กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปรกติก็ยังเพิ่มขึ้น 20%จากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 5,217ลบ ไม่รวมone time loss.
วาระที่4 พิจารณาและอนุมัติจัดสรรกำไรสุทธิสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี2563
บริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลสาหรับผลการดาเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี2563มูลค่า0.40บาทต่อหุ้น
ส่งผลให้อัตราการจ่ายเงินปันผลทั้งปีอยู่ที่ 0.72บาทต่อหุ้น (เพิ่มขึ้นจาก0.47บาทต่อหุ้นในปี2562)
วาระที่8 พิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิข้อ3ตามมาตรา31 ข้อ54
สรุป เห็นด้วย 99.9998%
วาระที่9 พิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟิดมิลล์ จำกัด(มหาชน)
หรือ TFM ให้กับกรรมการ ผู้บริหาร และหรือ พนักงานของบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟิดมิลล์ จำกัด(มหาชน)
คะแนนเสียง ไม่อนุมัติเนื่องจากคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยเกิน 10% มตินี้เลยไม่ผ่าน
เห็นด้วย 89.9321%
ไม่เห็นด้วย 10.0607%
วาะที่10 เรื่องอื่นๆ
Q&A
1. อยากสอบถามความคืบหน้าของการร่วมทุนกับสองบริษัทคือ IPและไทยเบฟ
ตอบว่า การร่วมทุนกับทั้งสองบริษัท ถือเป็นสัดส่วนค่อนข้างเล็กมาก รายได้ไม่มีผลต่อบริษัท
การJV IP โดยการนำอาหารเสริมมาขายผ่านช่องทางโรงพยาบาลที่ทางIPเชี่ยวชาญ สินค้าสามารถออกขายได้
ในอีกสามเดือนข้างหน้า
ส่วนการJV กับไทยเบฟ นั้น ร่วมมือกันผลิตสินค้าเครื่องดื่มสุขภาพ อยู่ในช่วงสร้างโรงงาน
ปีหน้าออกสินค้าได้
2. บริษัทบอกว่ากำไรจะโต17% ทั้งที่รายได้โตแค่5%ทำได้อย่างไร
คุณช้างตอบว่า ไม่ได้บอกว่ากำไรสุทธิโต17% แต่เป็นGP น่าจะอยู่ที่17% ขณะที่รายได้โต5%ครับ
(ดูที่GP ปี 63 ประมาณ 18%ของยอดขาย)
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3450
รู้หรือไม่? การวิดพื้นมีประโยชน์มากกว่าการสร้างกล้ามเนื้อ
14 เม.ย. 61 (13:14 น.)
การวิดพื้นหรือการดันพื้น (Push-up) น่าจะเป็นการออกกำลังกายขั้นพื้นฐานที่ใครๆ น่าจะรู้จักเป็นอย่างแรกๆ เนื่องจากเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องใช้อะไรเลย นอกจากแรงกายของตัวเองเท่านั้น
โดยปกติแล้ว การวิดพื้นนั้น เป็นการออกกำลังกายที่จะเน้นไปการสร้างกล้ามเนื้อหน้าอก แต่ก็สามารถปรับทิศทางการวางมือได้เช่นกัน ถ้าหากต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อในส่วนหัวไหล่หรือหลังแขน พร้อมกันนี้การออกกำลังกายด้วยการวิดพื้น หมายถึงการแสดงให้เห็นว่าร่างกายของคุณมีความแข็งแรงขนาดไหน
ขณะเดียวกันคนที่เริ่มมีอายุเยอะ การวิดพื้นยังมีประโยชน์ต่อผู้สูงวัยอย่างมาก เพราะการวิดพื้นจะช่วยทั้งในเรื่องของการช่วยเหลือตัวเอง และป้องกันตัวเอง จากการบาดเจ็บเพราะการล้ม เพราะจะทำให้เรามีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีเมื่อเราหกล้ม ส่วนบนของร่างกาย แขน อก ศอก จะป้องกันใบหน้าและศีรษะของเราให้ปลอดภัยจากการกระแทกพื้น ซึ่งท่าที่ป้องกันโดยอัตโนมัตินี้ จะเป็นท่าเดียวกับที่เราใช้กล้ามเนื้อชุดเดียวกันที่เราวิดพื้น อีกทั้งการวิดพื้นยังเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกแขนและข้อมือ ซึ่งเมื่อล้มลงตามปฏิกิริยาตอบสนอง เรามักจะเอามือหรือแขนปิดป้องศีรษะจนทำให้กระดูกข้อมือ หรือแขนหักได้ ตรงนี้ถ้าหากมีการออกกำลังกายด้วยการวิดพื้นบ่อยๆ กระดูกส่วนนี้จะแข็งแรงขึ้น และสามารถลดอาการหนักให้เบาลงได้
นอกจากนั้น นักวิจัยที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการชราของมนุษย์ บอกว่า การวิดพื้นไม่ใช่แค่การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่จะทำให้กล้ามเนื้อไม่ลีบเล็กลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อของเราจะลดลงทุกๆ ปี ผู้ชายช่วงอายุ 20 – 70 ปี กล้ามเนื้อจะหายไปถึง 30% ถ้าไม่ออกกำลังกาย แต่ถ้าออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะคงสภาพได้ดี ไม่ลดน้อยลง โดยในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการตั้งมาตรฐานความแข็งแกร่งของการวิดพื้นไว้ว่าผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี ควรจะต้องทำได้ถึง 27 ครั้งต่อเนื่อง
https://www.sanook.com/men/32217/
14 เม.ย. 61 (13:14 น.)
การวิดพื้นหรือการดันพื้น (Push-up) น่าจะเป็นการออกกำลังกายขั้นพื้นฐานที่ใครๆ น่าจะรู้จักเป็นอย่างแรกๆ เนื่องจากเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องใช้อะไรเลย นอกจากแรงกายของตัวเองเท่านั้น
โดยปกติแล้ว การวิดพื้นนั้น เป็นการออกกำลังกายที่จะเน้นไปการสร้างกล้ามเนื้อหน้าอก แต่ก็สามารถปรับทิศทางการวางมือได้เช่นกัน ถ้าหากต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อในส่วนหัวไหล่หรือหลังแขน พร้อมกันนี้การออกกำลังกายด้วยการวิดพื้น หมายถึงการแสดงให้เห็นว่าร่างกายของคุณมีความแข็งแรงขนาดไหน
ขณะเดียวกันคนที่เริ่มมีอายุเยอะ การวิดพื้นยังมีประโยชน์ต่อผู้สูงวัยอย่างมาก เพราะการวิดพื้นจะช่วยทั้งในเรื่องของการช่วยเหลือตัวเอง และป้องกันตัวเอง จากการบาดเจ็บเพราะการล้ม เพราะจะทำให้เรามีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีเมื่อเราหกล้ม ส่วนบนของร่างกาย แขน อก ศอก จะป้องกันใบหน้าและศีรษะของเราให้ปลอดภัยจากการกระแทกพื้น ซึ่งท่าที่ป้องกันโดยอัตโนมัตินี้ จะเป็นท่าเดียวกับที่เราใช้กล้ามเนื้อชุดเดียวกันที่เราวิดพื้น อีกทั้งการวิดพื้นยังเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกแขนและข้อมือ ซึ่งเมื่อล้มลงตามปฏิกิริยาตอบสนอง เรามักจะเอามือหรือแขนปิดป้องศีรษะจนทำให้กระดูกข้อมือ หรือแขนหักได้ ตรงนี้ถ้าหากมีการออกกำลังกายด้วยการวิดพื้นบ่อยๆ กระดูกส่วนนี้จะแข็งแรงขึ้น และสามารถลดอาการหนักให้เบาลงได้
นอกจากนั้น นักวิจัยที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการชราของมนุษย์ บอกว่า การวิดพื้นไม่ใช่แค่การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่จะทำให้กล้ามเนื้อไม่ลีบเล็กลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อของเราจะลดลงทุกๆ ปี ผู้ชายช่วงอายุ 20 – 70 ปี กล้ามเนื้อจะหายไปถึง 30% ถ้าไม่ออกกำลังกาย แต่ถ้าออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะคงสภาพได้ดี ไม่ลดน้อยลง โดยในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการตั้งมาตรฐานความแข็งแกร่งของการวิดพื้นไว้ว่าผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี ควรจะต้องทำได้ถึง 27 ครั้งต่อเนื่อง
https://www.sanook.com/men/32217/
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "