หน้า 12 จากทั้งหมด 26

news13/10/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 13, 2007 12:06 pm
โดย chartchai madman
ธปท. หมดทางจ่ายหนี้ 1 ล้านล้าน [ ฉบับที่ 836 ประจำวันที่ 13-10-2007 ถึง 16-10-2007]  
> ครม.ตัดมาตรา 16 เล็งออกก.ม.ล้างขาดทุน

ครม.อนุมัติตัดมาตรา16 พ.ร.บ.เงินตรา คลังห่วงธปท.เข้าตาจน หมดทางชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1 ล้าน ล้านบาท แถมดอกเบี้ยอีกปีละ 6 หมื่นล้านบาท กลายเป็นภาระงบประมาณของประเทศ ระบุที่ผ่านมาจ่ายดอกแทนธปท.ไปแล้ว 4.5 แสนล้านบาท ด้านแบงก์ชาติเสนอออกกฎหมายล้างขาดทุน หรือเพิ่มทุนธปท. ซึ่งเคยทำมาแล้วเมื่อปี 45 โดยใช้เงินทุนสำรองพิเศษของฝ่ายออกบัตรล้างหนี้

นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม คณะ รัฐมนตรีอนุมัติให้ถอนร่าง พ.ร.บ. เงินตราออกจากการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือสนช. เพื่อปรับปรุงถ้อยคำในกฎหมายให้เหมาะสมและครอบคลุมสถานการณ์มากขึ้น โดยเฉพาะให้ตัดมาตรา 16 ตาม ที่ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าการตัดมาตรา 16 ตามร่าง พ.ร.บ.เงินตรา ในส่วนเพิ่มเติมมาตรา 34/3 และ 34/4 ออกไป และมาตรา 34/2 ที่ตัดออกไปก่อนหน้านี้ จะส่งผลกระทบต่อการบริหารงานของแบงก์ชาติอย่างมาก โดยเฉพาะแผนล้างหนี้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 6 หมื่นล้านบาท โดยที่ผ่านมาคลังต้องตั้งงบประมาณชำระหนี้ดังกล่าวแทนแบงก์ชาติมาตลอด เนื่องจากธปท.ประสบ การขาดทุนจากการเข้าไปแทรกแซงค่าเงิน

ที่ผ่านมาเราต้องจ่ายดอก เบี้ยแทนแบงก์ชาติไปแล้วกว่า 4.5 แสนล้านบาท โดยปีนี้ตั้งงบใช้หนี้ 6 หมื่นล้านบาท และปี 51 ก็ต้องตั้งอีก 6 หมื่นล้านบาท โดยแบงก์ชาติไม่มีความสามารถ ใช้คืนหนี้เลย หากไม่แก้ไขกฎหมายเงินตรา เนื่องจากถูกล็อก ด้วยกฎหมายฉบับเดิม โดยบัญชี สำรองพิเศษให้รับแต่กำไร แต่ถ้าขาดทุนให้ใส่บัญชีผลประโยชน์ แหล่งข่าวกล่าว

ก่อนหน้านี้ธปท.วางแผนว่าจะหาเงินมาชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ให้ได้ตามแผน โดยแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรา เนื่องจากที่ผ่าน มาแบงก์ชาติขาดทุนมาตลอด จากการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท ทำให้ไม่มีเงินไปใช้หนี้ ดังนั้นจึงเสนอให้แก้ไขพ.ร.บ.เงินตรา เพิ่มมาตรา 34/2 เข้ามา ซึ่งกรณีนี้ให้อำนาจธปท.โอนสินทรัพย์จากบัญชีสำรองพิเศษ หรือบัญชีที่เก็บเงินบริจาคของหลวงตามหาบัวเข้ามาไว้ในบัญชีทุนสำรองเงินตรา หรืออีกนัยหนึ่งก็เพื่อหาเงินมาใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ หากแบงก์ชาติไม่มีกำไรจากบัญชีผลประโยชน์ ประจำปี

ส่วนมาตรา 34/3 และ 34/4 ที่แบงก์ชาติเสนอก็เพื่อช่วยให้สามารถนำเงินทุนสำรองไปหาผลประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม โดยการใช้สินทรัพย์ในบัญชีทุน สำรองเงินตรา บัญชีผลประโยชน์ประจำปี และบัญชีสำรองพิเศษ และการซื้อขายเงินตราล่วงหน้า เพื่อนำเงินไปชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ก็กำลังจะถูกตัดออกไป หลังจากที่ครม.อนุมัติแล้ว แบงก์ชาติก็จะไม่สามารถหาผลประโยชน์จากทุนสำรองได้เพิ่มขึ้นตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงาน ของธปท.จะขาดทุนต่อไปอีกปี ทำให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้นในขณะที่รายได้ลดลง

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วย ผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท.กล่าวว่าเสนอ วิธีแก้ไขเพื่อ ไม่ให้แบงก์ชาติขาดทุนสะสม คือ 1.การออกกฎหมายเพื่อล้างขาดทุนหรือรัฐเข้ามาเพิ่มทุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. เคยขาดทุนต่อเนื่อง กันประมาณ 5 ปีจนถึงปี 2545 ที่ได้มีการออกพระราชกำหนดให้นำเงินจากบัญชีทุนสำรองพิเศษ ของฝ่ายออกบัตรมาชดเชยส่วนที่ขาดทุนของฝ่ายการธนาคาร จึงสามารถล้างขาดทุนสะสมของ ธปท.ได้หมด นางสุชาดากล่าว

ทั้งนี้ ในปี 2549 แบงก์ชาติมีผลขาดทุนทั้งสิ้น 1.73 แสนล้านบาท แยกเป็น 2 ส่วน คือ ฝ่ายการธนาคาร ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ในการแทรกแซงดูแลค่าเงินบาท มีผลขาดทุน 99,727.5 ล้านบาท และที่เหลืออีก 73,272.5 ล้านบาท เป็นผลขาดทุนจากการตีราคาอัตราแลกเปลี่ยน ที่เกิดขึ้นในฝ่ายออกบัตรธนาคาร ซึ่งเกิดผลขาดทุนเพิ่มขึ้นจากการตีราคาทุนสำรองเงิน ตราที่ใช้ค้ำประกันการออกธนบัตร ส่วนในปี 50 ผู้บริหารธปท.ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะขาดทุนต่อกันอีกปี จากการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท ขณะที่พ.ร.บ.เงินตราก็ถูกตัดมาตราสำคัญออกไปทำให้เป็นการยากที่ธปท.จะสร้างกำไร

แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน หลังจากผ่านวาระแรกจากสนช. แล้ว คาดว่าจะมีการแก้ไขบางมาตราในชั้นกรรมาธิการ ที่หลายฝ่ายเรียกร้องโดยเฉพาะบทลงโทษกรรมการธนาคาร ที่ค่อนข้างรุนแรง อาทิ จำคุก 3 ปี ซึ่งจะมีการแก้ไขให้ปรับลดโทษลงมาให้เหมือนเดิม ขณะที่พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากและพ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสนช.ในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยคาดว่ากฎหมายการเงินส่วนใหญ่จะสามารถ พิจารณาทันภายในรัฐบาลนี้

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าว ถึงร่างแก้ไขพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ว่า แม้ ธอส. จะไม่เข้าข่ายพระราชบัญญัติดังกล่าว เนื่องจากเป็นธนาคารของรัฐ แต่ในฐานะที่ตนทำงานกับธนาคารพาณิชย์ เห็น ว่า มีการประกันเงินฝาก นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะ จะทำให้สถาบันการเงินมีความรับผิดชอบในการดำเนินงานและส่งผลให้สถาบันการเงินมีความมั่นคงและจำเป็นต้องใช้อัตราดอกเบี้ยในระดับสูง เพื่อเป็นการจูงใจ เนื่องจากอาจกลาย เป็นปัจจัยเสี่ยงได้
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=7674

news13/10/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 13, 2007 12:32 pm
โดย chartchai madman
ธปท.หารือนายแบงก์ แก้ปมช่วยเอสเอ็มอี

โพสต์ทูเดย์ ธปท.ใจอ่อนเรียกแบงก์มาหารือหาทางแก้ปัญหาการปล่อยกู้ในกองทุนช่วยเหลือสภาพคล่องเอสเอ็มอี 5 พันล้านบาท ไม่รับปากผ่อนกันสำรอง


นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าประมาณวันที่ 8-12 ต.ค. นี้ ธปท.จะเชิญผู้บริหารสถาบันการเงินและผู้แทนสมาคมธนาคารไทยมาหารือถึงปัญหาอุปสรรคในการปล่อยสินเชื่อในกองทุนเพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับ ผลกระทบจากค่าเงินบาท (กองทุนเอสเอ็มอี) 5 พันล้านบาท ที่มีปัญหาปล่อยกู้ได้ไม่มากเท่าที่ควร

นายสรสิทธิ์ กล่าวว่า ธปท.ต้องการทราบสาเหตุว่าที่แท้จริงที่สถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการนั้นเกิดจากสาเหตุอะไร เพื่อจะได้หาทางแก้ไขหรือผ่อนปรนต่อไปหากสามารถทำได้

ตอนนี้เรายังไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง แต่ทันที ที่รู้เรื่องจากหน้าหนังสือพิมพ์ ทาง นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. ซึ่งดูแลเรื่องนี้อยู่ ก็อยากให้เชิญทางผู้แทนสมาคมธนาคารไทยมาหารือด้วย ว่ามีปัญหาอะไร แล้วจะให้ ธปท.ช่วยอะไร หรือจะให้ผ่อนผันอะไรบ้าง จึงอยากให้สายกำกับสถาบันการเงินที่ดูแลกฎเกณฑ์มาร่วมรับฟังด้วยว่ามีเกณฑ์อะไรที่พอจะผ่อนผันให้ได้บ้างหรือไม่ นายสรสิทธิ์ กล่าว

นายสรสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ว่า ธปท.จะผ่อนเกณฑ์กันสำรองหนี้สำหรับการปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีตามมาตรฐาน IAS39 ให้เป็นการเฉพาะหรือไม่

เราต้องรับฟังปัญหาก่อน จึงจะบอกได้ ผู้บริหาร ธปท. กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากหลักเกณฑ์อะไรที่สามารถผ่อนผันให้ได้แล้วไม่เกิดผลกระทบต่อระบบ ธปท.ก็พร้อมจะผ่อนผันให้อยู่แล้ว เพราะต้องการให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าไป

ทั้งนี้ เงินกองทุนเอสเอ็มอี 5 พันล้านบาท เป็นเงินสมทบจาก ธปท. 2.7 พันล้านบาท และสมาคมธนาคารไทยสมทบ 2.3 พันล้านบาท ซึ่งเตรียมไว้ปล่อยกู้กลุ่มลูกค้าที่ ขาดสภาพคล่อง 4.5 พันล้านบาท ส่วนอีก 500 ล้านบาท เตรียมไว้ปล่อยกู้เอสเอ็มอีที่มีปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง หรือพวกที่เป็นหนี้ด้อยคุณภาพ

แหล่งข่าวจากสถาบันการเงินชี้แจงว่า ปัญหาเรื่องนี้อยู่ที่ว่า ธปท. รู้ว่าสินเชื่อที่จะปล่อยกู้ออกไปให้ กับลูกค้าแต่ละรายนั้นมีความเสี่ยงมาก เนื่องจากลูกหนี้ที่จะเข้ามาตามโครงการนี้ 99% คือมีปัญหาสภาพคล่อง ขาดทุน และมีโอกาสที่จะเป็นหนี้เสีย 80-90% รัฐบาลจึงต้องการช่วยให้ผู้ประกอบการเหล่านี้มีทางรอดในการสู้กับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน

ปัญหาจึงเกิดขึ้นในการปฏิบัติ เนื่องจากหากปล่อยกู้ไปแล้วมีหนี้เสียเกิดขึ้น ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการต้องตั้งสำรองลูกหนี้ที่ปล่อยกู้ถึง 100% ตามเกณฑ์ IAS39 ทำให้ไม่มีสถาบันการเงินรายใดกล้าปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้เอสเอ็มอีที่กำลังจมน้ำ แต่จะเลือกปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่ดี แต่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน

ดังนั้น สมาคมธนาคารไทย จึงเสนอเรื่องในที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม เพื่อต้องการให้ ธปท.ผ่อนผันการกันสำรองมากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=197202

news13/10/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 13, 2007 1:23 pm
โดย chartchai madman
บจ.กำเงินสด2.6แสนล.ลุยหุ้น เน้นปันผลทิ้งลงทุนเรียลเซ็กเตอร์

เปิดตัวเลขบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีแรกกำเงินสดกว่า 2.6 แสนล้าน เมินขยายการลงทุนธุรกิจ แต่ลุยบริหารพอร์ตต่อ ยอดต่อเงินซื้อหุ้น-ตราสารหนี้-กองทุนต่างประเทศ ระบุได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เผยกำไรลดลงแต่จ่ายปันผลมากขึ้น แจงกลุ่ม ผู้ถือหุ้นที่แฮปปี้สุดๆ ได้แก่วัสดุ ก่อสร้าง สื่อสาร ปิโตรเคมี พลังงาน ด้าน เจ.พี.มอร์แกนเชสวิเคราะห์ "ประชาธิปัตย์" เป็นรัฐบาลลงทุนกระฉูด 1 ล้านล้านบาท การบริโภคกระเตื้อง เศรษฐกิจไปโลด

แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนให้ความเห็นว่า ในขณะนี้บริษัทจดทะเบียนมีเงินสดเหลือจำนวนมาก ส่วนใหญ่ไม่นำไปขยายการลงทุน เช่นเดียวกับความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่มองว่ากระแสเงินสดของบริษัทจดทะเบียนเหลือจำนวนมาก ส่วนใหญ่ไม่ขยายการลงทุนแต่นำไปจ่ายเป็นเงินปันผลแทน ดูได้จากอัตราการจ่ายเงินปันผลของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ บางกลุ่มจ่ายปันผลสูงกว่าและใกล้เคียงกับปันผลเฉลี่ยของตลาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการคาดการณ์การจ่ายเงินปันผลของ เจ.พี. มอร์แกนเชส ปีนี้ปันผลเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ 3.5% และปีหน้าคาดว่าจะสูงขึ้นอีกเฉลี่ย 3.8% (ถ้ารวมกลุ่มแบงก์และพลังงาน ปันผลตลาดเฉลี่ย 4.1% ปีหน้า 4.5%), กลุ่มแบงก์ปีนี้ 2.6% ปีหน้า 3.1%, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 5.7% ปีหน้า 5.8%, กลุ่มปิโตรเคมี 3.2% ปีหน้า 3.5%, กลุ่มสื่อสาร 5.2% ปีหน้า 5.6%, กลุ่มพลังงาน 3.3% ปีหน้า 3.5%, กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ 2.6% ปีหน้า 2.9% และกลุ่มขนส่ง 3.2% ปีหน้า 3.1%

นอกจากนี้จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่าตั้งแต่ปี 2549 มาถึงปีนี้ บริษัทจดทะเบียนรวม (บจ.) เริ่มมีผลดำเนินงานที่ลดลงตามอัตราการเติบโตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยปี 2548 มีกำไรสุทธิ 537,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากปี 2547 ทำให้ บจ.มีการจ่ายเงินปันผลสูงถึง 161,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 8% จากปี 2547 โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 4% แต่ในปี 2549 พบว่า บจ.มีกำไรสุทธิ 229,400 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ บจ.กลับมีการจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 178,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.37% โดยคิดเป็นอัตราปันผลตอบแทน 4.40% ขณะที่ปีนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า กำไร บจ.มีแนวโน้มปรับลดลง หลังจากที่ต้นทุนการผลิตต่างๆ ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งราคาน้ำมัน และค่าเงินบาท ขณะที่ภาวะการบริโภคที่ชะลอ ทำให้ลดการลงทุนหลังเห็นอัตรากำไรขั้นต้นลดลง และส่วนใหญ่ก็คาดว่า บจ.จะมีการจ่ายปันผลอยู่ระดับดี เนื่องจากมีเงินสดสุทธิที่อยู่ระดับดี

กระแสเงินสดทะลักกว่า 2.6 แสน ล.

นายพรเทพ ชูพันธุ์ เศรษฐกรอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ ให้ความเห็นถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานของ บจ.ว่า แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้มีโอกาสต่ำกว่าปี 2549 หลังจากที่เห็นตัวเลขครึ่งปีแรกปีนี้ บจ.มีกำไรอยู่ที่ 229,400 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยพบว่า บจ.ขยายการลงทุนลดน้อยลง โดยข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯชี้ให้เห็นว่าครึ่งปีแรก บจ.มีกระเสเงินสดจากการดำเนินงานเข้ามาประมาณ 262,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 224,000 ล้านบาท ขณะที่กระแสเงินสดที่ใช้ในการลงทุนอยู่ที่ 174,600 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 5.24% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 165,900 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า บจ.มีกระแสเงินสดเป็นบวกมากขึ้น

"ภาพรวมกระแสเงินสดรับมากกว่าลงทุน ตรงนี้ก็ชี้ว่า บจ.มีความสามารถในการชำระหนี้มากขึ้น ซึ่งตัวเลขไตรมาสที่ 1/2550 อยู่ที่ 7.06 เท่า สูงกว่าปีที่แล้ว ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ระดับต่ำต่อเนื่อง โดยล่าสุดไตรมาสที่ 2/2550 ลงมาต่ำที่ 1.09% สะท้อนว่า บจ.มีความเสี่ยงทางการเงินต่ำมาก ขณะเดียวกันเขาก็ระมัดระวังการลงทุนกันมาก ซึ่งจะเห็นได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของ บจ. ซึ่งปกติจะเป็นการขยายกำลังการผลิตนั้น ปรากฏว่าในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมาสินทรัพย์ถาวรลดลง 9.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งลดลงเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มทรัพยากร ลดลงมากสุด"

นายพรเทพกล่าวว่า หากดูตัวเลขเงินสดสุทธิของ บจ.เฉพาะในไตรมาสที่ 2/2550 จะติดลบ เนื่องจากว่าแม้ บจ.มีเงินสดรับจากการดำเนินงานสูงมากประมาณ 115,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.65% จากไตรมาสที่ 2/2549 ที่อยู่ 88,700 ล้านบาท แต่มีการใช้จ่ายเงินสดสูงถึง 129,400 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการจ่ายปันผล (งวดกำไรปี 2548) เป็นส่วนใหญ่จำนวนถึง 76,700 ล้านบาท ขณะที่ใช้สำหรับลงทุนเพียง 52,700 ล้านบาท เท่ากับว่าในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา บจ.มีการใช้เงินสดที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ (ไตรมาสที่ 1) ซึ่งสะท้อนได้ว่าในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา บจ.มีเเงินสดในมือน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามหากรวมตัวเลขเงินสดสุทธิในไตรมาสที่ 1 และ 2 แล้ว ยังทำให้มีกระแสเงินสดสุทธิเป็นบวกอยู่

ไม่สนขยายการลงทุนลุยหุ้น-ตราสารหนี้

ทางด้านนายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทจะมีการตั้งงบฯลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ปีละ 100 ล้านบาท เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่มาก กว่าการฝากดอกเบี้ยในธนาคาร ที่ปัจจุบันให้อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ ขณะที่เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้น และตราสารหนี้ จะให้ผลตอบแทนที่มากกว่า โดยบริษัทตั้งเป้าคาดหวังผลตอบแทนอยู่ที่ 5-7% ต่อปี ซึ่งก็จะมีฝ่ายด้านการลงทุนของบริษัทเป็น ผู้ดูแลการลงทุนโดยเฉพาะ

สำหรับพอร์ตการลงทุนจะแบ่งไปลงทุนโดยตรงในตราสารหนี้ และลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคลแทนในตลาดหุ้น เนื่องจากจะมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีกว่าให้กับบริษัท

นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ถ้าเทียบจากฐานลูกค้ากองทุนของส่วนบุคคลของบริษัทถือว่ามีสัดส่วนลูกค้าบริษัทจดทะเบียนค่อนข้างน้อย เนื่องจากกลุ่มบริษัทพวกนี้สามารถที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนได้เองโดยตรง ขณะลูกค้าที่เข้ามาให้บริษัทเป็นผู้จัดการกองทุนจะเป็นกลุ่มมูลนิธิ สหกรณ์ 50% และมหาวิทยาลัย 50% เพราะนักลงทุนกลุ่มนี้ยังไม่มีความชำนาญในการลงทุนเพียงพอ และไม่ได้ใกล้ชิดกับตลาด จึงใช้บริการกองทุนดีกว่า

นางสาวรัตนวรรณ แสงกิติโกมล ผู้ช่วย ผู้จัดการ กองทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ลูกค้ากลุ่มบริษัทจดทะเบียนมีหลายบริษัทที่ให้ บลจ.อเบอร์ดีน เป็น ผู้จัดการไปลงทุนให้ในต่างประเทศ จากการที่ทางการเปิดทางให้สามารถไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ และ บลจ.อเบอร์ดีนมีเครือข่ายครอบคลุมการลงทุนทั่วโลก ซึ่งก็ส่งผลทำให้กองทุนต่างประเทศของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 30% ปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่ 8,826 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทขนาดใหญ่ต้องการผลตอบแทนจากส่วนต่างดอกเบี้ยต่างประเทศ และต้องการลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีความชำนาญพอจึงอาศัยกองทุนไปลงทุนให้แทน

ตลาดหุ้นปีหน้ากระทิงมาแน่

ส่วนมุมมองต่อการลงทุนในไทย ทาง บลจ. อเบอร์ดีนยังเห็นว่าหุ้นไทยยังถูกและน่าลงทุนในช่วงระยะกลางถึงยาว จากปัจจุบัน P/E ไทยถูกกว่าประเทศอื่นในแถบเดียวกัน 15-20% ซึ่งถ้ายังมีการจัดการเลือกตั้งเกิดขึ้น มีรัฐบาลชุดใหม่ที่ไม่ใช่รัฐบาลปฏิวัติมาบริหารโครงการต่างๆ ให้เดินหน้าต่อไป ก็จะทำให้ภาพการลงทุนดีขึ้น จากปัจจุบันที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เดินหน้าการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ไทยว่างเว้นการ บริหารงานไปถึง 1 ปี ส่วนการลงทุนในระยะสั้นๆ ยังต้องให้น้ำหนักไปที่การเมืองที่ถ้าเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นก็จะกระทบความเชื่อมั่นการลงทุนทันที

สอดรับกับงานวิจัยของ เจ.พี.มอร์แกน ที่มอง ว่าการเลือกตั้งปีหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะได้เสียงมากสุด และมองว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ตลาดหุ้นก็ดีขึ้น เนื่องจากจะมีโครงการลงทุนจากทั้งภาครัฐและรัฐวิสาหกิจกว่า 1 ล้านล้านบาท ทำให้การลงทุนและการบริโภคดีขึ้นตามมา และมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังสามารถลดลงได้อีก

ขณะที่ นายคีธ เนรูตา ผู้อำนวยการฝ่าย วิเคราะห์หลักทรัพย์สำหรับประเทศไทยของยูบีเอส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยติดอยู่ในกรอบการซื้อขายช่วงแคบๆ มาตั้งแต่ปี 2547 และพบว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดของส่วนลดราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ในเอเชีย ซึ่งเมื่อต้นปี 2547 ตลาดมี่ดิสเคานต์ประมาณ 10% แต่ปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 33% แม้ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยจะยังมีความเสี่ยงจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนตัว โดยเฉพาะการบริโภคและลงทุนส่วนบุคคล แต่ก็เห็นสัญญาณค่อนข้างดีจากยอดขายรถยนต์ ที่เริ่มชี้ให้เห็นการฟื้นตัวการบริโภคดีขึ้น

"แม้ว่าเราจะไม่แน่ใจในผลการเลือกตั้งที่จะมาถึง แต่เราก็มั่นใจว่าการเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นตลาด และคาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะได้รับการยอมรับเชิงบวกมากขึ้น จึงปรับมุมมองตลาดหุ้นไทย จะเคลื่อนไหวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ดัชนีจะเพิ่มขึ้นเป็น 922 จุด" นายคีธกล่าว
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201

news13/10/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 13, 2007 5:49 pm
โดย chartchai madman
รัฐ-เอกชนมอง เศรษฐกิจไทย ปี2551กระเตื้อง  
รัฐ-เอกชนมั่นใจปี2551 มีหลายปัจจัยดึงเศรษฐกิจไทยเชิดหัว ไล่ตั้งแต่ผลพวงจากการเลือกตั้ง ผลประโยชน์ที่เกิดจากข้อตกลง JTEPA รวมถึงการลงทุนที่อั้นไว้ และบริโภคจะคึกคักขึ้น"จักรมณฑ์"เตือนให้ระวังแรงเหวี่ยงปีหน้าจากปัจจัยภายนอก ภาคส่งออกตีปีกบาทเริ่มนิ่ง มีเสถียรภาพ

นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี2551 คาดว่ามีแนวโน้มและอัตราการขยายตัวที่ดี
กว่าปี2550 อย่างแน่นอน หลังจากมีความชัดเจนทางการเมือง โดยเฉพาะจะมีการเลือกตั้งเร็วๆนี้

ทั้งยังได้แรงหนุนจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA)ทำให้การลงทุนที่อั้นไว้มานานแล้วจะเริ่มทยอยลงทุนได้ในปีหน้า ส่วนในแง่การจับจ่ายใช้สอยจะคึกคักขึ้น การส่งออกถ้าดูจากปีนี้ก็น่าจะเป็นตัวส่งที่ทำให้ปีหน้ามีสัญญาณที่ดียิ่งขึ้นไปอีก

"ปีนี้ที่พูดกันว่าเศรษฐกิจไม่ดี เพราะการลงทุนจริงเกิดขึ้นน้อยมาก ขณะที่กำลังซื้อลดลงเพราะคนไม่จับจ่ายใช้สอย ฉนั้นถ้าจีดีพีปีนี้ โต4.5% ปีหน้าจีดีพีก็ต้องโต5% ขึ้นไป เพราะอย่าลืมว่าปีนี้ภาคผลิตได้ใช้กำลังผลิตไปเต็มที่แล้ว มีการเร่งส่งออกเช่น การส่งออกรถยนต์ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการส่งออกมากกว่าใช้ในประเทศ ขณะที่โครงการลงทุนด้านปิโตรเคมีที่จะได้รับอนุมัติในปีนี้ก็น่าจะมีหลายโครงการก่อสร้างได้แล้ว "

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่มองว่าภาคเอกจะต้องเผชิญและส่งผลกระทบต่อการลง

ทุนของภาคอุตสาหกรรมที่ต้องจับตาจากนี้อยู่ที่ ปัจจัยภายนอกทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต กลายเป็นลูกโซ่ฉุดภาคส่งออกที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักฉุดเศรษฐกิจไทยให้หดตัวตาม

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญคือ กฎหมายที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เช่นกฎหมายภาษีศุลกากรที่ยังไมแน่นอนทำให้นักลงทุนยังมีความกังวลเห็นได้จากปัญหาการจัดเก็บภาษีของเหล็กซิลิคอน

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า

หากไม่ยกประเด็นทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง การทำธุรกิจในปี2551 จะมีสัญญาณบวกเกิดขึ้นอย่างน้อยภาพรวมทางเศรษฐกิจจะไม่ตกต่ำไปกว่าปีนี้แน่นอน เพราะจะมีเรื่องการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ในขณะที่งบประมาณรายจ่าย ประจำปี2551 ก็ทยอยออกมาใช้

โดยเฉพาะงบประมาณระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่เซ็นสัญญาปีนี้ก็จะเห็นผลในปีหน้า

สำหรับผู้ประกอบการที่ผลิตเพื่อการส่งออก หากค่าเงินบาทมีเสถียรภาพโดยคงระดับ 34.2-34.3ต่อเนื่องมาหลายเดือนแบบนี้ จะเป็นผลดีต่อการส่งออก เนื่องจากค่าเงินบาทไม่แกว่งมาก เห็นได้จากเวลานี้ไม่มีภาคเอกชนออกมาโวยวาย หากสัญญาณแบบนี้ถ้าต่อเนื่องไปถึงปีหน้าก็จะเป็นผลดียิ่งขึ้นไปอีก

นายกิตติ ชัยวัฒนาธร กรรมการผู้จัดการบริษัท เอคโค่ (ประเทศไทย) จำกัด(บจก.) บริษัทในเครือ เอคโค่ ประเทศเดนมาร์ก ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้ายี่ห้อ"ECCO" รายใหญ่
ที่ลงทุนอยู่ในประเทศไทยกล่าวว่า ขณะนี้นักลงทุนส่วนใหญ่จะเริ่มมองออกแล้วว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะหากมีการเลือกตั้งขึ้นตามที่รัฐบาลประกาศไว้ ก็มั่นใจได้ว่าการลงทุนใหม่จะคึกคักขึ้น

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)แจ้งว่า สถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่มกราคม-กันยายน ปี 2550 มีโครงการยื่นขอส่งเสริมฯ 959โครงการเงินลงทุน 446,100 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมีโครงการยื่นขอบีโอบีจำนวน 955 โครงการ เงินลงทุน 362,300 ล้านบาท โดยการรับขอส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีการขยายตัวทั้งจำนวนโครงการและเม็ดเงินลงทุน โดยบางโครงการจะเกิดการลงทุนจริงในปี2551 โดยเฉพาะการลงทุนด้านปิโตรเคมี ยานยนต์ ซึ่งเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ (อ่านต่อหน้า8 "ทุนปิโตรเคมีโด๊ปศก.แล้ว 9เดือนบีโอไออนุมัติกว่าแสนล้าน")
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2260

news13/10/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 13, 2007 5:56 pm
โดย chartchai madman
สินค้าจ่อคิวขึ้นราคา! +เรียงหน้าขอพาณิชย์อนุญาต กลุ่มขบเคี้ยว'โก๋แก่'อ้างทุนสินค้าหลักพุ่ง  
ผู้บริโภคจุก สินค้าอุปโภคบริโภคนอกบัญชีควบคุมเตรียมจ่อคิวขึ้นราคา เหตุต้นทุนพุ่งไม่หยุด ด้านขนมขบเคี้ยวโก๋แก่/แป้งโกกิ สำลักต้นทุนพุ่งรายวัน ตั้งท่าขยับราคาในอนาคตอันใกล้ ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมย้อมผมแบรนด์เนมขยับราคาแล้ว 7-8%

จากกรณีที่ผู้ประกอบการจำนวน 30 รายได้ขอยื่นปรับราคาสินค้ากับกรมการค้าภายใน โดยมีสินค้า 14 ชนิดที่ยื่นรายละเอียดไปแล้ว อาทิ น้ำมันพืช ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง เนื่องจากสินค้าดังกล่าวประสบกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นจน ประกอบกับราคาแก๊สหุงต้มที่จะปรับขึ้นอีก 2 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถอั้นราคาไว้ได้ และการจากการยื่นขอปรับราคา ไม่เพียงแต่เฉพาะสินค้าที่อยู่ในกลุ่มควบคุมดูแลของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้นที่จะขยับราคา แต่สินค้าอื่นๆ ก็มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นราคาเช่นกัน

ทั้งนี้นายมงคล สินปัญญาวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท โรงงานแม่รวย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวภายใต้แบรนด์โก๋แก่ ,ปิ้ง ปิ้ง,แบรี่ เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะปรับขึ้นราคาสินค้าหรือไม่ แต่มีแนวโน้มว่าอาจจะขยับราคาขึ้น เนื่องจากขณะนี้ต้นทุนสินค้าหลักได้ปรับสูงขึ้นกว่า 20% โดยเฉพาะต้นทุนราคาถั่วลิสงที่ปรับตัวสูงขึ้นจากเดิมราว 40 บาทต่อกิโลกรัม และราคาน้ำมันปาล์มที่ปรับขึ้นสูงกว่า 50% ซึ่งบริษัทจะมีการประชุมเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาข้อสรุป

ด้านนายฉมาดล เชิงชมแพทย์ รองประธานกรรมการ และผู้อำนวยการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท มาลินีฟูดโปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแป้งชุบทอดโกกิ กล่าวว่า บริษัทมีแผนการปรับขึ้นราคาสินค้า แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะปรับขึ้นเป็นราคาเท่าใดและเมื่อใด เนื่องจากขณะนี้ราคาต้นทุนวัตถุดิบหลัก คือ แป้งสาลี มีการปรับราคาขึ้นแทบทุกสัปดาห์ ดังนั้นจึงต้องมีการพิจารณาถึงราคาที่เหมาะสมและอิงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปให้ได้มากที่สุด แต่การปรับราคาขึ้นนั้นจะต้องไม่กระทบกับผู้บริโภค และโครงสร้างของตัวแทนจัดจำหน่ายในปัจจุบัน

"ราคาต้นทุกหลัก คือ แป้งสาลีขณะนี้ปรับตัวเพิ่มสูงมาก และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ซึ่งตอนนี้บริษัทต้องพิจารณาต้นทุนว่าจะปรับขึ้นเป็นเท่าใด โดยต้นทุนที่ปัจจุบันมีการปรับตัวเฉลี่ยแล้วสูงกว่า 30% ทำให้บริษัทไม่สามารถที่ตรึงราคาต่อไปได้ แต่จะพยายามตรึงให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกทั้งการราคาที่จะปรับขึ้นนั้น จะต้องไม่เกินต้นทุกที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน"นายฉมาดล กล่าว
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2260

news15/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 15, 2007 2:31 pm
โดย chartchai madman
ญี่ปุ่นแห่เปิดบัญชีซื้อหุ้นไทย

โพสต์ทูเดย์ นักลงทุนญี่ปุ่นแห่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นผ่าน บล.ยูไนเต็ด พันบัญชี สภาพคล่องล้น-เยนแครี่เทรดหนุนเงินไหลเข้าเอเชียต่อ ญี่ปุ่น ซื้อกิจการไทยเพิ่ม


นายเจเรมี เหลียว กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูไนเต็ด (US) กล่าวว่า ขณะนี้มีลูกค้ารายย่อยชาวญี่ปุ่นมาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นผ่านบริษัทแล้วจำนวน 1 พันบัญชี ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากเพิ่งเริ่มทำการตลาดเมื่อเดือน มิ.ย. 2549 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในอนาคตสัดส่วนของผู้ลงทุนชาวญี่ปุ่นจะมีความสำคัญต่อธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ของบริษัทอย่างมาก

กรรมการผู้จัดการกล่าวว่า สาเหตุ ที่ทำให้ผู้ลงทุนชาวญี่ปุ่นสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยแม้ว่าจะเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงในการลงทุน แต่ถือว่าจะสร้างผลตอบแทนสูงสุดด้วย

อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดการณ์ว่า ภาวะการกู้เงินจากประเทศญี่ปุ่นที่มีต้นทุนต่ำเพื่อนำไปลงทุนต่อ (เยนแครี่เทรด) นั้นเชื่อว่าจะยังคงมีต่อไป เพราะธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ไม่น่าจะขึ้นดอกเบี้ยและทำให้ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำที่สุด ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ รวมถึงตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์นี้ด้วย

นอกจากนี้เชื่อว่าจะมีทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาซื้อกิจการในไทยเพิ่ม โดยธุรกิจที่อยู่ในความสนใจของทุนญี่ปุ่นประกอบด้วยธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นันแบงก์) ประกันภัย ธุรกิจบัตรเครดิต เป็นต้น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ขณะนี้พบว่ามีทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก เช่นการเข้ามาซื้อหุ้นบริษัท แคปปิตอล โอเค ของกลุ่มโอริกซ์จากประเทศญี่ปุ่น สาเหตุเป็นเพราะปัญหาสภาพคล่องที่ล้นโลกอยู่ในปัจจุบันนี้ ทำให้ผู้จัดการกองทุนหรือผู้ลงทุนสถาบันต้องหาแหล่งลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนสูงที่สุด ขณะที่การจะหาผลตอบแทนจากประเทศพัฒนาแล้วอย่างเช่นสหรัฐ ยุโรป หรือในประเทศญี่ปุ่น ทำได้ยากขึ้น

ทุนที่เคลื่อนย้ายทุกวันนี้เป็นเพราะสภาพคล่องที่มันล้นโลกอยู่ จะเห็นได้ว่าพอปัญหาซับไพรม์เกิดความชัดเจนขึ้นไม่ทันไร หุ้นต่างๆ ก็กลับมาทำสถิติสูงสุดอีก และขึ้นมาสู่ระดับก่อนเกิดซับไพรม์ในเวลาอันรวดเร็ว สภาพคล่องที่ล้นโลกทำให้คนต้องหาแหล่งสร้างผลตอบแทนที่ดี ขณะที่ผลตอบแทนในประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นหรือสหรัฐก็สู้ไทยไม่ได้ นายไพบูลย์ กล่าว

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในปีหน้าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าลงทุนอย่างมาก โดยคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะเติบโตสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ประมาณ 20% โดยได้นับรวมกลุ่มการเงินและธนาคารด้วย หากไม่รวมธุรกิจดังกล่าวจะเติบโตในอัตรา 15%

การขยายตัวที่สูง เพราะเทียบฐานกำไรที่ต่ำในปี 2550 ซึ่งคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะติดลบถึง 8%
ปี 2550 เป็นปีที่ธนาคารพาณิชย์ตั้งสำรองกันมาก แต่ปีหน้าทุกอย่างจะดีขึ้น โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งจะขจัดปัญหาการเมืองออกไป ทำให้มีการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน เศรษฐกิจจะมีการขยายตัวที่ดี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=197471

news15/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 15, 2007 2:36 pm
โดย chartchai madman
2เดือนเงินแห่ลุยนอก5.6หมื่นล.

โพสต์ทูเดย์ นักลงทุนขนเงินลงทุนนอก 2 เดือนทะลัก 5.67 หมื่นล้าน ลุยซื้อตราสารหนี้ต่างประเทศ (ECP) ล้นคาดไตรมาส 4 ออกอีกเพียบ ดิ้นหาผลตอบแทนสูงกว่าในบ้าน


โพสต์ทูเดย์ รวบรวมตัวเลขการเสนอขายกองทุนในครั้งแรก (IPO) ในต่างประเทศของกองทุนที่มีนโยบายไปลงทุนในต่างประเทศช่วงครึ่งหลังของปีได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก ตัวเลขจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พบว่า ช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. 2550 มียอดเสนอขายครั้งแรกรวม 56,667.80 ล้านบาท

ตัวเลขดังกล่าว แบ่งเป็นกองทุนเพื่อไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) เพียง 4,359.13 ล้านบาท ที่เหลือเป็นกองทุนที่จดทะเบียนในรูปกองทุนตราสารหนี้ แต่มีนโยบายไปลงทุนในตราสารหนี้ที่เสนอขายในประเทศ จำนวน 46,416.63 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมกองทุนตราสารหนี้ที่แบ่งเงินลงทุนส่วนหนึ่งไปลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศด้วย

แหล่งข่าววงการกองทุนรวม เปิดเผยว่า เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา เงินลงทุนออกไปต่างประเทศค่อนข้างมาก จึงประเมินยอดขายครั้งแรกคงได้เป็นหลักหมื่นล้านบาท ดังนั้น หากรวมทั้งไตรมาส 3 เงินออกไปลงทุนต่างประเทศน่าจะได้มากกว่า 6-7 หมื่นกว่าล้านบาท

กองทุน FIF อาจมียอดขายไม่มาก แต่ที่มากและเห็นชัดคือกองทุนตราสารหนี้ที่ไปลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ (ECP) 3 เดือน 6 เดือน ซึ่งให้ผลตอบแทนประมาณ 3-3% กว่า สูงกว่าลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศหรือฝากเงิน แหล่งข่าวเปิดเผย

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ในไตรมาส 4 น่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในกองทุน FIF อีกประมาณ 1-2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมี บลจ.หลายแห่ง ซึ่งรวมทั้ง บลจ. ไอเอ็นจี เตรียมที่จะออกอีกหลายกอง

ทั้งนี้ ประมาณการดังกล่าวยังไม่ได้รวมเม็ดเงินที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศโดยตรงของกองทุนส่วนบุคคล ที่คาดว่าจะได้รับการอนุมัติในปลายปีนี้

นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า แม้ว่าการนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศจำนวนมากจะเป็นผลดีช่วยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง แต่เม็ดเงินที่จะออกไปลงทุนในต่างประเทศในช่วงไตรมาส 4 นี้ จะไม่มีผลกระทบกับแนวโน้มค่าเงินบาท เนื่องจากมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มค่าเงินบาทในปีนี้จะยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยเป็นตลาดเกิดใหม่ ยังมีส่วนต่างในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก จึงทำให้เงินทุนไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง

หากภาครัฐไม่แทรกแซงเข้ามาดูแลอัตราแลกเปลี่ยนในปลายปี อาจจะเห็นบาทแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐได้ ดังนั้น ภาครัฐจึงควรที่จะให้ความสำคัญในการดูแลเกี่ยวกับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงอัตราดอกเบี้ย นายทรงพลกล่าว

นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ปีนี้บริษัทคาดว่าจะออกกองทุน FIF อีก 3-4 กองทุน โดยเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ 2 กอง มูลค่ากองทุน 1 หมื่นล้านบาท และประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนอีก 2 กองที่เหลือ ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด

นายกำพล อัศวพรชัยกุล รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กองทุนเพื่อไปซื้อตราสารหนี้ต่างประเทศได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก โดยบริษัทมียอดขายกว่า 3 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=197504

news15/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 15, 2007 5:57 pm
โดย chartchai madman
กรณ์ ชี้ดัชนี 1,000 จุด รัฐบาลใหม่โด๊ปศก. โดย กระแสหุ้น

กรณ์ จาติกวณิช ฟันธงหลังเลือกตั้งดัชนีหุ้นไทยแตะ 1,000 จุด ตลาดหุ้นรับผลดีรัฐบาลใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจ บจ.กำไรพุ่ง ระบุเงินต่างชาติที่ไหลเข้าช่วงนี้แค่น้ำจิ้ม ชี้หลังนโยบายเศรษฐกิจชัดมีโอกาสไหลเข้ามากกว่านี้ ด้านโบรกเกอร์ปรับกลยุทธ์ แนะลงทุนหุ้นสมอลแคปพื้นฐานดี เหตุราคายังขยับไม่มาก เชียร์ซื้อ BEC MCOT SATTEL SAT LANNA ส่วนสัปดาห์นี้ลุ้นดัชนีแตะ 900 จุด

นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ กล่าวว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาตลาดทุนไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ว่า หลังเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเดือนธันวาคม 50 นี้ ดัชนี้หลักทรัพย์มีแนวโน้มไปถึง 1,000 จุดได้โดยไม่มีปัญหา จากสถานการณ์การเมืองที่คลี่คลายลง และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ในปี 51 ที่จะปรับตัวดีขึ้นจากปี 50 ขณะที่รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาก็จะประกาศนโยบายเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเพิ่มขึ้น

โดยส่วนตัวยังมองตลาดทุนไทยเป็นบวกมาตลอด หากถามว่าตลาดทุนไทยในอนาคตเป็นอย่างไร บอกได้เลยว่าแนวโน้มในอนาคตดีขึ้นแน่นอน และเป็นผลดีต่อบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย ในด้านการทำกำไร ที่มองว่าการทำกำไรช่วงปีหน้าบริษัทเหล่านี้จะมีกำไรเพิ่มขึ้นกว่าในช่วงปีนี้แน่นอน เนื่องจากผลประกอบการดี ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายมีความชัดเจนด้านนโยบาย และหลังการเลือกตั้งนักลงทุนเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะความเชื่อมั่นกลับมา นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าประเทศไทยในช่วงนี้ มองว่ายังมีการไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะยังไม่ถึงช่วงเลือกตั้งก็ตาม แต่การที่มีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนจำนวนมากและต่อเนื่องนั้น สาเหตุสำคัญมาจากความเชื่อมั่นที่กลับมาดีขึ้น รวมไปถึงปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย ทำให้ตลาดทุนไทยและเอเชียได้รับความสนใจ ทั้งนี้ หากมีประกาศนโยบายของรัฐบาลที่เข้ามาหลังการเลือกตั้ง ก็จะช่วยส่งผลให้เงินทุนไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นผลดีต่อตลาดทุนไทยไม่น้อยที่จะมีทิศทางบวกมากขึ้นกว่าเดิม

สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมแล้วมองว่าเศรษฐกิจไทยขณะนี้น่าจะอยู่ในระดับดีขึ้น เมื่อเทียบกลับในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น ต้นปี 51 ตัวเลขเศรษฐกิจ ไทย (GDP) น่าจะอยู่ที่ระดับ 5% ซึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลที่เข้ามาจะมีการผลักดันนโยบายต่างๆในการกระตุ้นการลงทุน การบริโภคภายในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะวิธีนำเงินสู่ประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแบบระยะยาว เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะเป็นแกนนำในการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้ว

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดทุนไทยในช่วงสัปดาห์นี้ (15-19 ต.ค.2550) คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับ 870-865 จุด และมีแนวต้าน 900-910 จุด โดยมองว่าภาวะตลาดทุนในช่วงดังกล่าวจะมีการปรับฐานในช่วงสั้นๆ ประกอบกับเป็นช่วงเดียวกับการประกาศผลประกอบการธนาคารพาณิชย์รวมไปถึงบริษัทจดทะเบียนกลุ่มอื่นด้วย ทำให้ฐานดัชนีปรับตัวขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม มองว่าในช่วงนี้ เป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะเข้าลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก เพราะหุ้นกลุ่มดังกล่าวน่าจะเริ่มกลับมามีบทบาท โดยหุ้นที่น่าสนใจประกอบด้วย บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ TSTH บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PLE และ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ซึ่งหุ้นเหล่านี้ที่ผ่านมาราคายังปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่น่าจับตามองเป็นกรณีพิเศษ คือ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJANA ราคาเป้าหมายปี 51 อยู่ที่ 20 บาท บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA ราคาเป้าหมายปี 24 บาท บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT ราคาเป้าหมายปี 15.60 บาท

ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย ) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้มีแนวโน้มที่จะปรับฐานได้อีก เนื่องจากในช่วงอาทิตย์นี้กลุ่มหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงกลุ่มอื่นจะมีการประกาศผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3 ของปี 50 ออกมา ดังนั้น สิ่งที่จะตามมา หากกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการประกาศผลประกอบการแล้วออกมาในทิศทางที่ดี ก็เป็นไปได้ที่จะมีการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นมากขึ้น ที่สำคัญ เงินทุนต่างชาติมีการไหลเข้าออกตลอดเวลา
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO

news15/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 15, 2007 6:28 pm
โดย chartchai madman
คลังเผยรัฐบาลขาดดุลเงินสดปีงบ50 เกือบ1.6แสนล้านบาท

15 ตุลาคม พ.ศ. 2550 15:10:00

คลังเผยฐานะการคลังปีงบประมาณ 2550 รัฐบาลขาดดุลเงินสด 1.58 แสนล้านบาท ระบุเป็นไปตามเป้าหมายที่ใช้นโยบายการลังเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.สมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลังในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ว่า ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลมีดุลเงินสดเกินดุล 72,046 ล้านบาท ขณะที่ตลอดปีงบประมาณ 2550 รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 158,731 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลที่จะใช้นโยบายการคลังเป็นเครื่องมือหลักเครื่องมือหนึ่งในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจในปี 2550 ขยายตัวได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 4%

ทั้งนี้ รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 191,986 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 6.5% เนื่องจากได้รับรายได้พิเศษจากการยุบเลิกทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 36,951ล้านบาท

นอกจากนั้น รายได้จากภาษีที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีสุรา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 150,889 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 2.9% แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 116,158 ล้านบาท รายจ่ายลงทุน 28,077 ล้านบาท และรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 6,654 ล้านบาท ซึ่งจากรายได้นำส่งคลังและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลข้างต้น ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนกันยายน 2550 เกินดุล 41,097 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณซึ่งเกินดุล 30,949 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดเกินดุล 72,046 ล้านบาท

ขณะที่รายได้นำส่งคลังตลอดปีงบประมาณ 2550 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1,444,993 ล้านบาท สูงกว่าปีงบประมาณ 2549 7.9% โดยภาษีที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นในอัตราสูงที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเบียร์ ภาษียาสูบ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีสุรา ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีธุรกิจเฉพาะ

นอกจากนี้ การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจและรายได้จากส่วนราชการอื่นยังเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงเช่นเดียวกัน และรายจ่ายรัฐบาล ตลอดปีงบประมาณ 2550 มีจำนวน 1,574,967 ล้านบาท สูงกว่าการเบิกจ่ายในปีงบประมาณที่แล้ว 12.9% แบ่งเป็นรายจ่ายปีปัจจุบัน 1,470,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 15.7% คิดเป็นอัตราการเบิกจ่าย 93.91% ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายปีก่อน 104,127 ล้านบาท ต่ำกว่าปีที่แล้ว 16.4%

ดร.สมชัย กล่าวอีกว่า จากรายได้นำส่งคลังและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลข้างต้นส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุลทั้งสิ้น 129,973 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะขาดดุล 146,200 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 28,758 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการจ่ายเงินเหลื่อมจ่ายสุทธิจำนวน 21,925 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดรัฐบาลขาดดุลทั้งสิ้น 158,731 ล้านบาท โดยรัฐบาลชดเชยการขาดดุลด้วยการใช้เงินคงคลัง 12,531 ล้านบาท การออกพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 97,115 ล้านบาท และการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 49,085 ล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/1 ... sid=192248

news15/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 15, 2007 7:47 pm
โดย chartchai madman
พาณิชย์ ไฟเขียวขึ้นราคาสินค้า-สะท้อนต้นทุน โยนผู้บริโภคตัดสินใจเอง  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
15 ตุลาคม 2550 11:14 น.
 
      พาณิชย์ ยันไม่แทรกแซงราคาสินค้า พร้อมปล่อยสะท้อนต้นทุนแท้จริง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยยึดหลักสมเหตุสมผล โดยจะให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคมากที่สุดเพื่อใช้ประกอบตัดสินใจซื้อ ชี้การขึ้นค่ารถเมล์ 50 สตางค์ กระทบเงินเฟ้อสูงถึง 0.23% ยืนยัน สินค้าบางประเภทยังต้องเข้าไปดูแล
     
      นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การปรับค่าโดยสารประจำทางเพิ่มขึ้นอีก 50 สตางค์ จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อค่อนข้างสูงประมาณ 0.23% ในจำนวนนี้รถโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ จะกระทบเงินเฟ้อ 0.15% ซึ่งสะท้อนสภาพเศรษฐกิจทั่วไปว่า ค่าเงินลดลง คนมีเงินเดือนประจำมีความสามารถซื้อสินค้าลดลง และหากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นก็จะกระทบกับผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป รวมไปถึงเครื่องอุปกรณ์การเกษตร ซึ่งสินค้าเหล่านี้กรมการค้าภายในจะต้องเข้าไปดูแลพิเศษ คงจะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเต็มที่ไม่ได้
     
      อย่างไรก็ตาม การพิจารณาจะให้ปรับราคาเพิ่มขึ้นหรือไม่ คงจะต้องให้ความเป็นธรรมทั้งฝ่ายผู้ผลิตและผู้บริโภค หากจะให้ปรับขึ้นคงใช้วิธีให้ผู้ประกอบการค่อยๆ ปรับราคา แต่จะปรับอย่างไรต้องขึ้นอยู่กับว่าเป็นสินค้ารายการใด และมีผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างไร
     
      การดูแลราคาสินค้าเป็นเรื่องการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนสินค้าที่ยื่นขอปรับราคามานั้น กำลังพิจารณาและจนถึงขณะนี้ยังไม่มีสินค้าอื่นๆ ขอปรับราคาเพิ่มอีก โดยแนวทางการพิจารณาจะไม่ใช้เทคนิคเดิมๆ คือ ซื้อเวลา เพราะเห็นว่าใช้ได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงจะต้องให้ราคาสินค้าค่อยเป็นค่อยไป โดยยึดหลักการที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ ยังจะเน้นการให้ข้อมูลแก่ประชาชนเพื่อได้รู้ว่าควรตัดสินใจซื้อสินค้าใด จึงจะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ นายยรรยง กล่าว
     
      ด้าน นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า สินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นสินค้าจำเป็นต่อค่าครองชีพ จะดูว่าสินค้าชนิดใดและประเภทใดบ้างที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับเพิ่มขึ้นจนกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า โดยหากกระทบต่อต้นทุนผลิตสินค้าจริง กระทรวงพาณิชย์คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
     
      ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมการค้าภายในได้ให้สำนักดัชนีเงินเฟ้อ พิจารณาผลกระทบรายการสินค้าแต่ละรายการว่าหากปรับราคาขึ้นจะกระทบเงินเฟ้ออย่างไร ซึ่งสำนักดัชนีเงินเฟ้อ ได้แจ้งว่า บางรายการสามารถปรับขึ้นราคาได้ แต่ต้องเป็นไปในช่วงเวลาที่เหมาะสม และขึ้นกับสัดส่วนความจำเป็นในการใช้จ่ายของประชาชนทั่วไป เพื่อให้มีผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000121927

news15/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 15, 2007 8:34 pm
โดย chartchai madman
คนไทยแห่ช็อปของฟุ่มเฟือยพุ่ง2.5แสนล.  

โดย ข่าวสด
วัน จันทร์ ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2550 09:44 น.

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งถึงสถิติการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยจำนวน 28 รายการของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี50 ว่า มีมูลค่าทั้งสิ้น 7,383 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.76% คิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 258,985 ล้านบาท ขยายตัว 6.96% สำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าสูงสุด 20 รายการแรกได้แก่ 1.เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 1,834 ล้านเหรียญ ขยายตัวเพิ่ม 28.24% 2.เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด 1,426 ล้านเหรียญ ขยายตัว 18.08% 3.ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม 1,117 ล้านเหรียญ ขยายตัว 19.44% 4.ผักผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผลไม้ 280 ล้านเหรียญ ขยายตัว 28.20% 5.นมและผลิตภัณฑ์นม 266 ล้านเหรียญ ขยายตัว 32.47% 6.นาฬิกาและส่วนประกอบ 247 ล้านเหรียญ ขยายตัว 1.29%

7.สบู่ผงซักฟอกและเครื่องสำอาง 221 ล้านเหรียญ ขยายตัว 15.68% 8.ผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆ 199 ล้านเหรียญ ขยายตัว 16.82% 9.เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้าน 183.7 ล้านเหรียญ ขยายตัว 5.16% 10.วัสดุและอุปกรณ์สำนักงาน 167 ล้านเหรียญ ขยายตัว 3.90% 11.เสื้อผ้าสำเร็จรูป 161 ล้านเหรียญ ขยายตัว 22.16% 12.เครื่องประดับอัญมณี 142 ล้านเหรียญ ขยายตัวลดลง 3.20% 13.เครื่องดนตรี ของเล่น เครื่องกีฬาและเครื่องเล่น 126 ล้านเหรียญ ขยายตัว 7.66% 14.เครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา 121 ล้านเหรียญ ขยายตัวลดลง 2.74% 15.ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและอื่นๆ 114 ล้านเหรียญ ขยายตัว 18.77% 16.สิ่งพิมพ์ 111 ล้านเหรียญ ขยายตัว 13.60% 17.รองเท้า 101 ล้านเหรียญ ขยายตัว 39.97% 18.เนื้อสัตว์สำหรับบริโภค 89.3 ล้านเหรียญ ขยายตัวลดลง 11.27% 19.ผลิตภัณฑ์กระดาษ 75 ล้านเหรียญ ขยายตัวลดลง 8.28% และ 20.อาหารปรุงแต่งสำหรับใช้เลี้ยงทารก 71 ล้านเหรียญ ขยายตัวลดลง 7.77%
http://news.sanook.com/economic/economic_194282.php

news16/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 16, 2007 1:40 pm
โดย chartchai madman
ทุนฝรั่งปักหลักลงทุนระยะยาว

กูรูมองเงินทุนนอกนอนปักหลักลงทุนในตลาดหุ้นยาว 6 เดือน ดันดัชนีหุ้นไทยวิ่งถึง 1,000 จุด ชี้ปีหน้าหุ้นไทยวิ่งแซงหน้าเพื่อนบ้านหลังผลงานบจ.ส่อแววโตกระฉูด ส่วนวันนี้มองกรอบลงทุนไว้ที่ 890-905 จุด แนะเก็บหุ้นพื้นฐานดีแรงเหวี่ยงยังไม่แรง แนะ  CCET  BEC  MINT  BGH  AP  และ PS ติดชาร์ต
    นายไพบูลย์ นลินทรางกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า สัญญาณการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติยังคงมีต่อเนื่อง ซึ่งการไหลเข้าของเงินทุนรอบนี้มีแนวโน้มที่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาว และจะสามารถผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยวิ่งอยู่ในช่วงขาขึ้นไปได้อีกในระยะ 6 เดือนข้างหน้า
    ทั้งนี้มองว่าในระยะ 6 เดือนสัญญาณเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งน่าจะผลักดันให้ดัชนีวิ่งขึ้นไปได้ถึง 1,000 จุด และจะมีการขายทำกำไรระยะสั้นสลับกันไปแต่จะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากภาพรวมยังเป็นขาขึ้น เพราะทุกฝ่ายต่างมีความมั่นใจเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และมองไปถึงการมีรัฐบาลใหม่ที่จะทำให้ภาคการบริโภคฟื้นตัวขึ้นได้
    สำหรับหุ้นที่จะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของการบริโภค คือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์  และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากปัจจุบันความต้องการของผู้บริโภคยังมีอยู่แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจซื้อ
    อย่างไรก็ตามสำหรับระยะยาว 6 เดือน แนะนำนักลงทุนแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนในหุ้น 60% ของเงินลงทุน เนื่องจากสัญญาณเป็นช่วงขาขึ้น อีกทั้งแม้ตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว โดยปีนี้หุ้นไทยปรับขึ้นมาแล้ว 30% แต่เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคยังถือว่าหุ้นไทยปรับขึ้นต่ำกว่ามาก
    ระยะสั้นหุ้นไทยยังเด่นกว่าภูมิภาค เพราะประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งที่เป็นปัจจัยหนุน ส่วนรายะยาวปีหน้าก็จะมีความโดดเด่นกว่าภูมิภาคเช่นกัน เพราะปีนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนของประเทศไทยฐานต่ำ ซึ่งเป็นฐานที่ต่ำต่อเนื่องมา 2 ปีทำให้ปีหน้าจะมีการฟื้นตัวที่ดี นายไพบูลย์กล่าว
    นายสุกิจ อุดมศิริกุล  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่าราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ยังเป็นปัจจัยผลักดันตลาดหุ้น ส่วนมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นชี้ได้ว่าเงินทุนไหลเข้าจะยังมีต่อเนื่อง แต่ระหว่างทางที่ดัชนีจะไปถึง 900 จุด จะมีแรงเทขายออกมาเป็นระยะ
    ดังนั้นจึงแนะนำนักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่ยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปในระดับสูงและมีแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4/2550 ออกมาโดดเด่น โดยแนะนำลงทุนใน CCET BEC MINT BGH AP และ PS
    ส่วนแนวโน้มดัชนีวันนี้ (16 ต.ค.50 ) คาดว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวต้าน 905.00 จุด และแนวรับ 890.00 จุด ส่วนระยะสัปดาห์จะผันผวนในกรอบ 880.00-905.00 จุด
http://www.thunhoon.com/home/

news17/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 17, 2007 12:38 pm
โดย chartchai madman
เผยไทยติดอันดับ 5 ของเอเชียมีเงินต่างชาติเข้าลงทุนสูงสุด

ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) เปิดเผยรายงานการลงทุนโลกปี 2007 เรื่อง บทบาทบรรษัทข้ามชาติ อุตสาหกรรมสินแร่และการพัฒนา ในปี 2006 ทั่วโลกมีกระแสเงินลงทุนโดยตรงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38 หรือคิดเป็นมูลค่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคมีความแข็งแกร่ง ซึ่ง 2 ใน 3 ของกระแสเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้ามาลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาแถบเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจเอเชียมีการเติบโตที่แข็งแกร่งมาก และเป็นภูมิภาคที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซ ซึ่งเงินลงทุนในย่านเอเชียปีก่อนหน้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 มูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนเป็นประเทศที่มีเงินลงทุนโดยตรงมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย มูลค่า 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือ ฮ่องกง สิงคโปร์ อินเดีย และไทย เป็นอันดับที่ 5 มูลค่า 9.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดคือ สหรัฐฯและยุโรป โดยรูปแบบการลงทุนเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมเป็นการลงทุนในหุ้น มาเป็นการเข้าควบรวมกิจการในธุรกิจที่มีศักยภาพ เช่น การเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น ของกลุ่มเทมาเส็กจากสิงคโปร์ เป็นต้น โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทองคำและสินแร่ ได้รับความสนใจสูงมาก สาเหตุเนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ราคาสูงขึ้นมากในช่วงปีที่ผ่านมา

แนวโน้มของเงินลงทุนโดยตรงที่จะเข้ามาในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เพราะภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำมัน จึงเป็นที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ นอกจากนี้ ประเทศจีน อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม กำลังมีการพัฒนาและก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ซึ่งมีส่วนสำคัญมากกับการลงทุน จากข้อมูลของอังค์ถัดพบว่า ใน 6 เดือนแรกของปี 2007 มูลค่าการควบรวมกิจการในภูมิภาคเอเชียเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 20 จากปี 2006

นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการอังค์ถัด ยังได้แสดงความเป็นห่วงถึงบทบาทของบรรษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมสินแร่และน้ำมัน ว่าจะต้องมีความโปร่งใส รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และจะต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับประเทศที่เข้าไปลงทุนด้วย
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx

news17/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 17, 2007 2:27 pm
โดย chartchai madman
ครม.ไฟเขียว 3โครงการบิ๊ก ร่วม8หมื่นล.

โพสต์ทูเดย์ ครม.อนุมัติหลักการ 3 โครงการกระทรวงคมนาคม มูลค่ารวมกว่า 8 หมื่นล้านบาท


พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ โครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม 3 โครงการ คือ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 จ.เชียงราย วงเงินก่อสร้างกว่า 1.54 พันล้านบาท โครงการก่อสร้างแอร์พอร์ตลิงก์ วงเงินก่อสร้างกว่า 1.89 หมื่นล้านบาท และโครงการ ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงบางซื่อ-รังสิต วงเงินก่อสร้างกว่า 5.98 หมื่นล้านบาท

ด้านนายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รมช.คมนาคม กล่าวว่า สำหรับโครงการแอร์พอร์ตลิงก์นั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะต้องเป็นผู้กู้เงิน โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน เพื่อนำมาชำระค่าก่อสร้างและดอกเบี้ย ซึ่งสิ้นสุดสัญญา วันที่ 5 พ.ย. 2550 เป็นเงินกว่า 1.89 หมื่นล้านบาท ส่วนงานก่อสร้างที่เหลือ ซึ่งต้องใช้เงินอีก 9.9 พันล้านบาท ครม.ได้มอบหมายให้ ร.ฟ.ท.ไปจัดทำรายละเอียดทั้งหมดให้ชัดเจนภายใน 1 เดือน ก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.อีกครั้ง

ส่วนโครงการสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิตนั้น ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนการก่อสร้างสถานีที่ธรรม ศาสตร์รังสิต ขณะที่เงินลงทุนส่วนหนึ่งจะใช้เงินจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานและเงินกู้ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดูแล โดยคาดว่าจะขายแบบได้ในปลายปีนี้ และเปิดให้ผู้รับเหมายื่นเสนอซองในเดือน มี.ค. 2551

ที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข. ได้สรุปว่าจะมีการปรับเพิ่มอีก 3 สถานี คือ สถานีจตุจักร การเคหะแห่งชาติ และสถานีทุ่งสองห้อง จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 5 สถานี คือ สถานีบางซื่อ บางเขน หลักสี่ดอนเมือง และรังสิต รวมแล้วระยะแรกจะมีทั้งหมด 8 สถานี โดย สนข.จะออกแบบเสร็จในเดือน ธ.ค.นี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=197982

news17/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 17, 2007 6:22 pm
โดย chartchai madman
ตลาดหุ้นไทยจะเป็นพระเอกในปีหน้า

17 ตุลาคม พ.ศ. 2550 05:00:00


The Fundamental View:ไพบูลย์ นลินทรางกูร Email : [email protected]

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ท่านผู้อ่านที่ติดตามบทความของผมมาสักระยะหนึ่งจะทราบดีว่าผม Bullish มาก กับตลาดหุ้นไทยของเรา และเมื่อ 1-2 เดือน ที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างหนักท่ามกลางกระแสความหวาดกลัวปัญหา Sub-prime Mortgage Crisis และ Liquidity Crunch ใน US และ Europe ผมก็ยังเขียนไว้ในคอลัมน์นี้ว่า ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสไปได้ถึง 1,000 จุด   จริงๆ แล้วเป้าหมาย 1,000 จุดของผมนั้น ผมได้เขียนไว้ตั้งแต่ประมาณเดือนพ.ค. ซึ่งผมต้องขออนุญาตสารภาพว่า ณ ตอนนั้นความมั่นใจของผมว่าดัชนี SET Index จะไปถึง 1,000 จุด มีประมาณ 70-80% เท่านั้น

มาถึงวันนี้ ความมั่นใจของผมมีเต็ม 100% ครับว่าดัชนี SET Index ไม่เพียงจะไปได้ถึง 1,000 จุด แต่จะต้องมากกว่า 1,000 จุด อย่างแน่นอน ส่วนจะไปได้ถึงระดับไหนนั้นผมขอทยอยเขียนถึงในเดือนต่อๆ ไป นอกจากนั้น ผมยังเชื่อด้วยว่าตลาดหุ้นไทยจะเป็นตลาดหุ้นที่มีผลตอบแทนอยู่ในอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียในปี 2008 ผมมีเหตุผลอยู่ด้วยกัน 4 ประการดังนี้ครับ

ประการที่หนึ่ง ผมมองว่าปี 2008 จะเป็นปีแรกที่ผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้นไทยจะ Outperform ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้  จากประมาณการของสำนักวิจัยทิสโก้ เรามองว่า Net EPS growth ของบจ.ไทย จะโตได้ประมาณ 20% ในปี 2008 ซึ่งจะเป็น Growth rate ที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ใน Asia สาเหตุหลักมีอยู่ 4 ข้อด้วยกันคือ   1) ฐานกำไรที่ต่ำในปี 2007   2) เศรษฐกิจไทยจะมี Growth rate ที่สูงกว่าปีนี้   3) ดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง  และ 4) ธนาคารพาณิชย์มีการตั้งสำรองไว้มากในปีนี้ ซึ่งก็หมายความว่าภาระการต้องตั้งสำรองจะมีน้อยมากในปีหน้า ถ้าเราไม่นับ Sector ธนาคารพาณิชย์ Net EPS growth ก็ยังจะโตได้ในระดับ 15%

จากประมาณการ Concensus Forecasts (ประมาณการเฉลี่ยของ Brokers) ภูมิภาค Asia จะมี Net EPS growth rate ที่ต่ำกว่าของไทย ยกเว้นอินโดนีเซีย ซึ่งการที่เราจะมี EPS growth ที่สูงกว่าภูมิภาคจะทำให้เงินต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะ Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆ ใน Asia

จริงๆ แล้ว ถ้าเราย้อนไปดู Trend ของ EPS growth ของเราในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าเรามี Growth ที่ต่ำกว่าภูมิภาคนี้มาก โดยเฉพาะในปี 2006 เรามี Growth ที่ติดลบถึง 20%  ขณะที่ภูมิภาคนี้โตถึง 10%  ในปี 2007 นี้ สำนักวิจัยทิสโก้คาดการณ์ว่า EPS growth จะติดลบอีก 4% ขณะที่ภูมิภาคจะโตอีก 20% ผมเชื่อว่าเหตุผลหลักที่ตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้น Asia ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะ EPS growth ของเรา Underperform EPS growth ของคนอื่น ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองผมมองว่าเป็นเหตุผลรอง ท้ายที่สุดแล้ว ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับการเจริญเติบโตของกำไร

ประการที่สอง   P/E ของตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาเป็น 15 เท่าแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา P/E ที่ผมพูดถึงคือ P/E ที่ใช้ประมาณการกำไรของปี 2007  นี่นับเป็นครั้งแรกที่ตลาดหุ้นไทย Trade ที่ P/E สูงกว่า 15 เท่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าจะให้แปลแบบง่ายๆ ก็คือ นักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นกับแนวโน้ม EPS growth ในอนาคต และยินดีที่จะซื้อหุ้นในราคาที่มากขึ้น เพื่อแลกกับ Growth ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า และปีถัดไป ถ้าในปี 2008 ตลาดหุ้นไทยยัง Trade ที่ระดับ Forward P/E ที่ 15 เท่า เราก็จะได้เห็นดัชนี SET Index อยู่ที่ระดับ 1,100 จุด

ในมุมมองของผม คิดว่าความเป็นไปได้มีสูงมากที่ P/E ของตลาดไทยจะคงอยู่ที่ระดับ 15 เท่าใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ นอกจากเหตุผลเรื่องแนวโน้ม EPS growth แล้ว การที่เรามีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง และการที่แนวโน้มดอกเบี้ยยังน่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่จะทำให้ตลาดหุ้นสามารถ Trade ที่ระดับ P/E ที่สูงกว่าในช่วงที่ผ่านมาได้ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ตลาดหุ้น Indonesia ช่วงประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ตลาดหุ้น Indonesia  เทรดอยู่ที่ P/E ประมาณ 7-8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าของไทยเสียด้วยซ้ำ  แต่พอการเมืองของเรามีเสถียรภาพมากขึ้น และ EPS เริ่มโตในระดับ double digits ตลาดหุ้น Indonesia ก็ถูก Rerate และเทรดอยู่ที่ P/E ระดับ 16 เท่าในปัจจุบัน

ประการที่สาม   เศรษฐกิจไทยปี 2008 มีแนวโน้มจะโตได้มากกว่าในปีนี้ นอกจากการที่เราจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่แล้ว ภาคเอกชนเองก็มี Pent-up demand (ความต้องการที่ถูกอั้นไว้) อยู่สูงมาก เช่นภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลใหม่ ต่างประเทศชะลอการตัดสินใจด้วยเหตุผลเดียวกัน หรือประชาชนที่ยังไม่รีบร้อนที่จะซื้อบ้านหรือรถยนต์ เหล่านี้คือ Pent-up demand ที่จะทะลักเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเมื่อ Confidence level มีสูงขึ้น และผมเชื่อว่า เราจะได้เห็น Growth rate ของเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่มีการพูดถึง

นอกจากนั้นแล้ว เรามีการพึ่งพิงตลาดอเมริกาน้อยลงไปมาก สัดส่วนการส่งออกไปประเทศอเมริกา มีอัตราลดลงทุกปีในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาจาก 22% ในปี 1998 เหลือเพียง 13% ของยอดการส่งออกทั้งหมดในปีนี้  ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีของเรา เพราะกำลังซื้อในอเมริกาลดลงไปมากจากปัญหา Subprime ที่จะยังไม่จบสิ้นในเร็ววันนี้ ผมเชื่อว่า Pent-up demand ที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจของเราจะสามารถ Offset กับแนวโน้มการส่งออกที่จะชะลอตัวลงในปีหน้า สำนักวิจัยทิสโก้ คาดว่า GDP Growth ของไทยจะอยู่ที่ 4.8% ในปีหน้า จาก 4.2% ในปีนี้ แต่ผมเชื่อว่า โอกาสที่ growth จะสูงกว่า 5% ยังมีความเป็นไปได้ที่สูงมาก

การที่ดัชนีตลาดหุ้นหลายๆ แห่งทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นอเมริกามีการทำสถิติสูงสุด นับตั้งแต่เปิดตลาดมา ในช่วงที่ผ่านมานี้ เป็นเพราะปริมาณสภาพคล่องในตลาดเงินโลกอยู่ในระดับที่สูงมาก Financial Assets ส่วนใหญ่จึงมีราคาที่สูงมาก รวมไปถึงตราสารประเภท RMBS และ ABS CDO ในช่วงที่ผ่านมา การที่ Fed มีการลดดอกเบี้ยลงในเดือนที่แล้วก็หมายถึงสภาพคล่องน่าจะมีมากขึ้นไปอีก และการที่นักลงทุนเริ่มเข็ดขยาดกับตราสารที่ Complex อย่างเช่น ABS CDO ก็น่าจะทำให้สภาพคล่องมีแนวโน้มที่จะไหลเข้าสู่ Financial Assets ที่ไม่มีความสลับซับซ้อนอย่างเช่น ตลาดหุ้น ตราบใดที่ Global liquidity ยังอยู่ในระดับสูง โอกาสที่จะได้เห็น SET Index ในระดับที่ 1,000 กว่าจุดมีความเป็นไปได้มาก
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/1 ... sid=192778

news17/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 17, 2007 6:32 pm
โดย chartchai madman
ห่วงศก.ครึ่งปีหลังไม่ฟื้น 'บาทแข็ง-น้ำมันแพง'ฉุดความเชื่อมั่น

17 ตุลาคม พ.ศ. 2550 17:06:00

ธปท.เผยผลสำรวจนักธุรกิจพบผู้ประกอบการกังวลการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังและปี"51 หวั่นผลกระทบบาทแข็ง-น้ำมันแพง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลการสำรวจแนวโน้มธุรกิจในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้การอุปโภคบริโภคในประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้นทำให้ยอดขายสินค้าและบริการฟื้นตัวขึ้น โดยเป็นผลมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงก่อนหน้านี้ ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่คลี่คลายมากขึ้นช่วยทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืนมา

สอดคล้องกับการลงทุนที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป โดยเฉพาะหากรัฐบาลสามารถจัดให้มีการเลือกตั้งได้ตามกำหนด และบรรยากาศทางการเมืองหลังการเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อย ประกอบกับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมองว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่งและผู้ประกอบการเองก็มีความพร้อมที่จะขยายการลงทุนเนื่องจากภาคธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี อีกทั้งหลายอุตสาหกรรมก็มีอัตราการใช้กำลังการผลิตในระดับสูง โดยอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเริ่มลงทุนในระยะต่อไปได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มพลังงาน

ทางด้านผู้ส่งออกบางรายก็เริ่มเห็นคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจผลิตและส่งออกชิ้นส่วนเครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อการส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ นอกจากนี้ผู้ส่งออกยังเห็นสัญญาณการปรับตัวของการส่งออกจากการขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาผลสำรวจการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีนี้จนถึงปีหน้าพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมองว่าเศรษฐกิจในระยะต่อไปอยู่ในระดับที่ทรงตัวเนื่องจากได้รับผลจากการปรับขึ้นของราคาพลังงานและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับแนวโน้มการลงทุนในครึ่งหลังของปีนี้ และปีหน้าที่คาดว่าจะทรงตัวเนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

โดยในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนในกลุ่มปิโตรเลียม บรรจุภัณฑ์ และธุรกิจค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่มีการเร่งตัวขึ้น ขณะที่การลงทุนในกลุ่มสิ่งทอ วัสดุก่อสร้าง เหล็กและภาคการค้าขนาดเล็กในภูมิภาคชะลอตัวลงตามภาวะธุรกิจ ส่วนผู้ส่งออกก็ยังมีแนวโน้มการลงทุนที่ทรงตัวเนื่องจากความกังวลเรื่องความผันผวนของค่าเงินบาท อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและเตรียมพร้อมรองรับกับเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัว

นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังมองว่าในระยะต่อไปผู้ประกอบการยังไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้เนื่องจากการแข่งขันที่มีสูงและอุปสงค์ในประเทศที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ โดยอุตสาหกรรมที่น่าจะสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้บ้างคืออุตสาหกรรมปิโตรเลียม อาหารและอัญมณี ซึ่งการขึ้นราคาส่วนใหญ่เพื่อชดเชยต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ส่วนผู้ส่งออกส่วนใหญ่ก็มองว่ายังไม่สามารถส่งผ่านภาระต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้มากนักเพราะขาดอำนาจต่อรองและมีการแข่งขันในตลาดโลกสูง

สำหรับผลสำรวจธุรกิจในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาพบว่าภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการของภาคธุรกิจโดยรวมยังทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายภาคเอกชนขยายตัวใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนเนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำและกำลังซื้อยังไม่ดีขึ้น ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังคงชะลอตัวต่อเนื่องเนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่ยังชะลอการตัดสินใจขยายธุรกิจหรือลงทุนใหม่เพื่อรอความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลหลังการเลือกตั้งแต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็มีความพร้อมที่จะลงทุนหากการเลือกตั้งผ่านไปอย่างเรียบร้อย

ด้านการส่งออกโดยรวมในไตรมาส 3 ก็ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงตามอุปสงค์ในตลาดโลกและการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทในช่วงก่อนหน้าซึ่งส่งผลกระทบต่อการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของสินค้าบางกลุ่มเช่น เครื่องนุ่งห่ม ประกอบกับรายได้จากการส่งออกในรูปของเงินบาทปรับลดลงค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามผู้ส่งออกส่วนใหญ่สามารถปรับตัวกับปัญหาค่าเงินบาทได้ดีและสามารถลดต้นทุนเพื่อ่ชดเชยรายได้ที่ลดลงได้ด้วย

ทางด้านต้นทุนด้านการเงินของธุรกิจในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาก็ลดลงตามการปรับลดของอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงิน ส่วนต้นทุนการผลิตยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ภาวะตลาดแรงงานยังคงตึงตัว ผู้ประกอบการบางรายยังคงขาดแคลนแรงงาน

ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ประกอบการกังวลใจในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาคือสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐหลังจากการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตามความชัดเจนทางด้านการเมืองที่มีมากขึ้นหลังการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญก็เป็นปัจจัยบวกต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนของผู้ประกอบการ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/1 ... sid=193133

news17/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 17, 2007 6:39 pm
โดย chartchai madman
ผวาปัญหาซับไพร์ม-ราคาน้ำมัน นักลงทุนเทขายหุ้นร่วง10จุด

17 ตุลาคม พ.ศ. 2550 18:12:00

นักลงทุนต่างชาติ-กองทุนเทขายหุ้นกลุ่มพลังงานทำกำไร สวนทางราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งกระฉูด ผสมโรงกังวลปัญหาซับไพร์มกระทบเศรษฐกิจปีหน้า กดดัชนีตลาดหุ้นร่วง 10 จุด

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้ (17 ต.ค.) ดัชนีเปิดตลาดการซื้อขายปรับตัวลดลง ตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยนักลงทุนเริ่มวิตกต่อแถลงการณ์ที่นายเบน เบอร์นานกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนายเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ที่ออกมาระบุว่าปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ยังจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจต่อไปถึงปีหน้า

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้มีแรงเทขายทำกำไรออกมา ฉุดดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ระดับ 879.04 จุด ลดลง 15.49 จุด หลังจากนั้นก็มีแรงช้อนซื้อกลับสลับกับแรงขาย จนดัชนีปิดตลาดการซื้อขายที่ระดับ 884.53 จุด ลดลง 10.00 จุด มูลค่าการซื้อขาย 25,402.05 ล้านบาท ด้านตลาดเอ็มเอไอ ปิดการซื้อขายที่ระดับ 290.91จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.96 จุด มูลค่าการซื้อขาย 897.06 ล้านบาท

สำหรับสัดส่วนการลงทุนวันนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,690.30 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 1,426.73 ล้านบาท และรายย่อยซื้อสุทธิ 3,117.03 ล้านบาท

นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2551 จะมีผลตอบแทนในระดับแนวหน้าของเอเชีย เพราะเมื่อพิจารณาจากอัตราการเติบโตของกำไรปีหน้า จะมีค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปีนี้ นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางของหลายประเทศอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบและลดดอกเบี้ยเนื่องมาจากปัญหาซับไพร์ม ทำให้สภาพคล่องมีมากและพร้อมที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย

นอกจากนี้ ไอเอ็นจี อินเวสเม้นท์ แมเนจเม้นท์ เอเชียแปซิฟิค ได้สำรวจความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ทั่วเอเชียใน 13 ประเทศ พบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่พอใจในผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และมั่นใจว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้า ตลาดหุ้นทั่วเอเชียก็จะยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยพื้นฐานที่ดีและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/1 ... sid=193234

news17/10/07

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 17, 2007 6:44 pm
โดย chartchai madman
คลังปรับโครงสร้างหนี้รอบงบปี"50 กว่าแสนล้านบาท

17 ตุลาคม พ.ศ. 2550 15:42:00

คลังปรับโครงสร้างหนี้ในงบประมาณปี"50 กว่าแสนล้านบาท ขณะที่หนี้สาธารณะถึงสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มี 3.181 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 37.88 ของจีดีพี

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยถึงการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐปีงบประมาณ 2550 ว่า รอบปีงบประมาณ 2550 กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศโดยการชำระคืนก่อนครบกำหนด 28,890 ล้านบาท และ Refinance เงินกู้ต่างประเทศด้วยเงินบาท 17,200 ล้านบาท ทำให้สามารถลดยอดหนี้คงค้างได้รวม 28,890 ล้านบาท และลดภาระดอกเบี้ยได้รวม 2,702 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังได้บริหารความเสี่ยงหนี้เงินกู้ Floating Rate Notes (FRNs) และหนี้เงินกู้ Samurai Bond โดยการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า วงเงิน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 48,000 ล้านเยนตามลำดับ

สำหรับรัฐวิสาหกิจได้มีการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศวงเงินรวม 18,120 ล้านบาท ทำให้สามารถลดภาระดอกเบี้ยได้ 349 ล้านบาท นอกจากนี้ยังปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศโดยการแปลงตั๋วเงินคลังที่ออกเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 102,370 ล้านบาท เป็นพันธบัตรระยะยาวและออกพันธบัตรรวมทั้งตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF1 วงเงิน 47,540 ล้านบาท รวมทั้งไถ่ถอนพันธบัตรช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 และ 2 ก่อนครบกำหนด 26 ล้านบาท ส่วนรัฐวิสาหกิจได้มีการ Roll over หนี้เดิมรวม 22,828 ล้านบาท

ขณะที่ปีงบประมาณ 2550 ภาครัฐได้กู้เงินในประเทศรวม 238,868 ล้านบาท โดยเป็นการกู้ของกระทรวงการคลัง 163,660 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 75,208 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจได้กู้เงินจากต่างประเทศ 31,803 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้นอกแผนการก่อหนี้ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้ชำระคืนต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมและการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจากงบประมาณรวม 157,243 ล้านบาท

ส่วนเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีการปรับโครงสร้างหนี้ภาครัฐ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)ได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิค) วงเงิน 10,730 ล้านเยน โดยการออกพันธบัตรเงินบาท 3,200 ล้านบาท ทำให้สามารถลดภาระดอกเบี้ยได้ 349 ล้านบาท

ขณะที่กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้โดยการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรวงเงิน 9,370 ล้านบาท และออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรเพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF1) จำนวน 2,540 ล้านบาท ไถ่ถอนพันธบัตรช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 และ 2 ก่อนครบกำหนด 26 ล้านบาท ทำให้สามารถลดยอดหนี้สาธารณะได้ 26 ล้านบาท และประหยัดภาระดอกเบี้ยจ่ายจนครบอายุพันธบัตรได้ 3 ล้านบาท สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้รัฐวิสาหกิจ รฟท. และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) ได้ทำการ Roll Over หนี้เดิมรวม 3,227 ล้านบาท

ส่วนการกู้เงินของภาครัฐ เดือนกันยายน กระทรวงการคลังได้กู้เงินในประเทศโดยการออกพันธบัตรออมทรัพย์ อายุ 3 ปี วงเงิน 500 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนร้อยละ 3.75 ต่อปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ในส่วนของ FIDF3 สำหรับรัฐวิสาหกิจ ได้กู้เงินในประเทศรวม 33,134 ล้านบาท

โดยแบ่งเป็นการกู้เงินบาทสมทบ 3,100 ล้านบาท กู้ทดแทนเงินกู้ต่างประเทศ 900 ล้านบาท กู้เพื่อลงทุน 23,234 ล้านบาท และกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน 5,900 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่การชำระหนี้ของภาครัฐ กระทรวงการคลังได้ชำระหนี้จากงบประมาณ 10,571 ล้านบาท เป็นการชำระคืนเงินต้น 328 ล้านบาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมรวม 7,829 ล้านบาท และการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า 2,414 ล้านบาท

สำหรับยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2550 มีจำนวน 3,181,180 ล้านบาท หรือร้อยละ 37.88 ของ จีดีพี เป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,050,590 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 907,220.73 ล้านบาท หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 187,776 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 35,593 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 14,283 ล้านบาท เนื่องจากกระทรวงการคลังได้ออกพันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 28,000 ล้านบาท และชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น 12,036 ล้านบาท

สำหรับหนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 1,500 ล้านบาท การเบิกจ่ายเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 260 ล้านบาท และผลจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ยอดหนี้สาธารณะคงค้างในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 167.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 5,738 ล้านบาท

โดยยอดหนี้สาธารณะดังกล่าว แยกเป็นหนี้ต่างประเทศ 418,731 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.16 และหนี้ในประเทศ 2,762,449 ล้านบาท หรือร้อยละ 86.84 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง เป็นหนี้ระยะยาว 2,821,766 ล้านบาท หรือร้อยละ 88.70 และหนี้ระยะสั้น 359,414 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.30 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้างตามลำดับ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/1 ... sid=193061

news18/10/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 18, 2007 1:57 pm
โดย chartchai madman
ตลาดลงจังหวะเหมาะ จัดสำรับหุ้นน่าสะสม
ตลาดร่วงอย่านั่งเหงา จับจังหวะเก็บของดีช่วงปลายสัปดาห์ หลังตลาดหุ้นไทยปรับฐานต่อเนื่อง ต่างชาติ-สถาบันผสมโรงขายสุทธิกว่า 3 พันล้านบาท  แต่รายย่อยไม่ยอมถอยแอ่นอกรับเต็มที่ โบรกมองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้เลือดหยุดไหล พร้อมตั้งหลักก่อนปรับตัวขึ้นต่อสัปดาห์หน้า จังหวะเหมาะสุดจัดสำรับเลือกลงทุนตามสไตล์ ชูหุ้นใหญ่แข็งแกร่งที่ราคาลดลงแล้ว 3-5%  หุ้นขนาดกลางและเล็กรับผลประกอบการไตรมาส 3/2550 โตโดดเด่น  พร้อมหุ้นเด่นจับประเด็นไอซีซั่น และหุ้นคุณภาพสินทรัพย์ดี มีศักยภาพดันราคาหุ้นวิ่งแรง

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า  การปรับฐานของตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะกินระยะเวลาไม่เกินสัปดาห์นี้ หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงที่ผ่านมา และในเรื่องของฟันโฟลว์ที่ยังไหลเข้าต่อเนื่องจะเป็นตัวซับพอร์ตทำให้หุ้นลงไม่แรง    

ตลาดหุ้นคงมีแรงขายทำกำไรอย่างเต็มที่ออกมาและคงจะจบภายในสัปดาห์นี้เท่านั้น เพราะสัปดาห์หน้ามองว่ากระแสเรื่องเฟดและดอกเบี้ยที่อาจจะลดลง จะทำให้ฟันโฟลว์ยังคงไหลเข้าในตลาดเอเชียจากผลประกอบการและอัตราการเติบโตของกำไรที่ยังคาดว่าจะดีต่อเนื่องนายสุกิจกล่าว    

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงการปรับฐานของตลาดหุ้น แนะนักลงทุนรอรับซื้อในช่วงปลายสัปดาห์หลังราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลง ซึ่งอาจจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ เช่น หุ้นใหญ่ที่ราคาปรับตัวลงมา 3-5% โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เช่น PTT  โดยให้ราคาพื้นฐานให้ไว้ที่ 400 บาท    

รวมถึงหุ้น PTTEP , TOP , RRC , BANPU , TTA  และกลุ่มธนาคารพาณิชย์บางตัว เช่น KBANK และ BBL โดยให้กรอบดัชนีสัปดาห์นี้มีแนวรับที่ 875 จุด ส่วนแนวต้านที่ 900 จุด        

ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/2550 จะออกมาโดดเด่น และแนะนำทยอยสะสมสำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว เช่นหุ้น  SEAFCO , BEC , CCET , HANA  , DELTA  , SAT , ROJANA และ ATC , RRC  ซึ่งมีอัพไซด์เพิ่มจากการควบรวมเป็นบริษัทใหม่    

นอกจากนี้การลงทุนในประเด็นของไฮซีซั่นก็จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนในการลงทุน โดยแนะนำให้เป็นอีกทางเลือกของการทยอยสะสมหุ้นกลุ่มนี้ ภายใต้ภาวการณ์การลงทุนที่ผันผวนอยู่ในขณะนี้  เช่นหุ้น  MINT , CCET , RCL , RRC และ SAT

ฉวยโอกาสตุนกำไร      

นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในระหว่างการปรับฐานของตลาดหุ้นช่วงนี้ แนะนำนักลงทุนให้ปรับสัดส่วนการลงทุนไปสู่หุ้นที่มีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น และได้รับผลบวกจากแนวโน้มหลัก ๆ ในปัจจุบัน เช่น ลงทุนในหุ้นที่ยังไม่ขึ้นที่มีคุณภาพสินทรัพย์ดี อาทิ SCC, EGCO และ CPF ซึ่งยังมีศักยภาพที่ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นต่อได้

เรามองว่าหุ้นที่ยังมีคุณภาพสินทรัพย์ดีและที่สำคัญราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ ถือเป็นอีกหนึ่งช้อยส์ที่น่าสนใจในการปรับสัดส่วนการลงทุนไปในหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่านายพงศ์พันธุ์กล่าว          

สำหรับหุ้น  SCC ถือว่ามีศักยภาพในการทำกำไร และสินทรัพย์ทางธุรกิจก็มีความหลากหลาย ทั้งในกลุ่มปิโตรเคมี ซีเมนต์ กระดาษ และวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้หากพิจารณาพีอีในปี 2550-2551 ก็อยู่ในระดับต่ำเพียง 10 เท่าเมื่อเทียบกับตลาดที่อยู่ในระดับ 12-13 เท่า และกระแสเงินสดก็มีเพียงพอที่จะจ่ายเงินปันผลในปีนี้ที่ 15 บาทหรือคิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 5.6% โดยราคาหุ้นปัจจุบันก็ยังมีอัพไซต์จากราคาเหมาะสมที่ 300 บาท  

ขณะที่หุ้น EGCO เองยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากการรับรู้รายได้ในโครงการโรงไฟฟ้า BLCP และแก่งคอย 2 ที่จะผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2550 เพิ่มขึ้นกว่า 26% ประกอบกับราคาหุ้นก็ยังถือว่าค่อนข้างถูก โดยมีการซื้อขายต่ำกว่าระดับพีอีที่ 8 เท่า และกระแสเงินสดก็ยังแข็งแกร่ง โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 140 บาท

ส่วน CPF ก็มีความโดดเด่นจากการฟื้นตัวของธุรกิจการเกษตรที่แข็งแกร่ง จากผลขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรกที่ 180 ล้านบาท โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะสามารถพลิกฟื้นมามีกำไรที่ 1.92 พันล้านบาท โดยการฟื้นตัวของธุรกิจมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมการซื้อขายหุ้น โดยให้ราคาเหมาะสมของ CPF อยู่ที่ 5.50 บาท ฟันด์
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 019&ch=223

news18/10/07

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 18, 2007 7:25 pm
โดย chartchai madman
'น้ำมัน'นิวไฮจ่อดันเงินเฟ้อ +'ศุภวุฒิ' กดดันธปท.ลดแทรกแซงค่าบาท/เตือนธุรกิจดูแลตัวเอง 'ฉลองภพ' ยอมรับต้องจับตา  
เตือนภาคธุรกิจเตรียมพร้อมรับมือต้นทุนเพิ่ม เหตุราคาน้ำมันดิบตลาดโลกพุ่งทุบสถิติใหม่เหนือ 87 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล 'ศุภวุฒิ' ห่วงเงินเฟ้อไทยขึ้นตามแนวโน้มเอเชียที่มีสัญญาณสูงอยู่แล้ว พร้อมกดดันธปท. ลดการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาท ปล่อยแข็งค่าตามกลไกเพื่อช่วยบรรเทาผลต่อต้นทุนของภาคธุรกิจ

ด้าน "ฉลองภพ" ยังเสียงแข็งน้ำมันขึ้นไม่กระทบอัตราเงินเฟ้อไทยที่ยังต่ำ แต่ยอมรับต้องจับตาใกล้ชิด
ต่อแนวโน้มของสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับราคาสูงขึ้นทำลายสถิติใหม่ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯได้ปรับสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 87.15 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนต์ปรับขึ้นเหนือระดับ 84 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลนั้น

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นว่า เป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อเศรษฐกิจไทย เพราะราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นมาก ซึ่งหากราคาน้ำมันยังปรับสูงขึ้นไปอีกอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมาแล้ว โอกาสที่จะเห็นการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะยาก ทำให้นโยบายการเงินไม่สามารถนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้เหมือนเดิม ขณะที่นโยบายการคลังก็มีปัญหา เพราะใช้นโยบายขาดดุลงบประมาณมากแล้ว ดังนั้นในระยะต่อไปหากราคาน้ำมันยังปรับสูงขึ้นเช่นนี้ และนโยบายการเงินการคลังนำมาใช้ไม่ได้ผลเหมือนที่ผ่านมา ภาคเอกชนก็ต้องดูแลตัวเอง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นประเด็นอีกประการหนึ่งคือ ต้องติดตามนโยบายการแทรกแซงค่าเงินบาทของธปท. ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วยังเห็นว่าธปท.ควรจะลดการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาท โดยปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าตามกลไกตลาด เพราะหากค่าเงินบาทแข็งค่าก็จะช่วยลดผลกระทบจากต้นทุนของราคาน้ำมันต่อภาคธุรกิจได้บ้าง

ทางด้าน ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง กรณีที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศไทย เนื่องจากที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ แต่ยอมรับว่าจำเป็นต้องติดตามใกล้ชิด เพราะราคาน้ำมันตลาดโลกขณะนี้มีความผันผวนค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม คงต้องปล่อยให้ราคาขึ้นลงตามราคาตลาด โดยที่ทางการจะไม่เข้าไปปรับแต่งราคา

ก่อนหน้านี้ นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในระยะต่อไปมีความเสี่ยงที่แรงกดดันด้านราคาอาจจะเพิ่มสูงขึ้น จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นและแนวโน้มการปรับขึ้นราคาสินค้า และบริการจำเป็นบางประเภท

ขณะที่แบบจำลองเศรษฐกิจมหภาคในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2550 ได้วิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนและราคาน้ำมันดิบที่มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อไว้ว่า หากอัตราแลกเปลี่ยน (บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ) อ่อนค่าลง 1% จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 0.05% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไป 0.05% ขณะที่ผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบดูไบ (ดอลลาร์สหรัฐฯ / บาร์เรล) โดยหากราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น 1% จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 0.01% และมีผลต่อเงินเฟ้อทั่วไป 0.05%

นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด กล่าวว่า สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกที่อยู่ในระดับสูง ทำให้มีการโยกเงินเพื่อเก็งกำไรจากราคาน้ำมัน รวมทั้งสถานการณ์ในตุรกีและอิรักที่กดดันให้แนวโน้มราคาน้ำมันทะยานสูงขึ้น ซึ่งหากมองผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ ยังมองว่า 2 ปัจจัยที่ยังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย คือ ราคาน้ำมัน และปัญหาซับไพรม์สหรัฐฯที่อาจส่งผลกระทบรอบที่ 2 โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงจากราคาน้ำมันนั้น หากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงต่อเนื่องเหนือระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลไปจนถึงสิ้นปี และทะยานแตะระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในบางช่วง ก็จะเป็นแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ และแนวโน้มการเกินดุลการค้าของไทยที่จะเกินดุลน้อยลง รวมทั้งจะเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบให้ค่าเงินบาทมีทิศทางที่อ่อนค่าลงด้วย
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2262

news19/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 6:27 pm
โดย chartchai madman
ธปท.ปรับGDP50ที่ 4.3-4.8%จาก4-5%

โดย Post Digital 19 ตุลาคม 2550 15:17 น.

ธปท.ปรับประมาณการ GDP ปี 50 ใหม่ อยู่ที่ 4.3-4.8% จาก 4-5 % ชี้ปัจจัยเสี่ยง น้ำมันแพง-เงินบาทแข็งค่า -ปัญหาการลุกลามของซับไพร์ม

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ปรับคาดการณ์อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ในปีนี้เหลือ 4.3-4.8% จากเดิม 4-5% ขณะที่คาดการณ์ว่า GDP ในปี 51 จะโต 4.5-6%

สำหรับความเสี่ยงที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อาจปรับตัวสูงขึ้น, เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่อาจขยายตัวต่ำกว่าคาดจากการลุกลามของปัญหา subprime ในสหรัฐ, เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และรัฐบาลอาจไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเป้า

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยบวกที่อาจทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีกว่าที่คาด คือ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่อาจะปรับตัวดีขึ้น และแรงกระตุ้นการตัดสินใจบริโภคและลงทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ

ในปีนี้ ธปท.คาดว่าอ้ตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8-2.3%, เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.8-1.3% ส่วนในปี 51 คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5-2.8% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 1.2%
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=198502

news19/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 6:42 pm
โดย chartchai madman
ธปท.ชี้น้ำมันดูไบแตะ75$จีดีพีลดลง0.1% จับตาปัญหา'ซับไพร์ม'

19 ตุลาคม พ.ศ. 2550 14:36:00
(Update) ธปท.หวั่นน้ำมันในตลาดโลกพุ่งกระทบเศรษฐกิจ เผยหากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยถึง 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะฉุดจีดีพีลดลง 0.1% คาดจีดีพีปีนี้โต 4.3-4.8% ปีหน้า 4.5-6% ลงทุนรัฐปั๊มเศรษฐกิจ จับตาปัญหา"ซับไพร์ม"

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้ปรับประมาณการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจใหม่ โดยอยู่ระดับใกล้เคียงกับที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม คือ คาดว่า จะขยายตัว 4.3-4.8% จากเดิม 4-5% แต่มีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะอยู่ที่ 4.5% เนื่องจากเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ขยายตัวมากกว่า 4.4% และการส่งออกปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13-15%

ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองคลี่คลายลง หลังจากมีการกำหนดวันเลือกตั้ง 23 ธันวาคมนี้ ส่วนตัวเลขอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2551 คาดว่าจะอยู่ที่ 4.5-6%

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปรับราคาสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบ จาก 63.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 64.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หากราคาน้ำมันยังสูงถึง 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะกระทบอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ลดลง 0.1%

อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังมั่นใจว่า จะคงอัตราเงินเฟ้อไว้ได้ แม้ประมาณการณ์ล่าสุด เงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.8-2.3% เพราะมีการขยับราคาค่าโดยสาร

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยง เรื่องความเชื่อมั่นของเอกชน ที่อาจจะไม่เร่งตัวขึ้นมาก ตามที่คาดหวังหลังการเลือกตั้ง เพราะการลงทุนของภาคเอกชนในปีนี้จะชะลอตัวลง 0.5% หรือกรณีดีที่สุดคือขยายตัว 0.5% ขณะที่การลงทุนำภาครัฐ เติบโต 3.5-4.5% การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 1-2% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังประเมินว่า ในปี 2551 การลงทุนน่าจะเร่งตัวขึ้น โดยการลงทุนภาครัฐจะอยู่ที่ 8.5-9.5% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 8-9%

สำหรับการลงทุนภาครัฐและเอกชนชะลอลงต่อเนื่องจากไตรมาส 2 โดยผู้บริโภคมีเงินแต่ไม่ยอมใช้จ่าย ทำให้ผู้ผลิตมีสินค้าในสตอกสูง ทำให้คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2550 จะเกินดุลถึง 8,500-9,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะการนำเข้าเติบโตเพียง 8.5-10.5% ยังมีปัจจัยเสี่ยงปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐ ที่อาจจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลก และส่งผลต่อการส่งออกของไทยในระยะต่อไป
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/1 ... sid=193942

news19/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 6:56 pm
โดย chartchai madman
กสิกรจับตาทุนสำรองกระฉูด

โพสต์ทูเดย์ กสิกรเตือน ธปท.โดดเข้าแทรกค่าบาทดันทุนสำรองพุ่งหวั่นขาดทุนเพิ่ม


ธนาคารกสิกรไทย ได้จัดทำรายงาน แบงก์ชาติกับภารกิจการแทรกแซงค่าเงินบาท ว่า หากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังเข้าแทรกแซงตลาดเงินเพื่อให้ค่าเงินบาททรงตัวในระดับปัจจุบัน ก็มีโอกาสเห็นตัวเลขเงินทุนสำรองต่างประเทศพุ่งสูงขึ้นอีก เนื่องจากค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น

ทั้งนี้ จากปัจจัยภายนอกประเทศ คือ ทิศทางเงินเหรียญสหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศหลังจากที่ต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตในตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่ยังอยู่ในช่วงขาลงนี้ทำให้สินทรัพย์สกุลเงินเหรียญสหรัฐลดความน่าสนใจลง เห็นได้จากตัวเลขการลงทุนล่าสุดของสหรัฐในเดือน ส.ค.ที่เป็นยอดเงินทุนไหลออกสุทธิสูงถึง 6.93 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับที่เกินดุลประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในเดือนก่อนหน้า

ประการสำคัญยังเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 17 ปีนับจากปี 2533 ซึ่งหากภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวจนสามารถดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมาได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขเงินทุนไหลออกจากสหรัฐจะเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ เงินทุนเคลื่อนย้ายจากสหรัฐส่วนหนึ่งได้ไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย เห็นได้จากการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นภูมิภาค รวมทั้งตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ได้ขยับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปีเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยดัชนียังเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ระดับ 900 จุด ทำให้ความต้องการเงินบาทเพิ่มสูงขึ้น และทำให้เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งโดยรวมล้วนเป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาทปรับตัวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอีกในช่วงที่เหลือของปี ทำให้ ธปท.ต้องเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อป้องกันไม่ให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นจนส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวย่อมหมายถึงการที่เงินทุนสำรองของประเทศจะเพิ่มระดับสูงขึ้นอีก

ประเด็นท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไปจึงอยู่ที่ว่า ธปท.จะบริหารจัดการเงินทุนสำรองที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ให้เกิดประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้อย่างไร เฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เงินทุนสำรองที่เพิ่มขึ้น ดังกล่าวประกอบด้วยสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ที่นับวันจะยิ่งเสื่อมค่าลง ธนาคารกสิกรไทยระบุ

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาสัดส่วนเงินทุนสำรองของไทยในช่วงปี 2547-2550 กลับพบว่า ดัชนีทุกตัวอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศอุตสาหกรรม คำถามคือ ในภาวะที่ความสำคัญของเงินทุนสำรองในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการดูแลค่าเงินบาทได้ลดลงแล้วนั้นมีความจำเป็นเพียงใดที่ ธปท.จะต้องมีการดำรงเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศไว้ในระดับสูงดังเช่นปัจจุบัน

ทั้งนี้ ธปท.รายงานว่า ณ วันที่ 5 ต.ค. 2550 ทุนสำรองระหว่างประเทศ อยู่ที่ 7.96 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยก่อนหน้านี้ทุนสำรองเคยพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกินกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. และปัญหาการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังมีอยู่อย่าง ต่อเนื่อง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198363

news19/10/07

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 19, 2007 7:18 pm
โดย chartchai madman
แจงผลงานเอฟทีเอ4ชาติดุลการค้าพุ่ง

โพสต์ทูเดย์ พาณิชย์ ประเมินผล 3 ปี ไทยทำเอฟทีเอกับ 4 ประเทศ ยอดส่งออกไปตลาดคู่ค้าพุ่งกระฉูด


น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมได้ประเมินผลการใช้ข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับ 4 ประเทศ พบว่า การค้าของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เริ่มจากเอฟทีเอไทย-ออสเตรเลีย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2548 ทำให้การค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้น โดยช่วง 8 เดือนแรกของปี 2550 (ม.ค.-ส.ค.) ไทยส่งออก 3,560 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 33.1% นำเข้า 2,591.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.6% ไทยเกินดุลการค้า 969 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เกินดุลเพียง 354 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่วนการแก้ไขอุปสรรคทางการค้า ออสเตรเลียได้ประสานการจัดสรรสินค้าที่มีโควตา โดยเฉพาะนม ซึ่งกรมปศุสัตว์เสนอให้คณะกรรมการพัฒนาโคนมและผลิตภัณฑ์พิจารณา เพื่อให้ได้โควตาที่เหมาะสม มีเวลาให้เกษตรกรปรับตัว

นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายกำลังอยู่ในขั้นเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการ ซึ่งประเด็นที่หารือ ได้แก่ นโยบายการแข่งขัน และการทบทวนการใช้มาตรการปกป้องพิเศษใน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ความตกลงมีผลบังคับใช้

ด้านเอฟทีเอไทย-นิวซีแลนด์ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2548 ช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ไทยส่งออก 383 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.7% นำเข้า 226 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 27.9% เกินดุลการค้า 156 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เกินดุลอยู่ 116 ล้านเหรียญสหรัฐ

ล่าสุด ทั้ง 2 ฝ่ายยังได้เริ่มเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการ และการทบทวนการใช้มาตรการปกป้องพิเศษ รวมทั้งการเจรจาเรื่องจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ขณะที่ไทยได้แก้ไขกรณีเปลี่ยนวิธีนับพิกัดภาษีศุลกากรใหม่ ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าถั่วลันเตาแห้งภายใต้ข้อตกลงเดิม 0% เป็น 18% แล้ว

เอฟทีเออาเซียน-จีน 8 เดือนแรกไทยส่งออก 9,205 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 27.2% นำเข้า 10,569 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.9% ส่งผลให้ไทยขาดดุล 1,364 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ขาดดุลลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่ขาดดุลอยู่ 1,578 ล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะนี้ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ระหว่างเจรจาด้านการลงทุนและจัดทำตารางข้อเสนอผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการของไทยชุดที่ 2 หลังจากที่ชุดที่ 1 ได้ลงนามแล้วเมื่อ 2550

สุดท้ายเอฟทีเอไทย-อินเดีย 8 เดือนแรก ไทยส่งออกมูลค่า 1,798 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 62.6% นำเข้า 1,303 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.4% โดยไทยเกินดุลการค้า 494 ล้านเหรียญสหรัฐ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=198419

news20/10/07

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 20, 2007 10:55 am
โดย chartchai madman
โพลแบงก์ชาติ ชี้นักธุรกิจขาดความมั่นใจ โค้งสุดท้ายปีนี้เชื่อยังไม่ฟื้นตัว  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
18 ตุลาคม 2550 06:55 น.  

      ธปท.เผยผลสำรวจความคิดเห็นนักธุรกิจทั่วประเทศ ประจำไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ระบุ นักธุรกิจส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปีและปีหน้าจะฟื้นตัวได้ เหตุราคาพลังงานสูง ค่าบาทผันผวน และยังไม่มั่นใจสถานการณ์การเมืองว่าจะนิ่งจริงหรือไม่หลังเลือกตั้ง
     
      รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แจ้งว่า ทีมวิเคราะห์สนเทศธุรกิจ สายนโยบายการเงิน ธปท. ได้รายงานแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 3 ของปี 2550 ซึ่งเป็นผลการสำรวจความคิดเห็นของนักธุรกิจในสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ พบว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 และผลประกอบการของภาคธุรกิจยังทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่ยอดผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้เริ่มปรับตัวสูงขึ้น
     
      ทั้งนี้ เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนโดยรวมยังไม่ดีขึ้น และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายสินค้า และบริการยังคงซบเซา ยอดขายด้านค้าส่งและค้าปลีกชะลอลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ผู้ผลิตสินค้าต้องการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ยังทำได้ลำบากเพราะการแข่งขันสูง จึงต้องแบกรับต้นทุนเอาไว้ โดยในช่วงที่ผ่านมานักธุรกิจส่วนใหญ่ยังชะลอการลงทุนใหม่ หรือการขยายธุรกิจ เพื่อรอความชัดเจนในเรื่องทิศทางนโยบายของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
     
      สำหรับความคิดเห็นของนักธุรกิจต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะต่อไป พบว่า นักธุรกิจทั่วประเทศ มองว่า แนวโน้มในครึ่งปีหลังของปี 2550 และปี 2551 ภาวะเศรษฐกิจไทยอาจจะยังไม่ฟื้นตัวดีขึ้น แต่จะอยู่ในภาวะทรงตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกของปีนี้ จากผลของราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน มีเพียงนักธุรกิจในเขตกรุงเทพ และภาคกลางที่มองว่า แนวโน้มน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยนักธุรกิจ 48% มองว่า ผลประกอบการของภาคธุรกิจ ในระยะต่อไปมีแนวโน้มทรงตัว นักธุรกิจ 28% มองว่า ผลประกอบการของภาคธุรกิจ ในระยะต่อไปมีแนวโน้มดีขึ้น ขณะที่ 24% มองว่า มีแนวโน้มแย่ลง
     
      อย่างไรก็ดี สถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นการอุปโภคบริโภค และยอดขายสินค้าให้ปรับตัวดีขึ้นจากความมั่นใจที่ดีขึ้นของประชาชน นอกจากนั้น หากสถานการณ์ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป 23 ธ.ค.2550 นี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผู้ประกอบการส่วนใหญ่แสดงความพร้อมที่จะลงทุนมากขึ้น
     
      แต่ยังขึ้นปัจจัยเสี่ยงที่จะเข้ามากระทบ โดยนักธุรกิจส่วนใหญ่มีความกังวลและไม่เชื่อมั่นสถานการณ์ทางการเมือง ว่าจะมีเสถียรภาพได้อย่างแท้จริงหรือไม่ รวมทั้งความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐภายหลังการเลือกตั้งในเรื่องปลายปี ขณะที่ความเสี่ยงด้านภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป นักธุรกิจยังคงกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากความผันผวนในด้านต่างประเทศที่เข้ามากระทบเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000123334

news21/10/07

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 21, 2007 8:00 am
โดย chartchai madman
ฝ่ากระแสฟันด์ โฟลว์-รับเลือกตั้ง ลดพอร์ตหุ้น ถือเงินสด

21 ตุลาคม พ.ศ. 2550 05:00:00


วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้

จัดพอร์ตลงทุนอย่างไร ท่ามกลางกระแสเงินทุนนอก "ทะลัก" เข้าสู่ตลาดหุ้นไทย และก่อนเลือกตั้งปลายปี...

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นักวิเคราะห์ด้านฟันด์ โฟลว์ เตือนภัยหุ้นไทยอาจขึ้นก่อน แล้ว "ลงแรง" ในช่วงปลายเดือนนี้ (ตุลาคม) หากเม็ดเงินทุนนอกไหลกลับ กรณีเฟดไม่ปรับลดดอกเบี้ยในวันที่ 31 ตุลาคม 2550

แนะลดพอร์ตลงทุน "หุ้น" ให้เหลือไม่เกิน 50% ส่วนที่เหลือถือ "เงินสด" และกองทุนตราสารหนี้ เลี่ยงความเสี่ยงยามตลาดหุ้นกระแทก "ลงแรง" แล้วค่อยเข้าซื้ออีกครั้ง...  
เผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.บัวหลวง

แม้ว่าดัชนีหุ้นไทยจะไต่ระดับขึ้นไปแตะจุดสูงสุดระหว่างวันที่ 908.83 จุด เมื่อ 16 ตุลาคม 2550 แต่...ในมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินการลงทุนในหุ้นไทย อาจจะเผชิญกับปัจจัย "เสี่ยง" ที่จะหัน "หัวลง" ได้ทุกเมื่อ

นักลงทุนจึงจำเป็นต้องลงทุนอย่างระมัดระวังในช่วงนี้

วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมาได้ในช่วงเดือนนี้ เป็นผลมาจากการขับเคลื่อนของฟันด์ โฟลว์ หรือเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลทะลักเข้ามาต่อเนื่อง แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นความเสี่ยงต่อการลงทุน เนื่องจากเม็ดเงินทุนเหล่านี้จะไหลออกไปเมื่อใดก็ได้ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง หรือเป็นลักษณะการขึ้นก่อนแล้วปรับตัวลง

ปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบหุ้นไทยที่วิศิษฐ์ให้น้ำหนักมากที่สุดจะมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะนโยบายเรื่องอัตรา "ดอกเบี้ย" ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

วิศิษฐ์ บอกว่า สิ่งที่นักลงทุนจะต้องระวังในช่วงปลายเดือนนี้ (ตุลาคม) ก็คือ ต้องจับตาดูว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่ในวันที่ 31 ตุลาคม 2550 ซึ่งผลที่ออกมาจะส่งผลกระทบจากฟันด์ โฟลว์ ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคและหุ้นไทยแตกต่างกัน

กรณีที่เฟด "ไม่" ปรับลดดอกเบี้ย เขาคาดว่าเม็ดเงินทุนนอกจะไหลกลับไปลงทุนในตลาดพันธบัตรของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้เกิดการเทขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงหุ้นไทย

กรณีที่เฟดปรับ "ลด" ดอกเบี้ยลง จะเป็นตัวบ่งบอกว่า เศรษฐกิจของสหรัฐ เกิดการถดถอยแท้จริง ผลที่ตามมาก็คือ เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจะไหลออกจากสหรัฐ เพื่อไปหาแหล่งลงทุนใหม่ โดยเฉพาะการเข้าลงทุนในตลาดเกิดใหม่ อย่างตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงหุ้นไทย

"ทุกครั้งที่เฟดลดดอกเบี้ยจะมีตลาดหุ้นอื่นๆ จะได้ประโยชน์ เช่น เมื่อปี 2530 เฟดลดดอกเบี้ย ได้ส่งผลให้หุ้นนิกเคอิทำจุดสูงสุดจากระดับ 8,000 จุด เพิ่มเป็น 16,000 จุด หรือในปี 2535 ดัชนี MSCI Emerging Market ปรับขึ้นสามเท่า และในปี 2541 หุ้นแนสแด็กขึ้นมาสี่ห้าเท่า หรือหุ้นไทยขึ้นไป 1,700 จุด ฉะนั้น หากเฟดลดในรอบนี้อาจทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงไทยจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย"

อย่างไรก็ตาม วิศิษฐ์ให้น้ำหนักที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเพียง 40% เท่านั้น โดยเขาให้ "น้ำหนัก" ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมมากกว่า จากตลาดเฟด ฟันด์ล่วงหน้า ที่คาดว่าเฟดจะไม่ปรับลดดอกเบี้ยลงอีก

นอกจากนั้น รายการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ของนักลงทุนต่างชาติ ก็เป็นตัวชี้ได้ว่า หุ้นไทยมีโอกาสที่จะขึ้น แล้วปรับตัวลงแรงมาก...

กูรู ฟันด์ โฟลว์ บอกว่า นับแต่เดือนกันยายนถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2550 ต่างชาติได้ซื้อสุทธิ (Net Long) ในตลาดอนุพันธ์แล้ว 2,200 รายการ และคาดว่าจะซื้อเพิ่มได้อีก 1,000 รายการ หรืออีกราว 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ตรงนี้ประเมินดัชนีหุ้นไทยได้ว่า จะทะลุ 900 จุดไปได้

"เราประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นไปได้ถึง 940-950 จุด แต่หากเมื่อใดที่ต่างชาติ "ปิดสถานะ" (Position) เมื่อใด หุ้นไทยจะร่วงลงค่อนข้างแรง"

ด้าน เผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.บัวหลวง ให้มุมมองว่า ในช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ ถ้ามองทางเทคนิค ถือว่าเป็นการ "ซื้อ" มากเกินไปแล้ว เงินที่เข้ามาจึงพร้อมทุกเมื่อที่จะขายทำกำไร โดยเฉพาะในหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ทุกบริษัท ขณะที่โอกาสที่หุ้นพวกนี้จะปรับตัวขึ้นต่อไปมากๆ ก็มีค่อนข้างจำกัดแล้ว

"สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หุ้นโภคภัณฑ์จะขึ้นต่อ หรือเกิดแรงขายทำกำไร ในระยะสั้นเรามองว่า จะเกิดการเทขายทำกำไร หากนักลงทุนขายทำกำไรในหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์พร้อมๆ กัน ก็จะทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเกิดความเสี่ยงได้"

ปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะการเมือง นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มั่นใจว่าจะเกิดการเลือกตั้งขึ้น แม้ว่าจะเลื่อนเวลาออกไปบ้าง

ที่น่ากังวลใจก็คือ การลงทุนในช่วงหลังการเลือกตั้ง อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความไม่มั่นใจได้ ซึ่งต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร

ฉะนั้น การจัดพอร์ตลงทุนในช่วงตลาดหุ้นผันผวน และรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ วิศิษฐ์ ให้แนวทางว่า ควรจัดพอร์ต ลงทุนในหุ้นลักษณะพีระมิด (รูปสามเหลี่ยมแนวตั้ง)

เขาหมายถึงว่า ยิ่งเมื่อใดที่ดัชนีหรือราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาก ก็ให้ลดน้ำหนักลงทุนลง หรือขายหุ้นออก แต่ให้เพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้น เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลง

"ช่วงที่หุ้นกำลังเป็นขาขึ้นเช่นช่วงนี้ เราแนะนำให้ลดพอร์ตลงทุน โดยให้เหลือหุ้นในพอร์ตไม่เกิน 50% ส่วนที่เหลือให้ถือเป็นเงินสด หรือลงทุนในกองทุนตราสารระยะสั้น (มันนี่ มาร์เก็ต) ซึ่งยังให้ผลตอบแทนที่ดี"

การเลือกหุ้นลงทุน เขาเสนอแนะให้พิจารณาหุ้นที่จะเกิดการ "เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง" (Structures Change) เช่น กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ หรือกลุ่มก่อสร้างที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปได้ ตลอดจนหุ้นบันเทิง สื่อสารบางตัว และกลุ่มแบงก์พาณิชย์ ซึ่งในปี 2551 จะมีการเติบโตของกำไรอย่างสูงมาก

แต่ให้นักลงทุนซื้อหุ้น เมื่อดัชนีหุ้นปรับตัวลงต่ำ จะเป็นจังหวะลงทุนที่ดี

ถ้าพิจารณาการเลือกหุ้น รับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น วิศิษฐ์ บอกว่า ถ้าดูจากสถิติการเลือกตั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา (นับจากปี 2539-2548) พบว่า ช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ไฟแนนซ์ และสื่อสาร จะมีราคาปรับเพิ่มขึ้น "โดดเด่น"

"สถิติพบว่า กลุ่มแบงก์ ไฟแนนซ์ และสื่อสาร จะขึ้นแรงรับการเลือกตั้งก่อน 1 เดือน โดยหุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์ ให้ผลตอบแทนถึง 9.2% กลุ่มไฟแนนซ์ 8.5% และกลุ่มสื่อสาร 7% ถือว่าให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่ 5.9%" วิศิษฐ์ กล่าว

ทางด้าน "เผดิมภพ" ให้แนวทางจัดพอร์ตก่อนรับเลือกตั้งว่า การที่ผลตอบแทนราคาพันธบัตรระยะกลางอายุ 1 ปีขึ้นไป เริ่มลดลงและไม่จูงใจเช่นที่ผ่านมา น่าจะเป็นจังหวะที่นักลงทุนลดสัดส่วนการลงทุนลง ด้วยการขายทำกำไรออกไปบ้าง และให้เตรียมนำเงินไปลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น

โดยให้เน้นหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเมือง 4 กลุ่ม คือ กลุ่มบันเทิง กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มรับเหมา และหุ้นส่งออก

"หุ้นบันเทิง แนะนำให้ซื้อ MCOT เพราะจะมีเม็ดเงินโฆษณาเข้ามามากขึ้นในช่วงเลือกตั้ง ขณะนี้ราคาหุ้นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากรัฐบาลมีแผนที่จะเปิดประมูลโรงไฟฟ้าในปีนี้ เราแนะนำ RATCH และ EGCO

กลุ่มรับเหมา แนะนำ ITD CK และ STEC

หุ้นเกี่ยวกับธุรกิจส่งออก เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เรามองว่าช่วงปี 2549-2553 จะเป็นขาขึ้นของธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จึงแนะนำ HANA DELTA และ CCET

หุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงและถือว่าน่าสนใจ เช่น กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ หากราคาปรับตัวลดลงก็สามารถเข้าซื้อได้ แนะนำ BANPU PTT PTTCH TOP " เผดิมภพ กล่าว

แม้ว่านักลงทุนกำลังมีความสุขกับตลาดหุ้นช่วง "ขาขึ้น" เพราะแรงผลักดันจากฟันด์ โฟลว์ แต่อย่าลืมระมัดระวัง และควบคุมความเสี่ยงเอาไว้ด้วย...
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/2 ... sid=193813

news22/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 22, 2007 9:59 pm
โดย chartchai madman
พาณิชย์เผยตัวเลขส่งออกเดือน ก.ย.โตร้อยละ 10.4  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
22 ตุลาคม 2550 19:26 น.

      รัฐมนตรีพาณิชย์เผยตัวเลขส่งออกเดือนกันยายนขยายตัว ร้อยละ 10.4 หลังจากได้รับอานิสงส์จากสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวขึ้น แต่สินค้าภาคการเกษตรกลับลดลง เนื่องจากปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และถูกมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐ พร้อมแนะจับตาราคาน้ำมัน และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กระทบส่งออกปี 2551
     
      นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงตัวเลขส่งออกเดือนกันยายนและ 9 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) ว่าเดือนกันยายน ไทยส่งออกคิดเป็นมูลค่า 13,276.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 10.4 ขณะที่ 9 เดือนแรกส่งออกได้ 110,597.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 17.6 ขณะที่สินค้าเกษตรอุตสาหกรรมการเกษตร และสินค้าอื่น ๆ ชะลอตัวลงร้อยละ 2.3 และร้อยละ 6.3 ตามลำดับ
     
      สาเหตุที่ทำให้สินค้าภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรชะลอตัวลง เนื่องจากประสบปัญหาค่าเงินบาทประกอบกับ ญี่ปุ่นซื้อสินค้าบางรายการจากประเทศอินโดนีเซีย และกรณีสหรัฐใช้มาตรการกีดกันทางการค้าในกลุ่มสินค้ากุ้งจากไทย แต่ยังเชื่อว่าการส่งออกในช่วงที่เหลือ 3 เดือนยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และน่าจะทำให้ภาพรวมการส่งออกตลอดปี 2550 เป็นไปตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์คาดไว้ที่ร้อยละ 12.5 หรือคิดเป็นมูลค่า145,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
     
      ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบผลิตเพื่อส่งออกในเดือนกันยายนมีมูลค่าทั้งสิ้น 11,310.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 โดยหมวดที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าทุนร้อยละ 10.9 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปร้อยละ 9.9 สินค้าอุปโภคบริโภคร้อยละ 28.8 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ร้อยละ 26.0 หมวดสินค้านำเข้าลดลง ได้แก่ เชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 10.2 สินค้าอาวุธยุทธปัจจัยและอื่น ๆ ร้อยละ23.1
     
      สำหรับสาเหตุที่นำเข้าเชื้อเพลิงลดลงมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น หลายประเทศหันมาใช้พลังงานทดแทน ทำให้การนำเข้าในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้มีมูลค่าทั้งสิ้น 102,143.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยเกินดุลการค้า โดยเดือนกันยายนอยู่ที่ 1,966.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.9 ส่งผลให้ดุลการค้า 9 เดือนแรกปี 2550ไทยเกินดุลการค้ารวม 8,454.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ไทยขาดดุลการค้า 685.4 ล้านดอลลาร์ศหรัฐและยังเชื่อว่าไทยจะได้ดุลการค้าเฉลี่ยทั้งปีเกิน 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
     
      แต่สิ่งที่กังวล คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกค่อนข้างชะลอตัวอาจเป็นปัจจัยทำให้การส่งออกปี 2551 อาจมีปัญหาแต่จากการติดตามปัญหาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลปัญหาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และถือว่านิ่งพอสมควรจึงคิดว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทย เพราะเห็นได้ชัดว่า การส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนมีอัตราการเติบโตมากกว่าร้อยละ12 อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 - 3 เดือนข้างหน้าเท่าที่ติดตามยังมีคำสั่งซื้อจากผู้นำเข้าจาก ต่างประเทศค่อนข้างมาก
     
      แต่สิ่งที่วิตกคือ สถานการณ์ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มผันผวนมาก และราคาปรับขึ้นได้อีกทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนต่อไปได้ จากการที่กระทรวงพาณิชย์ได้มีการหารือร่วมกับผู้ประกอบการสินค้า ผู้ผลิตส่วนใหญ่ยินดีที่จะไม่ขยับราคาสินค้า โดยจะตรึงราคาไปอีกระยะเพื่อไม่ให้กระทบกำลังซื้อผู้บริโภค แต่สิ่งที่ต้องติดตามตั้งแต่ต้นปีหน้าคือ อาจจะมีหลายรายการสินค้าขยับราคาบ้าง ซึ่งเชื่อว่าผู้บริโภคจะเข้าใจปัญหา
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000125384

news22/10/07

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 22, 2007 10:08 pm
โดย chartchai madman
ส่งออกก.ย.สร้างประวัติการณ์ใหม่มูลค่า 13,276.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

22 ตุลาคม พ.ศ. 2550 18:39:00

ส่งออกก.ย.สร้างประวัติการณ์ใหม่มูลค่า 13,276.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผล 9 เดือนแรก เกินดุลการค้า เฉียด 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :


1.การส่งออก

    การส่งออกเดือนกันยายน 2550 มีมูลค่า 13,276.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 10.40% เป็นการส่งออกที่มีมูลค่าสูงต่อเนื่องจากเดือนสิงหาคมที่ส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 13,911.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อคิดในรูปเงินบาท การส่งออกมีมูลค่า 454,866.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1

    สินค้าส่งออกสำคัญ  สินค้าอุตสาหกรรมยังขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.60 ในขณะที่สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรและสินค้าอื่นๆ ชะลอตัวลง ร้อยละ 2.3 และ 6.3 ตามลำดับ

    - สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญ การส่งออกชะลอตัวลง เนื่องจากการส่งออกลดลงของยางพารา กุ้งแช่เย็นและแปรรูป และน้ำตาล โดยยางพาราปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 5.2 และ 5.4 ตามลำดับ เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ญี่ปุ่นหันไปซื้อจากอินโดนีเซียมากขึ้น กุ้งแช่เย็นและแปรรูป ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 7.7 และ 9.3 ตามลำดับ เนื่องจากสหรัฐฯ ใช้มาตรการกีกกันทางการค้ากุ้งจากไทย และน้ำตาล ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 43.80 และ 53.4 ตามลำดับ ส่วนข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สินค้าอาหารประเภทอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และไก่แช่แข็งและแปรรูป ยังขยายตัวเพิ่มขึ้น โดย ข้าวปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 และ 27.4 ตามลำดับ สินค้าอาหาร มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 แต่ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 14.4 และ ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.9 เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบโดยเฉพาะอาหารทะเล ปลาทูน่าและการแข็งค่าของเงินบาท และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 29.5 และ ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.2 เนื่องจากปัญหาผลผลิตในประเทศลดลงและการแข็งค่าของเงินบาท

    - สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ส่วนใหญ่ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สินค้าที่สำคัญและขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 15 ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องใช้และเครื่องประดับตกแต่ง ผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ และปูนซีเมนต์ สินค้าสำคัญอื่นๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องสำอาง

    - ตลาดส่งออกสำคัญ ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยตลาดใหม่ขยายตัวร้อยละ 22.3 ขณะที่ตลาดหลักขยายตัวร้อยละ 0.5

    - ตลาดหลัก การส่งออกชะลอจัวลงในทุกตลาด ทั้งสหภาพยุโรป (15) และ อาเซียน(5) ขยายตัวร้อยละ 4.2 และ 6.3 ตามลำดับ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่ส่งออกลดลงเป็นเดือนแรกร้อยละ 1.3 สินค้าที่ส่งออกไปญี่ปุ่นลดลง ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า ยางพารา เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ ยังลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ห้าร้อยละ 6.6 สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลงได้แก่เสื้อผ้าสำร็จรูป เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และอัญมณีเครื่องประดับ เนื่องจากปัญหาการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ การแข็งค่าของเงินบาทและการยกเลิกการให้ GSP สินค้าไทย

    - ตลาดใหม่ ส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอัตราสูง ได้แก่ ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 79.3) อินเดีย (ร้อยละ 45.6) ฮ่องกง (ร้อยละ 43.5) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 27.7) จีน (ร้อยละ 25.3) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 22.2) ตลาดใหม่อื่นๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ แอฟริกา แคนาดา และลาตินอเมริกา เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2,7.6 และ 2.4 ตามลำดับ

    การส่งออกในระยะ 9 เดือนของปี 2550 มีมูลค่า 110,597.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1 คิดเป็นร้อยละ 75.8 ของเป้าหมายการส่งออกในรูปค่าเงินบาทการส่งออกมีมูลค่า 3,836,671.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 โดยมีการส่งออกเพิ่มขึ้นในทุกหมวด ทั้งหมวดสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าอื่นๆเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2, 16.8 และ 14.9 ตามลำดับ

    - สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญ ส่วนใหญ่ส่งออกเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ข้าว (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.1 และ 23.3) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง(ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 และ 27.6) สินค้าอาหาร (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 และ 12.1) และน้ำตาล (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 126.3 และ 96.9)

    - สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 15 ได้แก่ ยานยนต์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง (เหล็กและเหล็กเส้น) อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ และของเล่น สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-15 ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องใช้เดินทางแเละเครื่องหนัง/รองเท้า สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นต่ำกว่าร้อยละ 10 ได้แก่ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่งบ้าน

    ตลาดส่งออกสำคัญ การส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในตลาดใหม่และตลาดหลัก ร้อยละ 24.9 และ 9.2 ตามลำดับ ทำให้สัดส่วนการส่งออกไปตลาดใหม่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 46.0 ขณะที่สัดส่วนการส่งออกไปตลาดหลักลดลงเป็นร้อยละ 54.0 (ปี 2549 สัดส่วนตลาดใหม่ : ตลาดหลัก คือ 43.2 : 56.8)

    - ตลาดหลัก ขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่องใน 3 ตลาด ได้แก่ สหภาพยุโรป (15) อาเซียน (5) และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7,12.7 และ 10.7 ตามลำดับ ยกเว้นสหรัฐฯ ที่ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 3.2 เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว ภาวะการแข่งขันในตลาด การแข็งค่าของเงินบาท และการประกาศจะยกเลิกการให้ GSP สินค้าไทย

    - ตลาดใหม่ เพิ่มขึ้นทุกตลาด ที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ อินเดีย (ร้อยละ 60.6) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 63.9) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 30.9) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 34.4) แอฟริกา (ร้อยละ 31.6) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 28.0) จีน (ร้อยละ 27.0) และอินโดนีเซียและพม่า (ร้อยละ 17.3) ขณะที่ฮ่องกง เกาหลีใต้ และแคนาดา เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1,10.8 และ 5.6 ตามลำดับ

2.การนำเข้า

    การนำเข้าเดือนกันยายน 2550 มีมูลค่า 11,310.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.40 โดยหมวดสินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได่แก่ สินค้าทุน (ร้อยละ 10.9) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 9.9) สินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 28.8) สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ (ร้อยละ 26.0) สำหรับหมวดสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่ เชื้อเพลิง (ร้อยละ 10.2) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ (ร้อยละ 23.1)

    กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงเป็นสัดส่วนร้อยละ 95.5 ของการนำเข้ารวมของเดือนกันยายน 2550 มีดังนี้

    - สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้าขยายตัวลดลงร้อยละ 10.2 เป็นการนำเข้าน้ำมันดิบปริมาณ 22.4 ล้านบาร์เรล (745,089 บาร์เรลต่อวัน) มูลค่า 1,643 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 5.8 และ 2.3 ตามลำดับ

    - สินค้าทุน นำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ  10.9 โดยสินค้านำเข้าสำคัญได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.3 เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2

    - สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป นำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 สินค้าสำคัญที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 23.7) เคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 9.0) ส่วนเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 10.9 และ 4.1 ตามลำดับ และทองคำ ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 82.3 และ 82.9 ตามลำดับ

    - สินค้าอุปโภคบริโภค นำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.8 สินค้าสำคัญที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด (ร้อยละ 30.5) เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (ร้อยละ 40.0) เสื้อผ้า รองเท้าและผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆ (ร้อยละ 29.9) นาฬิกาและส่วนประกอบ (ร้อยละ 11.8) นมและผลิตภัณฑ์นม (ร้อยละ 29.3) และ ผัก ผลไม้ และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ (ร้อยละ 8.8)

    การนำเข้าในระยะ 9 เดือนของปี 2550 มีมูลค่า 102,143.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในหมวดวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 13.5) สินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 19.9) สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง (ร้อยละ 9.3) ส่วนสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 3.7) สินค้าทุน (ร้อยละ 0.1) สินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ (ร้อยละ 2.0)

3.ดุลการค้า

    ดุลการค้าเดือนกันยายน 2550 ไทยเกินดุลการค้า 1,966.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.9 ส่งผลให้ดุลการค้าในระยะ 9 เดือนของปี 2550 เกินดุลการค้ารวม 8,454.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขาดดุลการค้า 685.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

4.สรุปแนวโน้มการส่งออก การนำเข้า และดุลการค้า

    แนวโน้มการส่งออก

    กระทรวงพาณิชย์ ประเมินสถานการณ์ส่งออกสินค้าสำคัญปี 2550 โดยมีการประชุมหารือกับภาคเอกชนมาโดยตลอดทุกเดือน และจากตัวเลขการส่งในช่วง 9 เดือนปี 2550 มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 16.1 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้คือร้อยละ 12.5 รวมถึงกระทรวงพาณิชย์และผู้ส่งออกร่วมกันดำเนินมาตรการบุกเบิกและขยายตลาด ทั้งในตลาดใหม่และตลาดหลัก ดังนั้น จึงทำให้เชื่อมั่นว่าในปี 2550 จะสามารถส่งออกได้ไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้

แนวโน้มการนำเข้าและดุลการค้า

    กระทรวงพาณิชย์ได้มีการดูแลการนำเข้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนแจ้งแผนการนำเข้าเป็นรายเดือนรวม 10 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้า และ ผลิตภัณฑ์ทองคำ เครื่องจักรและส่วนประกอบ เครื่องจักรการเกษตร คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม อัญมณีและเครื่องประดับ และการติดตามการนำเข้าสินค้าเพื่อใช้ในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งทำให้สามารถคาดการณ์การนำเข้าในเดือนตุลาคม ได้ดังนี้

    แนวโน้มการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูปที่สำคัญ เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์เหล็ก โดยผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้ที่ 1.38 ล้านตัน ตามความต้องการใช้ในการผลิตเพื่อให้เพียงพอต่อการส่งออกและทดแทน Stock เดิมที่ใช้ไป เคมีภัณฑ์ คาดว่าจะมีการนำเข้ามูลค่า 870 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งตัวทำให้สามารถนำเข้าได้ในราคาที่ถูกลง อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของสินค้าฮาร์ดดิสก์ และคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องถึงสิ้นปี ส่วนการนำเข้าทองคำ ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้ 13.25 ตัน

    แนวโน้มการนำเข้าสินค้าทุนที่สำคัญได้แก่ คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการผลิตฮาร์ดดิสก์เพื่อการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ คาดว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ตามภาวะการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ส่วนเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วสนประกอบ คาดว่าจะนำเข้าใกล้เคียงกับเดือนกันยายน เนื่องจากเครื่องจักรไฟฟ้ามีอายุการใช้งานนาน ผู้ประกอบการยังใช้เครื่องจักรไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมได้

    แนวโน้มการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงที่สำคัญ คือ น้ำมันดิบ คาดว่าจะเป็นไปตามแผนที่ผู้นำเข้าแจ้งไว้กับกระทรวงพลังงาน คือนำเข้าปริมาณ 767,000 บาร์เรล/วัน

    สำหรับการนำเข้าสินค้าตามโครงการของรัฐและรัฐวิสาหกิจต่างๆ 14 หน่วยงาน ได้แจ้งแผนการนำเข้ามูลค่า 259.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะนำเข้าทั้งปี 2550 มูลค่าประมาณ 1,223.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : สำนักงานยุทธศาสตร์การพาณิชย์
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/2 ... sid=194882

news23/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 23, 2007 11:25 am
โดย chartchai madman
หุ้นดิ่งแนะกอดเงินสด

โพสต์ทูเดย์ ตลาดไทยดิ่งน้อยกว่าหุ้นโลก ดัชนีทรุด 1.8%


จันทร์ทมิฬ ตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนีดาวโจนส์เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ต.ค. ร่วงนำกว่า 2.64% หรือ 366.94 จุด ทุบตลาดหุ้นเอเชียและยุโรปดิ่งตาม เช่น ดัชนีฮั่งเส็ง ทรุด 3.7% หรือ 1,091.42 จุด ปิดที่ 28,373.63 จุด ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย วันที่ 22 ต.ค. ปรับตัวลงเพียง 1.80% หรือ 15.74 จุด ปิดที่ 860.09 จุด มูลค่าซื้อขาย เบาบาง 13,662.86 ล้านบาท

ด้านนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทยสุทธิ 488.68 ล้านบาท ส่วนสถาบันในประเทศทิ้งหนัก 1,290.45 ล้านบาท และรายย่อยเก็บ 1,779.13 ล้านบาท

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน (KKS) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนออกมาต่ำกว่าคาด และสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเรื่องหนี้อสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพของสหรัฐ (ซับไพรม์) เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติ ยังคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องมาตรการจะจำกัดเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้น ของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ซึ่งที่ผ่านมาทางการอินเดียได้ออกมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้า เพื่อดูแลค่าเงินรูปีที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว

ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงกว่า 89 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อาจจะกระทบต่อต้นทุนในส่วนของภาคอุตสาหกรรม แม้ขณะนี้ราคาน้ำมันเริ่มอ่อนตัวลง จึงมีการขายทำกำไรออกมาในหุ้นกลุ่มพลังงาน

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันที่ 24 ต.ค. คาดว่าน่าจะปรับตัวลดลงต่อ และต้องติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์และตลาดหุ้นในภูมิภาค เพราะเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในช่วงสัปดาห์นี้

แนวโน้มตลาดในระยะสั้นอาจจะแกว่งตัวลงต่อ แต่หากเด้งกลับให้รีบหาจังหวะขายทำกำไรหุ้นพลังงาน โดยแนะนำให้ถือเงินสด 75% และลงทุนหุ้น 25%

ด้าน บล.ทรีนีตี้ ออกบทวิเคราะห์ว่า อนาคตยังมีโอกาสที่เงินทุนต่างประเทศจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนตัวลงจะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน รวมถึงมีความเป็นไปได้สูงที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐรอบนี้จะลดดอกเบี้ยลง 0.25%

ด้านราคาหุ้นธนาคารไทยธนาคาร (BT) ดิ่งนรกตามคาด โดยเปิดที่ 2.04 บาท และปิดที่ 2 บาท ติดลบ 0.66 บาท หรือ 24.81% เพราะเป็นวันแรกที่ขึ้นเครื่องหมาย XR ผู้ซื้อไม่สิทธิในหุ้นเพิ่มทุน สัดส่วน 1 ต่อ 2 ราคาหุ้นละ 1.73 บาท รวมถึงธนาคารยังประกาศผลขาดทุนสูงกว่า 2.8 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปีนี้

ด้านธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ผลงานก็แย่ลง โดยไตรมาส 3 ขาดทุนสุทธิ 3,891 ล้านบาท หรือ 1.84 บาทต่อหุ้น เพราะมีการตั้งสำรองสูงถึง 5,652 ล้านบาท

บริษัท ทีพีไอโพลีน (TPIPL) แจ้งว่า ไตรมาส 3 ปี 2550 มีกำไรสุทธิ 449.66 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.23 บาท กำไรสุทธิลดลง 38.86%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199078

news23/10/07

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 23, 2007 2:30 pm
โดย chartchai madman
น้ำมันโลกดัน"ราคาก๊าซ"กระฉูด ผู้ผลิตจุกต้นทุนพุ่ง100%

ราคาน้ำมันพุ่งสูงสุด ดันก๊าซขยับแตะถังละ 300 บาท ค่าขนส่งขึ้นราคา 10% ส่งผลเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กชักแถวปรับราคา ผนวกปัจจัยโลกร้อนดันวัตถุดิบอาหารพุ่ง ผู้ผลิตอ่วมแบกต้นทุนเพิ่ม 100% ส่งราคาสินค้าขยับพรวดพราด กรมการค้าภายในยันขึ้นราคาได้แต่ขอดูเหตุผล คาดดีเซล-เบนซินแพงเป็นประวัติการณ์ แบงก์ชาติชี้น้ำมัน 81 ดอลลาร์/บาร์เรลฉุดจีดีพีเหลือแค่ 4.3%

ราคาสินค้าได้กลายเป็นเรื่องร้อนในช่วงปลายรัฐบาลชุดนี้ มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบ "อาจจะ" ปรับขึ้นไปถึง 100 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่ราคาธัญพืชโดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชน้ำมัน ทั้งข้าวโพด-ถั่วเหลือง พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้น จนผู้ประกอบการต้องแห่กันออกมาขอปรับราคาสินค้า

นอกจากนี้ก๊าซหุงต้ม (LPG) จะประกาศปรับราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มขึ้นมาอีก ก.ก.ละ 1.29 บาท ส่งผลให้ก๊าซหุงต้มถัง 15 ก.ก.ปรับราคาขึ้นไปเกือบถังละ 300 บาท ในภาวะที่กองทุนน้ำมันต้องการลดการชดเชยราคาก๊าซลงอย่างต่อเนื่อง

ต้นทุนขึ้น อาหารแห่ร้องขอปรับราคา

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการสินค้าอุปโภค-บริโภคตลอดสัปดาห์นี้เข้ามาว่า หลังจากที่กรมการค้าภายในได้ "ร้องขอ" ให้ผู้ประกอบการ "ชะลอ" การปรับราคาสินค้าออกไปก่อนนั้น ปรากฏผู้ผลิตสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนสินค้าปรับขึ้นมากที่สุดจะอยู่ในกลุ่มของอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งของใช้ที่จำเป็นต่อการครองชีพซึ่ง กรมการค้าภายในจะเชิญผู้ประกอบการสินค้าในกลุ่มนี้เข้ามาหารือเป็นการเฉพาะอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 22 ตุลาคมนี้

โดยผู้ประกอบการสินค้าผลิตภัณฑ์นมรายหนึ่งกล่าวว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากราคาน้ำนมที่ปรับสูงขึ้น 100% จากที่เคยซื้อประมาณ 2,000 เหรียญ/ตัน ปรับขึ้นเป็น 4,200 เหรียญ/ตัน ขณะที่ผู้ผลิตนมถั่วเหลืองซึ่งใช้เมล็ดถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบในการผลิตกว่าร้อยละ 80 ก็ได้รับผลกระทบเมื่อถั่วเหลืองมีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้น 2 เท่า นอกจากนี้ยังมีต้นทุนจากนมผง เนย และน้ำมันรวมกันเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 60 ด้วย

ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการอาหารสัตว์ซึ่งเป็นต้นทางของการผลิตเนื้อสัตว์และไข่แจงว่า วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ปรับราคาขึ้นมาโดยตลอด โดยเฉพาะข้าวโพดกับถั่วเหลือง เนื่องจากมีความต้อง การพืชน้ำมันไปใช้ในการผลิตเอทานอลมากขึ้น เพราะข้าวโพดถูกนำไปผลิตเป็นเอทานอลในสหรัฐ "อย่างราคาข้าวโพดในช่วงกลางปี เราประมาณการไว้ว่า ตลอดทั้งปี (2550/51) น่าจะไม่เกิน 7 บาท/ก.ก. แต่ราคา FOB ขณะนี้ขยับขึ้นไปถึง 8.04 บาท/ก.ก.แล้ว ราคาถั่วเหลืองก็เช่นกัน ได้ขยับขึ้นไปถึง 13.53 บาท/ก.ก.นั้น เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำไมราคาหมู เนื้อ ไก่ และไข่ ปรับตัวอยู่ในเกณฑ์สูงตลอดปีนี้"

ส่วนผู้ประกอบการสินค้ากลุ่มเหล็กกล่าวว่า ปีนี้ ถือเป็นปีที่หนักของอุตสาหกรรมเหล็ก เนื่องจากตลาดเหล็กภายในประเทศซบเซา อีกทั้งราคาวัตถุดิบในตลาดโลกยังปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.ดีมานด์การบริโภคเหล็กของตลาดจีนเพิ่มมากขึ้น, 2.ต้นทุนพลังงานที่ใช้ในการผลิตเหล็กเพิ่มขึ้น และ 3.ค่าขนส่งปรับสูงขึ้น ทำให้ราคาวัตถุดิบในตลาดโลกมีราคาทรงตัวสูง แต่ผู้ประกอบการใช้วิธีการลดสต๊อกในประเทศให้เพียงพอกับดีมานด์ภายใน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ปัญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่กำลังแข่งขันกันอัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นการบริโภคสินค้ายานยนต์ที่ซบเซาในช่วงนี้

ด้านนายวิกรม วัชระคุปต์ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาสินแร่เหล็กที่เป็นวัตถุดิบผลิตเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปกติตันละ 20 เหรียญสหรัฐ เป็น 100 เหรียญสหรัฐ สุดท้ายผลิตภัณฑ์เหล็กต่อเนื่องต้องมีการปรับราคาขึ้นตาม และคาดว่าเป็นระดับราคาที่สูงอย่างนี้ไปอีกนาน

ค่าขนส่งบวกลบ 10%

นายสุวัฒน์ นวลขาว ผู้จัดการฝ่ายขนส่งและคลังสินค้า บริษัทกรีนสปอต กล่าวว่า ทางบริษัทได้มีเงื่อนไขข้อตกลงกับผู้ที่เข้ามารับงานขนส่งเป็นรายเดือน โดยทุกวันที่ 1 ของทุกเดือนจะมาพิจารณาค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น-ลงแล้วยึดตามฐานราคานั้นบวก-ลบ 10% หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น สมมุติวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาราคาน้ำมันเฉลี่ยลิตรละ 30 บาท หากมีการบวกเพิ่ม 10% จะเท่ากับ 3 บาท หากรถขนส่งวิ่งจากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ใช้น้ำมัน 1,000 ลิตร คูณราคาน้ำมันลิตรละ 30 บาท บวกราคาน้ำมันที่ขึ้นไปอีกลิตรละ 3 บาท ทางบริษัทจะจ่ายเงินส่วนต่างของราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง แต่การจ่ายจะมีการเฉลี่ยโดยรวมเที่ยววิ่งทั้งหมดในแต่ละเดือนคิดคำนวณ ไม่ใช่คิดเป็นรายเที่ยว และหากราคาน้ำมันลงจะต้องหักออก 10% เช่นกัน

รายงานข่าวจากบริษัทขนส่งด่วนระหว่างประเทศหลายรายให้ความเห็นทำนองเดียวกันว่า ทางบริษัทจะระบุเงื่อนไขให้ลูกค้าทราบว่าจะมีการคิดค่าความผันผวนของราคาน้ำมันบวกเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากอัตราค่าบริการปกติที่คิดกับลูกค้า ถ้าราคาน้ำมันเพิ่มก็บวกเพิ่ม โดยมีอัตราเฉลี่ยคิดตามระยะทางไม่เท่ากัน

ขึ้นราคาสินค้าดูที่ "วัตถุดิบ" เป็นหลัก

ทางด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมการค้าภายในจะยึดหลักการดูแลราคาสินค้า 3 แนวทางคือ การปรับราคาต้องมีเหตุผล ต้องเป็นธรรม และต้องค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญก็คือสินค้ารายการใดจะขึ้นราคาต้องมีเหตุผลสอดคล้องกับสถานการณ์การปรับขึ้นราคาของวัตถุดิบเป็นหลักเพราะถือว่ามีสัดส่วนโครงสร้างต้นทุนสูงที่สุดถึง 75% และจะต้องเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่สำคัญคือจะต้องปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป หมายถึงมีช่วงเวลาที่ปรับ อาจจะปรับเป็นขยักๆ ระดับราคาก็ต้องสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้ยอมรับการใช้หลักสตางค์ เพราะหากปรับขึ้นราคาสินค้าหลักสตางค์ในบางรายการ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มีสัดส่วนร้อยละ 20 ของมูลค่าสินค้าที่จำหน่ายอยู่ที่ราคา 5 บาท ส่วนเวลาที่เหมาะสมในการปรับขึ้นราคานั้น ควรจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว โดยผมมองว่า ควรจะเป็นช่วงหลังการเลือกตั้ง

ที่สำคัญการปรับราคาสินค้าในช่วงนี้ยังถือว่าเป็นช่วงที่ไม่เหมาะสมอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่าจะไม่ให้มีการขึ้นราคาเลย หากผู้ผลิตสินค้ามีความจำเป็นจริงๆ ก็จะพิจารณาให้

ทั้งนี้กรมการค้าภายในได้ศึกษาถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในอัตรา 0.76 บาท/ลิตร ปรากฏ จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการผลิตสินค้าในกลุ่มสำคัญๆ คือ ปูนซีเมนต์กระทบต้นทุนร้อยละ 0.57, นมร้อยละ 0.20, อาหารสำเร็จรูป รวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปร้อยละ 0.20, เครื่องแบบนักเรียนร้อยละ 0.12 และกระดาษเช็ดหน้าร้อยละ 0.11

โดยสินค้า 5 รายการแรกที่จะกระทบอัตราเงินเฟ้อสูงสุด ได้แก่ 1) นมสดร้อยละ 0.0753 2) ผงซักฟอกร้อยละ 0.0753 3) น้ำอัดลมร้อยละ 0.0501 4) นมผงร้อยละ 0.0412 และ 5) น้ำมันพืชร้อยละ 0.0346

ก๊าซหุงต้มเตรียมขึ้นราคา

แหล่งข่าวในกระทรวงพลังงานเปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการรายงาน "แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซหุงต้ม (LPG)" เข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยกระทรวงพลังงานพบว่า ปัญหาของการกำหนดราคาก๊าซหุงต้มในประเทศด้วยวิธี "กึ่งลอยตัว" มาตั้งแต่ปี 2544 ได้ก่อให้เกิดปัญหา 5 ประการคือ

1) ปัจจุบันราคาก๊าซในตลาดโลก "สูงกว่า" ราคาก๊าซในประเทศถึง 200-300 เหรียญ/ตัน จูงใจให้ผู้ประกอบการค้าก๊าซส่งออกก๊าซออกไปจำหน่ายนอกประเทศมากกว่าการขายภายในประเทศ 2) ราคาก๊าซ LPG "ต่ำกว่า" ราคาน้ำมัน ส่งผลให้ภาคขนส่ง (รถแท็กซี่-รถยนต์นั่งส่วนบุคคล) เปลี่ยนมาใช้ก๊าซหุงต้มแทนน้ำมัน รวมไปถึงภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนมาใช้ก๊าซแทนน้ำมันเตามากขึ้น 3) ราคาก๊าซหุงต้มในประเทศ "ต่ำกว่า" ประเทศเพื่อนบ้าน ก่อให้เกิดการลักลอบส่งออกก๊าซหุงต้ม 4) การใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น ทำให้รัฐขาดรายได้จากการส่งออกและสูญเสียโอกาสที่จะนำก๊าซไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอย่างเต็มที่ และ 5) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรับภาระในการชดเชยราคาก๊าซเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันกองทุนฯมียอดค้างชำระเงินชดเชยค่าก๊าซกับผู้ประกอบการสูงถึง 7,500 ล้านบาท

วิธีการแก้ไขก็คือต้องยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม โดยปรับขึ้นราคาขายส่ง แต่ให้คงราคาก๊าซ ณ คลังทั่วประเทศให้จำหน่ายในราคาเท่ากัน โดยมีการทำแบบจำลองการปรับราคาก๊าซหุงต้มล่าสุดอยู่ที่ 1.29 บาท/ก.ก.หรือ 19 บาท/ถัง 15 ก.ก.ภายในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2550 จากปัจจุบันที่ขายอยู่ที่ 18.10 บาท/ก.ก. หรือ 272 บาท/ถัง ซึ่งการปรับราคาก๊าซหุงต้มขึ้นไปดังกล่าว ทางกระทรวงพลังงานเชื่อว่าจะกระทบต่อค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและผู้ประกอบการอาหารไม่มากนัก กล่าวคือ

ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น 19 บาท/เดือน จากการใช้ก๊าซหุงต้มขนาด 15 ก.ก. 1 ถัง หรือ อาหารสำเร็จรูปจะเพิ่มขึ้น 0.04 บาท/จาน จากการใช้ก๊าซหุงต้มขนาด 48 ก.ก. ซึ่งเป็นผลกระทบจากการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มภายในประเทศที่ กระทรวงพาณิชย์ยอมรับได้

คาดน้ำมันเลวร้ายสุด

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นในช่วงนี้ ธปท.ได้ตั้งสมมติฐานราคาน้ำมันดูไบในกรณีเลวร้ายหรือกรณีราคาน้ำมันสูงที่สุดเฉลี่ยที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีทั้งปีโต 4.3% จากประมาณการที่คาดไว้ 4.3-4.8% ซึ่งอยู่บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในไตรมาส 4 เฉลี่ยอยู่ที่ 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนอัตราเงินเฟ้อแม้จะมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น แต่ประเมินแนวโน้ม 8 ไตรมาสข้างหน้ายังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1-18 ต.ค. ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 74.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นอกจากนี้ ธปท.ยังตั้งสมมติฐานราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก กรณีราคาน้ำมันในไตรมาส 4 เฉลี่ยอยู่ที่ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จีพีดีจะขยายตัว 4.4% ขณะที่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนตุลาคม 2550 ธปท.ได้ปรับประมาณการจีดีพีอยู่ที่ 4.3-4.8% จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ 4-5% ซึ่งใช้สมมติฐานราคาน้ำมันไตรมาส 4 เฉลี่ย 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และทั้งปีเฉลี่ย 64.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.8-1.3% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.8-2.3%

"ความไม่แน่นอนของราคาน้ำมันและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แบงก์ชาติจะประเมินและทบทวนสมมติฐานและประมาณการใหม่อีกครั้งในการประชุมคณะ กรรมการนโยบายการเงินครั้งหน้าวันที่ 4 ธ.ค.นี้ และจะออกรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับต่อไปเดือนมกราคม 2551 ซึ่งจะทำให้เห็นภาพเศรษฐกิจปีหน้าชัดเจนขึ้น เพราะทิศทางการเมืองชัดเจนขึ้นว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล" นางสุชาดากล่าว

หนาวน้ำมันพุ่งถึง 100 ดอลล์

ราคาน้ำมันดิบงวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนในตลาดสิงคโปร์ในช่วงบ่ายวันที่ 19 ตุลาคมเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 89.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากราคาในการซื้อขายเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ตลาดนิวยอร์กพุ่งทะยานขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยราคาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 90.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลก่อนจะปรับลดลงมาปิดที่ระดับ 89.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้นมาจากการที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้น้ำมันกลายเป็นสินค้าที่ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนเข้ามา ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างตุรกีและอิรัก โดยกองทัพของตุรกีเตรียมตอบโต้กองกำลังชาวเคิร์ดที่อยู่ในบริเวณตอนเหนือของอิรัก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันที่สำคัญ

"เท็ตสึ อีโมริ" ผู้จัดการกองทุนแอสต์แม็กซ์ในโตเกียว กล่าวว่า ส่วนหนึ่งของน้ำมันดิบจากตอนเหนือของอิรักถูกส่งมาจากตุรกี นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเทรดเดอร์ถึงจับตาดูสถานการณ์นี้ใกล้ชิด

ด้าน "เควิน นอร์ริช" นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์ส แคปิตอล มองว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้อาจดันให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์ เพียงแต่รอว่าเมื่อไรเท่านั้น

ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันในประเทศไทย นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. เปิดเผยว่า แม้ราคาน้ำมันดิบในตลาดสหรัฐได้ปรับตัวสูงขึ้นไปถึง 90 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ปตท.ยังไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีก แม้ค่าการตลาดจะเหลือแค่ 10 สตางค์/ลิตร ซึ่งปกติจะต้องไม่ต่ำกว่า 1.20 บาท/ลิตร เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบในเรื่องค่าครองชีพของประชาชนตามมา และทำให้ ปตท.ต้องแบกรับภาระขาดทุนวันละ 20 ล้านบาท เพราะหาก ปตท.ปรับขึ้นราคาน้ำมัน ค่าขนส่งจะต้องปรับขึ้นตาม และอาจเป็นเหตุผลให้ผู้ผลิตสินค้าปรับขึ้นราคาตามมาอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันราคาน้ำมันขายปลีกชนิดเบนซิน 95 อยู่ที่ 30.39 บาท/ลิตร หากผู้ค้าน้ำมันปรับขึ้นราคาอีก 40 สตางค์/ลิตร จะทำให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นไปอยู่ที่ 30.79 บาท/ลิตร เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดีเซลปัจจุบันอยู่ที่ 27.34 บาท/ลิตร หากปรับขึ้นอีก 40 สตางค์/ลิตร จะทำให้น้ำมันดีเซลขึ้นไปอยู่ที่ 27.74 บาท/ลิตร ซึ่งจะเป็นราคาน้ำมันที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และจะทำให้ผู้ประกอบการเรือโดยสารที่ถูกเบรกไม่ให้ขึ้นค่าโดยสาร 2 บาท/ระยะ และเรือข้ามฟาก 1 บาทก่อนหน้านี้ ขอปรับราคาขึ้นได้ เพราะเข้าหลักเกณฑ์ที่ทางการกำหนดไว้
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201