แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 301

โพสต์

หากดูกิจการสิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่ควรใส่ใจคือ อัตรา Turnover พนักงาน
อัตรา Turnover พนักงาน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญตัวหนึ่งในการดูกิจการด้วย
โดยในโลกปัจจุบันนั้น พนักงานมีทางเลือกมากมายในการหารายได้ โดยที่ไม่พึ่งพาเงินเดือนของบริษัทอย่างเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว บริษัทค่อนข้างที่หาเจ้าหน้าที่/พนักงานมาทำงานอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่นั้น
ยังมีภาพของการแก่งแย่งชิงตัวพนักงาน/เจ้าหน้าที่ เก่ง หรือ ดึงตัวไปทำงานเลย

เมื่อบริษัทสูญเสีย เจ้าหน้าที่/พนักงานเก่งๆไปแล้ว ก็ทำให้บริษัทอ่อนแอลงไป เหมือน
ทีมฟุตบอลอาร์เซน่อลที่ขายนักเตะระดับแนวหน้าออกจากทีมทุกปี ซึ่งสโมสรได้กำไรอย่างมาก
เนื่องจากซื้อมาในราคาค่อนข้างถูกแล้วนำมาปั่นให้เป็นนักเตะระดับแนวหน้าในระยะเวลาไม่กี่ปี
แต่ทว่า สโมสรก็ไม่ได้แชมป์อะไรติดมือมาตลอดทางเลย สโมสรก็ใช้ระยะเวลาหนึ่งในการสร้างนักเตะใหม่
ขึ้นมาทดแทนนักเตะระดับแนวหน้าที่ขายไป ดังนั้น บริษัทเองก็ต้องให้ความสำคัญในการที่ให้เจ้าหน้าที่/พนักงาน
อยู่กับบริษัทนานเท่าที่บริษัทสามารถทำได้

แต่อย่างไรเสีย มีแนวความคิดอันหนึ่งที่แก้ไขในเรื่องนี้คือ Outsource แต่ทว่า มันแก้ไขไม่ได้เนื่องจาก
สิ่งที่พนักงานทำนั้นคือ Core business มิใช่สิ่งที่สามารถ outsource ให้บริษัทอื่นทำได้นั้นเอง
ถ้าหากทำได้ก็จะเห็นแล้ว

ถึงกระนั้นก็มีแนวความคิดในเรื่องการแก้ไขปัญหานี้อยู่แต่ทว่า แก้ไขในแง่ของจำนวนพนักงานเท่านั้น
เนื่องจากขาดแคลน ต้องสร้าง ก็ให้สถานบันการศึกษาป้อนนักเรียน/นักศึกษามาฝึกงานนั้นเอง
ทำให้ภาวะที่ขาดแคลนพนักงานสามารถแก้ไขได้ แต่ทว่า มันก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และสร้างขึ้นมาทดแทนอยู่ดี

เรื่องคนนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก มันเป็นเรื่องใหญ่ของทุกองค์กร
แต่ถ้าหากคุณเห็นองค์ไหนที่อัตรา Turn Over ของพนักงานระดับร้อยละ 40 ต่อปี
มันก็น่าคิดว่า องค์กรต้องเสียเวลาในการอบรมเจ้าหน้าที่ใหม่เพื่อทดแทนเจ้าหน้าที่เดิมเท่าไร และประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ใหม่นั้นได้ระดับดีเท่าเดิม หรือแย่กว่าเดิมหรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าคิดละ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 302

โพสต์

ก้าวที่เปลี่ยนไปหลังจากประมูล 2100,1800 และ 900 MHz เสร็จแล้ว
การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น ได้เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่ประมูล 2100 MHz
บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นบริษัทแม่ ก็ได้จดจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อเข้าร่วมประมูลคลื่น 2100MHz
ต่อมาเมื่อมีการประมูลเคลื่น 1800 MHz ก็ใช้บริษัทเดิมในการประมูล แต่ทว่าเริ่มมีการแข่งขันด้านราคาขึ้น
จุดเมื่อครั้นประมูล 900 MHz ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมคือ ใช้บริษัทลูกที่อยู่นอกตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เข้าร่วมประมูล สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ บริษัทแม่เริ่มทำตัวเป็น Holding Company ในด้านการลงทุนแทน
และให้บริษัลูกดำเนินการให้บริการโทรศัพท์มือถือแทน
ดังนั้น แผนการดำเนินการด้านต่างๆ บริษัทที่อยู่นอกตลาดแจ้งหรือไม่แจ้งก็ได้ ทำให้นัลกงทุนติดตามข้อมูลได้ยากกว่าเดิม
และการจัดทำงบการเงินรวมมีความสำคัญมากขึ้นก่าแต่ก่อน
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 303

โพสต์

ทำไมค่าเงินถึงได้ขึ้น
อันนี้ตอบง่ายๆว่า มี ดิวเรื่องเงินทองๆรออยู่ หลาย ดิว
ที่เพิ่งจบไปก็คือดิวของบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งระดมทุน 1:1 @ 3 บาทจำนวน 250,020,799 หุ้น
ก็ประมาณ 750 ล้านบาท
ตามดูบริษัทที่ไปซื้อ Modern trade อันนี้เพิ่มทุน 2,400,000,000 หุ้นที่ 35 บาทแบ่งเป็น 2 รอบ
รอบแรก 1,592,221,000 หุ้น ระหว่างวันที่ 13-15 และ 20-21 กรกฎาคม 2559
รอบที่สอง 796,641,400 หุ้น ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 4 สิงหาคม 2559
ก้อนนี้ประมาณ2,388,862,400 หุ้น 83,610,184,000 บาท (ไม่ใช่เงินภายนอกประเทศทั้งหมดแต่ก็มี)

ตัวต่อไปเป็น ธนาคารที่ต่างชาติ ซื้อ PP โดยรอธนาคารแห่งประเทศไทยและ ธนาคารกลางของประเทศของผู้ซื้ออนุมัติ
คาดว่าไตรมาส 3/2559 นี้แหละ อีกประมาณ 7,545 ล้านหุ้น ที่ 2.2 บาท อันนี้ประมาณๅ 16,599 ล้านบาท

แล้วกองทุนรวมที่ใหญ่ที่สดของประเทศทดแทนกองทุนเดิมในประเภทเดียวกัน ระดม 100,000 ล้านบาทนั้น
ไม่แน่ใจว่า ให้ประชาชนทั่วไปเท่าไร แต่ทว่าที่น่าสนใจว่า ระดับกองทุน 100,000 ล้านบาท เข้าระดมทุนนั้น
ดัชนีตอนนั้นจะ new high ตลอดกาลหรือเปล่า ด้วยขนาดกองทุนที่ใหญ่มากๆ ถ้าหากฐานเงินในระบบไม่ขยาย
หรือเงินไม่ Fund อย่างดี กองทุนมันจะขายไม่ออก ประชาชนไม่สนใจ ต้องสร้างความสนใจให้ประชาชน
น่าคิดว่าสร้าง กระแสกองทุนนี้อย่างไรดีหนอ
(ย้อนไปดูกองทุนตัวก่อนหน้าได้ว่า ช่วงที่ออกนั้นคือ peak สุดๆๆ ของดัชนีช่วงหนึ่งเลย เพราะ ขนาดของกองทุน62,510.4 ล้านบาท ตอน IPO )
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 304

โพสต์

ประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับการปั่นจักรยานบนทางพิเศษ (ทางด่วน) สายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ที่กำลังจะเปิด ในเดือนสิงหาคม 2559 นี้ แต่ให้เหล่านักปั่นไปปั่นก่อนที่ไม่สิทธิ์ปั่นบนทางหลังจากเปิดให้บริการ ในวันที่ 13 สิงหาคม 2559 เวลา 06.00 -10.00 น. ปิดลงทะเบียนเวลา 09.30 น. โดยจุดลงทะเบียนที่ด่านฯพระราม7 แถววัดสร้อยทอง ระยะทางในการปั่นครั้งนี้ ไปกลับ 10 กิโลเมตร
นานๆมากแล้วกิจกรรมการปั่นบนทางพิเศษไม่มี ดังนั้นไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
รายละเอียดเพิ่มเติม
http://www.bemplc.co.th/project_express ... %B8%87%E0%

ใบสมัครที่ต้องกรอก
http://www.bemplc.co.th/upload_editor/f ... M_BIKE.pdf

แล้วไปเจอะเจอกันได้ในวันที่ 13 สิงหาคม 2559 ครับ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 305

โพสต์

อนาคตของ CPU
เมื่อสองวันที่แล้ว มีข่าวเรื่อง Softbank เข้าซื้อหุ้นของ ARM Holding
มูลค่าที่ซื้อเรียกว่า สูงมหาศาลเลยที่เดียว มีหลายคนบอกว่า ซื้อเพราะค่าเงินเยนแข็งค่า และ ค่าเงินยูโรอ่อนค่า
เป็นผลมาจาก Brexit นั้นเอง แต่อย่างไรเสีย หากมองลงไปที่อุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องกับมือถือ
CPU ของอุปกรณ์เคลื่อนที่ ที่ใช้งานนั้นนั้น มาจาก Chip ที่สร้างบนพื้นฐานของ ARM นั้นเอง

ถ้าหากเปรียบเทียบกับยุคก่อนหน้านี้ เป็นยุคของ Personal Computer และ Notebook
ณ ตอนนั้น ก็มีการต่อสู้ระหว่างสองค่ายคือ RISC (Reduced Instruction Set Computer)และ CISC (Complex instruction set computing) โดย ค่ายของ RISC เป็น CPU ที่มาจาก ค่าย SPARC (มีตั้งของ IBM และ SUN ที่ผลิตออกมา) ,Chip ในตระกูล Power หรือ PowerPC เป็นต้น ส่วนอีกค่าย(CISC) นั้นมีตัวคู่ชกคือ Intel inside,AMD , Motorola 6800, 6809 and 68000-families เป็นต้นนั้น กาาต่อสู้ดังกล่าว ผู้ชนะคือ CISC โดยหัวหอกมาจาก Intel นั้นเอง

ในปัจจุบันนั้น CPU ของมือถือ หรือ Tablet นั้น ส่วนใหญ่อยู่บนพื้นฐาของ RISC ที่เกิดจาก ARM ตัวอย่างเช่น iphone นั้นเอง
โดยที่ส่วนแบ่ง CPU ประเภท CISC (Intel) นั้น มีน้อยมากๆ

Arm Holding ไม่เพียงมีแต่ CPU ยังมีการออกแบบ Graphic Processor Unit ด้วย ใช้ชื่อ Mali นั้นเอง
ในการซื้อครั้งนี้อาจจะมองว่าราคาสูงมากเกินไปหรือเปล่า และอนาคตของ ARM oั้นเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 306

โพสต์

ผลกระทบของราคาน้ำมันลดลง
ช่วงนี้มีลุ้นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสำหรับพญานกอินทรีย์ ปัจจัยที่ดูกันหลักๆนั้นมีหลากหลายองค์ประกอบมาพิจารณา อาทิ
อัตราการว่างงาน ,เงินเฟ้อ ,การขยายตัว GNP ,ผลกระทบจากเศรษฐกิจในกลุ่ม เป็นต้น
สิ่งหนึ่งที่เป็นสินค้ากระทบต่อ GDP และ GNP ที่มากที่สุดตัวหนึ่งคือ ราคาน้ำมันดิบ
เมื่อราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น โดยที่เพิ่มอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้เงินหมุนได้ว่องไว
แต่เมื่อไรที่ราคาน้ำมันดิบลดลง นั้นคือ เงินเฟ้อลดลง และ เศรษฐกิจมันก็หมุนไม่คล่องตัว
ทำไมเป็นเช่นนี้ เพราะ บริษัทที่ลงทุนในเรื่องของน้ำมัน นั้นเป็นบริษัทขยายใหญ่ เงินทุนเพียบ ในตอนที่น้ำมันขาขึ้น
ก็เร่งขุด เร่งหาแหล่งน้ำมัน เพิ่มขึ้น เร่งสร้างโรงกลั่น เพิ่มกำลังการผลิต แต่เมื่อขาลงก็ลดต้นทุน ให้พนักงานออก
รัดเข็มขัด พิจารณาแต่โครงการที่เป็นไปได้ เพื่อใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าตอนที่ราคาน้ำมันราคาแพง
ดังนั้นช่วงนี้จึงเห็นผลกระทบราคาน้ำมันลดลงอย่างเด่นชัดขึ้น เมื่อปลดเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันอยู่เนื่องนิด
ซึ่งพนักงานแต่ละคนนี้เงินเดือนมิใช่น้อยๆกัน เมื่อปลดออกก็ต้องหางานอื่นๆทำ (ชีวิตต้องเดินต่อไป เพราะ ต้องผ่อนบ้านผ่อนรถ ลูกต้องเรียน ) ดังนั้น ก็ทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ก็ทำให้เศรษฐกิจจากที่ดีๆ ก็ชะลอตัว
แต่ทว่า เมื่อน้ำมันลดลง สิ่งที่แปลกในเมืองไทย คือปริมาณการใช้น้ำมันกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน/น้ำมันโซฮอลล์
มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ แต่ทว่า รถไม่ได้ติดสาหัสสากรรณเมื่อตอนมาตรการรถยนต์คันแรก ในปี 2555-2556 รถในบางเส้นทางกลับขับแล้วโล่ง หรือขับได้เรื่อยๆ ไม่ได้ติดมากมายอะไร ในเมืองกรุง ดังนั้นเป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ภาคส่วนไหนที่ใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น สำหรับในการนี้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 307

โพสต์

การลดอันดับความน่าเชื่อถือหรือทีเรียกกันว่าเครดิต เรตติ้ง มีความสำคัญมากแค่ไหน
การลดอันดับความน่าเชื่อถือ(เครดิต เรตติ้ง) นั้นเป็นอันดับที่กำหนดมาจากบริษัทผู้ประเมินเครดิตเรตติ้ง
โดยในโลกใบนี้มี 2-3 บริษัทที่จัดทำข้อมูลเครดิต เรตติ้ง ซึ่งในวงการการเงินการธนาคาร นั้นให้ความสำคัญอย่างมาก
คือ S&P ,Fitch ,Moody's investor ที่ยอมรับกัน
โดยเมื่อบริษัทใดบริษัทหนึ่งลดอันดับลง มันทำให้ตราสารหนี้ระดับประเทศหรือตราสารหนี้ภาคเอกชนนั้น
ต้องเพิ่มส่วนชดเชยความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน โดยเพิ่มในส่วนของดอกเบี้ยมาชดเชย สำหรับการออกตราสารหนี้รอบใหม่หลังจากประกาศอันดับเครดิต เรตติ้งแล้ว ส่วนของเดิม นั้นขึ้นอยู่กับตัวสัญญาของตราสารหนี้ว่า มีระบุในส่วนชดเชยความเสี่ยงหรือไม่
ถ้าไม่มีก็ไม่กระทบต่อดอกเบี้ยตามหน้าตราสารหนี้ แต่ทว่ามันมีผลกระทบ คือ เมื่อบริษัทโดนลดอันดับเครดิตเรตติ้งแล้ว มันทำให้นักลงทุนมองว่า จำเป็นต้องหาอะไรชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ก็ต้องมีการปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยที่บริษัทยังคงจ่ายดอกเบี้ยเท่าเดิม ยกเว้นเสียว่า เครดิตของบริษัทที่ถูกจัดอันดับแย่มากๆ จนทำให้เกิด Default เกิดขึ้น บริษัทก็ต้องจ่ายเงินต้นคืนทันทีตามเอกสารสัญญา
ส่วนบริษัทประกันภัย/ประกันชีวิต เมื่อโดนลดอันดับ เครดิต เรตติ้ง มันส่งผลทำให้บริษัทต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น
อันนี้ต้องอธิบายว่า บริษัทประกันภัยสามารถส่งเบี้ยไปยังบริษัทประกันภัยอื่นๆได้ โดยที่ส่งต่อนั้น ต้องดูอันดับ เครดิต เรตติ้งของบริษัทที่ส่งเบี้ยต่อไปให้ว่า บริษัทนั้นมีเครดิต เรตติ้งเท่าไร หากอยู่ในอันดับที่ A ขึ้นไปก็ตั้งสำรองเบี้ยที่ส่งให้น้อยกว่า อันดับ BBB นั้นเอง (อันนี้ตามกฏระเบียบ)
ดังนั้นเมื่อมีการลดอันดับเครดิต เรตติ้ง อาจจะส่งผลทำให้รายได้บริษัทประกันภัยลดลงได้/บริษัทที่ส่งเบี้ยให้ก็ต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นไปด้วย นั้นเอง

ส่วนถ้าหาเพิ่มอันดับเครดิตเรตติ้ง ก็ส่งผลกลับจากสิ่งที่ได้อธิบายไว้
แต่สิ่งต่อไปที่อธิบายคือ เครดิตระดับประเทศ นี้ก็สำคัญ เพราะบริษัทนั้นต้องมีสังกัดอยู่ ถึงแม้น่า เป็นบริษัทที่มีฐานการผลิตหลายประเทศก็ตามแต่อย่างไรเสีย บริษัทก็ต้องมีสังกัด(ประเทศ)
เมื่อประเทศโดยบริษัทจัดอันดับเครดิตทั้งหลายลดอันดับก็ทำให้ มีโอกาสที่บริษัทโดนลดเครดิต เรตติ้งตามมา (อันนี้เรียกได้ว่า เห็นแมลงสาบเดินในบ้านตัวเดียว มันอาจจะไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่มันเป็นฝูงนั้นเอง)

สิ่งที่อธิบายนั้นบางครั้นนักลงทุนงงว่าความน่าเชื่อถือมีความสำคัญต่อการดำเนินงานอย่างไร ก็ต้องอ่านข้างบนอีกรอบหรือหลายรอบ แล้วให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขียนไปนั้นจริงหรือเปล่า
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 308

โพสต์

แอบเซ็งนิดหน่อย
เมื่อวานนี้ไปเดินเลือกซื้อของอยู่ชิ้นหนึ่ง ที่เคาร์เตอร์ในห้างแห่งหนึ่ง
พนักงานขายเปิดราคาของสินค้าออกมาครั้งแรก คือราคาป้าย แล้วบอกว่า พี่ๆ นู๋มีโปรโมทชั่นให้พี่
สินค้าตัวนี้ลดราคา 30% จากราคาป้าย แล้วบอกสรรพคุณโน้นนินั้น เลย จากนั้น
หว่านล้อมต่อว่า พี่ๆ ถ้าพี่เอาจริงๆ นู๋ลดให้เพิ่มเติมจาก 30% ไปอีก 5% และสามารถผ่อนกับบัตรเครดิตได้ด้วย
เอาซิงานนี้ตาเริ่มโต แต่ทว่า ที่คิดคือ แล้วกระดาษที่บริษัทให้มาแล้วนอนอยู่ในกระเป๋าเป้ที่นำมาด้วย เขียนส่วนลด 30%
แล้วมันคืออะไรละเนี่ย
สุดท้ายคือไม่ได้ซื้อ ไปหาความรู้ก่อนดีกว่า (ถอยดีกว่า)

ปล. ไม่ต้องถามว่าไปซื้ออะไร เดี๋ยวเวลาเป็นเครื่องที่ให้คนอ่านในนี้รู้ว่ามันคืออะไรในภายหลังเมื่อเจอะเจอกัน
:)
:)
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 309

โพสต์

เจอ กับ พวกร้านของ อะไหล่รถ เหมือนกัน 5555
แบตโรงงาน 1000 นิด = ราคาป้าย
เปลี่ยนจริงโดนไปเกือบสองพัน

ยางปัดน้ำฝน ราคา โรงงาน 60 บาท
เปลี่ยนจริง โดน 200

ราคาไม่สูงมากเลยปล่อยๆมันไป ขี้เกียจถามเหตุผล
หรือจับผิดการตั้งราคาหลอก

ทำให้ผม นึกถึงตอนเดินสะพานเหล็กเลย
เพลย์ หัวเหล็ก หัวพลาสติก ห่านไรไม่รู้
พอบอกจะเอาตัวที่บอกมว่าราคาถูกสุด
หัวอ่าน พลาสติกไม่เป็นไร เขากะบอกหมดสตอค
show me money.
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 310

โพสต์

องค์กรแห่งความรู้ Knowledge base Company
องค์กรในประเทศไทยหลายต่อหลายองค์กรมีปัญหาอย่างมากมาย ในเรื่องที่พนักงานออกแล้วองค์ความรู้นั้นได้หายไปด้วย
โดยองค์ความรู้ขององค์กรไม่ได้อยู่กับตัวองค์กรเอง แต่ไปผูกติดกับตัวบุคคล ดังนั้น หากถ้าองค์กรนั้นมี Turn over rate สูง
องค์กรแย่ลงแย่ลงไป ซึ่งพบได้จากองค์กรที่ใช้แรงงานที่มีฝีมือ อาทิ องค์กรที่เป็น IT,องค์กรพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ,องค์กรที่มีความรู้เฉพาะด้าน นั้นเอง
สิ่งเหล่านี้ ถ้าหากองค์กรไม่มีแนวทางที่รองรับอย่างดีพอ ก็ทำให้องค์กรนั้น ล่มสลายไป หรือ ไม่พัฒนาเจริญก้าวหน้าต่อไป
ถึงแม้นว่า องค์กรบอกว่า ฉันได้ ISO ต่างๆ นานา แต่ว่ามันไม่ได้การันตีว่า องค์ความรู้นั้นอยู่กับตัวองค์กร
จุดนี้แหละที่นักลงทุนลืมพิจารณากันไปว่า องค์กรที่เราลงทุนนั้นมีความรู้อยู่กับองค์กรหรือผูกติดกับตัวบุคคลากร
ถ้าหากอ่านใน 56-1 ของทุกบริษัท ก็เขียนไว้ว่า คล้ายกันว่า องค์กรในความเชียวชาญในอุตสาหกรรรมที่อยู่
แต่ทว่า ทำไมเมื่อมีความเชียวชาญแล้ว ไม่เกิดการพัฒนา ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้น รายจ่ายที่ลดลง ในเมื่อการทำงานก็ซ้ำๆเดิม เมื่อ 10 ปีที่แล้วยังทำแบบไหน ก็ยังทำแบบนั้น ไม่พัฒนาไปไหน ไม่เกิดการฆ่าสิ่งที่เคยทำอยู่ แล้วก่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่า
สิ่งที่ดีกว่านั้น ก่อให้เกิดคุณภาพชีวิตของพนักงานที่ดีกว่า บริษัทก็พลอยได้ผลที่งอกงามไปด้วย
ดังนั้นการที่องค์กรมีความรู้และไม่มีความรู้ในตัวนั้น มันแตกต่างกันเสียจริงๆ

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 311

โพสต์

IT เปลี่ยนแปลง
ตอนนี้น่าสนใจว่า ยุคของ IT นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เน้นที่ง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยาก ลดพนักงานในส่วนของปฏิบัติการลง
โดยเฉพาะในส่วนของผู้ดูแลระบบ เพราะอะไรหรือ เพราะว่า ตอนนี้เทคโนโลยี่ Cloud (ก้อนเมฆ) นั้นมาพร้อมกับ แนวคิดที่ว่า
พัฒนาลงบน Mobile Device ก่อนแล้วค่อยไปพัฒนาบน Desktop ซึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ในยุค 2000's นั้น พัฒนาบน Web ก่อนแล้วค่อยบนระบบแม่ข่ายและลูกข่าย ถ้าหากย้อนไปอีก พัฒนาบนระบบแม่ข่ายและลูกข่าย หากย้อนไปถึงระบบ Mainframe ก็คือพัฒนาบนเครื่องแม่ข่ายเป็นหลัก ลูกข่ายแค่ป้อนข้อมูลเท่านั้น
เมื่อเป็นเทคโนโลยี่ก้อนเมฆ สิ่งที่ลดลงคือ ยุบรวมเครื่องแม่ข่าย+Network Switch +Storage เข้าด้วยกัน เป็นแค่เครื่องเดียว
ได้อะไร คือประหยัดเนื้อที่ในการตั้งเครื่องต่างๆ ,ลดค่าไฟฟ้าที่ใช้งาน,อุณหภูมิของห้องไม่ร้อนเหมือนเดิม (หนาวกว่าเดิม)
แถมพัฒนาไปพัฒนามา แค่ Click เท่านั้นเองอยู่ การปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยการออก Patch ที่มาอุดช่องโหว่งต่างๆ ทำได้ภายในคลิ๊กเดียว เหมือนประชาชนทั่วไปที่ update โปรแกรมบนมือถือ กันเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้น ยังสามารถทดสอบก่อนที่ติดตั้งจริงได้ว่า มีผลกระทบอะไรบ้างที่เกิดขึ้น ,มีลำดับขั้นตอนในการติดตั้งว่าต้องลงลำดับ Patch อะไรก่อนหลัง แถมยกมาจากโรงงาน ตั้งค่าอะไรนิดหน่อยก็สามารถทำงานได้แล้ว ไม่ต้องมีติดตั้งอะไรต่อมิอะไรเหมือนเมื่อก่อนนี้ให้ยุ่งยากเสียเวลา ไม่เพียงแค่นั้น เจ้าของผลิตภัณฑ์สามารถรู้ว่าอุปกรณ์เสียได้โดยการแจ้งเตือนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต (ถ้าหากต่อและมีการต่อระยะเวลาการบำรุงรักษาของเครื่องหรือระบบกับเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกว่า MA)
งานนี้เรียกว่า ทำของใหม่เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ฆ่าสิ่งเดิมเพื่อให้ได้สิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมนั้นเอง
ถ้าหากเราไม่ฆ่าผลิตภัณฑ์เดิม ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ดีกว่าเดิมเกิดได้อย่างไร
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 312

โพสต์

การเปลี่ยนแปลง E-Money ในการควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นควบคุมการกิจการที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับธนาคาร ไม่เพียงเท่านั้น ยังควบคุมกิจการการปล่อยสินเชื่อ และ ธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์อย่างเช่น บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)​,บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด(มหาชน),บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน),บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด,บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)​,บริษัท แรบบิท-ไลน์ เพย์ จำกัด บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด,บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด เป็นต้น (ตรวจสอบได้ที่https://www.bot.or.th/Thai/PaymentSyste ... vider.aspx)

มีประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส 6/2559 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ ประกาศใน่ราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 บังคับใช้ในวันถัดไป โดยมีเนื้อหาที่สำคัญคือ
1. บัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่บันทักมูลค่านั้นเป็นเงินสกุลบาทหรือสกุลต่างประเทศก็ได้และต้องกำหนดมูลค่าสูงสุด
2. ไม่สามารถออกบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ในลักษณะสินเชื่อได้
3. ธุรกิจสนับนุนต่องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นรายกรณี
4. แยกบัญชีเงินที่ได้รับล่วงหน้าจากผู้บริโภคออกจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทอย่างชัดเจน
5. เงินที่รับล่วงหน้าจากผู้บริหาร ฝากไว้เป็นเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ หรือ สถานบันทางการเงินเฉพาะกิจ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งไม่ต่ำกว่ามูลค่ายอดคงค้างของเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้รับล่วงหน้าจากผู้บริโภค
6. ดำรงอัตราส่วนระหว่างส่วนของผู้ถือหุ้นและยอดคงค้างของเงินที่ได้รับล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ร้อยละ 8 (ส่วนของผู้ถือหุ้นคิดจากงบการเงินสิ้นปี หรืองบการเงินไตรมาส 2 ส่วนยอดคงค้างของเงินที่ได้รับล่วงหน้า ติดย้อนหลัง 6 ไตรมาส ย้อนหลัง แบบ Moving average)
7.กำหนดเกณฑ์ อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อต่อยอดคงค้างของเงินที่ได้รับล่วงหน้า หากน้อยกว่าร้อยะล 12 และ ร้อยละ10
8.จัดให้มีระบบตรวจสอบย้อนหลังและป้องกันมิให้ผู้ใช้บิรการโอนเงินระหว่างกันโดยไม่ผ่านระบบของผู้ให้บริการ
9. Outsource รับผิดชอบเสมือนผู้ประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์
10.ระบบไม่หยุดชะงักเกิน 24 ชั่วโมง
11. ตรวจสอบด้านเทคโนโลยี่สารสนเทศปีละครั้ง และส่งรายงานให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยภายใน 30 วัน หลังจากทำการตรวจสอบแล้วเสร็จ
12. หากมีการปรับเปลี่ยน/ปรับปรุงรายละเอียดเกี่ยวกับค่าบริการ ค่าธรรมเนี่ยม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ แจ้งให้แก่ผู้บริโภครับทราบไม่น้อยกว่า 30 วัน
13. เงื่อนไขของคืนเงินสดต้องแจ้งให้ผู้บริโภคให้รับทราบและการขอแลกคืนเป็นเงินสดต้องจัดใ้หมีการคืนเงินภายใน 15 วันหลังจากวันที่ผู้บริโภคได้ดำเนินการขอแลกคืน
14. เปิดสาขาใหม่แจ้งภายใน 30 วันหลังวันสิ้นไตรมาส และ ย้ายหรือปิดสาขา แจ้งภายใน 14 วันก่อนเริ่มดำเนินการ
15. จัดส่งงบการเงินและส่งงบการเงินงวด 6 เดือนแรกให้แก่ธปท ภายใน 45 วันหลักวันสิ้นงวด และ ส่งงบการเงินที่ผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตให้แก่ ธปท ภายใน 90 วันหลังวันสิ้นงวด
16. จัดทำรายงานตามแบบที่ธปท กำหนดทุกเดือน ส่งภายใน 30 วันหลังวันสิ้นงวด

ต่อมามีประกาศของ ธปท ที่ ฝนช.(23) ว. 12/2559 ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2559 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีเนื้อหาในประกาศที่สำคัญคือ
1. ดำรงอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อยอดคงค้างของเงินที่ได้รับล่วงหน้า ณ สิ้นไตรมาส ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 และมีการกำกับดูแลในลักษณะ Prompt Preventive Action ในกรณีที่อัตราส่วนดังกล่าวต่ำกว่า ร้อยละ 12 และร้อยละ 10
2. สามารถออก E-money เป็นเงินสกุลเงินต่างประเทศได้ และสามารถใช้งานที่ต่างประเทศไทย โดยต้องกำหนดมูลค่าสูงสุดกำกับไว้
3. ธุรกิจที่สนับสนุนของอนุญาจาก ธปท เป็นรายกรณี
4. Operation เช่นเพิ่ม/ลดสาขา เป็นต้น รายงานเป็นรายไตรมาส

ขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขข
ยาวหน่อยแต่เริ่มเห็นภาพแล้วว่า ธุรกิจเติบโตแรงๆ ตอนนี้เริ่มโดนควบคุม
หลังๆธนาคารก็ลงมาในตลาดบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ดังนั้นต้องดูกันต่อไปว่าตลาดนี้ใครเป็นผู้นำ
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 313

โพสต์

เมื่อโปเกม่อนบุกเมืองไทย
เมื่อวานนี้ (6 สิงหาคม 2559) Application ที่ชื่อ Pokemon Go นั้น สามารถทำการ Download ได้ในเมืองไทย
ทั้งระบบ Anroid และ iOS ประชาชนทั่วไปเฝ้าตั้งหน้าตั้งตารอคอยการ Download Application ดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
มาซักระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเปิดใช้งานจริง มีแต่คนเล่น ถือ Mobile ตามหา Pokemon กันเลยทีเดียว
แต่ว่า Pokemon shop ใน Application นั้นมีความแปลกมากๆ คือ เป็นสถานที่ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่น พระพุทธรูป พระภูมิเจ้าที่ ป้ายต่างๆ มาทำเป็นจุดที่สำคัญในเกม ซึ่งโดยทั่วไปนั้น เป็นสถานที่ อาทิเช่น โรงแรม โรงเรียน สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ นั้นเอง

ในส่วนของมือถือนั้น ต้องเปิดใช้ GPS ตลอดเวลาในการเล่น สิ่งนี้แหละที่ทำให้ แบตเตอรีที่เคยใช้งานได้อย่างยาวนานนั้น ใช้งานได้ลดลงอย่างมากๆ จนต้อง่ชาร์จแบตเตอรี่เพิ่มเติม เป็นระยะเลยทีเดียว นอกเหนือจากการที่ต้องมี Package Internet ของมือถือค่ายๆต่างๆ และแผนที่จาก Google นั้นเอง

สิ่งต่อมา คือ Pokemon gym นั้นได้ถูกยึดครองอย่างรวดเร็วมากๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
ดังนั้นตอนนี้กระแสของเกม Pokemon Go นั้น ได้เรียกว่าติดกระแสหลักในเมืองไทยเป็นทีเรียบร้อยแล้ว

ปล. สิ่งที่เปลี่ยนตามมาหลังจากเกมนี้ได้อนุญาตให้ประเทศไทยสามารถเล่นได้นั้นคือ
ระบบแผนที่ของประเทไทยที่ต้องพัฒนาให้ดีขึ้น และ พิกัดของสถานที่สำคัญๆต่างๆ จำเป็นต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึั้นกว่าปัจจุบัน
และที่สำคัญคือ ทำอย่างไรหนอให้สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองไทย ได้นั้นเอง
:)
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 314

โพสต์

miracle เขียน:การเปลี่ยนแปลง E-Money ในการควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นควบคุมการกิจการที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับธนาคาร ไม่เพียงเท่านั้น ยังควบคุมกิจการการปล่อยสินเชื่อ และ ธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์อย่างเช่น บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)​,บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด(มหาชน),บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน),บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด,บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)​,บริษัท แรบบิท-ไลน์ เพย์ จำกัด บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด,บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด เป็นต้น (ตรวจสอบได้ที่https://www.bot.or.th/Thai/PaymentSyste ... vider.aspx)

มีประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส 6/2559 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการประกอบบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ ประกาศใน่ราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 บังคับใช้ในวันถัดไป โดยมีเนื้อหาที่สำคัญคือ
1. บัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่บันทักมูลค่านั้นเป็นเงินสกุลบาทหรือสกุลต่างประเทศก็ได้และต้องกำหนดมูลค่าสูงสุด
2. ไม่สามารถออกบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ในลักษณะสินเชื่อได้
3. ธุรกิจสนับนุนต่องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นรายกรณี
4. แยกบัญชีเงินที่ได้รับล่วงหน้าจากผู้บริโภคออกจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทอย่างชัดเจน
5. เงินที่รับล่วงหน้าจากผู้บริหาร ฝากไว้เป็นเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ หรือ สถานบันทางการเงินเฉพาะกิจ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งไม่ต่ำกว่ามูลค่ายอดคงค้างของเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้รับล่วงหน้าจากผู้บริโภค
6. ดำรงอัตราส่วนระหว่างส่วนของผู้ถือหุ้นและยอดคงค้างของเงินที่ได้รับล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ร้อยละ 8 (ส่วนของผู้ถือหุ้นคิดจากงบการเงินสิ้นปี หรืองบการเงินไตรมาส 2 ส่วนยอดคงค้างของเงินที่ได้รับล่วงหน้า ติดย้อนหลัง 6 ไตรมาส ย้อนหลัง แบบ Moving average)
7.กำหนดเกณฑ์ อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อต่อยอดคงค้างของเงินที่ได้รับล่วงหน้า หากน้อยกว่าร้อยะล 12 และ ร้อยละ10
8.จัดให้มีระบบตรวจสอบย้อนหลังและป้องกันมิให้ผู้ใช้บิรการโอนเงินระหว่างกันโดยไม่ผ่านระบบของผู้ให้บริการ
9. Outsource รับผิดชอบเสมือนผู้ประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์
10.ระบบไม่หยุดชะงักเกิน 24 ชั่วโมง
11. ตรวจสอบด้านเทคโนโลยี่สารสนเทศปีละครั้ง และส่งรายงานให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยภายใน 30 วัน หลังจากทำการตรวจสอบแล้วเสร็จ
12. หากมีการปรับเปลี่ยน/ปรับปรุงรายละเอียดเกี่ยวกับค่าบริการ ค่าธรรมเนี่ยม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ แจ้งให้แก่ผู้บริโภครับทราบไม่น้อยกว่า 30 วัน
13. เงื่อนไขของคืนเงินสดต้องแจ้งให้ผู้บริโภคให้รับทราบและการขอแลกคืนเป็นเงินสดต้องจัดใ้หมีการคืนเงินภายใน 15 วันหลังจากวันที่ผู้บริโภคได้ดำเนินการขอแลกคืน
14. เปิดสาขาใหม่แจ้งภายใน 30 วันหลังวันสิ้นไตรมาส และ ย้ายหรือปิดสาขา แจ้งภายใน 14 วันก่อนเริ่มดำเนินการ
15. จัดส่งงบการเงินและส่งงบการเงินงวด 6 เดือนแรกให้แก่ธปท ภายใน 45 วันหลักวันสิ้นงวด และ ส่งงบการเงินที่ผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตให้แก่ ธปท ภายใน 90 วันหลังวันสิ้นงวด
16. จัดทำรายงานตามแบบที่ธปท กำหนดทุกเดือน ส่งภายใน 30 วันหลังวันสิ้นงวด

ต่อมามีประกาศของ ธปท ที่ ฝนช.(23) ว. 12/2559 ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2559 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีเนื้อหาในประกาศที่สำคัญคือ
1. ดำรงอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อยอดคงค้างของเงินที่ได้รับล่วงหน้า ณ สิ้นไตรมาส ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 และมีการกำกับดูแลในลักษณะ Prompt Preventive Action ในกรณีที่อัตราส่วนดังกล่าวต่ำกว่า ร้อยละ 12 และร้อยละ 10
2. สามารถออก E-money เป็นเงินสกุลเงินต่างประเทศได้ และสามารถใช้งานที่ต่างประเทศไทย โดยต้องกำหนดมูลค่าสูงสุดกำกับไว้
3. ธุรกิจที่สนับสนุนของอนุญาจาก ธปท เป็นรายกรณี
4. Operation เช่นเพิ่ม/ลดสาขา เป็นต้น รายงานเป็นรายไตรมาส

ขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขข
ยาวหน่อยแต่เริ่มเห็นภาพแล้วว่า ธุรกิจเติบโตแรงๆ ตอนนี้เริ่มโดนควบคุม
หลังๆธนาคารก็ลงมาในตลาดบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ดังนั้นต้องดูกันต่อไปว่าตลาดนี้ใครเป็นผู้นำ
ข้อ 5 นี่ float แทบไม่ได้ประโยชน์ เลย และ เอื้อ แบงค์สุดๆ
show me money.
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 315

โพสต์

nut776 เขียน:
miracle เขียน: 5. เงินที่รับล่วงหน้าจากผู้บริหาร ฝากไว้เป็นเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ หรือ สถานบันทางการเงินเฉพาะกิจ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งไม่ต่ำกว่ามูลค่ายอดคงค้างของเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้รับล่วงหน้าจากผู้บริโภค
ข้อ 5 นี่ float แทบไม่ได้ประโยชน์ เลย และ เอื้อ แบงค์สุดๆ
เอื้ออย่างไรครับอธิบายหน่อยครับ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 316

โพสต์

เดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง 2560
เมื่อวานนี้(7 สิงหาคม 2559) นั้นประชาชนชาวไทยเข้าเดินเข้าคูหาเพื่อลงคะแนนรับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง
หลังเดินออกจากคูหาเสร็จแล้วก็ถ่ายรูปหัวแม่มือด้านขวา โพสลง Facebook จนทำให้เกิดกระแส โชว์หัวนิ้วโป้งกันเลยทีเดียว
บางท่านก็กลัวว่า รูปหัวแม่โป้งขวานั้น ลอกเลียนแบบได้ แต่สุดท้ายข่าวก็ออกมาคือ ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
ซึ่งข่าวนี้น่าสนใจว่า ทำให้ประชาชนไม่ใช้สิทธิ์หรือเปล่า เพราะกลัวโดนขโมยความลับส่วนบุคคล และอ้างจจะเป็นข้ออ้างต่อไปด้วย งานนี้ต้องดูกันต่อไปว่าเป็นเช่นไร แต่สุดท้ายผลคือ รับร่างรัฐธรรมนูญ และ คำถามพ่วงก็ผ่าน (ผลการนับคะแนนไม่เป็นทางการ ประกาศโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต)
https://www.facebook.com/Pr.Ect.Thailan ... 984348277/

สิ่งที่ตามมาเมื่อรับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว รอคะแนนที่เป็นทางการ จากนั้นก็ต้องประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญ จัดทำกฏหมายประกอบร่างรัฐธรรมนูญ ,เลือกสมาชิกวุฒิสภา และ กำหนดวันเลือกตั้ง สภาชิกสภาผู้แทนรัฐราษฎร ซึ่งกำหนดไว้เกิดในปี 2560

สิ่งที่ตามคืออะไร
1. ประเทศที่ประกาศว่าไทยไม่ใช่ประชาธิปไตย แบนความช่วยเหลือต่างนั้น ก็กลับมาคบหาสมาคมกับประเทศไทย
2. การทำงานของรัฐ ก็เดินหน้า แบบสะดวกเพิ่มขึ้น (ถ้าใครได้อ่าน หนังสือ “สดุดี (คนอื่น)” โดย ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล หรือ หม่อมเต่านั้น มีอยู่บนหนึ่งที่เขียนไว้ว่า "หลักการสังเกตว่าจะเกิดรัฐประหารหรือเปล่า คือ จำนวนงานที่กองบโต๊ะ หากกองเพิ่มขึ้นแสดงว่า การทำงานประสานกับของหน่วยงานของรัฐติดขัด นั้นเอง)
3. การมาของประชาธิปไตย ทำให้ทุกอย่างเริ่มเดินคล่องตัว (ไม่ต้องบอกว่าอะไรบ้าง)

ดังนั้น เมื่อต้นปี ผมได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า Theme การลงทุนของปีนี้คือ เดินหน้าเข้าคูหาเลือกตั้ง ยังคงเป็นหลักอยู่
จนถึงปี 2560 นั้นเอง

ปล. สังเกตว่า ส่งท้ายของรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น คืออะไร ต้องรอดูว่า มีอะไรออกมาอีกหรือไม่
:)
:)
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 317

โพสต์

miracle เขียน:
nut776 เขียน:
miracle เขียน: 5. เงินที่รับล่วงหน้าจากผู้บริหาร ฝากไว้เป็นเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ หรือ สถานบันทางการเงินเฉพาะกิจ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งไม่ต่ำกว่ามูลค่ายอดคงค้างของเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้รับล่วงหน้าจากผู้บริโภค
ข้อ 5 นี่ float แทบไม่ได้ประโยชน์ เลย และ เอื้อ แบงค์สุดๆ
เอื้ออย่างไรครับอธิบายหน่อยครับ
:)
ถ้า float หลายวัน เงินบังคับ อยู่ แบงค์
ไม่มีข้อจำกัด นี่คับว่าแบงค์ จะทำอะไรกับfloat
(หรือมี ?)
แต่ที่ไม่ใช่ แบงค์ มี กะเหมือน ไม่มี float
เดาๆเอากะรู้ว่าต่อไป float มันน่าจะก้อนใหญ่มาก
มโนเอาว่า การเอาเงินไปไว้ใน ewallet กับ บัญชีออมทรัพย์ น่าจะมี
การแบ่งส่วนมาป่าวคับ แต่ ewallet ถ้าไปกองอยู่แบงค์ แบงค์เหมือนไม่มีต้นทุนป่าวคับ จับแพะชนแกะล้วนๆ รบกวนพี่มิ แก้ ให้ด้วยคับ
show me money.
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 318

โพสต์

nut776 เขียน:
ถ้า float หลายวัน เงินบังคับ อยู่ แบงค์
ไม่มีข้อจำกัด นี่คับว่าแบงค์ จะทำอะไรกับfloat
(หรือมี ?)
แต่ที่ไม่ใช่ แบงค์ มี กะเหมือน ไม่มี float
เดาๆเอากะรู้ว่าต่อไป float มันน่าจะก้อนใหญ่มาก
มโนเอาว่า การเอาเงินไปไว้ใน ewallet กับ บัญชีออมทรัพย์ น่าจะมี
การแบ่งส่วนมาป่าวคับ แต่ ewallet ถ้าไปกองอยู่แบงค์ แบงค์เหมือนไม่มีต้นทุนป่าวคับ จับแพะชนแกะล้วนๆ รบกวนพี่มิ แก้ ให้ด้วยคับ
ขอบคุณครับ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 319

โพสต์

ย้อนอดีต ผู้นำในวงการคอมพิวเตอร์ภาคระบบปฏิบัติการ
วงการคอมพิวเตอร์นั้นเกิดขึ้นได้ไม่ถึง 100 ปี โดยเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกๆอยู่ในยุค 1940-1950
ใช้หลอดไฟในการประมวลผล มีเลขฐาน 10 บ้าง เลขฐาน 8 หรือ 16 บ้าง จนสุดท้าย สิ่งที่ดีที่สุดคือ การเปิดหรือปิด
นั้นคือเลขฐาน 2 นั้นเอง ในยุคนี้ยังไม่มีระบบปฏิบัติการชัดเจนมากนัก
ต่อมาในยุค Main fraั้me Computer ยุคนี้เองปรากฏว่าผู้นำคือบริษัท IBM เป็นผู้นำทั้งด้าน Hardware และ Software
จากนั้นเข้าสู่ยุค Mini Computer ผู้นำยังคงเป็น IBM แต่ทว่า เริ่มมีเงาดำ เข้ามานั้นคือ Personal Computer
การเข้ามาของ Personal Computer ซึ่งเป็น IBM เป็นผู้นำในยุคแรก จนมีคำว่า IBM Compatible ติดบนเครื่อง
ตอนนี้แหละยอดขาย Mini Computer ซึ่ง IBM เป็นผู้นำลดลง ส่วนยอดขายของ Personal Computer ก็เริ่มโดนคู่แข่ง
ยี่ห้ออื่นๆมาขาย ทั้งยุค Main Frame และ Mini Computer นั้นเป็นระบบปฏิบัติการ Unix เป็นผู้ครอบครองตลาด แต่มาถึง
ในยุคของ Personal Computer นั้น ปรากฏว่า ผู้นำกลับกลายเป็น MS DOS นั้นคือการเข้ามาของ Microsoft ส่วน Hardware ส่วน CPU ก็เป็น Intel เริ่มเข้ามาทำตลาด และกลายเป็นผู้นำ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ Mac หรือ Apple ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิต Hardware และ ซอฟแวร์ แต่แล้วจนกระทั่ง MS เปิดตัว MS windows 95 ส่วน IBM เป็น OS2 นั้นเอง ทำให้ Apple เริ่มมีปัญหา แต่ผู้นำที่แท้จริงเป็น MS ในที่สุด จนกระทั่ง ในยุคของมือถือ เข้ามาในช่วงนี้ ผู้นำคือ Nokia เข้ามา พร้อมกับ รายอื่นๆเช่น อีริคสัน , ซีเมนส์ ,โมโตโลร่า สุดท้าย Nokia เป็นผู้นำตลาด และออก Smart Phone (โทรศัพท์อัจฉริยะ โดยใช้ ซิมเบียนเป็นระบบปฏับัติ) แต่สุดท้ายก็โดน คู่แข่งคือ Palm และ MS ชิงตลาดไป แต่ทว่าไม่นานก็เข้าสู่ยุคของ Apple และ Google ที่ส่ง iOS และ Anroid มาในตลาดนี้
นี้คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในตลอด หลายสิบปี ทั้งหมดเห็นได้ ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์เล็กลงเรื่อยๆ จากขนาดเท่ากับอาคาร ลดเหลือเท่าห้อง ลดลงมา เหลือแค่เท่าตู้เสื้อผ้าจนเหลือกระเป๋าเสื้อผ้า เล็กลงเหลือแค่ขนาดกล่อง จนกระทั่งอยู่บนฝามือของเราได้
ผู้นำทั้งในเรื่องระบบปฏิบัติการก็ดี ได้เปลี่ยนหน้าไปหลายต่อหลายราย มีทั้งรายเก่าและรายใหม่ แวะเวียนมาเป็นผู้นำ

นั้นคือ ทุกอย่างไม่แน่นอน หากผู้นำไม่พัฒนา ผู้ตามก็อาจจะเป็นผู้นำแทนได้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 320

โพสต์

จับตาดูการเปลี่ยนแปลงของเสาหลักของด้านการเงิน
เสาหลักของด้านการเงินในตำรา นั้นเขียนไว้ว่ามีสามเสา ที่เป็นสถาบันทางการเงินคือ
1. ธนาคารพาณิชย์ เป็นตัวกลางในการนำเงินจากผู้ที่อดออม มาปล่อยกู้ให้แก่ผู้ที่ต้องการเงิน ผลที่ได้รับคือ ส่วนต่างของดอกเบี้ยหรือ Spread นั้นเอง
2. ประกันชีวิตและประกันวินาศภัย เป็นผู้รับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ผู้ทำประกันทำกรมธรรม์ ผลที่ได้คือ ถ้าไม่เกิดเหตุก็กำไร /หากเกิดแต่มีจำนวนน้อย ก็กำไร แต่หากทำประกันแล้วไม่กระจายตัว ก็อาจจะเจ็บตัวได้
3. สหกรณ์ นั้นในเมืองไทยได้รับการพัฒนาน้อยที่สุด และยังเป็นหน่วยงานของรัฐกำกับ มิใช่องค์กรอิสระในการควบคุมดูแล (ตอนนี้กระทรวงการคลังกำลังใช้กำลังภายในพลักดันให้เป็นหน่วยงานอิสระภายใต้กระทรวงการคลังดูแลทางกรมส่งเสริมสหกรณ์ภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยย้ายในส่วนของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยมมาดูแล)
สหกรณ์ได้อะไร ส่วนต่างของ Spread ที่แตกต่างกันระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ แต่ดอกเบี้ยของกู้จ่ายก็นำมาปั่นส่วนในภายให้แก่ผู้กู้ในปลายปีนั้นๆ
ทั้งสามเสานั้น เสาแรกโดนวิกฤติในตอนปี 2540 อย่างหนักหน่วงไปแล้วสำหรับธนาคารพาณิชย์ของเอกชน ส่วนเสาที่สองในด้านประกันวินาศภัยนั้นโดนวิกฤติจากมหาอุทกภัยในปี 2554 ไปหนักหน่วงบางแห่งก็กลายเป็นกิจการของต่างประเทศเลย สุดท้ายคือสหกรณ์นั้นยังไม่โดนอะไรหนัก มีแค่เรื่องเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นที่ขนาดเท่ากับ ธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางๆ ของไทยเท่านั้น
เสาทั้งสามต้นนี้คือ เสาที่ค้ำยันเศรษฐกิจแบบเดิมที่ใช้กันมากนานหลายร้อยปีแล้ว
ถ้าหากมีปัญหาก็กระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างนั้นเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 321

โพสต์

การขึ้นดอกเบี้ยและการปรับตัว
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีแถลงข่าวของประธานเฟด โดยถ้อยแถลงการณ์นั้น ได้บอกอย่างมีนัยๆว่า กำลังจะขึ้นดอกเบี้ย
แต่ไม่ได้บอกระยะเวลา นั้นคือ สิ่งที่ประธานเฟด บอกทุกยุคทุกสมัย ถ้าหากใครล่วงรู้คือ เป็นผู้ชนะตลาดเลยทีเดียว
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ อย่างมากๆ เพราะว่า ด้านหนึ่งของโลก แข่งกันลดดอกเบี้ย คือ ยุโรปและญี่ปุ่น ส่วน US นั้นขอขึ้นดอกเบี้ย
ดังนั้น ระยะเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ หาก ขึ้นดอกเบี้ยนั้นหมายถึงว่า
1. บ่งบอกถึง ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้น ลดลง เพราะ ดอกเบี้ยเพิ่มนั้นเอง
2. บ่งบอกถึงจำนวนปีที่ ได้เงินเพิ่มเป็น 2 เท่า (จาก 100 เป็น 200 นั้นต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหน)
3. บ่งบอกถึงว่า มีเงินเฟ้อในเศรษฐกิจเกิดขึ้น เศรษฐกิจกำลังเดินไปได้นั้นเอง
4. เงินที่ปั้มน้อยลง กว่าเดิม

สิ่งหนึ่งที่สำคัญในเรื่องนี้ คือ การโยนหินถามทาง นั้นคือการปรับตัวของตลาดทั้ง สินค้าโภคภัณฑ์ ,ตราสารหนี้,ตราสารทุน ,ตลาดล่วงหน้านั้นต้องปรับปรุงตัว โมเดลในการคำนวณ ราคา นั้นคือ ทำให้เกิดความผันผวนนั้นเอง หากความผันผวนน้อยๆ แสดงว่า ตลาดไม่มีความแปลกใจในเรื่องดังกล่าว สามารถดำเนินการได้นั้นเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 322

โพสต์

ในวันที่หุ้นตกมากๆ
ในวันที่หุ้นตกมากๆ นั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุดของนักลงทุนคืออะไร
คือการนอนหลับให้เพียงพอ นั้นเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 323

โพสต์

สัญญาณอตร
ไม่ค่อยได้เขียนเท่าไร แต่เขียนเรื่องสัญญาณอตร
เอาอดีตมาเปิดดูกันตอนที่ค่าเงินบาท 25 บาทต่อดอลล่าร์แล้ว เป็น Fix exchange Rate
ตอนนั้น คือ เงินทุนไหลเข้ามาโดนการกู้ยืมเงินจากต่างชาติ
ตอนนั้นคือ มุมมองต่างชาติเป็นว่าค่าเงินบาทไม่ควรอยู่ที่ 25 บาทต่อดอลล่าร์ น่าจะเป็น 28 หรือ 30 บาทต่อดอลล่าร์
ดังนั้นก็จัดเลยซิ Forward ค่าเงินไว้ที่ 25 บาทต่อดอลล่าร์ จุดนี้คือ เข้าก็ 25 บาทต่อดอลล่าร์แล้วก็ออกที่ 25 บาทต่อดอลล่าร์
เมื่อแลกมาได้ ในระบบการเงินก็เจอปัญหาว่า เงินบาทมันท่วมระบบ เสกกระดาษเป็นเงินไม่ทัน ก็ต้องการเครื่องดูดกลับ
แต่เงินก็คือเงินต้องมีอยู่ที่อยู่ ก็จัดอีก 1 อย่างคือ ในเมื่อผลตอบแทนของกิจการที่จดทะเบียน นั้น เมื่อเปรียบเทียบกับ
ดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ต่ำกว่าเสียอีก แสดงว่าอะไร ราคาแพงเกินไป ก็จัดการขอยืมหุ้นมาขายในตลาดแล้วก็ซื้อคืนภายหลัง
นั้นคืออะไร Short again นั้นเอง ได้กำไรจากส่วนต่างของการดำเนินการ แล้วก็ไปแลกคืน เรียกได้ว่า ไม่มี Exchange rate risk
สภาพคล่องที่ล้น โดยเครื่องดูดฝุ่นดูดกลับมันไม่ใช่ผลดีเสมอไป เพราะในกรณีนี้คือ เมื่อ บาทมากขึ้น ก็กดดันทำให้ ค่าเงินบาทตองอ่อนค่าแต่ไม่ได้อ่อนค่านั้นเอง เรียกได้ว่า การดูดสภาพคล่องไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

มาเปรียบเทียบในปัจจุบันคือ เครื่องดูดฝุ่นกลับมาทำงานอีกครั้ง แต่ทว่าอัตราแลกเปลี่ยน กลับกลายเป็นแข็งค่าอย่างมากมาย
อันนี้ซิ แปลกเพราะว่า Exchange rate ไม่ได้เป็น Fix แล้วแต่เป็น Manage float ดังนั้นต้องระวัง อย่างยิ่งว่า เสกเงินไม่ทัน
จริงๆค่าเงินควรที่จะอ่อนค่า มิใช่แข็งค่า แล้วอะไรที่ทำให้มันแข็งค่าแบบนี้ ก็มีเพียงสิ่งเดียวในช่วงนี้คือ M&A ที่มากเกินไปหรือเปล่า จากขยายกิจการเองมันช้าก็ซื้อเลย แล้วซื้อเมื่อของมันแพงหรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าคิด มันเลยต้องกู้จากข้างนอก/เงินข้างนอกไหลมาซื้อกิจการเลย มันก็น่าคิดละ

เนี่ยแหละคือสัญญาณ อตร
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 324

โพสต์

ลงเพื่อไปต่อ
การลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2559 ถึงต้นเดือนกันยายน 2559 นั้น
สิ่งหนึ่่งที่แปลกมากๆ คือ ผู้เล่นหลักในการซื้อ เปลี่ยนหน้าจากต่างชาติเป็นกองทุนแทน
คำถามคือ ใครเป็นผู้ถอนหน่วยลงทุนออกมาจำนวนมากมายแบบนี้ แล้วเงินที่ถอนก็ไปอยู่ที่ธนาคาร
เมื่ออยู่ที่ธนาคารก็เกิดสภาพคล่องล้นเหลือ ดังนั้น ธปท ก็ดูดเงินออกจากระบบ คือ ออกพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี ออกมา เพื่อดูซับสภาพคล่อง
ประจวบเหมาะที่ Yield Curve ตลอดทั้งเส้น มีผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น นั้นคือราคาตราสารหนี้ลดลงนั้นเอง
แล้วใครเป็นผู้ขายพันธบัตรออกมาจนทำให้ Yield ตลอดช่วงเพิ่มขึ้นได้ นั้นเอง
อีกด้านหนึ่ง ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนแปลง จากที่แข็งค่ามาอยู่ที่ระดับ 34.5x บาทต่อ $1 ก็ลดลงเหลือ 34.9x บาทต่อ $1
อาจจะมีคนแย้งว่า เพราะการจ่ายเงินปันผลระหว่างการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นไปได้ นั้นคือขนเงินกลับไปยังบริษัทแม่ที่อยู๋เมืองนอกหรือเปล่า ถ้าแบบนั้น ก็น่าคิดมันเกิดช่วงเวลาเดียวกัน

มันเป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างมากๆ ว่าเงินที่ขายออกมาแล้วนั้น กลับเข้าไปยังตลาดหลักทรัพย์หรือยัง
และเนี่ยเป็นการเตือนว่า ร้อนแรงเกินไปหรือเปล่า ฟองสบู่เริ่มก่อตัวขึ้นในระดับหนึ่งหรือเปล่า
เป็นเรื่องที่น่าคิดต่อไป

ปล. ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็มีข่าวเรื่องราคาที่ดิน/คอนโด/บ้านเดียว ในบริษัทรถไฟฟ้าสายสีม่วงนั้น
ลดราคาขายลง แต่ไม่ได้ว่า ตอนเปิดตัวราคาเท่าไร แล้ว ราคาตอนนี้ที่บอกว่าลดลงนั้นราคาสูงกว่าหรือต่ำกว่า ราคาตอนเปิดตัว
แต่สิ่งหนึ่งที่ควรสังเกต คือ แสดงว่า กำลังซื้อบ้านและที่ดิน/คอนโดมิเนี่ยมเริ่มอิ่มตัวหรือเปล่า
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 325

โพสต์

เมื่องานของรัฐเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ
ตอนนี้เรียกได้ว่า เครื่องยนต์ดับกันหมด เหลือภาครัฐที่ลงทุน ปล่อยเม็ดเงินเข้าระบบตลอด
ทำให้งานภาครัฐเป็นที่หมายปองของบรรดาผู้ประกอบการทุกระดับเลยทีเดียว
ทุกงานก็เป็นดอกไม้ที่มีแมลงมาต่อมกันให้เพียบเลย ทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาเกิดขึ้น
โดยการแข่งขันด้านราคานี้ ดีต่อภาครัฐ แต่คำถามเกิดขึ้นว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เม็ดเงินที่ควรจะปล่อยลงมาลดลง
ประหยัดงบประมาณก็จริง แต่งานมันส่งมอบได้คุณภาพหรือไม่ ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน
ลดกันทีลดกันไม่ใช่น้อยๆ สำหรับงานที่ E-Auction คือลดกันที 30-70% ในงานระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป (ไม่ใช่เคาะลดกัน 0.5% หรือ 1% เหมือนเมื่อก่อน ยังไม่ได้ใช้งาน E-market เท่าไรเลยละเนี่ย ยังเป็น E-Auction ยังเคาะกันแบบนี้)
เรียกได้ว่า หนีตาย กันเลยหรือเปล่า สำหรับข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ เมื่อผลการประกวดราคาออกมาแบบนี้
ก็ต้องทำเรื่องชี้แจงกันไปว่า ทำไมราคาถึงได้ลดฮวบแบบนี้ไปได้ บางงานก็ต้องไม่ชี้แจง คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างประกาศยกเลิกการประกวดราคาเลยก็มี เพราะราคาต่ำเกินไป กลัวดำเนินการแล้วไปไม่ตลอดรอดฝั่งก็มีให้เห็น แต่บางงานก็เดินหน้าเซ็นต์สัญญากันไป
หากย้อนอดีตไปนั้น เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหรือไม่ เกิดขึ้น มาแล้วหลายยุคหลายสมัยเลยทีเดียว แต่ผู้ที่อยู่รอดคือ ผู้ที่มีต้นทุนด้านราคาต่ำกว่า นั้นเอง
แต่ที่สำคัญคือ เจ้าของผลิตภัณฑ์ ก็ขายของออกแต่ราคาอาจจะไม่ค่อยดี
อันนี้มันทำให้ ในอนาคต คือ งานของภาครัฐ นั้นราคาการจัดซื้อจัดจ้างลดลง เพราะอ้างอิงกับการประมูลในประเภทที่คล้ายคลึงกันนั้นเอง ทำให้โครงการต่อไปประมูลในราคาอ้างอิงที่ลดลงนั้นเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 326

โพสต์

ิวิบากกรรมของ ซัมซุง
ซัมซุงเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ของเกาหลีใต้ ดำเนินธุรกิจหลายด้าน แต่เราๆท่านๆที่ได้สัมผัสมากที่สุดคือเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน เมื่อก่อนนี้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ ซัมซุงค่อยยอดฮิตในตลาดนี้ โดยเป็นคลื่นที่มาใกล้เคียงกับการเติบโตของ Smart Phone ในตระกูลของ Android และ Apple Iphone นั้นเอง ซัมซุงนั้นได้ส่วนแบ่งตลาดในด้านนี้สูงกว่าบริษัทไหนของโลก
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 เดือนไล่ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน 2559 นั้น เรียกได้ว่าคลื่นหลายระลอกถลาโถมเข้าหาซัมซุง ไล่ตั้งแต่การส่งของทางเรือที่ใช้สายการเรือของบริษัทเดินเรือเกาหลีใต้ที่ยื่นของพิทักษ์ทรัพย์เพื่อยื่นล้มละลาย ทำให้เรือไม่สามารถเข้าเทียบท่าหรือจอดแน่นิ่งที่ท่าเรือ ส่วนเรื่องที่ลอยลำในทะเลทั้งหลายก็ไม่สามารถกลับเข้าฝั่งได้ ทำให้สินค้าของซัมซุงที่ต้องส่งมอบนั้น ล่าช้า ต้องมีแผนฉุกเฉินคือ ใช้เครื่องบินขนส่งสินค้าที่บรรทุกในเรือทดแทน เพื่อมิใช้สินค้าที่ผลิตภัณฑ์ไปแล้วล้าสมัย ไม่สามารถขายได้ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของทุกปี นั้น ปีใหม่นั้นเอง
แล้วในเวลาเดียวกัน เรือธงทางด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่คือ ซัมซุงโน้ต 7 ก็ได้มีการเปิดตัวและส่งมอบให้แก่ลูกค้า โดยตัวเครื่องมีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่าคู่แข่งในตลาด แต่ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดคือ ผู้ซื้อไปนั้น นำไปช้งานแล้วเกิดระเบิดขึ้น จนกระทั่งสายการบินต่างๆออกกฏในเรื่องความปลอดภัย โดยห้ามใช้ซัมซุง โน้ต 7 บนเครื่องแต่พกพาได้ แต่ห้ามโหลดเข้าใต้ท้องเครื่องบิน ไม่เพียงเท่านั้นเกิดการเรียกคืนสินค้าเพื่อปรับปรุงในเรื่องของแบตเตอรี่ตัวเจ้าปัญหานั้นเอง จนแล้วจุดรอดเมื่อเปิดแบตเตอรี่แล้ว ก็ยังมีรายงานข่าวยังคงไหม้อุปรณ์โทรศัพท์ ซัมซุงโน้ต 7 อยู่ดี เมือ่เปลี่ยนแปลงไม่สามารถแก้ไขได้ งานนี้ ซวยรอบที่สามก็เกิดขึ้นคือ หยุดการผลิต และให้ผู้ใช้งาน เอาเครื่องมาเปลี่ยนเป็นรุ่นอื่นๆได้
มันคืออะไรหรือ ที่เรียกคืน นั้นคือ จบชีวิตของซัมซุง โน้ต 7 ตอนแรกคิดว่าเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบที่ก่อให้เกิดไฟไหม้หรือระเบิดนั้นคือ ส่วนของแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว แต่มิใช่ต้นตอของปัญหาไม้ไหม้และระเบิดเองนั้นเอง
ผลกระทบคืออะไรหรือ สัญญาที่ out source ให้แก่บริษัทอื่นๆทีทั้งผลิตแผงวงจร,การประกอบเครื่อง เป็นต้น ไม่มีการผลิตในรุ่นที่มีปัญหาถาวรเลยทีเดียว บริษัทก็อาจจะขาดทุนในการนี้หลายอยู่เพราะว่า สินค้าพึ่งเปิดตัวไหน เมื่อไม่นานนี้เสียด้วย

สิ่งที่อาจจะส่งผลไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆที่เป็นยี่ห้อซัมซุงไปด้วย ในเรื่องของคุณภาพ นั้นเออง
งานนี้ต้องดูว่าซัมซุงจะฟื้นคืนชีพได้ไหมหรอก ต้องติดตามกันต่อไป
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 327

โพสต์

จากเหตุการณ์ samsung note 7 ประกาศยุติการจำหน่ายนั้น
ประเทศที่ได้รับผลกระทบคือ เกาหลีใต้ อย่างแน่นอน แต่ประเทศที่คาดไม่ถึงที่กระทบคือ
ประเทศเวียดนาม ซึ่งมีโรงงงานรับจ้างประกอบ samsung note 7 นั้นเอง
กระทบในแง่การส่งออก เพราะประกอบเสร็จต้องส่งออก
ก่อนประกอบก็ต้องจ้างแรงงานเพื่อทำงาน ซึ่งตอนนี้ตัวเลขคาดการความเสียหาย
จากทั้งสองครั้ง พุ่งไประดับ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่อย่างไรเสีย ระดับนี้
บริษัท ซัมซุงไม่มีปัญหาอะไร แต่ในระยะยาวก็น่าเกิดคำถามว่า เมื่อผลิตภัณฑ์
ในกลุ่มของโทรศัพท์มือถือ เปิดตัวแล้วประชาชนยังกล้าใช้งานหรือเปล่า

ตอนนี้ในเมื่อประกาศยุติการจำหน่ายเป็นทางการแล้ว ในประเทศไทย ก็มีทางเลือกสำหรับผู้ที่ได้จองเครื่องล่วงหน้า
คือ รับเงินคืน พร้อม +2000 บาท หรือ ซื้อ Samsung Note5 หรือ Samsung S7 หรือ Samsung S7 edge ในราคาพิเศษ
(ทั้งสามตัวนี้มีทั้งที่ตกรุ่นแล้ว และกำลังที่ตกรุ่นในช่วงต้นปีหน้า)
จุดนี้เองที่น่าคิดว่า คู่แข่งคือ Google Pixel และ Google Pixel XL ที่เพิ่งเปิดตัวไป จับตลาดบนเหมือนกัน
ราคาต้นทุนที่ถูกกว่าแต่วาง Position ที่ตลาดระดับบน เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ในตลาดโลก ซึ่ง Google เองก็ประกาศว่า
ไม่เน้นการทำกำไร แต่เน้นประสบการณ์ของผู้ใช้งานเป็นหลัก
ส่วนแบรนด์อื่น ก็น่าจับตาเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ Google ดังนั้นต้องดูกันยาวๆ มันจะเหมือนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไหมหนอ
ในเรื่องของถุงลมนิรภัยที่เรียกคืน หลายต่อหลายแบรนด์เลยทีเดียว เพราะผลิตจากโรงงานเดียวกัน
เหตุการณ์นี้ก็ปรากฏให้เห็นมาแล้ว ดังนั้นต้องรอดูระยะยาวต่อไปว่าเป็นเช่นไร
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 328

โพสต์

การเกษียณอายุข้าราชการและเกษียณอายุของบริษัท
การเกษียณอายุข้าราชการและรัฐวิสาหกิจนั้น ปีที่มีอายุครบ 60 ปี แต่หากผู้นั้นเกิดหลังปลายปี เช่นเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน และ ธันวาคม ก็ต่ออายุให้เกษียณในปีถัดไป คือเกษียณที่อายุ 61 ปีแทนเนื่องจากนับเป็นปีงบประมาณ
โดยที่การเกษียณอายุนั้นวันทุกงานสุดคือ 30 กันยายน ของทุกปีนั้นเอง หากตรงกับวันหยุดก็ต้องเลื่อนขึ้น ตามทำเนียมปฏิบัติของข้าราชการ ดังนั้นเมื่อมีเกษียณไปแล้ว เงินที่สะสมกับกองทุนบำเหน็จบำหนาญก็ต้องได้รับจากกองทุน โดยเป็นบำเหน็จหรือบำนาญแล้วแต่ ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจเลือก ซึ่งในส่วนนี้หากมีการบริหารภาษีดีๆอาจจะชะลอการรับเงินของกองทุนไปเป็นอีกปีได้ ลองติดต่อกองทุนฯดูก็แล้วกัน (อดเบี้ยวไว้กินหวาน)
ส่วนพนักงานบริษัทนั้น ไม่เหมือน นับปีที่มีอายุครบ 60 ปีเลย เป็นการเกษียณอายุ
จุดนี้เองอาจจะมองไว้ว่า เดือน ตุลาคม ของทุกปีอาจจะมีความผันผวนที่เกิดขึ้นจากการขายสินทรัพย์ของกองทุน RMF เกิดขึ้นได้
แต่ไม่มีใครชี้ชัดเจนลงไปว่า กองทุน RMF เป็นผู้ขายหรือเปล่า อันนี้ต้องให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจงกันต่อไปละกัน

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 329

โพสต์

อุตสาหกรรมดาวเด่นในไตรมาส 4/2559 นั้นเป็นอุตสาหกรรมที่ทุกท่านคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
คือสิ่งพิมพ์ ซึ่งทุกคนมองว่าเป็นดาวร่วงจากฟ้า แต่ทว่า ในเดือน ตุลาคม ถึง เดือนพฤศจิกายน 2559
มีการออกนิตยสาร,ฉบับพิเศษ โปรดดูกันต่อไป
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 330

โพสต์

เมื่ออินเดียยกเลิกธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี
ธนาคารกลางของประเทศอินเดีย ยกเลิกการใช้งานธนบัตรราคา 500 และ 1,000 รูปีตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 2559 เป็นต้นไป
แต่ยังคงสามารถเข้าบัญชีหรือจ่ายเกี่ยวกับสาธารณูปโภคที่เป็นของรัฐ หรือ ค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลรัฐได้
(อะไรที่เกี่่ยวกับรัฐยังใช้ได้อยู่) โดยมีระยะเวลา ตั้งแต่ 11 พ.ย. 2559 ถึง 30 ธันวาคม 2559
โดยออกฉบับ 500 และ 2,000 รูปีออกมาใช้งานแทน

งานนี้มันคือวิกฤติของระบบ Payment เลยทีเดียว
เพราะธนบัตรเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า โดยมี ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ/รัฐเป็นผู้ยืนยันการมีค่าของกระดาษที่เรียกว่าธนบัตรนั้นๆ แต่เมื่อรัฐ/ธนาคารกลาง ยกเลิกมันเหมือนถึง กระดาษาธรรมดานั้นเอง
งานนี้ทำให้ชาวบ้านเอาธนบัตร ฉบับ 500 และ 1,000 รูปีไปซื้อสินค้าและบริการไม่ได้ (แต่จริงๆ น่าจะมีคนหัวใส
ขายสินค้าให้ประชาชนที่มีธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี โดยตีมูลค่า 80% หรือ 90% ก็ได้ในเมื่อยังมีเวลาในการเข้าบัญชีหรือจำจ่ายบริการของรัฐต่อไปถึง 30 ธันวาคม 2559)

ในมุมมองของเงินสด นั้น สิ่งที่มากับเงินสดคือ การฟอกเงิน นั้นเอง
อะไรที่อยู่มุมมืดไม่ต้องการการตรวจสอบ ดังนั้น วิธีการคือ ตรวจสอบที่บัญชีของธนาคารว่า
ร่ำรวยผิดปกติ มีเงินเข้าออกบัญชีผิดปกติหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นตั้งข้อสงสัยไว้
ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่า จากเดิมมีค่าเป็น 0 ก็ทำให้เกิดความซวยของคนที่ถือครองเงินสดเพื่อการนี้
ต่อมา คือ นักท่องเที่ยว ที่ไม่ยอมแลกเงินคืน งานนี้เข้าทันที เพราะ หากไม่ได้ไปคืนที่อินเดียก็คือกระดาษธรรมดานั้นเอง แต่ทว่า บริษัทรับแลกเงิน งานเข้าแน่นอน เพราะ สำรองเงินรูปีไว้ เพื่อให้แลกนั้นเอง

เรื่องนี้ก็ทำให้น่าคิดเมื่อนก่อน ว่า ประชาชนแตกตื่นเข้าคิวแลกธนบัตร 500 รูปีและ 1,000 รูปีเป็นจำนวนมาก
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้หรือไม่ เกิดขึ้นหลายต่อหลายหนแล้ว เช่น ลาวในตอนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ,พม่าเป็นต้น

ัเหตุการณ์นี้เกิดไม่บ่อยแต่อย่างไรเสีย ศก ของอินเตียที่เติบโตดี แซงหน้าแซงตาไปจีนในระยะหลัง น่าจะสะดุด ไปบ้างในเวลานี้
เอวัง ด้วยประการฉะนี้

:)
:)