VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 301

โพสต์

dr1 เขียน: 4. ต้องแยกตัวเองออกจากตลาดให้ได้ (mr market (ben graham)มนุษย์มีพฤติกรรมฝูง ถ้าแปลกแยกจะรู้สึกไม่มั่นคง ดัชนี1300 มีทติ้งไม่เต็ม 1700รับรองที่นั่งไม่พอ
ซื้อตอนคนอื่นขาย โลภตอนคนอื่นกลัว(warren bufett)ต้องมีหลักคือ"รู้ราคาที่ควรเป็น")
อันอื่น เช่นถือหุ้นยาวสิบปี เป็นแค่กระพี้
ต้องมองตลาดแต่ไม่เห็นตลาด

ลองมองภาพนี้ดูและแยกมันออกมา

จงนับปลาในภาพนี้ดู

รูปภาพ

คุณเห็นปลาโลมาทั้งหมดกี่ตัว?
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 302

โพสต์

สอง เอ๊ย..เก้าตัวกว่าๆฮะ อ.NB (กว่าจะนับเสร็จต้องขย่มอารมณ์ซะ)
อยู่ในตลาด แต่มองไม่เห็นตลาด
แปลว่าเห็นช่องว่างทางการตลาด เอ๊ย ราคา รึmos มั้ยฮะ
ท่านอาจารย์โปรดเฉลยชี้ทางศิษย์ที่มองไม่เห็นตลาดเพราะหน้ามืดด้วย..

ห้ะ..อย่างนั้นเลยรึ ท่านGG..(ภาพประกอบน้าค่อมตบเข่าฉาดดด..)
อ.ty จัดเป็นบุคลากรหายากของสมาคมเราเลยนะนั่น
ดีแล้ว ดีแล้ว ที่เป็นคนบ้านเดียวกัน จะได้ท่านGGคอยลอกหุ้น เอ๊ยรายงานข่าว
สำคัญแต่ว่า อ.พูดอะไรที่เป็นเบาะแสให้ตีความไปแทง เอ๊ย ซื้อหุ้นตามอ.มั่งล่ะฮะ เล่าให้ฟังมั่ง

ปล.1 ถ้ารู้ชื่อหุ้นแล้วไม่บอก ผมจะแฉ เอ๊ย..เล่าเรื่องที่ท่านเป็นVIอยู่ดีๆ เกือบได้เป็นVDในอีกห้องนึงน่ะ(กิ๊วๆ..)
ปล.2 วันก่อนอ.ty เปรยๆว่าดูๆหุ้นรับเหมา ที่เจ้าของเค้ารักเสียงเพลงกะเป็นพรีเซนเตอร์ให้ Berlina RC11
น่ะฮะ(เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย)
ปล.3 ผมรักษาจรรยาบรรณceleb investor อย่างเคร่งครัด คือซื้อหุ้นแล้ว ถึงจะมาปั่น เอ๊ย..เล่าให้ฟัง
ปล3.1 ถ้าหุ้นขึ้น ผมจะขายให้นะฮะ
ปล3.2 ถ้าหุ้นยังไม่ขึ้น หรือลง ผมจะเอาเงินเดือนไปซื้อเรื่อยๆ จนกว่า
ปล.3.2.1 มันจะขึ้น หรือ
ปล3.2.2 ผมเริ่มรู้ตัวว่า กำลังซื้อหุ้นต่อจากอาจารย์อยู่ แต่ก็...
ปล.4 อ.ลูกอิสาน บอกว่า มะเปงไรร็อก ขายหุ้นทีหลังอ. ได้ราคากว่าตอนอ.ขายน่ะนะ อย่าคิดมาก
samatah
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 303

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:
dr1 เขียน: 4. ต้องแยกตัวเองออกจากตลาดให้ได้ (mr market (ben graham)มนุษย์มีพฤติกรรมฝูง ถ้าแปลกแยกจะรู้สึกไม่มั่นคง ดัชนี1300 มีทติ้งไม่เต็ม 1700รับรองที่นั่งไม่พอ
ซื้อตอนคนอื่นขาย โลภตอนคนอื่นกลัว(warren bufett)ต้องมีหลักคือ"รู้ราคาที่ควรเป็น")
อันอื่น เช่นถือหุ้นยาวสิบปี เป็นแค่กระพี้
ต้องมองตลาดแต่ไม่เห็นตลาด

ลองมองภาพนี้ดูและแยกมันออกมา

จงนับปลาในภาพนี้ดู

รูปภาพ

คุณเห็นปลาโลมาทั้งหมดกี่ตัว?
ใครเห็นด้วยกับผมว่า คนเกือบทั้งหมดมองปลาโลมาทีหลัง แต่มอง... ก่อน :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 304

โพสต์

dr1 เขียน: ปล.2 วันก่อนอ.ty เปรยๆว่าดูๆหุ้นรับเหมา ที่เจ้าของเค้ารักเสียงเพลงกะเป็นพรีเซนเตอร์ให้ Berlina RC11
น่ะฮะ(เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย)
ตัวใบ้นี่ยากกว่าหาหุ้นเองอีก :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 305

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:
dr1 เขียน: 4. ต้องแยกตัวเองออกจากตลาดให้ได้ (mr market (ben graham)มนุษย์มีพฤติกรรมฝูง ถ้าแปลกแยกจะรู้สึกไม่มั่นคง ดัชนี1300 มีทติ้งไม่เต็ม 1700รับรองที่นั่งไม่พอ
ซื้อตอนคนอื่นขาย โลภตอนคนอื่นกลัว(warren bufett)ต้องมีหลักคือ"รู้ราคาที่ควรเป็น")
อันอื่น เช่นถือหุ้นยาวสิบปี เป็นแค่กระพี้
ต้องมองตลาดแต่ไม่เห็นตลาด

/quote]

แต่จริง ๆ ทุกวันนี้ผมก็ดูตลาดและฟังตลาดนะครับ แต่หุ้นที่ผมซื้อส่วนใหญ่ไม่ใช่หุ้นตลาดเอาซะเลย :D ใครจะว่าอย่างไร เราก็ฟัง เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง

คนอื่นดูห้องร้อยคนฯ ชอบห้องที่หน้าเยอะ ๆ วิเคราะห์กันมาก ๆ แต่สำหรับผม โน่น ห้องที่อยู่หน้า 3 เป็นต้นไป หุ้นบางตัวโพสต์ครั้งสุดท้ายก็โน่น เป็นเดือน ไม่ต้องหวังข้อมูลอะไรจากใคร บางตัวเคยเข้าไปโพสต์ เผื่อจะมีคนแสดงตนมาร่วมออกความคิดเห็น สุดท้ายเหมือนพูดเองเออเอง :D นานเข้าผมก็ชินกับการที่ต้องเดินเข้าไปเคาะหุ้นพวกนี้คนเดียว แบบว่าเล่นเอง เจ็บเอง ไม่มีใครรู้และเห็น

จริง ๆ ผมก็รู้สึกว่ามันก็ดีครับ ห้องร้อยคนฯ ไม่ได้เอาไว้อ่านข้อมูลอะไร แต่เอาไว้เช็คเรตติ้งหุ้น ถ้าหุ้นตัวไหน ไม่มีใครสนใจเลย ยิ่งน่าสนใจ เพราะถ้าหลุดสายตาเหล่าวีไอมาได้ มีแต่คนมองข้าม อาจจะได้เจอเพชรเม็ดงามเข้าให้

บ่อปลาถ้าปลาชุม แต่คนเข้าไปจับกันเยอะ สุดท้ายก็ตัวหารมาก เอาเข้าก็อาจจะได้ปลาไม่มากอย่างที่คิด ผมขอแค่บ่อพอดี ๆ ไม่ต้องมีปลามาก แต่ตัวหารน้อย ๆ ให้ผมมีเวลาจับปลาเต็มที่น่าจะดีกว่าครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 306

โพสต์

dr1 เขียน:สอง เอ๊ย..เก้าตัวกว่าๆฮะ อ.NB (กว่าจะนับเสร็จต้องขย่มอารมณ์ซะ)
อยู่ในตลาด แต่มองไม่เห็นตลาด
แปลว่าเห็นช่องว่างทางการตลาด เอ๊ย ราคา รึmos มั้ยฮะ
ท่านอาจารย์โปรดเฉลยชี้ทางศิษย์ที่มองไม่เห็นตลาดเพราะหน้ามืดด้วย..
MOS ม่ะมี มีแต่ MOSS

MOSS = My Own Sad Stock :'O

ผมขอเรียน จาก จารย์ หมอหนึ่งดีกว่าครัช
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 307

โพสต์

leky เขียน:

คนอื่นดูห้องร้อยคนฯ ชอบห้องที่หน้าเยอะ ๆ วิเคราะห์กันมาก ๆ แต่สำหรับผม โน่น ห้องที่อยู่หน้า 3 เป็นต้นไป หุ้นบางตัวโพสต์ครั้งสุดท้ายก็โน่น เป็นเดือน ไม่ต้องหวังข้อมูลอะไรจากใคร บางตัวเคยเข้าไปโพสต์ เผื่อจะมีคนแสดงตนมาร่วมออกความคิดเห็น สุดท้ายเหมือนพูดเองเออเอง :D นานเข้าผมก็ชินกับการที่ต้องเดินเข้าไปเคาะหุ้นพวกนี้คนเดียว แบบว่าเล่นเอง เจ็บเอง ไม่มีใครรู้และเห็น

จริง ๆ ผมก็รู้สึกว่ามันก็ดีครับ ห้องร้อยคนฯ ไม่ได้เอาไว้อ่านข้อมูลอะไร แต่เอาไว้เช็คเรตติ้งหุ้น ถ้าหุ้นตัวไหน ไม่มีใครสนใจเลย ยิ่งน่าสนใจ เพราะถ้าหลุดสายตาเหล่าวีไอมาได้ มีแต่คนมองข้าม อาจจะได้เจอเพชรเม็ดงามเข้าให้

บ่อปลาถ้าปลาชุม แต่คนเข้าไปจับกันเยอะ สุดท้ายก็ตัวหารมาก เอาเข้าก็อาจจะได้ปลาไม่มากอย่างที่คิด ผมขอแค่บ่อพอดี ๆ ไม่ต้องมีปลามาก แต่ตัวหารน้อย ๆ ให้ผมมีเวลาจับปลาเต็มที่น่าจะดีกว่าครับ
ขอบคุณจารย์หมอเล็กมากครับ เล่นเองเจ็บเอง ผมก็เป็นบ่อยครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 308

โพสต์

ว่าแต่ว่า ถ้าใคร รวย แบบเงียบ ๆ คนเดียว จะเผื่อแผ่ บ้างก็ดีนะครับ

แฮ่ม
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
GG
Verified User
โพสต์: 96
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 309

โพสต์

dr1 เขียน:สอง เอ๊ย..เก้าตัวกว่าๆฮะ อ.NB (กว่าจะนับเสร็จต้องขย่มอารมณ์ซะ)
อยู่ในตลาด แต่มองไม่เห็นตลาด
แปลว่าเห็นช่องว่างทางการตลาด เอ๊ย ราคา รึmos มั้ยฮะ
ท่านอาจารย์โปรดเฉลยชี้ทางศิษย์ที่มองไม่เห็นตลาดเพราะหน้ามืดด้วย..

ห้ะ..อย่างนั้นเลยรึ ท่านGG..(ภาพประกอบน้าค่อมตบเข่าฉาดดด..)
อ.ty จัดเป็นบุคลากรหายากของสมาคมเราเลยนะนั่น
ดีแล้ว ดีแล้ว ที่เป็นคนบ้านเดียวกัน จะได้ท่านGGคอยลอกหุ้น เอ๊ยรายงานข่าว
สำคัญแต่ว่า อ.พูดอะไรที่เป็นเบาะแสให้ตีความไปแทง เอ๊ย ซื้อหุ้นตามอ.มั่งล่ะฮะ เล่าให้ฟังมั่ง

ปล.1 ถ้ารู้ชื่อหุ้นแล้วไม่บอก ผมจะแฉ เอ๊ย..เล่าเรื่องที่ท่านเป็นVIอยู่ดีๆ เกือบได้เป็นVDในอีกห้องนึงน่ะ(กิ๊วๆ..)
ปล.2 วันก่อนอ.ty เปรยๆว่าดูๆหุ้นรับเหมา ที่เจ้าของเค้ารักเสียงเพลงกะเป็นพรีเซนเตอร์ให้ Berlina RC11
น่ะฮะ(เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย)
ปล.3 ผมรักษาจรรยาบรรณceleb investor อย่างเคร่งครัด คือซื้อหุ้นแล้ว ถึงจะมาปั่น เอ๊ย..เล่าให้ฟัง
ปล3.1 ถ้าหุ้นขึ้น ผมจะขายให้นะฮะ
ปล3.2 ถ้าหุ้นยังไม่ขึ้น หรือลง ผมจะเอาเงินเดือนไปซื้อเรื่อยๆ จนกว่า
ปล.3.2.1 มันจะขึ้น หรือ
ปล3.2.2 ผมเริ่มรู้ตัวว่า กำลังซื้อหุ้นต่อจากอาจารย์อยู่ แต่ก็...
ปล.4 อ.ลูกอิสาน บอกว่า มะเปงไรร็อก ขายหุ้นทีหลังอ. ได้ราคากว่าตอนอ.ขายน่ะนะ อย่าคิดมาก

สวัสดีครับพี่หมอหนึ่ง เรื่องหุ้นนี่ไม่ได้คุยอะไรกับ อ.พี่ตี้เลยครับ แค่เจอผมก็ตื่นเต้นและดีใจมากๆแล้วครับ(นึกภาพเหมือนเด็กวัยรุ่นเจอ idol ที่พวกเค้าชอบกัน) ผมก็เลยเกรงว่าถ้าถามเรื่องหุ้นกับพี่ตี้แล้วคงจะแปลกๆกระมัง ไม่รู้จะเริ่มยังไง ส่วนใหญ่ก้เลยออกแนวคุยกันเรื่องทั่วไปครับ พี่ตี้ถามผมว่าลงทุนมากี่ปีแล้ว ทำไมถึงสนใจการลงทุนด้านนี้ ผมก็เลยเล่าให้แกฟังไปว่า พี่รู้มั้ยครับ ผมเพิ่งอ่านประวัติของพี่ตี้อีกรอบ ตอนที่ลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเมื่อตอนกลางวันนี้เองครับ แล้วตอนเย็นก็บังเอิญมาเจอพี่นี่แหล่ะครับ บังเอิญมากกกก
ปล. ก่อนหน้านั้นผมก็ฝันถึงคุณหมอบำรุง เหมือนเดจาวูเลยครับ ฉากและการพูดคุย ความรู้สึกในฝัน เหมือนตอนที่เจอพี่ตี้บนรถไฟฟ้าเลยครับ แต่แค่เปลี่ยนจากหมอบำรุงในฝัน มาเป็นพี่ตี้ครับ แปลกแต่จริงครับบ

ส่วนจะได้เจอพี่ตี้อีกมั้ย ผมว่าคงจะยากน่าดูครับ ผมไม่ได้ขอ Contact อะไรจากพี่เค้ามาเลยครับ ไม่กล้าจริงๆครับ( ในใจอยากรู้จักมากกกก แต่ก็คิดว่าเดวค่อยไปกราบสวัสดีและขอความรู้จากงาน meeting ดีกว่า) เอาหล่ะทีนี้ผมต่างหากที่ต้องรอพี่หมอหนึ่งนำข่าวมารายงานให้น้องนุ่งอย่างผมฟังบ้าง เพราะพี่หมอหนึ่งมีโอกาสเจอพี่ตี้มากกว่าผมเยอะเลยยย กราบขอบพระคุณล่วงหน้าครับบบ(มัดมือชก) :mrgreen: ไปล่ะครับบผม ฟิ้วววว...
How not to be your own worst enemy
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 310

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:ว่าแต่ว่า ถ้าใคร รวย แบบเงียบ ๆ คนเดียว จะเผื่อแผ่ บ้างก็ดีนะครับ

แฮ่ม
การเห็นต่างกับผู้อื่นนั้น ในโลกของการลงทุนบางครั้งก็อยู่ง่าย บางครั้งก็อยู่ยากครับ

ที่ว่าอยู่ง่ายก็เพราะ เนื่องจากหุ้นที่เราสนใจคนอื่นไม่สนใจ มันก็ไม่มีข้อมูลรบกวนจากคนอื่น แต่มันก็อาจจะมีข้อเสียถือ ถ้าหุ้นตัวนั้นไม่ดีด้วยเหตุอะไรก็ตามก็อาจจะไม่มีคนคอยเตือน แต่สิ่งนี้มันก็ทำให้เราต้องพยายามเอาตัวรอดเองให้ได้ เพราะถ้าพลาดบ่อย ผลงานมันก็จะแย่ หลักการของผมจึงเริ่มจากข้อหนึ่งคือ หุ้นตัวนั้นต้องราคามี MOS มากหน่อย ประเภทหุ้นราคา low bid offer น้อย ๆ ห่าง ๆ เพราะอย่างน้อยมันเหมือนสัญญาณอ้อม ๆ ว่าแรงขายน้อย เท่าที่สังเกตดูหุ้นแบบนี้ถ้าพลาด มันมักจะไม่ลงไปมาก เพราะมันลงมาจนไม่รู้จะลงยังไงแล้วนั่นเอง :D ซึ่งหุ้นแบบนี้ถ้าคนชอบหุ้น Growth หรือบ.แข็งแกร่ง อาจจะไม่มีหุ้นแบบนี้ มันก็เป็นอีกแนวหนึ่ง เค้าอาจจะไม่ชอบ แต่เราก็ไม่ไปบังคับให้เค้ามาชอบแบบเราครับ

ที่ว่าอยู่ยากก็เพราะ บางครั้งคนอื่นคุยเรื่องหุ้น เราอยากคุยบ้าง เราพูดถึงหุ้นที่เราสนใจ สุดท้ายถ้าหุ้นตัวนั้นโนเนมจริง ๆ คำถามที่จะตามมาก็คือ บ.นี้มันทำอะไร แล้วเราหามาจากไหน อย่างว่าครับ เราก็ไม่ใช่คนดังเป็นแค่คนธรรมดา พูดไปมากมาย คนฟังก็ฟังผ่าน ๆ ไม่มีคอมเม้นต์ ต่างกับเซเลฯ แค่หัวเราะ 555 คนยังกด like เจอแบบนี้บ่อย ๆ สุดท้ายเลยกลับไป mode แรกคือขออยู่แบบง่าย ๆ ดีกว่า :D

ผมว่าบางทีลงทุนเป็นกลุ่ม ถ้ามีสไตล์ของตัวเองชัดเจน มันอาจจะจูนให้ตรงกันยากครับ หุ้นดีของอีกคนหนึ่งเป็นอีกแบบ ของอีกคนหนึ่งก็เป็นอีกแบบ บางทีบางเวลาเราอาจจะไม่ใช่วีไอ 100% บางอารมณ์ก็เป็น VS บ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็น VI หรือ VS หลักการบางเรื่องก็ยังคงต้องยึดอย่างเคร่งครัดคือ ไม่ว่าจะลงทุนด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ต้องพยายามปิดความเสี่ยงขาลงให้มากที่สุด ผมเองพอใจกับหุ้นที่มีโอกาสลง 5% แต่มีโอกาสกำไร 10% มากกว่าหุ้นที่มีโอกาสขึ้น 50% แต่ก็มีโอกาสลง 50% เช่นกัน คือพยายามขาดทุนให้น้อยที่สุด ถึงบ้างช่วงจะกำไรน้อยบ้างแต่ก็เชื่อว่ามันต้องมีอีกหลายครั้งที่น่าจะกำไรมากอยู่ รวม ๆ ก็คงจะดึงขึ้นไปได้ แต่ถ้าขาดทุนไปแล้วถึงจะแค่ 10% แต่พอเราจะเอาที่ขาดทุนคืนต้องทำกำไรถึง 20% จากทุนที่เหลืออยู่

แต่ผมเองไม่ชอบหุ้นตลาด เพราะรู้สึกว่าให้มาสู้กับนักวิเคราะห์มืออาชีพของกองทุน โบรก ต่างชาติ คงไม่ไหว เค้าเข้าไป visit ส่วนเราข้อมูลได้จากเค้าอีกที เค้าวิเคราะห์เสร็จเค้าซื้อขายเรียบร้อย เค้าถึงมาออกบทวิเคราะห์ให้คนอื่นอ่าน ถึงบอกไงครับว่าเล่นเอง เจ็บเอง ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้สแตนอิน ครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 311

โพสต์

ต่ออีกหน่อย จะว่าไปใครถนัดการลงทุนแบบไหนก็ทำไปเถอะครับ ทำให้ดีที่สุด ชอบแบบไหนก็เอาให้เต็มที่

ผมเองไม่เคยมองว่าใครดีกว่าใครนะครับ พวกเทคนิคเค้าก็มีความเชื่อของเค้า อย่างบางคนพยายามให้เค้าศึกษาปัจจัยพื้นฐาน แต่ดูเหมือนเค้าก็ไม่ชอบเอาซะเลย ทั้ง ๆ ที่เค้าก็ชอบมาถามเราบ่อย ๆ หลายครั้งเราก็ตอบกลับไปว่าก็ลองศึกษาพื้นฐานหุ้นดูจะได้ไม่ต้องมาถาม หรืออย่างผมดูกราฟแค่ราคาซื้อขายในอดีต ก็ไม่เคยไปศึกษาเรื่องเทคนิคทั้ง ๆ ที่สมัยเริ่มลงทุนใหม่ ๆ อยากดูกราฟให้เก่ง ๆ

จริง ๆ แล้วการที่เราจะบอกว่าอะไรดีกว่าอะไรนั้น ผมคิดว่าเราต้องศึกษาให้รู้จริงทั้งสองอย่างแล้วเปรียบเทียบกันครับ แต่ทุกวันนี้เราอาจจะศึกษาอย่างเดียว อีกวิธีหนึ่งเรารู้เพียงผิวเผิน แต่เราก็ไปสรุปว่าอีกแบบมันไม่ได้ผล ผมว่าตรงนี้มันอาจจะไม่แฟร์เท่าไหร่ เพราะคนที่รู้จริงในอีกวิธีหนึ่งเค้าก็บอกว่าวิธีของเค้าดีเหมือนกัน

ผมเชื่อว่าตราบใดที่เรายังทำกำไรได้ ไม่ว่าเราจะใช้วิธีไหนถึงจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้ามาวิจารณ์ในวิธีของเราครับ ในทางกลับกันถึงแม้เราจะใช้วิธีที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุด แต่เรากลับทำกำไรไม่ได้ สุดท้ายก็จะโดนวิจารณ์ครับ :D

แต่ในความเป็นจริงจงอย่าไปสนใจในคำพูดของคนอื่นครับ เราลงทุนเพื่อตัวเราและครอบครัวของเรา ไม่ได้ลงทุนเพื่อคำวิจารณ์ของผู้อื่นครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 312

โพสต์

ฟังอ.leky กะอ.NB คุยกันแล้ว
ไม่รู้ทำไมผมนึกถึงคำพูดของ

อ.ลูกอิสาน
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
ไม่สนหุ้นราคาnewhigh ถ้าราคาnewlow ค่อยน่าสนหน่อย

อ.chatchai
(ราวๆ)สิ่งทรมานใจมากที่สุดของวีไอ คือหุ้นคนอื่นขึ้นเอาขึ้นเอา หุ้นเราไม่ไปไหนเป็นปีปี

สงสัยต้องนับว่า ร้อยคนร้อยหุ้นสองสามหน้าแรก ถือเป็นmr.marketอีกกลุ่มนึงมั้ยครับ
ผมก็ถือหุ้นmossss (more of sad sick suck sob stocks)ไว้เพียบเหมียนกันครับ อะฮึ อะฮึ
กลังหัดไม่ร้อง แต่ขอสะอื้นนิสนึง
samatah
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 313

โพสต์

คือผมว่าเรื่องหุ้น เราอย่าไปเครียดกับมันมากครับ อย่างผมยังมีงานประจำทำ ถึงบางช่วงหุ้นจะไม่ดีเราก็จะไม่เครียดเพราะยังมีรายได้อยู่ อาจจะเครียดว่าจะเอาเงินจากไหนมาซื้อเพิ่มดี แต่นลท.อาชีพถ้าพอร์ตไม่ใหญ่มากแบบว่าหุ้นขึ้นลงนิดหน่อยก็กำไรมากมาย แบบนี้อาจจะเครียดครับ เพราะเหมือนต้องหารายได้มาใช้จ่ายด้วย

ผมเองเป็นนลท.ที่ค่อนข้างจะไฟเตอร์ครับ ไม่ใช่แปลว่าเก็งกำไรทุกรูปแบบนะครับ แต่ผมหมายถึงผมจะลงทุน 100% เกือบตลอดเวลาครับ ไม่เครียดด้วยครับ :D แต่จะเริ่มเครียดถ้าเงินเหลือมากหรือหุ้นลงแต่หมดเงิน เพราะมีความเชื่อว่าการถือเงินสดโดยไม่มีเหตุผลคือการทำให้มูลค่าพอร์ตมันไม่โต อันนี้แล้วแต่ความเชื่อส่วนตัวนะครับ เพราะหลายคนเค้าชอบกันเงินไว้รอหุ้นที่อยากได้ ถ้าราคาตกลงมามาก ๆ ผมจะถือเงินสดมากหน่อย ถ้าขายหุ้นแล้วยังไม่มีหุ้นน่าสนใจให้ซื้อต่อ หรือตลาดมันสูงมากจนไม่น่าไว้วางใจครับ

ที่ผมทำแบบนี้ได้มันมีเหตุผลครับ เพราะผมเป็นคนชอบหุ้นง่ายครับ อาจจะเรียกกว่าหลายใจทางหุ้นก็ได้ครับ :D แบบว่าหุ้นตัวนี้ก็ดี หุ้นตัวนี้ก็ชอบ หุ้นตัวนี้ก็อยากได้ หุ้นตัวนี้ก็อยากมีเอาไว้ลุ้น ประมาณนั้นครับ บวกกับหุ้นที่ยังอาจจะติดอยู่ก็มีราว ๆ 10 กว่าตัว แต่ก็ดูแลไหวครับ มันโทษใครไม่ได้ครับ เพราะเราดันหลายใจเอง 555 ยังไม่นับว่าผมก็มีลิสต์หุ้นที่สนใจอยู่อีกจำนวนหนึ่งครับ พอขายหุ้นบางตัวออกไป มันเลยไม่ยากที่จะหาตัวตายตัวแทนเข้ามา เพียงแต่ถ้าไฟเตอร์แบบนี้ถ้าเหมือนทีมบอล กองหลังกับผู้รักษาประตูต้องแน่นครับ นั่นแปลว่าถึงกองหน้าจะยิงประตูไม่ได้ (ทำกำไรไม่ได้หรือได้เล็กน้อย) แต่อย่าให้เสียประตูหนัก ถึงเป็นที่มาว่า MOS ต้องให้มากหน่อย จะประเมินจากอะไรก็ได้ครับ เช่นราคาลงมาก วอลุมน้อยแล้ว ปันผลมาก ๆ เป็นแบ็คอัพไว้ ฯลฯ

แต่ก่อนเคยพยายามไม่ให้มีหุ้นเกิน 5 ตัวครับ เห็นพวกเซียนเค้าทำกันแล้วเคลิ้ม ประมาณว่าถ้าใช่ก็ผลตอบแทนมาก แต่พอลองทำผมว่ามันเสี่ยงเกินไป เพราะหลายครั้งตัวที่เราจัดเต็มดูแล้วน่าจะดีสุดมันกลับไม่ไปไหน ตลาดไม่เอาด้วย ตัวรอง ๆ อันดับ 4-5 กลับโดดเด่น แต่ที่เจ็บปวดที่สุดคือพวกที่อยู่ในลิสต์แต่ไม่ได้ซื้อเพราะเราจะจำกัดจำนวนหุ้นนี่สิครับ มันดันวิ่งเอา ๆ สุดท้ายเลยเลิกครับ

ผมก็ลองมานั่งคิด เราอาจจะทำไม่ได้เพราะเราอาจจะวิเคราะห์ยังไม่แม่นหรืออะไรก็ได้ครับ อีกอย่างการจะไปทำแบบเซียนผมมานั่งดูมันคนละ status กัน เซียนเค้ามีชื่อเสียง คนอยากซื้อหุ้นตาม ถึงเค้าอาจจะต้องการซื้อเงียบ ๆ สุดท้ายคนอื่นก็อาจจะรู้ กองหนุนก็มาก หุ้นมันก็คงขึ้นง่าย สุดท้ายเลยกระจาย ๆ ดีกว่าครับ อ.ลินซ์ของผมยังเล่นมีหุ้นตั้ง 1400 ตัวเลยครับ ผมแค่ 10 กว่าตัวคงไม่น่าเกลียดอะไรครับ

จะว่าไปสุดท้ายมันก็ต้องกลับไปดูนั่นแหละครับ เหมือนที่ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านั้น หุ้นราคาถูกอาจจะซื้อได้ แต่ขึ้นไม่ขึ้นมันอีกเรื่อง แต่หุ้นราคาถูกแล้วมีตัวเร่งราคา อันนี้ยังไงก็ควรซื้อครับ แล้วมันก็จะย้อนกลับไปอีกว่า แล้วตัวเร่งของหุ้นแต่ละตัวมันคืออะไร ตัวเร่งมันมีมากมายครับ เราเองก็ต้องมาจัดกลุ่มว่าอันไหนมันเป็นแบบไหน แบบมีประสิทธิภาพเห็นผลเร็ว หรือแบบไม่แน่นอนเห็นผลช้า ถ้าเป็นแบบแรกก็ไม่ควรคิดนานหรือต่อรองราคามาก เพราะมันจะไม่รอเรา แต่ถ้าเป็นแบบที่สองแบบนี้ก็รอดูพอไหวครับ คือออกตัวก่อนว่าถ้าดูแบบนี้ คนที่ชอบหุ้นแข็งแกร่งกิจการสุดยอดเค้าอาจจะไม่ชอบนะครับ แต่ผมไม่ซีเรียสเพราะผมเน้นการผลลงทุนที่ดีมากกว่าครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 314

โพสต์

dr1 เขียน: สงสัยต้องนับว่า ร้อยคนร้อยหุ้นสองสามหน้าแรก ถือเป็นmr.marketอีกกลุ่มนึงมั้ยครับ
จะเล่าให้ฟังเรื่องหุ้นที่คนมองข้ามครับ เท่าที่จำได้ชัด ๆ

พอดีผมไม่ได้มีหุ้นพวกนี้แล้ว พูดขึ้นมาก็คงไม่เป็นไร เพราะถือว่าไม่มีส่วนได้ส่วนเสียแล้วครับ :D

ตัวแรก NMG ครับ จำได้ว่าตอนน้ำท่วมปี 54 ตอนนั้นผมก็หนีน้ำไปตจว.เหมือนกัน มีเวลาว่าง ที่สนใจ NMG เพราะ 3-4 เรื่อง ตอนนั้นสังเกตว่าผบห.เก็บหุ้นหนัก ถ้าจำไม่ผิดราว ๆ 70-80 สต. พร้อม ๆ กับข่าวเรื่องบ.จะล้างการขาดทุนสะสมโดยการลดทุน สำหรับผมการพยายามล้างขาดทุนสะสม น่าจะเป็นเรื่องที่ดีว่าบ.อาจจะมีพัฒนาการที่ดีอะไรบางอย่าง ตอนนั้น NMG ราคาต่ำมากครับ ติดดินมาหลายปี ผมมองว่าที่ราคาเท่านั้นถ้าผมซื้อต้นทุนไม่ต่างกับผบห.มากนัก ผมก็เลยทะยอยซื้อหุ้นตัวนี้ ส่วนข้อมูลหุ้นไม่ต้องพูดครับ ตอนนั้นมีน้อยมาก ตอนนั้นไม่ได้หวังกำไรมาก แต่คิดว่า downside น่าจะต่ำ ถ้าเป็นหนังสือนักลงทุนดันโดก็คงบอกว่า "ถ้าออกหัวผมได้เงิน ออกก้อยเสียเงินนิดหน่อย" ตอนนั้นบ.มีการปรับโครงสร้างการบริหาร ผถห.ใหญ่เปลี่ยนพร้อมกับมีแผนปรับโครงสร้างทางธุรกิจอย่างจริงจัง หลังจากนั้นหุ้นมันวิ่งขึ้นแรง ๆ ผมปล่อยหุ้นออกไปเพราะยังไม่แน่ใจว่าบ.จะสร้างกำไรเพิ่มขึ้นให้มั่นคงได้อย่างไร แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีกระแสทีวีดิจิทัล หุ้นก็วิ่งขึ้นไปอีกอย่างแรง ถามว่าเสียดายไหมก็เล็กน้อย แต่ก็มองว่าตอนที่ผมเข้าไปซื้อภาพมันไม่ชัดเจน และกำไรที่ได้เราก็พอใจเทียบกับระยะเวลาที่ถือหุ้นไม่นานนัก

ตัวที่สอง EASON ช่วงหลังกลับจากน้ำท่วม ตอนนั้นมีเงินเหลือเพราะขายหุ้นบางตัวออกไป มาสะดุดที่หุ้นตัวนี้ จริง ๆ ผมดูมาหลายครั้งแล้ว กำไรเรื่อย ๆ แต่ปันผลดีมาก หุ้นลงต่ำแบบไม่มีสาเหตุน่าจะราว ๆ 1.7 บาท ผมเดาว่าเรื่องน้ำท่วมอาจจะฉุด ตอนนั้นมองว่าปันผลเยอะ ถ้าบ.ประกาศจ่ายน่าจะได้มากพอควร หุ้นไม่น่าจะลงไปมากกว่านั้นอีก (มองปันผลเป็นแบ็คอัพ กองหลังแน่น ประตูเหนียว) เรื่องข้อมูลในเว็บไม่ต้องพูด น้อย ตอนนั้นไม่ชัวร์เรื่องผลกระทบจากน้ำท่วมเลยลองโทรไปคุยกับ IR เค้าให้ข้อมุลดีมาก ทำให้มั่นใจและเข้าใจว่าน้ำท่วมไม่กระทบเท่าไหร่ หลังจากนั้นบ.ประกาศปันผลราว ๆ 8% (ถ้าจำไม่ผิด) ตอนนั้นบ.ตัดหุ้นที่ซื้อคืนออกไปด้วยเพราะราคาแพงกว่าราคาตลาดในตอนนั้น หลังจากนั้นราคาหุ้นค่อย ๆ ขึ้นมา ยอดขายดูไม่ได้โตมาก แต่มาทราบข้อมูลจากบ.ว่าเพราะเดิมรับจ้างผลิตคิดค่าวัตถุดิบด้วย แต่ตอนหลังลูกค้าซื้อวัตถุดิบเอง มาร์จิ้นเลยมากขึ้น ราคาหุ้นขยับตามผลการดำเนินงาน พอมันขึ้นมาราว ๆ เด้งกว่า ๆ ผมก็ปล่อยออกไป เพราะพัฒนาการเรื่องอื่นดูไม่ชัดเจน ข่าวเรื่องไปลงทุนที่อินโดฯ เวียดนามยังแค่เริ่มต้น หลังจากนั้นตลาดหุ้นดี หุ้นมันขึ้นไปแรง ๆ อยู่ครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตกลงมาในราคาที่ควรจะเป็นของมัน ตอนนั้นเงินเหลือเยอะเลยซื้อตัวนี้ไปเยอะ ก็ช่วยดึงพอร์ตโดยรวมได้ดี

ถามว่าที่พลาดมีไหม ก็มีครับ ปีหนึ่งอาจจะมีเหตุการณ์คัทลอสปีละ 1-3 ครั้ง พยายามจะไม่ให้เกินนี้ เพราะถ้ายอมรับเรื่องการคัทลอสได้บ่อย ๆ เราจะไม่มีวินัยและทำให้ตัวเองชอบเสี่ยงในหุ้นที่ไม่ควรเสี่ยง คือสำหรับผมถ้ารู้ว่าหุ้นตัวไหนมันอาจจะมีปัญหาก็จงอย่ายุ่งกับมันตั้งแต่แรก เพราะพอมีปัญหาแล้วมันก็แก้ยาก ส่วนใหญ่จะจบที่การขายขาดทุน แต่ส่วนใหญ่ถ้าต้องคัทลอสก็เพราะเรื่องพื้นฐาน บางตัวพอถือไหวก็ถือไว้ ถ้าทุนสูงมากก็ขายสลับซื้อคืนบ้าง

แต่ผมจะพยายามเตือนตัวเองตลอดเวลาครับว่า เราได้กำไรหรือขาดทุนจากหุ้นตัวนั้นเพราะอะไร โดยเฉพาะในยามตลาดดี ๆ จะมองว่าหุ้นเราขึ้นเพราะหนึ่งตลาดมันดีแต่ผลการดำเนินงานไม่ดีหรืองั้น ๆ หรือ สองเพราะผลประกอบการดีจริง ถ้าเป็นแบบแรกผมจะถือว่าผมโชคดีแต่ถ้าเป็นแบบที่สองแสดงว่าผมวิเคราะห์ถูก ผมต้องพยายามมองตรงนี้ให้ออก เพื่อไม่ให้ตัวเองเกิดความ bias เด็ดขาดครับ เพราะถ้าเป็นแค่ความโชคดีของผม ๆ ก็ต้องมาดูแล้วว่าผมควรจะถือหุ้นตัวนั้นต่อหรือขายออกไป

ผมเคยคุยกับน้องที่เล่นเทคนิค แบบว่าลงมาต่ำกว่า 5-10% แล้วขายอะไรทำนองนั้น บอกเค้าไปว่าถึงจะแค่ 5-10% แต่ถ้าเจอคัทลอสแบบนี้ไป 10 ครั้ง มันจะเหลือเงินเท่าไหร่ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 315

โพสต์

leky เขียน:
ตัวแรก NMG ครับ จำได้ว่าตอนน้ำท่วมปี 54 ตอนนั้นผมก็หนีน้ำไปตจว.เหมือนกัน มีเวลาว่าง ที่สนใจ NMG เพราะ 3-4 เรื่อง ตอนนั้นสังเกตว่าผบห.เก็บหุ้นหนัก ถ้าจำไม่ผิดราว ๆ 70-80 สต. พร้อม ๆ กับข่าวเรื่องบ.จะล้างการขาดทุนสะสมโดยการลดทุน สำหรับผมการพยายามล้างขาดทุนสะสม น่าจะเป็นเรื่องที่ดีว่าบ.อาจจะมีพัฒนาการที่ดีอะไรบางอย่าง ตอนนั้น NMG ราคาต่ำมากครับ ติดดินมาหลายปี ผมมองว่าที่ราคาเท่านั้นถ้าผมซื้อต้นทุนไม่ต่างกับผบห.มากนัก ผมก็เลยทะยอยซื้อหุ้นตัวนี้ ส่วนข้อมูลหุ้นไม่ต้องพูดครับ ตอนนั้นมีน้อยมาก ตอนนั้นไม่ได้หวังกำไรมาก แต่คิดว่า downside น่าจะต่ำ ถ้าเป็นหนังสือนักลงทุนดันโดก็คงบอกว่า "ถ้าออกหัวผมได้เงิน ออกก้อยเสียเงินนิดหน่อย" ตอนนั้นบ.มีการปรับโครงสร้างการบริหาร ผถห.ใหญ่เปลี่ยนพร้อมกับมีแผนปรับโครงสร้างทางธุรกิจอย่างจริงจัง หลังจากนั้นหุ้นมันวิ่งขึ้นแรง ๆ ผมปล่อยหุ้นออกไปเพราะยังไม่แน่ใจว่าบ.จะสร้างกำไรเพิ่มขึ้นให้มั่นคงได้อย่างไร แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีกระแสทีวีดิจิทัล หุ้นก็วิ่งขึ้นไปอีกอย่างแรง ถามว่าเสียดายไหมก็เล็กน้อย แต่ก็มองว่าตอนที่ผมเข้าไปซื้อภาพมันไม่ชัดเจน และกำไรที่ได้เราก็พอใจเทียบกับระยะเวลาที่ถือหุ้นไม่นานนัก
ลืมไปครับ เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ตอนนั้นสนใจหุ้นตัวนี้เพราะมองว่าราคา NMG ที่ 80 สต.นั้น แค่เอามูลค่าตลาดของ NBC+NINE ที่ NMG ถืออยู่หักออกไป ส่วนที่เหลือ (ถ้าจำไม่ผิด 30 สต.) เท่ากับธุรกิจในกลุ่มที่เหลือ 4-5 บ. ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 316

โพสต์

ขอบคุณอ.lekyนะครับ
พอจะได้ไอเดียกะสไตล์เจ๋งๆมาต่อจิ๊กซอว์ในสมองแระ
ซุ่มๆหาหุ้นที่วีไอยังไม่สนใจ รึเอาท์ไปแล้ว
เลือกตัวดาวน์ไซด์ต่ำ อัพไซด์ได้เท่าไรช่างมัน(แต่ยิ่งเยอะยิ่งดี)
ตัวเร่งที่ทำให้มีอัพไซด์ ควรเป็นคุณภาพหุ้นเอง แต่ถ้าmr.market(ทั้งvi vs )มาด้วยก็ตามใจ
ซื้อแล้วรอขายเมื่อราคาเหมาะสม(คือรวยจนทนไม่ไหวแระ รึเจอตัวใหม่ รึคิดผิด)
ซื้อแล้วราคาไม่ไปใหน ไม่หือไม่อือก็ไม่ต้องเอาไม้ไปเขี่ย..

นึกอะไรได้มาเติมเรื่อยๆนะฮะ
samatah
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 317

โพสต์

dr1 เขียน:ขอบคุณอ.lekyนะครับ
พอจะได้ไอเดียกะสไตล์เจ๋งๆมาต่อจิ๊กซอว์ในสมองแระ
ซุ่มๆหาหุ้นที่วีไอยังไม่สนใจ รึเอาท์ไปแล้ว
เลือกตัวดาวน์ไซด์ต่ำ อัพไซด์ได้เท่าไรช่างมัน(แต่ยิ่งเยอะยิ่งดี)
ตัวเร่งที่ทำให้มีอัพไซด์ ควรเป็นคุณภาพหุ้นเอง แต่ถ้าmr.market(ทั้งvi vs )มาด้วยก็ตามใจ
ซื้อแล้วรอขายเมื่อราคาเหมาะสม(คือรวยจนทนไม่ไหวแระ รึเจอตัวใหม่ รึคิดผิด)
ซื้อแล้วราคาไม่ไปใหน ไม่หือไม่อือก็ไม่ต้องเอาไม้ไปเขี่ย..

นึกอะไรได้มาเติมเรื่อยๆนะฮะ
แบบนั้นแหละครับ หลักที่ผมใช้มันก็มีแค่นี้ครับ เพราะผมเองติดกับดักของคำว่าซื้อหุ้นถูกอยู่นานมาก แต่ก่อนไม่มีความรู้ ได้ยินแต่ว่าให้ซื้อหุ้นถูกแล้วรอขายแพง ๆ เลยไปหาแต่หุ้นถูก ๆ แต่มันมีสองแบบคือ ถูกอยู่อย่างนั้น กับถูกลงเรื่อย ๆ :'O งมโข่งแบบนี้อยู่นาน หลัง ๆ พอเริ่มอ่านหนังสืออ.ลินซ์ เลยเข้าใจ มานั่งทบทวนหลายอย่าง

สิ่งที่ผมเคยนั่งคิดเป็นเวลานานก็คือ "อะไรที่จะทำให้คนในตลาดยอมซื้อหุ้นแพงขึ้น" พอคิดจากตรงนี้ย้อนไปเรื่อย ๆ ไม่นับเรื่องข่าว เพราะตรงนั้นถือว่าเป็นเรื่องอินไซด์แบบเรา ๆ คงไม่มีทางได้รู้

มาเจออยู่สองเรื่องคือกำไรของบ.เพิ่มขึ้นมาก ๆ หรือไม่ก็ปันผลเพิ่มขึ้นมาก ๆ ขอย้ำว่า "มาก ๆ" เพราะอันนี้เอาแบบให้เห็นภาพว่าอะไรที่มัน significant มันจะยิ่งชัด พอคิดได้อย่างนั้น ก็มองย้อนกลับไปอีก แล้วอะไรที่จะทำให้กำไรหรือปันผลเพิ่มขึ้น "มาก ๆ" มันมาได้จากหลายขา เช่น ยอดขายเพิ่มจากอะไรก็แล้วแต่ เช่นเพิ่มกำลังการผลิตแล้วขายได้ ไม่ใช่เพิ่มแต่ขายไม่ได้ มีลูกค้ารายใหม่ ๆ, ราคาขายปรับตัวขึ้น, ต้นทุนลดลงมาก ฯลฯ

ตอนหลังก็มองแตกแขนงไปอีก อะไรที่จะเร่งราคาหุ้นได้อีก ปัจจัยภายนอกและภายในของกิจการ และสัญญาณอะไรที่เราควรจะสนใจ

พอคิดไปเรื่อย ๆ ภาพมันก็ชัดเจนขึ้น จริง ๆ ผมว่าที่เซียนเค้าแนะนำหุ้นตัวนั้นตัวนี้มันก็หนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้มั๊งครับ เพียงแต่คนไปฟังอาจจะจับที่จุดเล็ก ๆ สำหรับหุ้นตัวหนึ่ง ภาพมันก็เลยจำกัด แต่ถ้าพยายามมองความสัมพันธ์พวกนี้ให้ได้ ผมว่ามันจะง่ายขึ้นครับ แล้วจริง ๆ ช่องทางการหาหุ้นมันมีหมดครับ ทั้งข่าวทั่วไป ข่าวเฉพาะของบ. บางทีบ.เค้าก็ออกข่าวทางสื่อแต่เหมือนบางครั้งนายตลาดไม่ให้ราคาหรือไม่ก็กำลังกลัวกับเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ ผมยังเคยหาหุ้นจากเรื่องกราฟเทคนิคเลยครับ คือประมาณว่าคนดูกราฟบอกว่าราคาหุ้นมันต่ำมาก มีคนรับตลอด เราก็ลองไปดูพื้นฐาน คือผมว่ามันหาได้หมดจริง ๆ ครับ เพียงแต่มันต้องรู้จักบ.ในตลาดมากหน่อย ผมถึงมีหุ้นที่สนใจอยู่มาก และก็มีในลิสต์อยู่พอควร ตัวไหนไม่ได้ซื้อแต่ขึ้นไปแล้วก็จำไว้เป็นบทเรียน ตัวที่อยู่ในลิสต์อันดับถัดไปก็ขึ้นมาแทนที่ครับ

ความยากของมันอาจจะอยู่ที่การตีความข้อมูลเหล่านั้นครับ ว่าจะให้น้ำหนักเท่าไหร่ แล้วพอผ่านกระบวนการตรงนี้แล้ว ความยากขั้นถัดมาคือ จะซื้อหุ้นตัวนั้นมากน้อยแค่ไหนแล้ว ผมว่าตรงนี้ยาก ต้องหาประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ ครับ มันเหมือนเราเป็นพ่อค้ารถมือสอง มีคนเอารถมาขายให้เรา เราคงไปแกะรถออกมาดูเป็นส่วน ๆ ว่าดีหรือไม่ดีไม่ได้ ก็ต้องประเมินหน้างานตรงนั้นแล้วดูว่าซื้อมาแล้วเราจะขายได้ราคาไหม ถ้าคิดว่าคุ้มก็ซื้อ ถ้าไม่ชัวร์ก็กดราคาคนขายลงไปอีก ถ้าดูแล้วไม่ควรซื้ออย่างยิ่งก็ไปดูหุ้นตัวอื่นครับ

อีกเรื่องหนึ่งคือตลาดหุ้นคือ มหาสมุทรครับ มันไม่ใช่มีแต่ VI เท่านั้น ฉะนั้นสำหรับผม ๆ จะพยายามเรียนรู้แนวคิดของนลท.แนวอื่น ๆ ด้วย เพราะถ้านลท.เป็น VI กันหมด ผมว่าเราคงจะทำกำไรได้ลำบาก ความเหลื่อมล้ำตรงนั้น มันก็ทำให้เราได้ประโยชน์ครับ เช่นสถานการณ์แบบไหนที่เดย์เทรดเค้าจะเข้าหรือออก หรือเทคนิคเค้าชอบมองหุ้นแบบไหน เข้าออกยังไง คือนลท.กลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ก็ทำให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวต่างกัน เราจะได้เข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้นครับ และไม่ตื่นตระหนกเวลาที่หุ้นโดนขายหนัก ๆ ครับ

ต้องบอกก่อนว่าที่ผมเล่า ๆ มา ไม่ใช่ว่าผมเก่งสุดยอดอะไรนะครับ ผมเพียงแต่เล่าให้ฟังว่าผมก็ใช้วิธีแบบนี้ มันก็เอาตัวรอดมาได้และก็มีความสุขดี คนอื่นอาจจะชอบแบบอื่นหรือไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่ากันครับ และยินดีจะรับฟังคำชี้แนะเสมอครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 318

โพสต์

ต่อไปขอเรื่องสังเกตุอาการหุ้นนะครับ อ.leky
ว่าแบบไหนไอซียู แบบไหนออกจากโรงบาลกลับบ้านได้ แบบไหนสังเกตุอาการอย่างไกล้ชิด
แบบไหนรอแยกร่างบริจาคอวัยวะ แบบไหนโดนยาชุดมา แบบไหนติดโรคระบาดมา อะไรประมาณนี้

กะ"เร็ว ช้า หนัก เบา" คืออาการแบบไหนต้องรีบซื้อโดยด่วน ตัดหน้ากองทุน ฝรั่ง เม่า ๆลๆ
แบบไหนต้องจัดหนัก ขายบ้านเอ๊ย..กู้มาร์จิ้นมาซื้อเลยยังคุ้ม แบบไหนเบาๆก่อน(ถมเงินลงไป ไม่หือไม่อือ)..

ขอเอาเล็คเชอร์ปัจฉิม-ปฐมนิเทศน์ อ.ลูกอิสาน มาลงก่อนผมจะลืม(ความจำสั้น ติดดอยนั้น..ยาวนาน)

"บริหารเงินและหุ้นอย่างไร ให้มั่งคั่ง"

ความสำคัญของ"เงิน"
เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง แต่ทุกอย่างเริ่มได้ด้วยเงิน
บางอาชีพเงินดี แต่คุณภาพชิวิตไม่ดี เวลาน้อยงานหนัก
แต่ก็ยังเห็นคนแย่งกันเรียนสาขาที่เงินดี
เงินเป็นทาสที่ดี จึงควรหาเงินมาพัฒนาคุณภาพชีวิต
เงินเป็นนายที่เลว จึงมีคนเป็นทาสเงินจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว มีคนโกง ทุจริต เพราะเงิน
เงินจะไม่สำคัญ จนกว่าถึงวันที่เราต้องใช้เงิน
วิธีหาเงินแบบ"นักลงทุนเน้นคุณค่า"จะเป็นวิธีที่ได้ทั้งเงิน เวลา และคุณภาพชีวิต

ความรู้ทางการเงิน
เงินเฟ้อ
หมายถึงราคาของแพงขึ้นเรื่อยๆทุกปี ปีละ4% แปลว่าแพงเป็น2เท่าทุก18 ปี
ดอกเบี้ยเงินฝาก2% คือความปลอดภัยที่ไม่จริง เพราะแพ้เงินเฟ้อ
เงินเกษียณ
อายุคนไทยเฉลี่ย74ปี แปลว่าหลังหยุดทำงานอายุ60ปี จะมีชีวิตอีก15-20ปีโดยต้องใช้เงิน
1. ข้าราชการ เงินบำนาญ เงินกบข.
2. พนักงานเอกชน พนักงานรัฐ ประกันสังคม เงินเกษียณ3-4000 +สำรองเลี้ยงชีพ1-2ล้าน
เงิน 1ล้านวันนี้ อีก25ปี มีค่าแค่สามแสนหกหมื่น (อำนาจซื้อเงิน1ล้านใน25ปีข้างหน้ามีแค่สามแสนหกในวันนี้?)
ค่ารักษาพยาบาล แพงขึ้นปีละ6%ทุกๆปี มะเร็ง เบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคไต
เงินซื้อได้แม้กระทั่งชีวิต(ทั้งโรคฉุกเฉินที่ต้องใช้เงิน และยืดเวลาของชีวิต)
"ถ้าไม่เริ่มเก็บเงินตอนนี้ จะมีชีวิตเกษียณได้อย่างไร?"
ชีวิตคนรุ่นใหม่
ไม่แต่งงาน ลูกน้อย ญี่ปุ่นเริ่มมีคนน้อยลงปีที่แล้วเป็นปีแรก
ทำงานคนเดียว เลี้ยงอีก3-5(พ่อ แม่ พี่ น้อง) ถ้าแต่งก็เลี้ยงลูกเมียอีก
คนไทยเริ่มออมตอนอายุ42 ก่อนเกษียณ18ปี
แต่วีไอบางคน เกษียณได้ตั้งแต่อายุ31ปี

ทำไงให้รวย100 ล้าน1000ล้าน 10000ล้าน!!!!!!!!!!!!(มีอัศเจรีย์เยอะๆแบบเค้าเหมือนกันแฮะ อ.เรา)
ลดรายจ่าย สร้างเงินออม
เอาเงินออมไปลงทุนสร้างรายได้
ออมเงิน ได้1แรง
ออมเงิน+เอาเงินออมไปลงทุน ได้2แรง
ลงทุนแบบผลตอบแทนน้อย เงินทำงานแบบขี้เกียจ
ลงทุนแบบผลตอบแทนมาก เงินทำงานแบบทาส
สมการเปลี่ยนชีวิต คือสมการของเงินทบต้น
"The most powerful force in the universe is compound interest"(อัลเบิร์ต ไอนสไตน์)
เงินทบต้น เท่ากับ เงินต้น คูณ (1+ผลตอบแทน)ยกกำลังด้วยจำนวนปี
ฝากเงิน 2% สามแสนไปร้อยล้าน เกือบ300ปี
หุ้น 11% สามแสนไปร้อยล้าน 56ปี
วีไอ64%(น่าจะรู้นะว่าใคร) สามแสนไปร้อยล้าน 12ปี
กราฟexponential (กราฟสมการทบต้น)จุดเริ่มพุ่งที่ได้9เท่า ใช้เวลา7ปี อีก6ปี กลายเป็น800เท่า
"โดยทั่วไปใช้เวลา 15ปี ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว"
ออมก่อน รวยกว่า
ผลตอบแทน20% 38ปี สามแสนกลายเป็น 306ล้าน
มัวลัลล้าอยู่10ปี เหลือ 28ปี สามแสนได้แค่164ล้าน
ในสมการทบต้น
เงินต้นมีผลน้อยที่สุด เป็นเลขบวก
ผลตอบแทนเป็นเลขคูณ
แต่จำนวนปีเป็นเลขยกกำลัง มีผลสูงสุด
samatah
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 319

โพสต์

ผ่อนรถ
"การซื้อรถคือการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาว" สุภา เจริญยิ่ง
"ไม่มีอะไรจะผลาญเงินเราได้เท่าการซื้อรถอีกแล้ว" peter lynch
รถคือ"พาไปเสียเงิน"

ผ่อนบ้าน
บ้านคือสินทรัพย์ที่แพงที่สุดในชีวิต ผ่อน30ปี จ่ายดอกแพงกว่าตัวบ้าน
ดอกผ่อนทบต้น คือมหัศจรรย์ทางลบ
ซื้อบ้านเมื่ิอชีวิตลงตัว เพราะบ้านมีราก ถอนย้ายตามเราไปไม่ได้
เช่าอาจดีกว่าผ่อน ถ้าเอาส่วนต่างไปลงทุนผลตอบแทนได้ดีกว่า
ดีที่สุดคือ "ไม่ต้องมีภาระทางการเงิน" บ้านหลวง บ้านพ่อแม่ บ้านเมีย

บัตรเครดิต
มีเพื่อ"ทดแทนเงินสด และแลกแต้ม"
จ่ายเต็ม ห้ามผ่อน ห้ามกดเงินสด
ดอกเบี้ย18-20%คือมหัศจรรย์ทบต้นทางลบ

ประกันชีวิต
ซื้อแบบไม่ได้คืน คนซื้อคือผู้เป็นรายได้หลักของครอบตรัว
ซื้อเท่าไร? เท่ากับรายจ่าย5ปีของครอบครัว
เพื่อให้เวลาตั้งหลัก5ปี หลังจากนั้นตั้งตัวไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้แล้ว
ห้ามซื้อประกันเพราะความเกรงใจ
เพราะคนที่เราเกรงใจจะไม่ได้มาบริการเราเวลาต้องเคลม (เลิกไปก่อนแล้วเพราะไม่ใช่มืออาชีพ)
"อย่าซื้อแบบสะสมทรัพย์"(90%ซื้อแบบนี้เพราะหวังหักภาษี ปันผล)
ข้อเสียของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
เงิน1แสน ผ่านไป25ปี ได้มาแสนห้า เรากำไรห้าหมื่น
บ.ประกันฝรั่ง(จริงๆแล้วเจ๊ก)เอาเงิน1แสนนี้ ไปลงทุนได้ผลตอบแทน5% 25ปี ได้3.4แสน
ถ้าเราลงทุนเองในหุ้น ผลตอบแทน10% 25ปี ได้ 1ล้าน
บ.ประกันรวยพุงปลิ้น เงินเรา54%ลงทุน 46%ค่านายหน้าให้ตัวแทน

ทองคำ
ได้แต่กอดจูบลูบคลำ แต่มันไม่ตอบสนอง
ราคาขึ้นเมือคนกลัว เหตุการสงบ ทองก็ลง

ที่ดิน บ้านเช่า คอนโด
ราคาเพิ่มตามเวลา จับต้องใช้งานได้ ลดภาษีได้ เป็นหลักประกันได้
แต่ มีค่าใช้จ่ายดูแลปรับปรุง สภาพคล่องต่ำ ต้องบริหารจัดการ แบ่งขายยาก
คอนโด สร้างเพิ่มง่าย ล้นตลาด ผลตอบแทนเหลือแค่2-3%

หุ้น
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จาก100ตั้งแต่วันเปิดตลาด มาถึงทุกวันนี้1300 แค่13เท่า
แต่ถ้ารวมปันผลด้วย น่าจะอยู่ที่8800 คือ88เท่า
11-12%ทบต้น

ถ้าเลือกเหมือนคนทั่วไป ไม่วางแผนให้ดี
"จะได้เป็นคนชั้นกลางตลอดไป ไม่ได้โงหัวชั่วชีวิต"
samatah
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 320

โพสต์

dr1 เขียน: บางอาชีพเงินดี แต่คุณภาพชิวิตไม่ดี เวลาน้อยงานหนัก
คุ้น ๆ ชอบกล :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 321

โพสต์

หุ้น
"ผันผวน ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ มีโอกาสขาดทุนเงินต้น"
หุ้นคืออะไร
หุ้นคือ"ส่วนความเป็นเจ้าของธุรกิจ"
หุ้นไม่ใช่การพนัน แต่คนทำให้เป็นการพนัน
หุ้นไม่ใช่zerosum game แต่สร้างผลผลิต
"สร้างผลผลิต คือสร้างกำไร และปันผล"
2540-2556 ตลาดหุ้นโตจาก 1ล้านล้าน เป็น10ล้านล้าน
คนอเมริกัน55%ลงทุนหุ้น
ในเกาหลี จะมีโบรคเกอร์มาแจกโบร์ชัวแนะนำการลงทุนให้บัณฑิตจบใหม่
แต่คนไทย60ล้าน มีบัญชีหุ้นแค่สามแสนบัญชี
ตลาดหุ้นคือแหล่งระดมทุนธุรกิจ
เงินงอกตลอด แต่ทำไมคนส่วนใหญ่เจ๊ง?
หุ้น80%กำไร 20%เจ๊ง แต่คน20%กำไร 80%เจ๊ง
คนส่วนใหญ่ "เล่นหุ้น เลยโดนหุ้นเล่น" หมอก็เป็นหมูได้

วิธีลงทุนหุ้น
Technical ตามเส้นกร๊าฟ
Fundflow ตามฝรั่ง
Insider (หุ้นปั่น) ตามเจ้ามือ
Daytrade(ซื้อขายรายวัน) ตามใจตัวเอง
Program robot ตามเครื่องมือ โปรเกรมคอมพิวเตอร์
ไม่ยั่งยืนระยะยาวสักอย่าง เหลือแต่Value investment( VI)
ทำไมต้องVI ทำไมต้องลงทุนเน้นคุณค่า
1. เพราะการลงทุนเน้นคุณค่า หุ้นคือกิจการ ถ้ากิจการดีขึ้น กำไรมากขึ้น ราคาหุ้นต้องสูงขึ้น
2. เพราะมีตัวอย่างนักลงทุนเน้นคุณค่า ที่ประสบความสำเร็จระยะยาว
Warren buffett peter lynch seth klarmann walter schloss john neff
Anthony bolton howard? Mario? Micheal? คุณนิติ ดร.นิเวศน์ ดร.ไพบูลย์ คุณประชา
นพ.บำรุง คุณสันติ คุณสุทธิพงษ์ คุณมงคล นพ.พงค์ศักดิ์ คุณโสรัตน์ และอีกมากมาย(ถ้าชื่อผิดขออภัยด้วยครับ)

"เก่งแค่ไหน เลือกทางผิด ก็ไม่ถึงจุดหมาย"
samatah
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 322

โพสต์

แก่นVI(แก่นของการลงทุนเน้นคุณค่า)
1. หุ้นคือธุรกิจ "ยึดหลักนี้ให้แน่นที่สุด"
ผลไม้มีพิษ ย่อมให้พิษ
ผลการลงทุนที่ได้ ขึ้นกับ"การเลือกธุรกิจ"
ดังนั้น"ต้องวิเคราะห์ธุรกิจ"
ราคาหุ้นกับกำไรของธุรกิจ ไปด้วยกันเสมอ แต่คนส่วนใหญ่สนใจแต่ราคาหุ้น
เลือกธุรกิจที่กำไรเพิ่ม ราคาหุ้นเพิ่มตามกำไรเสมอ
พื้นฐานธุรกิจ นำไปสู่กำไร นำไปสู่ราคาหุ้น
2. ต้องหา"มูลค่า"ของหุ้น(ธุรกิจ)ให้ได้
คนส่วนใหญ่รู้แค่ราคา แต่วีไอต้องรู้มูลค่า ซึ่งต้องหามูลค่าจาก
PE PBV dividen yield replacement cost DCF
3. ซื้อหุ้นเมื่อ"ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่า"เท่านั้น
เรียกว่ามีMOS( margin of safety ) หรือ undervlaue
จะทำให้เงินเราปลอดภัยมากขึ้น
MOS จะปกป้องเงินต้น และสร้างผลตอบแทนมากกว่าปกติ
มูลค่า10 ราคา7 ถือว่าน่าสนใจ
"หาประโยชน์จากความแตกต่างระหว่างมูลค่า และราคา(ที่ต่ำกว่า)"
4. ความผันผวนของราคาหุ้น(การที่ราคาหุ้นขึ้นๆลงๆ)คือ"เพื่อน" ไม่ใช่ศัตรู
"ตลาดมีแค่"นายตลาด"กับเธอเท่านั้น หาประโยชน์จากนายตลาด (mr.market)แต่อย่าเป็นนายตลาดเสียเอง"
เวลาตลาดหดหู่ เรามีโอกาสซื้อหุ้นดีราคาถูก
เวลาตลาดอารมณ์ดี เราก็ขายหุ้นราคาแพงเกินมูลค่าให้
ไม่ง่าย ที่จะแยกตัวเราเอง ออกจากนายตลาด เพราะนายตลาดคือตัวเธอ คือเพื่อนๆของเธอนั่นเอง(Ben Graham)
ของsale(ลดราคา) แห่ซื้อ แต่หุ้นsale (หุ้นตก) แห่ขาย

คุณสมบัติของVI(นักลงทุนเน้นคุณค่า)
1. ใช้เงินรู้คุณค่า
2. มีความคิดเป็นอิสระ ไม่ตามกระแสวัตถุนิยมของสังคม(วัตถุสร้างเพียงความมั่นใจชั่วคราว)
3. EQ ดี ไม่ตกใจง่าย
4. หม่ชอบเสี่ยง แต่ลงทุนหุ้น "คิดเสมอ ว่าหุ้น(ธุรกิจ)ตัวนั้น จะเจ๊งเพราะอะไรบ้าง"

"มหัศจรรย์ทบต้นทำงานเมื่อไร ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม"
samatah
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 323

โพสต์

LTF RMF
ได้ลดภาษี
ผลตอบแทนเฉลี่ย10% ต่อปี(เฉลี่ยจาก5ปีขึ้นไป)
ให้เลือกกองทุนที่เก่ง ผลตอบแทนมากกว่า10% (ABD ,lotus)
Morningstar วัดผล66กองทุน ใน10ปี 2546-2555
SET 10ปี 290%(15%ต่อปี)
กองทุนหุ้น66กอง 477%(18%ต่อปี)

ลงทุนเอง สไตล์หุ้นปันผล
เลี้ยงหุ้น แล้วหุ้นเลี้ยงเรา ไม่เหมือนเลี้ยงลูก ไม่รู้ลูกจะเลี้ยงเราหรือเปล่า
ปันผลเฉลี่ย 4% ต่อปี
เลือกหุ้นกลางถึงใหญ่ มั่นคง กระจาย5-10บริษัท
"ไม่ต้องสนใจราคาหุ้น ซื้อแล้วอย่าขาย(โดยเฉพาะตอนหุ้นตก)"
พลังงานเพื่อไทย โรงไฟฟ้า..บุรี ยางใหญ่ น้ำบูรพา แบ๊งค์วายุภักษ์ โฮลดิ้งสื่อสารดาวเทียมโทรศัพท์
กองทุนอสังหาศูนย์การค้าส่วนกลาง ปลากระป๋องระดับโลก อาหารเจ้าสัว

ต้องการแตกต่าง ต้องใช้แรงถีบ ไม่ใช่แค่แรงผลัก
ลดรายจ่าย สร้างเงินออม เอาเงินออมไปลงทุน
ฝันแล้วต้องลงมือทำ ต้นทุนของความฝัน คือการลงมือทำ
เกิดมารวยหรือจน ไม่ใช่ความผิดเรา แต่ถ้าตายแบบจนๆ นั่นแหละ เราผิด
ถ้าหุ้นดี แดงขายทำไม เขียวยังไม่ขายเลย ยังไม่ขาย แค่paperloss ขายเมื่อไร realized
อ่านบทวิเคราะห์ เอาแค่fact ไม่ต้องเอา opinion
คนรุ่นใหม่ อยากรวยเร็วแบบแดกด่วน เปิดกราฟบนจอให้สาวดู เท่ห์แต่ไม่ได้ตังค์
ในอเมริกา เทคนิคัลคือศาสตร์ที่ตายแล้ว อินดิเคเตอร์หกร้อยกว่าตัว ไม่มีตัวไหนชนะตลาดเลย
กราฟต่างๆก็เหมือนรั้วสูงๆสำหรับวีไอ หลักการวีไอเหมือนรั้วเตี้ยๆข้ามง่ายๆ
กำไรเพิ่ม ราคาหุ้นต้องเพิ่มตาม ตรรกะง่ายๆ

"ยอมใช้ชีวิตแบบที่คนทั่วไปไม่อยากทำ อยู่ไม่กี่ปี
เพื่อจะมีชีวิตแบบที่คนทั่วไปมีไม่ได้ ไปตลอดชีวิต"
samatah
syj
Verified User
โพสต์: 4241
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 324

โพสต์

ขอบคุณคุณหมอหนึ่งมากครับ สุดยอด lecture ...
ขอบคุณ อ.โจ ลูกอิสาน the Lecturer อย่างยิ่งครับ ...
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 325

โพสต์

โอย จารย์หมอหนึ่งสุดยอดมาก ๆ ครับ

ขอบคุณ นายกฯ โจ ด้วยครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 326

โพสต์

เข้ามาแสดงตัวเพื่อขอบคุณพี่ๆแต่ละท่าน
ที่เข้ามาโพสในกระทู้นี้ครับ

แต่ละโพสนี่คุณภาพทั้งนั้นเลยครับ
สุดยอด นับถือครับ :bow: :bow:
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 327

โพสต์

dr1 เขียน:ผ่อนรถ
"การซื้อรถคือการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาว" สุภา เจริญยิ่ง
"ไม่มีอะไรจะผลาญเงินเราได้เท่าการซื้อรถอีกแล้ว" peter lynch
รถคือ"พาไปเสียเงิน"

ผ่อนบ้าน
บ้านคือสินทรัพย์ที่แพงที่สุดในชีวิต ผ่อน30ปี จ่ายดอกแพงกว่าตัวบ้าน
ดอกผ่อนทบต้น คือมหัศจรรย์ทางลบ
ซื้อบ้านเมื่ิอชีวิตลงตัว เพราะบ้านมีราก ถอนย้ายตามเราไปไม่ได้
เช่าอาจดีกว่าผ่อน ถ้าเอาส่วนต่างไปลงทุนผลตอบแทนได้ดีกว่า
ดีที่สุดคือ "ไม่ต้องมีภาระทางการเงิน" บ้านหลวง บ้านพ่อแม่ บ้านเมีย

บัตรเครดิต
มีเพื่อ"ทดแทนเงินสด และแลกแต้ม"
จ่ายเต็ม ห้ามผ่อน ห้ามกดเงินสด
ดอกเบี้ย18-20%คือมหัศจรรย์ทบต้นทางลบ

ประกันชีวิต
ซื้อแบบไม่ได้คืน คนซื้อคือผู้เป็นรายได้หลักของครอบตรัว
ซื้อเท่าไร? เท่ากับรายจ่าย5ปีของครอบครัว
เพื่อให้เวลาตั้งหลัก5ปี หลังจากนั้นตั้งตัวไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้แล้ว
ห้ามซื้อประกันเพราะความเกรงใจ
เพราะคนที่เราเกรงใจจะไม่ได้มาบริการเราเวลาต้องเคลม (เลิกไปก่อนแล้วเพราะไม่ใช่มืออาชีพ)
"อย่าซื้อแบบสะสมทรัพย์"(90%ซื้อแบบนี้เพราะหวังหักภาษี ปันผล)
ข้อเสียของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
เงิน1แสน ผ่านไป25ปี ได้มาแสนห้า เรากำไรห้าหมื่น
บ.ประกันฝรั่ง(จริงๆแล้วเจ๊ก)เอาเงิน1แสนนี้ ไปลงทุนได้ผลตอบแทน5% 25ปี ได้3.4แสน
ถ้าเราลงทุนเองในหุ้น ผลตอบแทน10% 25ปี ได้ 1ล้าน
บ.ประกันรวยพุงปลิ้น เงินเรา54%ลงทุน 46%ค่านายหน้าให้ตัวแทน

ทองคำ
ได้แต่กอดจูบลูบคลำ แต่มันไม่ตอบสนอง
ราคาขึ้นเมือคนกลัว เหตุการสงบ ทองก็ลง

ที่ดิน บ้านเช่า คอนโด
ราคาเพิ่มตามเวลา จับต้องใช้งานได้ ลดภาษีได้ เป็นหลักประกันได้
แต่ มีค่าใช้จ่ายดูแลปรับปรุง สภาพคล่องต่ำ ต้องบริหารจัดการ แบ่งขายยาก
คอนโด สร้างเพิ่มง่าย ล้นตลาด ผลตอบแทนเหลือแค่2-3%

หุ้น
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จาก100ตั้งแต่วันเปิดตลาด มาถึงทุกวันนี้1300 แค่13เท่า
แต่ถ้ารวมปันผลด้วย น่าจะอยู่ที่8800 คือ88เท่า
11-12%ทบต้น

ถ้าเลือกเหมือนคนทั่วไป ไม่วางแผนให้ดี
"จะได้เป็นคนชั้นกลางตลอดไป ไม่ได้โงหัวชั่วชีวิต"
ชอบมากครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 328

โพสต์

dr1 เขียน:ต่อไปขอเรื่องสังเกตุอาการหุ้นนะครับ อ.leky
ว่าแบบไหนไอซียู แบบไหนออกจากโรงบาลกลับบ้านได้ แบบไหนสังเกตุอาการอย่างไกล้ชิด
แบบไหนรอแยกร่างบริจาคอวัยวะ แบบไหนโดนยาชุดมา แบบไหนติดโรคระบาดมา อะไรประมาณนี้

กะ"เร็ว ช้า หนัก เบา" คืออาการแบบไหนต้องรีบซื้อโดยด่วน ตัดหน้ากองทุน ฝรั่ง เม่า ๆลๆ
แบบไหนต้องจัดหนัก ขายบ้านเอ๊ย..กู้มาร์จิ้นมาซื้อเลยยังคุ้ม แบบไหนเบาๆก่อน(ถมเงินลงไป ไม่หือไม่อือ)..
ถามง่าย แต่ตอบยากมากครับ แต่ถ้าคุณ Dr1 อยากศึกษา "วิชามาร" ผมก็ยินดีที่จะเล่าให้ฟัง เพียงแต่ต้องระวัง "ธาตุไฟเข้าแทรก" ครับ

แต่ก่อนจะรับข้อมูลตรงนี้จากผม อาจจะต้องฉีดเซรุมต้านพิษไว้ก่อนนะครับ :D ผมกลัวจะแพร่พิษให้อย่างไม่เจตนา

และก็ต้องเข้าใจด้วยว่าวิธีของผมมันมาจาก ผมเน้นผลการลงทุนที่ดี ฉะนั้นหุ้นที่ผมสนใจจะเป็นหุ้นเล็ก ไม่ใช่หุ้นตลาด การถือครองหุ้นดูตามความเหมาะสม ถ้าเต็มมูลค่าก็ขาย ไม่ใช่ว่าต้องถือไปเรื่อย ๆ เป็นปี ๆ ถ้าอยากให้เล่าประมาณ super stock ถือไปเรื่อย ๆ ไม่ขาย แบบนั้นคงไม่ใช่ แต่ก็อย่ามาว่ากันนะครับ เพราะออกตัวไว้แล้วว่าไม่ใช่แบบนั้น

นั่นแปลว่าพอเป็นหุ้นเล็ก ข้อมูลมันอาจจะน้อย เพราะสินค้าหรือบริการของเค้า เราอาจจะหาข้อมูลได้ยาก ประเภทเดินเข้าไปลองใช้อะไรแบบนี้จะยากหน่อย

เนื่องจากหุ้นมันมีเป็น 500-600 ตัว ผมคงต้องใช้วิธีที่จะประหยัดเวลาที่สุด เพราะผมไม่มีเครือข่าย :D

ก่อนขึ้นต้องเข้าใจปฏิกิริยาของตลาดในสองทิศทางก่อนครับ ยกตัวอย่าง

1) ถ้าหุ้นกำไรดี ๆ แล้วอยู่ ๆ กำไรตกลงอย่างมากหรือแย่ถึงขนาดขาดทุน action ของตลาดคือ หุ้นลงอย่างรุนแรง

2) ถ้าหุ้นขาดทุนเรื้อรังแล้วอยู่ ๆ เริ่มมีกำไร หรือกำไรน้อย ๆ แล้วอยู่ ๆ กำไรโตมาก ๆ action ของตลาดคือ หุ้นขึ้นอย่างรุนแรงเช่นกัน

ปรากฏการณ์แบบข้างบน ถ้าเป็นหุ้นตลาด ถ้าไม่ใช่ข่าวที่เกิดแบบทันทีทันใด action ตรงนั้นอาจจะไม่รุนแรง เพราะหุ้นตลาดจะมีนักเคราะห์ตามข้อมูลอยู่เรื่อย ๆ ข่าวดีข่าวร้ายมักไม่ค่อยหลุด หุ้นก็จะค่อย ๆ ไปในทิศทางนั้น แต่ถ้าเป็นหุ้นเล็ก ๆ ไม่มีนักวิเคราะห์จะมีแนวโน้มเป็นแบบนั้น

หน้าที่ผมคือ หาช่องโหว่ตรงนั้นครับ ตรงที่ภาพมันยังไม่ชัดเจน หรือตลาดยังไม่ค่อยรับรู้

ถ้าเป็นข้อหนึ่ง หุ้นแบบนั้นถ้าเราไม่มีหุ้นก็ต้องเข้าไปดูครับว่ามันเกิดจากอะไร เพราะเหตุผลบางอย่างมันไม่เลวร้ายนัก พอจะแก้ไขได้ เราก็จะประเมินราคาที่เหมาะสม ดูสถานการณ์ให้ความตื่นตระหนกมันจาง ถ้าโอเคก็เข้าไปซื้อ แต่ก็ต้องมีแผนด้วยนะครับ ว่าเหตุที่มันเป็นปัญหานั้นจะแก้ไขได้เมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าต้องรออีก 5 ปีถึงจะแก้ไขได้ แต่รีบเข้าไปซื่อหุ้น ถ้าต้องรอหน่อยก็ทะยอยซื้อไปเรื่อย ๆ พร้อมกับ monitor ปัญหาไปด้วย ปัญหาบางอย่างมันเรื้อรัง ใช้เวลานานกว่าจะแก้ไขได้ บางทีพอเราเห็นหุ้นลงมาเยอะ ๆ เราไปอิงกับราคาสูงสุดเห็นลงมามากก็เข้าไปรับ แต่ปัญหามันยังไม่จบหุ้นมันก็ลงต่อ สุดท้ายก็มีหุ้นราคาต่ำลงไปอีก การตีความปัญหาตรงนี้มันก็อยู่ที่เราแล้วล่ะครับ ว่าจะหาข้อมูลยังไง ผมยกตัวอย่าง ตอนที่หุ้น IT SIS ลงมาใหม่ ๆ ตอนนั้นบางคนประเมินสถานการณ์ว่าน่าจะเป็นแค่ช่วงสั้น เข้าไปรับ สุดท้ายปัญหาลากยาว หุ้นลงไม่สิ้นสุด หรืออย่างกรณี MCS ที่ยอดขายจากลูกค้าญี่ปุ่นหายไป ก็อาการไม่แพ้กัน ความยากของมันก็คือ ตรงไหนคือจุดที่เป็น "ก้น" ของปัญหา

ถ้าเป็นแบบที่สอง เราก็ต้องมาดูเช่นกันว่า ถ้าเป็นบ.ที่ขาดทุนเรื้อรัง มันจะกลับมาได้เพราะอะไร หรือบ.ที่กำไรโตขึ้นมากเพราะอะไร ถ้าเป็นเรื่องชั่วคราวประเภทขายทรัพย์สิน ฯลฯ แบบนี้เราก็ไม่สนใจ แต่ถ้ามีเหตุผลบางอย่างเราก็ต้องเข้าไปวิเคราะห์ดู

ช่องทางที่ผมจะหาหุ้นนั้น ผมจะเลือกสกรีนผลประกอบการของหุ้นทั้งหมดครับ แต่จะเน้นพวกที่มันดีและแย่ผิดปกติ ยิ่งถ้าราคาหุ้นต่ำ ๆ ด้วยอันนี้ยิ่งน่าสนใจ ที่ต้องเอาแบบดีหรือแย่ชัด ๆ เพราะอย่างที่บอกไปหุ้นมันมี 500-600 ตัว ลำพังผมคนเดียวคงไม่สามารถไปนั่งดูแบบละเอียดได้หมด ผมก็เลยต้องกรองหุ้นออกมาก่อนจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็พวกที่ผลการดำเนินงานดีขึ้นหรือแย่ลงเกิน 20% นั่นแหละครับ เพราะเค้าจะมีคำชี้แจงสั้น ๆ ประกอบครับ เช่นยอดขายโตขึ้น ต้นทุนลด โรงงานใหม่เดินเครื่องแล้ว ถ้าเป็นพวกหุ้นที่ผลการดำเนินงานขาดทุนอยู่ผมก็ดูนะครับ ว่าแนวโน้มมันจะดีขึ้นไหม จะพลิกเป็นกำไรได้หรือไม่ มีเหตุผลอะไรหรือไม่ ส่วนพวกที่แย่ผิดปกติก็ต้องมาดูว่าเพราะอะไร เช่นมีการตัดค่าเสื่อมมากกว่าปกติ การตั้งสำรองครั้งเดียวอะไรหรือเปล่า เพราะหลายครั้ง ตลาด action เกินไป หน้าที่ของผมคือ ประเมินข้อมูลแล้วหาโอกาสจาก action ที่มากเกินไปของนายตลาด นอกจากนั้นในบางครั้งเราต้องเข้าใจธรรมชาติของหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวด้วยนะครับ เช่น หุ้นหลักทรัพย์มันจะเทรดที่ PB PE ต่ำ ๆ นั่นแปลว่าอย่าได้ไปพยายามตีให้ PE สูง ๆ เด็ดขาด เพราะมันอาจจะไปไม่ถึง กรณี PE สูง ๆ อาจจะเป็นไปได้จากกำไรที่ลดลงมากบางครั้งเกือบจะขาดทุน แต่ไม่ใช่จากราคาหุ้นที่สูงจากนลท.ให้ค่าพรีเมี่ยมครับ :D

ผมยกตัวอย่างหุ้นซักตัวหนึ่งแล้วกันนะครับ เช่นเดิม ผมไม่ได้มีหุ้นตัวนี้แล้ว ฉะนั้นจึงไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรทั้งสิ้น :D

หลายปีก่อนตอนที่เกิดสึนามิที่ญี่ปุ่น มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่งที่ได้รับผลกระทบเข้าไปเต็ม ๆ คือ CM โดยธรรมชาติหุ้นตัวนี้จัดเป็นหุ้นปันผลครับ อัตราการจ่ายเงินปันผลสูง และค่อนข้างสม่ำเสมอ บ.มีสินค้าคือถั่วแระที่ส่งออกเกือบทั้งหมดไปญี่ปุ่น หลังเกิดสึนามิเศรษฐกิจญี่ปุ่นสะดุดไปชั่วคราว ยอดขายตกลงมาก ราคาหุ้นไม่ต้องพูดถึง ถ้าจำไม่ผิดลงมาต่ำกว่า 3 บาท ประกอบกับตอนนั้นตลาดหุ้นไม่ดีเจอเรื่องน้ำท่วมเข้าไปด้วย ตอนนั้นเท่าที่เห็นยอดขายเหมือนเริ่มกระเตื้องขึ้น ผมมองว่าเรื่องสึนามิน่าจะเป็นแค่ปัจจัยลบแค่ช่วงสั้น ๆ ก็ซื้อหุ้นเข้าไป หลังจากนั้นยอดขายเริ่มกลับมาเป็นปกติ ราคาหุ้นขยับขึ้น ผมก็ปล่อยหุ้นออกไป จริง ๆ ราคาหุ้นขยับขึ้นไปต่ออีกมีช่วงขึ้นไปแรง ๆ แต่สุดท้ายก็กลับมาในราคาที่เหมาะสมของมัน

ส่วนที่ว่าจะซื้อมากน้อยแค่ไหน จัดหนักแค่ไหน อันนี้ต้องแล้วแต่ประสบการณ์ในการตีความข้อมูลของเราครับ

นอกจากนั้น มันก็มีรายละเอียดปลีกย่อยครับ เช่นพวกบ.ที่ผลการดำเนินงานไม่ดี จะฟื้นหรือไม่ฟื้น เราคงไม่ได้ดูที่ตัวเลขกำไรอย่างเดียว เราต้องมองที่ธุรกิจของเค้า ผบห.ตั้งใจแก้ปัญหาคือเปล่า มีธรรมาภิบาลหรือไม่ รายละเอียดพวกนี้เราคงต้องดูอยู่แล้วครับ

ส่วนหุ้นที่ผมจะพยายามหลีกเลี่ยงก็มีอยู่บ้างครับ เช่น หุ้นที่รายได้ไม่สม่ำเสมอคาดการณ์ยาก เช่น กลุ่มรับเหมา ยิ่งเป็นบ.เล็ก ๆ ไม่มีบทวิเคราะห์หรือข่าว ถ้าเราตามเรื่องงานในมือไม่ดี บางช่วงอาจจะมีขาดทุนให้เห็น action รุนแรงราคาผันผวนมาก ๆ แล้วก็หุ้นที่ผมไม่มีความเข้าใจหรือยากที่จะเข้าใจ เช่นเทคโนโลยีเฉพาะบางอย่าง หุ้นที่ฟรีโฟลทมาก ๆ ประเภท 60-70% พวกนี้เหมือนไม่มีเจ้าภาพ เจ้าของไม่ได้ถือหุ้นใหญ่ทำให้บางครั้งไม่คิดถึงผลประโยชน์ผถห.

บางเรื่องมันก็หาเหตุผลไม่ได้ครับ แต่หุ้นบางตัวพอเราดู เรารู้สึก "สะดุด" ว่าน่าจะดีหรือซื้อได้ ผมว่ามันต้องฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ครับ การสกรีนผลประกอบการแบบนั้น แรก ๆ มันจะเหมือนงานหนัก แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ต่อเนื่องทุก ๆ Q สุดท้ายมันจะพอจำได้ครับว่าหุ้นตัวไหนเป็นยังไง ก็แค่ดูผ่าน ๆ ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
GG
Verified User
โพสต์: 96
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 329

โพสต์

ขอกราบขอบพระคุณ พี่หมอหนึ่ง พี่ leky และ สุดยอดหลักการข้อคิด ของพี่โจลูกอีสาน ที่เพิ่ม passion ให้กับตัวผมได้อีกเยอะทีเดียวครับ
:bow: :bow:
How not to be your own worst enemy
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 330

โพสต์

ขอบคุณ อ.หมอหนึ่ง มากครับ สำหรับ แล็กเชอร์ของ อ. ลูกอีสาน (เมื่อไหร่ท่านจะใจอ่อน ออกหนังสือบ้าง )