จันทร์ มี.ค. 24, 2014 1:07 pm | 0 คอมเมนต์
dr1 เขียน: ต่อไปขอเรื่องสังเกตุอาการหุ้นนะครับ อ.leky
ว่าแบบไหนไอซียู แบบไหนออกจากโรงบาลกลับบ้านได้ แบบไหนสังเกตุอาการอย่างไกล้ชิด
แบบไหนรอแยกร่างบริจาคอวัยวะ แบบไหนโดนยาชุดมา แบบไหนติดโรคระบาดมา อะไรประมาณนี้
กะ"เร็ว ช้า หนัก เบา" คืออาการแบบไหนต้องรีบซื้อโดยด่วน ตัดหน้ากองทุน ฝรั่ง เม่า ๆลๆ
แบบไหนต้องจัดหนัก ขายบ้านเอ๊ย..กู้มาร์จิ้นมาซื้อเลยยังคุ้ม แบบไหนเบาๆก่อน(ถมเงินลงไป ไม่หือไม่อือ)..
ถามง่าย แต่ตอบยากมากครับ แต่ถ้าคุณ Dr1 อยากศึกษา "วิชามาร" ผมก็ยินดีที่จะเล่าให้ฟัง เพียงแต่ต้องระวัง "ธาตุไฟเข้าแทรก" ครับ
แต่ก่อนจะรับข้อมูลตรงนี้จากผม อาจจะต้องฉีดเซรุมต้านพิษไว้ก่อนนะครับ
ผมกลัวจะแพร่พิษให้อย่างไม่เจตนา
และก็ต้องเข้าใจด้วยว่าวิธีของผมมันมาจาก ผมเน้นผลการลงทุนที่ดี ฉะนั้นหุ้นที่ผมสนใจจะเป็นหุ้นเล็ก ไม่ใช่หุ้นตลาด การถือครองหุ้นดูตามความเหมาะสม ถ้าเต็มมูลค่าก็ขาย ไม่ใช่ว่าต้องถือไปเรื่อย ๆ เป็นปี ๆ ถ้าอยากให้เล่าประมาณ super stock ถือไปเรื่อย ๆ ไม่ขาย แบบนั้นคงไม่ใช่ แต่ก็อย่ามาว่ากันนะครับ เพราะออกตัวไว้แล้วว่าไม่ใช่แบบนั้น
นั่นแปลว่าพอเป็นหุ้นเล็ก ข้อมูลมันอาจจะน้อย เพราะสินค้าหรือบริการของเค้า เราอาจจะหาข้อมูลได้ยาก ประเภทเดินเข้าไปลองใช้อะไรแบบนี้จะยากหน่อย
เนื่องจากหุ้นมันมีเป็น 500-600 ตัว ผมคงต้องใช้วิธีที่จะประหยัดเวลาที่สุด เพราะผมไม่มีเครือข่าย
ก่อนขึ้นต้องเข้าใจปฏิกิริยาของตลาดในสองทิศทางก่อนครับ ยกตัวอย่าง
1) ถ้าหุ้นกำไรดี ๆ แล้วอยู่ ๆ กำไรตกลงอย่างมากหรือแย่ถึงขนาดขาดทุน action ของตลาดคือ หุ้นลงอย่างรุนแรง
2) ถ้าหุ้นขาดทุนเรื้อรังแล้วอยู่ ๆ เริ่มมีกำไร หรือกำไรน้อย ๆ แล้วอยู่ ๆ กำไรโตมาก ๆ action ของตลาดคือ หุ้นขึ้นอย่างรุนแรงเช่นกัน
ปรากฏการณ์แบบข้างบน ถ้าเป็นหุ้นตลาด ถ้าไม่ใช่ข่าวที่เกิดแบบทันทีทันใด action ตรงนั้นอาจจะไม่รุนแรง เพราะหุ้นตลาดจะมีนักเคราะห์ตามข้อมูลอยู่เรื่อย ๆ ข่าวดีข่าวร้ายมักไม่ค่อยหลุด หุ้นก็จะค่อย ๆ ไปในทิศทางนั้น แต่ถ้าเป็นหุ้นเล็ก ๆ ไม่มีนักวิเคราะห์จะมีแนวโน้มเป็นแบบนั้น
หน้าที่ผมคือ หาช่องโหว่ตรงนั้นครับ ตรงที่ภาพมันยังไม่ชัดเจน หรือตลาดยังไม่ค่อยรับรู้
ถ้าเป็นข้อหนึ่ง หุ้นแบบนั้นถ้าเราไม่มีหุ้นก็ต้องเข้าไปดูครับว่ามันเกิดจากอะไร เพราะเหตุผลบางอย่างมันไม่เลวร้ายนัก พอจะแก้ไขได้ เราก็จะประเมินราคาที่เหมาะสม ดูสถานการณ์ให้ความตื่นตระหนกมันจาง ถ้าโอเคก็เข้าไปซื้อ แต่ก็ต้องมีแผนด้วยนะครับ ว่าเหตุที่มันเป็นปัญหานั้นจะแก้ไขได้เมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าต้องรออีก 5 ปีถึงจะแก้ไขได้ แต่รีบเข้าไปซื่อหุ้น ถ้าต้องรอหน่อยก็ทะยอยซื้อไปเรื่อย ๆ พร้อมกับ monitor ปัญหาไปด้วย ปัญหาบางอย่างมันเรื้อรัง ใช้เวลานานกว่าจะแก้ไขได้ บางทีพอเราเห็นหุ้นลงมาเยอะ ๆ เราไปอิงกับราคาสูงสุดเห็นลงมามากก็เข้าไปรับ แต่ปัญหามันยังไม่จบหุ้นมันก็ลงต่อ สุดท้ายก็มีหุ้นราคาต่ำลงไปอีก การตีความปัญหาตรงนี้มันก็อยู่ที่เราแล้วล่ะครับ ว่าจะหาข้อมูลยังไง ผมยกตัวอย่าง ตอนที่หุ้น IT SIS ลงมาใหม่ ๆ ตอนนั้นบางคนประเมินสถานการณ์ว่าน่าจะเป็นแค่ช่วงสั้น เข้าไปรับ สุดท้ายปัญหาลากยาว หุ้นลงไม่สิ้นสุด หรืออย่างกรณี MCS ที่ยอดขายจากลูกค้าญี่ปุ่นหายไป ก็อาการไม่แพ้กัน ความยากของมันก็คือ ตรงไหนคือจุดที่เป็น "ก้น" ของปัญหา
ถ้าเป็นแบบที่สอง เราก็ต้องมาดูเช่นกันว่า ถ้าเป็นบ.ที่ขาดทุนเรื้อรัง มันจะกลับมาได้เพราะอะไร หรือบ.ที่กำไรโตขึ้นมากเพราะอะไร ถ้าเป็นเรื่องชั่วคราวประเภทขายทรัพย์สิน ฯลฯ แบบนี้เราก็ไม่สนใจ แต่ถ้ามีเหตุผลบางอย่างเราก็ต้องเข้าไปวิเคราะห์ดู
ช่องทางที่ผมจะหาหุ้นนั้น ผมจะเลือกสกรีนผลประกอบการของหุ้นทั้งหมดครับ แต่จะเน้นพวกที่มันดีและแย่ผิดปกติ ยิ่งถ้าราคาหุ้นต่ำ ๆ ด้วยอันนี้ยิ่งน่าสนใจ ที่ต้องเอาแบบดีหรือแย่ชัด ๆ เพราะอย่างที่บอกไปหุ้นมันมี 500-600 ตัว ลำพังผมคนเดียวคงไม่สามารถไปนั่งดูแบบละเอียดได้หมด ผมก็เลยต้องกรองหุ้นออกมาก่อนจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็พวกที่ผลการดำเนินงานดีขึ้นหรือแย่ลงเกิน 20% นั่นแหละครับ เพราะเค้าจะมีคำชี้แจงสั้น ๆ ประกอบครับ เช่นยอดขายโตขึ้น ต้นทุนลด โรงงานใหม่เดินเครื่องแล้ว ถ้าเป็นพวกหุ้นที่ผลการดำเนินงานขาดทุนอยู่ผมก็ดูนะครับ ว่าแนวโน้มมันจะดีขึ้นไหม จะพลิกเป็นกำไรได้หรือไม่ มีเหตุผลอะไรหรือไม่ ส่วนพวกที่แย่ผิดปกติก็ต้องมาดูว่าเพราะอะไร เช่นมีการตัดค่าเสื่อมมากกว่าปกติ การตั้งสำรองครั้งเดียวอะไรหรือเปล่า เพราะหลายครั้ง ตลาด action เกินไป หน้าที่ของผมคือ ประเมินข้อมูลแล้วหาโอกาสจาก action ที่มากเกินไปของนายตลาด นอกจากนั้นในบางครั้งเราต้องเข้าใจธรรมชาติของหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวด้วยนะครับ เช่น หุ้นหลักทรัพย์มันจะเทรดที่ PB PE ต่ำ ๆ นั่นแปลว่าอย่าได้ไปพยายามตีให้ PE สูง ๆ เด็ดขาด เพราะมันอาจจะไปไม่ถึง กรณี PE สูง ๆ อาจจะเป็นไปได้จากกำไรที่ลดลงมากบางครั้งเกือบจะขาดทุน แต่ไม่ใช่จากราคาหุ้นที่สูงจากนลท.ให้ค่าพรีเมี่ยมครับ
ผมยกตัวอย่างหุ้นซักตัวหนึ่งแล้วกันนะครับ เช่นเดิม ผมไม่ได้มีหุ้นตัวนี้แล้ว ฉะนั้นจึงไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรทั้งสิ้น
หลายปีก่อนตอนที่เกิดสึนามิที่ญี่ปุ่น มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่งที่ได้รับผลกระทบเข้าไปเต็ม ๆ คือ CM โดยธรรมชาติหุ้นตัวนี้จัดเป็นหุ้นปันผลครับ อัตราการจ่ายเงินปันผลสูง และค่อนข้างสม่ำเสมอ บ.มีสินค้าคือถั่วแระที่ส่งออกเกือบทั้งหมดไปญี่ปุ่น หลังเกิดสึนามิเศรษฐกิจญี่ปุ่นสะดุดไปชั่วคราว ยอดขายตกลงมาก ราคาหุ้นไม่ต้องพูดถึง ถ้าจำไม่ผิดลงมาต่ำกว่า 3 บาท ประกอบกับตอนนั้นตลาดหุ้นไม่ดีเจอเรื่องน้ำท่วมเข้าไปด้วย ตอนนั้นเท่าที่เห็นยอดขายเหมือนเริ่มกระเตื้องขึ้น ผมมองว่าเรื่องสึนามิน่าจะเป็นแค่ปัจจัยลบแค่ช่วงสั้น ๆ ก็ซื้อหุ้นเข้าไป หลังจากนั้นยอดขายเริ่มกลับมาเป็นปกติ ราคาหุ้นขยับขึ้น ผมก็ปล่อยหุ้นออกไป จริง ๆ ราคาหุ้นขยับขึ้นไปต่ออีกมีช่วงขึ้นไปแรง ๆ แต่สุดท้ายก็กลับมาในราคาที่เหมาะสมของมัน
ส่วนที่ว่าจะซื้อมากน้อยแค่ไหน จัดหนักแค่ไหน อันนี้ต้องแล้วแต่ประสบการณ์ในการตีความข้อมูลของเราครับ
นอกจากนั้น มันก็มีรายละเอียดปลีกย่อยครับ เช่นพวกบ.ที่ผลการดำเนินงานไม่ดี จะฟื้นหรือไม่ฟื้น เราคงไม่ได้ดูที่ตัวเลขกำไรอย่างเดียว เราต้องมองที่ธุรกิจของเค้า ผบห.ตั้งใจแก้ปัญหาคือเปล่า มีธรรมาภิบาลหรือไม่ รายละเอียดพวกนี้เราคงต้องดูอยู่แล้วครับ
ส่วนหุ้นที่ผมจะพยายามหลีกเลี่ยงก็มีอยู่บ้างครับ เช่น หุ้นที่รายได้ไม่สม่ำเสมอคาดการณ์ยาก เช่น กลุ่มรับเหมา ยิ่งเป็นบ.เล็ก ๆ ไม่มีบทวิเคราะห์หรือข่าว ถ้าเราตามเรื่องงานในมือไม่ดี บางช่วงอาจจะมีขาดทุนให้เห็น action รุนแรงราคาผันผวนมาก ๆ แล้วก็หุ้นที่ผมไม่มีความเข้าใจหรือยากที่จะเข้าใจ เช่นเทคโนโลยีเฉพาะบางอย่าง หุ้นที่ฟรีโฟลทมาก ๆ ประเภท 60-70% พวกนี้เหมือนไม่มีเจ้าภาพ เจ้าของไม่ได้ถือหุ้นใหญ่ทำให้บางครั้งไม่คิดถึงผลประโยชน์ผถห.
บางเรื่องมันก็หาเหตุผลไม่ได้ครับ แต่หุ้นบางตัวพอเราดู เรารู้สึก "สะดุด" ว่าน่าจะดีหรือซื้อได้ ผมว่ามันต้องฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ครับ การสกรีนผลประกอบการแบบนั้น แรก ๆ มันจะเหมือนงานหนัก แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ต่อเนื่องทุก ๆ Q สุดท้ายมันจะพอจำได้ครับว่าหุ้นตัวไหนเป็นยังไง ก็แค่ดูผ่าน ๆ ครับ