รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 301

โพสต์

"คมนาคม"จ่อของบ 2 หมื่นล้านผุดท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 [ ข่าวหุ้น, 19 มิ.ย. 55 ]

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่ากระทรวงคมนาคมได้
เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีในการขยายท่าเทียบเรือแหลมฉบังเฟส 3 เพื่อรองรับการขยายตัวระบบ
โลจิสติกส์ของพื้นที่ภาคตะวันออก ในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยมองว่าภาพรวมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อ
สนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งตะวันออก(อีสเทิร์นซีบอร์ด) กับโครงการพัฒนาท่าเรือ
น้ำลึก และนิคมอุตสาหกรรมทวายในสหภาพพม่า ณ วันนี้จำเป็นต้องหาทางลดต้นทุนระบบขนส่งลง หาก
สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้จะทำให้ระบบโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 302

โพสต์

ปตท.เพิ่มกำลังผลิตก๊าซขายพม่า
Source - บ้านเมือง (Th), Tuesday, June 19, 2012


นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน ระบุว่า กลุ่ม บมจ.ปตท. ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติ "ซอติก้า" ในพม่า เตรียมส่งก๊าซฯ จากแหล่งดังกล่าวที่จะเริ่มผลิตในปีหน้าให้พม่าเพิ่มเติมจากสัญญา หลังพม่าต้องการใช้เพื่อผลิตไฟฟ้ารองรับการพัฒนาประเทศ

"จากการไปเยือนพม่าเมื่อเร็วๆ นี้ ทางพม่าได้เสนอว่าต้องการขอความช่วยเหลือในการแบ่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง M9 เข้าไปใช้เพิ่มเติมในพม่า เพราะในขณะนี้มีความจำเป็นในเรื่องการก่อสร้าง โรงไฟฟ้า เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศ"

จากการหารือร่วมกับกลุ่ม ปตท. ระบุว่า ไม่มีปัญหาในการส่งก๊าซเพิ่มให้พม่า เพราะจะสามารถช่วยพม่าพัฒนาประเทศด้วย โดยจะแบ่งก๊าซฯ ให้เพิ่มอีก 60 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ทั้งนี้ปัจจุบัน บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท.เป็นผู้พัฒนาแหล่งก๊าซฯ M9 หรือซอติก้าในพม่า ซึ่งตามแผนจะผลิตก๊าซฯ จากแหล่งดังกล่าวในปลายปี 56 จำนวน 300 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน โดยส่วนใหญ่ก๊าซฯ จำนวน 240 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน จะส่งกลับมายังไทย โดยมี ปตท.เป็นผู้รับซื้อ ขณะที่อีก 60 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันจะจำหน่ายในพม่า

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่ม ปตท.อยู่ระหว่างการจัดทำแผนเพื่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งดังกล่าวให้กับพม่าเพิ่มเติม โดยเบื้องต้นยังมีความเป็นไปได้ที่ไทยจะยังคงรับก๊าซฯ ตามสัญญา แต่คาดว่าแหล่ง ซอติก้าอาจจะผลิตได้มากกว่าปริมาณซื้อขายตามสัญญาที่ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ทำให้ส่วนที่มากกว่าการผลิตตามสัญญาจะส่งให้กับทางพม่า

"กลุ่ม ปตท.เห็นความสำคัญจะหาทางช่วยเขา คือช่วงไหนไม่ใช้ก๊าซฯ ก็โอนก๊าซฯ ส่วนนี้ให้พม่าใช้ อยู่ระหว่างการทำแผนมีความเป็นไปได้ที่ 240 ล้าน (ลูกบาศก์ฟุต/วัน) ฝั่งไทยยังรับอยู่ แต่แหล่งนี้อาจจะผลิตได้มากกว่านิดหน่อย ส่วนที่มากกว่าการผลิตตามสัญญาก็จะส่งไปให้พม่า เพราะปกติการออกแบบจะสูงกว่าการผลิตตามสัญญาอยู่แล้ว"

ทางการพม่าแสดงเจตจำนงที่ต้องการจะซื้อก๊าซฯ จากแหล่งดังกล่าวมากกว่าสัญญา เพราะที่ผ่านมาขาดแคลนก๊าซฯ โดยเฉพาะในการผลิตไฟฟ้า ที่ปัจจุบันพม่ามีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 303

โพสต์

Thais urge US lithium-ion maker to set up local plant
Source - Bangkok Post (Eng), Tuesday, June 19, 2012


Thailand is trying to convince the developer of the latest lithium-ion battery to manufacture it here using technology from the Massachusetts Institute of Technology (MIT).

Thaweesak Koanantakool, president of the National Science and Technology Development Agency, on Thursday said it is enthusiastic about advancements in the "compact high-density low-cost revolutionary battery" technology being developed at an MIT laboratory and sent a Thai researcher to take part in the project.

Chiang Yet-ming, a Kyocera professor of ceramics in MIT’s materials science and engineering department, has travelled to Thailand several times.

During his latest visit last week, he met with executives of PTT Plc and subsidiaries IRPC and Thai Oil as well as the Energy Ministry to discuss business potential of the new battery technology here in Thailand.

Having been in the research and development stage for two years at MIT, a pilot plant of the lithium-ion battery is expected to be set up in the US next year.

"We’re inviting PTT and other petrochemical companies in Thailand to be investment partners in the manufacturing plant. as they are potential customers and suppliers of raw materials," said Dr Thaweesak.

The battery technology is critical for Thailand’s electricity supply in the future.

An efficient large-scale battery can help store unused energy and regenerate electricity when it is needed, without the need for investment in a huge power plant or worry about brown-outs during peak hours, said Dr Thaweesak.

He said for hybrid and electrical vehicles, this lithium-based battery has two or three times the efficiency of a conventional battery.

"The Thai government has a project called One Megawatt per Tambon, and there are 7,000 tambons in the country. This offers a huge business potential for the battery manufacturing project," said Dr Thaweesak.

Prof Chiang said the new battery technology could be an ideal application for the more than 900 Thai islands.

It has a lifespan of 10 years and energy efficiency of 90%.

Development of this technology has received US$7 million in support from two US government agencies _ the Defence Advanced Research Project Agency and the Advanced Research Project Agency-Energy _ plus another $10 million worth of private funding.

This new project is undertaken by 24M Technologies, which Prof Chiang co-founded in 2008.
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 304

โพสต์

วันที่/เวลา 19 มิ.ย. 2555 09:12:52
หัวข้อข่าว การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัท เอสพีพี ไฟว์ จำกัด
หลักทรัพย์ EGCO
แหล่งข่าว EGCO
รายละเอียดแบบเต็ม ที่ http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... country=TH
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 305

โพสต์

'พีทีจี เอ็นเนอยี'จ่อเทรด'SET'ระดมทุนขยายกิจการปั๊ม'PT' [ ทันหุ้น, 19 มิ.ย. 55 ]

พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) จ่อระดมทุนในตลาด SET หวังนำเงินไปลงทุนขยายกิจการปั๊มน้ำมัน PT เล็งยื่น
ไฟลิ่งต่อ ก.ล.ต.ไตรมาส 3/2555 ผู้บริหาร"พิทักษ์ รัชกิจประการ" มั่นใจจะเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ใน
ธุรกิจพลังงานที่มีความน่าสนใจ พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี 2555 โต 60-70% จาก 2.78 หมื่นล้านปีก่อน
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 306

โพสต์

ศึกแย่งซื้อหุ้น"COVE"เดือด
Source - ข่าวหุ้น (Th), Tuesday, June 19, 2012


เชลล์เกทับ PTTEP เทเงินสู้กว่า 7 หมื่นล้าน

ศึกชิงซื้อหุ้น COVE เดือด สื่อต่างชาติอ้าง "เชลล์" เกทับ PTTEP เพิ่มวงเงินซื้อ 275 เพนซ์ต่อหุ้น มูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท วงการย้ำหาก PTTEP ชนะเสริมความมั่นคงธุรกิจ แต่ถ้าแพ้ไม่กระทบ หลังมีแผนอื่นลงทุนทดแทนเพียบ

ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีกระแสข่าวบริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์ พิจารณาเพิ่มวงเงินเสนอซื้อบริษัท COVE ENERGY เป็นจำนวน 275 เพนซ์ต่อหุ้น สูงกว่าบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ที่ยื่นข้อเสนอซื้อไปในระดับ 240 เพนซ์ต่อหุ้น

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า หากเชลล์เพิ่มวงเงินเสนอซื้อเป็นระดับ 275 เพนซ์ต่อหุ้น ก็คงต้องรอดูทางฝั่ง PTTEP จะยื่นวงเงินเสนอซื้อเพิ่มอีกหรือไม่ โดยหากทาง PTTEP เป็นผู้ชนะจะส่งผลให้ทางบริษัทมีความมั่นคงทางปริมาณสำรองแหล่งก๊าซมากขึ้น และจะถือเป็นปัจจัยสนับสนุนให้บริษัทมีโอกาสทำตามเป้าหมายสร้างยอดขายระดับ 900,000 บาร์เรลต่อวัน

สำหรับวงเงินการเข้าซื้อ COVE ในกรณีที่ PTTEP มีไม่เพียงพอ ประเมินว่า จะใช้เงินลงทุนของบริษัทเข้ามาเพิ่มเติม และไม่น่ากู้เงินเพิ่มอีก ส่วนในกรณีที่ PTTEP ไม่สามารถเข้าซื้อได้จะไม่ส่งผลกระทบต่อทางบริษัทเช่นกัน เนื่องจากทางบริษัทเองมีแผนที่จะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และมีอีกหลายโครงการที่บริษัทสนใจพิจารณาเข้าลงทุนเพิ่มเติมแทน

“ถ้า PTTEP เป็นผู้ชนะสิ่งหนึ่งที่จะได้คือความมั่นคงของปริมาณแหล่งก๊าซ เพียงแต่ประเด็นเรื่องการเพิ่มทุนก็อาจจะกลับมาอีกครั้ง เพราะทาง PTTEP เองยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนอีกในอนาคต ส่วนในกรณีไม่ชนะคงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากมีอีกหลายโครงการอื่นที่บริษัทสนใจเข้าลงทุน” นักวิเคราะห์กล่าว

สำหรับคำแนะนำการลงทุนในหุ้น PTTEP ทางฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมาย 192 บาท เนื่องจากผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/55 มีแนวโน้มที่รักษากำไรได้ในระดับทรงตัวหรืออาจปรับลดลงเล็กน้อย และมีทิศทางที่ดีกว่ากลุ่มหุ้นสายโรงกลั่นที่อาจจะต้องรับรู้ผลขาดทุนจากสต๊อกลอส

ขณะที่สื่อต่างประเทศได้กล่าวอ้างแหล่งข่าวของเชลล์ว่า ขณะนี้เชลล์กำลังพิจารณาเพิ่มราคาเสนอซื้อหุ้น COVE จาก 220 เพนซ์เป็น 275 เพนซ์ต่อหุ้น ซึ่งจะทำให้บริษัท COVE มีมูลค่า 1.4 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับ 70,000 ล้านบาท โดยจะยื่นข้อเสนอภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ดังนั้น จึงสูงกว่า PTTEP ยื่นซื้อ 240 เพนซ์ต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่า 1.2 พันล้านปอนด์ หรือ 60,000 ล้านบาท

สำหรับ COVE เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด Alternative Investment Market (AIM) ในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีสินทรัพย์หลักคือ การถือสัดส่วน 8.5% ในแปลงสัมปทาน Rovuma Offshore Area 1 สาธารณรัฐโมซัมบิก ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ และคาดว่าจะมีปริมาณสำรองราว 30 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต รวมถึงแหล่งน้ำมัน Black Pearl Prospect

ด้านนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กลุ่มทางกลุ่มบริษัทปตท. ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติซอติก้าในพม่า ได้เตรียมส่งก๊าซจากแหล่งดังกล่าวให้กับพม่าเพิ่มเติมจากสัญญา เพราะต้องการใช้เพื่อผลิตไฟฟ้ารองรับการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะเริ่มผลิตในช่วงปีหน้า

อีกทั้ง จากการหารือร่วมกับกลุ่ม ปตท. พบว่า ไม่มีปัญหาต่อการส่งก๊าซเพิ่มเติมให้พม่า เพราะสามารถช่วยยกระดับและพัฒนาประเทศ โดยจะแบ่งก๊าซให้เพิ่มอีก 60 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทั้งนี้ PTTEP เป็นผู้พัฒนาแหล่งก๊าซ M9 (ซอติก้า) ซึ่งตามแผนจะผลิตก๊าซในปลายปี 2556 จำนวน 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยจำนวน 240 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันจะใช้ส่งกลับมาที่ประเทศไทย และอีก 60 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทาง ปตท. จะเป็นผู้รับซื้อเพื่อจำหน่ายในพม่า

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 307

โพสต์

PTT ASKED TO CLARIFY CHARGES FOR LPG IMPORTS
Source - The Nation (Eng), Wednesday, June 20, 2012
WATCHARAPONG THONGRUNG



The Energy Policy and Planning Office has asked PTT to explain how it calculates the price-differential premium over local prices that it charges the Oil Fund for liquefied petroleum gas imported by the company.

PTT has to date received more than Bt80 billion in compensation for LPG imports.

An Energy Ministry source yesterday said EPPO executives had recently written to the oil and gas giant, asking it to provide more details on how it calculates the compensation it receives for the high-cost imported gas, which because of the government’s price controls, PTT then has to turn around and sell domestically at the lower, controlled price in order to meet domestic demand.

Imports of LPG, which started in April 2008, mean the Oil Fund has had to shoulder compensation to PTT to the tune of Bt80.48 billion. Bt7.95 billion was paid in 2008, Bt6.89 billion in 2009, Bt22.26 billion in 2010, Bt25.8 billion last year and Bt17.58 billion until May 31 this year.

With LPG prices fluctuating in line with global demand, over the period in question prices have moved between US$800 (Bt25,100) and $1,000 per tonne. However, now world prices have fallen back to the $800-$900 level, the ministry wants to see how PTT is determining its compensation.

Once the EPPO has a clearer understanding of the process, it will be able to explain the calculation to the Energy Policy Administration Committee, which supervises the Oil Fund, and the panel can then explain its findings to LPG consumers, the ministry source said.

The source added that prior to 2008, production of LPG in Thailand had been more than sufficient to meet local demand and the country used to export the surplus.

However, the policy of price controls by the government has resulted in the local price of LPG being lower than the global price. This has encouraged more Thai consumers to use LPG each year, leading to higher imports since 2008 and a consequent rise in the level of compensation paid to PTT.

A PTT source said the company had had to pay different amounts for LPG imports since April 2008 due to global price fluctuations. The amount that PTT imports is not sufficient

for it to have any kind of meaningful bargaining power with LPG traders, so it has no choice but to pay more as the global price rises.

The company, which calculates the price differential and submits the bill to the Oil

Fund, is confident that explain-ing the procedure to the EPPO will not be a problem, said the source.
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 308

โพสต์

กลุ่มทุนอินเดียถอนตัวชิงซื้อCOVE
Source - ข่าวหุ้น (Th), Wednesday, June 20, 2012
กรุงเทพฯ--20 มิ.ย.--ข่าวหุ้น



ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการประมูลซื้อ COVE ENERGY ว่า ล่าสุด บริษัท ONGC Videsh Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนในต่างประเทศภายใต้เครือของออยล์ แอนด์ แนเชอรัล แก๊ส คอร์ป (ONGC) ผู้ผลิตน้ำมันของรัฐบาลอินเดีย และบริษัทเกล อินเดีย (GAIL) ผู้จัดจำหน่ายก๊าซของรัฐบาลอินเดีย เปิดเผยว่า จะไม่พิจารณายื่นข้อเสนอเทกโอเวอร์ COVE อีกต่อไป

ดังนั้น สถานการณ์การเข้าซื้อ COVE ในปัจจุบันจะเหลือเพียงแค่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และบริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์ เท่านั้น ซึ่ง PTTEP ได้ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการราคาหุ้นละ 240 เพนซ์ต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่า 1.2 พันล้านปอนด์ ส่วนสื่อต่างประเทศได้อ้างแหล่งข่าวจากเชลล์ว่า กำลังพิจารณาเพิ่มราคาเสนอซื้อหุ้นจาก 220 เพนซ์ เป็น 275 เพนซ์ต่อหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.4 พันล้านปอนด์

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 309

โพสต์

แหล่งบงกชใต้ผลิตก๊าซฯเข้าเป้า320ล้านลบ.ฟุต/วัน ไทยเอื้อก๊าซธรรมชาติให้พม่า60ล้านลบ.ฟุตนาน30ปี
Source - พิมพ์ไทย (Th), Wednesday, June 20, 2012


แหล่งบงกชใต้ผลิตก๊าซฯ ได้ถึง 320 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตามสัญญาซื้อขาย สามารถเพิ่มการตอบสนองความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติภายในประเทศไทยได้เป็น 20% รมว.พลังงานเผยแบ่งก๊าซธรรมชาติให้พม่าวันละ 60ล้าน ลบ.ฟุตนาน 30 ปี

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช (Mr. Tevin Vongvanich) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า แหล่งบงกชใต้ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซฯ ขนาดใหญ่อีกแหล่งหนึ่งในโครงการบงกช สามารถผลิตก๊าซฯได้ถึงปริมาณการผลิตต่อวันตามสัญญาซื้อขาย (Daily Contractual Quantity:DCQ) ที่ 320 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และคอนเดนเสท 9,000 บาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่ 16 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้อัตราการผลิตโดยรวมของโครงการบงกช ซึ่งประกอบด้วยแหล่งบงกช และแหล่งบงกชใต้ สูงขึ้นถึง900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สามารถสนองตอบความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยได้ถึง 20%

ปตท.สผ. ได้เริ่มการพัฒนาแหล่งบงกชใต้ในอ่าวไทยตั้งแต่ปี 2551 หลังจากติดตั้งแท่นผลิตรวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ แล้วเสร็จ จึงได้เริ่มทดสอบการผลิตตั้งแต่เดือนมีนาคม 2555 ที่ผ่านมา จนกระทั่งสามารถผลิตก๊าซฯ ได้ตามสัญญาฯ ที่ระดับ 320 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตามกำหนด แหล่งบงกชใต้เป็นส่วนต่อเนื่องของโครงการบงกช ตั้งอยู่ในพื้นที่ปิโตรเลียมนวมินทร์ ห่างจากชายฝั่งจังหวัดสงขลาประมาณ 203 กิโลเมตร ประกอบด้วยแท่นผลิต (Central Processing Platform) 1 แท่น แท่นที่พักอาศัย (Living Quar ter Platform)1 แท่น และ แท่นหลุมผลิต (Wellhead Platform) 6 แท่น โดยมีผู้ร่วมทุนดังนี้ ปตท.สผ. 44.4445% (ผู้ดำเนินการ) บริษัท โททาล อี แอนด์ พี ไทยแลนด์ 33.3333% และ บริษัท บีจี เอเชีย แปซิฟิค พีทีอี จำกัด 22.2222%

อนึ่ง นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวว่า จากการไปเยือนพม่าเมื่อเร็วๆนี้ ทางพม่า ได้เสนอว่าต้องการขอความช่วยเหลือในการแบ่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง เอ็ม 9 เข้าไปใช้เพิ่มเติมในพม่า เพราะในขณะนี้มีความจำเป็นในเรื่องการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศที่พุ่งสูงขึ้น โดยขอหารือว่าจะขอปันส่วนเพิ่มอีกไม่เกิน 50 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันได้หรือไม่ จากเดิมตามสัญญาจะมีการส่งก๊าซฯกลับไปพม่า 60 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งทางตนได้รับปากว่าการจัดส่งก๊าซฯเพิ่มเติม เพราะจากการหารือกับ บมจ.ปตท.ผู้รับซื้อก๊าซฯพบว่า ไม่มีปัญหาเพราะช่วยพัฒนาพม่า จึงจะแบ่งก๊าซฯให้เพิ่มอีก 60 ล้านลูกบาศ์กฟุตต่อวัน

ทั้งนี้ การผลิตก๊าซธรรมชาติจากแปลงเอ็ม 9ในพม่า ดำเนินการโดยบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) จะเริ่มผลิต ในปี 2556 ในปริมาณ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ตามสัญญา ส่งให้กับ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) จำนวน 240 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่วนที่เหลือ 60 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จะส่งให้กับสหภาพพม่าเพื่อใช้ภายในประเทศ มีสัญญา 30 ปี.

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 310

โพสต์

Commercial output from Bongkot South field begins Will serve 20%of local gas demand
Source - Bangkok Post (Eng), Wednesday, June 20, 2012
YUTHANA PRAIWAN


PTT Exploration and Production Plc’s (PTTEP) Bongkot South field in the Gulf of Thailand has started commercial production.

Tevin Vongvanich, the president and chief executive, yesterday said the field had been producing natural gas at a rate of 320 million cubic feet per day and condensate at 9,000 barrels per day since last Saturday.

"This production will increase the overall Bongkot production capacity to 900 million cfpd or 20% of Thailand’s natural gas demand," he said.

The Bongkot South field lies 70 kilometres south of the existing Bongkot North development and has a total processing capacity of 350 million cfpd of gas and 15,000 bpd of condensate.

PTTEP has been developing the field,which has a central processing platform,a living-quarters platform and six wellhead platforms, since 2008.

It began a test run of the processing facility this past March before ramping up output to its current level.

The Bongkot project lies in the Navamindra Petroleum Area,203 kilometres off the coast of Songkhla province.

PTTEP has a 44.44% interest in the Bongkot project, France’s Total has 33.33% and the UK’s BG Group has 22.22%.

In a related development, PTTEP said it will ramp up its onshore Sirikit 1 crude oil field in Sukhothai to 30,000 bpd this year from 26,000 bpd.

Internationally, PTTEP is preparing for production of 35,000 bpd at the offshore Montara oil field off of northwestern Australia by year-end.

The project was delayed for almost two years due to a fire.

In Myanmar, the company’s Zawtika project will produce gas at 300 million cfpd by the end of next year.

The company has completed threedimensional seismic acquisitions at the site and plans further appraisal of the petroleum resources there.

PTTEP shares closed yesterday on the SET at 173.50 baht, up 1.50 baht, in trade worth 401 million baht.



Source: Bangkok Post
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 311

โพสต์

อมตะทุ่มโรงไฟฟ้า 5 หมื่นล. วาดแผน 7 ปีเปิดเพิ่ม 10 แห่งขึ้นรายใหญ่อันดับ 2 ของไทย [ โพสต์ทูเดย์, 21 มิ.ย. 55 ]

อมตะ บี.กริม ลุยโรงไฟฟ้าเอสพีพีอีก 10 แห่ง รวมลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2562
ตั้งเป้ามีกำลังผลิตไฟฟ้าใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ บีกริม เพาเวอร์ เปิดเผยถึงแผน
ลงทุนขยายกิจการไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ในอีก 7 ปีข้างหน้า หรือปี 2562 ว่า จะลงทุนเพิ่มขึ้นอีก
10 แห่งที่จะลงทุนเพิ่มนั้น จะอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ จ.ระยอง 3 แห่ง และอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
อีก 3 แห่ง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 312

โพสต์

PTTEPลุยเจาะตลาดพม่าเพิ่ม
Source - ข่าวหุ้น (Th), Thursday, June 21, 2012
กรุงเทพฯ--21 มิ.ย.--ข่าวหุ้น



เปิดกว้างพันธมิตรร่วมลงทุน

PTTEP ย้ำสนใจเข้าลงทุนในพม่าเพิ่ม หลังภาวะการเมืองดีขึ้น แถมมีแผนปรับกฎระเบียบ ยิ่งช่วยเอื้อโอกาสเข้าขยายตลาด ลั่นพร้อมเปิดกว้างไม่ปิดโอกาสมีพาร์ตเนอร์ร่วมลงทุน

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางด้านการเมืองในประเทศพม่าที่ดีขึ้น รวมถึงแนวทางด้านการปรับกฎระเบียบและกฎหมาย จะส่งผลประโยชน์ให้เกิดโอกาสเข้าลงทุนในประเทศพม่าเพิ่มขึ้น

โดยที่ผ่านมาพม่าไม่ได้ปิดการลงทุนจากต่างประเทศ เพียงแต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จะยิ่งสร้างโอกาสทางการลงทุนให้กับบริษัท ดังนั้น กลุ่มปตท.จึงยังมีความสนใจขยายการลงทุนหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ ให้กับประเทศพม่า

สำหรับแนวทางการเข้าลงทุนยังคงแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ การเข้าลงทุนเอง หรือการหาพันธมิตรร่วมลงทุน ซึ่งบริษัทพร้อมเปิดกว้างที่จะหารือกับผู้ประกอบการทุกราย ส่วนโครงการลงทุนยังคงสนใจทั้งแบบทรัพยากรบนบกหรือในน้ำ อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งหมดยังอยู่ในระหว่างการศึกษาเท่านั้น

“ที่ผ่านมาพม่าไม่ได้ปิดการลงทุน ยังคงให้ลงทุนได้ตามปกติ เพียงแต่สถานการณ์ต่างๆ ในตอนนี้มีแนวโน้มออกมาทางที่ดีขึ้น สำหรับการลงทุนเรายังสนใจทั้งรูปแบบบนบกหรือในน้ำ และเราเปิดกว้างที่จะพูดคุยกับผู้ประกอบการรายอื่น ไม่ว่าจะเป็นทั้งรายใหม่หรือรายเก่าที่ร่วมงานกันอยู่แล้ว” นายเทวินทร์ กล่าว

ส่วนความคืบหน้าด้านการลงทุนของโครงการ ออยล์ แซนด์ นายเทวินทร์กล่าวว่า ยังถือเป็นโครงการที่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้สามารถผลิตได้อยู่ในระดับ 1.8 หมื่นบาร์เรล ดังนั้น หากจะผลิตให้ได้ขึ้นระดับ 2 แสนบาร์เรล จะยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกหลายปี

ด้านนายสมพร ว่องวุฒิพรชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานโครงการต่างประเทศ PTTEP เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลพม่า เพื่อเข้ารับสัมปทานปิโตรเลียมแห่งใหม่ นอกจากนั้น ยังเตรียมพร้อมจะเข้าประมูลสัมปทานแหล่งปิโตรเลียมอื่นๆ ของพม่าเพิ่มเติมในช่วงปีนี้

ปัจจุบันบริษัทเจรจากับเชฟรอนและเอ็กซอนโมบิล เพื่อร่วมเป็นพันธมิตรเข้าสำรวจแหล่งปิโตรเลียมและขุดเจาะปิโตรเลียมในประเทศพม่า ทั้งรูปแบบแหล่งในทะเลน้ำลึกหรือบนบก และบริษัทยังเชื่ออีกว่าประเทศพม่าจะได้รับการยกเลิกการคว่ำบาตรจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรป

อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะได้เห็นกฎหมายการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะออกมาภายในเร็วๆ นี้ เพราะพม่ายังคงเป็นประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก ดังนั้น PTTEP จึงต้องเร่งมือในการหาแหล่งปิโตรเลียม โดยระหว่างนี้ได้เจรจากับรัฐบาลพม่าเพื่อขอรับสัมปทานแหล่งปิโตรเลียมเพิ่มเติม รวมทั้งจะเข้าร่วมประมูลสัมปทานแหล่งปิโตรเลียมที่ทางการพม่าจะเปิดอีกรอบในปีนี้

ทั้งนี้ พม่าเป็นแหล่งสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมที่ PTTEP ให้ความสำคัญในระดับสูง ซึ่งในแผนลงทุน 5 ปี (2555-2559) ได้จัดงบประมาณลงทุนในพม่าไว้ถึง 2.4 พันล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 20%ของงบลงทุนทั้งหมด ขณะนี้ PTTEP มีแหล่งสำรวจปิโตรเลียมในพม่า อาทิ แหล่งยาดานา แหล่งเยตากุน แหล่งซอติก้า แหล่งเอ็ม 3 และแหล่งเอ็ม 11

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 313

โพสต์

เอกชนขานรับพม่าปรับก.ม.ลงทุน
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Thursday, June 21, 2012

เอกชนไทย ขานรับพม่ารื้อกฎหมายการลงทุน เชื่อลดอุปสรรคนักธุรกิจต่างชาติ ชี้ธุรกิจใช้แรงงานมาก บริการ ท่องเที่ยวเหมาะเข้าไป แนะเจรจาขยายด่านชายแดนถาวร เอ็กโก ลุ้นลดภาษีธุรกิจโรงไฟฟ้า ขณะที่ธุรกิจโทรคม เร่งศึกษาช่องทางลงทุน

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาธุรกิจไทย-พม่า เปิดเผยถึงการปรับปรุงกฎหมายการลงทุนและการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของพม่า ว่า ธุรกิจที่ไทยมีโอกาสเข้าไปลงทุนเป็นอุตสาหกรรมเบาที่ไม่พึ่งซัพพลายเชนมาก ใช้แรงงานมากและสามารถขายสินค้าราคาถูกแข่งขันกับตลาดโลกได้ เช่น เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า อัญมณี เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ อาหาร ซึ่งอุตสาหกรรมดังกล่าวจะได้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ที่พม่าจะได้รับจากประเทศพัฒนาแล้วด้วย โดยถ้าเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ชิ้นส่วนในการผลิตมากหรือต้องมีอุตสาหกรรมสนับสนุนจะลงทุนลำบาก เช่น สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์

"พม่ามีกฎหมายส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ออกมาเมื่อเดือนพ.ค. 2555 ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่กำหนดเงื่อนไขการลงทุนที่ดีขึ้นเพราะบางอุตสาหกรรมอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้ 100% แต่ยังมีหลายจุดที่อาจไม่คล่องตัว เช่น กำหนดวงเงินลงทุนขั้นต่ำ 5 แสนดอลลาร์ อาจเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจเอสเอ็มอี รวมทั้งภาษีนิติบุคคลซ้ำซ้อนกรณีที่นักลงทุนนำกำไรกลับประเทศ และการถือครองที่ดิน"

4 ธุรกิจมีโอกาสขยายลงทุนพม่า

นายวัลลภ วิตนากร กรรมการสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า ธุรกิจที่มีโอกาสเข้าไปลงทุนในพม่าขณะนี้มี 4 กลุ่ม คือ 1.การผลิตที่ใช้แรงงานมาก เช่น เครื่องนุ่งห่ม 2.ธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม อู่ซ่อมรถ 3.ธุรกิจการค้า เช่น การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค เพราะพม่าจะเปิดห้างอีกหลายแห่งและสามารถนำสินค้าไทยไปจำหน่ายได้ 4.ธุรกิจเกษตรและประมง ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบการไทยหลายรายเข้าไปดูลู่ทางการลงทุนในพม่ามากและคงทยอยเข้าไปลงทุน

นายวัลลภ กล่าวว่า ธุรกิจที่ยังไม่น่าเข้าไปลงทุนอยู่ในกลุ่มที่ใช้พลังงานมากเพราะพม่ามีปัญหาเรื่องไฟตก รวมทั้งธุรกิจที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูงเพราะไม่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ โดยกระทรวงการต่างประเทศควรเจรจากับรัฐบาลพม่าเพื่อให้เปิดด่านถาวร เช่น ด่านพุน้ำร้อน ด่านสิงขร ซึ่งจะทำให้การเดินทางและการส่งสินค้าไทยไปพม่ามีความคล่องตัวมากขึ้น

เอ็กโกลุ้นปรับฐานภาษีเอื้อลงทุนโรงไฟฟ้า

นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า หรือ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวว่า การลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าในพม่า ที่ผ่านมา มีปัญหาที่อัตราภาษีที่สูงกว่าไทย และเก็บภาษีหลายประเภท ซึ่งเป็นต้นทุนของการลงทุน ซึ่งเมื่อผลิตไฟฟ้า เพื่อนำมาขายในไทยมักจะไม่คุ้มค่า เพราะต้นทุนสูง ทำให้การขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไม่สามารถทำได้ เว้นแต่ผลิตและขายที่พม่า รวมถึงแหล่งเงินทุนสำหรับ ผู้เข้าไปลงทุนในพม่า มักหายาก เนื่องจากสถาบันการเงินไม่มั่นใจในการลงทุนในพม่า ดังนั้นการปรับปรุงกฎระเบียบครั้งนี้น่าจะรวมในเรื่องฐานภาษีต่างๆ รวมถึงกฎระเบียบที่จะเป็นหลักประกันให้กับนักลงทุน และช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนในพม่ามีความน่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตามสำหรับการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้านั้น พม่าเปิดรับนักลงทุนต่างชาติอยู่แล้ว โดยไม่ได้บังคับว่าจะต้องร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น

ปตท.สผ. ชี้รื้ออัตราแลกเปลี่ยนเอื้อต่างชาติ

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่าการปรับปรุงอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นแบบลอยตัวแบบมีการจัดการ จะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนมากที่สุด เพราะจะทำให้ค่าเงินมีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบจะช่วยปกป้องการลงทุนต่างชาติเป็นไปในทิศทางที่ดี ถือเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในพม่า และมีโอกาสสำเร็จมาก หากพม่าตั้งใจดี จะทำให้ทุกอย่างไปได้ดีแน่นอน

ในส่วนของธุรกิจขุดเจาะสำรวจนั้น ที่ผ่านมากฎระเบียบต่างๆ ในการลงทุนมีความชัดเจนอยู่แล้ว เพราะพม่าเปิดให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในธุรกิจดังกล่าวมานานแล้ว แต่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนมากที่สุด คือ การปรับปรุงอัตราแลกเปลี่ยนที่จะผันแปรตามกลไกตลาดมากขึ้น

โทรคมไทยลั่นพร้อมลงทุนพม่า

นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บมจ.สามารถ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในพม่า หรือแม้แต่ประเทศในกลุ่มเออีซีนั้น บริษัทได้ตั้งทีมงานโดยเฉพาะเพื่อหาช่องทางเข้าไปทำธุรกิจแล้ว แต่ความชัดเจนว่าจะเป็นธุรกิจประเภทอะไรนั้น ต้องรอดูผลการสำรวจและข้อสรุปจากทีมงานว่ามีความเป็นไปได้และโอกาสในธุรกิจประเภทใดบ้าง ซึ่งความชัดเจนก็คาดว่าจะได้เห็นตั้งแต่ครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป

ด้าน นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มอินทัช กล่าวว่า อินทัช กรุ๊ป อยู่ระหว่างศึกษาช่องทางลงทุนพม่า ซึ่งบริษัทไม่เคยหยุดนิ่งมองหาโอกาสใหม่ให้ธุรกิจอยู่เสมอ ส่วนการเปิดกว้างการลงทุนของพม่านั้น บริษัทคงต้องศึกษาถึงปัจจัยแวดล้อมหลายๆ อย่างให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ ลงทุน

พม่าเซ็น 9 ข้อตกลงธุรกิจน้ำมันกับต่างชาติ

หนังสือพิมพ์เมียนมาร์อาห์ลิน รายงานว่า บริษัท เมียนมาร์ ออย แอนด์ ก๊าซ เอนเตอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของพม่า ได้ลงนามข้อตกลงสำรวจน้ำมันกับบริษัทต่างชาติ 9 ฉบับ นับจากต้นเดือนมี.ค. เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทจากเอเชียและยุโรปได้เข้าไปสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทเมียนมาร์ ออย แอนด์ ก๊าซ เอนเตอร์ไพรส์ ที่ลงนามข้อตกลง 9 ฉบับภายในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ไม่ได้ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวมีมูลค่าเท่าไร รายงานแค่ว่าที่สำคัญคือรัฐวิสาหกิจของพม่าเข้าเป็นหุ้นส่วนในข้อตกลงทั้ง 9 ฉบับ

ลดภาษี 5 ปี-อนุญาติเช่าที่ดิน

นายกันซอร์ รัฐมนตรีช่วยฝ่านการพัฒนาเศรษฐกิจและวางแผนของพม่าเผยนอกรอบการประชุมสุดยอดด้านการลงทุนในย่างกุ้งว่า กฎหมายการลงทุนฉบับใหม่จะอนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้าถือหุ้น 35-100% ในบริษัทท้องถิ่น โดยผู้ที่ต้องการถือหุ้น 100% จะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดนอกจากนั้นกฎหมายฉบับใหม่ยังจะให้การลดหย่อนภาษีแก่นักลงทุนต่างชาติ 5 ปี จากปัจจุบันที่ 2 ปี

มาตรการอื่นรวมถึงการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเช่าที่ดินเอกชน จากปัจจุบันที่สามารถเช่าที่ดินของรัฐเท่านั้น

บางอุตสาหกรรมอนุญาตให้ นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้ 100%

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 314

โพสต์

บางจากรุกตลาด'ลาว-พม่า-กัมพูชา'ทุ่ม80ล.ตั้งเป้าขยายปั๊ม20แห่งใน5ปี
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Thursday, June 21, 2012


บางจากรุกปั๊มในลาว-พม่า-กัมพูชา ตั้งเป้า ภายในปี 60 ขยาย 20 แห่ง ลงทุน 80 ล้านบาท เน้นร่วมทุนพันธมิตรท้องถิ่น โชว์แบรนด์บางจาก พร้อมขยาย-ปรับปรุงปั๊มในประเทศรองรับการเปิดเออีซี เล็งเบียดเอสโซ่ขึ้นอันดับ 2 ถาวร

นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุรกิจการตลาด บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปตั้งสถานีบริการน้ำมันแห่งใหม่ในลาว กัมพูชา และพม่า โดยภายในปีนี้จะเริ่มที่ลาวและพม่าก่อน จำนวน 2 แห่ง และ 1 แห่งตามลำดับ และจะเริ่มทยอยเพิ่มขึ้น

โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 2 ปีหลังเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) หรือภายในปี 2560 หรือ 5 ปีจากนี้ไป จะมีสถานีบริการน้ำมันบางจาก รวม 20 แห่ง ในลาว 10 แห่ง พม่า 5 แห่ง และในกัมพูชา 5 แห่ง ใช้เงินลงทุนในส่วนของบางจากประมาณ 80 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทจะร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นเป็นหลัก เนื่องจากกฎระเบียบยังไม่เปิดให้ต่างชาติลงทุนโดยตรง ใช้งบลงทุน แห่งละ 3-4 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการลงทุน ของพันธมิตร ซึ่งจะใช้แบรนด์บางจากเป็นหลัก โดยจะเป็นสถานีบริการขนาดกลางประมาณ 8 ตู้จ่าย ซึ่งรูปโฉมของสถานีบริการน้ำมันบางจากในประเทศดังกล่าว จะเหมือนบางจากในไทย

"หลังเปิดเออีซี ทำให้การค้าการลงทุนสะดวกมากขึ้น เราก็ต้องหาโอกาสไปลงทุน โดยคาดว่าจะมียอดจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนลิตรต่อเดือน"

นายยอดพจน์ กล่าวต่อว่า บริษัทยังมีแผนลงทุนสถานีบริการน้ำมัน ในประเทศ ใน 3 ปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้รวม 2,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. การลงทุน สถานีบริการน้ำมันรูปแบบ Green Station โดยจะเปิดอีก 2 แห่งในปีนี้ และจะ เพิ่มเป็น 5-6 แห่งใน 3 ปี ลงทุนแห่งละ 70 ล้านบาท

2. ลงทุนสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พื้นที่ประมาณ 3-4 ไร่ อีก 10 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 20 แห่ง ลงทุนแห่งละ 30 ล้านบาท โดยจะเน้นในพื้นที่จังหวัดใหญ่ๆ และตามถนนสายหลัก และเส้นทางเชื่อม เออีซี เช่น R3A หรือในโซนภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตก เป็นต้น และ 3. ปรับปรุงสถานีบริการเดิมให้เป็นรูปโฉมใหม่ ช่วยให้ยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 20%

นายยอดพจน์ กล่าวว่า ยอดจำหน่ายน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ของบริษัทขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ของตลาดหรือ 17% ส่วนอันดับ 1 เป็น ปตท.ประมาณ 35% และอันดับ 3 เป็นเอสโซ่ ส่วนแบ่ง 16% ส่วนน้ำมันกลุ่มดีเซล อยู่ที่อันดับ 3 มีส่วนแบ่งประมาณ 13.7%

โดยตั้งเป้าหมายจะมีส่วนแบ่งอันดับ 2 อย่างถาวรทั้งกลุ่มเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล หรือมีส่วนแบ่ง 17% ขึ้นไปภายใน3 ปี ยอดขายรวม 95,000 บาร์เรลต่อวัน


ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 315

โพสต์

pak เขียน:อมตะทุ่มโรงไฟฟ้า 5 หมื่นล. วาดแผน 7 ปีเปิดเพิ่ม 10 แห่งขึ้นรายใหญ่อันดับ 2 ของไทย [ โพสต์ทูเดย์, 21 มิ.ย. 55 ]

อมตะ บี.กริม ลุยโรงไฟฟ้าเอสพีพีอีก 10 แห่ง รวมลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2562
ตั้งเป้ามีกำลังผลิตไฟฟ้าใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ บีกริม เพาเวอร์ เปิดเผยถึงแผน
ลงทุนขยายกิจการไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ในอีก 7 ปีข้างหน้า หรือปี 2562 ว่า จะลงทุนเพิ่มขึ้นอีก
10 แห่งที่จะลงทุนเพิ่มนั้น จะอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ จ.ระยอง 3 แห่ง และอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
อีก 3 แห่ง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท
เลือกผู้หญิงดูแลพลังงาน
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กรกฎาคม 2554
โดย นภาพร ไชยขันแก้ว

81671n_L01.jpg
หากกล่าวถึงธุรกิจพลังงานในประเทศไทย ผู้บริหารระดับสูงสุดย่อมเป็น “ผู้ชาย” เกือบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่กลุ่ม ปตท.ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงาน ทว่ากลุ่มบี.กริม กลับเลือก “ผู้หญิง” ขึ้นมาทำหน้าที่

ปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ชื่อนี้ย่อมไม่คุ้นหูนักสำหรับคนทั่วไป แทบจะกล่าวได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงเกือบเพียงคนเดียวที่ได้ขึ้นมานั่งบริหารอยู่แถวหน้าในกลุ่มธุรกิจพลังงานระดับประเทศ

ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกลุ่มบี.กริม ให้เหตุผลกรณีเลือก ปรียนาถขึ้นดำรงตำแหน่งประธานบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด เพราะเชื่อในความสามารถ มีความคิดคล้ายกัน ทำงานเป็นทีม เป็นมืออาชีพจริงๆ และมีบุคลิกเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี

วัฒนธรรมการเลือกผู้บริหารของฮาราลด์ ลิงค์ เขาจะเลือก คนจากข้างในบริษัทก่อน เพราะจากประสบการณ์เลือกคนภายนอกมาร่วมงาน พบว่า บางครั้งก็สำเร็จ แต่บางทีก็ไม่

แม้มีอีกหลายเหตุผลที่ฮาราลด์ ลิงค์ไม่ได้เอ่ยถึง แต่ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ถูกคัดเลือกขึ้นมาเป็นผู้บริหาร ปรียนาถ วัย 54 ปี มีประสบการณ์ด้านการเงินมาตลอดกว่า 30 ปี คุณสมบัติผู้บริหารที่ต้องมี “รู้เรื่องโครงสร้างการเงิน” และ “ชั้นเชิงในการต่อรอง” ดูเหมือนว่าทั้งสองคุณสมบัตินี้อยู่ในตัวของปรียนาถ

ธุรกิจพลังงานเป็นธุรกิจใหม่ของกลุ่มบี.กริม การเริ่มสร้างธุรกิจต้องใช้ “เงิน” หากโครงสร้างการเงินไม่ชัดเจน ธุรกิจแม้จะสวยหรูเพียงใดก็ยากยิ่งจะเกิดเป็นรูปธรรม

ปรียนาถจึงเป็นผู้บริหารที่ควบ 2 ตำแหน่งหลัก คือ ผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน (CFO) กลุ่มบี.กริม และประธานบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด

หลังจบการศึกษาสาขาบัญชี ปริญญาตรี และปริญญาโท การตลาด จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มทำงานแห่งแรกที่บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด ย้ายไปทำงานบริษัทดีทแฮล์ม เมเนจเม้นท์ เซอร์วิส จำกัด

ดิฉันยังเป็นซีเอฟโอ มาเป็นผู้บริหารพลังงานเข้ามาต้องเรียนรู้ ต่อสู้ฝ่าฟันมาด้วยกัน เพราะโรงไฟฟ้า สิ่งสำคัญ ไม่ใช่เรื่องเทคนิคอย่างเดียว สำคัญต้องหาเงินกู้มาสร้างด้วย และคอมเมอร์เชียล ทุกอย่างต้องต่อรอง สัญญาระยะยาว ไม่ใช่เรื่องการเงินอย่างเดียว ชอบอย่างหนึ่งคือเรื่องเจรจาและการบริหารทีม”

ในฐานะผู้หญิงที่ต้องขึ้นมาเป็นผู้นำวิศวกรเก่งๆ และอาวุโส แม้ว่าจะเป็นเรื่องหนักใจไม่น้อย แต่การทำงานต้องอ่านใจคนรู้จักเขา รู้จักเรา

สิ่งที่เธอเรียนรู้จากการเป็นผู้บริหารในธุรกิจพลังงานทำให้รู้ว่า ไม่จำเป็นต้องเก่งกว่าคนอื่นทุกเรื่อง ต้องรู้ว่าสิ่งใดสำคัญและมองว่าการมีเครือข่ายเป็นเรื่องสำคัญ รู้จักคน ติดต่อคน เพราะในสังคมขาดการสื่อสารไม่ได้ ความสำคัญด้านเน็ตเวิร์กทำให้มีโอกาสได้เข้าเรียนใน วตท. และ วปอ.รุ่น 50

วิกฤติของบี.กริม ทำให้ปรียนาถมีโอกาสร่วมแก้ไขปัญหา ในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้และมองหา ผู้ร่วมทุน ที่ผ่านมาล้วนเป็นงานหนักหนาแต่เป็นความท้าทาย มอง ว่าหลักการทำงานคือวิธีพูดตรงๆ ไม่ทำร้ายน้ำใจ มีข้อมูลเพียบ

เธอบอกว่าโชคดีที่มีโอกาสร่วมงานกับฮาราลด์ ลิงค์ เพราะให้เกียรติผู้บริหาร ให้โอกาสมืออาชีพเป็นเรื่องสำคัญ และสามารถพูดตรงๆ ได้ แม้ว่าจะมีความเป็นต่างชาติอยู่บ้างก็ตาม

“คุณลิงค์คอยแนะนำทุกอย่าง เรื่องการแต่งตัว บางครั้งก็มีเรื่องขำๆ เวลาเราจะไปพบใคร แกก็จะบอกว่าไอ้ชุดดอกเยอะๆ อย่าใส่มาน่ะ รู้สึกเป็นบุญคุณอยู่ในเรื่องคำแนะนำ และก็ได้ทำงานเยอะแยะมีเรื่องตื่นเต้น เช่น เกิดวิกฤติปี 40”

17 ปีกับการทำงานในกลุ่มบี.กริม ปรียนาถอาจเป็นผู้บริหารอีกคนที่ทำงานในองค์กรแห่งนี้ไปอีกนาน
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 316

โพสต์

ไออาร์พีซีฟังความเห็นโรงไฟฟ้าก๊าซระยองคาดเริ่มก่อสร้างปี57
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Friday, June 22, 2012


ไออาร์พีซีจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น "โครงการผลิตไอน้ำและไฟฟ้าร่วมเมืองระยอง" ชาวบ้านนับพันคนแห่ร่วมรับฟังแน่นห้องประชุม คาดเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2557 ใช้งบลงทุน 9 พันล้านบาท

วานนี้ (21 มิ.ย.) นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการ จ.ระยอง เป็นประธานในพิธีเปิดประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการผลิตไอน้ำและไฟฟ้าร่วมเมืองระยองโดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงและโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโครงการผลิตไอน้ำและไฟฟ้าร่วมเมืองระยองของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ต.เชิงเนิน อ.เมืองระยอง

ทั้งนี้ ในเวทีรับฟังความเห็นดังกล่าว มีนายสหัสชัย พาณิชย์พงศ์ รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี และประชาชนจาก ต.บ้านแลง ต.ตะพง ต.เชิงเนิน ต.นาตาขวัญ และชุมชนในเขตพื้นที่เทศบาลนครระยอง อ.เมืองระยอง นับพันคนให้ความสนใจเรื่อง สิ่งแวดล้อมเข้าคิวลงชื่อเพื่อจะเข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้

นายสหัสชัย กล่าวว่า ได้นำเสนอร่างมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ในโครงการผลิตไอน้ำและไฟฟ้าร่วมเมืองระยอง โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น เชื้อเพลิงและโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโครงการผลิตไอน้ำและไฟฟ้าร่วมเมืองระยองของบริษัท ไออาร์พีซี เพื่อให้ประชาชนและผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงการในพื้นที่ใกล้เคียงและผู้มีส่วนได้เสีย ได้รับทราบผลการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รวมถึงร่างมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบ สิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม

ด้านนายวิชัย ปิยพรธนา ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยี่และบริการด้านคุณภาพ บริษัท ไออาร์พีซี กล่าวว่า การจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและมาตรการ ที่บริษัทได้นำเสนอ ก็จะได้นำความคิดเห็น และข้อเสนอแนะของพี่น้องประชาชนและ หน่วยงานราชการไปวิเคราะห์นำเสนอในร่างมาตรการของบริษัทเพื่อเสนอต่อสำนักงานนโยบายและแผน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เป็นผู้พิจารณาร่างรายงาน

"หลังร่างฯ ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ การก่อสร้างพร้อมจะเริ่มดำเนินการในปี 2557 พร้อมการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติในระยะสั้นในเขตประกอบการ ไออาร์พีซีเข้าไปในพื้นที่โครงการผลิตไอน้ำ และไฟฟ้าร่วม"

เขากล่าวอีกว่า ระบบด้านความปลอดภัยในการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้ออกแบบปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรฐานของ ปตท. สามารถควบคุมดูแลความปลอดภัยในการจ่ายก๊าซได้โดยสมบูรณ์

สำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและความร้อนร่วม ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าประมาณ 240 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงภายใต้ชื่อ "โครงการผลิตไอน้ำและไฟฟ้าร่วมเมืองระยอง" คาดว่าใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 30 เดือน ส่วนการก่อสร้างวางท่อ ส่งก๊าซใช้เวลาเพียง 3 เดือน โดยการลงทุนประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท

ด้านความปลอดภัยในการวางท่อส่งก๊าซได้ออกแบบปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรฐานของปตท.

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 317

โพสต์

กพช.เห็นชอบการลงทุนขยายคลังเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า รองรับปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ในอนาคต
Source - บ้านเมือง (Th), Sunday, June 24, 2012


คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน (LPG Facility) ปตท. ในการดำเนินงานเพิ่มขีดความสามารถกักเก็บและกระจายก๊าซ LPG ให้มีกำลังการนำเข้าสูงสุดรวมกว่า 500,000 ตัน/เดือน รองรับปริมาณการใช้ LPG ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

ประเทศไทยมีปริมาณการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ทั้งจากการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจ และการขยายตัวของจำนวนประชากร ดังนั้นเพื่อให้มีพลังงานเพียงพอกับความต้องการในประเทศ รัฐจึงต้องเพิ่มศักยภาพของระบบคลับและท่าเรือนำเข้า ระบบคลังจ่ายก๊าซ และระบบคลังภูมิภาคเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีมติไปเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ให้ ปตท.ดำเนินการตามขอบเขตการลงทุนที่ได้เห็นชอบ และเสนอหลักเกณฑ์การคำนวณผลการตอบแทนการลงทุน LPG Facility ให้ กพช.พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง ก่อนที่จะดำเนินการลงทุนโครงการต่อๆ ไป

ทั้งนี้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน เพื่อพิจารณาและเห็นชอบในหลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน (LPG Facility) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่ง ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการขยายระบบคลัง ท่าเรือนำเข้า และระบบคลังจ่ายก๊าซ LPG แบ่งการลงทุนออกได้เป็น 2 ระยะคือ

ระยะที่ 1 ขยายระบบคลังและท่าเรือที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เขาบ่อยา มีกำลังนำเข้าก๊าซสูงสุด 250,000 ตัน/เดือน และบ้านโรงโป๊ะ สามารถจ่าย LPG ได้ 276,000 ตัน/เดือน รวมถึงการขยายคลังภูมิภาค โดยมีเงินลงทุนประมาณ 20,954 ล้านบาท และระยะที่ 2 เป็นการสร้างคลังและท่าเรือนำเข้าแห่งใหม่ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 27,645 ล้านบาท มีกำลังนำเข้าก๊าซสูงสุด 250,000 ตัน/เดือน

ทั้งนี้ผลตอบแทนการลงทุนได้ตั้งสมมุติฐานที่ใช้ในการประเมินผลตอบแทนการลงทุนระยะที่ 1 เท่ากับต้นทุน ถัวเฉลี่ยของเงินทุน (WACC) ของ ปตท. โดยมีระยะเวลาโครงการ 40 ปี ทั้งนี้ ในส่วนของการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานนั้น กพช.ได้มีมติมอบให้ กบง.ไปพิจารณาอัตราที่เหมาะสมต่อไป ส่วนแนวทางการ การเรียกเก็บผลตอบแทนการลงทุนนั้น ก็ได้มอบหมายให้ กบง.รับไปพิจารณาวิธีการจ่ายผลตอบแทนการลงทุนต่อไปเช่นกัน

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 318

โพสต์

กฟผ.ทุ่มหมื่นล.ดอลล์ลงทุนผลิตไฟฟ้า'พม่า'
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, June 25, 2012


เล็งนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้ำติดตั้ง กระตุ้นโครงกำรคืบหน้ำ เน้นผลิตไฟป้อนเมืองย่ำงกุ้งเป็นหลัก

กฟผ. หวังอานิสงส์พม่าเปิดประเทศ เร่งเดินหน้า 2 โครงการผลิตไฟฟ้า ฮัดจี-มายตง กำลังผลิต 7,600 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุน 10,500 ล้านดอลลาร์ คาดได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้

นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากการหารือกับกระทรวงไฟฟ้าของประเทศพม่า เมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวกับการลงทุนโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้า 2 แห่ง ประกอบด้วย โครงการฮัดจี และโครงการมายตง ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาโครงการ และรัฐบาลพม่ามีความประสงค์ จะทำให้โครงการเดินหน้าโดยเร็ว

"โครงการหยุดเดินหน้า เพราะปัญหาการสู้รบของชนกลุ่มน้อย และปัญหาการต่อต้านจากฝั่งไทยเอง แต่หลังจากรัฐบาลพม่า เริ่มมี นโยบายเปิดประเทศเพื่อรับการลงทุนจาก ต่างประเทศแล้ว จึงเป็นโอกาสที่จะทำให้สามารถเดินหน้าโครงการผลิตไฟฟ้าทั้ง 2 โครงการได้เร็วขึ้น เพื่อประโยชน์ของ สองประเทศ" นายอารักษ์ กล่าว

นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า การลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศพม่านั้น โครงการแรกที่ ขายไฟฟ้าเข้ามาใน ไทยและมีความชัดเจนมากที่สุด คือ โครงการฮัดจี กำลังผลิต 600 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านดอลลาร์ โดย กฟผ.อินเตอร์ฯ ถือหุ้น 36% ขณะที่โครงการมีความคืบหน้าไปมาก หลังจากความไม่สงบในพื้นที่ลดลง และสามารถลงนามบันทึกความเข้าใจในการรับซื้อไฟฟ้า Tariff MOU ได้ แต่ช่วงปี 2552 มีการประท้วงโครงการดังกล่าว ทำให้รัฐบาลขณะนั้น ตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบ ส่งผลให้โครงการต้องใช้เวลามากขึ้น และ ไม่สามารถลงนามซื้อขายไฟฟ้าได้

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะจ่ายไฟฟ้ามายังฝั่งไทยประมาณ 90% ส่วนที่เหลือ 10% จ่ายในพม่า ซึ่งพื้นที่ตั้งเป็นพื้นที่นอกเมืองของพม่าที่ยังไม่มีความต้องการไฟฟ้ามากนัก แต่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทย เพื่อมารองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำที่มีต้นทุนต่ำกว่า เชื้อเพลิงอื่น

สำหรับโครงการมายตง ซึ่งตั้งอยู่ในลุ่มน้ำสาละวินตอนบน กำลังผลิต 7,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจีน พม่า และ กฟผ.อินเตอร์ฯ ร่วมทุน ฝ่ายละ 30% มูลค่าโครงการ 9,000 ล้านดอลลาร์ โดยโครงการนี้ยังต้องใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่และศึกษาความเป็นไปได้อีกสักระยะหนึ่ง แต่เป็นโครงการที่น่าสนใจที่ไทยควรต้องเร่งเจรจา เพื่อผลิตไฟฟ้าซึ่งมีต้นทุนต่ำกลับมาฝั่งไทย ซึ่งเมื่อรวมทั้งสองโครงการมีมูลค่า 10,500 ล้านดอลลาร์

นายสุทัศน์ กล่าวอีกว่า โครงการติดตั้งกำลังผลิตไฟฟ้าให้กับพม่าระยะเร่งด่วนนั้น ขณะนี้พม่าและบริษัท กฟผ.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เจรจาคืบหน้าไปมาก คาดได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ โดยจะนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากเขตหนองจอก และ เขตลาดกระบังไปติดตั้ง สำหรับรูปแบบการลงทุนนั้นจะเป็นลักษณะโรงไฟฟ้าเอกชน หรือ ไอพีพี ลงทุนโดย กฟผ.อินเตอร์ฯและขายไฟฟ้าให้พม่าราคาที่เป็นธรรม เพราะเป็นโครงการช่วยเหลือมากกว่า โดยผลิตไฟ ป้อนไปที่เมืองย่างกุ้งเป็นหลัก เพราะขาดไฟฟ้ามากกว่าเมืองอื่นๆ ส่วนการเข้าไปพัฒนาปิโตรเลียมในพม่านั้น นายอารักษ์ กล่าวว่า ขณะนี้พม่าเปิดพื้นที่ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งบนบกและในทำเล ซึ่งทางบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. สนใจที่จะผลิตปิโตรเลียมเพิ่มเติมในพม่าอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามในการเข้าไปพัฒนาพื้นที่ใหม่นั้น จะต้องสำรวจศักยภาพก่อน เพราะบางพื้นที่ก็ไม่ได้มีศักยภาพมากนัก

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 319

โพสต์

ปตท.จ่อปรับลงทุนปิโตรฯ หากน้ำมันโลกร่วงต่ำ 80 ดอลล์ - 'ไพรินทร์'กำชับผู้บริหารอย่าประมาท
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, June 26, 2012


เผยกำไรปีนี้ต่ำกว่าแสนล้านจากปีก่อน 1.25 แสนล้านขณะเตรียมขายหุ้นกู้หมื่นล้าน ปลายก.ค.นี้

ปตท.เตรียมหั่นประมาณการราคาน้ำมันปีนี้ พร้อมปรับแผนลงทุน 5 ปีหากต่ำกว่า 80 ดอลลาร์/บาร์เรล เผยกลุ่มโรงกลั่นขาดทุนสต็อก รวมถึง ปตท.สผ. ส่งผลกำไรสุทธิปีนี้ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ด้าน "ไพรินทร์" สั่งตัดงบบริหารงานลง 5-10% กำชับผู้บริหารอย่าประมาท

ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนตั้งแต่ต้นปี ทั้งจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางและวิกฤติหนี้ยุโรป ส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้ำมัน เนื่องจากราคาปรับลดลงจากช่วงต้นปี ที่ระดับกว่า 110 ดอลลาร์/บาร์เรล อยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล

นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT กล่าวว่า จากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก เป็นความเสี่ยงหลักที่กระทบต่อผลการดำเนินงานของเครือ ปตท.ในปี 2555

"ปีนี้ปัจจัยภายนอกไม่เอื้อต่อบริษัท ผลการดำเนินงาน อาจไม่สวยหรูเหมือนปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเป็นความเสี่ยงสูงมากกับกลุ่ม ปตท. ทำให้กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันมีขาดทุนจากสต็อกน้ำมันค่อนข้างหนัก ขณะที่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) บริษัทลูก แม้ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์จะเป็นก๊าซธรรมชาติ แต่ก็จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน 6 เดือนย้อนหลัง ทำให้ราคาก๊าซในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้เริ่มไหลลง ภาพรวมช่วงครึ่งปีแรกจึงไม่ดี และห่วงว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะตกลงอีก" นายสุรงค์ กล่าว

เขากล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ ได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 89 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 20 ดอลลาร์ จากต้นปีที่อยู่ระดับ 116 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ตัวเลขผลการดำเนินงานปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ที่จะทำกำไรในระดับ 1 แสนล้านบาทอาจจะยาก จากปี 2554 บริษัท ปตท.มีกำไรสุทธิ 1.25 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันเวสต์เทกซัส ช่วงเปิดตลาดลอนดอนวานนี้ (26 มิ.ย.) อยู่ที่ 78.99 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 0.97 ดอลลาร์

นายสุรงค์กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่ม ปตท.อยู่ระหว่างการปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันลง และปรับแผนงานเพื่อบริหารความเสี่ยง แต่แผนการลงทุนหลัก ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังเดินไปตามแผนลงทุน 5 ปี ยกเว้น หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล อาจจะต้องทบทวนแผนลงทุนใหม่ โดยเฉพาะการลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมที่มีต้นทุนการผลิตสูง เช่น แหล่งทะเลน้ำลึก อาจจะต้องชะลอออกไปก่อน เพราะไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน

"ถ้าน้ำมันลงต่ำกว่า 80 ดอลลาร์/บาร์เรล แผนลงทุนคงต้องปรับใหม่ ดูเรื่องต้นทุน การจัดหาแหล่งเงินทุนว่าจะมาจากไหน เพราะหากสถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรปและเศรษฐกิจโลกไม่ดี คงกระทบทำให้ต้นทุนทางการเงินในระบบเพิ่มขึ้นด้วย" นายสุรงค์กล่าว

ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการ ปตท. เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2554 ได้มีการประเมินทิศทางพลังงาน แนวโน้มเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยอนุมัติแผนการลงทุน 5 ปี พ.ศ. 2555-2559 วงเงินรวม 357,996 ล้านบาท ประกอบด้วย การลงทุนที่ได้รับอนุมัติแล้ว 185,307 ล้านบาท และการลงทุนใหม่ตามโอกาสที่เอื้ออำนวยในอนาคตจำนวน 172,689 ล้านบาท

การลงทุนใหม่ของ ปตท. เป็นการร่วมทุนและลงทุนในบริษัทลูกที่ถือหุ้น 100% เพื่อขยายธุรกิจพลังงานในต่างประเทศ รวมทั้งการขยายความสามารถในการนำเข้าเพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นของบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ระยะที่ 2 และการลงทุนในกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงการหลักประกอบด้วย โครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซบนบก เส้นที่ 4 (ระยอง-แก่งคอย) และโครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซวังน้อย-นครสวรรค์และแก่งคอย-นครราชสีมา

"ไพรินทร์"สั่งตัดงบบริหาร 5-10%

เขากล่าวอีกว่า ในเบื้องต้น นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. ได้สั่งให้ตัดงบบริหารงานปีนี้ลงแล้วประมาณ 5-10% เพื่อลดต้นทุนการบริหารงานลง และยังมีแผนจะปรับโครงสร้างเงินกู้ หรือ รีไฟแนนซ์ ในช่วงดอกเบี้ยขาลง

"แม้โครงสร้างเงินทุนของกลุ่ม ปตท.ค่อนข้างแข็งแกร่ง สามารถที่จะซัพพอร์ตด้านการเงิน หรือ ปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทในเครือกันเองได้ หากสภาพคล่องในตลาดไม่ดี การระมัดระวังทางการเงินหรือเตรียมความพร้อมไว้ก่อน ก็น่าจะปลอดภัยกว่า"

เชื่อน้ำมันลงไม่ถึง 40 ดอลลาร์/บาร์เรล

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ประเมินว่าราคาน้ำมันไม่น่าจะลดลงถึงระดับ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล เหมือนช่วงวิกฤติการเงินในปี 2551 เพราะเมื่อราคาน้ำมันลดลงไปในระดับหนึ่ง บริษัทผู้ผลิตน้ำมันก็ไม่เพิ่มกำลังการผลิต นอกจากนี้ ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกยังเพิ่มขึ้นอยู่ เพียงแต่เพิ่มขึ้นค่อนข้างช้า

"ราคาน้ำมันในตลาดโลก คงไม่ลงแรงเหมือนรอบที่แล้ว แต่คงฟื้นตัวไม่เร็วเช่นเดียวกัน โดยปีนี้กลุ่ม ปตท.ประเมินราคาน้ำมันในกรณีเลวร้ายสุดไว้ที่ระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ปัจจุบันยังอยู่ในระดับ 80-90 ดอลลาร์/บาร์เรล ถือว่าไม่ดี แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายที่สุด"

นายสุรงค์กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานนั้น ต้องระมัดระวังการลงทุน และให้มองภาพการลงทุนระยะยาว โดยหากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในระดับ 1,000 จุด ก็เป็นช่วงที่น่าจะเก็บหุ้นเอาไว้บ้าง เหมือนกับที่โบรกเกอร์หลายแห่งแนะนำให้ทยอยซื้อหากราคาอ่อนตัวลง

"ไพรินทร์"ลั่นบริหารต้องไม่ประมาท

นายไพรินทร์กล่าวว่า ตนได้ให้นโยบายกับผู้บริหาร ปตท. ว่า ในภาวการณ์ปัจจุบัน การบริหารงานต้องไม่อยู่บนความประมาท ต้องมีความระมัดระวัง ส่วนจะปรับแผนการลงทุนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับภาวะตลาด หากตลาดไม่ดี การปรับแผนก็จะเกิดขึ้น แต่สถานการณ์ขณะนี้เป็นเพียงให้เตรียมการรองรับ โดยส่วนตัวเชื่อว่าราคาน้ำมันจะไม่ต่ำกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

"ตอนนี้เพิ่งผ่านไป 5 เดือน ยังมีการเตรียมการได้หลายส่วน ขณะที่ผลประกอบการของ ปตท. จำเป็นต้องรักษากำไรให้ได้ไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งทุกส่วนจะต้องช่วยกัน และเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร ปตท." นายไพรินทร์ กล่าว

ทั้งนี้ในส่วนของการลงทุนแหล่งปิโตรเลียม เป็นหน้าที่ของ ปตท.สผ. ที่จะต้องพิจารณาว่าจะปรับแผนการลงทุนหรือไม่ อย่างไร ไม่ใช่หน้าที่ของ ปตท. ที่จะบอกว่าชะลอการลงทุนหรือขยายการลงทุน

ปตท.ขายหุ้นกู้ 7 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 4.32%

ขณะเดียวกัน บริษัท ปตท. แจ้งสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า บริษัทได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท อายุ 7 ปี โดยแบ่งเป็นช่วงปีที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ย 4.10% และปีที่ 5-7 อัตราดอกเบี้ย 5.10% หรืออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 4.32%

บริษัทระบุว่า จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนที่เป็นประชาชนทั่วไประหว่างวันที่ 24-25 และ 27 ก.ค.นี้ ส่วนผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ครั้งนี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารธนชาต ขณะที่บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ไว้ ที่ระดับ AAA

บริษัทจะนำเงินที่ได้ ไปใช้รีไฟแนนซ์เงินกู้เดิม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน พันธบัตรรัฐบาลอายุ 7 ปี อัตราผลตอบแทน 3.54% ขณะที่หุ้นกู้อายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป อันดับความน่าเชื่อระดับ AAA ซื้อขายในตลาดรองโดยบวกส่วนต่างจากพันธบัตรรัฐบาล อีก 0.74%

ราคาหุ้น PTT ปิดตลาดวานนี้ (25 มิ.ย.) ลดลง 4 บาท หรือ 1.27% อยู่ที่ 310 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,163.9 ล้านบาท

ปตท.สผ.ปลื้มขายหุ้นกู้เกลี้ยง

ด้านนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP กล่าวว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนมูลค่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งเสนอขายเมื่อวันที่ 11-14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อย โดยหุ้นกู้นี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AA โดยทริสเรทติ้ง

หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนนี้ เป็นหุ้นกู้ระยะยาวที่ไม่มีกำหนดชำระคืนเงินต้น โดยจะชำระคืนเงินต้นเพียงครั้งเดียว เมื่อเลิกกิจการ หรือเมื่อบริษัทใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด ซึ่งหุ้นกู้นี้ ผสมผสานคุณลักษณะสำคัญบางประการของตราสารประเภททุนเข้าไป เพื่อให้หุ้นกู้ได้รับเครดิตตราสารทุน จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น การให้สิทธิแก่บริษัทเลื่อนชำระดอกเบี้ยได้ตามดุลยพินิจ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการการเงิน กรณีที่บริษัทใช้สิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ย บริษัทต้องสะสมดอกเบี้ยค้างชำระไว้ทั้งจำนวน และในระหว่างที่เลื่อนชำระดอกเบี้ย บริษัทจะไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้

ปตท.สผ.ขยายเวลารับซื้อหุ้นโคฟ

นายเทวินทร์ ยังแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ปตท.สผ.ได้ส่งเอกสารระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหุ้น (Offer Document) ในบริษัท Cove Energy Plc. (Cove) เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2555 โดยบริษัท PTTEP Africa Investment Limited หรือ PTTEP AI (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ.)

เอกสารทำคำเสนอซื้อ ได้ระบุข้อกำหนด เงื่อนไขของการทำคำเสนอซื้อหุ้น และขั้นตอนการตอบรับคำเสนอซื้อหุ้น โดยการตอบรับ คำเสนอซื้อหุ้นมีกำหนดสิ้นสุดวันที่ 22 มิ.ย. 2555

ทั้งนี้ ปตท.สผ.ได้ขยายระยะเวลาการ ตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นไปจนถึงวันที่ 6 ก.ค. 2555 เวลา 13.00 น. ตามเวลาในอังกฤษ โดยข้อกำหนด และเงื่อนไขของการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด ยังคงเป็นไปตามที่ได้ระบุเอกสารคำเสนอซื้อหุ้น

ราคาหุ้น PTTEP ปิดตลาดวานนี้ (25 มิ.ย.) ลดลง 1.50 บาท หรือ 0.89% อยู่ที่ 167 บาท มูลค่าการซื้อขาย 173.76 ล้านบาท


ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 320

โพสต์

ซีพี-ปตท.ดันลงทุนกินี
Source - เดลินิวส์ (Th), Tuesday, June 26, 2012


นางสาววาสนา มุทุตานนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวในงานสัมมนา "กินี-ไทย บิซิเนส ฟอรั่ม"ว่า มีผู้ประกอบการไทยหลายรายที่สนใจเข้าไปลงทุนในกินี เช่น กลุ่ม ปตท. เครือเจริญโภคภัณฑ์ รวมทั้งบริษัทก่อสร้างและอัญมณี โดยบีโอไอเห็นว่าธุรกิจอัญมณี เหมืองแร่ น้ำมัน และแปรรูปเกษตรจะเป็น กลุ่มที่โดดเด่นมาก

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สผ.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.สผ.ยังไม่ได้เข้าไปลงทุนสำรวจปิโตรเลียมในกินี แต่หากพื้นที่ใดที่มีศักยภาพก็พร้อมที่จะไปลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ โดย ปตท.สผ.เข้าไปดูพื้นที่ในทวีปแอฟริกาหลายประเทศแล้ว

นายอัลฟ่า กอนเด ประธานาธิบดีสาธารณรัฐกินี กล่าวว่า ปัจจุบันกินีมีทรัพยากรมากแต่การพัฒนายังล้าหลังเพราะมีรัฐบาลเผด็จการทหารมานานและเพิ่งมีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง โดยที่ผ่านมาจีนและบราซิลเข้าไปลงทุนในกินีแต่รัฐบาลกินีพร้อมทำงานร่วมกับทุกประเทศไม่จำกัดเฉพาะประเทศใหญ่ และต้องการเชิญนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนอุตสาหกรรมและเกษตรในกินี.

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 321

โพสต์

ชงกฟผ.ลงทุน 1.2 หมื่นล้าน [ เดลินิวส์, 26 มิ.ย. 55 ]

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการประชุมครม.วันที่ 26 มิ.ย.นี้ กระทรวง
พลังงานจะเสนอให้ที่ประชุมเห็นชอบโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น
เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าฝ่าย
ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงินลงทุนรวม 12,026 ล้านบาท ซึ่งเป็นการรับซื้อไฟฟ้าจาก
โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีทั้ง 7 หน่วย เฉลี่ยปีละประมาณ 5,709 ล้านหน่วย และมีกำหนด
จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ครบทุกหน่วยในวันที่ 1 ม.ค.62 --จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 322

โพสต์

เปิดแผนพลังงาน2ล้านล.พม่าอนุมัติไทยเจาะแหล่งก๊าซ-โรงไฟฟ้า
Source - ประชาชาติธุรกิจ (Th), Wednesday, June 27, 2012


"อารักษ์" กางนโยบายจัดระเบียบพลังงานหนุนแผนลงทุนรัฐและเอกชนกว่า 2 ล้านล้านบาท กระตุ้น ปตท.เร่งขยายเทอร์มินอลคลังแก๊สเขาบ่อยาเฟส 2 พม่าไฟเขียว 2 ส่วน เปิดทาง "ปตท.สผ." ลุยขุดเจาะแหล่งก๊าซใหม่ในเนย์ปิดอว์ 1.5 หมื่น ตร.กม. และ "กฟผ." ได้โปรเจ็กต์ลงทุน 1 หมื่นล้านดอลล์ ผลิตไฟฟ้าฮัดจี-มายตง 7,600 เมกะวัตต์ ปัดฝุ่นโครงการในประเทศ รื้อบัตรพลังงานยึด "แคปิตอล โอเค" เป็นต้นแบบความสำเร็จ และปรับใหญ่โครงสร้างแก๊สแอลพีจี

นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นโยบายขับเคลื่อนด้าน พลังงานทั้งระบบของประเทศช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อมโยงเข้ากับการปรับปรุงแผนพลังงานแห่งชาติครั้งที่ 3 (PDP 2010) ผูกพันกับการลงทุนมูลค่า 5 ปีข้างหน้า ของทั้งภาครัฐและเอกชนไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท เฉพาะรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน 3 กลุ่มหลัก กลุ่มแรก น้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของเครือ ปตท. ตามแผนระยะยาวจะลงทุนต่อเนื่อง ปี 2555-2559 เกือบ 1 ล้านบาท และล่าสุด คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ยังอนุมัติให้ศึกษาการลงทุนขยายเทอร์มินอลเฟส 2 คลังก๊าซ เขาบ่อยา อำเภอศรีราชา เพื่อเชื่อมโยง โลจิสติกส์นำเข้าและส่งออกเชื้อเพลิง โครงการนี้เมื่อศึกษาแล้วพร้อมลงทุนจะต้องใช้เงินอีกหลายแสนล้านบาท

กลุ่มสอง พลังงานไฟฟ้า ตามแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงรอบ 3 เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้แก้ไขปัญหาระยะสั้นด้านความมั่นคงทางพลังงานช่วงปี 2554-2562 เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าค่าพยากรณ์เดิม และแนวโน้มจะสูงต่อเนื่อง รวมถึงผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ก่อสร้างล่าช้า แต่มีความจำเป็นจะต้องลงทุน รวมอีกนับล้านล้านบาทเช่นกัน โดย ทั้งปรับเพิ่มและลดโรงไฟฟ้าบางประเภท เช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ยังต้องบรรจุไว้ในแผนแต่ลดจำนวนลงเหลือเพียง 2 โรง กำลังการผลิตรวม 2,000 เมกะวัตต์ จากเดิม 4 โรง 4,000 เมกะวัตต์ และปรับเพิ่มพลังงานอื่นเข้ามาเสริมอีกทาง

กลุ่มสาม พลังงานทดแทน ภายใน 10 ปี เพิ่มสัดส่วน 25% จากเป้าหมายเดิมตั้งไว้เพียง 20% ปัจจุบันการลงทุนของบริษัทต่าง ๆ ที่สนใจเข้ามาพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า (solar cell) มากที่สุด มูลค่าการลงทุนที่ กำลังทยอยดำเนินการอยู่ขณะนี้ รวม ทั่วประเทศกำหนดไว้กว่า 2,800 เมกะวัตต์ ใช้เงินมหาศาล รวมทุกโครงการแล้วเกือบ แสนล้านบาท

"ปัจจุบันประเทศต้องนำเข้าวัตถุดิบ เชื้อเพลิงปีละกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ทั้งที่ไทยสามารถผลิตก๊าซจากอ่าวไทยได้ แต่ก็ต้องนำเข้าเพิ่มถึง 40% แต่ราคาขาย เชื้อเพลิงพลังงานบางชนิดกลับต้องนำเงินเข้าไปอุดหนุนมาตลอดอย่างแก๊ส ส่วนดีเซล เพิ่งจะปล่อยลอยตัวเมื่อไม่นานนี้ และ ความต้องการใช้ไฟฟ้าก็เพิ่มสูงขึ้น หากสูงเหมือนเดือนเมษายน 2555 เกิน 26,000 เมกะวัตต์/วัน อนาคตอาจจะเพิ่มมากกว่านี้ก็ได้ จึงต้องเตรียมรับสถานการณ์เพราะมีผลต่อความมั่นคงทางพลังงาน จากปัจจุบันโรงไฟฟ้าทั่วโลกใช้วัตถุดิบแก๊ส 70% ถ่านหิน 20% พลังน้ำ 10% ส่วนไทยมีแนวทางชัดเจนในอนาคต มุ่งทำโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นวัตถุดิบ เพราะปริมาณยังมีเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก มีอายุ นาน ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าวัตถุดิบชนิดอื่น"

ล่าสุด รัฐบาลไทยกับพม่าได้ตกลงร่วมกัน เรื่องการเป็นภาคีพันธมิตรขุดเจาะหาแหล่งเชื้อเพลิงธรรมชาติร่วมกัน เมื่อเดือนมิถุนายนรัฐบาลพม่าอนุมัติให้ไทยสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติในเนย์ปิดอว์ เมืองหลวงพม่า รัศมีพื้นที่ขุดเจาะได้ 15,000 ตร.กม. โดยได้ส่งบริษัท ปตท.สผ.จำกัด (มหาชน) เข้าไปดำเนินการบ้างแล้ว ส่วนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับสิทธิ์จากพม่าให้เข้าไปพัฒนาการลงทุนกว่า 10,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 3 แสนล้านบาท) เพื่อผลิตไฟฟ้า 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 7,600 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการ ฮัดจี และมายตง อยู่ในแถบลุ่มน้ำสาละวิน

รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานกล่าวว่า สำหรับโครงการเดินหน้านำก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาขึ้นมาใช้ประโยชน์ร่วมกันนั้น ข้อตกลงร่วมมือความเข้าใจเบื้องต้น (MOU) ที่เคยทำไว้ เดิมยังอยู่ปกติ และรัฐบาลกัมพูชาโดย นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีพร้อมจะให้ไทยเข้าไปดำเนินการ เพียงแต่ตอนนี้หาก จะเริ่มทำได้ทั้ง 2 ประเทศต้องกำหนด ส่วนแบ่งผลประโยชน์อย่างชัดเจน โดยจะ ต้องเร่งดำเนินการ เพราะหากไทยช้า ขณะนี้ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี พร้อมที่จะเข้าไปร่วมลงทุนกับกัมพูชา เพื่อนำก๊าซดังกล่าวขึ้นมาใช้ในช่วงที่ทั่วโลกกำลังขาดแคลน

นายอารักษ์กล่าวว่า นอกจากผลักดันและสนับสนุนแผนลงทุนขยายโครงการทางพลังงานแล้ว ภายในปีนี้ต้องเร่งทำโครงการกระตุ้นผู้ใช้พลังงานในประเทศใช้อย่างมีประสิทธิภาพทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคขนส่งกำลังทำเต็มที่เรื่องจัดระเบียบปรับปรุงบัตรเครดิตพลังงานใหม่ โดยจะนำต้นแบบของบัตรเครดิตแคปิตอล โอเคเป็นโมเดล เพราะมีประสบการณ์และทำจนสำเร็จมาแล้ว ส่วนวิธีการ ตั้งแต่เดือน กรกฎาคมนี้เป็นต้นไปจะกำหนดเงื่อนไข คุณสมบัติ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย จะกระจายให้ผู้มีสิทธิ์สมัครเป็นกลุ่มผู้ขับขี่ รถสาธารณะทุกประเภท ตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์ รถตู้ รถแท็กซี่

ส่วนสถานีบริการเติมน้ำมัน เชื้อเพลิงจะดึงผู้ขายทุกแบรนด์เข้ามาร่วม เพื่อความสะดวกของผู้ใช้ เพิ่มช่องทางการชำระเงิน โดยวงเงินที่จะให้ใช้ก็ตาม ความจำเป็นจริง และให้สิทธิประโยชน์ที่ ผู้ถือบัตรต้องการใช้จริง ๆ สร้างแรงจูงใจด้วยรางวัลหรือสิทธิพิเศษ (incentive) เช่น ผู้ที่ชำระเงินคืนตรงเวลา จะให้ยืมเครดิตล่วงหน้าของเดือนต่อไปได้ แตกต่างจากก่อนหน้าให้สิทธิ์เฉพาะรถแท็กซี่และเติมน้ำมันได้กับปัม ปตท.เท่านั้น ทำให้ไม่ได้รับความสนใจและไม่ประสบความสำเร็จตามนโยบายของรัฐบาทที่ต้องการจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้มี รายได้น้อยอย่างจริงจัง

จากนั้นก็จะหันไปปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยลอยตัวราคาขึ้นแบบขั้นบันได กลุ่ม เป้าหมายหลักคือแก๊สแอลพีจี ซึ่งใช้สำหรับ หุงต้มแต่นำมาใช้ภาคขนส่ง ซึ่งรัฐ ต้องแบกรับภาระโดยนำเงินกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงมาอุดหนุนจนติดลบอยู่กว่า 20,000 ล้านบาท แถมยังเป็นการอุ้มผู้ใช้กลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนจริง ถึงเวลาที่กระทรวงจึงต้องทำโครงสร้างราคาขายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริงภายในสิ้นปีนี้ เพื่อทำให้กองทุนกลับมามีสภาพเป็นบวกปกติ

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดทำแผนลงทุนระยะยาว 5 ปี ของกลุ่ม ปตท. โดยรวมทั้งหมดระหว่างปี 2555-2559 ประมาณ 9 แสนล้านบาท โดยเฉพาะ ปตท.สผ.ต้องใช้ถึง 3.6 แสนล้านบาท ในการแสวงหาแหล่งพลังงานมาเพิ่มเติมให้กับประเทศ พร้อมกับตั้งเป้าหมายการจัดหาพลังงานนับจากวันนี้ไปจนถึงสิ้นสุดปี 2563 ปตท.จะต้องจัดหามาให้ได้ถึง 50% ของความต้องการใช้พลังงานทั้งประเทศ แบ่งเป็น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 9 แสนบาร์เรล/วัน ถ่านหินและพลังงานทดแทน 5.51 แสนบาร์เรล/วัน

ด้านนายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้อนุมัติจากคณะกรรมการ กฟผ. ตามแผนการปรับปรุงระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าปี 2555-2557 เพื่อใช้เงินลงทุน 10,000 ล้านบาท ดำเนินการ 3 เรื่อง ได้แก่ เพิ่มประสิทธิภาพสายส่งไฟฟ้า รองรับการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่เข้าระบบของ กฟผ. สอดคล้องกับแผน PDP 2010 กำหนดสัดส่วนให้รับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านไม่เกิน 25% โดยรัฐบาลไทยกับลาวทำเอ็มโอยู ขายไฟให้ไทยเพิ่มภายใน ปี 2558 เป็น 7,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 3,000 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ กฟผ.ได้จัดทำแผน 5 ปี ระหว่าง 2555-2559 จะใช้เงินลงทุนรวม 449,573 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2555 จำนวน 88,635 ล้านบาท โดยมีแผนใช้เงิน 20,000 ล้านบาท ก่อสร้างโครงการก่อสร้างกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง จ.นครราชสีมา ระยะที่ 2 การปรับปรุงและซ่อมแซมระบบสายส่ง และลงทุนอีก 40,000 ล้านบาท พัฒนาไฟฟ้าจะนะ ชุด 2 กับโรงไฟฟ้าวังน้อยชุด 4 จากนั้นปี 2556 จะลงทุน 104,094 ล้านบาท ปี 2557 ลงทุน 117,310 ล้านบาท ปี 2559 ลงทุน 139,534 ล้านบาท ภายใต้การ เป้าหมาย 5 ปี จนถึงปี 2559 จะมีกำไรเฉลี่ย ปีละ 49,603 ล้านบาท

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 323

โพสต์

COVEราคาเดือด
Source - ข่าวหุ้น (Th), Wednesday, June 27, 2012
กรุงเทพฯ--27 มิ.ย.--ข่าวหุ้น


COVEราคาเดือด วิ่งแตะ265เพนซ์ เกินPTTEPเสนอ

COVE ราคาหุ้นพุ่งกระฉูด 265.50 เพนซ์ สูงกว่าราคาเสนอซื้อ PTTEP ไปแล้ว 10% และมากกว่าเชลล์ยื่น 20% วงการเงินชี้หาก PTTEP ชนะประมูล ยิ่งสร้างความแกร่งขึ้นมหาศาล สื่อนอกระบุผู้ถือหุ้นโคฟมั่นใจเชลล์เพิ่มวงเงินสู้!

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวกรณีการยื่นคำเสนอซื้อหุ้น COVE ENERGY โดยล่าสุด หลังจากทางบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และ บริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ แสดงความสนใจเข้าซื้อหุ้น ได้เกิดแรงผลักดันราคาหุ้น COVE ENERGY ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 265.50 เพนซ์

ดังนั้น ราคาหุ้น COVE ENERGY ในปัจจุบันจึงถือว่า มีอัตราสูงกว่าที่ระดับ PTTEP ประกาศทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดครั้งล่าสุดในอัตรา 240 เพนซ์ถึง 10% และเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่รอยัล ดัทช์ เชลล์ เสนอราคาซื้ออย่างเป็นทางการที่ระดับ 220 เพนซ์ ไปแล้วมากกว่า 20%

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า หาก PTTEP ชนะการประมูลจะนับว่าเป็นก้าวสาคัญที่บริษัทจะสามารถเข้าถึงแหล่งพลังงานในแถบแอฟริกาตะวันออก ซึ่งมีศักยภาพทางไฮโดรคาร์บอนระดับสูง และเป็นแหล่งก๊าซ LNG ขนาดใหญ่ อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ ของ PTTEP ที่ต้องการมีกำลังการผลิตที่ 900,000 บาร์เรลต่อวัน ภายในปี 2563

สำหรับการประกาศคำเสนอครั้งนี้ จะมีอัตราส่วน Enterprise Value/Recoverable resources ประมาณ 0.41-0.86 ดอลลาร์สหรัฐต่อ พันลูกบาศก์ฟุต โดยคำนวณจากปริมาณสารองของก๊าซธรรมชาติในแปลงสัมปทาน Rovuma Offshore Area 1 ประมาณ 24 – 50 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต

ส่วนประเด็นแหล่งเงินทุน ถ้าหากทาง PTTEP ชนะการประมูลในราคา 240 เพนซ์ จะต้องชำระเงินทั้งหมด 1.22 พันล้านปอนด์ หรือตกประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะนำมาจากเงินสดคงเหลือ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวงเงินสินเชื่อที่มีในปัจจุบัน ดังนั้น ในระยะสั้นมีความเป็นไปได้ว่า จะเกิดการจัดหาเงินทุนในรูปแบบต่างๆเพิ่มเติม เช่น การออกหุ้นกู้ไร้อายุ หรือแม้กระทั่งการเพิ่มทุน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในระยะสั้นประเด็นการเพิ่มทุน และราคาน้ามันดิบที่ผันผวนเข้ามากดดันราคาหุ้น แต่เชื่อว่า จากผลประกอบการพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และเป็นบริษัทที่มีความพร้อมต่อการเติบโตระยะยาว จึงยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมาย 203 บาท ประมาณการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 55,266 ล้านบาท เติบโตขึ้น 17% จากปีก่อนที่ได้กำไร 44,748 ล้านบาท

ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ปัจจุบันทางผู้ถือหุ้นโคฟกำลังคาดการณ์ว่ากลุ่มเชลล์ จะเพิ่มวงเงินซื้อ COVE ENERGY ในราคาที่สูงขึ้น ส่วนทางฝั่ง PTTEP ที่ประกาศขยายเวลารับคำเสนอซื้อหุ้นออกไปถึง 6 ก.ค. เนื่องจากผู้ถือหุ้น COVE ENERGY เพียง 0.25% เท่านั้น ที่ยอมรับข้อเสนอ

ด้านแอน-โซฟี ดี แอนลัว ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทกองทุนบริหารความเสี่ยง ซีไอเอเอ็ม ในปารีส และเป็นผู้ถือหุ้นในโคฟ กล่าวว่า การค้นพบก๊าซเมื่อเร็วๆ นี้ได้เพิ่มมูลค่าธุรกิจเป็น 300 เพนซ์ รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่เชลล์กำลังจะกลับมาเพิ่มราคาอีกครั้ง ส่วนผู้ถือหุ้นอีกรายหนึ่ง กล่าวว่า จะยังคงรอการยื่นซื้ออีกต่อไป เพราะยังไม่เห็นการยื่นเสนอซื้อในขั้นสุดท้ายจากทั้งสองฝ่าย ประกอบกับทางผู้เสนอซื้อทั้งสองรายยังสามารถจ่ายเพิ่มได้มากกว่านี้ได้อีก

ส่วนออสวาลด์ คลินต์ นักวิเคราะห์บริษัทเบิร์นสไตน์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่คิดว่าข้อเสนอ PTTEP จะเพียงพอทำให้เชลล์ถอนตัวไปได้ จึงน่าจะมีการเคลื่อนไหวจากทางเชลล์กลับเข้ามาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทางนักวิเคราะห์บางแห่งได้เตือนว่า การที่เชลล์ได้วางกลยุทธ์ในการสร้างโพสิชั่นขนาดใหญ่ที่แอฟริกาตะวันออก อาจกลายเป็นสิ่งขัดขวางเชลล์ไม่ให้จ่ายเงินเพิ่มแก่โคฟได้เช่นกัน

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 324

โพสต์

สงครามชิงแก๊สระดับโลกของ PTTEP
Source - ข่าวหุ้น (Th), Thursday, June 28, 2012
กรุงเทพฯ--28 มิ.ย.--ข่าวหุ้น



เรื่องราวการต่อสู้ของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ในการแย่งซิ้กิจการบรืษัทสำรวจและขุดเจาะแก๊สธรรมชาติในแอฟริกาตะวันออกที่ชื่อ Cove Energy ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นของลอนดอน อังกฤษนั้น ค่อนข้างไม่ปะติดปะต่อเอาเสียเลยในเมืองไทย ทั้งที่มีความหมายทางยุทธศาสตร์พลังงานของไทยเป็นอย่างมาก

สงครามแย่งชิงบริษัทพลังงานในเวทีโลกเช่นนี้ เป็นมากกว่าการเทคโอเวอร์กิจการฉันปรปักษ์ธรรมดา แต่มันมีความหมายทั้งด้านภาพลักษณ์ธุรกิจ ภาพลักษณ์ของประเทศ และอนาคตของพลังงานในเมืองไทยอย่างลึกซึ้งโดยผ่านบริษัทพลังงานคือ PTTEP ที่เป็นกองหน้าของการต่อสู้

กรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากเริ่มต้นหลังจากวันหยุดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปีที่ผ่านมาสิ้นสุดลง วันแรกที่เริ่มเปิดทำการคือ 4 มกราคม 2555 บริษัท Cove Energy หรือ COVก็แจ่งต่อตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน และลงประกาศโดยเปิดเผยว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทต้องการขายกิจการออกจากมือทั้งหมดให้กับผู้ที่สนใจจากทั่วโลก

แม้จะไม่ใช่บริษัทพลังงานเก่าแก่มีชื่อเสียงก้องไกลทั่วโลก และไม่ใช่บริษัทพลังงานขนาดใหญ่ แต่ COV ซึ่งก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2546 หรือเมื่อ 9 ปีที่ผ่านมานี้เอง ก็เป็นเจ้าของสัมปทานแหล่งสำรวจขุดเจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติหลายประเทศทั้งแผ่นดิน(ออนชอร์) และนอกชายฝั่งทวีป(ออฟชอร์)ในแถบแอฟริกาหลายประเทศพร้อมกัน ถึง 15 แปลง ในประเทศ โมซัมบิก ( 7 แปลงที่พบแล้ว และอีก 1 แปลงที่ยังสำรวจอยู่) แทนซาเนีย( 1 แปลง) และเคนย่า( 7 แปลง)

ที่สำคัญ แหล่งใหกญ่ที่สุดในประเทศโมซัมบิกคือ Rovuma Offshore ซึ่งคาดว่าจะมีแก๊สธรรมชาติมากที่สุดในชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกมากถึง 30 ล้านล้านคิวบิกฟุต (ต่อมามีการประกาศพบเพิ่มอีกประมาณ 8 ล้านล้านคิวบิกฟุต) ซึ่งมากกว่าปริมาณสำรองของไทยหลายเท่าทีเดียว โดยที่ถือสิทธิ สัมปทานในแปลงดังกล่าว 8.5% ในขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่คือ มิตซุยของญี่ปุ่น และรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลโมซัมบิก

วันที่ประกาศขายหุ้นนั้น ราคาหุ้นในตลาดของ COV อยู่ที่แค่ 122 เพนซ์(ชื่อเรียกใหม่ของเงินเพนนีอังกฤษ หลังจากที่การปรับเปลี่ยนค่าเงินใหม่จาก 240 เพนนีต่อปอน์ด์สเตอร์ลบิง มาเป็น 100 เพนนีต่อปอนด์สเตอร์ลิง ให้สอดคล้องกับระบบเมตริก เพื่อสะดวกกับการคำนวณนับ)

การตัดสินใจขายหุ้นทิ้งของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ COV เกิดจากโครงสร้างของผื้ถอหุ้นเผ็นสำคัญ เนื่องจาก 70% ของผู้ถือหุ้นประกอบด้วยกลุ่มกองทุนเฮดจฟันด์ที่เก็งกำไร ซึ่งต้องการส่วนต่างของราคาหุ้นที่อยู่ในตลาดมากกว่ารายได้หลักจากการซื้อขายพลังงาน ต้องการจะขายทำกำไรจากราคาหุ้น ด้วยการประมูลขายหุ้นให้กับผู้สนใจที่จะให้ราคาหุ้นดีที่สุด

หลังจากการประกาศดังกล่าว มีผู้สนใจเข้าแสดงความจำนงหลายราย โดยเริ่มต้นเสนอราคาเป้าหมายแค่ 144 เพนซ์ ซึ่งในจำนวนนั้นมี PTTEP ของไทยรวมอยู่ด้วย

การเข้าร่วมประมูลซื้อกิจการในต่างประเทศจาก COV นี้ ถือว่าเป็นกรณีแปลกใหม่ล่าสุดของ PTTEP ที่โดยปกติจะเข้าไปเจรจาสู้สัมปทานจากประเทศต่างๆมากกว่าการเข้าสู่วิศวกรรมการเงินผ่านการประมูลซื้อกิจการ จึงถือเป็นการประเดิมเริ่มแรกของการต่อสู้ในแนวใหม่อย่างแท้จริง

ท้ายสุดหลังจากการต่อรองหลายเดือน ก็ปรากฏว่าเมื่อถึงเดือนเมษายน ก็เหลือผู้ที่เป็นคู่แข่ง 2 รายสุดท้าย คือ รอแยล ดัตช์ เชลล์ ของฮอลแลนด์/อังกฤษ (RDS หรือเชลล์ที่คนไทยเรียกอย่างคุ้นเคย) อันเป็นบริษัทข้ามชาติเก่าแก่ระดับโลก กับ PTTEP

ยักษ์ใหญ่จ้าวโลกเก่าอย่าง RDS กับยักษ์เล็กจากไทย PTTEP แม้จะดูไม่สมสักดิ์ศรีของการต่อสู้เอาเสียเลยเพราะแบกน้ำหนักเยอะเกินไป แต่ดูเหมือนว่า ทั้งสองต่างเอาเป็นเอาตายกับการต่อสู้มากทีเดียว

ระหว่างที่มีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงCOV นั้น ราคาหุ้นวิ่งขึ้นต่อเนื่อง สมใจบรรดาผู้ถือหุน้ใหญ่ของ COV ที่เป็นกองทุนเก็งกำไรอย่างยิ่ง เพราะยิ่งมีการต่อสู้แย่งชินฉันปรปักษ์มากเท่าใด ราคาก็จะยิ่งวิ่งึข้นไปมากเท่านั้น จนกระทั่งล่าสุด เกิน 260 เพนซ์เข้าไปแล้ว(ดูตารางประกอบ) แถมบรรดาโบรกเกอร์ในลอนดอนก็พากันช่วยกระตุ้นโดยบอกว่า มีโอกาสที่ราคาประมูลอาจจะสูงถึงระดับ 300 เพนซ์ด้วยซ้ำไป

เรียกได้ว่า ช่วยกันปั่นราคาสนุกไปเลย

หากมองโดยข้อเท็จจริง ฐ,นะทางการเงินของ COV นั้น แม้จะมีขนาดเล็กในด้านสันทรัพย์ และอยู่ในธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงในด้านสไรวจและขุดเจาะพลังงาน แต่งบการเงินของบริษัทก็ไม่ได้ขี้เหร่มากนัก มีทรัพย์สินเมื่อสินปี้ 2554ประมาณ 279 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หนี้สินค่อนข้างต่ำมากเพียงแค่ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และแม้จะดำเนินงานขาดทุน ก็ยังตัวเลขขาดทุนสะสมต่ำมากเช่นกันคือแค่ 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังมีส่วนของผู้ถือหุ้นเหลือเฟือเมื่อคิดจากอายุและแปลงสัมปทานที่มีอยู่ในกำมือ

การตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ ซึ่งเจ้าของเดิมอยากขายเพราะต้องการทำกำไรจากราคาหุ้นเร็วๆ จึงถือว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ สำหรับผู้ซื้อ

ในกรณีของ RDS นั้น เหตุผลที่อยากเข้าซื้อนั้น แม้จะไม่มากนัก แต่ก็เป็นการเติมเต็มโอกาสในการเพิ่มพอร์ตโฟลิโอพลังงานของบริษัทที่มอยู่มากมายทั่วโลกอยู่เดิมในแอฟริกาตะวันออก เป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองทางธุรกิจเมื่อเทียบกดับบริษัทน้ำมันแห่งชาติทั่วโลกที่ใน 2 ทศวรรษที่ผ่านมา มีความพยายามจะแย่งส่วนแบ่งการตลาดในพลังงานโลกจากมืองของบริษัทข้ามชาติย่างจริงจัง จนทำให้บริษัทข้ามชาติมีอิทิพลต่ำลงอย่างชัดเจน

ในกรณีของ PTTEPซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทน้ำมันแห่งชาติ กลุ่ม ปตท.ของไทย มีเหตุผลที่นักวิเคราะห์ทั่วโลกบันทึกเอาไว้จากการให้สัมภาษณืและวิเคราะห์กันต่อๆมาถึง 4 ข้อที่น่าสนใจ ซึ่งคนไทยไม่ค่อยรับรู้กันมาก่อนนั่นคือ

- ต้องการเพิ่มโอากสในธุรกิจข้ามประเทศมากขึ้น เพื่อจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้นในเวทีธุรกิจพลังงานระดับโลก

- งบการเงินของ PTTEP ยังคงแจ่มใสมาต่อเนื่องสามารถที่จะระดมทุนมาแย่งยื้อสมบัติก่อนนี้ได้

- ช่วยแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทยที่กำลังเชผิญกับข้อเท็จจริงว่าการพัฒนาเศรษฐกิจและพลังงานของเมียนมาร์ในอนาคตอันใกล้ จะทำให้โอกาสพึ่งพาแอก๊สจากเมียนมาร์ลดลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นอันตรายในด้านความัม่นคงทางพลังงาน

- หลังจากกรณีฟูกูชิม่าในญี่ปุ่น โอกาสที่ไทยจะมีโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งเคยวางแผนเอาไว้ว่าจะมีถึง 5 โรงในปี พ.ศ. 2566 แทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะแรงต่อต้านในประเทศ และโรงงานไฟฟ้าถ่านหินก็คงยากจะเกิด จึงต้องพึ่งพาแก๊สและพลังงานจากต่างประเทศมากขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

การต่อสู้ของ PTTEP และ Shell ดำเนินมาหลายเดือน และยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากทั้งสองรายต่างได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลโมซัมบิกที่ตั้งเงื่อนไขว่า หากการซื้อสำเร็จ รัฐบาลโมวัมบิกจะมีส่วนได้รับรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มจกาการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ด้วยในอัตรา 12%ของราคาซื้อขาย (ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างประหลาดอย่างมาก เนื่องจากCOVเป็นบริษัทในลอนดอน)

จนกระทั่งล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา PTTEP ซึ่งได้มีการกู้เงินจำนวน 950 ล้านปอนด์ (หรือ 1.49 พันล้านดอลลาร์) เพื่อรองรับการซื้อหุ้น COVโดยมี UBS AG เป็นผู้จัดหา ก็ปรับเพิ่มราคาเสนอซื้อหุ้น COV ในราคาถึง 240 เพนซ์ต่อหุ้น หลังจากที่ RDS เคยเสนอที่จากระดับ 220 เพนซ์ต่อหุ้น แต่ก็ยังมีความพยามปล่อยข่าวจาก RDSว่า อาจจะเสนอราคาที่ 270 เพนซ์ แต่ดูเมหือนว่าจะเป็นการโยนก้อนหินถามทางมากกว่า เพราะจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่ได้ทำคำเสนอใหม่อย่างเป็นทางการ

นักวิเคราะห์ในอังกฤษดูเหมือนว่า มองการต่อสู้ของ PTTEPในเชิงบวก เพราะถือว่าเป็นการต่อทู้ที่ไม่เสียเปรียบเอาเสียเลย เนื่องจากไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ PTTEP จะมีแต่ได้กับได้

นักวิเคราะห์สำนักหนึ่งประเมินกลยุทธ์ว่า การที่ PTTEP จะแพ้RDS ก็ด้วยเหตุผล 3 ประการเท่านั้นคือ

- รัฐบาลโมซัมบิกลำเอียงเข้าข้างบริษัทข้ามชาติ เพราะคุ้นเคยกับความเชื่อเก่แก่ว่า บริษัทพลังงานข้ามชาติมีประสบการณ์มากกว่าบริษัทน้ำมันแห่งชาติที่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เนื่องจากแหล่งแก๊สธรรมชาติแห่งดังกล่าว จะมีคู่แข่งสำคัญคือ แหล่งแก๊สในทานซาเนียที่มีพรมแดนติดกันซึ่งเจ้าของแปลงสัมปทานคือกลุ่ม BP Groupของอังกฤษ เพราะมีประวัติศาสตร์หลายครั้งในหลายสิบปีมานี้ที่ RDS ได้สัมปทานโดยไม่คาดฝัน

ภาพลักษณ์และชื่อเสียงเก่าแก่ของ RDS เหนือกว่า และมีเงินหน้าตักมากกว่า PTTEP

- RDS อาจจะเสนอเงื่อนไขแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับ ปตท. ที่เป็นบริษัทแม่ของ PTTEP อาทิหากยอมให้ RDS ชนะผ่าน ก็จะยอมทำสัญญาขายแก๊สธรรมชาติจากแหล่งอื่นๆในเวลาที่กำหนดเป็นระยะยาวให่กับทางปตท.แทนเพื่อซื้อน้ำใจเอาไว้

เหตุผลทั้ง 3 ประการที่จะทำให้ PTTEP แพ้นั้น นักวิเคราะห์เดียวกันสรุปว่า อ่อนแอเกินไปที่จะน่าเชื่อถือ ดังนั้น โอกาสที่ PTTEP จะได้ จึงเป็นไปได้เสมอ หากยอมสู้ราคา เพราะว่าไปแล้ว สัดส่วนแก๊สของ COV นั้น คิดเป็นส่วนน้อยของ RDS ทั่วโลกเท่านั้นเอง

หากเป็นดังที่วิเคราะห์ท้ายสุดนี้ โอกาสทองที่ PTTEP จะประกาศศักดาในเวทีการแข่งขันด้านพลังงานระดับโลกก็จะพลิกผันอย่างก้าวกระโดดที่มีความหมายต่อยุทธศาสตร์พลังงานของไทยในอนาคตอย่างมาก

เว้นเสียแต่ว่า จะเกิดผลลัพธ์ตรงกันข้าม

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 325

โพสต์

RPC เล็งเปลี่ยนไลน์ธุรกิจ เบนเข็มสู่พลังงานทดแทน
Source - สยามธุรกิจ (Th), Saturday, June 30, 2012


RPC ยืดอกสารภาพ ยอมรับ ผลงานปีนี้รายได้ทรุดเหลือแค่ 4 พันล้าน จากปีก่อนที่ทำได้ 2.4 หมื่น ล้าน หลังปตท.หยุดส่งวัตถุดิบ ส่งผลธุรกิจหลักไม่สามารถดำเนินการได้ เผยลุ้นผลเจรจาขายโรงกลั่น 2 แห่ง หวังได้ข้อสรุปในปีนี้ ส่วนแผนงานอนาคต เล็ง จับมือพันธมิตรรุกธุรกิจพลังงานทดแทน พร้อมแจงผู้ถือหุ้น รอฟังคำสั่งศาลแพ่งยกเลิกคำสั่งห้ามชั่วคราวการจ่ายเงินปันผล

นายสัจจา เจนธรรมนุกูล ประธานกรรมการ บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) หรือ RPC เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทในขณะนี้ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในธุรกิจพลังงานทดแทน โดยหวังที่จะสร้างขึ้นเพื่อเป็นธุรกิจหลักแทนธุรกิจโรงกลั่น ซึ่งไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เพราะไม่มีวัตถุดิบ หลังจากที่ ปตท.หยุดส่งให้ โดยเบื้องต้นสนใจทำธุรกิจโซล่าร์เซลล์ โดยใช้วัตถุดิบจากแร่ควอทซ์ ซึ่งเป็นต้นทางของโซล่าร์ฟาร์ม ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ และการลงทุนดังกล่าวจะร่วมกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3 นี้

“ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาพลังงานทดแทน เพราะบริษัทจะเปลี่ยนธุรกิจ ซึ่งไตรมาส 3 คงได้ข้อสรุปว่าจะทำหรือไม่ทำ เพราะต้องระมัดระวังที่จะลงทุนในธุรกิจใหม่” นายสัจจา กล่าว

สำหรับรายได้รวมในปีนี้ จะปรับลดลงอย่างมาก เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งนำส่งรายได้ประมาณ 80% ต้องหยุดชะงักไป หลัง ปตท.ไม่จัดส่งวัตถุดิบให้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้รายได้ในปีนี้จะมาจากธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและศูนย์การค้าเท่านั้น รวมทั้งปีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่บริษัทมีรายได้รวม 24,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้รายได้ลดลงอย่างมาก แต่เชื่อว่าจะไม่ถึงกับขาดทุน

“ทั้งปีอาจมีกำไรบ้างแต่คงไม่มาก คงมีพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ เพราะธุรกิจหลักของบริษัทหยุดชะงักไป และธุรกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้นแบบชัดเจน ณ ขณะนี้ก็ยังไม่มี” นายสัจจา กล่าว

ทั้งนี้ ปีนี้บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการขายโรงกลั่นน้ำมัน 2 แห่ง มูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปี ซึ่งหากขายได้ บริษัทจะมีกำไรเล็กน้อย โดยขณะนี้เจรจากับนักลงทุนต่างประเทศที่สนใจซื้อประมาณ 2-3 ราย ซึ่งถือว่าราคาถูกกว่าที่จะไปสร้างใหม่ เพราะต้องลงทุน 6-7 พันล้านบาทต่อโรง ซึ่งถ้าขายได้ ก็จะนำเงินไปขยายธุรกิจใหม่ แต่ถ้าขายไม่ทันในปีนี้ ก็อาจกู้เงินมาใช้ขยายธุรกิจ

ส่วนกรณีที่บริษัทยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นกว่า 3 พันรายได้ ตามมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น เนื่องจากบริษัทต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลแพ่งที่มีคำสั่งอายัดเงินจำนวน 498 ล้านบาทที่เตรียมจะจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น โดย ปตท.ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องไปยังศาลแพ่ง อ้างว่าบริษัทและผู้ถือหุ้นเจตนายักย้ายทรัพย์สินออกนอกเขตอำนาจศาล ทั้งที่บริษัทเองไม่เคยมีเจตนาที่จะยักย้ายทรัพย์สินออกนอกเขตอำนาจศาลตามที่ ปตท.กล่าว อ้าง

“ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ชำระเงินค่าวัตถุดิบกว่า 200,000 ล้านบาท ไม่เคยผิดนัด และการคัดค้านจ่ายเงินปันผลนั้น ปตท.ทำแบบกระชั้นชิดในวันเดียวที่ถึงกำหนดจ่ายปันผลคือ 14 มิถุนายน 55 แทนที่จะเป็นวันที่ 7 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งล่าสุดเมื่อ วันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ศาลแพ่งโปรดพิจารณาเพิกถอนคำสั่งห้ามชั่วคราว ในการจ่ายเงินปันผล ขณะนี้จึงต้องรอฟังคำสั่งศาลแพ่งว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 170 ล้านบาท และมีกำไรสะสม 512 ล้านบาท” นายสัจจา กล่าว

อนึ่ง สำหรับสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ถือหุ้นสูงสุดคือ 5 ล้านหุ้น และในส่วนของนายสัจจา เจนธรรมนุกูล ถือหุ้นจำนวน 7 ล้านหุ้น

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 326

โพสต์

บอร์ดไออาร์พีซีปรับแผนลงทุนหนี้อียู
Source - บ้านเมือง (Th), Saturday, June 30, 2012


นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานคณะกรรมการ บมจ.ไออาร์พีซี และ บมจ.พีทีที โกล บอล เคมิคอล กล่าวว่า คณะกรรมการฯฯ มีนโยบายให้ทั้ง 2 บริษัทปรับแผนรองรับการลงทุนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติหนี้ของกลุ่มยุโรป ซึ่งในขณะนี้ ไม่มีความแน่ชัดว่าปัญหาดังกล่าวจะลุกลามมากขึ้นจนส่งผลกับต่อเศรษฐกิจโลกมากน้อยเพียงใด ดังนั้น จึงให้ 2 บริษัททบทวนการลงทุน โดยให้ชะลอโครงการที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน แต่หากโครงการใดยังมีความจำเป็นก็ให้เดินหน้า

ทั้งนี้ ยังให้พิจารณาเรื่องการลดสำรองวัตถุดิบให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อลดปัญหาการขาดทุนสินค้าคงคลัง จากเดิมที่ในช่วงต้นปีแต่ละบริษัทจะมีสต๊อกวัตถุดิบ โดยเฉพาะน้ำมันดิบในปริมาณสูง เพราะมีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้นอีก จากต้นปีราคาน้ำมันสูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่ขณะนี้ราคาลดลงอยู่ที่ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าการดำเนินการของบริษัทในกลุ่ม ปตท.ในปีนี้คงไม่เกิดปัญหาขาดทุนสต๊อกเหมือนวิกฤติแฮมเบอร์ ปี 2552 เพราะทุกบริษัทมีการเตรียมพร้อมในการบริหารความเสี่ยงทุกด้านเป็นอย่างดี

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 327

โพสต์

เอสซีจียันไตรมาส2มีกำไรสุทธิปตท.สผ.ปรับแผนลงทุนหากน้ำมันดิ่งแตะ70ดอลล์
Source -กรุงเทพธุรกิจ (Th), Saturday, June 30, 2012


แม้ธุรกิจปิโตรเคมีขาดทุนสต็อก ฉุดผลประกอบการทั้งเครือเหตุเป็นธุรกิจหลัก เล็งทบทวนแผนลงทุนหลังจบไตรมาส 2/2555

ปูนซิเมนต์ไทยมั่นใจไตรมาส 2 ยังกำไร แม้ธุรกิจปิโตรเคมีขาดทุนสต็อก ฉุดผลประกอบการทั้งเครือ หลังราคาน้ำมันตลาดโลกดิ่ง ยันฐานะการเงินแข็งแกร่ง หนี้ยุโรปไม่กระทบบริษัท ด้าน ปตท.สผ.เตรียมปรับแผนลงทุนหากราคาน้ำมันดิ่งแตะ 70 ดอลลาร์ เนื่องจากบางโครงการอาจไม่คุ้มค่าลงทุน

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือ เอสซีจี กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2555 มั่นใจว่า บริษัทยังมีกำไร แม้ว่าธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ของบริษัท ที่มีสัดส่วนรายได้ถึง 50% ของรายได้รวม จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงมาแตะระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคา แนฟทาที่เป็นวัตถุดิบหลักปรับลดลงตาม ทำให้ในไตรมาสนี้ธุรกิจปิโตรเคมีขาดทุน จากสต็อก

"ปิโตรเคมีเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งมีการขาดทุนจากสต็อก ก็ย่อมกระทบต่อภาพรวมผลประกอบการของบริษัท อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 2 ก็ยังกำไรอยู่ ขณะที่สภาพคล่องและฐานะการเงินของบริษัทยังอยู่ในระดับแข็งแกร่ง"

สำหรับแนวโน้มในช่วงไตรมาส 3 นั้นคงต้องติดตามดูสถานการณ์ราคาน้ำมันก่อน อย่างไรก็ตามขณะนี้ราคาแนฟทาได้เริ่มปรับขึ้นมาบ้างแล้ว โดยอยู่ที่ระดับ 740 ดอลลาร์ต่อตัน จากที่เคยปรับลดลงต่ำสุดไปที่ระดับ 600 ดอลลาร์ต่อตัน เปรียบเทียบกับช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ที่อยู่ระดับ 1 พันดอลลาร์ ต่อตัน นอกจากนี้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ กับราคาวัตถุดิบ (สเปรด) ยังปรับตัวดีขึ้น มาก จากไตรมาสแรกอยู่ที่ 375 ดอลลาร์ต่อตัน และล่าสุดขึ้นมาที่กว่า 540 ดอลลาร์ ต่อตัน

เขากล่าวว่า มั่นใจว่ายอดขายทั้งปีจะเกิน 4 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิแนวโน้มเป็นอย่างไรต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพราะมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะราคาน้ำมันปีนี้ที่ปรับลงมาแรง และวิกฤติที่เกิดขึ้นในยุโรปที่ต้องติดตาม

ทั้งนี้บริษัทจะทบทวนแผนการลงทุน 5 ปีอีกครั้งหลังจบไตรมาส 2 ซึ่งถือเป็นการทบทวนแผนการลงทุนตามปกติของบริษัท แต่ปีนี้จะต้องนำปัจจัยยุโรปเข้ามาประเมินสถานการณ์ด้วย หลังทบทวนแผนเสร็จแล้ว จะนำเสนอคณะกรรมการบริษัทเดือนส.ค.นี้

ทั้งนี้บริษัทจะทบทวนคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจซีเมนต์เป็นโตมากกว่า 5% จากเดิมที่คาดว่าจะโตเพียง 5% หลังพบว่าความต้องการได้เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ที่ไทยต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วม และตลาดก็เริ่มดีขึ้นชัดเจนในไตรมาส 2 นอกจากนี้ ธุรกิจกระดาษก็ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด เริ่มตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมาเช่นเดียวกัน

ส่วนผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรปนั้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทน้อย เนื่องจากก่อนหน้านี้บริษัทได้ลดการส่งออกไปยังสองกลุ่มประเทศนี้ลงไปเหลือประมาณ 5% ของมูลค่าการส่งออกรวมของบริษัท พร้อมกับปรับกลยุทธ์ไปลงทุนในตลาดอาเซียนมากขึ้น

ด้าน นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) กล่าวว่า บริษัทจะทบทวนแผนการลงทุน หรือชะลอการลงทุนออกไป หากราคาน้ำมันดิบดูไบต่ำกว่าระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ขณะนี้น้ำมันอยู่ประมาณ 90 ดอลลาร์ ยังถือว่าไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทมากนัก

โดยขณะนี้ แผนลงทุนทั้งหมดของบริษัทยังเดินหน้าต่อไปตามปกติ แต่บริษัทก็ได้เตรียมความพร้อม กรณีราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ โดยบริษัทต้องมาจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนคัดเลือกการลงทุนแต่ละโครงการให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

บริษัท ปตท.สผ. ตั้งงบรายจ่ายลงทุนและรายจ่ายดำเนินงานในช่วง 5 ปี (ปี 2555-2559) รวม 1.96 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเป็นงบลงทุนในปีนี้ ที่ระดับ 5.17 พันล้านดอลลาร์ โดยปัจจุบัน ปตท.สผ. มี บริษัทปตท.ถือหุ้นราว 65% และมีโครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ทั้งสิ้น 41 โครงการใน 12 ประเทศ ขณะที่บริษัทมีเป้าหมายที่จะผลิตปิโตรเลียม ให้ได้ระดับ 9 แสนบาร์เรลต่อวันในปี 2563 จาก 3 แสนบาร์เรลต่อวัน ในขณะนี้


ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 328

โพสต์

ปตท.ชี้ราคาน้ำมัน'ไตรมาส4'ขาขึ้น
Source - มติชน (Th), Sunday, July 01, 2012


นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่นโยบายและเศรษฐกิจพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง ผลจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งในไตรมาส 3 นี้คาดว่าจะยังคงมีราคาต่ำ แต่ในไตรมาส 4 ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะเริ่มขยับตัว สูงขึ้น เนื่องจากความต้องการสูงขึ้นตามภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับภาวะวิกฤตในยุโรปน่าจะเริ่มคลี่คลาย แต่จะส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงในประเทศ ไทยไม่มากนัก คาดว่าราคาน้ำมันเฉลี่ย ทั้งปีจะอยู่ที่ 95 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และเชื่อว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะเป็นไปตามที่รัฐบาลวางไว้

"การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 5.7% ผมคิดว่ามีความเหมาะสม เนื่องจากในปี 2554 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม อีกทั้งประเทศไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจริงจากภาวะเศรษฐกิจในยุโรป เนื่องจากไทยค้าขายกับประเทศในเอเชียเป็นหลัก และปริมาณการใช้จ่ายและการซื้อสินค้าของยุโรปยังใช้ในปริมาณเท่าเดิม สินค้าพื้นฐานที่ยุโรปต้องนำเข้านั้นก็ยังใช้เท่าเดิมเพียงแต่จะลดการนำเข้าในสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น แต่ไทยอาจจะได้รับผล กระทบจากภาคการเงินบ้าง เชื่อว่าใน ไตรมาสที่ 4 น่าจะดีขึ้น" นายโชติชัยกล่าว

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 329

โพสต์

Believe in THAILAND: Wanted: A bigger welcome mat
Source - Bangkok Post (Eng), Monday, July 02, 2012


The government ’s decision to increase the minimum wage by 40% to 300 baht per day in seven provinces has been one of the most hotly debated topics in the country in recent months.

Industrialists warned that thousands of small businesses would collapse under the weight of higher costs. Economists said wages should be linked to productivity, an area in which Thailand tends to score poorly. Others warned of a domino effect, with people who used to make 300 baht a day demanding 400 baht,and so on, until no business in Thailand could compete.

While it ’s clear that higher labour costs will put Thailand at a disadvantage in the eyes of some, foreign investors ’enthusiasm for the country remains high.They view Thailand as having a strong position if the government adopts a more positive attitude toward Asean and sees the single market that will emerge on 2015 as an opportunity.

Nandor von der Luehe, chairman of the Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand, said an open-minded attitude toward making investment policy more accommodating would enhance Thailand ’s position."The government should open up faster and not be afraid of competition.Malaysia has its Proton car, but it was not successful in the automotive industry as it protected the brand. Thailand has a different attitude,"he said."We have the Foreign Business Act,which should be opened up because it still has restrictions on visas and work permits. For instance, if a company has a subsidiary in Singapore and invests in Asean, we don ’t know if it ’s a Singaporean investment or not.

"Instead of worrying about verifying whether it ’s an Asean investment, Thailand should open up. If we can do that, I am confident [Thailand] will become a very strong investment location."M. Gandhi, managing director of Asean business for UBM Asia, said Thailand was well known for its abundance of suppliers,which is why so many subcontractors want to set up companies in the country.

"In fact, Asean countries are worried about Thailand because Thailand is more competitive for contracting,"he said.Piengjai Kaewsuwan, president of the Thai Automotive Industry Association,said there was high potential for the Thai automotive industry to become the hub for global suppliers.

Of the top 100 global suppliers in the automotive industry,58 have operations located in Thailand, she said.

The Board of Investment (BoI) is preparing for the new pan-Asean business environment by revising the privileges available for each sector. Incentives for some industries seen as having low potential will be phased out. Sectors in which the country is already strong, or hopes to become a major contender, will receive more incentives.

BoI deputy secretary-general Duangjai Asawachintachit said strategic or priority activities would be provided maximum incentives. They include agriculture and agro-industries, research and development, software development, molds and dies, biotechnology, alternative energy,waste recycling and recovery.

For the country ’s largest company,the energy conglomerate PTT Plc, the Asean Economic Community is an opportunity to expand its presence throughout the region.

Surong Bulakul, PTT ’s chief financial officer, said the oil retail business had high potential once the AEC takes shape.

"PTT itself wants to expand its fuel retail network farther in Asean by developing petrol stations in neighbouring countries,"he said.The group operates over 1,000 stations in Thailand and fewer than 50 in the Philippines, Cambodia and Laos. It is completing an investment plan for Myanmar in terms of the number of stations to be opened in the next few years.

Thailand ’s land and rail energy transport systems also have potential but Mr Surong said the governments in the region need to amend customs-related regulations to facilitate transport.

"In the future, biofuel will play a greater role in energy, as several nations are taking greater interest in renewable energy, and Thailand now operates the largest oil transport services,"he said.Veerasak Kositpaisal, chief executive of Thai Oil Plc, said capital and human resource mobility would increase once the AEC becomes a reality in 2015.

"Thailand ’s petrochemical-related industry is the strongest sector in the region as we have several related industries such as plastics, daily consumer products, auto parts and electronics. We expect to have a competitive edge over countries in this industry,"he said.The strengths of Thailand are clear to foreign investors as well, and they continue to commit money to the country despite concerns about political risk and natural calamities such as last year ’s floods.According to the BoI, foreign direct investment in Thailand during the first four months of this year totalled 155.5 billion baht, a 44% increase from the same period last year (see table).

Overseas investment by Thai businesses, meanwhile, remains relatively small given the size of the Thai economy.

Malaysia ’s investments abroad are three times those of Thailand, while Singapore ’sinvestments in other countries are more than five times those of Thailand.

According to a Bank of Thailand report,Thai investors had 299 billion baht (about $9.77 billion) in investment abroad as of the first quarter of 2012.

Investment abroad in 2012 is expected to exceed the 2011 total of 488.2 billion baht. The Bank of Thailand is committed to facilitating overseas investment by adjusting its rules in line with its aim to liberalise capital movement. This should serve as a motivation for Thai businesses to increase investment in other countries.

Thailand remains a highly desirable destination but authorities need to broaden their thinking, and all sides should stop fretting about higher wages and focus on competitiveness By Nanchanok Wongsamuth and Yuthana Praiwan



Source: Bangkok Post
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 330

โพสต์

บางจากทุ่ม4พันล้านเพิ่มศักยภาพโรงกลั่น
Source - ไทยโพสต์ (Th), Monday, July 02, 2012


บางจาก เผยทุ่ม 4,000 ล้าน บาท ลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพโรงกลั่น รอง รับการขยายปั๊ม-ปรับโฉมใหม่ หวังปั๊มยอด ขายเฉลี่ยต่อปั๊มเพิ่มขึ้น 20% พร้อมดึงดีล เลอร์ข้ามชาติที่ใกล้หมดสัญญาร่วมพันธ มิตร ระบุกำลังหารือ 15 ปั๊ม ในปี 2555

นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุร กิจการตลาด บมจ. บางจากปิโตรเลียม เปิดเผยว่า บางจากมีแผนลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันใช้เงินลงทุน 4,000 ล้านบาท ในช่วง 3 ปี (2555-2557) เพื่อเพิ่มปริมาณการกลั่นน้ำมันให้ขึ้นไปสู่ระดับ 120,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะทำให้มีปริมาณน้ำมันที่บางจากต้องจำหน่ายเองเพิ่มขึ้นมาประมาณ 95,000 บาร์เรลต่อวัน และที่เหลือส่งให้ ปตท.ในฐานะผู้ถือหุ้น และมีน้ำมันเตาส่วนหนึ่งต้องส่งออกไปต่างประเทศ

ปัจจุบัน บางจากมีปริมาณกลั่น น้ำมันอยู่ที่ 105,000 บาร์เรลต่อวัน จำ หน่ายเองประมาณ 75,000 บาร์เรลต่อวัน และที่เหลือส่งให้ บมจ.ปตท. และส่งออกน้ำมันเตาไปต่างประเทศ และในปี 2557 กำลังการกลั่นจะขยับขึ้นเป็น 110,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้บางจากต้องเร่งขยายสถานีบริการน้ำมัน เพื่อมารองรับปริมาณการกลั่นน้ำมันที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว จากปัจจุบันมีปั๊มอยู่ 1,070 แห่ง แบ่งเป็น ปั๊มมาตรฐาน 497 แห่ง และ ปั๊มสหกรณ์ชุมชน 573 แห่ง

นายยอดพจน์กล่าวว่า การขยายสถานีบริการน้ำมันนั้น จะเป็นการเข้าไปเจรจากับตัวแทนจำหน่ายน้ำมัน หรือดีลเลอร์ของบริษัทน้ำมันข้ามชาติ หรือเมเจอร์ออยล์ เช่น เอสโซ่ คาลเท็กซ์ หรือเชลล์ ที่ใกล้จะหมดสัญญาในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เพื่อให้หันมาเป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำมันของบางจากแทน ซึ่งในปีนี้อยู่ระหว่างการหารือประมาณ 15 แห่ง

"3 ปีจากนี้ไป ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 17% หรือเพิ่มขึ้นปีละ 1% และจะทำให้ส่วนแบ่ง การตลาดขึ้นมาเป็นอันดับ 2 รองจาก ปตท. จากปัจจุบันมียอดจำหน่ายขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 81 ล้านลิตรต่อเดือน และดีเซล 127 ล้านลิตรต่อเดือน และในปี 2555 คาดว่ายอดจำหน่ายจะเติบโตอยู่ในระดับ 9%" นายยอดพจน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากการปรับโฉมหรือรีแบรนด์ปั๊มน้ำมันใหม่ จะทำให้ยอดขายเฉลี่ยต่อปั๊มเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ซึ่งหากปั๊มใดที่หมดสัญญาสนใจก็จะมาร่วมลงทุนกัน โดยบางจากจะเข้าร่วมทุนต่อปั๊มประมาณ 5-10 ล้านบาท ในส่วนของการก่อสร้างปั๊มใหม่นั้น บางจากมีแผนที่จะก่อสร้างปั๊มกรีนสเตชั่น ที่เป็นรูปแบบของการใช้พลังงานทดแทนทั้งหมดเพิ่มอีก 5 แห่ง ในช่วง 2 ปีต่อจากนี้ไป จากที่ปี 2555 ดำเนินการไปแล้ว 1 แห่ง ที่สาขาถนนวิภาวดีรังสิต.

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."