Thai VI

sirivajj เขียน:ผมเพิ่งเข้ามาอ่านตอนหลัง
แต่ไม่แน่ใจว่า คุณคัดท้าย ตรวจดูแล้วไม่พบเลยหรือครับ
ว่า มี บริษัท ที่ไม่สามารถรักษาผลการดำเนินงานและกำไรไว้ได้
(ไม่ได้พูดถึงเรื่องราคา กับการเติบโตนะครับ)

ขออนุญาติ เดาเอาเองว่า น่าจะมีนะครับ
บ.ประเภทที่ รักษาผลการดำเนินงานไว้ได้แบบโตในบางช่วง
กับในบางช่วงไม่โต แต่ก็ไม่ติดลบในด้านกำไร

ไม่ทราบว่า ข้อมูลของพี่ครรชิต จะมีมาสนับสนุน ที่ผมเดาเอาไว้
ได้หรือเปล่า

ไม่ได้หมายความอย่างนั้นครับคุณ sirivajj ...

ผมหมายความว่าบริษัทในเมืองไทย มีความสามารถในการแข่งขันแบบยั่งยืนกี่บริษัท แล้วราคาตอนนี้แพงไปหรือไม่ ?
ตรงข้อนี้ ผมมองว่าบริษัทเมืองไทยมีบริษัทพวกนี้อยู่น้อย หรือบางท่านว่าไม่มีเลย ไอ้ที่พอจะเข้ากลุ่มได้ ราคาก็ไม่ถูก ..

ทีนี้ ผมเลยถามต่อไปว่า เมื่อเราจำเป็นต้องเลือกบริษัท ที่ไม่ได้มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนได้ ... นั่นแปลว่า บริษัท ในแบบนี้ อนาคตมีความไม่แน่นอนสูงครับ ... ดังนั้น เราจะเลือกได้อย่างไรครับ ว่าบริษัทใดกำลังอยู่ในช่วงที่กำลังเติบโตดี อาจมีสะดุดบ้าง และ บริษัทได้ สะดุดจนหกล้มปากแตก .. ?

การที่เอาข้อมูลพี่ครรชิต มาดู ผมว่าถ้าทำแค่แบบนั้น แล้วซื้อ .. ผมมองว่า ถ้างั้น เอาข้อมูลพี่ครรชิต เข้าโปรแกรม แล้วให้โปรแกรมเลือกก็ได้ครับ ปกติ นักเก็งกำไร ที่ใช้เทคนิค ก็ใช้ Meta Stock ในการกรองหุ้นที่มี Pattern ตามที่ต้องการอยู่แล้วซึ่งใช้เวลาไม่กี่วินาทีครับ

ที่ผมถามคือ E มันไม่ได้แน่นอน ถ้าบอกว่า E ดีมาเรื่อยๆ แล้ว E ก็จะดีต่อไปเรื่อยๆ ... CEI คงเป็นหนึ่งตัวอย่างครับ ..

ผมเห็นบริษัททั่วไป พอมีผลกระทบจากปัจจัยภายนอกก็เป๋ทั้งนั้น จะมีสักกี้บริษัท ที่สุดยอดได้เหมือน TMD ครับ ที่วัตถุดิบแพง ก็ยังทำกำไรเพิ่มได้?
TCB บริษัทลูกของ TR ทำได้หรือ ? METCO ทำได้หรือ ?

แต่นั่นอาจเป็นการตกช่วงสั้นๆ ก็ได้ แต่คำถามของผมคือ เราต้องดูลึกๆยังไงบ้าง เพราะไม่ใช่ว่าการตกทุกครั้งจะเป็นการตกช่วงสั้นๆครับ

:lol: :lol: :lol: :lol:

คำถามโดนใจอีกแล้วครับ

ผมเคยรวบรวมสิ่งที่มีความสำคัญในการพิจารณาเลือกหุ้น ปรากฎว่าได้ผลดังนี้ครับ

ก.ความซื่อสัตย์และความสามารถของผู้บริหาร

ข. เป็น ธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน หรือไม่ โดยใช้ competitive stretagy ของ porter วิเคราะห์ภาวะการแข่งขันด้วยพลังทั้งห้าของ Porter
1. การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม
2. โอกาสในการเข้ามาของรายใหม่
3. สินค้าทดแทน
4. อำนาจต่อรองกับลูกค้า
5. อำนาจต่อรองกับผู้ป้อนวัตถุ

ค. วิเคราะห์โดย SWOT

ง.ประเด็นในการตรวจสอบหุ้น 10 ข้อของวอร์เรน
1.ROE สูงๆ หรือไม่
2.ROA สูงๆ หรือไม่
3.ประวัติการทำกำไรที่ดีเยี่ยมหรือไม่
4.มีหนี้สินน้อยๆหรือไม่
5.สินค้าหรือบริการมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนหรือไม่
6.ไม่มีปัญหาที่เกิดจากสหภาพแรงงานหรือไม่
7.บริษัทสามารถปรับสินค้าหรือบริการตามสภาวะเงินเฟ้อได้หรือไม่
8.ต้นทุนการดำเนินงานที่เหมาะสมหรือไม่
9.บริษัทสามารถซื้อหุ้นคืนจากตลาดได้หรือไม่
10.กำไรสะสมสามารถทำให้มูลค่าตลาดสูงขึ้นได้หรือไม่

จ. แนวโน้มธุรกิจ ภาวะเศรษฐกิจ วัฏจักรธุรกิจ
ฉ. วิเคราะห์ราคาที่น่าลงทุน
1. P/E
2. P/B
3. DIV

ช. เหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ญ. อื่น ๆ ที่สำคัญ

ทั้งหมดนี้ถ้าจะแยกคร่าวๆ คงจะแยกได้ว่า ดูอดีต ดูปัจจุบัน และดูอนาคต ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญด้วยกัน แต่ระดับความสำคัญต่างกัน

ผมยกให้ข้อ จ. แนวโน้มธุรกิจ ภาวะเศรษฐกิจ วัฏจักรธุรกิจ ในอนาคตสำคัญที่สุดครับ


:lol: :lol: :lol: :lol:

เมื่อไรก็ตามที่หมอซื้อหุ้นโรงพยาบาล วิศวกรน้ำมันอย่าง vib007 ซื้อหุ้น pttep นักการเงิน ซื้อ แบงค์

หรืออย่างคนที่เคยทำบ้านจัดสรรค์มาก่อนซื้อหุ้น อสังหาริมทรัพย์

อืม หุ้นนั้น ที่คนกลุ่มนั้นซื้อ น่าสนใจหรือไม่

ชอบวิธีการหาหุ้นของ คุณสามัญชน มากครับ

แต่ที่ผ่านวิธีนี้ 100 % คงน้อย ดังนั้นหุ้นที่ผ่านได้แล้ว ถึงแม้จะมีแค่ตัวเดียวก็พอแล้วที่เราจะฝากเงินไว้กับเค้าได้

ส่วนผมมีวิธีหาหุ้นประมาณ 10 ข้อ ถ้าผ่านได้ 7 ข้อ ผมก็พอใจแล้ว
แต่ราคาต้องไม่เกินค่าเฉลี่ย 5 ปีนะ(จาก p/e,p/bv)

ผมซื้อครับ เพราะผมไม่เชื่อว่าจะสามารถวิเคราะห์บริษัทใหนถูกต้องได้เกิน 3 ปีครับ

พี่คัดท้ายครับ อาจมีบางคนเช่นคุณเลือดน้ำเงินที่ประมาณกำไรได้แม่นยำนะครับ ผมเชื่อว่าการประมาณกำไรในรอบ 6 เดือนไม่ยากเท่าไร ไม่น่าจะผิดพลาดมากครับ

ในตลาดบ้านเรา บางทีไม่ต้องทำนายอนาคตมาก หรือทำนายแล้วผิดพลาดยังทำกำไรได้เยอะพอควร เพราะบางครั้งราคาที่เราซื้อมันถูก

บางครั้งทำนายอนาคตถูกคร่าวๆ 6 เดือนก็เพียงพอแล้วครับ

คุณสามัญชนสรุปได้ดีมากๆเลยครับ

wpong เขียน:ผมซื้อครับ เพราะผมไม่เชื่อว่าจะสามารถวิเคราะห์บริษัทใหนถูกต้องได้เกิน 3 ปีครับ

พี่คัดท้ายครับ อาจมีบางคนเช่นคุณเลือดน้ำเงินที่ประมาณกำไรได้แม่นยำนะครับ ผมเชื่อว่าการประมาณกำไรในรอบ 6 เดือนไม่ยากเท่าไร ไม่น่าจะผิดพลาดมากครับ

ในตลาดบ้านเรา บางทีไม่ต้องทำนายอนาคตมาก หรือทำนายแล้วผิดพลาดยังทำกำไรได้เยอะพอควร เพราะบางครั้งราคาที่เราซื้อมันถูก

บางครั้งทำนายอนาคตถูกคร่าวๆ 6 เดือนก็เพียงพอแล้วครับ

6 เดือนถ้าทำนายได้ถูกนี่ก็เหลือเฟือแล้วครับผม สำหรับผมนะ สำหรับท่านอื่นไม่รู้ครับ เช่น ท่านเลือดฟ้า อิ่ม PSL จนจุกแล้วครับ ตอนนี้ .. อ้อพี่ลิ้นจี่ อีกคน แต่พี่ลิ้นจี่นี่ วงในครับ ตีเข่าวงใน ...

Jeng เขียน:

โค้ด: เลือกทั้งหมด

อ่านหนังสือ ปีเตอร์ ลินซ์ แล้วโดนใจอยู่ข้อนึง ... เค้าว่าหมอมักชอบซื้อหุ้นน้ำมัน ... วิศวะกรบริษัทน้ำมันมักซื้อหุ้นบริษัทการเงิน ... นักการเงินชอบซื้อหุ้นบริษัทยา ... 

เมื่อไรก็ตามที่หมอซื้อหุ้นโรงพยาบาล วิศวกรน้ำมันอย่าง vib007 ซื้อหุ้น pttep นักการเงิน ซื้อ แบงค์

หรืออย่างคนที่เคยทำบ้านจัดสรรค์มาก่อนซื้อหุ้น อสังหาริมทรัพย์

อืม หุ้นนั้น ที่คนกลุ่มนั้นซื้อ น่าสนใจหรือไม่

เมื่อไหร่สนหุ้นอสังหาตัวไหนบอกผมด้วยนะก๊าบบบ

เฮ้อ ก็ซื้อให้ดูตั้ง 3 ตัว ยังไม่เห็นอีกหรือ

แต่ถ้าซื้อตอนนี้ไม่รู้นะ

ผมเป็นพวกสื่อสารมวลชน สื่อสิ่งพิมพ์ ซื้อ aprint sport post ครับ

ดูๆอยู่ และซื้อไว้บ้างแล้วครับ

นอกจากท่านเลือดฟ้าแล้วยังต้องดู
TICON --> อ. Invisible Hand
STA --> ท่าน XXYYZZ
WG --> อ.ฉัตรชัย
PTTEP --> อ. VIB007

เซียนกลุ่มนี้ ผมถือว่าเขาไม่ได้อยู่ที่อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตแล้วครับ ผมว่าเขารู้ว่าเขากำลังทำอะไร และอะไรจะเป็นปัจจัยเสี่ยงทั้งด้านบวก และลบ
เขาจะเข้าใจหุ้นที่เขาถืออยู่เร็วกว่าทุกคน

ผมว่าทำถูกเพียง 20 % และไม่ทำสิ่งผิดอีก 80 % ก็ประสบความสำเร็จแล้วครับ

อันนี้ก็ดีครับ

เรื่องดูอดีต หรือดูอนาคต ดู P/E นี่ผมเองเคยติดกับมาแล้ว จากประสบการณ์อันน้อยนิดที่ผ่านมาทำให้ได้ข้อสรุปสำหรับตัวเองว่า

1. อดีตมีไว้เป็นข้อมูล เหมือนกับเป็นการจัด Ranking ของหุ้นตัวต่างๆ ไว้ในใจ ให้เราศึกษาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทให้ถ่องแท้ วัดประสิทธิภาพของผลการดำเนินงาน การบริหารจัดการของบริษัท ฯลฯ ซึ่งจะมีผลน้อยมากต่อราคาหุ้นในอนาคตครับ เป็นการเสริมสร้างความมั่นใจได้เท่านั้น ผมเองเคยหลงไปแล้วอย่างที่ว่า ซื้อหุ้นที่ประวัติดี P/E, P/BV ถูก, ปันผล Yield ดี แต่ราคาหุ้นกลับดิ่งลงสวนทาง เพราะว่าในเวลาต่อมานั้นบริษัทกำไรลดลงเรื่อยๆ นั่นเอง ด้วยเหตุการณ์ในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา

2. อนาคตเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับราคาหุ้น เป็นเรื่องปกติที่เวลาคนเราจะลงทุนอะไรซักอย่าง เงินที่เต็มใจจะจ่ายย่อมต้องคำนวณแล้วว่าสินทรัพย์นั้นๆ จะให้ผลตอบแทน(กระแสเงินสดทั้งหมดที่จะได้กลับมาในอนาคต) คุ้มค่าหรือไม่ ต้องยอมรับครับว่าเป็นการยากที่จะทำนายอนาคตได้ ซึ่งเป็น Qualitative Factors เป็นส่วนใหญ่ แต่มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่งั้นทุกคนก็คงได้กำไรจากหุ้นง่ายๆ กันไปหมด แล้วผลตอบแทนเฉลี่ยก็จะต่ำลงมาจนแทบไม่เหลืออะไร

สรุปว่าต้องติดตามปัจจัยต่างๆ ที่จะมากระทบกับหุ้นสุดที่รักของคุณให้ดีครับ ทุกวันนี้ก็พยายาม Balance ทั้งอดีตและอนาคตให้เหมาะสม เพื่อคัดเลือกหุ้นเข้า-ออกจากพอร์ตอยู่ เท่าที่ผ่านมาผลตอบแทนก็พอใช้ได้ แต่ก็ยังต้องเรียนรู้อีกมากครับ

เอ๊ะคัดท้าย พี่อ่านอยู่เล่มเดียวนะ

ไม่น่าจะตรงที่ว่าบัพเฟตไม่ทำนายอนาคต

คือแกบอกว่า การจะทำนายอนาคตของกิจการเป็นร้อยปี เป็นเรื่องยาก

แกก็เลยหาทางทำนาย โดยคิดว่าถ้ากิจการนั้นๆ มีสินค้า หรือบริการ ที่ เมื่อ สิบปีที่แล้ว ยังขายได้ แกก็เลยเดาว่าอีก 10 ปีข้างหน้าก็น่าจะยังขายได้

คือแกทายแบบ conservative มักๆ ครับ คัดท้าย