Thai VI

ชอบกระทู้แบบนี้มากครับยิ่งมีคนเก่งๆ เข้ามาตอบยิ่งได้แนวคิดอะไรที่เราคิดไม่ถึง
หรือลืมไประหว่างการลงทุน บางครั้งก็เผลอลืมไปอยากเร่งพอร์ตให้ถึงเป้าหมายเร็วๆ
การลงทุนเริ่มไม่มีความสุข

ผมคิดว่านักลงทุนชาว VI ส่วนใหญ่จะคิดคล้ายๆกันอยากมีอิสระภาพทางการเงิน
เพราะมีต้นแบบจากพี่ๆที่เก่งๆซึ่งตอนนี้มีเยอะมาก และก็น่าจะคิดคล้ายๆกันคือ
เป้าหมายการมีอิสระภาพทางการเงินคือจะประมาณ 20 ล้าน ++
จากนั้นตั้งเป้าทำผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 5-20 % ต่อปี ซึ่งน่าจะเพียงพอกับการใช้จ่าย
ในครอบครัวของนักลงทุนที่ไม่ฟุ้งเฟ้อ บางคนก็ตั้งที่ 30 50 100 ล้าน
อาจเพื่อความมั่นใจในความสบายในอนาคตของตัวเองและครอบครัว รวมถึงน่าจะเป็น
เป้าหมายของความภูมิใจที่ทำตามความฝันได้สำเร็จ

การมีอิสระภาพทางการเงินที่พูดๆกันนั้น บางท่านอาจจะคิดว่าอยากรวยมากๆไปทำไม
ผมก็ไม่รู้ว่าถ้าวันนึงไปยืนอยู่ที่จุดนั้นบ้างจะรู้สึกอย่างไร แต่ผมคิดเอาเองว่า การมีอิสระภาพทางการเงินน่าจะเติมเต็มอะไรหลายๆอย่างในชีวิตได้
เช่น
- มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น
- มีเวลาดูแลสุขภาพมากขึ้นทั้งการพักผ่อนและออกกำลังกาย
- ตัดปัญหาจากความเครียดจากที่ทำงานและการจราจรตอนเช้า-เย็น
- มีเวลาได้ศึกษาธรรมะแบบเต็มที่ทั้งจากการบวชเรียนและอ่าน
- มีเวลาได้อ่านหนังสือดีๆที่อยากอ่านเยอะๆ
- อยากกลับไปเรียนบัญชีแบบจริงจัง
- อยากไปเที่ยวต่างประเทศในหลายๆประเทศ เพราะต้องใช้ทั้งเวลาและเงิน
- อยากเดินทางไปสัมผัสวัฒนะธรรมไทยในทุกๆจังหวัด
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออยากให้คนรอบข้างเราทุกคนสบายไม่ลำบาก

ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้เรียกว่าความสุขหรือเปล่า รู้แต่ว่ามันเป็นความฝันครับ

เรื่องการลงทุนเป็นความอดทนอย่างหนึ่ง ซึ่งสวนกระแสกับความคิดคนทั่วไป

หลายคนอยากมีเงินวันนี้พรุ่งนี้ ก็เอาไปซื้อหวย
รอลุ้นเดือนละ 2 ครั้ง เพราะเงิน 100 บาท ถูกรางวัลได้ 4 ล้านบาท มันเป็นความหวังเพียงอย่างเดียวของพวกเขา

แต่น้อยคนที่จะลงทุน และอดทนรอเวลาให้มันสำแดงผลออกมา

ซึ่งคนประเภทหลังนี่ ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตา เชื่อความจริง ทำดีได้ดี อดทนอดกลั้น คิดก่อนทำ รู้จักโลกกว้าง
ซึ่งคนประเภทนี้ หาได้มากมาย ใน thaivi.org

"ใครโชคดีพ่อแม่มีเงินก็เร็วหน่อย แต่เกิดมาจน ไม่ใช่ข้ออ้าง มันอยู่ที่ตัวเราต่างหาก ผมโชคดีที่เกิดมาจน ทำให้เห็นคุณค่าของเงิน รู้จักประหยัด อดเปรี้ยวได้กินหวานตลอดชีวิต หลายคนชอบบินก่อน ผ่อนทีหลัง"

อยากจะบอกว่าชอบประโยคนี้ของ พี่ลูกอีสานมากครับ

ขอบคุณพี่ๆทุกคนสำหรับความคิดดีๆที่นำมาแบ่งปันน้องๆเสมอครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ครับ

1) "ผมจะไม่รวยโดยใช้คนอื่นเป็นฐาน แต่ผมจะรวยด้วยกิจการที่เรารู้สึกว่า...มันเป็นของเรา"

2) "ข่าวมีไว้เพื่อทราบ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำราคา"

3) "ผลประกอบการดี...ผมยินดีกับบริษัทฯ
ผลประกอบการแย่...ผมเสียใจ แต่มิใช่เสียใจที่หุ้นราคาตก แต่เป็นเพราะความเป็นห่วงเป็นใยฝในอนาคตของบริษัทฯ"

4) "ถ้าบริษัทฯรุ่ง ผมก็รวย
ถ้าบริษัทฯม้วย ผมก็ต้องเป็นคนหนึ่งที่จะยืดอกรับผิดชอบความผิดพลาดนั้น"

5) "ผมเชื่อว่า...ตัวเองซื้อกิจการ ผมไม่ได้ซื้อแค่หุ้น
ผมเชื่อตามหนังสือที่ว่า จะขายหุ้น ส่งไปรษณีย์ไปก็ยังทัน"

6) "ผมไม่มีเป้าหมายราคาในใจ แต่ผมมีเป้าหมายเป็นช่วงเวลา
ผมจะอยู่กับบริษัทฯของผม เดินเคียงข้างกันไป จนกว่าบริษัทฯจะแข็งแรงเพียงพอ
ในวันที่บริษัทฯเข้มแข็ง คือ สามารถล้างขาดทุนสะสมได้ทั้งหมด และสามารถจ่ายเงินปันผลได้
...วันนั้นผมจะเดินจากไป
เพราะนั่นคือปลายทางของ นักลงทุนหุ้น Turnaround"
^
^
เหล่านี้คือ แนวคิดที่มันสุมๆรวมอยู่ในหัวของผม


กับคำถามที่ว่า "พอร์ตร้อยล้านจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?"
ผมขออนุญาตเปลี่ยนคำถามนี้ เป็นคำถามที่ว่า "กำไรร้อยล้านของบริษัทฯ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?"
...และถ้าเราตอบคำถามหลังนี้ได้ ก็ไร้ความจำเป็นที่จะต้องไปนั่งหาคำตอบของคำถามแรกครับผม ^ ^

pak เขียน:1) "ผมจะไม่รวยโดยใช้คนอื่นเป็นฐาน แต่ผมจะรวยด้วยกิจการที่เรารู้สึกว่า...มันเป็นของเรา"

2) "ข่าวมีไว้เพื่อทราบ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำราคา"

3) "ผลประกอบการดี...ผมยินดีกับบริษัทฯ
ผลประกอบการแย่...ผมเสียใจ แต่มิใช่เสียใจที่หุ้นราคาตก แต่เป็นเพราะความเป็นห่วงเป็นใยฝในอนาคตของบริษัทฯ"

4) "ถ้าบริษัทฯรุ่ง ผมก็รวย
ถ้าบริษัทฯม้วย ผมก็ต้องเป็นคนหนึ่งที่จะยืดอกรับผิดชอบความผิดพลาดนั้น"

5) "ผมเชื่อว่า...ตัวเองซื้อกิจการ ผมไม่ได้ซื้อแค่หุ้น
ผมเชื่อตามหนังสือที่ว่า จะขายหุ้น ส่งไปรษณีย์ไปก็ยังทัน"

6) "ผมไม่มีเป้าหมายราคาในใจ แต่ผมมีเป้าหมายเป็นช่วงเวลา
ผมจะอยู่กับบริษัทฯของผม เดินเคียงข้างกันไป จนกว่าบริษัทฯจะแข็งแรงเพียงพอ
ในวันที่บริษัทฯเข้มแข็ง คือ สามารถล้างขาดทุนสะสมได้ทั้งหมด และสามารถจ่ายเงินปันผลได้
...วันนั้นผมจะเดินจากไป
เพราะนั่นคือปลายทางของ นักลงทุนหุ้น Turnaround"
^
^
เหล่านี้คือ แนวคิดที่มันสุมๆรวมอยู่ในหัวของผม


กับคำถามที่ว่า "พอร์ตร้อยล้านจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?"
ผมขออนุญาตเปลี่ยนคำถามนี้ เป็นคำถามที่ว่า "กำไรร้อยล้านของบริษัทฯ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?"
...และถ้าเราตอบคำถามหลังนี้ได้ ก็ไร้ความจำเป็นที่จะต้องไปนั่งหาคำตอบของคำถามแรกครับผม ^ ^

คมตลอดเลยครับ พี่คนนี้

deepwater เขียน:จากที่เป็นแฟน VI ตั้งแต่เกือบ 10 ปีก่อนและลงทุนแบบนี้มาตั้งแต่ต้น จำได้ว่าเริ่มต้นด้วยเงินที่ 5 หมื่นบาท ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นมาที่ 7 หลัก เติมเงินเข้าไปสม่ำเสมอที่มีโอกาสตลอดเวลา 10 ปี ปรับพอร์ตน้อยครั้งมาก และยอมรับว่าผมค่อนข้างประหยัด แต่ด้วยเหตุที่ต้องแต่งงาน สินสอด ผ่อนบ้าน (ขั้นต่ำทุกเดือน) เลี้ยงลูกสองขวบส่งเนอร์สเซอรี่ ดูแลพ่อแม่ ผ่อนรถเก๋งเดือนละหมื่นกว่าปลาย ๆ ทำให้พอร์ตไม่ใหญ่ขึ้นมากนัก จริงแล้วไม่อยากมีภาระ บ้านรถ แต่เพราะมีลูกจึงต้องมีเพื่ออำนวยความสะดวก...

ได้เห็นเซียนในห้องนี้หลายท่านประสบความสำเร็จถึงขนาด 9 หลักในระยะเวลาไม่นาน เลยสงสัยว่าปัจจัยใดที่ทำให้สำเร็จได้เร็ว
1. เริ่มต้นด้วยเงินที่มากกว่ามากมาก
2. รายได้มี่มากกว่ามากมาก และประหยัดด้วย
3. แบ่งพอรตออกเป็นสองส่วน สลับหุ้นหรือปรับพอร์ตบ่อยครั้ง หรือเล่นเดย์เทรดบ้างเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น
4. แน่นอน อ่านหนังสือ งบให้มาก
5. คาดการณ์แนวโน้มอนาคต
6. ถูกทุกข้อ ไม่นับข้อนี้

แต่อยากให้เซียนแนะนำว่าปัจจัยใดที่ทำให้ท่านประสบความสำเร็จมากที่สุด ให้เป็นคะแนน 1 น้อยสุด 5 มากสุด

ขอเป็นความคิดเห็นนะครับ

Practice, practice, practice.....
Follow the law of 10,000 hours. You need to have passion.
Please note: after years of practice, I have not reached goal as yet. Still far away. But I am loving it.

deepwater เขียน:...

ได้เห็นเซียนในห้องนี้หลายท่านประสบความสำเร็จถึงขนาด 9 หลักในระยะเวลาไม่นาน เลยสงสัยว่าปัจจัยใดที่ทำให้สำเร็จได้เร็ว
1. เริ่มต้นด้วยเงินที่มากกว่ามากมาก
2. รายได้มี่มากกว่ามากมาก และประหยัดด้วย
3. แบ่งพอรตออกเป็นสองส่วน สลับหุ้นหรือปรับพอร์ตบ่อยครั้ง หรือเล่นเดย์เทรดบ้างเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น
4. แน่นอน อ่านหนังสือ งบให้มาก
5. คาดการณ์แนวโน้มอนาคต
6. ถูกทุกข้อ ไม่นับข้อนี้
...

ใช้การทบต้น ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรง (อ่านเพิ่มได้ในกระทู้คุณลูกอิสาน คุณโยโย่ )

1.เวลา ยิ่งเร็วยิ่งดี ...
- น่าจะวางแผนการลงทุนโดยใช้เวลา 5 ปีขึ้นไป ถึงจะเห็นผลตอบแทนแบบทบต้น

2.เงินต้น ...
ถ้ามีทั้ง 2 ข้อก็ดี
- 1. เริ่มต้นด้วยเงินที่มากกว่ามากมาก
- 2. รายได้มี่มากกว่ามากมาก และประหยัดด้วย

3.ผลตอบแทน ทำให้มากๆยิ่งดี ภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำ
ผลตอบแทนขึ้นกับความรู้
- 4. แน่นอน อ่านหนังสือ งบให้มาก
- 5. คาดการณ์แนวโน้มอนาคต รู้มากขนาดเดาอนาคตได้ใกล้เคียง

สุดท้ายถ้าเรามีเวลาในการลงทุนน้อย เงินลงทุนก็ไม่มากนัก (แต่อยากรวยเร็ว)

ก็ต้องฝากความหวังไว้ที่ผลตอบแทน

ผลตอบแทนที่ดี ก็ขึ้นกับ ความรู้ ความเข้าใจในการลงทุนที่ดี

ความรู้ ความเข้าใจในการลงทุน นั้นจะมีได้ก็ขึ้นกับ

1 หาความรู้ด้วยตนเอง อ่านหนังสือให้มาก ๆ ถ้ามีสติปัญญาดี ก็เรียนเร็ว ถ้าสติปัญญาปานกลางก็ต้องขยันหน่อย ถ้าสติปัญญาน้อยก็ต้องขยันมาก ๆ

2 มีเพื่อนดี อาจารย์ดีคอยแนะนำ ก็จะไปถูกทางได้เร็วขึ้น
เพื่อนดี อาจารย์ดี ในนี้มีเยอะ อยู่ในคลังคุณค่าก็มาก
ถ้าไปอ่านใน 100คน100หุ้น ก็ต้องคิดดี ๆ นะ ว่ามาถูกที่หรือเปล่า

สุดท้าย ถ้ายังคิดอะไรไม่ออก ก็ไปทำบุญ ทำทาน ตามกำลังที่มี เมื่อจิตใจดี เป็นกุศลก็มักจะคิดอะไรดี ๆ ออก เป็นผลจากกุศลกรรม ที่ทำดี

การถือศีล ทำภาวนาก็เป็นการทำดี ใจเป็นกุศล เหมือนกัน

จริง ๆ เรื่องการทำทาน ถือศีล ภาวนา ก็ต้องใช้ความรู้ในการทำเหมือนกัน

เช่นถ้าทำทานด้วยความโลภ ทำบุญเพื่อให้ได้มา ใจเกิดความอยาก ใจก็ไม่เป็นกุศล

เพราะฉะนั้นผมคิดว่าจะทำอะไร ให้ได้ดี ก็ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้องในสิ่งที่ทำ

ชอบกระทู้นี้และความเห็นของทุกคนที่เข้ามาตอบ ขอบคุณครับ สำรับผมแล้วมีความเห็นเพิ่มตามนี้ครับ
1.การดูแลพ่อแม่ ไม่ได้เป็นการถ่วงการเติบโตของพอร์ท แต่กลับเป็นแรงหนุนให้เรามีกำลังที่จะคิดและทำ
แต่เรื่องดีๆ ส่วนตัวผมเชื่อสนิทใจด้วยซำ้ว่าลูกคนที่ดูแลพ่อแม่จะได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ดูแลแน่นอน ท่านคือพระอรหันต์ในบ้านครับ
2.หนึ่งในแก้วสามประการของพี่โจ เรื่องระยะเวลาในการลงทุน ไม่ได้หมายถึงการเริ่มต้นเร็วอย่างเดียว แต่หมายถึงการได้อยู่ลงทุนอย่างอายุยืนด้วยครับ เพราะฉะนั้นการดูแลสุขภาพ ทั้งอาหาร ออกกำลังกายและอารมณ์ไม่เครียด เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กับการเพิ่มอัตราผลตอบแทนครับ ว่าที่จริงแล้ว
การมีพอรท์ 8 หลักโดยสุขภาพแข็งแรง น่าจะมีความสุขมากว่าพอร์ท 9 หลักแต่สุขภาพเดี้ยงด้วยซำ้ไป

จะเอาข้อคิดดีๆของทุกท่านเป็นแนวทาง เพื่อเดินเข้าหาเป้าหมายอย่างมีความสุขครับ

เริ่มต้นได้โดย

มีรายรับ มากกว่ารายจ่าย
ลงทุนให้เป็น
มีคนหนุนหลังเรา
มีเวลาพอเพียง
เยี่ยมที่สุดต้องมีครอบครัวที่ดี (ถ้าครอบครัวไม่ดี ผมว่าไปลำบากมาก)

ไปละ ชิ๊ววววว

masterben888 เขียน:ชอบกระทู้แบบนี้มากครับยิ่งมีคนเก่งๆ เข้ามาตอบยิ่งได้แนวคิดอะไรที่เราคิดไม่ถึง
หรือลืมไประหว่างการลงทุน บางครั้งก็เผลอลืมไปอยากเร่งพอร์ตให้ถึงเป้าหมายเร็วๆ
การลงทุนเริ่มไม่มีความสุข

ผมคิดว่านักลงทุนชาว VI ส่วนใหญ่จะคิดคล้ายๆกันอยากมีอิสระภาพทางการเงิน
เพราะมีต้นแบบจากพี่ๆที่เก่งๆซึ่งตอนนี้มีเยอะมาก และก็น่าจะคิดคล้ายๆกันคือ
เป้าหมายการมีอิสระภาพทางการเงินคือจะประมาณ 20 ล้าน ++
จากนั้นตั้งเป้าทำผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 5-20 % ต่อปี ซึ่งน่าจะเพียงพอกับการใช้จ่าย
ในครอบครัวของนักลงทุนที่ไม่ฟุ้งเฟ้อ บางคนก็ตั้งที่ 30 50 100 ล้าน
อาจเพื่อความมั่นใจในความสบายในอนาคตของตัวเองและครอบครัว รวมถึงน่าจะเป็น
เป้าหมายของความภูมิใจที่ทำตามความฝันได้สำเร็จ

การมีอิสระภาพทางการเงินที่พูดๆกันนั้น บางท่านอาจจะคิดว่าอยากรวยมากๆไปทำไม
ผมก็ไม่รู้ว่าถ้าวันนึงไปยืนอยู่ที่จุดนั้นบ้างจะรู้สึกอย่างไร แต่ผมคิดเอาเองว่า การมีอิสระภาพทางการเงินน่าจะเติมเต็มอะไรหลายๆอย่างในชีวิตได้
เช่น
- มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น
- มีเวลาดูแลสุขภาพมากขึ้นทั้งการพักผ่อนและออกกำลังกาย
- ตัดปัญหาจากความเครียดจากที่ทำงานและการจราจรตอนเช้า-เย็น
- มีเวลาได้ศึกษาธรรมะแบบเต็มที่ทั้งจากการบวชเรียนและอ่าน
- มีเวลาได้อ่านหนังสือดีๆที่อยากอ่านเยอะๆ
- อยากกลับไปเรียนบัญชีแบบจริงจัง
- อยากไปเที่ยวต่างประเทศในหลายๆประเทศ เพราะต้องใช้ทั้งเวลาและเงิน
- อยากเดินทางไปสัมผัสวัฒนะธรรมไทยในทุกๆจังหวัด
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออยากให้คนรอบข้างเราทุกคนสบายไม่ลำบาก

ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้เรียกว่าความสุขหรือเปล่า รู้แต่ว่ามันเป็นความฝันครับ

อ่านแล้วตรงใจมากครับ

จุดเริ่มต้นของพอรต์ร้อยล้าน เกิดขึ้นได้อย่างไร

ผมเคยถามคำนี้กับ คุณ gs mobile การจะมีเงินร้อยล้าน ต้องมาจากสิบล้าน

และการจะมีพอรท์หลักสิบล้าน ก้ต้องมาจากเงินล้าน

ถ้าเริ่มด้วยเงินล้าน การทำเป็น 100 ล้าน=100เท่า

ถ้าเริ่มด้วยเงินแสน การทำเป็น 100 ล้าน=1000เท่า

เราต้องเดิน บนถนนแห่งนักลงทุน มองกิจการให้เป็นกิจการ มองภาพใหญ่ในกิจการให้ออก

ไม่ถอนกำไรออกมา เก็บสะสมทบต้นไปเรื่อยๆ

ต้องมี ศรัทธา และเป้าหมาย ครับ


และข้อสุดท้าย ต้องไม่ขาดทุน

ขอบคุณสำหรับคำสอนของพี่ท่าน ผู้ซึ่งดูแลและให้คำแนะนำเหมือนพ่อ

คอยปลอบใจเหมือนเพื่อน และคอยเป็นที่ปรึกษาเหมือนพี่

เงินจะกี่หลัก ก็คงไม่สู้ใจที่เป็นสุขได้น่ะครับ

ผมกลับจะมีความสุขเมื่อได้กิจการดีๆมาครอบครอง อแล้วมีปันผลมาเลี้ยงเราได้

เงินยิ่งได้มาก็จะทำให้เราอยากได้มากขึ้นอย่างไม่มีที่สุด

นั่นคือความโลภที่ก่อตัวในใจเรา เห็นหลายคนเล่นหุ้นเหมือนติดยาเสพติด

คนที่รวยที่สุดในโลกนี้ที่ผมเห็นก็คือพระอรหันต์เท่านั้น

นอกนั้นแล้วผมว่าไม่รวยจริงสักคน อยากมีอยากได้อย่างไม่สิ้นสุด กระทั่งตัวผมเอง

สะสมโลกียทรัพย์เหนื่อยและเอาไปไม่ได้ สะสมอริยทรัพย์ดีกว่าและนำติดจิตเราไปได้ตลอด

ผมคิดว่าถ้าเราเป็นviกันจริงๆก็รวยโลกียทรัพย์แล้ว ไม่ต้องเล่นหุ้นแบบนักการพนัน

ลองคิดเล่นๆครับ

บ้านหลังละ 3-4ล้าน

รถคันละ 5แสน-1ล้าน

เงินเก็บที่ใช้ยามฉุกเฉินสัก 1-2ล้าน

ค่ากิน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทร+net ค่าสังคม ประกัน เงินลงทุน

มีเงิน สัก1-2ล้าน พอจ่ายอะไรได้บ้างครับ

มีมากก้ทุกข์ ไม่มีก้ ทุกข์

ลองคิดเล่นๆครับ อีก10ปี ข้าวจานละ100 แล้วเงิน1ล้านจะเหลือค่าพอทำอะไรได้

ขอบคุณที่ตั้งกระทู้ดีๆ และคำแนะนำ ความเห็นดีๆ
ทุกประโยค มีคุณค่าเสริมสร้างกำลังใจเพื่อเดินหน้าลงทุนต่อไป
เป็นความรับผิดชอบของทุกคนที่ลงทุน

Port 100 ล้านของผม จุดเริ่มต้นมันมาจาก excel ทุกวันนี้มันก็อยู่บน. Excel

Excel มันบอกผมว่า ต้องเดินทางอีก 32 ปี ตอนนี้เดินทางมาแล้ว 2 ปี

วันนี้ผมอายุ 30 อีก 30 ก็ 60 ปี ถึงวันนั้นคงจะปลงอะไรใช้ชีวิตไปเยอะ

เป้าหมายที่เคยคิดเหมือนเจ้าของกระทู้ เลยเปลี่ยนไป

ขอให้ 45 เป็นการทำงานที่มีอิสระ ไม่ต้องทำงานหนักเพื่อเงิน มีเวลาไปทำงานเพื่อความสุขอื่นในชีวิต

เพราะผมยังเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า คนเราต้องตื่นมาทำงาน ครับ

chukieat30 เขียน:ลองคิดเล่นๆครับ

บ้านหลังละ 3-4ล้าน

รถคันละ 5แสน-1ล้าน

เงินเก็บที่ใช้ยามฉุกเฉินสัก 1-2ล้าน

ค่ากิน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทร+net ค่าสังคม ประกัน เงินลงทุน

มีเงิน สัก1-2ล้าน พอจ่ายอะไรได้บ้างครับ

มีมากก้ทุกข์ ไม่มีก้ ทุกข์

ลองคิดเล่นๆครับ อีก10ปี ข้าวจานละ100 แล้วเงิน1ล้านจะเหลือค่าพอทำอะไรได้

ผมว่าบางครั้ง... ไม่มีกลับสุข... การมีกลับยิ่งทุกข์

เคยอ่านสัมภาษณ์พระรูปหนึ่งชื่ออะไรไม่รู้ อ่านแล้วตราตรึงมาจนถึงทุกวันนี้ พูดถึง "ความสุขจากการไม่มี"

แถมสุขที่เกิดจากความไม่มีนี่ เป็นสุขที่ละเอียด ละเมียด ละไม เห็นได้ยาก แต่เมื่อเห็นแล้ว จะพบว่าเป็นสุขที่สงบ สันติ เป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ ที่เราจะรู้เลยว่า เราสามารถที่จะมีมันได้ทุกเมื่อ เมื่อเรารู้จักที่จะวางสิ่งต่างๆ ลง

ผมคิดว่า เรายังคงใช้ชีวิตอยู่แบบฆราวาส มีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ ย่อมมีการใช้เงินเพื่อเลี้ยงดูบำรุงรักษาให้ความรู้

ผมคิดว่าเงินทองยังไงก็มีดีกว่าไม่มี เพียงแต่เราก็ควรใช้จ่ายอย่างมีสติ ใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ที่คุ้มค่า

การทำงาน การลงทุน เราก็ควรหวังผลตอบแทนตามความเป็นจริง ไม่หวังผลเลิศเกินจริง ซึ่งจะทำให้เราผิดหวังเมื่อไม่ได้ตามนั้น

ระยะเวลาในการลงทุนและจํานวนเงินในการลงทุน
เป็นปัจจัยคงที่ของแต่ละคนเปลี่ยนแปลงได้ยาก
ดังนั้นสิ่งที่สําคัญที่สุดคืออัราผลตอบแทนการลงทุน

นักลงทุนที่จริงจังแทบทุกคนรู้วิธีการลงทุนให้ได้ผตอบแทนที่สูงสุดในเวลาสั้นๆ
โดยการเลือกหุ้นที่มีโอกาสโตหลายๆเท่าในระยะเวลาไม่นาน
ถือหุ้นตัวเดียวทั้งพอร์ท ใช้มารจิ้นเต็มวงเงิน
แต่มีไม่กี่คนที่ใช้วิธีนี้
เพราะผลตอบแทนสูงมากความเสี่ยงก็สูงมากเช่นกัน
โอกาสรวยเร็วมาพร้อมโอกาสหมดตัวเร็ว

ที่สําคัญมากอีกอย่างคือความเครียดระดับที่หลายคนรับไม่ไหว
สมมติหุ้นตัวเดียวที่คุณถืออยู่หนึ่งล้านบาท
มีข่าวไม่ดีมากระทบซึ่งยังไม่รู้ว่าจริงหรือไม่
เงินคุณหายไป2-3แสนใน3-4วัน
โบรกเรียกคุณเติมเงินมาร์จิ้น
ใจคุณจะสั่นไหม กลางคืนจะนอนหลับไหม
จะบอกครอบครัวคนที่คุณรักว่าอย่างไร

แต่ถ้าถามว่ามีคนรวยอย่างรวดเร็วจากวิธีนี้ไหม
บอกได้เลยว่ามีและหลายคนด้วยแค่เฉพาะในเวปนี้
รวยระดับร้อยล้านพันล้านเลยแหละ
ปัญหาคือคุณเก่งและจิตใจเข้ทแข็งเท่าเขาหรือไม่

สําหรับผมเวลา ชีวิต สุขภาพแข็งแรง นํ้าใจไมตรี
ควาสุขทางจิตใจ คนที่ผมรักและเขารักผม ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้สําหรับผมมีค่ากว่าเงินมากมายนัก
การลงทุนของผมจึงเหมือนการเดินชมสวนดอกไม้
ค่อยๆเดินค่อยๆไป หลีกเลี่ยงความเสี่ยงและความเครียดทุกอย่าง
ยังไงก็ถึงเป้าหมายอยู่ดี ช้าเร็วบ้างผมไม่ได้รีบร้อนไปไหน
ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ

ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ

ส่วนอีกวิธีที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงก็คือเริ่มจากเงินต้น 200 ล้านไปซื้อหุ้นที่ overvalue มากๆ อยู่ในธุรกิจที่ไม่มีอนาคต สิ้นปีมีโอกาสได้เห็นพอร์ท 100 ล้านครับ

พอร์ตไม่ถึง 100 ล้านนะครับ แต่มีแปดหลักต้น ๆ ติ๊ด ๆ รวมเงินสด LTF RMF

ชีวิตในวัยเด็กจน อย่ามาแข่งความจนกับผมเลย

ลงทุนในหุ้นมาพร้อมกับวันที่เล่นไทยวีไอ 2007 มั๊งครับตอนนั้นเริ่มก็หลายแสนอยู่

1 เน้นหุ้น Growth เวลาลงทุนดู Downside มากกว่า Upside อ่านหนังสือ ของ ฟิชเชอร์ พ่อลูก และอาจารย์ วิลเลียม โอนีล และต้องทำรายงาน แม้กระทั่้ง ค่าคอม ค่า VAT จดให้ละเอียด

2 ไม่ลาออกจากงาน ได้เงินเดือนมาเป็น คชจ. ประจำเดือน ให้ พ่อ ให้ แม่ ให้เมีย เก็บไว้ให้ลูก ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ พอร์ตหุ้นปล่อยมันโตไป ไม่ต้องเอามาใช้ ประหยัดภาษีด้วยการซื้อกองทุน LTF RMF

นลท ที่ชอบ โจ ลูกอิสาน แต่คงเป็นเหมือนเค้าไม่ได้เพราะน้องเค้า เก่งเกิ๊น

Nevercry.boy เขียน:พอร์ตไม่ถึง 100 ล้านนะครับ แต่มีแปดหลักต้น ๆ ติ๊ด ๆ รวมเงินสด LTF RMF

ชีวิตในวัยเด็กจน อย่ามาแข่งความจนกับผมเลย

ลงทุนในหุ้นมาพร้อมกับวันที่เล่นไทยวีไอ 2007 มั๊งครับตอนนั้นเริ่มก็หลายแสนอยู่

1 เน้นหุ้น Growth เวลาลงทุนดู Downside มากกว่า Upside อ่านหนังสือ ของ ฟิชเชอร์ พ่อลูก และอาจารย์ วิลเลียม โอนีล และต้องทำรายงาน แม้กระทั่้ง ค่าคอม ค่า VAT จดให้ละเอียด

2 ไม่ลาออกจากงาน ได้เงินเดือนมาเป็น คชจ. ประจำเดือน ให้ พ่อ ให้ แม่ ให้เมีย เก็บไว้ให้ลูก ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ พอร์ตหุ้นปล่อยมันโตไป ไม่ต้องเอามาใช้ ประหยัดภาษีด้วยการซื้อกองทุน LTF RMF

นลท ที่ชอบ โจ ลูกอิสาน แต่คงเป็นเหมือนเค้าไม่ได้เพราะน้องเค้า เก่งเกิ๊น

รบกวนถามหน่อยครับ วิลเลี่ยม โอนีล เห็นหลายคนแนะนำ แต่ไปเปิดๆดูหนังสือเค้าเน้นแนวเทคนิค มีเล่มไหนที่ไม่ใช่แนวเทคนิคจ๋ามั๊ยครับ ขอบคุณครับ

nameisnothing เขียน:รบกวนถามหน่อยครับ วิลเลี่ยม โอนีล เห็นหลายคนแนะนำ แต่ไปเปิดๆดูหนังสือเค้าเน้นแนวเทคนิค มีเล่มไหนที่ไม่ใช่แนวเทคนิคจ๋ามั๊ยครับ ขอบคุณครับ

อ. โอนีล ท่านเป็นแนว CANSLIM ครับ

วิธีดูหุ้นเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณ
วิธีการและแนวทางการลงทุน ที่ผสมข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณเป็นเกณฑ์ในการเลือก หุ้นลงทุน แนวคิดที่สำคัญในการลงทุนคือ “มองหาหุ้นที่โตเร็วที่มีศักยภาพในการที่ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง” นั้นคือ ซื้อหุ้นเมื่อบริษัทแข็งแกร่ง ขายออกเมื่อบริษัทอ่อนแอลงเขาแนะนำนักลงทุนให้ใช้แนวทาง 7 ประการในการลงทุน โดยมีตัวย่อ C-A-N-S-L-I-M

C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings)
มองหาบริษัทมีเพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40 – 500%

A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases)
มอง หาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกันห้าปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25%ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ PE Ratio ซึ่งช่วงของ PE อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป

N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs)
หุ้น ที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆอยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่

S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand)
หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้

L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards)
เลือก ลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆซัก 2 -3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆในหมวดเดียวกันในอัตรา 80 – 90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน

I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship)
หา ให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ

M = ทิศทางของตลาด (Market direction)
ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญณาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น

ตัดขาดทุน เขาแนะนำให้ทำการขายหุ้นออกเมื่อหุ้นนั้นตกลงต่ำกว่า 7-8% จากราคาที่ซื้อมาโดยไม่ต้องมีคำถาม

ขายหุ้นที่ขึ้นไม่ถึง 20%ภายใน13 สัปดาห์ ให้ถือหุ้นที่ขึ้นเกิน 20% ภายใน 4 – 5 สัปดาห์ หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรมากที่สุด

ใน กรณีที่หุ้นที่คุณซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25%อย่างรวดเร็วภายใน 1-2สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดีทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บ หุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรในช่วงนี้

ที่มา: [email protected]
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=43876
------------------------------------------------------

Investopedia explains CAN SLIM
The seven-part criteria is as follows:

C - Current quarterly earnings per share has increased sharply from the same quarters' earnings reported in the prior year. (Beware of items in financial statements that can cause earnings distortions.)

A - Annual earnings increases over the last five years.

N - New products, management, and other new events. In addition, the company's stock has reached new highs.

S - Small supply and large demand for a stock creates excess demand, and an environment in which stock prices can soar. Companies acquiring their own stock reduces market supply and can indicate their expectation of future profitability. Look for low debt-equity ratios.

L - Choose leaders over laggard stocks within the same industry. Use the relative strength index as a guide.

I - Pick stocks who have institutional sponsorship by a few institutions with recent above average performance. Be cautious of stocks that are over owned by institutions.

M - Determining market direction by reviewing market averages daily.

..........................

อ. โอนีล ท่านไม่เรียกตัวเองว่านักลงทุนเติบโตหรือโมเมนตัม หรือเทคนิคหรือแวลู หรืออื่น ๆ เพราะหลาย ๆ อย่างมันไม่ชัดเจนในคำนิยาม ผมก็เหมือนกันครับ ผมก็ไม่ได้นิยามตัวเอง ผมตั้งใจลงทุนก็เพื่อผลตอบแทนครับ ไม่ได้จำกัดอะไรตัวเอง แต่การอ่านหนังสือและปรับใช้ ผมไม่ได้ยึด แบบ อ.โอนีล เป๊ะ ๆ นะครับ ผมอ่านและนำแนวทางของพ่อลูกฟิชเชอร์มาใช้ และปรับแนวทางของ อ.โอนีล ให้เข้ามากกว่า น่าจะเรียกว่าเป็นแนวทางของ Nevercry.boy มากกว่า ผมว่าน่าจะเป็นแบบนั้น เหมือน โจ ลูกอิสาน ก็มีแนวทางของเค้า แต่เค้าเอาแนวทางมาจากความรู้และปรับใช้ มันเหมือนกันเป๊ะ ๆ มั๊ย ผมว่าคงไม่

ใครจะเรียกผมเป็นนักลงทุน คุณค่า แวลู โกร์ธ โมเมนตัม หรือ CANSLIM หรือเก็งกำไร หรือแมงเม่า อะไรก็ได้ทั้งนั้น ตราบใดที่เรารู้ว่าเราทำอะไร บนปรัชญาการลงทุนของเรา ผมว่าอันนั้นผมว่าสำคัญ

ส่วนหนังสือลงทุน ผมคิดว่าผมน่าจะอ่านไปแล้วเกิน 50 เล่มนะ ถ้าจะให้แนะนำ อันนี้เขียนจากที่นึกนะ ผมชอบ 8 เล่มนี้ อ่านให้หมดแล้วมาสร้างแนวทางของตัวเองน่าจะดีที่สุด

1 The Essays of Warren Buffett
2 Common Stocks and Uncommon Profits
3 Paths to Wealth Through Common Stocks
4 Super Stocks
5 Debunkery: Learn It, Do It, and Profit from It -- Seeing Through Wall Street's Money-Killing Myths
6 How to Make Money in Stocks: A Winning System in Good Times and Bad อันนี้ของ อ.โอนีล
7 Beating the Street
8 The Little Book That Builds Wealth: The Knockout Formula for Finding Great Investments (Little Books. Big Profits)

เราไม่อยากได้พอร์ตร้อยล้านค่ะ ขอแค่99 ล้านก็พอ อิอิ (มักน้อยนิ)

stevejob เขียน:เราไม่อยากได้พอร์ตร้อยล้านค่ะ ขอแค่99 ล้านก็พอ อิอิ (มักน้อยนิ)

คุณสตีฟ แล้วเอาหุ้น APPLE ไปทิ้งที่ไหนหมด ถึงเหลือ แค่ 99 ล้านเอง

^^. พอออก iphone5 หุ้นก็ร่วงเลยจ้า

ของผมยังไม่ใกล้เคียงนะครับ และก็ไม่ได้มองไว้ถึงขนาดนั้นด้วย สัก 8 หลักกลางๆก็กำลังสวยแล้วครับ
แต่เข้ามาแชร์เพราะได้มีโอกาสรู้จักคนที่มีถึง 9 หลักอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นเฉพาะหุ้นอย่างเดียวนะครับ บางคนก็มาจากธุรกิจการค้า งานประจำ หรือ ผสมๆกัน แต่เน้นคนที่สร้างตัวได้ในรุ่นตัวเอง ไม่นับรับมาจากรุ่นพ่อแม่

สิ่งที่ผมเห็นว่าเขามีเหมือนกันก็คือ
อย่ากแรกเป็นคนเก่งครับ เก่งในงานการของเขาเอง ศึกษาหาความรู้จริงจัง ขยันขันแข็ง ไม่ท้อถอยในอุปสรรคต่างๆที่ผ่านเข้ามา ถ้าเป็นคนที่เล่นหุ้นก็ให้เวลากับการศึกษาหุ้นที่สนใจจนเข้าใจเหมือนเป็นเจ้าของธุรกิจ

อย่างที่สองคือรักในงานของตนเองครับ บางคนนั้นแทบจะไม่สนใจกับเงินทองที่เพิ่มขึ้นมาเท่าไรเลย แค่ขอให้ได้ทำในงานที่รักให้ดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว เวลาได้คุยกับคนเหล่านี้แล้วก็จะสัมผัสได้ว่าเขามีพลังบางอย่างออกมา อย่างที่เราไม่มีในตอนนี้ครับ สำหรับนักลงทุนผมก็เชื่อว่าก็ต้องรักในการลงทุนอย่างมากด้วย

อย่างที่สามคือความมีวินัยและประหยัดครับ จะไม่ใช้เงินทองอย่างไม่มีวินัย ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ไม่ฟุ้งเฟ้อตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นสิ่งที่จำเป็นกับการใช้ชีวิต

ตอนนี้ผมก็กำลังพยายามฝึกตนเองอยู่เช่นเดียวกัน หวังว่าสักวันคงไปได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่คิดไว้ครับ

กระทู้ที่ดีครับ เข้ามาเก็บความรู้ครับ ขอบคุณทั้งจขกท และผู้ให้ความเห็นทุกคนครับ

Nevercry.boy เขียน:พอร์ตไม่ถึง 100 ล้านนะครับ แต่มีแปดหลักต้น ๆ ติ๊ด ๆ รวมเงินสด LTF RMF

ชีวิตในวัยเด็กจน อย่ามาแข่งความจนกับผมเลย

ลงทุนในหุ้นมาพร้อมกับวันที่เล่นไทยวีไอ 2007 มั๊งครับตอนนั้นเริ่มก็หลายแสนอยู่

1 เน้นหุ้น Growth เวลาลงทุนดู Downside มากกว่า Upside อ่านหนังสือ ของ ฟิชเชอร์ พ่อลูก และอาจารย์ วิลเลียม โอนีล และต้องทำรายงาน แม้กระทั่้ง ค่าคอม ค่า VAT จดให้ละเอียด

2 ไม่ลาออกจากงาน ได้เงินเดือนมาเป็น คชจ. ประจำเดือน ให้ พ่อ ให้ แม่ ให้เมีย เก็บไว้ให้ลูก ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ พอร์ตหุ้นปล่อยมันโตไป ไม่ต้องเอามาใช้ ประหยัดภาษีด้วยการซื้อกองทุน LTF RMF

นลท ที่ชอบ โจ ลูกอิสาน แต่คงเป็นเหมือนเค้าไม่ได้เพราะน้องเค้า เก่งเกิ๊น

อยากแข่งความจน ชีวิตในวัยเด็กกับท่าน NB จัง อิอิ
ผมคิดว่าครอบครัวผมไม่แพ้ใครเรื่องความจนครับ
จนทั้งเงินทอง จนทั้งความรู้ สติ ปัญญา
จนทั้งสังคมความเจริญ จนทั้งโอกาส

เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
ผม เอาชนะได้ด้วยตั้งใจมั่น ความเพียร ฝักใฝ่ เลือกเดินทางที่ถูกต้อง
เพื่อให้ หลุดพ้นแห่งความจนเหล่านั้นครับ