เราลองมาเล่นแบบสมัยเด็กๆกัน..เหมือนเด็กผู้หญิงเล่นขายของ....
ถ้าพอร์ตถูกบริหารเหมือนเป็นบริษัท
เราเป็น กรรมการผู้จัดการ
สินค้าที่บริษัทเราขาย = สินค้าบริษัทที่เราซื้อหุ้นเก็บไว้ในพอร์ต
ผู้จัดการของเรา = กรรมการผู้จัดการของหุ้นที่เราซื้อ
ราคาหุ้นที่แพงมากขึ้น = การลงทุนในบริษัทนั้นแพงมากขึ้น จุดหนี่งเราคงไม่ลงทุนขยายกิจการสำหรับสินค้าตัวนั้นๆ
การขายหุ้น = การที่ผู้จัดการของเราไม่สามารถทำตามแผนที่ได้วางไว้ หรือ สภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงไปจนกิจการฯและกลยุทธที่ผู้จัดการของเราคิดไว้ไม่สามารถสร้างผลกำไรให้กิจการได้อีกต่อไป
การซื้อหุ้นเพิ่ม = การลงทุนในบริษัทเพื่อขยายการผลิตสินค้า
การซื้อหุ้นเพิ่มแต่เป็นหุ้นตัวใหม่ = การลงทุนเพื่อขยายชนิดสินค้าในบริษัทเรา ซี่งต้องวิเคราะห์การลงทุนว่าคุ้มหรือไม่ และ ผู้จัดการเราเก่ง และ เป็นคนดีหรือไม่
การเลือกหุ้น Growth/Defensive = การเลือกผลิตภัณฑ์ของเรา
----->หุ้น Growth = สินค้าตัวนี้จะมี liquidity ให้บริษัทฯน้อย(ปันผลน้อยหรือไม่มี)สินค้ามักจะเป็นพวกที่อยู่ในช่วง Growth Stage ใน Product Life Cycle....
----->หุ้น Devensive = สินค้าตัวนี้มี Liquidity ให้บริษัทฯมาก (ปันผลมาก) สินค้ามักจะอยู่ในช่วง Mature เติบโตตาม Organic Growth แต่มันก็เป็น แม่นมให้นมเรา (Cash Cow)
ในแต่ละไตรมาส ผู้จัดการของเรามีหน้าที่รายงานกับเราว่าผลงานของเขาเป็นอย่างไร
ผู้จัดการบางคนสร้าง Cash Flow ให้บริษัทเราเพราะสินค้ามันเป็น Cash Cow ทำให้เรามีเงินสดเพื่อเอาไปลงทุนเพิ่ม (หรือโดนเมียยึดเอาไป
)....
ผู้จัดการบางคนสร้าง Cash Flow ให้เราไม่ได้เพราะเขาเอาไปลงทุนในสินค้าเค้าทั้งหมดเพราะมันโตไวมาก (หุ้น Growth) เราต้องซักถามรายละเอียดให้ดี เพราะผู้จัดการตัดสินใจแทนเราไปแล้ว...
เรามีหน้าที่อยู่เพียงสองประการ
1. ผลงานของผู้จัดการยังเป็นไปตามแผนงาน กลยุทธที่ผู้จัดการเหล่านี้ทำยังใช้ได้ดีต่อไป กิจการที่ Growth มากๆเป็นเพราะผู้จัดการเรามอง Short Term มากกว่า Long Term หรือไม่ หรือ กิจการที่สร้างกระแสเงินสดให้เรามากๆ (ปันผลมากๆ) เป็นเพราะผู้จัดการเราไม่มีความสามารถที่จะเอาไปลงทุนต่อในสินค้าตัวนั้นหรือไม่ หรือ สินค้ามันเป็น Commodity ไปแล้ว แต่ถ้ามันถึงขั้นสินค้าตัวนี้อาจไม่ได้รับความนิยมต่อไปแล้ว เราก็อาจต้องทำอะไรบางอย่าง
2. Cash Inflow ที่เพิ่มขึ้นเราจะเอาไปทำอะไรในบริษัทของเรา ผู้จัดการคนใหนควรจะได้เงินลงทุนนี้ไป (ซื้อหุ้นตัวนั้นๆเพิ่ม)
ดังนั้น....
1. ตลาด SET จะวิ่งแบบบ้าคลั่ง ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไร
2. ในพอร์ต เราจะพบตลอดเวลาว่า หุ้น (สินค้า) ตัวใหนน่าลงทุนมากสุดในแต่ละช่วงเวลา (เทียบกับ หุ้นตัวอื่นๆในพอร์ต)
3. ถ้าเรามีสินค้า (หุ้น) ในพอร์ตจำนวนมากพอ และ มีการคิดเรื่อง Leverage ของสินค้าไว้อย่างดี เช่น ถ้าราคาน้ำมันแพง....สินค้า A จะขายดี แต่สินค้า B ของเราจะขายแย่ลงเพราะกระทบต้นทุนโดยตรง .....เราจะพบว่าไม่ว่าเกิดวิกฤต หรือ หุ้นบ้าคลั่ง ....พอร์ตของเราก็ยังพร้อมที่จะให้ลงทุนเสมอๆ ในกรณีที่น้ำมันแพงขึ้นมากๆ และผมรู้ว่ามันเป็นแค่ชั่วคราว ผมก็จะเอาเงินไปลงทุนเพิ่มในสินค้า B เพราะตอนนั้น "การลงทุนจะไม่แพงและให้ผลตอบแทนดีในอนาคตเมื่อราคาน้ำมันกลับมาปกติ"
ลองเล่นแบบเด็กๆ เหมือนผมซิครับ โอกาสจะมาเสมอๆ ....มีความสุขเหมือนเด็กๆ ไม่ว่าจะ Bull หรือ Bear