|0 คอมเมนต์
picatos เขียน:ตอบพี่ BeSmile ว่าไม่ได้ใช้ความคิดมากไป มันแค่ลอยขึ้นมาในหัวในชั่วเสี้ยิววินาที ขณะกำลังอ่านกระทู้
ส่วนที่ว่าทำถูกทุกอย่างแต่ยังจนนี่ อันนี้นี่ถูกต้องจริงๆ ครับ ทั้งฉลาดจริงๆ ขยันจริงๆ แต่บางครั้งผลกรรมบางอย่างในอดีตมาเบียดเบียน เลยทำให้จน เช่น หาเงินมาได้ก็โดนขโมย มีเหตุที่ต้องใช้เงิน ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บปวดของร่างกายตัวเองหรือคนรัก หรือเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ ร่างกายพิการทำงานต่อไม่ได้ ฯลฯ
เคยเจอคนที่ซวยซ้ำ ซวยซ้อน ซวยแล้ว ซวยอีกไหมครับ แบบว่ากรณี black swan worst case เลย ซึ่งกรณีแบบนี้ มันมีอยู่จริงในโลกนะครับ ตรรกะปกติจะใช้การอะไรไม่ได้เลย ซึ่งมันลอยขึ้นมาในหัวว่า เออ ถ้าเราเจอเหตุการณ์ แบบนี้ เราจะอยู่กับมันอย่างมีความสุขได้ไหม? เราจะจัดการกับกายใจของเราอย่างไร? เราจะยกจิตตัวเองอย่างไรในสภาวะแบบนั้น? เราจะอยู่กับปัจจุบันให้ใจเราผ่องใสได้อย่างไร ไม่ว่าจะเจอ เหตุการณ์ที่เลวร้ายแสนเลวร้าย?
แต่ผมเชื่อในกฎแห่งกรรมนะ ผมเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่พอดีผมเชื่อเรื่องภพชาติด้วย และลำดับของการให้ผลของกรรมแต่ละอย่างอาจจะให้ผลกันแบบข้ามชาติ แต่เราจำเหตุในอดีตไม่ได้ ดังเช่นที่เราจำไม่ได้ว่าวันนี้เมื่อ 1 เดือนที่แล้วเรากินอะไร กินมากน้อยขนาดไหน กินแล้วรู้สึกยังไง เลยทำให้เกิดเหตุการณ์ย้อนแย้งแบบนี้ขึ้น
สรุปว่าไม่เกี่ยวอะไรกับกระทู้ เอาซะเลย กลายเป็นสร้างความมึนงงสับสนให้กับเพื่อนๆ และ ต้องขออภัยที่ลากไปนอกเรื่อง
จริงๆก้เรื่องเดียวกันแหล่ะครับ เพียงแต่มุมมองด้านคณิตศาสตร์ก้เป็นมุมมองที่อาจจะ
เป็นจริง แต่ก้มี เวิสเคส แบบที่พี่ตี่ว่าไว้เหมือนกัน(กรรมก้เป็นสิ่งที่นอกเหนือการคำนวนได้)
ในทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จะต้องเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ แต่ในบางเรื่อง ก้เกินกว่า
ที่วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์จะคำนวนได้ เช่นกรรม วิบากกรรม
กรณี นับแสน 10ครั้งแต่ สุดท้ายเกิดป่วยใช้เงินล้านนึง เงินก้อาจจะกลับมา0 อีกรอบ
อันนี้ก้ถือว่าเป็นเรื่องจริงครับ
แต่ถ้าลองเอาคนนับสิบ มาป่วยเป็นมะเร็งที่ต้องใช้เงินล้านนึง ผลตอบแทนก้อาจจะติดลบ
นะครับ ถือว่าแย่กว่าคนนับแสนสิบครั้งที่ยังเหลือ แต่ตัวแต่ไม่มีหนี้
ดังนั้นเมื่อลองมองทางคณิตศาสตร์ 0 ก้ยังมากกว่าจำนวนที่ติดลบนะครับ
ทีนี้ ถ้าคนนับแสนสิบครั้ง ใช้เงินหมดไปกับการรักษา ต่อมา DCA เงินใหม่ ก้ยังมีหวังครับ
ที่จะได้ไปต่อ
แต่คนนับสิบ พลาดพลั้งไปติดลบไป 999900 เท่ากับว่า ชีวิตนี้ต้องนับอีก 99000 ครั้ง
จึงจะปลดหนี้ได้ และเสมอตัว
กรณีนี้อาจจะทำให้เห็นภาพจริงของนักลงทุนสองประเภท ที่
1.นักลงทุนคนแรก DCA เงิน โดยเก็บเงินได้ทีละ 100000 10เดือนได้ 1ล้าน
2.นักลงทุนคนสอง DCA เงิน โดยเก็บทีละพัน 10เดือนได้ 1หมื่น
2ท่านนี้ถ้าเกิดเป็นมะเร็งที่ต้องใช้เงิน 1ล้าน รักษา คนแรก หมดตัวกับการรักษา
คนที่สอง เป็นหนี้จากการรักษา 990000
สมมติหายแล้ว คนแรกเริ่มเก็บใหม่ 10เดือน ได้1ล้าน
คนที่สอง เก็บใหม่ได้1หมื่น ต้องเก็บอีก 99ครั้งแบบนี้ถึงจะปลดหนี้ได้(หลายปีกว่าจะหมด)
คำถาม
ใครจะไปได้ถึงฝันก่อนกันถ้าตั้งเป้าหมายอิสรภาพทางการเงินไว้ 10 ล้านบาท
ภายหลังการถึงอิสรภาพ
ใคร มี เวลาที่เหลือในการทำอย่างอื่นมากกว่ากัน
สิ่งนี้ชี้ชัดหลักการ
งานไม่ทำเงิน ที่ท่านอาจารย์ได้เคยเขียนไว้ครับ
ผมเรียกสั้นๆว่า หลักของการ DCA เงิน เป็นหลักข้อ1
ส่วนดอกเบี้ยทบต้น เป็นหลักข้อ2
ถ้าไม่มี1 มีแต่2 ถ้าเราเป็นคนนับสิบนับร้อย ต่อให้ดอกเบี้ยทบต้นยังไง กว่าถึงเป้าก้ต้องนานมากๆ
ถ้ามีแต่1 ไม่มี2 ก้จะเดินช้าลงไป เพราะ ความมหัศจรรย์ของดอกทบต้นอยู่ที่
เงินที่จะพอกขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ด้านบวกหรือลบ
ผมมองว่าทุกข์จากหุ้น เกิดกับทุกคน แต่เมื่อเราถึงเป้าหมาย แล้วโดยที่อาจจะไม่ลงทุนต่อ
ถ้าคิดว่าการลงทุนหุ้นเป็นทุกข์ เราก้แค่ ปล่อยมันวางลง
และใช้ชีวิตที่เหลือ ด้วยเงินที่เราคิดว่าเป็นอิวรภาพทางการเงิน