Thai VI

การทำบัตรเครดิตสำหรับผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำไม่ได้ยากนะครับ
ไปเปิดบัญชีฝากประจำที่ธนาคารกรุงศรีทิ้งไว้ก็ได้แล้วนะ จะได้วงเงินเท่ากับ 80% ของยอดเงินฝาก
เช่น อยากได้บัตรเครดิตวงเงิน 100,000 ก็ฝาก 125,000 แต่เงินจำนวนนี้ห้ามถอนเพราะใช้เป็นเงินค้ำประกัน แต่ดอกเบี้ยยังคงได้ตามปกติครับ

chimera เขียน:การทำบัตรเครดิตสำหรับผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำไม่ได้ยากนะครับ
ไปเปิดบัญชีฝากประจำที่ธนาคารกรุงศรีทิ้งไว้ก็ได้แล้วนะ จะได้วงเงินเท่ากับ 80% ของยอดเงินฝาก
เช่น อยากได้บัตรเครดิตวงเงิน 100,000 ก็ฝาก 125,000 แต่เงินจำนวนนี้ห้ามถอนเพราะใช้เป็นเงินค้ำประกัน แต่ดอกเบี้ยยังคงได้ตามปกติครับ

แล้วถ้าเราปล่อยให้ดอกเบี้ยทบต้นไปเรื่อยๆ
แบบนี้จะได้วงเงินเพิ่มขึ้นตามยอดเงินในบัญชีไหมครับ

สอบถามท่านที่เอาบัญชีหุ้นยื่นขอวีซ่าแทน statement แล้วหลักฐานจากทำงาน ถ้าลาออกจากงานประจำ เป็น ฟรีแลนซ์ ทำอย่างไรกันบ้าง อยากขอคำแนะนำ

สอบถามไปยัง ออมสิน เค้าบอกว่าไม่สามารถใช้ เป็นหลักประกัน สำหรับ ค้ำประกัน
ในการกู้ ไทรทองได้ครับ มีใครรู้บ้าง

อย่างนี้เราไปลงทุนอสังหา ดีกว่าไหมครับ เพราะอสังหา บ้าน คอนโด

ค้ำได้ ค้ำเอา OD ก็ได้ แต่พอร์ตหุ้นก็ทำได้เปลียนจากพอร์ตหุ้นธรรมดา

แต่เป็นขอมาจิ้นแทน ผมลองคิดๆดูแล้วมันเหมือนกันนะครับว่า

1.เราจะขอกู้เงินธนาคาร (ขอ OD ) ธนาคารก็จะเอา บ้าน สิ่งปลูกสร้าง เงินสด

พันธบัตร เป็นตัวค้ำ

2.ถ้าเป็นหุ้น ก็ใช้ พอร์ตเป็นตัวหุ้นหรือเงินสดจำนำกับการขอมาจิ้น

แต่ทั่ง 2 อย่างคือ กู้และต้องมีหลักตัวค้ำทั้งนั้น แต่แตกต่างที่

ธนาคารเขาทำเหมือนว่า[color=#FF0000]พอร์ตหุ้นของนักลงทุนมีค่า เป็น 0[/color] ครับ

และก็การเดินบัญชีอีกพอเรา โอนเงินให้โปรกเกอร์ไปซื้อหุ้น ธนาคารจะเห็นว่าเรา

เอาเงินไปใช้อะไรไม่รู้เหมือนไม่มีตัวต้น เพราะเงินจำนวนนั้นกว่าเราจะขายหุ้น

บัญชีในเดือนนั้นเราก็หายไป ทำให้การเดินบัญชีของเราไม่สวยไปเลย

นักลงทุนอย่างพวกเราจะแก้ไขอะไรได้บ้างครับ

20 ล้านยังใช้ไม่ได้เลยครับ

แต่พอถอนออกมาทิ้งในบัญชี 1 ล้าน ใช้ได้ทันที

ผมว่าต้องแยกประเด็นก่อนนะครับ
คือ 1) ใช้ใบหุ้น เป็นหลักประกัน หรือ 2)ใช้เป็นสิ่งยืนยันว่ามีเงินจ่าย(มีรายได้เพียงพอ)

เคสแรก ถ้ากู้ซื้อบ้าน
การใช้ใบหุ้นเป็นหลักประกันก็ไม่จำเป็นมากนัก เพราะเราต้องใช้บ้านที่ซื้อเป็นหลักประกันอยู่แล้ว
เขาจะเน้นดูรายได้มาผ่อนชำระมากกว่า ถ้าคุณสามารถยืนยันว่าคุณลงทุนหุ้นเป็นหลักและมีรายได้ปันผลสม่ำเสมอ มากเพียงพอ ก็อาจจะได้รับพิจารณา

เคสสอง ถ้ากู้เงินลงทุนโดยใช้หุ้นค้ำ
ทำได้ครับ โดยทางธนาคารก็จะคิดว่าหุ้นเป็นสินทรัพย์มีสภาพคล่องสูงเช่นกัน
แต่มันก็มีปัญหาอยู่ว่า แล้วธนาคารจะยึดอย่างไรถ้าคุณเกิดการ Default?
นั่นก็หมายความว่าคุณก็ต้องเอาใบหุ้นมา"จำนำ"กับทางธนาคาร ซึ่งก็จะเป็นการลำบากถ้าคุณไม่ได้ถือหุ้นระยะยาว
(แต่ใครบอกว่าถือหุ้นของธนาคารเองแล้วได้ Rate ถูกนั้น ไม่ถูกต้องนะครับ เพราะหุ้นธนาคารเอง ถ้ารับเป็นหลักประกันต้องมีการตั้งสำรองมากขึ้นครับ ทำให้กำไรก็น้อยลง)

ถ้าจะกู้เงินก็ไปทำงานเหอะครับ พอร์ตแค่นี้อย่างเดียวคงทำอะไรมากไม่ได้
มีเงินเดือนสัก 30000 ก็มีค่ามากกว่าพอร์ต 20 ล้านแล้วครับ

พอร์ตผม มีมูลค่า 6 ล้านกว่า ผมกะว่าปันผล 3% ต่อปี ก็ประมาณ 180,000 บ/ปี

หรือเท่ากับ 15,000 บ/ด อย่างนี้เข้ากฎเข้าเปล่าครับ

jefjung เขียน:ผมว่าต้องแยกประเด็นก่อนนะครับ
คือ 1) ใช้ใบหุ้น เป็นหลักประกัน หรือ 2)ใช้เป็นสิ่งยืนยันว่ามีเงินจ่าย(มีรายได้เพียงพอ)

เคสแรก ถ้ากู้ซื้อบ้าน
การใช้ใบหุ้นเป็นหลักประกันก็ไม่จำเป็นมากนัก เพราะเราต้องใช้บ้านที่ซื้อเป็นหลักประกันอยู่แล้ว
เขาจะเน้นดูรายได้มาผ่อนชำระมากกว่า ถ้าคุณสามารถยืนยันว่าคุณลงทุนหุ้นเป็นหลักและมีรายได้ปันผลสม่ำเสมอ มากเพียงพอ ก็อาจจะได้รับพิจารณา

เคสสอง ถ้ากู้เงินลงทุนโดยใช้หุ้นค้ำ
ทำได้ครับ โดยทางธนาคารก็จะคิดว่าหุ้นเป็นสินทรัพย์มีสภาพคล่องสูงเช่นกัน
แต่มันก็มีปัญหาอยู่ว่า แล้วธนาคารจะยึดอย่างไรถ้าคุณเกิดการ Default?
นั่นก็หมายความว่าคุณก็ต้องเอาใบหุ้นมา"จำนำ"กับทางธนาคาร ซึ่งก็จะเป็นการลำบากถ้าคุณไม่ได้ถือหุ้นระยะยาว
(แต่ใครบอกว่าถือหุ้นของธนาคารเองแล้วได้ Rate ถูกนั้น ไม่ถูกต้องนะครับ เพราะหุ้นธนาคารเอง ถ้ารับเป็นหลักประกันต้องมีการตั้งสำรองมากขึ้นครับ ทำให้กำไรก็น้อยลง)

แล้วเคสสองนี้ใครเคยลองมั้งครับ

syj เขียน:อ่านๆมา สรุปว่านักลงทุนจริงๆ. คนทั่วไปก็ยังไม่ให้เครดิตและให้ความหมายแต่อย่างไร
สู้ทำงานกินเงินเดือนไม่ได้อยู่ดี เหมือนๆไร้ค่าไร้ศักดิ์ศรีจริงๆ

อย่างนี้นักลงทุนควรรวมตัวกันเรียกร้องนะครับ ให้เขายอมรับว่า
นักลงทุนกับนักเก็งกำไรไม่เหมือนกัน

เห็นหลายคนมีรายได้เงินปันผลก็มากกว่าเงินเดือนของคนส่วนใหญ่ของ
ประเทศเสียอีก

ก็เงินปันผลมันไม่แน่นอนนี่ครับ

me ทำงานเถอะครับ ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายอยู่ที่การทำงานน่ะคับ

จะนั่งกินนอนกินได้ไง ถึงให้มีหลายสิบล้านแล้วก็ตามเถอะ ถ้ายังมีแรง ยังหนุ่มยัง แน่น ก็อย่าหยุดทำงานเลยคับ ชีวิตจะได้มีค่า