Thai VI

ตามนี้เลยครับ ที่ผมอ่านมา


งบที่ออกมา บอกอะไรได้หลายอย่าง
สิ่งที่มีผลต่อ GPM น่าจะเรียงลำดับดังนี้
R&D > EoS > ราคาหนัง
จากภาพ จะเห็นว่าต้นทุนหนังได้ลดลงมาตั้งแต่ 1Q52
เมื่อลองเอา 3Q52 ที่มียอดขายใกล้เคียงกับไตรมาสนี้
3Q52 มีราคาหนังถูกกว่าไตรมาศนี้ด้วยซ้ำ แต่ GPM ทำได้แค่ 17.46%
แสดงให้เห็นว่า R&D มีผลอย่างมาก,ราคาหนังมีผลค่อนข้างน้อย
และเมื่อยอดขายปรับตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างเช่น ในไตรมาสที่ 4Q52, 1Q53
การประหยัดต่อขนาด(EoS) ก็จะเป็นตัวเข้ามาเพิ่มกำไรขั้นต้น(GPM)อีกต่อหนึ่ง

jack5115 เขียน:ตามนี้เลยครับ ที่ผมอ่านมา


งบที่ออกมา บอกอะไรได้หลายอย่าง
สิ่งที่มีผลต่อ GPM น่าจะเรียงลำดับดังนี้
R&D > EoS > ราคาหนัง
จากภาพ จะเห็นว่าต้นทุนหนังได้ลดลงมาตั้งแต่ 1Q52
เมื่อลองเอา 3Q52 ที่มียอดขายใกล้เคียงกับไตรมาสนี้
3Q52 มีราคาหนังถูกกว่าไตรมาศนี้ด้วยซ้ำ แต่ GPM ทำได้แค่ 17.46%
แสดงให้เห็นว่า R&D มีผลอย่างมาก,ราคาหนังมีผลค่อนข้างน้อย
และเมื่อยอดขายปรับตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างเช่น ในไตรมาสที่ 4Q52, 1Q53
การประหยัดต่อขนาด(EoS) ก็จะเป็นตัวเข้ามาเพิ่มกำไรขั้นต้น(GPM)อีกต่อหนึ่ง

ข้อความข้างบนผมเขียนเอง  
EoS = Economies of scale = การประหยัดต่อขนาด
การประหยัดต่อขนาด จะอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆก็อย่างเช่น
อืม...คุณทำขนมเค้กขาย
คุณต้องซื้อเครื่องมือ เตาอบ แป้ง นม ไข่  แล้วทำเค้กแค่  1 ปอนด์ ก้อนเดียว
ต้นทุน เค้ก 1 ปอนด์ก้อนนี้จะแพงมาก เพราะต้องรวมค่าเตาอบ แป้ง นม ไข่
ค่าไฟ ค่าแรง ลงไปในเค้กปอนนี้ก้อนเดียว ก้อนนี้อาจจะต้องขายเป็นหมื่นถึงจะคุ้มต้นทุน

แต่ถ้าทำขาย 10,000 ปอนด์ ต้นทุนทั้งหมด ค่าเตาอบ นมสั่งทีละเยอะๆ
ไข่สั่งทีละเยอะๆ ต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ยต่อปอนด์มันจะถูกลงมาก
ยิ่งทำถึง 100,000 ปอนด์ ต้นทุนก็ยิ่งจะถูกลงไปอีกมาก
นี่คือความหมายของ EoS...คงพอเข้าใจนะครับ  :D

ซุนเซ็ก เขียน:

jack5115 เขียน:ตามนี้เลยครับ ที่ผมอ่านมา


งบที่ออกมา บอกอะไรได้หลายอย่าง
สิ่งที่มีผลต่อ GPM น่าจะเรียงลำดับดังนี้
R&D > EoS > ราคาหนัง
จากภาพ จะเห็นว่าต้นทุนหนังได้ลดลงมาตั้งแต่ 1Q52
เมื่อลองเอา 3Q52 ที่มียอดขายใกล้เคียงกับไตรมาสนี้
3Q52 มีราคาหนังถูกกว่าไตรมาศนี้ด้วยซ้ำ แต่ GPM ทำได้แค่ 17.46%
แสดงให้เห็นว่า R&D มีผลอย่างมาก,ราคาหนังมีผลค่อนข้างน้อย
และเมื่อยอดขายปรับตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างเช่น ในไตรมาสที่ 4Q52, 1Q53
การประหยัดต่อขนาด(EoS) ก็จะเป็นตัวเข้ามาเพิ่มกำไรขั้นต้น(GPM)อีกต่อหนึ่ง

ข้อความข้างบนผมเขียนเอง

GPM = กำไรขั้นต้น
คือ ยอดขาย-ต้นทุน
ยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการขาย,ค่าพนักงาน,บริหาร

mscเป็นธุรกิจที่ดีก็จริง
แต่ผมไม่ชอบ2อย่าง
1.ราคาเกือบแพงแล้ว upside นิดหน่อย
2.การถ่ายเลือด

thaloengsak เขียน:mscเป็นธุรกิจที่ดีก็จริง
แต่ผมไม่ชอบ2อย่าง
1.ราคาเกือบแพงแล้ว upside นิดหน่อย
2.การถ่ายเลือด

1. เห็น VI บอกว่า PBV 2 กว่า ไม่ถือว่าแพง ถ้าเทียบกับ ROE ROA 30 ขึ้น


2. ถ่ายเลือด คือการโอนถ่ายอำนาจของ CEO หรือเปล่าครับ ทำไมเหรอครับ

ทราบมาว่า ปันผล ของ AJ เอาไปเครดิตภาษีไม่ได้

แล้วพอดีไม่ค่อยรู้เรื่องภาษีและงบการเงิน

ไม่ทราบว่้าเงินปันผลของ MCS และ IHL เครดิตภาษีปันผลได้หรือไม่ครับ

ขอบคุณครับ

ซุนเซ็ก เขียน:

jack5115 เขียน:ตามนี้เลยครับ ที่ผมอ่านมา


งบที่ออกมา บอกอะไรได้หลายอย่าง
สิ่งที่มีผลต่อ GPM น่าจะเรียงลำดับดังนี้
R&D > EoS > ราคาหนัง
จากภาพ จะเห็นว่าต้นทุนหนังได้ลดลงมาตั้งแต่ 1Q52
เมื่อลองเอา 3Q52 ที่มียอดขายใกล้เคียงกับไตรมาสนี้
3Q52 มีราคาหนังถูกกว่าไตรมาศนี้ด้วยซ้ำ แต่ GPM ทำได้แค่ 17.46%
แสดงให้เห็นว่า R&D มีผลอย่างมาก,ราคาหนังมีผลค่อนข้างน้อย
และเมื่อยอดขายปรับตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างเช่น ในไตรมาสที่ 4Q52, 1Q53
การประหยัดต่อขนาด(EoS) ก็จะเป็นตัวเข้ามาเพิ่มกำไรขั้นต้น(GPM)อีกต่อหนึ่ง

ข้อความข้างบนผมเขียนเอง

jack5115 เขียน:

thaloengsak เขียน:mscเป็นธุรกิจที่ดีก็จริง
แต่ผมไม่ชอบ2อย่าง
1.ราคาเกือบแพงแล้ว upside นิดหน่อย
2.การถ่ายเลือด

1. เห็น VI บอกว่า PBV 2 กว่า ไม่ถือว่าแพง ถ้าเทียบกับ ROE ROA 30 ขึ้น


2. ถ่ายเลือด คือการโอนถ่ายอำนาจของ CEO หรือเปล่าครับ ทำไมเหรอครับ

ผมกลัวความสามารถของผู้บริหารที่จะเข้ามาสืบทอดกิจการ
ส่วนที่บอกว่าค่อนแพงคือเมื่อเทียบกับตัวอื่นที่ผมเล็งไว้ แต่MSCถือว่าสมเหตุสมผลไม่แพง ไม่ถูกสำหรับผม

ผมไปดูห้องร้อยหุ้น ทั้งห้อง AJ, MCS, และ IHL

มีสถานการณ์ที่เพื่อนๆที่ถือหุ้นแต่ละตัว กังวลมากในช่วงนี้

แต่ยังไง ผมก็จะ"พยายาม"ถือหุ้นตัวนี้ ไปให้นานที่สุด เท่าที่ยังควบคุมอารมณ์ได้

ไม่ใช่ว่าคิดว่าจะเล่น VI แล้วจะกัดฟันถือไปหรอก แต่ผมยังเชื่อใน ROE ของทั้ง 3 ตัวนี้อยู่

เพียงแต่หลุมพรางของ ROE ก็คือ การที่ค่าดังกล่าวสูง อาจเป็นได้ว่าเพราะหุ้นตัวนั้นมีหนี้สินกู้ยืมมาก

อย่าง AJ ก็เห็นมีท่านนึงมาโพสท์บอกว่า มีWorking Cap อะไรซักอย่างติดลบ

ตัวผมเองไม่ค่อยเก่ง Fundamental เพราะเล่นเดย์เทรด และ สวิงเทรดมาก่อน พอกะจะหัดถือหุ้นยาว ก็เจอโจทย์ให้วิตกพอสมควรแบบนี้

ยังไม่ทราบวัน XD ของ AJ

ทราบแต่วันปิดสมุดทะเบียน (ไม่รู้หมายถึงวันเดียวกันรึปล่าว)

กะว่า XD แล้วจะขายเลยน่ะครับ

XD AJ = 24 Aug

XD IHL = 19 Aug

XD MCS = 20 Aug


แต่ผมจะอ๊วกอยู่แล้วครับ เจอกองทุนทุบลงมาทั้ง 3 ตัว ลงทุกวันติดๆกัน โดยไม่มีรีบาวน์ เชือดนิ่มๆจริงๆ

หุ้นพื้นฐานดี ร่วงหมด

ทั้งๆที่ Set บวก

ผมควรจะขายทิ้งทุกตัวตั้งแต่แรก (รู้งี้)

MCS ตอนนี้ราคา 9.05 บาท
IHL ตอนนี้ราคา 8.90 บาท
AJ ตอนนี้ราคา 8.05 บาท

หุ้นมีขึ้นก็มีลง ผมเคยติด IHL ที่ 6.85 ผมตกไปอยู่ 6 บาท นานเลย จนผมท้อ

พอขยับขึ้นมาหน่อย เลยเฉือนทิ้งยอมขาดทุนหน่อยนึง มันกลับขึ้นๆๆๆๆ

หุ้นก็แบบนี้แหละครับ คิดมาก ปวดตับปวดใจ ทิ้งไว้สักพัก (ใหญ่ๆ ) เดี๋ยวมันก็กลับมา

ต้นทนตัวละประมาณ 9 บาท  
ราคาเมื่อวานก็ยังใกล้เคียงกับต้นทุนอยู่เลย (ไม่รวมปันผล) ขาดทุนมากหน่อยแค่ตัวเดียวมั้ง AJ ที่ราคาเหลือ 8 บาท

กลับไปเรื่มใหม่ครับ ลืมต้นทุนเสีย ถ้าเชื่อมั่นว่าเลือกหุ้นมาดีแล้ว ถามตัวเองว่า แต่ละตัว upside ไปได้ถึงไหน downside ไปได้ถึงไหน  

ถ้า upside ยังเยอะอยู่ก็ถือต่อไป รอ รอ รอ รอนายตลาดเข้ามาเพิ่มราคาให้
ถ้าคิดว่า ตัวไหน upside ไม่มีแล้ว เพราะ อ่านผิด ผลประกอบการแย่กว่าที่คิด อนาคนมืดมน ก็ขายไป ขาดทุนเป็นเรื่อ่งธรรมดาครับสำหรับการลงทุน ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนในนี้เจอมาแล้วทั้งนั้น

สำคัญมาก คือ ซื้อเพราะอะไร ก็ขายเพราะเหตุผลเดียวกันครับ เช่น
ซื้อตัวนึงเพราะคาดว่า ผลประกอบการ Q2 น่าจะดี ราคาน่าจะวิ่งขึ้นไปได้สัก 10-20% รับข่าวดีทันที แต่ผลออกมาว่า ราคาวิ่งลง เป็นผม ผมขายเลยเพราะที่คาดการณ์ไว้ผิด
แต่ถ้าซื้อเพราะคาดว่า ผลประกอบการ Q2 ดีแน่ ๆ Q3 ก็น่าจะดี Q4 ก็น่าจะดี ราคาต้องวิ่งขึ้นแน่ ๆ ช้าหน่อยไม่เป็นไร ก็ถือรอครับ

ขอบคุณๆศุภชัยและคุณเตร็ดเตร่ครับ


บทเรียนที่ได้รับคือ One size does'nt fit all

ตอนเดย์เทรดกำไรอย่างเดียว

พอมาลองวีไอ ขาดทุน

ของแบบนี้เป็นปัจจัตตังครับ

วันนี้ volume ทั้ง 3 ตัว เฉลี่ยแล้วฝั่ง bid หลักพัน

แถมตัวเลขแปลกๆ เช่น AJ ฝั่ง offer 10000 เรียงกัน 3 แถว

jack5115 เขียน:วันนี้ volume ทั้ง 3 ตัว เฉลี่ยแล้วฝั่ง bid หลักพัน

แถมตัวเลขแปลกๆ เช่น AJ ฝั่ง offer 10000 เรียงกัน 3 แถว

อย่าไปใส่ใจในรายละเอียดการ bid offer เลยครับ ถ้ารักการลงทุนแนวพื้นฐาน

คิดมากไป ปวดตับ เปล่าๆ

ใจไม่แข็งพอ ก็แค่ขายหมู หรือไม่ก็ติดดอย  :lol:  :lol:  :lol:

tradtrae เขียน:

jack5115 เขียน:วันนี้ volume ทั้ง 3 ตัว เฉลี่ยแล้วฝั่ง bid หลักพัน

แถมตัวเลขแปลกๆ เช่น AJ ฝั่ง offer 10000 เรียงกัน 3 แถว

อย่าไปใส่ใจในรายละเอียดการ bid offer เลยครับ ถ้ารักการลงทุนแนวพื้นฐาน

คิดมากไป ปวดตับ เปล่าๆ

ใจไม่แข็งพอ ก็แค่ขายหมู หรือไม่ก็ติดดอย

jack5115 เขียน:เห็นเค้าเขียนว่า EOS น่ะครับ หลายครั้งด้วย คงไม่ได้เขียนผิดครับ

economic of scale krub

luckyman เขียน:

jack5115 เขียน:เห็นเค้าเขียนว่า EOS น่ะครับ หลายครั้งด้วย คงไม่ได้เขียนผิดครับ

economic of scale krub

ขอบคุณครับ:D

จงมั่นใจในหุ้นที่ซื้อ

เค้าเขียวกันทั้งกระดานแล้ววันนี้ หุ้นพื้นฐานดีทั้งหลาย กลายเป็น laggard

jack5115 เขียน:จงมั่นใจในหุ้นที่ซื้อ

เค้าเขียวกันทั้งกระดานแล้ววันนี้ หุ้นพื้นฐานดีทั้งหลาย กลายเป็น laggard

laggard คืออะไรครับ?

thaloengsak เขียน:

jack5115 เขียน:จงมั่นใจในหุ้นที่ซื้อ

เค้าเขียวกันทั้งกระดานแล้ววันนี้ หุ้นพื้นฐานดีทั้งหลาย กลายเป็น laggard

laggard คืออะไรครับ?

แปลว่า ช้า ตัวอื่นเค้าขึ้นแล้วก็ยังไม่ขึ้น

นั่นล่ะครับ คำนี้ยืมจากห้อง IHL มา (รู้สึกจะคุณ Croyotyนี่ล่ะครับ):D

ขอบคุณครับคุณหมอโคโยตี้

เป็นเรื่องที่ผมคงต้องทำวิจัยอย่างหนัก ว่าเหตุใดหุ้นทุกตัวตามหัวข้อ ถึงลงกันหมด ในเวลาที่ผมซื้อ ในขณะที่ SET ขึ้นมาจาก 820 ในวันที่ซื้อ มาที่ระดับ 930 ในปัจจุบัน และหุ้นตัวอื่นๆมากกว่า 95% ขึ้นกันหมด

นี่ไม่ใช่แค่การปรับฐานของหุ้นดังกล่าวซะแล้ว

jack5115 เขียน:ขอให้ความมั่งคั่งที่ข้าพเจ้าได้รับ นำข้าพเจ้ากลับไปสู่นิพพาน

จะไปสู่นิพพาน ต้องอาศัยความมั่งคั่งด้วยหรอครับ  :lol:  :lol:  :lol:

siebelize เขียน:

jack5115 เขียน:ขอให้ความมั่งคั่งที่ข้าพเจ้าได้รับ นำข้าพเจ้ากลับไปสู่นิพพาน

จะไปสู่นิพพาน ต้องอาศัยความมั่งคั่งด้วยหรอครับ

มีมากไปจนยึดติด แล้วจะไปนิพพานได้เช่นไร  :?: