หน้า 2 จากทั้งหมด 4

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 4:27 pm
โดย hongvalue
por_jai เขียน: :8) ทางเทคนิคอลการถือยาวนั้นเปรียบได้กับการดูกราฟระดับเดือนระดับควอร์เต้อร์หรือเยียร์

      อาจารย์สอนว่า ถือหุ้นยาวนานอย่างนี้เรียกว่า
      การถือหุ้นโดยต้องทนทานการทุบตีจากเจ้ามือให้ได้ครับ
     
      ทางบู๊ลิ้มบอกต้องฝึกวิชา ระฆังทองคุ้มกาย
      อย่างท่านปรมาจารย์ของเรา
      ถ้าใครสังเกตุผิวจะออกสีเหลืองทองๆ
      เป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกวิชานี้ได้ขั้นที่9
      ถือเป็นขอบเขตสูงสุดที่จะมีได้ของวิชานี้แล้ว...ฮ่า...
      ผมก็ออกเหลืองๆเหมือนกัน
      แต่น้องๆหมอที่รู้จักในเวบบอกว่า
      ของพี่ป้อมนี่น่าจะเป็นเหลืองดีซ่าน
      เป็นอาการของพวกไฟธาตุแตกมากกว่า...ฮ่า....

พูดถึงเรื่องเทคนิคเนี้ยผมว่ามีประโยชน์มากนะครับ
จริงๆแล้วหนังสือแนววีไอที่ผมว่าผมชอบสุดๆน่าจะเป็น
ดันโดนะ

คำว่าออกหัวผมได้เงิน ออกก้อยผมเสียเงินนิดหน่อย

ผมว่าคำนี้มันโดนจริงๆผมขอยกตัวอย่าง tuf(ผมไม่มีหุ้นแล้วนะครับ) ตอน 27-28 บาท
ตอนนั้นถ้าดูกำไรของงวด 9 เดือนจะเห็นว่าสามารถทำ all time high และถ้าดูให้ลึกกว่านั้นคือ สามารถทำได้แม้ว่าบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการปิดโรงงานที่เป็นค่าใช้จ่ายพิเศษ

ถ้าดูย้อนหลังนานพอสมควร tuf มักจะเล่นกันที่ pe 10-11 ตอนนั้นถ้าดูกำไร 9 เดือนแล้ว forecast งวด q4 ก็จะได้กำไรต่อหุ้นซักแถวๆ 3.5-3.7 ซึ่งผมได้ไปคุยกับเทพวีไอเขาให้ความเห็นว่า

ตลาดคงจะไม่เชื่อว่า tuf สามารถ maintain กำไรตรงนี้ได้
ซึ่งในปีนี้ต่อให้แย่สุดๆ tuf ก็ไม่น่าจะทำกำไรได้ต่ำกว่าปีก่อน
เพราะว่านอกจากไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ(หรือยังมีตอน q1 จำไม่ได้แล้ว) แถมยังได้ประหยัดจากการย้ายโรงงาน แต่ต่อหุ้นสมมุติเลยว่ากำไรดันตกมาซัก 10% ทั้งๆที่ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ tuf ปีนี้ก็กำไรเหลือซัก 3.2-3.3 ซึ่งที่ราคา 27-28 พีอีก็ยังไม่แพง
ผมมองว่านี้ก็น่าจะเป็นดันโดได้แบบนึงเพียงแต่ว่าไม่ได้ถึงขนาดว่าตีแตกได้เป็นเด้งอะไรและเมื่อปลายปีก่อนปีใหม่นักวิเคราะห์ไป visit กันนั้นก็เริ่มทำให้ out look ของ tuf ที่ดีถูกนายตลาดยอมรับมากขึ้น ผมจำได้ผมซื้อก่อนปิดปีใหม่ 1-2 วัน
(ย้ำอีกทีนะว่าไม่ได้มาเชียร์ tuf นีเป็นเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วตอนนี้ผมก็ไม่ได้มี tuf กลัวคนไปซื้อตามตอนนี้)


เดี่ยวจะงงว่าทำไมไม่คุยให้ตรงกับเรื่องที่ quote มา
เฮียฉัตรบอกว่า

ถ้าเรามองภาพรวมในระยะยาว  ความผันผวนในจิตใจของเราก็จะน้อยลง

มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องตอนการเมืองไม่ดีช่วงก่อนหน้านี้แล้วก็มีคนบอกผมว่าเชื่อดิมันต้องยิงกัน คิดว่าอาทิตย์หน้ามันเอากันแน่เลย แล้วก็บอกว่าน่าจะขายหุ้นไปก่อนทั้งๆที่มันก็ลงมาตั้งเยอะแล้ว

ผมก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกันเพราะมันก็ลงมาเยอะแล้วอะ แล้วเล่นหุ้นจะดูแค่อาทิตย์หน้าเหรอ ผมว่ายิ่งดูสั้นเท่าไหร่มันก็ยิ่งยากเท่านั้นนะ

แต่ผมก็คงไม่มองยาวเท่าพี่ฉัตรเหมือนกันนะเวลามองผมมองแค่ 9เดือนถึง 1 ปีอะ เพราะประเภทหุ้นที่ผมเล่นมันจะเอากำไรกระโดดชั่วคราวมองยาวก็มองไม่ออก อย่างของพี่ฉัตรเข้าใจว่ามองทีเดียว 5 ปี สำหรับผมถือว่ายาวมากๆ ผมทนรอไม่ไหว 5555
แต่คนทั่วไปบอกว่ามอง 9 เดือนนี้นานมากๆแล้วนะ หลายคนว่าผมมองยาว ถ้ามาเจอพี่ฉัตรนี้ไม่รู้เขาจะว่าไง อิอิ

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 4:28 pm
โดย hongvalue
mprandy เขียน:เห็นชื่อเจ้าของกระทู้แล้วต้องอ่านเลย เวลานี้ ตามมาโพสต์ก่อน แต่เด๋วจะกลับมาอ่าน :8)

รบกวนพระอาจารย์ช่วย update มุมมองเรื่องยุโรปหน่อยได้ไหมครับ ขอบพระคุณมาก  :lol:

Re: ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 4:39 pm
โดย hongvalue
[quote="por_jai"]
:8) ทางเทคนิคอลการถือยาวนั้นเปรียบได้กับการดูกราฟระดับเดือนระดับควอร์เต้อร์หรือเยียร์

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 5:10 pm
โดย por_jai
:8) ฮ่า...ถามอย่างนี้ไม่ต้องโพสใหม่

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 5:19 pm
โดย vi_tal signs
ผมชอบประสบการณ์จริงๆ  ที่หาอ่านไม่ได้ในหนังสือเล่มอื่นๆครับ

ขอให้คุณฮงมาคุยบ่อยๆนะครับ

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 5:21 pm
โดย hongvalue
[quote="por_jai"]
:8) ผมเองหลังจากเหาฉลามมาหลายสำนัก

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 5:28 pm
โดย hongvalue
Highway_Star เขียน:สรุปคือ ผมต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจเยอะๆ ด้วยใช่มั้ยครับ รู้เรื่องของต่างประเทศด้วยอะไรงี้ ว่าเค้าเกิดเหตุการณ์อะไรซึ่งจะส่งผลต่อตลาดหุ้นในประเทศเรา ?


(คืออย่าว่าโง้นงี้เลยครับ ผมรู้สึกว่าเรื่องเศรษฐกิจนี่เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ต้องมีความรู้เยอะมากๆ ท่าทางผมคงอีกหลายปีกว่าจะเข้าใจได้ขนาดนั้น)

ขอแชร์ความเห็นนะครับ

ผมก็โง่เศรษฐศาสตร์เหมือนกันครับเคยตั้งใจอยากจะเอาดีทางนี้แต่อ่านไปซักพักก็เลิกครับ ใจมันไม่รักพอ พี่วิบูลย์ พึงประเสิรฐ(จะเรียกเต็มยศทำไมว่ะ 555) เคยบอกว่าถ้าไม่รู้ว่าอีก 5 ปี
จำเกินดุลบัญชีเดินสะพัดหรือเปล่า ก็ไม่รู้จะให้ความสำคัญไปทำไม ผมเข้าใจว่าพี่เขาคงตั้งใจจะสื่อว่าถ้าเขารู้ว่าอีก 5 ปี pttep จะมีกำไรประมาณไหน แต่ไม่รู้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะเป็นไงเขาก็ต้องเลือกให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาประมาณการได้สิ


จริงๆแล้วทุกวันนี้ผมก็อาศัยใบบุญพี่สุมาอี้ หมอ mprandy แหละครับว่าเวลามีอะไรน่ากลัวก็โทรไปถามว่ามองไง อะไรแบบนี้เพราะความรู้เศรษฐศาสตร์ผมน้อยกว่าพวกพี่ๆเขาเยอะ ผมอาศัย fundflow แบบมวยวัดเอาตัวรอดไปวันๆมากกว่า

แต่ผมว่าถ้าวิกฤติใหญ่จริงๆความรู้เศรษฐศาสตร์เบื้องต้นเราก็น่าจะเอาตัวรอดได้แล้วนะครับ เศรษฐศาสตร์ขั้นลึกตัวเลขต่างดาวอะไรต่างๆ ปล่อยให้นักเศรษฐศาสตร์เขาทำไปเถอะครับ ไม่ใช่หน้าที่ของเราอยู่แล้ว

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 5:29 pm
โดย champ_st
เข้ามาอ่านความคิด ประสบกาม เห้ยประสบการณ์น้องฮงครับ ได้เห็นแต่ละท่านก็เข้ามาดิสคัสกัน ผมว่าทุกคนมีวิธีการและเทคนิคในการลงทุนต่างๆกันออกไปครับ แต่เป้าหมายคือความมั่งคั่งเหมือนกัน ไปเชียงใหม่ยังไม่ตั้งหลายวีธี จะขึ้นเครื่อง รถไฟ ขับรถ รถทัวร์ มีตั้งเยอะ ขึ้นอยู่กับเวลา สถานะการณ์ ความชอบ ข้อจำกัดของแต่ละบุคคล แต่การได้เรียนรู้จากคนแต่ละคนทำให้เราพัฒนาไปได้ไกลเลย เรียนรู้ทางเลือกต่างๆและสร้างทางเลือกที่เหมาะสมในการลงทุนของตนเอง

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 5:30 pm
โดย hongvalue
[quote="vi_tal  signs"]ผมชอบประสบการณ์จริงๆ

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 5:48 pm
โดย BeSmile
hongvalue เขียน:...

ผมว่าการผสมผสานเนี้ยดีอย่างเสียอย่างนะ
ที่ดีก็คือว่าเราจะพูดว่าเลือกหุ้นอย่างวีไอซื้อแบบเทคนิค
แต่เวลาไม่ดีก็คือสมมุติว่าพี่มั่นใจหุ้นตัวนึงมากว่าพื้นฐาน
มันต้องไปเท่านั้นเท่านี้แล้วพี่เอาเส้นนึงเป็นจุด cutloss
เช่น เส้น 20 วันพอมันหลุด


พี่ก็อาจจะลังเลใจว่าแล้ว gu จะคัทดีไหมว่ะ
เพราะวีไอบอกว่าถ้าคุณซื้อหุ้นที่ 10 บาทแล้วเหลือ
9 บาทแสดงว่ามี mos มากขึ้นถ้ามีเงินเหลือควรจะซื้อเพิ่ม
แต่เทคนิคมันบอกว่าอย่าถัวขาลง

ผมว่าคนที่เล่นแนวประสานต้องเจอปัญหาแบบนี้กันทั้งนั้น
และผมว่านี้เป็นหนึ่งในเรื่องน่าปวดหัวได้เลยล่ะ

แต่หลังๆผมทำใจได้แล้วนะ cut loss แล้วซื้อแพงกว่าก็ทำบ่อยๆ
สุดท้ายกำไรก็พอแล้ว
ถ้าเป็นการขายแบบเทคนิคอล ถ้า graph หลุด แล้วมี 2 แบบ

1. Cut loss เผ่นพันลี้ + หนีคือสุดยอดกลยุทธ์ :)

2. Short againt port เด็ดบุปผาต่อหยก ยอดวิชาในตำนาน


ถ้าเป็นแบบ VI ถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน หุ้นลงก็

1. ถือ ระฆังทองคุ้มกาย

2. ซื้อเพิ่ม (ตูจะไปเอาเงินจากไหนมาซื้อฟ่ะ ตอนนี้ก็เต็ม port แล้ว)  :lol:


ข้อ 1 ทั้งสองจะแย้งกันครับ วิชาตัวเบา กับ วิชาหนักแน่น มันต่างกันครับ

ข้อ 2 จะคล้ายกันมากกว่าครับ

ผมว่าคนใช้ต้องรู้วิธีใช้ของตัวเองล่ะครับ


พาออกนอกเรื่อง กลายเป็นหนังจีนไปแล้ว   :lol:


รออ่านคุณฮงต่อครับ

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 5:49 pm
โดย Highway_Star
hongvalue เขียน:
ขอแชร์ความเห็นนะครับ

ผมก็โง่เศรษฐศาสตร์เหมือนกันครับเคยตั้งใจอยากจะเอาดีทางนี้แต่อ่านไปซักพักก็เลิกครับ ใจมันไม่รักพอ พี่วิบูลย์ พึงประเสิรฐ(จะเรียกเต็มยศทำไมว่ะ 555) เคยบอกว่าถ้าไม่รู้ว่าอีก 5 ปี
จำเกินดุลบัญชีเดินสะพัดหรือเปล่า ก็ไม่รู้จะให้ความสำคัญไปทำไม ผมเข้าใจว่าพี่เขาคงตั้งใจจะสื่อว่าถ้าเขารู้ว่าอีก 5 ปี pttep จะมีกำไรประมาณไหน แต่ไม่รู้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะเป็นไงเขาก็ต้องเลือกให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาประมาณการได้สิ


จริงๆแล้วทุกวันนี้ผมก็อาศัยใบบุญพี่สุมาอี้ หมอ mprandy แหละครับว่าเวลามีอะไรน่ากลัวก็โทรไปถามว่ามองไง อะไรแบบนี้เพราะความรู้เศรษฐศาสตร์ผมน้อยกว่าพวกพี่ๆเขาเยอะ ผมอาศัย fundflow แบบมวยวัดเอาตัวรอดไปวันๆมากกว่า

แต่ผมว่าถ้าวิกฤติใหญ่จริงๆความรู้เศรษฐศาสตร์เบื้องต้นเราก็น่าจะเอาตัวรอดได้แล้วนะครับ เศรษฐศาสตร์ขั้นลึกตัวเลขต่างดาวอะไรต่างๆ ปล่อยให้นักเศรษฐศาสตร์เขาทำไปเถอะครับ ไม่ใช่หน้าที่ของเราอยู่แล้ว
เห็นด้วยในแง่ที่บอกว่า ให้ความสำคัญกับตัวที่ประมาณการได้ครับ

แต่ว่าจริงๆ แล้วผมเชื่อว่าคนเล่นหุ้นต้องทำการ refresh ข้อมูลที่ตัวเองมีกับบริษัทที่ตัวเองเป็นเจ้าของบ่อยๆ คราวนี้ พอวิกฤติมันมา ...

คนที่เก่งๆ เค้าทำอะไรกันครับ เค้าไม่ได้ปรับ port จริงๆ หรือ ? หรือว่าเค้าทนถือต่อไปจนกระทั่งมันกลับมาราคาเท่าเดิม
อย่าง ดร.นิเวศน์ นี่แกปรับ port บ้างมั้ยครับตอนวิกฤติ หรือว่าแกเฉยๆ
(คือผมไม่รู้จะเรียนจากใครดี เค้าก็บอกว่าให้เรียนรู้จาก the best .. ถ้า ดร.ทำยังไง ผมก็คิดว่าแนวคิดนั้นน่าจะถูกเป็นส่วนใหญ่ ก็น่าจะทำตามครับ)

:oops:  :oops:  :oops:

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 6:09 pm
โดย por_jai
ฮงเบบี้ัเฟซ เขียน:พี่ก็อาจจะลังเลใจว่าแล้ว gu จะคัทดีไหมว่ะ
เพราะวีไอบอกว่าถ้าคุณซื้อหุ้นที่ 10 บาทแล้วเหลือ
9 บาทแสดงว่ามี mos มากขึ้นถ้ามีเงินเหลือควรจะซื้อเพิ่ม
แต่เทคนิคมันบอกว่าอย่าถัวขาลง
:8) Losers Average Losers

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 6:21 pm
โดย mprandy
hongvalue เขียน:
รบกวนพระอาจารย์ช่วย update มุมมองเรื่องยุโรปหน่อยได้ไหมครับ ขอบพระคุณมาก

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 6:41 pm
โดย por_jai
ถ้าเป็นการขายแบบเทคนิคอล ถ้า graph หลุด แล้วมี 2 แบบ

1. Cut loss เผ่นพันลี้ + หนีคือสุดยอดกลยุทธ์ :)


:8) คัทแต่อย่าเผ่นสิครับ
     กว่าจะเลือกเอ๊ยลอกหุ้นได้แต่ละตัว ไม่ใช่ง่ายๆ


2. Short againt port เด็ดบุปผาต่อหยก ยอดวิชาในตำนาน

:8) เทคนิคอลสายผมคนที่สอนผม
     เขาไม่เอาแนวนี้เลย
     ผมก็เลยมีวิชาไม่พอที่จะเดินทางนี้



ถ้าเป็นแบบ VI ถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน หุ้นลงก็

1. ถือ ระฆังทองคุ้มกาย


:8) ถ้าหุ้นมีเทรนด์
     เลื่อนสต๊อปลอสขึ้นไปเรื่อยๆแล้ว
     หล่นมาจิ้มไม่โดนหัวซักกะที
     ผมก็ถือยาวได้นะ

     

2. ซื้อเพิ่ม (ตูจะไปเอาเงินจากไหนมาซื้อฟ่ะ ตอนนี้ก็เต็ม port แล้ว)

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 7:56 pm
โดย TPH
เข้ามาดูและแอบอ่านต่อไปครับ  :)

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 9:42 pm
โดย BABY TERMITE
ถ้าเป็นแบบ VI ถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน หุ้นลงก็

1. ถือ ระฆังทองคุ้มกาย

2. ซื้อเพิ่ม (ตูจะไปเอาเงินจากไหนมาซื้อฟ่ะ ตอนนี้ก็เต็ม port แล้ว)

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 9:47 pm
โดย << New >>
hongvalue เขียน:ตัวอย่างของอีกท่านนึงเล่าว่าเคยไป company visit stanley ตอนนั้นแล้วพอใจกับบริษัทเคยรู้สึกว่าบริษัทผลิตเก่ง ตอนนั้นหุ้นอยู่ 150 ก็ซื้อไป ถ้าผมจำไม่ผิดเขาเล่าว่าตอนนั้นกำไรต่อหุ้นก็ซัก 15 บาท pe 10 ก็เหมาะสมดีแต่ซื้อเพราะไปเยี่ยมชมแล้วชอบ แต่พอเจอ subprime เขาก็อึ้งเพราะราคามันลงไป 30-40 บาท นี้ก็เป็นอีกตัวอย่างนึงที่มีคนแชร์ให้ฟัง
โดนหนักนะเนี่ย อีตาคนนี้เนี่ย   :vm:

por_jai เขียน: :8) ผมเองหลังจากเหาฉลามมาหลายสำนัก

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 10:06 pm
โดย hongvalue
mprandy เขียน:


เข้าเรื่องดีกว่า (เด๋วนี้ติด Twitter ไม่อยากพิมพ์ยาว :lovl:) :D

ผมก็ติด twitter ครับเล่นมาเป็นเดือนไม่กล้าบอกให้ใคร follow เพราะโพสแต่เรื่องไร้สาระเช่น

ร้อนโว้ย
พิมพ์แค่เนี้ย  :lol:  อะไรแบบนี้

mprandy เขียน: รายละเอียดกว่านี้ คงต้อง discuss กันภายหลัง ไม่อยากเอามาปนเปเพราะไม่ใช่กระทู้ผม :D

ยังไงก็ขอเชิญไปร่วมงาน discuss growth stock ด้วยแล้วกันครับ ของจารย์ไม่ต้องเตรียมหุ้นก็ได้ขอมุมมองเรื่องยุโรปเนี้ยแหละ วันหลังเวลามีข่าวอะไรจะได้พอประเมินได้ว่าหนักแค่ไหน

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 10:18 pm
โดย hongvalue
por_jai เขียน:ถ้าเป็นการขายแบบเทคนิคอล ถ้า graph หลุด แล้วมี 2 แบบ

1. Cut loss เผ่นพันลี้ + หนีคือสุดยอดกลยุทธ์ :)


:8) คัทแต่อย่าเผ่นสิครับ
     กว่าจะเลือกเอ๊ยลอกหุ้นได้แต่ละตัว ไม่ใช่ง่ายๆ

นั้นสิหุ้นดีปีนึงมีแค่ไม่กี่ตัวเอง ขายไปแล้วไม่เอากลับกว่าจะหาของดีได้ใหม่ไม่ใช่ง่ายๆ

por_jai เขียน: 2. ซื้อเพิ่ม (ตูจะไปเอาเงินจากไหนมาซื้อฟ่ะ ตอนนี้ก็เต็ม port แล้ว)  :lol:

:8) ผมบอกความเชื่อของผมไปข้างบนแล้ว
     Losers Average Losersครับ
    ข้อนี้ผมทำง่าย
    เพราะอาจารย์ผมทุกคนไม่มีใครซื้อถัวลงเลยซักกะคน


อันนี้ผมเห็นด้วยครับ ข้อนี้แหละที่ผมกับพี่อาจจะแตกต่างจากวีไอคนอื่นๆ ผมอยู่ในตลาดหุ้นมานานและมีความเชื่อบางอย่างเช่น

คุณคิดว่าคุณรู้จักบริษัทดีแต่จริงๆแล้วคุณก็ไม่ได้รู้ดีอย่างที่คุณคิดว่าคุณรู้

ของแบบนี้เจอมาหลายคนแล้วครับคิดว่าบริษัทดีอย่างนุ่นอย่างนี้คิดว่าบริษัทมีความเสี่ยงแค่เท่าที่เห็นแต่จริงๆยังมีมากกว่านั้นครับ เพียงแต่คุณไม่ได้เอามาเป็น factor เองการไม่ซื้อถัวเฉลี่ยขาลงคือการที่ไม่ปล่อยให้การพลาดครั้งใดครั้งนึงมาทำให้เสียหายหนักมากเกินไป


รายละเอียดเรื่องนี้ผมอ่านเจอในการหนังสือ trader แล้วชอบมากแต่คงไม่พูดที่นี้เพราะชื่อเว็บนี้คือวีไอ แต่วันไหนว่างๆเราก็นัดเจอกันได้ครับพี่ป้อมเดี่ยวผมจะแชร์ให้ฟังว่าผมอ่านหนังสือ trader มาเกือบ 10 เล่มผมคิดว่ามันให้อะไรกับผมมากแค่ไหน

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 10:20 pm
โดย noooon010
มีหลักการที่เหมาะกับตัวเราเองนะครับ
มีสติและมีความสุขกับการลงทุนครับ  :wink:

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 10:31 pm
โดย hongvalue
มาเล่าต่อ ว่างานมีทติ้งผมแชร์หุ้นอะไรที่ผมเจ็บหนักหุ้นที่ผมโดนเป็น % หนักที่สุดตั้งแต่เล่นหุ้นมาเลยคือ โพลีน
โดนไป 50% เหตุผลตอนซื้อก็คือได้ยินมาว่าบริษัทแห่งนึงจะมา take โพลีน โดย take ที่ราคา 40 บาท ซึ่งตอนนั้นโพลีน 25 บาท ผมก็เข้าไปดูว่าทำไมถึงน่า take ด้วยปรากฏว่าตอนนั้นคำนวน ev เทียบกับ asset ปรากฏว่า asset มากกว่า ev สองเท่าก็เลยคิดว่าคนเทคไปก็น่าจะโอเคนะเพราะได้ครองสินทรัพย์มูลค่าเป็นสองเท่าของมูลค่ากิจการ  :lol:

หลังจากซื้อไปไม่นานหุ้นก็ลงไป 22 ก็ที่บอกว่าน่าจะเทคก็ขายไปแล้ว แต่ผมคิดแบบโง่ๆว่าขายทำไมถ้า 25 น่าเทค 22 ก็โคตรน่าเทคดิ ผมนั่งคิดดูตอนนี้ผมว่ามันเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาเหลือเกินปรากฏว่ามันลงไปเหลือ 12 ก็เลยคิดว่าอืม ไม่เอาแล้วก็เลยขายขาดทุนไป ตอนปลายปี 2008 มันก็ลงไปเหลือ 2 บาทถ้าผมไม่ขายนี้ลงไปตั้ง 90% ของทุนเลย

เลยมานั่งคิดว่าคิดเองเออเองนี้ตายแน่นอน หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยขาดทุนกับอะไรมากถึง 50% อีกเลยเพราะไม่อยากจะเจออีก
มันเจ็บปวด  :cry:

เดี่ยวพรุ่งนี้ผมจะมาเล่าต่อขอไปดูงบบริษัทหลายๆที่ก่อนเดี่ยวตกรถเซียนแจ็คอุตส่าห์บอกตัวที่งบสวยๆกราฟสวยๆมาแล้วด้วย อิอิ

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 11, 2010 11:22 pm
โดย kanok891
thank you for good knowledge
ko

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 12, 2010 12:21 am
โดย sphere
ผมว่าเรื่องที่คุณฮงได้จากการอ่านหนังสือtraderจะเขียนลงที่นี่ก็ไม่น่าผิดนะครับ ผมว่ามีหลายคนอยากจะฟัง ต่อให้มันไม่ใช่แนวทางของVIแต่ก็น่าจะได้แนวคิดอะไรบางอย่าง รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งครับ บางทีเราก็ต้องรู้ว่าคนอีกฟากของตลาดคิดอะไรอยู่
:D

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 12, 2010 11:02 am
โดย hongvalue
pwz เขียน:ผมว่าเรื่องที่คุณฮงได้จากการอ่านหนังสือtraderจะเขียนลงที่นี่ก็ไม่น่าผิดนะครับ ผมว่ามีหลายคนอยากจะฟัง ต่อให้มันไม่ใช่แนวทางของVIแต่ก็น่าจะได้แนวคิดอะไรบางอย่าง รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งครับ บางทีเราก็ต้องรู้ว่าคนอีกฟากของตลาดคิดอะไรอยู่
:D

เรื่องนี้เอาไว้คุยนอกรอบดีกว่าครับ อิอิ

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 12, 2010 11:44 am
โดย hongvalue
มีอีกเรื่องนึงที่อยากแชร์ให้ฟังและเป็นเรื่องสุดท้ายแล้วที่เตรียมมา

พอผมอยู่ในตลาดหุ้นนานขึ้นสิ่งนึงที่รู้สึกคือ เรารู้น้อยเพราะว่าเมื่อเราได้คุยกับคนเยอะๆแล้วเราได้รู้ว่าคนที่รู้อะไรลึกๆ มากๆ เขาวิเคราะห์ยังไงแล้วเราวิเคราะห์แค่ไหน เราก็จะรู้ตัวได้เองว่าจริงๆ เรารู้น้อย ทีนี้ผมทำยังไงเมื่อผมคิดยังงั้น ผมคิดว่าผมอยากจัดมีทติ้งโดยจัดเป็นกลุ่มเล็กเพราะจะสามารถคุยกันแบบเข้าถึงได้มากกว่ากลุ่มใหญ่ๆ


เวลาจัดกลุ่มคุยกันแล้วพูดว่าใครสนใจหุ้นตัวไหน ถ้าคนที่มาร่วมเป็นคนที่สามารถนำเสนอถึงประเด็นหลักๆของหุ้นได้อย่างถูกต้อง
ผมจำได้ว่าพี่ jung_oh เคยเสนอหุ้น vng ที่งานมีทติ้งของผมแล้วก็นำตัวเลขยอดส่งออกมาอธิบายว่าทำไมหุ้นถึง bottom ไปแล้ว
ผมฟังแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจแฮะ vng แต่ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้ตามละเอียดหรอกเพราะว่าดูกำไรงวด 9 เดือนแล้วก็ยังไม่เห็นว่ามันจะฟื้นตัวจริงหรือเปล่า แต่พอกำไรไตรมาส 4 ประกาศออกมาทีเดียวโอ้โห ไม่อยากจะ said ฟื้นตัวชัดเจน และพอดีรุ่นพี่ที่ผมนับถือบอกว่ากราฟก็บอกให้ซื้อ ผมก็มาทบทวนเอกสารที่จดจากตอนไปมีทติ้งหุ้นว่ามีประเด็นไรบ้างที่เขาว่ามันเป็น highlight ก็ดูแล้วว่าอืม ผมสนใจ vng แฮะในตอนนั้นหลังจากซื้อไปซักพักผมก็ได้โทรไปปรึกษาพี่จัง ว่ายังมอง vng ยังไงบ้างอะไรทำนองนี้(เรื่อง vng เป็นเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อนนะครับ เป็นการยกตัวอย่างในอดีตเท่านั้น)

ผมก็มานั่งคิดว่าบางทีถ้าเราได้แลกเปลี่ยน idea กับคนอื่นแล้วเราได้ฟังหุ้นที่เข้าท่าผ่านหูมาก่อน เราก็จะง่ายที่ไปเจาะประเด็นเพิ่มเติม ง่ายกว่าการที่เราไปอ่านเฉยๆในร้อยคนร้อยหุ้นแล้วไม่ได้ focus ที่ประเด็นไหนก่อน ที่เล่าเนี้ยคือจะสื่อว่าผมอยู่ในตลาดมา 5 ปีผมยังต้องจัดกิจกรรมเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นบ่อยๆเลย เพราะผมไม่หูตาสัปรดพอ ผมอยากรู้ว่าคนอื่นที่เก่งกว่าผมเขาคิดอะไรกันอยู่ สำหรับมือใหม่ผมคิดว่างานจิบเบียร์ tvi เป็นสิ่งที่มือใหม่ควรจะไปเป็นอย่างยิ่ง เวลาไปก็พยายามเดินให้รอบๆอย่ากระจุกตัวอยู่แค่โต๊ะใดโต๊ะนึงนานๆ เห็นเขาเข้าตาก็แนะนำตัวเอง

สมมุติว่าเดินไปโต๊ะนึงเห็นคนนี้พูดแล้วดูดีมากก็เข้าไปยิ้มให้เขาแล้วแนะนำตัวเองว่าดีครับ ผมชื่อ xxx yyy zzz ก็ว่าไปแล้วเวลา pm ถามเขาก็ได้แต่อย่าถามแบบนี้นะ พี่มองเป้าตัวนี้เท่าไหร่ (ผมเพิ่งถามคนนึงแบบนี้เจอดุกลับมาด้วย อุอุ)

อีกเรื่องนึงคือหลังจากมานั่งคิดว่าอยู่ในตลาดนานได้ข้อสังเกตุอะไรเพิ่มอีกก็คือว่าการที่รู้ว่าผู้บริหารคนไหนเชื่อได้ คนไหนเชื่อไม่ได้นี้สำคัญมาก บ้างคนบอกว่าอ่านในร้อยคนร้อยหุ้นย้อนหลัง กับดู clip oppday ย้อนหลังผมว่าช่วยได้เยอะ แต่มีประเด็นก็คือว่าอย่างในร้อยคนร้อยหุ้นผู้โพสก็จะกลัวว่าถ้าโพสว่าผู้บริหารไม่ค่อยโอเคเพราะเคยสัมผัสกับเหตุการณ์อะไรก็จะถูกฟ้องได้ หรือจะถูกเพื่อนสมาชิกที่ถือหุ้นอยู่ออกมารุมด่า เข้าทำนองเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้นั่งเอากระดูกมแควนคอเพราะว่า ถ้าตัวเองรู้ว่าต้องระวังตรงไหนก็คงไม่ซื้อหรือถึงซื้อก็ไม่มองโลกในแง่ดีเกินไป แต่คนที่ถือหุ้นตัวนั้นอยู่จะโกรธมากถ้าโดนวิจารณ์โดยเฉพาะถ้าคนวิจารณ์เป็นเซียน เพราะกลัวว่าเซียนจะมาทำให้หุ้นตัวเองลง
ส่วน oppday ก็มีบริษัทอีกมากที่ไมได้ไป

ผมเองโชคดีได้รู้จักกับพี่คนนึงชื่อ j พี่เจเนี้ยอยู่ในตลาดมา 20 กว่าปีและเคยผ่าน ซัดดัม กับต้มยำกุ้งและเป็นเซียนกราฟด้วย
เวลาผมถามพี่ j ว่าหุ้นตัวนี้เป็นไง พี่ j จะบอกได้ทันทีว่าต้องระวังนะ เพราะตัวนี้สมัยก่อนมันเคยเอาเปรียบผู้ถือหุ้นยังไง ต้องต้มยำกุ้งมันเบี้ยวคนนุ่นคนนี้ ไม่ซื่อสัตย์ ผมก็นั่งคิดว่าถ้าพี่ j ไม่เล่าแล้วผมจะไปรู้ได้ไงฟะ เรื่องพวกนี้ แต่บางบริษัทพี่ j บอกเลยว่าบริษัทนี้เล่นได้นะ ราคานี้กราฟสวยด้วย ผู้บริหารโอเคนะ เพื่อนผมรู้จักตั้งแต่ก่อนเข้าตลาดอีกซื่อสัตย์ อะไรทำนองนี้ผมว่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่มานาน

มือใหม่ถ้าได้รู้จักกับคนที่อยู่ในตลาดมานานก็จะดีมาก และคนที่อยู่มานานจะไม่ได้จำได้แค่ว่าใครเชื่อได้ เชื่อไม่ได้ แต่ยังรู้อีกว่าเวลาเกิดวิกฤติลำดับของการฟื้นตัวของภาวะอุตสาหกรรมจะเป็นยังไง และจะไม่ค่อยขายหมูเหมือนมือใหม่เพราะเคยเห็น cycle มาก่อน


จบแล้วครับเนื้อหาทั้งหมดที่อยากมาชวนคุยคิดว่าสิ่งที่โพสไปอาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 12, 2010 12:59 pm
โดย Birdigol
ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้วครับ  :D

อยากสอบถามอ่ะครับ ถ้าอยากไปงานจิบเบียร์หรือว่างานมีทติ้งต่างๆที่พี่ๆจัดกัน แต่ผมไม่รู้จักใครเลย ผมควรจะทำยังไงดีอ่ะครับ เพราะว่าถ้าไปนั่งแล้วไม่รู้จักใครเลย ผมกลัวว่าเค้าจะไม่พูดด้วย มันก็ดูเคว้งๆยังไงก็ไม่รู้อ่ะครับ

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 12, 2010 6:40 pm
โดย noooon010
^
^
มาช่วยตอบนะครับ น้องฮงคงไม่ว่ามั้ง

ผมว่า ถ้าเราไม่รู้จักใคร เราก็แค่เข้าไปคุยกับเค้าครับ
3 ปีก่อนผมก็ไม่รู้จักหุ้นเท่าไหร่เลย
เป็นตอนที่ ผมนึกว่า top คือ supermarket แห่งหนึ่ง
snc นี่ทำอะไรน่ะ เห็นคุณคนนู้นคนนี้พูดกันจัง

ผมว่า การเปิดใจที่จะพูดคุย ในที่สุดก็จะมีคนเปิดใจคุยกับเราเองครับ

ผมว่า มิตรภาพหาไม่ยาก ถ้าเรายินดีที่จะแบ่งสิ่งที่ สามารถแบ่งเท่าไหร่ก็ได้ อย่าง "มิตรภาพ" ให้กับผู้อื่นๆครับ

ส่วนถ้าไปคุยแล้ว เค้าไม่คุย

ก็แล้วแต่เค้านะครับ
มีนักลงทุนนิสัยน่ารักๆตั้งหลายคนในงานจิบเบียร์ครับ
(ได้ยินมา ผมไม่เคยไปนะครับ 555)

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 12, 2010 9:35 pm
โดย Todo
ขอบคุณมากครับที่นำความรู้มาแบ่งปัน
คุณฮงนี่ น่าคบเนอะ เท่าที่อ่านจากบทความนี่ แนวเดียวกันเลย อิอิ ไม่ทราบว่าจบวิดวะมาป่าวครับ

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 12, 2010 10:11 pm
โดย Notelio
ขอบคุณสำหรับ IDEA การลงทุนครับ   ส่วนตัวผมคิดว่าวิกฤตทุกครั้งสร้างโอกาสดีๆ ช่วงที่เกิดวิกฤตปี 51  ตอนนั้นมูลค่า port ที่ผมมีลดลงถึงเกือบ 60% ทั้งที่หุ้นที่ผมถือกำไรไม่ได้โดนกระทบอะไรเลย  สิ่งที่เปลี่ยนคือมุมมองของคนในตลาด ตอนนั้นหุ้นที่ผมถือคือ SVI กำไรต่อหุ้น .40 บาท แต่ตอนที่ตลาด panic สุดๆ  มันกลับลงมา floor ที่ราคาต่ำกว่า .80 บาท ที่แสบที่สุดคือมีบทวิเคราะห์ออกมาบอกให้ขาย ทั้งๆ ที่หุ้นตอนนั้น pe เหลือไม่ถึง 2 เท่า สุดท้ายพอเหตุการณ์ผ่านไปหุ้นที่ทำให้ผมขาดทุน 60% ตัวนั้นกลับทำให้ผมได้กำไร200 % ในปีถัดมา  ข้อคิดที่ผมได้มาก็คือ มุมมองการรับรู้ของคนมันเป็นเพียงสิ่งที่ mr market สร้างขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ สิ่งที่เป็นของจริงคือ ผลประกอบการครับ ถ้ามันดีจริงเมื่อการรับรู้ของคนเข้าสู่ระดับปกติราคามันก็จะสะท้อนความเป็นจริงเองครับ

ชวนคุย

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 12, 2010 10:21 pm
โดย chatchai
noooon010 เขียน: เป็นตอนที่ ผมนึกว่า top คือ supermarket แห่งหนึ่ง
เหมือนคนเคยรู้จัก  ชอบกินสุกี้  เลยไปซื้อหุ้นที่มีชื่อเหมือนกัน

แทนที่จะเป็นเจ้าของร้านสุกี้  กลับเป็นเจ้าของบริษัทสร้างบ้านขายแทน   :lol:    :lol: