หน้า 2 จากทั้งหมด 2
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 14, 2010 8:29 am
โดย SunShine@Night
อ่านไปอ่านมา
เริ่มสนใจใช้ Margin บ้างแล้วครับ
ไม่ทราบว่ามี Broker ไหน เปิดให้ใช้ Margin บ้างครับ

การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 14, 2010 9:11 am
โดย sai
ไม่เคยใช้มาร์จิ้นเหมือนกันครับ ลองแชร์ไอเดียดูนะครับ เท่าที่เข้าใจคือ โรจน์แนะนำให้ใช้มาร์จิ้นประมาณ 10-25 % ของพอร์ท และสมมติฐานคือในระยะยาวหุ้นโดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทน 10 % (รวมเงินปันผล) และดอกเบี้ยมาร์จิ้นคิดกลางกลางที่ 6% ลองคิดเล่นเล่นนะครับ ถ้าเป็นแบบที่เราตั้งสมมติฐานสมมติเป็นสองกรณีคือ
1. สมมติว่าเราใช้มาร์จิ้น 10% เราลงทุนหุ้น 100 บาท มีมาร์จิ้นอีกสัก 10บาท รวมเป็น 110 % จะได้ผลตอบแทน หุ้นของเราตอนสิ้นปี เป็น 110 บาท และ ส่วนเพิ่มจากมาร์จิ้นที่ได้เพิ่มอีก 1 บาทหักดอกเบี้ยมาร์จิ้น 0.6 เหลือ 0.4 รวมเป็นมูลค่าพอร์ทของเราสิ้นปีที่ 110.4 บาท (ถ้าเราไม่ใช้มาร์จิ้นเลย พอร์ทของเราจะมีมูลค่าสุทธิที่ 110 บาท )
2. สมมติว่าเราใช้มาร์จิ้นที่ 25 % เราลงทุนในหุ้น 100 บาท ใช้มาร์จิ้นอีก 25 บาท รวมเป็น 125 % จะได้ผลตอบแทนหุ้นของเราตอนสิ้นปี เป็น 110 บาท และ ส่วนเพิ่มจากการใช้มาร์จิ้นอีก 2.5 บาท หักดอกเบี้ยมาร์จิ้น 1.5 บาท รวมเป็นมูลค่าพอร์ทของเราจะมีมูลค่าสุทธิเท่ากับ 111.5 บาท (ถ้าเราไม่ใช้มาร์จิ้นเลย พอร์ทของเราจะมีมูลค่าสูทธิที่ 110 บาท )
คราวนี้มาลองดูฝั่งความเสี่ยงบ้างครับ
1. หน้าตาพอร์ทของเราจะไม่เป็นอิสระหรือไม่ เพราะ การปล่อยมาร์จิ้น ไม่ได้ปล่อยหุ้นทุกตัวในตลาด โบรคเกอร์ส่วนมากจะปล่อยมาร์จิ้นในหุ้นกลุ่ม set 50 กลุ่มที่มีคนนิยม มีสภาพคล่องประมาณหนึ่ง ทำให้การเลือกหุ้นในการลงทุนของเรา อาจเปลี่ยนแปลงจากหลักการเดิมหรือเปล่า เพราะต้องเอาปัจจัยเรื่องหุ้นที่ปล่อยมาร์จิ้น และ ปล่อยเต็มหรือยังมาเป็นปัจจัยในการลงทุนเพิ่มเติม หรืออย่างกรณีเลวร้ายบางโบรคขอหุ้นที่คุณถือเอาดื้อดื้อ อ้างว่าไม่ปล่อยมาร์จิ้นตัวนี้แล้ว (ปี 2008 มีกรณีนี้เยอะครับ ) ทำให้เราต้องเลือกขายหุ้นที่ดีออกไปตอนขาลง
2. ความกังวลใจในเรื่องของการ ถูก call หรือถูก force จริงอยู่ว่าเราใช้ไม่มากโอกาสโดนน้อยมาก (แต่ใช่ว่าไม่มีเลย ) สมมติอีกแล้วว่าเราซื้อหุ้น 100 บาทใช้มาร์จิ้น 25 บาท เป็น 125 บาท หุ้นตกลง 10 % หุ้นในพอร์ทเราจะมีมูลค่าสุทธิเหลือ 90 บาท แต่หุ้นที่เราซื้อด้วยมาร์จิ้นลดลงในจำนวนเท่าเท่ากันคือ 2.5 บาท มูลค่าพอร์ทสุทธิเราจะเหลือ 87.5 บาท ครับ กรณีที่สองเราซื้อหุ้น 100 บาท ใช้มาร์จิ้น 25 บาท เป็น 125 บาท หุ้นของเราตกลง 20% ทำให้ หุ้นเราเหลือมูลค่า 80 บาท แต่หุ้นที่เราซื้อด้วยมาร์จิ้นของเราดันลดลง 20% เหมือนกัน ทำให้พอร์ทของเราลดลง เพิ่มอีก 5 บาท มูลค่าพอร์ทสุทธิเหลือเพียง 75 บาท เอาให้แรงอีกนิด สมมติว่าหุ้นเกิดตกลง 30% หุ้นส่วนของเงินสดเราจะมีมูลค่าเหลือแค่ 70 บาทแต่หุ้นที่เราซื้อด้วยมาร์จิ้นลดลงเท่ากันคือ 30% จะทำให้มูลค่าพอร์ทลดลงเพิ่มอีก 7.5 บาท มูลค่าพอร์ทสุทธิเหลือแค่ 62.5 บาทเท่านั้น (โอ้วเริ่มใจเสีย ) นี่ยังไม่คิดเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพิ่มด้วยนะครับ ถ้าต้องจ่ายเพิ่มมูลค่าพอร์ทสุทธิก็จะลดลงอีก และ สภาพจิตใจตอบไม่ได้จริงจริงว่าเราจะรู้สึกยังไง เพราะแต่ละคนมีความอดทนต่อความกดดันไม่เท่ากัน(บางคนอาจจะตัดสินใจล้างพอร์ท หรือ ลดมาร์จิ้นตอนแถวนี้ก็ได้ เพื่อลดความกดดัน แล้วพอหุ้นขึ้นก็ยิ่งงงชีวิตเพิ่มครับ )
ที่ post ข้างต้นเป็นแค่กรณีสมมตินะครับ จะเห็นว่ามองมุมที่ดีก็มีข้อดี มองต่างมุมก็เจอความเสียง จริงจริง ตลาดหุ้นออกได้หลายหน้ามาก อาจไม่เลวร้ายแบบที่ผมคิดก็ได้ครับ แต่เวลาเรามองโอกาสอยากให้มองความเสี่ยงควบคู่ไปด้วยเท่านั้นเอง เพราะถ้ายิ่งเรามองหลายมุมแค่ไหน ก็ปลอดภัยขึ้นเท่านั้นครับ ผมเองสนับสนุนการใช้มาร์จิ้นนะครับ(ผมเพิ่งเปิดพอร์ทไว้เช่นกันครับ ) แต่ควรจะเป็นการใช้มาร์จิ้นในภาวะทีเราได้เปรียบ (เหมือนอย่างช่วงที่ ดร. นิเวศน์ใช้ ) แล้วเราไม่มีเงินสดมีแต่หุ้นอยู่ และหุ้นในตลาดมี pe ต่ำกว่าปกติมากมาก และ ปันผล เกินกว่า 10 % ขึ้นไป อย่างนั้นจะค่อนข้างปลอดภัยกว่าครับ แม่ผมเคยสอนว่า เจ้าหนี้ จะให้เรายืมเงินตอนทุกอย่างในชีวิตเรากำลังดูดี แต่ชอบทวงคืนตอนเรากำลังเดือดร้อนเสมอครับ
ปล. สำหรับท่านอื่นหากผมคิดต่างไม่โกรธกันนะครับ โรจน์ไม่เป็นไร เพราะปกติผมกะ newbie_12 รักกันมากครับ เสียดายที่ต่างฝ่ายต่างมีแฟนแล้วเท่านั้นเอง เหอเหอ
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 14, 2010 9:46 am
โดย crazyrisk
sai เขียน:โรจน์ไม่เป็นไร เพราะปกติผมกะ newbie_12 รักกันมากครับ เสียดายที่ต่างฝ่ายต่างมีแฟนแล้วเท่านั้นเอง เหอเหอ
ดันโด ดันโด่ .... โอ มายก๊อดด
:lol:
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 14, 2010 10:44 am
โดย dome@perth
newbie_12 เขียน:
ผมคิดว่าการจัด port โดยอิงดัชนีจะเหมาะสมครับ เพราะปกติ การจัด port โดยให้ผลตอบแทนอิงดัชนีนั้น จะให้ผลตอบแทนราว 10% ต่อปี แต่ดอกเบี้ยที่กู้นั้น ก็อยู่ราว 4-8% แล้วแต่โบรก
จะเห็นได้ว่า แค่จัด port ให้ผลตอบแทนอิงกับดัชนี ผลตอบแทนก็ชนะดอกเบี้ยอย่างน้อย 2% แล้ว
ทีนี้ หลักของดันโด คือ
"ออกหัวผมได้เงิน ออกก้อยผมเสียเงินนิดหน่อย"
ในกรณีนี้ผมคิดว่าในกรณีที่ออกหัวก็คือผลตอบแทนของ port เรา เป็นไปตามดัชนีดังในอดีต คือประมาณ 10% ต่อปี ในระยะยาว
ส่วนกรณีออกก้อย คือเสียเงินแค่ดอกเบี้ยเท่านั้นเองครับ
ผมคิดว่าผลการใช้มาร์จิ้น มันมี
หลายหน้า มากกว่า
หัว หรือ
ก้อย ครับ
ถ้าออกมาเป็น
หัว ก็ได้ 2%
ถ้าออกมาเป็น
หัว หัว ได้มากกว่า 2%
ถ้าออกมาเป็น
หัว หัว หัว อาจได้หลาย 10%
ทางกลับกัน
ถ้าออกมาเป็น
ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8%
ถ้าออกมาเป็น
ก้อย ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8% + ค่าเสียโอกาสเงิน Call
ถ้าออกมาเป็น
ก้อย ก้อย ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8% + ค่าเสียโอกาสเงิน Call + โดนบังคับขายขาดทุน(เงินต้นหาย)
ปล. เป็นแค่ความคิดเห็นอีกมุมมอง ของคนที่ยังไม่เคยใช้มาร์จิน
ได้แต่คัน :lol:
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 14, 2010 1:57 pm
โดย newbie_12
ปล. สำหรับท่านอื่นหากผมคิดต่างไม่โกรธกันนะครับ โรจน์ไม่เป็นไร เพราะปกติผมกะ newbie_12 รักกันมากครับ เสียดายที่ต่างฝ่ายต่างมีแฟนแล้วเท่านั้นเอง เหอเหอ
ผมโสดเวลาที่ไม่อยู่กับแฟนครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 14, 2010 2:20 pm
โดย Juninho
newbie_12 เขียน:
ผมโสดเวลาที่ไม่อยู่กับแฟนครับ
:lol:
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 12:25 am
โดย nanoVI
Monday, 29 June 2009

:D ใช้มาร์จินลงทุน

:D
ในการลงทุนทำธุรกิจโดยทั่วไปนั้น เราต้องมีเงินส่วนตัวหรือเงินจากหุ้นส่วนมาร่วมกันลงทุน นอกจากเงินที่เป็น ส่วนของเจ้าของ แล้ว ธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังมักจะ กู้เงิน หรือยืมเงินคนอื่นมาใช้ในการลงทุนด้วย ในเรื่องของธุรกิจแล้ว เงินที่กู้มามักจะมีมากกว่าเงินในส่วนของเจ้าของเองด้วยซ้ำ ดังนั้น เงินกู้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าขาดเงินกู้ โครงการหรือธุรกิจก็เดินไม่ได้ หรือไม่อย่างนั้น เราก็ต้องลดขนาดของธุรกิจลง การลดขนาดของธุรกิจลงก็ทำให้กำไรลดน้อยลง ผลตอบแทนการลงทุนของเราก็น้อยลง การลงทุนก็อาจจะไม่คุ้มค่า สรุปอย่างง่ายก็คือ เรากู้เงินมาใช้ก็เพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนของเรา
แต่การกู้เงินมาใช้นั้นมีความเสี่ยง เพราะเงินกู้นั้นต้องมีกำหนดเวลาใช้คืนและต้องมีดอกเบี้ยที่จะต้องจ่าย บางทีทุกเดือน ถ้าบริหารกระแสเงินสดไม่ดี และ/หรือ ธุรกิจเกิดประสบปัญหาขาดทุน เราอาจจะถูกฟ้องล้มละลาย เงินส่วนของเราก็สูญไปด้วย หรือในกรณีที่ไม่เลวร้ายเกินไปนัก เราอาจจะไม่ถึงกับล้มละลาย แต่ธุรกิจทำกำไรได้น้อยในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่า แบบนี้แทนที่เราจะได้กำไรบ้างถ้าเราไม่ได้กู้เงิน เราก็อาจจะไม่มีกำไรเลยหรือขาดทุนได้ ดังนั้น การที่เราจะกู้เงินหรือไม่จึงอยู่ที่การชั่งน้ำหนักว่า ระหว่างผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้เพิ่มขึ้น กับความเสี่ยงที่ว่าเราอาจจะล้มละลายหรือผลตอบแทนน้อยลงหรือขาดทุน เราจะเลือกอย่างไหน?
สำหรับ นักธุรกิจ แล้ว ส่วนใหญ่มักจะเลือกการกู้เงิน เพราะการลงทุนทำธุรกิจมักจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง บางทีเกินกำลังเงินส่วนตัวที่มีอยู่ นอกจากนั้น นักธุรกิจมักมองว่าผลตอบแทนที่จะได้จากธุรกิจนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ดังนั้น การกู้เงินจะทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้น ส่วนความเสี่ยงที่จะล้มละลาย เขามักจะให้ความใส่ใจน้อยกว่า เขาคงคิดว่าเขาเข้าใจและรู้จักธุรกิจดีพอ เหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นคน คุมธุรกิจ นั้นเอง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาอาจจะคิดว่า ถ้าเลวร้ายมากและธุรกิจต้องล้มละลาย เขาก็แค่เสียเงินส่วนตัวที่ลงทุนไปเท่านั้นและก็อาจจะเป็นเงินที่ไม่มาก และหลังจากล้มละลายเพียง 3-4 ปีเขาก็ หลุด จากการล้มละลายและกลับมาลองใหม่ได้อีก แต่ถ้าเขาโชคดี ธุรกิจประสบความสำเร็จงดงาม กำไรของเขาจะมหาศาลและมากกว่าการไม่กู้เงินหลายเท่า ดังนั้น สำหรับนักธุรกิจบางคนแล้ว เขาต้องการกู้เงินมาลงทุนให้มากที่สุด เขารู้ว่านี่เป็น เกม ที่เขาได้เปรียบ คือ ถ้าเขาชนะ เขาได้ 10 ถ้าแพ้ อย่างมากเขาก็เสีย 1 คนที่รับความเสี่ยงมากจริง ๆ ก็คือคนให้กู้ ซึ่งก็คือสถาบันการเงินที่เชื่อเขา
การลงทุนในหุ้นสำหรับผมก็คือ การลงทุนคล้ายกับการทำธุรกิจเหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างจริง ๆ สำหรับผมก็คือ ผมสามารถค่อย ๆ ทยอยลงทุนทีละน้อยไปเรื่อย ๆ เมื่อมีเงินเพิ่มเติมขึ้นมาจากแหล่งไหนก็ตาม อีกความแตกต่างหนึ่งก็คือ การกู้เงินมาใช้ซื้อหุ้นลงทุนนั้น สถาบันการเงินอื่นมักไม่ให้กู้ จะมีก็แต่โบรกเกอร์ที่เราเป็นลูกค้าอยู่ที่จะให้กู้ที่เรียกกันว่าการซื้อหุ้นด้วย มาร์จิน แต่โบรกเกอร์นั้นก็ให้กู้แบบมีข้อจำกัด นั่นคือ เราไม่สามารถกู้ได้เกินหนึ่งเท่าของเงินส่วนตัวที่เราเอามาลงทุน และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ เราจะกู้ได้เฉพาะเพื่อที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง เราไม่สามารถจะซื้อหุ้นของกิจการที่ดีแต่หุ้นไม่มีสภาพคล่องพอได้
ด้วยข้อจำกัดในการกู้ดังกล่าว ประกอบกับการที่ผมค่อนข้างที่จะเน้นความปลอดภัยในการลงทุนเป็นพิเศษเนื่องจากเราไม่อยู่ในฐานะที่เสี่ยงต่อความสูญเสียที่รุนแรงได้ ผมจึงเลือกที่จะลงทุนโดยไม่กู้เลยตั้งแต่แรกที่ผมเริ่มลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินส่วนตัวของผมเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ผมรู้สึกว่า ผมไม่จำเป็นที่จะต้อง เร่ง ผลตอบแทนการลงทุนไปมากกว่านั้น ว่าที่จริง การลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมดนั้น ถ้ามันให้ผลตอบแทนที่พอสมควรเช่นปีละ 10% เงินมันก็โตเร็วมากอยู่แล้ว พูดโดยสรุปก็คือ การลงทุนโดยการกู้หรือที่เรียกว่าซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จิน ไม่เคยอยู่ในความคิดผมเลยมากกว่าสิบปีนับตั้งแต่ประมาณปี 2538 หรือ 2539
ประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน 2551 หรือปลายปีที่แล้ว วิกฤติเศรษฐกิจก็ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเดือนเดียวดัชนีตกลงมาเข้าใจว่าเกือบ 30% หุ้นจำนวนมากมีราคาตกต่ำลงอย่างไม่น่าเชื่อ หลายบริษัททำกิจการที่ผมมั่นใจว่าจะต้องอยู่ต่อไปในประเทศไทยและจะกลับมาทำกำไรได้เท่าเดิมและมากกว่าเมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป แต่ราคาหุ้นของบริษัทนั้นตกต่ำเกินความเป็นจริง โอกาสในการลงทุนเกิดขึ้นแต่ผมกลับไม่มีเงินสดเลยเพราะผมถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ผมไม่อยากขายหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในพอร์ตเพราะหุ้นเหล่านั้นก็มีราคาต่ำเกินไปเหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจ กู้ โดยการเปิดพอร์ตการซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จินเป็นครั้งแรก
การกู้เงินซื้อหุ้นของผมนั้น ผมคิดไว้ว่า ข้อหนึ่ง มันไม่ควรมากกว่า 10-20% ของมูลค่าพอร์ต ข้อสอง หุ้นที่ซื้อจะต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องที่ดีที่เราสามารถขายทิ้งได้อย่างรวดเร็วถ้าจำเป็นแต่ที่สำคัญเท่า ๆ กันก็คือ ข้อสาม หุ้นจะต้องมีราคาต่ำมากและกำไรของบริษัทไม่ได้อยู่ในภาวะสูงผิดปกติ ตรงกันข้าม มันควรที่จะมีกำไรลดลงไปมากแต่ทุกอย่างกำลังดีขึ้นในเวลาไม่นานนัก และสุดท้าย เราต้องมี Exit Strategy หรือ ทางออกจากหนี้ ซึ่ง สำหรับผมก็คือ การนำเงินปันผลที่จะได้มาจากพอร์ตโดยรวมมาลดหนี้ การทยอยขายหุ้นที่ซื้อมาเมื่อมันมีราคาเพิ่มขึ้น และถ้าจำเป็น อาจต้องขายหุ้นตัวอื่นเพื่อมาล้างหนี้
ผมโชคดีที่การตัดสินใจถูกต้อง เพราะหลังจากนั้น ราคาหุ้นที่ซื้อมาปรับตัวขึ้นมาก และแม้ว่าหนี้ก็ยังคงอยู่แต่พอร์ตก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก ความเสี่ยงจากการกู้ไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม ผมตระหนักอยู่เสมอว่า
หนี้นั้นเป็นสิ่งที่อันตราย เราต้องมองป้าย ทางออก อยู่เสมอ และถ้าไม่มั่นใจจริง ๆ ก็ อย่าลอง จะดีกว่า
Posted by nivate at 4:08 PM in โลกในมุมมองของ Value Investor :D :D
ที่มา
http://portal.settrade.com/blog/nivate/2009/06/29/570
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 9:51 am
โดย nanoVI

:D
สำหรับนักธุรกิจบางคนแล้ว เขาต้องการกู้เงินมาลงทุนให้มากที่สุด เขารู้ว่านี่เป็น เกม ที่เขาได้เปรียบ คือ..
ถ้าเขาชนะ เขาได้ 10 ถ้าแพ้ อย่างมากเขาก็เสีย 1 คนที่รับความเสี่ยงมากจริง ๆ ก็คือคนให้กู้ ซึ่งก็คือสถาบันการเงินที่เชื่อเขา
การลงทุนในหุ้นสำหรับผมก็คือ การลงทุนคล้ายกับการทำธุรกิจเหมือนกัน
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 11:00 am
โดย yoyo
dome@perth เขียน:ผมคิดว่าผลการใช้มาร์จิ้น มันมี หลายหน้า มากกว่า หัว หรือ ก้อย ครับ
ถ้าออกมาเป็น หัว ก็ได้ 2%
ถ้าออกมาเป็น หัว หัว ได้มากกว่า 2%
ถ้าออกมาเป็น หัว หัว หัว อาจได้หลาย 10%
ทางกลับกัน
ถ้าออกมาเป็น ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8%
ถ้าออกมาเป็น ก้อย ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8% + ค่าเสียโอกาสเงิน Call
ถ้าออกมาเป็น ก้อย ก้อย ก้อย ก็เสีย ดอกเบี้ยขึ้นต่ำ 4-8% + ค่าเสียโอกาสเงิน Call + โดนบังคับขายขาดทุน(เงินต้นหาย)
ปล. เป็นแค่ความคิดเห็นอีกมุมมอง ของคนที่ยังไม่เคยใช้มาร์จิน
ได้แต่คัน :lol:
เคยเจอ ก้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มั๊ยครับ...
ผมยังไม่เคยเจอในตลาดหุ้น
แต่ในบ่อน ผมเคยเจอก้อยติดกัน 15 ตา กำไรที่ทำมาหายไปครึ่งนึงแน่ะ :lol:
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 11:10 am
โดย peacedev
yoyo เขียน:
เคยเจอ ก้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มั๊ยครับ...
ผมยังไม่เคยเจอในตลาดหุ้น
แต่ในบ่อน ผมเคยเจอก้อยติดกัน 15 ตา กำไรที่ทำมาหายไปครึ่งนึงแน่ะ
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 12:32 pm
โดย sunrise
มาดูกันว่ารอบนี้เป็นก้อยๆๆๆๆๆหรือเปล่า
อยากนึงนะที่ผมว่าสำคัญมากที่สุด :D
คือการรักษาเงินต้น
ตังมากที่เหลือจะใช้แล้วไม่จำเป็นที่จะต้องใช้มาร์จิ้นแน่นอนครับ
แต่คำว่ามากที่เหลือจะใช้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน
บางคนวันละ 200 (เช่นพี่พอใจ)
บางคนวันละเป็นหมืน
มาร์จิ้นเป็นดาบสองคมที่ทำให้คนตายได้
มีผุ้รู้สอนว่า low possiblity but it's castastrophy!
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 1:03 pm
โดย WEB
ตอนผมเรียนอยู่เภสัช จุฬาฯ คณะผมอยู่ติดสยามสแควร์
ผมเลยเดินที่สยามสแควร์แทบทุกวัน ตอนนั้น ด้วยความ
คึกคะนองตามแบบฉบับวัยรุ่นหน้าตาดีทั่วๆไป เวลาผมข้ามถนน
ในสยามฯ ผมจะข้ามแบบกระชั้นชิด ซึ่งทำให้ผมข้ามไปอีกฝั่งได้เร็ว
กว่าเพื่อนในกลุ่มแทบทุกครั้ง มองแง่นึง ผมสามารถข้ามถนนได้เร็วกว่าคนอื่น
แต่ผมก็รู้ตัวว่า ถ้าผมทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ วันนึง ผมต้องพลาดโดนรถชนแน่
เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าเรายืดระยะเวลาให้ยาวออกไป
โอกาสการเกิดขึ้นของเหตุการณ์นั้นๆจะสูงขึ้นอย่างมาก
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 1:09 pm
โดย sai
[quote="WEB"]ตอนผมเรียนอยู่เภสัช จุฬาฯ คณะผมอยู่ติดสยามสแควร์
ผมเลยเดินที่สยามสแควร์แทบทุกวัน
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 1:12 pm
โดย MANEKI
[quote="sai"][quote="WEB"]ตอนผมเรียนอยู่เภสัช จุฬาฯ คณะผมอยู่ติดสยามสแควร์
ผมเลยเดินที่สยามสแควร์แทบทุกวัน
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 1:52 pm
โดย BeSmile
[quote="MANEKI"][quote="sai"][quote="WEB"]ตอนผมเรียนอยู่เภสัช จุฬาฯ คณะผมอยู่ติดสยามสแควร์
ผมเลยเดินที่สยามสแควร์แทบทุกวัน
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 5:31 pm
โดย picklife
yoyo เขียน:
เคยเจอ ก้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มั๊ยครับ...
ผมยังไม่เคยเจอในตลาดหุ้น
แต่ในบ่อน ผมเคยเจอก้อยติดกัน 15 ตา กำไรที่ทำมาหายไปครึ่งนึงแน่ะ
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 5:55 pm
โดย peacedev
picklife เขียน:
เคยเจอ ก้อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มั๊ยครับ...
ผมยังไม่เคยเจอในตลาดหุ้น
แต่ในบ่อน ผมเคยเจอก้อยติดกัน 15 ตา กำไรที่ทำมาหายไปครึ่งนึงแน่ะ
การใช้มาร์จิ้นแบบดันโด
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 16, 2010 6:42 pm
โดย Linzhi
การเล่นมาร์จิ้น เหมือนการกู้เงินไปซื้อธุรกิจที่กำลังกู้เงินทำธุรกิจอยู่
และราคาธุรกิจที่เราซื้อราคามีความผันผวนมากในระยะสั้น ซึ่งเราควบคุมไม่ได้
ไม่เคยลองใช้ ไม่รู้ความรู้สึกเหมือนกัน
ถามคนที่ใช้อยู่ว่า ดอกเบี้ยและวงเงินมาร์จิ้น ขึ้นอยู่กับอะไรบ้างครับ ?
ที่ไหนถูกที่สุดครับ