หน้า 2 จากทั้งหมด 2
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 20, 2009 10:00 am
โดย อะไรดีละ
ที่จริงแล้ว ผมได้เขียนถึงจุดดี จุดด้อยของหุ้นตัวนี้อยู่แล้ว
ลองไปอ่านดูดีๆ ครับ มันมีความเสี่ยงอยู่สูงพอตัวทีเดียว
ไม่ได้ชี้นำให้ "ซื้อ" นะครับ...ผมแค่ยกประเด็นของธุรกิจอสังหาฯ ที่หลายๆ คนในนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจดีนัก
ถ้าจะลงทุนในหุ้นตัวนี้ก็คือ "ฝัน" ร่วมๆ ไปกับคุณสงกรานต์ อิสระนั่นแหละ
สำหรับกรณีพาดพิงบุคคลอื่น อาจไม่เหมาะสมนัก ขอโทษด้วยครับ
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 20, 2009 1:56 pm
โดย nanchan
[quote="อะไรดีละ"]
สำหรับกรณีพาดพิงบุคคลอื่น
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 10:26 am
โดย emososo
จากที่เคยอ่านในหนังสือตีแตก ก็น่าจะมี TC ในปี 1997 นะครับที่ใกล้เคียงกับp/e 0.5 เท่า
ปีนั้นมีราคาหุ้นต่ำกว่า 6 บาทให้ได้เห็นราวสองสามเดือนก่อนงบ q3 ออก
ในหนังสือดร.บอกว่า กำไรต่อหุ้นของปีนั้นคิดคร่าวๆว่าน่าจะได้ 11-12 บาทต่อหุ้น
แต่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วได้เท่าไหร่ไม่ได้ตามไปหาดูนะครับ
แต่อย่างน้อยใครซื้อ TC ตอนนั้นที่ต่ำกว่า 6 บาท ก็ได้ซื้อหุ้นที่ p/e ต่ำกว่า 1 เท่าแน่นอน
(ตอบจากที่อ่านในหนังสือนะครับ เท็จจริงประการใดก็ไม่ได้ตามไปย้อนดูจริงจังครับ)
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 10:42 am
โดย อะไรดีละ
คงไม่ได้ขนาดนั้นหรอก...
ปีนั้นผมก็ซื้อ STA เหมือนกัน 15 บาท (พาร์ 10) สุดท้ายแล้ว กำไรต่อหุ้นก็เกือบๆ ถึงราคาหุ้นนะ...แต่ก็ยัง P/E สูงกว่า 1 อยู่ดี
กำไรแบบนั้น ถือเป็นกำไรไม่ปกติครับ...เกิดจากกำไรพิเศษของค่าเงินฯ
กำไรไม่ปกติ อย่าง กรณีการปรับโครงสร้างหนี้ ก็ไม่นับเช่นกันครับ
ต้องคิดเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานครับ
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 11:07 am
โดย อะไรดีละ
กรณีการปรับโครงสร้างหนี้ของ TYONG สร้างกำไรถึงกว่า 2 หมื่นล้าน
ขณะที่ บริษัทมี mkt.cap แค่ 3 พันล้านเอง....
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 11:53 am
โดย holidaytours
เท่าที่สังเกตุนะครับกับหุ้นที่พีอีประมาณนี้นะคับ
กำไรที่ได้เป็นกำไรที่ไม่มีคุณภาพ
กำไรเยอะแต่ปันผลกลับไม่มาก
แต่ปันผลมากน้อยก็ยังไม่สำคัญเท่า
ความคงเส้นคงวาครับ
ปีนี้กำไรขนาดนี้
ปีหน้าขาดทุน ประมาณนี้ครับ
จริง ๆ พีอี ห้าเท่าถ้ามันทำได้ทุกปีเนี่ยผมว่าคนก็สนใจกันแล้วครับ
ถ้าจะให้ผมสรุปจากประสบการณ์นะครับ
เดาได้ว่าเป็นหุ้นไม่มีความคงเส้นคงวา
เหมือนนักเตะที่ฟอร์มไม่คงที่
ไม่สามารถเป็นนักเตะระดับโลกได้อะคับ
:D
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 12:03 pm
โดย killyz
อ่านไปก็เหมือน สาวกำลังมองหาป้าย sale ขอให้ได้ซื้อเสื้อผ้า slae เก็บไว้ก่อน
ส่วนจะได้ใช้หรือไม่ ไว้คิดทีหลัง มาดูอีกทีก็มีเสื้อผ้าเต็มตู้
สุดท้ายก็เอามาขายราคามือสองที่ถูกกว่าซื้อตอนแรกซะอีก
ให้บริจาค เจ๊เค้าไม่ยอม ขอขายได้เงินนิดหน่อยก็ยังดี
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 1:30 pm
โดย yoyo
p/e ต่ำกว่า 1 เท่านี่ในเวปก็มีทำได้หลายคน
สมาชิกแก๊งตู้เย็นนี่น่าจะทำได้กันหลายคนเหมือนกัน
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 1:58 pm
โดย อะไรดีละ
yoyo เขียน:p/e ต่ำกว่า 1 เท่านี่ในเวปก็มีทำได้หลายคน
สมาชิกแก๊งตู้เย็นนี่น่าจะทำได้กันหลายคนเหมือนกัน
จริงเหมือนกัน..เป็นไปได้ มันพอเป็นไปได้อยู่ครับ
แล้วตอนนั้น มาลบกระทู้ "หุ้น P/E ต่ำกว่า 1" ของผมทำไมก็ไม่รู้
แต่คนที่ซื้อนี่ต้องระดับเซียนเลย อาจซื้อที่ 40 กว่าบาทสำหรับ KYE
ไม่รู้มีใครบ้าง ยังถือถึงตอนนี้หรือเปล่า??
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 21, 2009 5:28 pm
โดย holidaytours
อะไรดีละ เขียน:
จริงเหมือนกัน..เป็นไปได้
++ หุ้น P/E 0.5 เท่า มีด้วยหรือ ++
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 23, 2009 4:02 pm
โดย maneela
เงินกับกล่อง
โลกในมุมมองของ Value Investor 21 พฤศจิกายน 52
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ธรรมชาติของคนเรานั้นต้องการมี เงิน และ กล่อง พูดง่าย ๆ ก็คือ ข้อแรก ทุกคนอยากรวย เพราะความร่ำรวยทำให้เรามีอิสระเสรีมากขึ้นในการที่จะทำอะไรที่เรารักเราอยากทำได้เต็มที่ ความรวยทำให้เรามีความมั่นคงในชีวิต ไม่ต้องกังวลว่าเราจะขาดแคลนสิ่งที่จำเป็นหรืออยากได้เมื่อเราต้องการใช้ ความรวยทำให้เราไม่ต้องพึ่งพิงคนอื่นมากนักและทำให้สามารถอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย แต่ทั้งหมดนี้สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วก็ไม่เพียงพอ ต้องมีข้อสองนั่นคือ คนเราอยากได้ กล่อง ซึ่งก็คือเราอยากได้รับการ ยอมรับ จากคนอื่นว่าเรา ประสบความสำเร็จ ความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องของความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่หลากหลายตั้งแต่เรื่องของวิทยาศาสตร์ การเมือง การแสดง กีฬา การทำงาน และการทำธุรกิจ แต่ความสำเร็จที่เป็นที่ยอมรับและวัดได้ง่ายที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การมีเงินมาก
ในโลกของทุนนิยมนั้น กล่องกับเงิน บ่อยครั้งก็มาด้วยกันหรือตามกันมา เช่น เป็นดาราที่มีชื่อเสียงเพราะมีรูปร่างหน้าตาและความสามารถสูง ก็จะมีผู้มาจ้างแสดงภาพยนต์และถ่ายแบบโฆษณาด้วยอัตราสูงลิ่วทำให้มีรายได้มาก และถ้ารู้จักบริหารเงินก็จะมีเงินเหลือเก็บมากกลายเป็นเศรษฐี เรียกว่ามีทั้งกล่องและเงิน แต่ในบางกรณี คนที่ได้กล่องมาก็ไม่มีเงินเพราะกล่องนั้นไม่ทำเงินเช่นนักวิทยาศาสตร์ที่วิจัยค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้มีชื่อเสียงแต่ไม่สามารถไปทำเงินได้ หรือนักมวยแชมป์โลกหลายคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมีรายได้มากแต่ใช้จ่ายเงินไม่เป็นทำให้ไม่มีเงินเหลือเก็บกลายเป็นคนมีกล่องแต่ไม่มีเงิน
คนที่มีเงินมากเข้าขั้นเศรษฐีนั้น จำนวนมากไม่มีกล่องเพราะคนไม่รู้จักและก็ไม่รู้ว่าเป็นคนมีเงินมาก แต่พวกเขาก็อยากได้กล่อง เป็นกล่องที่จะบอกว่าเขาประสบความสำเร็จในการหาเงิน วิธีที่จะทำให้คนเห็นและยอมรับก็คือ การโชว์ความร่ำรวยผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาสามารถซื้อมาใช้ ไล่ตั้งแต่เครื่องแต่งตัวเช่นเสื้อผ้า เครื่องเพชร นาฬิกา ที่มีราคาแพงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะมีกำลังซื้อได้ รถยนต์ที่มีราคาแพง ของสะสมเช่นรูปวาดหรือพระเครื่องที่มีราคาสูง และที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันก็คือบ้านที่ต้องใหญ่โตหรูหราเกินกว่าความจำเป็นที่ต้องใช้สอย ถ้าจะพูดก็คือ พวกเขา ซื้อกล่อง ด้วยเงินที่มีอยู่จำนวนมาก
คนบางคนมีรายได้มากแต่ยังไม่มีเงินเหลือเก็บ เหตุผลก็คือ พวกเขาพยายามไปหากล่องก่อน นั่นก็คือ พอมีรายได้เข้ามาก็เอาเงินไปซื้อทุกสิ่งทุกอย่างเลียนแบบเศรษฐี พวกเขาต้องการแสดงให้คนเห็นว่าเขาร่ำรวยมีเงินมาก บางคนมีความคิดว่าถ้าเขาทำตัวแบบเศรษฐี วันหนึ่งเขาก็จะรวยแบบเดียวกัน น่าเสียดายที่นั่นเป็นเรื่องของความเข้าใจที่ผิด เพราะพวกเขาจะไม่ได้เป็นเศรษฐีตัวจริง เขาจะมีรายจ่ายมากมายที่จะทำให้ไม่มีเงินเหลือเก็บเพื่อที่จะไปลงทุนต่อและทำให้ร่ำรวยได้จริง ๆ กล่องที่พวกเขาได้จะเป็นกล่องที่ กลวง ในขณะที่เงินเก็บที่มีอยู่น้อยจะไม่ทำให้เขามีความสุขเท่ากับคนที่มีเงินแต่ไม่มีกล่อง
จากข้อมูลที่พบในสหรัฐและผมคิดว่าในเมืองไทยก็ไม่น่าจะแตกต่างกันก็คือ มีคนที่ไม่ได้เป็นคนรวยจำนวนมาก ซื้อกล่อง หรือก็คือซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นการ แสดงออกถึงความร่ำรวย ว่าที่จริง ยกเว้นมหาเศรษฐีที่มักซื้อและใช้สินค้าที่แพงสุดกู่แล้ว คนที่รวยเป็นเศรษฐีเงินล้านตัวจริงนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้บริโภคของฟุ่มเฟือยอะไรมากนัก เสื้อผ้าที่ใช้ก็ไม่ใช่พวกที่มียี่ห้อหรู นาฬิกาก็มักจะเป็นพวกยี่ห้อไซโกหรือไทม์เม็กซ์ รถยนต์ก็นิยมพวกโตโยต้า บ้านที่อยู่ก็มักจะราคาปานกลางในทำเลของคนชั้นกลาง ดังนั้น เขาสรุปว่า คนส่วนใหญ่ที่แต่งตัวหรู ใส่นาฬิกาโรเล็กซ์ ขับรถเบนซ์ มีบ้านใหญ่หรูหรา ส่วนใหญ่ไม่ใช่เศรษฐีตัวจริง ดังนั้น ถ้าคุณอยากเป็นเศรษฐีตัวจริง คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
ถ้าเราต้องการเป็นเศรษฐีมีเงิน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ทำอย่างเศรษฐีตัวจริง ซึ่งเขาค้นพบว่า คนเหล่านี้มักเป็นคนที่ประหยัดอดออม เก็บเงินที่เหลือไปลงทุน คนเหล่านี้มีชีวิตที่ พอเพียง ใช้เงินน้อยกว่ามาตรฐานรายได้และความมั่งคั่งของตนเอง และนั่นทำให้เขารวย แต่ส่วนใหญ่แล้วกว่าจะรวยเป็นเศรษฐีมีเงิน 30-40 ล้านบาทขึ้นไป ก็มักจะมีอายุ 50 ปีขึ้นไป และทั้ง ๆ ที่ร่ำรวยแล้ว พวกเขาก็มักจะยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่ฟู่ฟ่า อย่างไรก็ตาม บางคน โดยเฉพาะที่ร่ำรวยมาก ๆ เป็นมหาเศรษฐีก็ ซื้อกล่อง เหมือนกัน แต่นี่เป็นการซื้อกล่องเมื่อเขามีเงินมากแล้วและไม่ได้กระทบอะไรกับความมั่งคั่งของเขา
Value Investor นั้น จำนวนมากไม่มีทั้งเงินและกล่อง อาจจะเรียกว่าไม่มีฐานะอะไรเลยก็ได้ เพราะหลายคนไม่ได้ทำงานประจำ พวกเขามุ่งทำเงินเป็นหลักโดยหวังว่าจะมีเงิน และด้วยการใช้ชีวิตแบบพอเพียงประกอบกับการลงทุนอย่าง เข้มข้น หลายคนก็หวังจะรวยเป็นเศรษฐีในเวลาอันไม่ไกลนัก ในความเห็นของผม นี่คือหนทางของการเป็นคนมีเงินที่น่าจะดีที่สุดทางหนึ่ง ส่วน กล่อง นั้น ผมคิดว่าในฐานะของคนที่รู้ว่าการบริโภคของหรูหราราคาแพงนั้นไม่ใช่วิถีของเศรษฐีตัวจริง ไม่ใช่สิ่งที่บอกว่าเป็นเครื่องแสดงออกถึง ความสำเร็จ จริง ดังนั้น เราก็ไม่ควรต้องใส่ใจ โดยเฉพาะในช่วงที่เรายังไม่รวย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในฐานะของ VI นั้น เราต้องมองหา คุณค่า ของกล่องเมื่อเทียบกับ ต้นทุน ในการซื้อมัน วิธีที่จะได้กล่องที่มีคุณค่าจริง ๆ ก็คือ ต้องเป็นกล่องที่มาจากความสามารถอันเป็นที่ยอมรับ ความสามารถนั้นอาจเป็นเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นเรื่องของการลงทุนหรือเป็นเรื่องการลงทุนก็ได้ แต่มันต้องเป็นความสามารถจริงที่ไม่ได้ซื้อมา และนี่จะเป็นกล่องที่มีคุณค่าจริง ๆ
" เชื่อว่า มิตรภาพดีดี มีได้จริงในเวปนี้"
:roll: :roll: :roll: