anaconda เขียน:
1) จะมีความเป็นไปได้มั้ย ถ้าจะมีคนที่จริงใจ และไม่โลภ ในธุรกิจเครือข่าย เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ
2) จะเป็นไปได้มั้ยที่จะมีวิธีการหรือกระบวนการทำธุรกิจเครือข่าย
ที่แตกต่างจากวิธีที่คุณkornjackrit ประสบมา
ก่อนอื่นผมต้องยอมรับว่าในตอนแรกที่ผมเขียน ผมค่อนข้างมีอคติเล็กน้อย
ทำให้สิ่งที่เป็นข้อดีข้อเสีย อาจจะไม่ค่อยเป็นความเห็นในมุมกว้าง
ขออภัยนะครับ
แต่ประเด็นที่คุณ anaconda ยกมาน่าสนใจครับ
รบกวนคุณ anaconda ขยายความส่วนนี้ให้หน่อยนะครับ
ี้ผมคิดว่าจริงๆแล้วเป็นไปได้ทั้ง 2 ข้ิอครับ
โดยเฉพาะข้อ 2 ผมคิดว่าน่าสนใจมากถ้ากระบวนการของธุรกิจเครือข่าย
หรือลักษณะของมันแตกต่างจะที่ผมเคยพบมา
เท่าที่ผมพอจะทราบวิธีการทำธุรกิจเครือข่ายที่ถูกต้อง
คือ การทำในลักษณะคล้ายๆ
กับแนะนำสินค้าให้คนรู้จัก ว่าสินค้าที่เราใช้้หรือบริโภคอยู่นั้นมีคุณสมบัติที่ดี
หรือมีประโยชน์มากกว่าสินค้าอื่น
ถ้าทำแบบไม่โลภ
หรือทำแบบถูกต้อง ในการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ
คงจะต้องให้คนที่เราแนะนำหรือผู้บริโภคเลือกซื้อเองใช่ไหมครับ
แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบคือการแนะนำสินค้าเนี่ยละครับ
จริงๆผมคงจะต้องพูดว่าผมชอบมันน้อยกว่า
การวิเคราะห์ธุรกิจ เพื่อการลงทุน
ผมเลยเลือกที่จะทำสิ่งที่อชอบมากกว่าแทน
แต่ถ้าผมไม่ได้เลือกที่จะเป็นนักลงทุน
ผมก็คงจะเป็นนักธุรกิจที่ต้องแนะนำสินค้าหรือบริการ
แต่ถ้ากระบวนการทางธุรกิจ หรือวิธีการทำ ที่คุณ anaconda ได้ประสบมาก
แตกต่างจะที่ผมได้เล่าไปข้างต้น ผมจะขอบคุณและยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าคุณ anaconda จะช่วยอธิบายให้ฟังครับ
anaconda เขียน:อีกเรื่องที่ธุรกิจเครือข่ายให้ได้คือทักษะเรื่องคน
เพราะถ้าเราจะเป็นนักลงทุนที่เก่งเราคงต้องดูออกว่า ทีมผู้บริหาร จริงๆแล้วกำลังทำอะไรอยู่อีีกอย่างการเรียนรู้เรื่องคนจะทำให้เราเข้าใจ
ตัวเองมากขึ้น และรู้จักให้อภัยคนอื่นมากขึ้นด้วยครับ
น่าสนใจครับ ทักษะเรื่องคนผมเห็นด้วยอย่างมากครับ
การเรียนรู้เรื่องคนเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆสำหรับนักลงทุน
อย่างที่คุณ anaconda ว่ามา
ทักษะเรื่องคนสำหรับนักลงทุนน่าจะเป็นทักษะการมองคน
และทักษะการประเมินคน มากกว่าทักษะการเลือกคน
หรือ การเจรจากับคน
แน่นอนครับ ทักษะสองอันหลังที่ผมพูดถึง เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
แต่น่าจะสำคัญสำหรับนักธุรกิจมากกว่า
"คน" เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าจัดการยากที่สุดในโลก
(
พูดถึงในแง่ที่เราต้องควบคุมจัดการคนในฐานะลูกจ้างหรือลูกน้อง
หรือ คนทีี่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่เกี่ยวกับคนในฐานะเพื่อน
หรือ ญาติพี่น้อง )
ถ้าผมต้องเจอกับปัญหาว่าพอจะคุยธุระสำคัญ คนนี้ติดงาน
คนนั้นลาป่วย คนโน่นไม่ว่าง อีกคนมาไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดอยู่
ผมคิดว่าชีวิตผมคงยุ่งมากแน่นอนครับ ต้องเที่ยวโทรติดต่องาน
ซึ่งผมชอบชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องเหล่านี้มากกว่า
ในทางกลับกันผมจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย ถ้าคนที่ผมกล่าวข้างต้นเป็นเพื่อน หรือญาติพี่น้องไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องในเชิงธุรกิจ
ซึ่งหมายความว่า ถ้าผมนัดเพื่อนแล้ว(แน่นอนว่าต้องไม่ได้นัดมาคุยเรื่องธุรกิจ)
อาจจะนัดไปสังสรรค์ พูดคุยเรื่องราวจิปาถะในชีวิต
ถ้าเพื่อนผมบางคนไม่ว่าง ผมก็ไม่รู้สึก
ผิดหวังแต่ประการใด เพราะมันไม่ได้เป็นไปในเชิงธุรกิจ ที่ทุกอย่างจะต้องถูกจัดการ เช่น ถ้าคนนี้ไปพูดคุยกับลูกค้าไม่ได้
ผมต้องโทรเรียกอีกคนไปจัดการแทน ซึ่งเวลาที่ผมต้องติดต่อธุระอาจจะเป็นเวลาที่ผมกำลังพักผ่อน
อยู่กับครอบครัว
แต่ในการลงทุน ผมสามารถคลิกอินเตอร์เน็ตเพื่อซื้อ - ขาย หุ้น
โดยไม่ต้องแม้แต่จะโทรหาโบรกเกอร์ หรือนายธนาคาร
เพราะเงินที่ผมซื้อก็จะถูกโอนเข้าธนาคารโดยไม่ต้องติดต่อนายธนาคาร
จะเห็นว่าผมแทบไม่ต้องติดต่อกับคนในเชิงธุรกิจเลย
และแน่นอนว่าเวลาที่่ผมพักผ่อนอยู่กับครอบครัว
ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปโทรหาใคร หรือไปติดต่อธุระกับใคร
ผมจะต้องติดต่อเชิงธุรกิจกับคนอื่นจริงๆ็
ก็เฉพาะเวลาที่ไปประชุมผู้ถือหุ้น
ไปเยี่ยมชมกิจการ หรือ ติดต่อ IR ฯลฯ
เพื่อหาข้อมูซึ่งผมคิดว่าเป็นเวลาเพียงเล็กน้อย
เมื่อเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจเอง
สิ่งที่ผมนำเสนอก็คือข้อแตกต่างหนึ่งในหลายๆข้อของนักลงทุน
(โดยเฉพาะลงทุนในหุ้น)กับนักธุรกิจที่ทำธุรกิจเอง
มีข้อหนึ่งที่คุณ anaconda ยกมา แล้วผมเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็น
และสำคัญมากๆ
anaconda เขียน:
ผมพบว่า การที่จะวิเคราะห์หุ้นได้ดีคุณต้องมีความเข้าใจธุรกิจด้าน B แบบลึ้กซึ้ง ผมเชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจ ด้าน B จะมีมุมมองที่แตกต่างจาก E และ S ลองคิดเล่นๆดูนะครับ ว่าถ้าเรากำลังวิเคราะห์สิ่งที่เราไม่รู้ ด้วยความรู้ที่เรามี ผมไม่แน่ใจว่าผลที่ได้ จะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
ผมคิดว่าถูกต้องที่สุดครับ แต่การที่ผมอยากทำงานเป็น E หลังเรียนจบ
เป็นเพราะผมชอบลักษณะงานมากกว่าการทำธุรกิจด้วยตัวเอง
(ขอย้ำว่าลักษณะงาน ไม่ใช่ชอบทำงานด้าน E )
และผมคิดว่าอาชีพที่ผมอยากจะเป็นในช่วงที่ผมมีรายได้จากด้าน E ัจะให้ความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ในเชิงธุรกิจ
หรือในด้าน B ได้เป็นอย่างดี เพราะถึงแม้ผมจะทำงานในด้าน E
แต่ผมก็เลือกที่จะใช้มุมมองเวลาทำงานและหาประสบการณ์
แบบด้าน I กับ B