Thai VI

ขอบคุณ คุณ mario มากครับ ทำให้ตาสว่างทีเดียวแหละครับ

ดูเหมือนง่ายแต่ได้คิดดีครับ...ชอบ  :)

ทุนผู้ซื้อหุ้น เท่ากับ 50 บาทต่อหุ้น

กำไรของบริษัท เท่ากับ 10 บาทต่อหุ้นต่อรอบปีบัญชีนั้น

หากกำไรไม่เปลี่ยนแปลงยังคงเป็น 10 บาทต่อหุ้นต่อรอบปีบัญชี ในอีกสี่ปีข้างหน้า ก็จะรวมกำไรของปีตอนที่ซื้อด้วยเท่ากับ 50 บาทต่อหุ้นต่อห้ารอบปีบัญชี (คิดแบบดอกเบี้ยเงินฝาก 0% ในช่วงนั้น)

ทุนบริษัทต่อหุ้นมูลค่าเท่ากับ book value/share อันนี้ไม่แน่ใจ จำได้ว่าเคยอ่านว่าถ้าซื้อที่ราคา P/B น้อยกว่า 1 คือซื้อได้ถูกกว่าเจ้าของ เลยคิดเอาเองว่า book value/share น่าจะมาจาก (สินทรัพย์ทั้งหมดซึ่งเท่ากับหนี้สินทั้งหมดรวมกับส่วนของผู้ถือหุ้น)/จำนวนหุ้น

ดังนั้นถ้าบริษัทจะคืนทุนก็ต่อเมื่อกำไรต่อหุ้นรวมสะสมถึงปีที่คืนทุนเท่ากับ book value/share

ส่วนผู้ซื้อหุ้นจะคืนทุนเมื่อผลตอบแทน (ปันผล+ส่วนต่างราคา) สะสมถึงปีที่คืนทุนเช่นกัน  เท่ากับ 50 บาทต่อหุ้น

ทั้งหมดนี้คิดแบบง่ายๆ ว่าไม่มีดอกเบี้ยในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะหากมีจะทำให้มูลค่าเงินในอนาคตกับปัจจุบันไม่เท่ากัน...คือเป็นค่าเสียโอกาส

อย่างไรก็ตามบริษัทที่ขยายกิจการส่วนใหญ่มักจะมีทรัพย์สินโตเพิ่มขึ้นเรื่อย...อือ อันนี้เริ่มงงแล้วครับ  :roll:   ขอถอยไปตั้งหลักก่อน   :lol:

หุ้น pe 5 คือหุ้นที่ราคาของบริษัทมีค่าเป็น 5 เท่าของกำไร อาจเป็นอนาคต หรือ อดีต

เป็นตัวเลขที่ผมชอบใช้เข้าซื้อหุ้น แต่เป็น Current Price/ Future Earning ครับ

ชอบๆๆ กระทู้นี้เยียมเลย

chatchai เขียน:ถ้าบริษัทมีกำไร 10 บาทต่อหุ้น  แล้วเราซื้อที่ราคา 50 บาท  P/E 5 เท่า

หมายความว่าอย่างไรครับ

หมายความว่าเรายอมซื้อหุ้นบริษัทนั้น ในราคาที่เป็น 5 เท่าของกำไรต่อหุ้นของบริษัท

ซึ่งไม่ได้มีอะไรยืนยันเลยว่า เราจะได้รับส่วนแบ่งจากกำไรนั้น และก็ไม่ได้มีอะไรยืนยันเลยว่า คนอื่นจะยอมซื้อหุ้นนั้นในจำนวนเท่าของกำไรที่มากหรือน้อยกว่าเราหรือไม่

หมายความว่า

ถ้ามีคนซื้อตาม มันก็อาจจะไปPe6-7

ถ้ามีคนขายมันก็อาจจะลงมา Pe3-4 ได้

[quote="chatchai"]ถ้าบริษัทมีกำไร 10 บาทต่อหุ้น

เห็นด้วยกับความเห็นที่ post มาก่อนหน้านี้นะครับ
เจ้าของกระทู้เข้าใจคิดกระทู้ได้น่าอ่านจังเลยนะครับผม

ผมขออ้างอิงจากหนังสือ
"One Up On Wall Street / Peter Lynch with John Rothchild "
หน้า 218นะครับ

ประโยคนี้น่าสนใจดี(สำหรับผม)ครับ

PE Ratio ของบริษัท ที่มีราคาเหมาะสม
จะเท่ากับการเจริญเติบโตของมัน

ถ้า PE ของ Coca - Cola = 15 คุณจะคาดหวังว่าบริษัทจะโตประมาณ 15% ต่อปีเป็นต้น

แต่ถ้า PE ต่ำกว่าอัตราการเติบโต
คุณอาจเจอหุ้นเข้าแล้ว

มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม  :D

สมมติพันธบัตรรัฐบาล ดอกเบี้ย 4.25%

คิดเป็น PE = 100/4.25=23.5

ถามว่า PE สูงขนาดนี้ ทำไมกองทุนและสถาบันยังซื้อครับ

มันเกี่ยวกับความมั่นใจและความแน่นอนรึป่าว

[quote="noooon010"]ผมขออ้างอิงจากหนังสือ
"One Up On Wall Street / Peter Lynch with John Rothchild "
หน้า 218นะครับ

ประโยคนี้น่าสนใจดี(สำหรับผม)ครับ

PE Ratio ของบริษัท ที่มีราคาเหมาะสม
จะเท่ากับการเจริญเติบโตของมัน

ถ้า PE ของ Coca - Cola = 15 คุณจะคาดหวังว่าบริษัทจะโตประมาณ 15% ต่อปีเป็นต้น

แต่ถ้า PE ต่ำกว่าอัตราการเติบโต
คุณอาจเจอหุ้นเข้าแล้ว

มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม

[quote="chatchai"][quote="noooon010"]ผมขออ้างอิงจากหนังสือ
"One Up On Wall Street / Peter Lynch with John Rothchild "
หน้า 218นะครับ

ประโยคนี้น่าสนใจดี(สำหรับผม)ครับ

PE Ratio ของบริษัท ที่มีราคาเหมาะสม
จะเท่ากับการเจริญเติบโตของมัน

ถ้า PE ของ Coca - Cola = 15 คุณจะคาดหวังว่าบริษัทจะโตประมาณ 15% ต่อปีเป็นต้น

แต่ถ้า PE ต่ำกว่าอัตราการเติบโต
คุณอาจเจอหุ้นเข้าแล้ว

มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม

ขอบคุณพี่ฉัตรชัย และพี่ mprandy ที่มาถกเรื่องนี้นะครับ
ผมเองตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ก็รู้สึกว่า เราไม่เคยทราบมาก่อนเลย
น่าศึกษาๆ

เดี๋ยวคงต้องไปศึกษาเพิ่มอีกเยอะ เพราะอ่านแล้ว งง เพิ่มอีกแล้วครับ
แต่สนุกจังเลยครับ

พี่ chatchai ครับ

ผมว่าการใช้ fcf/price มาคำนวณเป็น cash earning ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับเพราะสามารถวัดถึงความสามารถในการหาเงินสดจริงๆของกิจการ

ปกติ FCF = NOPAT-D&A-CAPEX-change of WC เอามาจากหนังสือคุณสุมาอี้

ผมว่ามันก็มีตัวแปรที่ไม่แน่นอนจากปีต่อปีอยู่มากนะครับ

เช่น CAPEX นี่ แต่ละปีจะไม่เท่ากันเลย

หรือ change of wc นี่ อย่าง mcs ปีล่าสุดนี่ มีลูกหนี้การค้าเยอะมาก ตอนแรกก็สงสัย แต่ก็มีเพื่อๆมาให้ความกระจ่างว่า สินค้าส่วนใหญ่ของปี 50 มาเร่งทำ q สุดท้าย ยังเก็บหนี้ไม่ได้ เลยมี ลูกหนี้การค้าเยอะกว่าปกติ

อย่างนี้ เราคงต้องใช้ดูเฉพาะบริษัทที่มีแผนการลงทุนปีต่อปีแน่นอน และมียอดขายทั้งปี stable ไม่แปรผันมากในแต่ละ q หรือเปล่าครับ

อีกอย่างผมว่า P/E เป็นตัวที่บ่งบอกถึงความสนใจในหุ้นนั้นๆ ของนักลงทุน
แต่ E นั้นๆ จะต้องเป็น E ตามปกติ ที่ตัดการเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากสถานการณ์พิเศษไปแล้ว

PE ต่ำ เพราะอะไร ต้องตอบให้ได้
แล้วถามตัวเองว่า EPS ปีหน้ามั่นใจว่าจะเป็นอย่างไร
แล้วค่อยมาหา PE อีกครั้ง
ไม่เช่นนั้นคุณจะโดน PE หลอกจนผมตั้งเลยครับ
น่ากลัวจริงๆ

ทุกครั้งที่พี่ตั้งคำถาม..ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะไม่เข้ามาอ่านและติดตาม


ดีจริงๆ ครับ..

เตือนสติตลอดเวลาแบบนี้..
ดีจริงๆ อีกครั้งครับ

อาจารย์ของผม   เคยอธิบายว่าด้วยเรื่อง PE นี้ว่ามันจะสูงต่ำก็มาจากปัจจัย 3 ตัว ไม่รู้ว่าจะจำผิดบ้างไหม

1. กำไรในแต่ละปี ว่ามีแนวโน้มที่จะเติบโตไหม หรือลดลง
2. อัตราการจ่ายปันผล ถ้าบริษัทจ่ายปันผลดีๆ ในอัตราที่สูงขึ้นหุ้นก็จะมีPEที่สูงขึ้น แต่ถ้าไม่ได้จ่ายปันผลเพิ่มขึ้นแต่กระแสเงินสดสูงขึ้น แล้วนำไปลงทุนขยายงานเพิ่มขึ้นก็ จะกลับไปที่ข้อ 1. ก็ทำให้ PE เพิ่มขึ้น แต่ถ้าเก็บเงินเอาไว้กับบริษัท เงินมีนอนอยู่เฉยๆ ไม่จ่ายปันผลงามๆ ไม่ลงทุนดีๆ PE ก็แป็กอยู่อย่างนั้นแหละ
3. ความเสี่ยงในการลงทุน ธุรกิจเอาแน่เอานอนไม่ได้ความเสี่ยงที่กำไรผันผวน PE ที่ให้ก็จะไม่สูง แต่ถ้าบริษัทมีแต่ความเสี่ยงต่ำ แต่กำไรไม่เพิ่ม จ่ายปันผลน้อย PE มันก็ไม่ไปไหนเหมือนกันน้า

ความสัมพันธ์ของสามตัวนี้เมื่อเอามาถ่วงกันแล้วก็จะได้ที่มาว่าทำไมหุ้นตัวนี้ PE อยู่ตรงนี้

ถ้าบริษัทมีกำไร 10 บาทต่อหุ้น  แล้วเราซื้อที่ราคา 50 บาท  P/E 5 เท่า

หมายความว่าอย่างไรครับ

ตอบแบบกวนๆก็น่าจะหมายความว่า เราซื้อหุ้นที่ราคาต่อหุ้นมากกว่ากำไร(ทางบัญชี) อยู่ 5เท่า

มันไม่ได้บอกอะไรเราเลยครับ ว่าบริษัทกำลังจะเติบโตไหม กระแสเงินสดดีไหมจ่ายปันผลดีเปล่า ธุรกิจแน่นอนไหมเสี่ยงหรือเปล่า

nanchan เขียน:หมายความว่า
ถ้ามีคนซื้อตาม มันก็อาจจะไปPe6-7
ถ้ามีคนขายมันก็อาจจะลงมา Pe3-4 ได้

   ผมด้วยความเคารพครับ
 มองเช่นเดียวกันกับพี่นัน
 PE เป็นเรื่องของ สัมพันธภาพ
 
  ---------------

  ผมชอบมอง  P/E ว่าเหมือนกับ คนสองคนแต่งงานกัน
    P คือ  ผู้ชาย /  E  คือ ผู้หญิง หรือ ผู้ชายอยู่บนผู้หญิง นั่น เป็นตอน Reproduction process ถือว่าสำคัญ คนที่ทำหมันอย่างผมแล้ว อ. ชาล ดางิน ถือว่า ไม่เป็น natural selection แล้ว อย่างนี้ ถือว่า ไม่มีประโยชน์ หรือ ประโยชน์ถดถอย  

  ------------
 
    P/E เกิดได้เพราะด้วยการแต่งงาน ถ้าไม่มีการแต่งงานก็ไม่มี P ทับ E
ถึงไปตีความหมายท่าทับต่างๆ นาๆ มันมีหลายท่า 108 ท่า เคยมีหนังสือที่สนามหลวงตอนเด็ก ๆ ผมเคยเห็น เสียดายซื้อไมได้ แต่ทุกท่าเหมือนกันหมด คือ  มุ่งไปสู่ reproduction

--------------

  ท่าทับผู้ชายบนผู้หญิงของแต่ละคน จึงไม่เหมือนกัน ท่าใครก็ท่ามัน  
    แต่พอทับแล้ว มันก็ต้องแต่ง
  แต่หลังแต่งงานที่ P ทับ E แล้ว จะเกิดเรื่องดังนี้
     
   E ผู้หญิงอยากให้  P ผู้ชายเปลี่ยน แต่ P มักไม่อยากเปลี่ยน
    ส่วน  P ผู้ชายไม่อยากให้ E ผู้หญิงเปลี่ยน  แต่ E มักจะชอบเปลี่ยนแปลง

      ที่นี้ถ้าเราเป็นคนดู P/E แล้วเราก็มองกลับกันหมด
 
  คือเราอยากเป็น P ซะเอง เราอยากจะไปแสดงท่าทับเอง

  เราไปทับไมได้ นั่น E เขา ไม่ใช่ E เรา

   นั่นคือเรื่องสัมพันธภาพครับ

ผมว่าแม้ว่า PE จะไม่ได้สะท้อนการวัดหุ้น ว่าถูกแพง ได้อย่างแท้จริง แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ยังใช้เป็นเกณฑ์อยู่
เราก็สามารถอาศัยจังหวะหากำไรได้จากการเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกตรงจุดนี้ได้มั้งครับ

ขออนุญาตแสดงความเห็นครับ
สำหรับผมP/Eเป็นอัตราส่วนระหว่างมูลค่าตลาด(Market Cap.)ต่อกระแสเงินสดอิสระที่เกิดขึ้นในปีนั้น(Free Cash Flow)  มากกว่าที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนั้นผมยังใช้อัตราส่วนระหว่างกระแสเงินสดอิสระต่อกำไรจากการดำเนินงานหลังภาษี(NOPAT) ที่มากกว่า 1.3 เท่าเป็นเกณฑ์วัความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดอิสระอีกด้วยครับ

พี่ฉัตรชัย เขียน:ถ้าบริษัทมีกำไร 10 บาทต่อหุ้น  แล้วเราซื้อที่ราคา 50 บาท  P/E 5 เท่า

หมายความว่าอย่างไรครับ

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งที่ราคา 50 บาท  ซึ่งขณะนั้นมี P/E 5 เท่า

โดยเงื่อนไขว่า เรา เป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดแล้ว ย่อมหมายความว่า เรา ได้พิจารณาข้อมูลประกอบครบถ้วนมากพอแล้วและเชื่อมั่นว่าการลงทุนนี้เป็นการลงทุนที่ดีและจะได้กำไรกลับคืนมา

แต่จะดีจริงหรือไม่
ได้กำไรจริงไหม
คุณภาพกิจการเป็นอย่างไร
ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยอยู่ที่เท่าไร
คุณภาพของกำไรเหมาะสมหรือไม่
กระแสเงินสดของกิจการเป็นอย่างไร
ผู้บริหารเชื่อถือได้หรือไม่
โอกาสของกิจการในอนาคตเป็นอย่างไร
ฯลฯ

ทั้งหมดนี้ จากโจทย์ไม่สามารถระบุได้ เมื่อไม่มีเงื่อนไขเพิ่ม การกระทำดังโจทย์ย่อมหมายความว่า เราผู้ทำการลงทุน (เพียงแต่) เชื่อมั่น ว่านั่นเป็นการลงทุนที่ดี และจะทำให้ได้กำไร

พี่ฉัตรชัย เขียน:ถ้าเป็น P/E 6 เท่า  ไม่มีหนี้เงินกู้  เงินสดท่วมบริษัท  และโตมาแล้ว 7 ปีติดต่อกันละครับ  สนใจไหม  :lol:     :lol:

กำไรของบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่ง หากคิดจากปี 2537 เทียบกับปี 2550 (โดยไม่ต้องไปสนใจว่า 10 กว่าปีระหว่างกลางนั้นผลกำไรเค้าตกต่ำลงไปอย่างไรบ้าง และเพิ่งฟื้นตัวจนเลย high เดิมเมื่อไม่นานมานี้) เพิ่มขึ้น 100.8%

เงินเฟ้อของประเทศไทยนับจากสิ้นปี 2537 มาจนถึงสิ้นปี 2550 เท่ากับ 56.4% (คิดเป็นอัตราทบต้น 3.50% ต่อปี)

กำไรของบริษัทแห่งนี้ที่ดูเหมือนจะเติบโตสูง หากปรับมูลค่ากำไรปี 37 เป็นมูลค่าเงินในปี 50 กำไรของบริษัทนี้จะเพิ่มขึ้นเพียง 28.4 % เท่านั้น
28.4% ใน 13 ปี คิดเป็นอัตราทบต้นเพียง 1.94% ต่อปี แพ้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยหลุดลุ่ย

บริษัทประกอบกิจการมาตั้งนานแล้วจนเข้าสิบปีที่ 5 มีอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าที่ทำมาก็ 20 กว่าปีแล้ว
ราคาหุ้นปัจจุบันที่ 50 บาท เป็นราคาที่สูงกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุนเมื่อ 18 ปีที่แล้วเพียง 25% เท่านั้น

25% ใน 18 ปี

หุ้นบริษัทนี้ น่าสนใจไหมครับ  :8)

เงินเฟ้อของประเทศไทยนับจากสิ้นปี 2537 มาจนถึงสิ้นปี 2550 เท่ากับ 56.4% (คิดเป็นอัตราทบต้น 3.50% ต่อปี)

กำไรของบริษัทแห่งนี้ที่ดูเหมือนจะเติบโตสูง หากปรับมูลค่ากำไรปี 37 เป็นมูลค่าเงินในปี 50 กำไรของบริษัทนี้จะเพิ่มขึ้นเพียง 28.4 % เท่านั้น
28.4% ใน 13 ปี คิดเป็นอัตราทบต้นเพียง 1.94% ต่อปี แพ้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยหลุดลุ่ย

กำไรของบริษัท หักเงินเฟ้อ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ไม่ได้หักเงินเฟ้อหรือครับ

P/E 5 เท่าคือถือหุ้น 5 ปีคืนทุน ซื้อ 10 บาท ปีที่ 5 บริษัทมีกำไร 10 บาท  แบะๆ แบะๆ

[quote="mprandy"][quote="chatchai"][quote="noooon010"]ผมขออ้างอิงจากหนังสือ
"One Up On Wall Street / Peter Lynch with John Rothchild "
หน้า 218นะครับ

ประโยคนี้น่าสนใจดี(สำหรับผม)ครับ

PE Ratio ของบริษัท ที่มีราคาเหมาะสม
จะเท่ากับการเจริญเติบโตของมัน

ถ้า PE ของ Coca - Cola = 15 คุณจะคาดหวังว่าบริษัทจะโตประมาณ 15% ต่อปีเป็นต้น

แต่ถ้า PE ต่ำกว่าอัตราการเติบโต
คุณอาจเจอหุ้นเข้าแล้ว

มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม

[quote="Pu121Thai"]กำไรของบริษัท หักเงินเฟ้อ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ไม่ได้หักเงินเฟ้อหรือครับ

P/E 5 เท่าคือถือหุ้น 5 ปีคืนทุน ซื้อ 10 บาท ปีที่ 5 บริษัทมีกำไร 10 บาท

Ryuga เขียน: สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งที่ราคา 50 บาท  ซึ่งขณะนั้นมี P/E 5 เท่า

โดยเงื่อนไขว่า เรา เป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดแล้ว ย่อมหมายความว่า เรา ได้พิจารณาข้อมูลประกอบครบถ้วนมากพอแล้วและเชื่อมั่นว่าการลงทุนนี้เป็นการลงทุนที่ดีและจะได้กำไรกลับคืนมา

แต่จะดีจริงหรือไม่
ได้กำไรจริงไหม
คุณภาพกิจการเป็นอย่างไร
ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยอยู่ที่เท่าไร
คุณภาพของกำไรเหมาะสมหรือไม่
กระแสเงินสดของกิจการเป็นอย่างไร
ผู้บริหารเชื่อถือได้หรือไม่
โอกาสของกิจการในอนาคตเป็นอย่างไร
ฯลฯ

ทั้งหมดนี้ จากโจทย์ไม่สามารถระบุได้ เมื่อไม่มีเงื่อนไขเพิ่ม การกระทำดังโจทย์ย่อมหมายความว่า เราผู้ทำการลงทุน (เพียงแต่) เชื่อมั่น ว่านั่นเป็นการลงทุนที่ดี และจะทำให้ได้กำไร
กำไรของบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่ง หากคิดจากปี 2537 เทียบกับปี 2550 (โดยไม่ต้องไปสนใจว่า 10 กว่าปีระหว่างกลางนั้นผลกำไรเค้าตกต่ำลงไปอย่างไรบ้าง และเพิ่งฟื้นตัวจนเลย high เดิมเมื่อไม่นานมานี้) เพิ่มขึ้น 100.8%

เงินเฟ้อของประเทศไทยนับจากสิ้นปี 2537 มาจนถึงสิ้นปี 2550 เท่ากับ 56.4% (คิดเป็นอัตราทบต้น 3.50% ต่อปี)

กำไรของบริษัทแห่งนี้ที่ดูเหมือนจะเติบโตสูง หากปรับมูลค่ากำไรปี 37 เป็นมูลค่าเงินในปี 50 กำไรของบริษัทนี้จะเพิ่มขึ้นเพียง 28.4 % เท่านั้น
28.4% ใน 13 ปี คิดเป็นอัตราทบต้นเพียง 1.94% ต่อปี แพ้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยหลุดลุ่ย

บริษัทประกอบกิจการมาตั้งนานแล้วจนเข้าสิบปีที่ 5 มีอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าที่ทำมาก็ 20 กว่าปีแล้ว
ราคาหุ้นปัจจุบันที่ 50 บาท เป็นราคาที่สูงกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุนเมื่อ 18 ปีที่แล้วเพียง 25% เท่านั้น

25% ใน 18 ปี

หุ้นบริษัทนี้ น่าสนใจไหมครับ  :8)

โหววๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ น่าคิดมากครับ

นานๆ ทีจะเห็นพี่ฉัตรฯ โพสแนวเชียร์หุ้น จัดเป็นของหายาก ตอนแรกว่าจะไม่ยุ่งแล้วแต่อดไม่ได้เลยแซวนิดหน่อยนะครับ  :lol:

สำหรับนักลงทุนที่ทำการบ้านดีแล้ว เชื่อมั่นดีแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรมทั้งหลาย  :8)

Saran เขียน:

ขอเสนอหน้ามาตอบนะครับ:lol:

ถ้าผมรู้เพียงแค่โจทย์ 1 ประโยคนี้ ยังไม่พอให้ผมกล้าตัดสินใจครับ
เหมือนที่ปัวโรต์พูดเอาไว้ว่า
เราได้ยินเสียงประตูดัง อาจกำลังมีคนเข้ามา หรืออกไปก็ได้

ผมเริ่มเห็นรอยแยกเล็กๆเกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี การถกเถียงกันด้วยเหตุผลอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นสิ่งที่ดีนะครับทุกท่าน

สำหรับผม ... เข้ามาเก็บความรู้ครับ ขอบคุณครับ

Belffet เขียน:ผมเริ่มเห็นรอยแยกเล็กๆเกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี การถกเถียงกันด้วยเหตุผลอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นสิ่งที่ดีนะครับทุกท่าน

สำหรับผม ... เข้ามาเก็บความรู้ครับ ขอบคุณครับ

คิดมากไปเปล่า

ขอบคุณพี่ฉัตรครับ

เวลาผมลงทุน  ผมไม่ได้พิจารณาว่าราคาหุ้นในอดีตเป็นอย่างไร  ขึ้นมามากน้อยแค่ไหนครับ  เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผลตอบแทนที่ผมจะได้รับในอนาคตซักหน่อย

อันนี้นี่ตรงใจเลยครับ

ผมเลยบอกว่าถ้ามั่นใจว่ากำไรจะโตแบบยั่งยืนไปอีก 5 ปี แล้ว PE ยัง 5 อยู่เนี่ยะ มันหลงมาให้ซื้อได้อย่างไร อิอิ

แต่คำถามที่ยากที่สุดคือ เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่ามันจะโตอย่างยั่งยืนไปอีก 5 ปี