Thai VI

sathaporne เขียน:

Jeng เขียน: ระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันนี้ ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะลงสุดๆเมื่อไร เพราะยังไ่ม่มีใครมองลง

ทำไมพี่ถึงคิดว่าตอนนี้ยังไม่มีใครมองว่าลงล่ะครับ
ผมเห็นหลายคน (ในเว็บเรานี่แหละ) บอกว่าถือเงินสดรอกันแล้ว (มากบ้างน้อยบ้าง)
ก็น่าจะแปลว่าตลาดถูกมองว่าจะเป็นขาลงแล้วไม่ใช่เหรอครับ
หรือว่าที่เห็นในเว็บเรานี่เป็นคนส่วนน้อย

ก็เห็นตอนที่ทุกคนเริ่มมั่นใจว่าลง ก็ชอบมาตั้งกระทู้ว่า รอบนี้ เท่าไร อะไรประมาณนี้

แล้วก็จะมีคนที่เห็นด้วยมาโพสตรึม ว่าเท่านั้น เท่านี้ แสดงว่า

ขายไปหมดแล้ว ก็เลยกลายเป็นฝ่ายแช่ง

ส่วนพวกที่ยังไม่ขายก็ยังเป็นฝ่ายเชียร์ ก็ไม่ค่อยชอบ ที่ใครมาตั้งว่า จะลงไปเท่านั้นเท่านี้

อย่างไรก็ตาม พอหุ้นลงมากๆ จนคนเริ่มเชื่อว่า จะลงไปเท่านั้นเท่านี้

หุ้นก็รีบาว

รอบที่แล้วในเว็บก็เหมือนกัน มองลงกันใหญ่ หุ้นก็รีบาว

sathaporne เขียน:

Jeng เขียน:ณ เวลานั้นเข้าใจว่า ptt 228 ก็มีคนเข้าไปรับตลอดทาง

แต่พอ ptt 140 พี่ตั้งกระทู้ชวนซื้อ ก็ไม่มีคนสนใจ

และมีบางคนบอกว่า ptt จะถูกเอาออกจากตลาด

เรียกว่า ptt ถูกสุดๆ ptt 4 บอร์ดล้าง ไม่มีคนตอบเท่าไร

มานึกดูแล้ว ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิด ผมก็เข้าไปซื้อptt ก็เพราะกระทู้พี่แหละมั๊ง

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... it=ptt+140

กระทู้นี้ครับ dec 2008 ptt pe 4

คราวนี้ก็มีข่าวว่าจะเอาออกนอกตลาดอีกแล้ว จากกลุ่มพันธมิตร มาได้จังหวะจริงๆๆ

พี่เจ๋ง คราวนี้ บอกจังหวะน่าเข้าด้วยนครับ น้อมรับ PM ทุกเวลา

Jeng เขียน:
แล้วก็จะมีคนที่เห็นด้วยมาโพสตรึม ว่าเท่านั้น เท่านี้ แสดงว่า

ขายไปหมดแล้ว ก็เลยกลายเป็นฝ่ายแช่ง

ส่วนพวกที่ยังไม่ขายก็ยังเป็นฝ่ายเชียร์ ก็ไม่ค่อยชอบ ที่ใครมาตั้งว่า จะลงไปเท่านั้นเท่านี้

ผมชอบให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลายแบบนี้มากกว่าครับ
เพราะความคิดของแต่ละคนมีทั้งถูกและผิด ทำให้เรามีข้อมูลนำมาวิเคาระห์ได้
อย่างรอบด้าน อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าความคิดและข้อมูลของเรามีจุดบกพร่องตรงไหน
จะได้ปรับปรุงได้ทัน

ส่วนจะมองถูกหรือผิด ขายหมูหรือขายไก่นั้น ผมว่าอย่าไปใส่ใจมาก หากมองผิดก็แค่
เสียโอกาส มองถูกก็ขาดทุนน้อยลงหรือกำไรเพิ่ม

อย่างตลาดหุ้นบ้านเรามี 400-500 ตัว หากมองผิดก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะขึ้นทุกตัว หาก
มองถูกตลาดไม่ลง ก็ใช่ว่าหุ้นทุกตัวจะขึ้นเช่นกัน

บนวิกฤตย่อมมีโอกาส ในโอกาสก็มีความเสี่ยงของความไม่รู้เช่นกัน

หากหุ้นที่เราถืออยู่มี MOS มากพอก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลัว แต่หากมีความเสี่ยง
เพิ่มมากขึ้น การรอจังหวะเพื่อหาหุ้นที่มีมูลค่าที่เหมาะสมในการลงทุนระยะยาว ก็เป็นอีก
ทางที่จะเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้นครับ

Jeng เขียน:สรุปถ้ามีเงิน จะรอรอบใหญ่ ก็ต้องรอให้คนเลิกเล่น รอบอร์ดล้าง ไม่มีคนเข้า

รอ force sell รอค่าเงิน 35 รอ วอลลุ่มเทรด เหลือต่ำกว่า 5000 ล้านบาท

ระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันนี้ ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะลงสุดๆเมื่อไร เพราะยังไ่ม่มีใครมองลง

เหตุผล ที่ไม่มีใครมองลง ก็คงเป็นเพราะ ปีหน้า เมืองไทย ลดภาษี

และ ไม่มีรับประกันเงินฝากเหมือนสมัยก่อน

เศรษฐกิจไทยดี ไม่เกี่ยวกับต่างประเทศ ทำไมไทยต้องลง

ซึ่ง การมองแบบนั้น ผมเชื่อว่า มองถูกครึ่งเดียว

เพราะเงินจากต่างประเทศมาลงทุนในเมืองไทย และมาตอนค่าเงินเท่าไร สมมุติ 35 บาท

มาซื้อหุ้นตอนดัชนีเท่าไร สมมุติ 400-600

ทำไมตอนนี้เขาจะไม่ขายออก กำไรสองต่อ

และนำเงินกำไรบางส่วน ไปซื้อหุ้น ที่ต่างประเทศ เพราะมันลงมาเยอะ

เมื่อเงินออก สภาพคล่องก็หาย หุ้นก็ตก

หมายถึงรอบใหญ่นะ ไม่ใช่ว่า สัปดาห์หน้า หุ้นรีบาว แล้วก็มาบอกว่า ฟันหักอีกแล้ว

ไทยลงมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถูกมากเมื่อเทียบกับเมกา

ข้อมูล wall street journal

http://online.wsj.com/mdc/public/page/2 ... yield.html

อยากรู้ครับปี2008 pe. Set เหลือเท่าไหร่ ณ set@400จุด

เดือน 10 ปี 2551 pe 6.33
เดือน 11 ปี 2551 pe 6.28

http://www.set.or.th/th/market/market_statistics.html

Jeng เขียน:เดือน 10 ปี 2551 pe 6.33
เดือน 11 ปี 2551 pe 6.28

http://www.set.or.th/th/market/market_statistics.html

ขอบคุณครับพี่ ไม่น่าเชื่อช่วงปี2001 ตลาดบ้านเรา PE 3 กว่าๆ มิน่า ท่าน ดร รวยเอาๆ
ปกติผมไม่ดู PE set แต่มันโกลบอลแล้วไม่ดูคงไม่ได้ ถึงหุ้นจะดี พอตลาดไม่ดี เก่งแค่ไหนก็ลง
คลายเครียดเรโชต้องมีใช้บ้างประปราย

หุ้นขึ้นลง คือ Demand Supply มั๊งครับในความเห็นผม คือถ้ามีคิดว่าดี อยากได้ๆๆๆ Demand มากราคาขึ้น... ช่วงไหนคนกลัว คิดว่าอะไรๆก็ไม่ดี Supply ล้น ราคาร่วง

Demand Supply น่าจะเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมล้านแปด แต่สภาวะเหล่านี้เมื่อรวมๆๆ เอาหลอมรวมกัน แล้วน่าจะออกมาเป็นสามภาวะตลาด

- ภาวะปกติ ดีไม่สุด เลวไม่สะใจ พื้นฐานสิ่งต่างๆของกิจการสำคัญ EPS PE PB จะซื้อขายกันทีนี่คิดไปสามวันแปดวัน ส่วนเรื่องราคาจะขึ้น มันควรมีมุมที่คนส่วนใหญ่มองแล้วดี น่าจะไป หรือมันไปแล้ว แต่คนคิดว่าไปอีก จะมีส่วนทำให้หุ้นขึ้นมาก (ก็ถือว่าน่าจะอิงกับพื้นฐานที่แท้จริง แบบไม่ใส่ไข่ หรือเอาไข่ออกมากสุดแล้วนะครับ)

- ภาวะกระทิงมั่กๆ อันนี้ อะไรที่คนคิดว่าดี หรือใครบอกดี... แน่นอน ช้างน้ำก็กลายเป็น dumbo บินได้ทุกตัวแหละ ขอให้บอก ขอให้จัด... บินแน่ๆ ยกเว้นพวกกู่ไม่กลับจริงๆ อันนี้อาจจะได้แค่ทรงๆ

-ภาวะแมลงสาปครองเมือง... ประมาณถ้าทุกท่าน เริ่มคิดว่า เรือหายแล้ว (หายจริงหรือไม่ไม่ทราบ)... อันนี้ หุ้นทุกตัว A B C ดีแค่ไหน... ทุกตัวจะถูกรวมใส่เข่ง แล้วติดป้ายรวมว่า "หุ้น" พวกเอ็งค่าเท่ากันหมดแหละ อะไรที่ปลอดภัยกว่า มีค่ากว่า หรือให้ผลตอบแทนที่พอจะดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวมดีทั้งนั้น และ หุ้นมัดตระกร้าเหล่านี้ จะถูกโยนน้ำ แลกเงินสด แบบชั่งกิโลขาย ยกเว้น น้อยตัวมากๆ ที่แบบน่ารักดั่งเมียน้อย ไม่งอแง โลกจะถล่มยังไงยังชวนจ้ำจี้ มีผลประกอบการติดไม้ติดมือสวยงามตลอด อันนี้ อาจจะโดยแค่กระชากเสื้อผ้าไปขาย แต่ตัวนี่ปล่อยล่อนจ้อนไว้ก่อน ราคาเสื่อลงแต่อาจจะไม่เวอร์มาก คือแบบยังเก็บตัวไว้ถึงจะโป๊ๆ หน่อย... พูดง่ายๆ หุ้นในวิกฤตน่าจะกลายเป็นถูกมัดตระกร้ารวมแทนเป็น Commodity ตัวหนึ่ง เทียบเท่าพวก น้ำมัน ถ่านหิน ฝ้าย ประมาณนั้น คือแบบ เวลาเทขายนี่ถึงกะลืมชื่อ ลืม EPS ลืม PE PB ลืมหน้าผู้บริหาร ลืมกำไรที่พึ่งทำได้ทะลุเป้าอะไรเทือกนั้นอะครับ แล้วขอแลกเป็นอะไรก็ได้ที่คนขายมันคิดว่าน่าจะดีกว่าคำว่าหุ้น...

ก็นะครับ สรุปคือ Demand Supply และภาวะแวดล้อมร้อยแปด ก็มีผลกับ Demand Supply อีกต่อหนึ่งครับ

Jeng เขียน:

sathaporne เขียน:

Jeng เขียน:ณ เวลานั้นเข้าใจว่า ptt 228 ก็มีคนเข้าไปรับตลอดทาง

แต่พอ ptt 140 พี่ตั้งกระทู้ชวนซื้อ ก็ไม่มีคนสนใจ

และมีบางคนบอกว่า ptt จะถูกเอาออกจากตลาด

เรียกว่า ptt ถูกสุดๆ ptt 4 บอร์ดล้าง ไม่มีคนตอบเท่าไร

มานึกดูแล้ว ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิด ผมก็เข้าไปซื้อptt ก็เพราะกระทู้พี่แหละมั๊ง

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... it=ptt+140

กระทู้นี้ครับ dec 2008 ptt pe 4

ไหว้งามๆทีนึงครับ ถ้าจะจัดกันยังไง คิดว่าถึงเวลาแล้ว ชวนให้ช่วยร่วมคืดด้วยนะครับ คือแบบไม่ขอขึ้นรถตามอย่างเดียวไม่ขนาดนั้นก็ได้ครับเกรงใจ เอาแค่ว่าเมื่อไหร่ถึงแก่เวลาที่ท่านคิดว่าสมควร รบกวน ช่วยเปิดโอกาสให้ผมได้มีส่วนร่วมคิด ร่วมรับฟัง เหตุที่ท่านจะเข้าด้วยนะครับ ตั้งเป็นกระทู้ชวนคุยก็ได้ครับ

และเมื่อไหร่ที่ผมคิดว่ามันน่าจัดแล้ว ผมก็จะมาเปิดหัวกระทู้ชวนคุยครับว่า ทำไมผมคิดว่าน่าจะจัดกันได้แล้ว หรืออย่างไร ผมชอบเวลามีคนคิดกันหลายๆคนครับ ลงทุนผมไม่ชอบคิดเองคนเดียว คือแบบ อยากให้มีคนด่าในสิ่งที่ผมคิดอะครับ เพื่อผมจะได้เอาไปคิดต่อ แฮะๆ ขอบคุณครับ

เออ คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับ กระทู้ ตอนนั้นตั้งไว้ เพราะว่าหุ้นมันลงต่ำมาก

คนอารมณ์ไม่ดี เว็บบอร์ดเงียบเหงา

ก็เลยทดลองว่า ตัวนี้ซิ ptt pe แค่ 4

แต่ก็อย่างว่านะ ตอนคนหมดอารมณ์ pe 4 ก็ไม่สนใจ

แต่ก่อนเคยเปิดสอน ครั้งหนึ่ง ประมาณ 80 คน

และสอนว่า ptt pttep มีโอกาสลงมา ถ้าลงมาจริงๆจะซื้อมั๊ย

คนมาเรียน ก็หัวเราะ และบอกว่า เป็นไปไม่ได้

พี่ก็สอนว่า แต่เวลามันลงนะ มันจะมาเป็นแพคเกจ ลงพร้อม ข้าวร้ายท่วมตลาด

sathaporne เขียน:

Jeng เขียน: ระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันนี้ ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะลงสุดๆเมื่อไร เพราะยังไ่ม่มีใครมองลง

ทำไมพี่ถึงคิดว่าตอนนี้ยังไม่มีใครมองว่าลงล่ะครับ
ผมเห็นหลายคน (ในเว็บเรานี่แหละ) บอกว่าถือเงินสดรอกันแล้ว (มากบ้างน้อยบ้าง)
ก็น่าจะแปลว่าตลาดถูกมองว่าจะเป็นขาลงแล้วไม่ใช่เหรอครับ
หรือว่าที่เห็นในเว็บเรานี่เป็นคนส่วนน้อย

จากที่เห็นนะครับแบบกว้างๆ อาจจะมี Bias สูงมาก แล้วแต่สภาพแวดล้อมคนรอบตัวท่าน

คือตอนนี้ในสภาพแวดล้อมผม แบ่งเป็นสามฝ่าย

1. พวกนึงที่สังเกตุจะหน้าใหม่ๆ จะคิดว่าราคาเริ่มถูกน่าเข้าไปรับ มองลงอย่างมากไม่น่าจะไกลเกินกว่านี้เท่าไหร่ เห็นได้ตามหน้าเวป ต่างๆที่แสดงความเห็น (ไม่รวม Thaivi) คือมองว่าเข้าไปรับได้ ลงก็ซื้อถัว หรือกินปันผลไปชิวๆ เดี๋ยวก็มา คือยังมองกันแบบนี้อยู่ - มองลงไม่ไกล เดี๋ยวก็มา ถึงไกลก็น่าจะฟื้นได้เร็ว

2. พวกนี้พวกกูรู มีประสบการณ์หน่อยๆ กับ เพื่อนๆ VI ผมที่ยังมองว่ากิจการไทยดี ยังถือหุ้นเต็มพอร์ต ข้างนอกไม่เกี่ยวกับข้างใน.. ซึ่งก่อนหน้าที่จะจัดหนักกัน พฤหัส ศุกร์ มองว่า แค่ Correction แต่หลังจากจัดหนัก เริ่มมีหลุดคำว่า วิกฤตหรือไม่กล้าแนะให้เข้าซื้อกันแล้ว หรือแบบเริ่มคิดถึงบรรยากาศ Sub Prime บ้าง คือเริ่มมีกั๊กๆมั่งล่ะ ไม่กล้าฟันธง ระเบิดธงเหมือนก่อน

3. พวกนี้มองลง แต่ไม่รู้จะจบลงเช่นไร (ร้องเพลง) คือแบบรู้ว่าลงหนักแหละ แต่ไม่กล้าฟันตัวเลข แต่คิดว่าน่าจะ700-800 ได้ถือเงินสดไว้แล้ว ประมาณว่า เตรียมทำการบ้านกิจการต่างๆ เตรียมไว้

ยังไม่มีใครมองว่าลงไกลมากกกก แบบ Sub Prime ในหมู่เพื่อนฝูงผมนะครับ (แต่ผมแอบอยากได้ให้ต่ำๆ เป็นแค่ความอยาก ซึ่งทุกคนที่มีเงินสดก็คงอยากเนอะ)

Jeng เขียน:เออ คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับ กระทู้ ตอนนั้นตั้งไว้ เพราะว่าหุ้นมันลงต่ำมาก

คนอารมณ์ไม่ดี เว็บบอร์ดเงียบเหงา

ก็เลยทดลองว่า ตัวนี้ซิ ptt pe แค่ 4

แต่ก็อย่างว่านะ ตอนคนหมดอารมณ์ pe 4 ก็ไม่สนใจ

แต่ก่อนเคยเปิดสอน ครั้งหนึ่ง ประมาณ 80 คน

และสอนว่า ptt pttep มีโอกาสลงมา ถ้าลงมาจริงๆจะซื้อมั๊ย

คนมาเรียน ก็หัวเราะ และบอกว่า เป็นไปไม่ได้

พี่ก็สอนว่า แต่เวลามันลงนะ มันจะมาเป็นแพคเกจ ลงพร้อม ข้าวร้ายท่วมตลาด

ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ ผมตอนนั้นยังทำงานที่เมืองนอกเลยไม่มีโอกาสได้เข้ามาร่วมสนทนาในนี้ ตอนนั้นยังไม่รู้จักที่นี่น่ะครับ
ตอนนั้นเห็น Sub Prime ที่อเมริกากับตาครับ ข่าวร้ายมันลงฟรี หรือมันเหมือนลงแล้วได้เงินแถมจริงๆครับตอนนั้น ถล่มมาทุกวัน คนที่ออฟฟิศนี่ประสาทเสีย ทำงานทำการไม่ได้ มีแต่โวยวายว่าพอร์ต เงิน 401k (เงินเกษียณ)เค้าเละเทะ เหอะๆ พอจะเข้าใจครับว่า อารมณ์มันไม่ให้มากๆ ในการเข้าซื้อ

อยากรู้ว่าพี่ Jeng ใช้คลายเครียดเรโชไปบ้างยังครับในเดือนที่ผ่านมา

อ๋อ พี่ไม่ใช้ครับ คลายเครียดเรโชว์ ไม่เคยใช้

พี่แบ่งสองพอร์ท พอร์ทหนึ่ง vi ซื้อถือยาว มองยาวๆ ไม่มองระยะสั้น จะถูกจะผิดต้องว่ากันยาวๆ

ส่วนอีกพอร์ทเป็นแบบเก็งกำไร เข้าๆออกๆครับ

หุ้นขึ้น พอร์ท vi ก็น่าจะกำไร

หุ้นลง พอร์ท เก็งกำไร เข้าทำงานครับ

ทั้งสองพอร์ทมีโอกาส กำไร และขาดทุนได้เช่นกัน หากลงทุนไม่เป็น

Jeng เขียน:อ๋อ พี่ไม่ใช้ครับ คลายเครียดเรโชว์ ไม่เคยใช้

พี่แบ่งสองพอร์ท พอร์ทหนึ่ง vi ซื้อถือยาว มองยาวๆ ไม่มองระยะสั้น จะถูกจะผิดต้องว่ากันยาวๆ

ส่วนอีกพอร์ทเป็นแบบเก็งกำไร เข้าๆออกๆครับ

หุ้นขึ้น พอร์ท vi ก็น่าจะกำไร

หุ้นลง พอร์ท เก็งกำไร เข้าทำงานครับ

ทั้งสองพอร์ทมีโอกาส กำไร และขาดทุนได้เช่นกัน หากลงทุนไม่เป็น

แล้วสัดส่วนของสองพอร์ทเป็นเท่าไหร่ครับ อยากรู้เป็นความรู้ เอาไว้ประยุกต์กับตัวเอง
เช่น พอร์ทลงทุน 60% มีหุ้น 2-3 ตัว
พอร์ทเก็งกำไร มี 2 ตัว 30%
เงินสด 10 % แบบนี้
ไม่บอกจำนวนหุ้นก็ได้ครับ แค่เปอร์เซ้นต์ก็ขอบคุณแล้ว

ส่วนตัวผมพึ่งใช้คลายเครียดเรโชไปอาทิตย์ก่อน ยอมรับเงินยังไม่เย็นพอต้องเอาไปเปิดร้าน กลัวเงินมันหดไปเรื่อยๆเลยดึงออกมาครึ่งนึงก่อน เพื่อการันตีว่ามีเงินเปิดร้านแน่ๆ

แล้วแต่ชอบครับ คนที่ชอบแนว vi ก็ลงสัดส่วน vi 100 % ก็ได้

แต่ถ้าเล่นแนว vi ก็ไม่ควรดูหุ้นทุกวัน ไม่ควรติดตามสารพัดข่าวให้เวียนหัว

มีคนถามวอเรน ว่า ทำไมไม่อยู่ใกล้ๆ wall street แกตอบว่า

ถ้ามีเงิน 1 ล้านเหรียญ และอยู่ใกล้ wall street ก็คาดหวังได้เลยว่า จะหมดตัวอย่างรวดเร็ว (ประมาณนี้นะ เรื่องจริง จำไม่ได้)

สำหรับพี่แล้ว พี่ชอบเก็งกำไร แต่เห็นว่า แนว vi มีคนประสบความสำเร็จมาก พี่ก็เลยแบ่งพอร์ทมาเล่น vi

เรื่องเปอร์เซ็นต์ไม่ขอตอบครับ

เพราะไม่มีประโยชน์ แต่ละคน ควรวางแผนชีวิตของตัวเองให้สอดคล้อง กับพฤติกรรมของตัวเอง

พี่เห็น คนเล่นแนว vi แต่ขาย เมื่อหุ้นตกหนักๆ แบบนี้ก็ได้ cut loss กันเป็นแถว

ถ้าจะ cut loss แนวเก็งกำไร เขาก็มีหลักของเขา เช่น 5 %

หลายคนซื้อแนว vi ถือ จากกำไร จนขาดทุน พอขาดทุนหนักๆ cut loss แบบนี้ พี่ว่า ไม่น่าจะถูกต้อง

เพราะแนว vi เราจะขายหุ้นก็ต่อเมื่อ กิจการไม่ดี ส่วนราคาหุ้นในระยะสั้น ก็ปรับขึ้นลงได้

หากเราซื้อแนว vi แล้วหุ้นลงเยอะๆ เราก็ต้องทบทวน ว่าที่เราซื้อนั้น mos น้อยเกินไปหรือเปล่า

เราไม่ได้ซื้อตอนข่าวร้ายหรือเปล่า หรือว่า เราซื้อไล่ราคาตอนข่าวดี

หากหุ้น vi ขึ้นไปเยอะๆ ตอนตลาดดีๆ แล้วเราซื้อ

ก็จะเป็นบทเรียนของเรา ว่า กว่าหุ้นจะกลับมาที่ราคานั้น ต้องใช้เวลาพอสมควรเลยครับ

เพียงแค่ 1 วัน หุ้นไทยปรับตัวเก่งมาก pe ลงมาเท่ากับ nasdaq แล้ว