news04/02/08
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 04, 2008 9:49 pm
แหล่งกำเนิดสินค้า ทูน่า และ JTEPA
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้ง วันนี้ผมขอพูดถึงเรื่องที่มีความสำคัญต่อการนำเข้า-ส่งออกค้าสินค้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการลดอากรศุลกากร คือเรื่อง "กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า" (Rules of Origin) ซึ่งเป็นเหมือนหลักเกณฑ์การกำหนด "สัญชาติสินค้า" โดยหลักง่ายๆ ก็คือ สินค้าจะต้อง "ทำ" หรือมีการเพิ่มมูลค่า ในประเทศนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ข้าวสารก็ต้องมาจากข้าวที่ปลูกในไทย รถยนต์ก็ต้องมีส่วนประกอบส่วนหนึ่งที่ทำในประเทศไทย จึงจะถือว่ามีแหล่งกำเนิดในไทย มีสิทธิได้รับการลดภาษีจากประเทศต่างๆ ที่ไทยทำความตกลงด้วยหรือตามที่เขาผูกพันไว้ที่ WTO ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า นอกจากอัตราอากรศุลกากรแล้ว ผู้ส่งออกจำเป็นต้องทราบหลักเกณฑ์การกำหนดแหล่งกำเนิดของสินค้าที่ท่านจะส่งออกไปที่ใดที่หนึ่ง ว่าอย่างไรจึงจะเป็น "สินค้าไทย" และได้ประโยชน์ตามนั้น
หลักเกณฑ์เหล่านี้จะระบุไว้ในความตกลงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ผมขอยกตัวอย่างกรณีการส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าไปประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ซึ่งอัตราอากรศุลกากรสำหรับผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าจากไทยจะ ลดลงทุกปีจาก 9.6 % จนเหลือ 0% ในปี 2555 อย่างไรก็ดี เรียกว่าเป็นโอกาสทองของทูน่าไทยแหละครับ ทีนี้ประเด็นอยู่ที่ว่า อย่างไรจึงจะเรียกได้ว่า "ปลาทูน่าจากไทย" จะต้องเป็นปลาทูน่าที่จับโดยคนไทย เรือไทยเท่านั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น ฝ่ายไทยก็จะไม่ได้ประโยชน์เลย เพราะผู้ส่งออกสินค้าปลาทูน่าของเราจะซื้อปลาทูน่าที่จับโดยเรือของประเทศอื่น แล้วมาแปรรูปเพื่อส่งออกอีกที อาทิ แปรรูปเป็นปลาทูน่ากระป๋อง ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก แม้ว่าแทบจะไม่มีเรือประมงน้ำลึกสัญชาติไทย ซึ่งมีศักยภาพพอที่จะออกไปจับปลาทูน่าในทะเลหลวงได้
สำหรับปลาทูน่ากระป๋องที่ใช้ปลาทูน่าที่จับโดยเรือประเทศที่สามนั้น ท่าทีเดิมของฝ่ายญี่ปุ่นในการเจรจา JTEPA คือจะไม่ลดภาษีเลย แต่ผู้เจรจาฝ่ายไทยได้พยายามต่อรองให้ญี่ปุ่นยอมรับการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศที่สามได้ เจรจากันอยู่นานหลายปี ซึ่งในที่สุดฝ่ายญี่ปุ่นก็ยอมประนีประนอมโดยตั้งเงื่อนไขว่าสินค้าปลาทูน่านำเข้าจากไทย หากจับโดยเรือประเทศที่สาม จะต้องเป็นเรือที่มีสัญชาติของประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการทูน่าแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Tuna Commission: IOTC) 27 ประเทศ (คือชักธงของประเทศนั้นๆ) เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น และเรือนั้นต้องจดทะเบียนกับคณะกรรมาธิการฯ ด้วย
ภาครัฐได้นำเงื่อนไขดังกล่าวให้ภาคเอกชนพิจารณา ซึ่งผู้ประกอบการก็เห็นว่าสามารถระบุชื่อเรือที่จับปลาทูน่าที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ ตามที่ฝ่ายญี่ปุ่นร้องขอได้ ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้ตรวจสอบทางเว็บไซต์ของ IOTC ได้ว่าเรือดังกล่าวจดทะเบียนกับ IOTC หรือไม่ ในที่สุดจึงตกลงรับตามนี้ ซึ่งกล่าวได้ว่ากว่าจะได้มาก็ต้องบี้กันจนคางเหลือง
โดยที่เงื่อนไขค่อนข้างซับซ้อน ภาครัฐจึงได้พยายามอย่างเต็มที่ในการประชาสัมพันธ์เพื่ออธิบายให้ผู้ส่งออกทราบถึงข้อจำกัดนี้ ทั้งการให้ข้อมูลทางเว็บไซด์ของกระทรวงการต่างประเทศ การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน การจัดทำเอกสารเผยแพร่ รวมถึงการเข้าร่วมเวทีสัมมนาต่างๆ แต่หลังจากที่ JTEPA มีผลใช้บังคับได้ไม่นาน ก็ยังปรากฏอยู่ว่าผู้ส่งออกบางส่วนมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ "เรือที่จดทะเบียนกับ IOTC" ว่าแค่เป็นเรือสัญชาติประเทศสมาชิก IOTC เท่านั้น ทำให้มีการส่งสินค้าปลาทูน่าที่ใช้วัตถุดิบจากเรือที่ชักธงประเทศสมาชิก IOTC แต่ไม่ได้จดทะเบียนกับ IOTC ส่งไปญี่ปุ่น และศุลกากรญี่ปุ่นยังคงเก็บภาษีในอัตราสูงเช่นเดิม ผิดไปจากความคาดหวังที่จะได้รับการลดภาษีตาม JTEPA ซึ่งกระผม ในฐานะ (อดีต) หัวหน้าสำนักงานเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (ซึ่งยุบไปแล้ว) ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วย และขอยืนยันว่า ภาครัฐทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่เพิ่มความยุ่งยากให้กับผู้ประกอบการ เราได้เจรจาเพื่อให้ผู้ส่งออกไทยได้รับอัตราภาษีที่ดีขึ้น และได้พยายามต่อรองเรื่องกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดให้ฝ่ายญี่ปุ่นคำนึงถึงความเป็นจริงในการทำประมงทูน่าให้มากที่สุด ด้วยทุกวิถีทางที่ทำได้ ในชั้นนี้ ได้มาเท่านี้ ก็แน่นอนว่าจะต้องมีการผลักดันต่อไปครับ เรื่องนี้ไม่ใช่หมู ความคืบหน้ามีอย่างไรจะเล่าให้ฟังครับ
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2293
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้ง วันนี้ผมขอพูดถึงเรื่องที่มีความสำคัญต่อการนำเข้า-ส่งออกค้าสินค้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการลดอากรศุลกากร คือเรื่อง "กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า" (Rules of Origin) ซึ่งเป็นเหมือนหลักเกณฑ์การกำหนด "สัญชาติสินค้า" โดยหลักง่ายๆ ก็คือ สินค้าจะต้อง "ทำ" หรือมีการเพิ่มมูลค่า ในประเทศนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ข้าวสารก็ต้องมาจากข้าวที่ปลูกในไทย รถยนต์ก็ต้องมีส่วนประกอบส่วนหนึ่งที่ทำในประเทศไทย จึงจะถือว่ามีแหล่งกำเนิดในไทย มีสิทธิได้รับการลดภาษีจากประเทศต่างๆ ที่ไทยทำความตกลงด้วยหรือตามที่เขาผูกพันไว้ที่ WTO ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า นอกจากอัตราอากรศุลกากรแล้ว ผู้ส่งออกจำเป็นต้องทราบหลักเกณฑ์การกำหนดแหล่งกำเนิดของสินค้าที่ท่านจะส่งออกไปที่ใดที่หนึ่ง ว่าอย่างไรจึงจะเป็น "สินค้าไทย" และได้ประโยชน์ตามนั้น
หลักเกณฑ์เหล่านี้จะระบุไว้ในความตกลงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ผมขอยกตัวอย่างกรณีการส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าไปประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ซึ่งอัตราอากรศุลกากรสำหรับผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าจากไทยจะ ลดลงทุกปีจาก 9.6 % จนเหลือ 0% ในปี 2555 อย่างไรก็ดี เรียกว่าเป็นโอกาสทองของทูน่าไทยแหละครับ ทีนี้ประเด็นอยู่ที่ว่า อย่างไรจึงจะเรียกได้ว่า "ปลาทูน่าจากไทย" จะต้องเป็นปลาทูน่าที่จับโดยคนไทย เรือไทยเท่านั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น ฝ่ายไทยก็จะไม่ได้ประโยชน์เลย เพราะผู้ส่งออกสินค้าปลาทูน่าของเราจะซื้อปลาทูน่าที่จับโดยเรือของประเทศอื่น แล้วมาแปรรูปเพื่อส่งออกอีกที อาทิ แปรรูปเป็นปลาทูน่ากระป๋อง ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก แม้ว่าแทบจะไม่มีเรือประมงน้ำลึกสัญชาติไทย ซึ่งมีศักยภาพพอที่จะออกไปจับปลาทูน่าในทะเลหลวงได้
สำหรับปลาทูน่ากระป๋องที่ใช้ปลาทูน่าที่จับโดยเรือประเทศที่สามนั้น ท่าทีเดิมของฝ่ายญี่ปุ่นในการเจรจา JTEPA คือจะไม่ลดภาษีเลย แต่ผู้เจรจาฝ่ายไทยได้พยายามต่อรองให้ญี่ปุ่นยอมรับการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศที่สามได้ เจรจากันอยู่นานหลายปี ซึ่งในที่สุดฝ่ายญี่ปุ่นก็ยอมประนีประนอมโดยตั้งเงื่อนไขว่าสินค้าปลาทูน่านำเข้าจากไทย หากจับโดยเรือประเทศที่สาม จะต้องเป็นเรือที่มีสัญชาติของประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการทูน่าแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Tuna Commission: IOTC) 27 ประเทศ (คือชักธงของประเทศนั้นๆ) เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น และเรือนั้นต้องจดทะเบียนกับคณะกรรมาธิการฯ ด้วย
ภาครัฐได้นำเงื่อนไขดังกล่าวให้ภาคเอกชนพิจารณา ซึ่งผู้ประกอบการก็เห็นว่าสามารถระบุชื่อเรือที่จับปลาทูน่าที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ ตามที่ฝ่ายญี่ปุ่นร้องขอได้ ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้ตรวจสอบทางเว็บไซต์ของ IOTC ได้ว่าเรือดังกล่าวจดทะเบียนกับ IOTC หรือไม่ ในที่สุดจึงตกลงรับตามนี้ ซึ่งกล่าวได้ว่ากว่าจะได้มาก็ต้องบี้กันจนคางเหลือง
โดยที่เงื่อนไขค่อนข้างซับซ้อน ภาครัฐจึงได้พยายามอย่างเต็มที่ในการประชาสัมพันธ์เพื่ออธิบายให้ผู้ส่งออกทราบถึงข้อจำกัดนี้ ทั้งการให้ข้อมูลทางเว็บไซด์ของกระทรวงการต่างประเทศ การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน การจัดทำเอกสารเผยแพร่ รวมถึงการเข้าร่วมเวทีสัมมนาต่างๆ แต่หลังจากที่ JTEPA มีผลใช้บังคับได้ไม่นาน ก็ยังปรากฏอยู่ว่าผู้ส่งออกบางส่วนมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ "เรือที่จดทะเบียนกับ IOTC" ว่าแค่เป็นเรือสัญชาติประเทศสมาชิก IOTC เท่านั้น ทำให้มีการส่งสินค้าปลาทูน่าที่ใช้วัตถุดิบจากเรือที่ชักธงประเทศสมาชิก IOTC แต่ไม่ได้จดทะเบียนกับ IOTC ส่งไปญี่ปุ่น และศุลกากรญี่ปุ่นยังคงเก็บภาษีในอัตราสูงเช่นเดิม ผิดไปจากความคาดหวังที่จะได้รับการลดภาษีตาม JTEPA ซึ่งกระผม ในฐานะ (อดีต) หัวหน้าสำนักงานเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (ซึ่งยุบไปแล้ว) ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วย และขอยืนยันว่า ภาครัฐทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่เพิ่มความยุ่งยากให้กับผู้ประกอบการ เราได้เจรจาเพื่อให้ผู้ส่งออกไทยได้รับอัตราภาษีที่ดีขึ้น และได้พยายามต่อรองเรื่องกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดให้ฝ่ายญี่ปุ่นคำนึงถึงความเป็นจริงในการทำประมงทูน่าให้มากที่สุด ด้วยทุกวิถีทางที่ทำได้ ในชั้นนี้ ได้มาเท่านี้ ก็แน่นอนว่าจะต้องมีการผลักดันต่อไปครับ เรื่องนี้ไม่ใช่หมู ความคืบหน้ามีอย่างไรจะเล่าให้ฟังครับ
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2293