subprime คืออะไรมีผลอย่างไรกับการลงทุน
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 13, 2007 5:55 am
ซับไพรม์จะทำ หุ้น แย่ต่อ แต่ พิษ อ่อนลง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 สิงหาคม 2550 18:02 น.
เอเอฟพี - วิกฤตสินเชื่อเคหะสหรัฐฯยังทำท่าแพร่พิษ สร้างความย่ำแย่ต่อตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกต่อไป แต่นักวิเคราะห์มองว่า ฤทธิ์เดชของมันน่าจะอ่อนกำลังเจือจางลง ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพิษร้ายนี้กระจัดกระจายออกสู่นักลงทุนวงกว้างทั่วโลก
ในวันพฤหัสบดี (9) และวันศุกร์ (10) แบงก์ชาติทั่วโลกนำโดยธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประสานกันเร่งอัดฉัดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการธนาคารเป็นปริมาณมหาศาล ด้วยความมุ่งหมายที่จะขจัดปัดเป่าไม่ให้เกิดภาวะสินเชื่อตึงตัวทั่วโลก ภายหลังวิกฤตตลาดสินเชื่อเคหะประเภทลูกค้าด้อยคุณภาพ ซับไพรม์ ทำท่าบานปลายรุนแรง
ภาวะสินเชื่อตึงตัวเป็นเรื่องน่าห่วงใย เพราะหากบังเกิดขึ้นและลุกลาม ก็จะทำให้ธุรกิจและผู้บริโภคทั้งหลาย ยากลำบากที่จะได้เงินกู้ หรือหากกู้ได้ก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นกว่าเดิม ภาวะเช่นนี้ยังจะทำให้ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคใช้จ่ายลดลง ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเข้าสู่ภาวะถดถอย
การแทรกแซงของเหล่าธนาคารกลางดูจะได้ผลบางส่วน โดยในวันศุกร์ ตลาดแถบยุโรปที่ปิดทำการก่อน ยังคงติดลบอ่วม เช่น ดัชนีฟุตซี่ 100 ของลอนดอนร่วง 3.71% และดัชนีซีเอซี 40 ของปารีส หล่น 3.13% แต่ตลาดสหรัฐฯซึ่งปิดทีหลังนั้น ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของวอลล์สตรีทติดลบเพียง 0.23%
กระนั้น พวกนักวิเคราะห์ก็เห็นพ้องกันว่า มีโอกาสที่ความไร้เสถียรภาพยังจะขยายตัวยิ่งขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว เมื่อตลาดหุ้นส่วนใหญ่เปิดทำการขึ้นใหม่ในวันนี้ (13) ถึงแม้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คิดด้วยว่า พวกตลาดใหญ่ๆ น่าจะทานกระแสต้านพายุเอาไว้ได้
ไจลส์ โมเอค นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสแห่ง แบงก์ออฟอเมริกา กล่าวว่า เวลานี้ยังไม่มีใครสามารถขุดค้นรวบรวมให้ได้ตัวเลขจริงๆ ว่า สินเชื่อเคหะซับไพรม์ ซึ่งได้ถูกนำมาแปลงเป็นตราสารหนี้ แล้วธนาคารและสถาบันต่างๆ ซื้อหากันไปมากแล้ว ตกอยู่ในมือของต่างชาติเป็นปริมาณเท่าใดกันแน่
การที่ไม่มีใครทราบนี้ เป็นเรื่องแย่สำหรับตลาดการเงิน เขาชี้พร้อมกับอธิบายว่า เพราะถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งตลาดเกลียดแล้ว มันก็คือ เจ้าความไม่แน่นอนแบบนี้นี่เอง
อย่างไรก็ตาม โมเอค บอกว่า เรื่องนี้มีลักษณะที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัวมันเอง กล่าวคือ ขณะที่มันทำให้อารมณ์ความรู้สึกของตลาดออกมาในเชิงลบ แต่อีกด้านหนึ่ง มันก็บ่งชี้ว่าความเสี่ยงจากซับไพรม์ ดูจะกระจายตัวออกไปทั่วโลก ซึ่งทำให้พิษร้ายของมันในแต่ละพื้นที่ดูเจือจาง ไม่น่าจะสร้างความเสียหายได้รุนแรง
นี่แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงนี้ไม่ได้รวมศูนย์อยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง และนี่ก็จะเป็นเรื่องดีสำหรับตลาดโดยรวม เขาชี้
แอนเดรียส ฮูเออร์แคมป์ นักวิเคราะห์แห่งธนาคารคอมเมิร์ซแบงก์ ของเยอรมนี ถึงขั้นพยากรณ์ว่า อีกไม่นานวิกฤตคราวนี้ก็จะถูกหลงลืมกันไป
เขาบอกว่า วิกฤตคราวนี้มีข้อที่สามารถเทียบเคียงกับวิกฤตเมื่อคราวที่เกิดขึ้นตอนกลางทศวรรษ 1990 อยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น นักลงทุนจึงควรเป็นคนใจกล้าเข้าซื้อหุ้นซึ่งกำลังราคาถูกมากในเวลานี้ เพราะประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับวิกฤตจะถูกลืมในระยะเวลา 6 เดือน และตลาดจะกลับฟื้นตัวขึ้นมา
นอกจากอีซีบีที่อัดฉีดเงินสดเข้าระบบ ซึ่งก็คือ การปล่อยกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำแก่แบงก์และสถาบันการเงินในเขตรับผิดชอบของตน (ยูโรโซน) ที่เจอปัญหาขาดสภาพคล่องในวันพฤหัสบดีและศุกร์ที่ผ่านมา รวมเป็นเงิน 155,850 ล้านยูโร (212,980 ล้านดอลลาร์) แล้ว ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็ได้ทำอย่างเดียวกันรวมเป็นเงิน 62,000 ล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับธนาคารกลางของญี่ปุ่นและออสเตรเลีย แม้ด้วยปริมาณที่ลดน้อยลงมา
โฮเวิร์ด อาร์เชอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ติดตามอังกฤษและยุโรป แห่งบริษัทวิจัย โกลบอล อินไซด์ ในกรุงลอนดอน มองในแง่ดีว่า ถ้าหากพวกธนาคารกลางทำงานของพวกตนได้สำเร็จแล้ว ตลาดก็น่าจะกลับเข้าสู่เสถียรภาพได้
ตราบเท่าที่พวกธนาคารกลางประสบความสำเร็จในการปลอบให้ตลาดสงบลงได้ โอกาสที่ความไหวตัววูบวาบของตลาดการเงิน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคแท้จริง ก็จะอยู่ในระดับต่ำ เขากล่าวต่อ
สิ่งที่สำคัญก็คือ ปัจจัยพื้นฐานที่รองรับเศรษฐกิจของอังกฤษและยุโรป ยังคงอยู่ในสภาพดีเยี่ยม ดังนั้นจึงหวังกันว่าเรื่องนี้จะช่วยจำกัดผลเลวร้ายที่จะมีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
**ลุ้นเฟดลดดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางคนโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ยังไม่เชื่อว่า การเข้าแทรกแซงของพวกธนาคารกลาง ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ จะเป็นการเพียงพอแล้ว และเสนอว่าสิ่งที่เฟดซึ่งนำโดยประธาน เบน เบอร์นันกี ยังจะต้องทำ ก็คือ การลดอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานลงมา หลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ยืนดอกเบี้ยเฟดฟันด์เรตไว้ที่เดิม 5.25% ในการประชุมวันอังคาร (7) ที่แล้ว
ผมสงสัยว่า มิสเตอร์เบอร์นันกีคงอยากจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ เพราะมันคือการส่งสารว่า เอฟโอเอ็มซีนั้น ตราบจนถึงวันอังคาร ก็ยังคงประเมินปัญหาต่ำกว่าความเป็นจริง โจเอล แนรอฟฟ์ แห่ง แนรอฟฟ์ อีโคโนมิก แอดไวเซอร์ส กระแหนะกระแหนเล็กๆ ใส่ประธานเฟด
การประชุมเอฟโอเอ็มซีคราวต่อไปจะมีขึ้นในเดือนกันยายน ทว่า แนรอฟฟ์ไม่คิดว่าจะต้องรอกันนานขนาดนั้น
เฟดอาจจะรอคอยอีกสักสองสามวัน เพื่อดูว่าสิ่งต่างๆ กลับอยู่ในความควบคุมได้หรือยัง แต่พวกเขาอาจจะไม่สามารถรอคอยนานขนาดนั้นก็ได้ แนรอฟฟ์กล่าว
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000094575
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 สิงหาคม 2550 18:02 น.
เอเอฟพี - วิกฤตสินเชื่อเคหะสหรัฐฯยังทำท่าแพร่พิษ สร้างความย่ำแย่ต่อตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกต่อไป แต่นักวิเคราะห์มองว่า ฤทธิ์เดชของมันน่าจะอ่อนกำลังเจือจางลง ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพิษร้ายนี้กระจัดกระจายออกสู่นักลงทุนวงกว้างทั่วโลก
ในวันพฤหัสบดี (9) และวันศุกร์ (10) แบงก์ชาติทั่วโลกนำโดยธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประสานกันเร่งอัดฉัดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการธนาคารเป็นปริมาณมหาศาล ด้วยความมุ่งหมายที่จะขจัดปัดเป่าไม่ให้เกิดภาวะสินเชื่อตึงตัวทั่วโลก ภายหลังวิกฤตตลาดสินเชื่อเคหะประเภทลูกค้าด้อยคุณภาพ ซับไพรม์ ทำท่าบานปลายรุนแรง
ภาวะสินเชื่อตึงตัวเป็นเรื่องน่าห่วงใย เพราะหากบังเกิดขึ้นและลุกลาม ก็จะทำให้ธุรกิจและผู้บริโภคทั้งหลาย ยากลำบากที่จะได้เงินกู้ หรือหากกู้ได้ก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นกว่าเดิม ภาวะเช่นนี้ยังจะทำให้ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคใช้จ่ายลดลง ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเข้าสู่ภาวะถดถอย
การแทรกแซงของเหล่าธนาคารกลางดูจะได้ผลบางส่วน โดยในวันศุกร์ ตลาดแถบยุโรปที่ปิดทำการก่อน ยังคงติดลบอ่วม เช่น ดัชนีฟุตซี่ 100 ของลอนดอนร่วง 3.71% และดัชนีซีเอซี 40 ของปารีส หล่น 3.13% แต่ตลาดสหรัฐฯซึ่งปิดทีหลังนั้น ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของวอลล์สตรีทติดลบเพียง 0.23%
กระนั้น พวกนักวิเคราะห์ก็เห็นพ้องกันว่า มีโอกาสที่ความไร้เสถียรภาพยังจะขยายตัวยิ่งขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว เมื่อตลาดหุ้นส่วนใหญ่เปิดทำการขึ้นใหม่ในวันนี้ (13) ถึงแม้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คิดด้วยว่า พวกตลาดใหญ่ๆ น่าจะทานกระแสต้านพายุเอาไว้ได้
ไจลส์ โมเอค นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสแห่ง แบงก์ออฟอเมริกา กล่าวว่า เวลานี้ยังไม่มีใครสามารถขุดค้นรวบรวมให้ได้ตัวเลขจริงๆ ว่า สินเชื่อเคหะซับไพรม์ ซึ่งได้ถูกนำมาแปลงเป็นตราสารหนี้ แล้วธนาคารและสถาบันต่างๆ ซื้อหากันไปมากแล้ว ตกอยู่ในมือของต่างชาติเป็นปริมาณเท่าใดกันแน่
การที่ไม่มีใครทราบนี้ เป็นเรื่องแย่สำหรับตลาดการเงิน เขาชี้พร้อมกับอธิบายว่า เพราะถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งตลาดเกลียดแล้ว มันก็คือ เจ้าความไม่แน่นอนแบบนี้นี่เอง
อย่างไรก็ตาม โมเอค บอกว่า เรื่องนี้มีลักษณะที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัวมันเอง กล่าวคือ ขณะที่มันทำให้อารมณ์ความรู้สึกของตลาดออกมาในเชิงลบ แต่อีกด้านหนึ่ง มันก็บ่งชี้ว่าความเสี่ยงจากซับไพรม์ ดูจะกระจายตัวออกไปทั่วโลก ซึ่งทำให้พิษร้ายของมันในแต่ละพื้นที่ดูเจือจาง ไม่น่าจะสร้างความเสียหายได้รุนแรง
นี่แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงนี้ไม่ได้รวมศูนย์อยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง และนี่ก็จะเป็นเรื่องดีสำหรับตลาดโดยรวม เขาชี้
แอนเดรียส ฮูเออร์แคมป์ นักวิเคราะห์แห่งธนาคารคอมเมิร์ซแบงก์ ของเยอรมนี ถึงขั้นพยากรณ์ว่า อีกไม่นานวิกฤตคราวนี้ก็จะถูกหลงลืมกันไป
เขาบอกว่า วิกฤตคราวนี้มีข้อที่สามารถเทียบเคียงกับวิกฤตเมื่อคราวที่เกิดขึ้นตอนกลางทศวรรษ 1990 อยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น นักลงทุนจึงควรเป็นคนใจกล้าเข้าซื้อหุ้นซึ่งกำลังราคาถูกมากในเวลานี้ เพราะประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับวิกฤตจะถูกลืมในระยะเวลา 6 เดือน และตลาดจะกลับฟื้นตัวขึ้นมา
นอกจากอีซีบีที่อัดฉีดเงินสดเข้าระบบ ซึ่งก็คือ การปล่อยกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำแก่แบงก์และสถาบันการเงินในเขตรับผิดชอบของตน (ยูโรโซน) ที่เจอปัญหาขาดสภาพคล่องในวันพฤหัสบดีและศุกร์ที่ผ่านมา รวมเป็นเงิน 155,850 ล้านยูโร (212,980 ล้านดอลลาร์) แล้ว ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็ได้ทำอย่างเดียวกันรวมเป็นเงิน 62,000 ล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับธนาคารกลางของญี่ปุ่นและออสเตรเลีย แม้ด้วยปริมาณที่ลดน้อยลงมา
โฮเวิร์ด อาร์เชอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ติดตามอังกฤษและยุโรป แห่งบริษัทวิจัย โกลบอล อินไซด์ ในกรุงลอนดอน มองในแง่ดีว่า ถ้าหากพวกธนาคารกลางทำงานของพวกตนได้สำเร็จแล้ว ตลาดก็น่าจะกลับเข้าสู่เสถียรภาพได้
ตราบเท่าที่พวกธนาคารกลางประสบความสำเร็จในการปลอบให้ตลาดสงบลงได้ โอกาสที่ความไหวตัววูบวาบของตลาดการเงิน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคแท้จริง ก็จะอยู่ในระดับต่ำ เขากล่าวต่อ
สิ่งที่สำคัญก็คือ ปัจจัยพื้นฐานที่รองรับเศรษฐกิจของอังกฤษและยุโรป ยังคงอยู่ในสภาพดีเยี่ยม ดังนั้นจึงหวังกันว่าเรื่องนี้จะช่วยจำกัดผลเลวร้ายที่จะมีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
**ลุ้นเฟดลดดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางคนโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ยังไม่เชื่อว่า การเข้าแทรกแซงของพวกธนาคารกลาง ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ จะเป็นการเพียงพอแล้ว และเสนอว่าสิ่งที่เฟดซึ่งนำโดยประธาน เบน เบอร์นันกี ยังจะต้องทำ ก็คือ การลดอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานลงมา หลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ยืนดอกเบี้ยเฟดฟันด์เรตไว้ที่เดิม 5.25% ในการประชุมวันอังคาร (7) ที่แล้ว
ผมสงสัยว่า มิสเตอร์เบอร์นันกีคงอยากจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ เพราะมันคือการส่งสารว่า เอฟโอเอ็มซีนั้น ตราบจนถึงวันอังคาร ก็ยังคงประเมินปัญหาต่ำกว่าความเป็นจริง โจเอล แนรอฟฟ์ แห่ง แนรอฟฟ์ อีโคโนมิก แอดไวเซอร์ส กระแหนะกระแหนเล็กๆ ใส่ประธานเฟด
การประชุมเอฟโอเอ็มซีคราวต่อไปจะมีขึ้นในเดือนกันยายน ทว่า แนรอฟฟ์ไม่คิดว่าจะต้องรอกันนานขนาดนั้น
เฟดอาจจะรอคอยอีกสักสองสามวัน เพื่อดูว่าสิ่งต่างๆ กลับอยู่ในความควบคุมได้หรือยัง แต่พวกเขาอาจจะไม่สามารถรอคอยนานขนาดนั้นก็ได้ แนรอฟฟ์กล่าว
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000094575