news22/07/07
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 22, 2007 7:19 pm
แพ้ภัยมือถือบูม สายโทร.บ้านระส่ำ ปิดกิจการอีกราย
ธุรกิจผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านส่อวิกฤติหนัก หลังเจอเทคโนโลยีใหม่โทรศัพท์ไร้สายอาละวาด เปลี่ยนกระแสบริโภคนิยมกลืนตลาดโทร.พื้นฐานเกือบเกลี้ยง ผสมโรงลวดทองแดงราคาพุ่งเท่าตัว ล่าสุด"ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล"ประกาศปิดกิจการแล้วอีกหนึ่ง ขณะที่ยักษ์วงการผลิตสายไฟฟ้า ไม่เว้นไทยยาซากิ- จรุงไทยฯ ปรับตัวหนีตายกันจ้าละหวั่น
นายสมพงศ์ นครศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด(BCC) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550นี้ บริษัท ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (HBC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของBCC จะหยุดดำเนินกิจการผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์บ้านอย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาเผชิญกับมรสุมรอบด้านตั้งแต่ผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี2540 เป็นต้นมา รวมทั้งปัญหาราคาลวดทองแดงที่พุ่งสูงขึ้นตามราคาทองแดง แคโธด ปรับตัวสูงขึ้นมาแล้วถึง 3 เท่าตัวในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้ราคาดีดตัวสูงขึ้นเกือบตันละ 300,000 บาท โดยทั้งทองแดง แคโธด และลวดทองแดง ล้วนเป็นวัตถุดิบสำคัญที่อยู่ในกระบวนการผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังต้องเจอกับมรสุมจากสภาวะตลาดไม่เอื้ออำนาย เมื่อเทคโนโลยีใหม่ของโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ามามีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงกระแสบริโภคนิยมของประชาชนทุกกลุ่มทุกวันมากยิ่งขึ้น ทำให้ความต้องการใช้โทรศัพท์บ้านค่อยๆหายไปจากตลาด หายไปจากกระแสนิยมของผู้บริโภค ซึ่งจากภาวะดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่มาถึงผู้ผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านโดยตรง
"ล่าสุดบริษัท HBCเหลือกำลังผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านเพียง 25%ของกำลังผลิตเต็มเพดานซึ่งมีอยู่จำนวน 150,000 คู่สายกิโลเมตร/ปี ซึ่งกำลังผลิตที่เหลืออยู่ในช่วงก่อนปิดโรงงานทั้งหมดจะต้องเคลียร์ออเดอร์ให้กับลูกค้าก่อน โดยส่วนใหญ่จะป้อนให้กับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)(บมจ.) และบ้านที่อยู่อาศัย เป็นหลัก"
นายสมพงศ์ ยังกล่าวถึงการหาทางออกและความช่วยเหลือกับพนักงานที่มีอยู่ 180-200 คนหลังจากประกาศปิดกิจการว่าในเรื่องนี้ ทางคณะผู้บริหารบริษัทได้ชี้แจงให้พนักงานเข้าใจถึงสาเหตุที่บริษัทต้องปิดกิจการลงแล้ว โดยพนักงานทุกคนเข้าใจดีถึงเหตุปละผลที่ต้องปิดโรงงาน โดยบริษัทพร้อมจะจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายแรงงานทุกอย่าง
ทั้งนี้ บริษัท ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท สายไฟฟ้า บางกอกเคเบิ้ล จำกัด กับบริษัท ฮิตาชิเคเบิ้ล จำกัด (HCL)ประเทศญี่ปุ่น มีสัดส่วนหุ้น 51 และ49% ตามลำดับ โรงงานตั้งอยู่ที่บางปะกง จังหวัด ฉะเชิงเทรา เปิดดำเนินการ ในปี2525 โดยในระยะแรกของการดำเนินงานนั้น จะผลิตสายเคเบิ้ลเพื่อการติดต่อสื่อสาร เพื่อสนองตอบต่อ ความต้องการภายในประเทศที่มีเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และความเข้มงวดต่อระบบในการออกแบบ การผลิตและการควบคุมภาพจาก HCL ช่วยผลักดันให้ HBC สามารถขยายการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย เพื่อสนอง ตอบความต้องการต่อภาคอุตสาหกรรม ทั้งภายในประเทศและ ต่างประเทศ
ขณะที่แหล่งข่าวจากกลุ่มผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านอีกรายหนึ่ง กล่าวเช่นกันว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายให้กับผู้ผลิตทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ที่ต้องแห่ปรับตัวเองเพื่อความอยู่รอด เช่นบริษัท เฟ้ลป์ดอด์จ ไทยแลนด์ จำกัดที่ตัดสินใจให้ทุนสัญชาติอเมริกาเข้ามาเทคโอเวอร์ไป เพื่อให้ระบบรวมในการดำเนินธุรกิจดีขึ้น โดยมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาและเน้นด้านการผลิตสายไฟฟ้าแทนมากขึ้น หรืออย่างกรณีการหันไปผลิตในผลิตภัณฑ์อื่นแทน เช่นค่ายไหนที่มีการผลิตสายไฟฟ้า หรือสายอลูมิเนียมด้วย ก็จะหันไปเน้นด้านนั้นแทนมากขึ้น
ยกตัวอย่างผู้ผลิตรายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าอย่าง บริษัท บางกอกเทเลคอม จำกัด บริษัทในเครือสายไฟฟ้าไทยยาซากิ จำกัด บริษัท จรุงไทยไวร์แอนด์เคเบิ้ล จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามแฟซิฟิกไวร์แอนด์เคเบิ้ล จำกัด ที่หันไปผลิตสายไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้าน อาคารสำนักงานและหน่วยงานรัฐเช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าภูมิภาค(กฟภ.) มากขึ้น
อนึ่ง สำหรับผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในปัจจุบัน ประกอบด้วย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มีผู้ใช้บริการทั้งสิ้นประมาณ 4 ล้านเลขหมาย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโทรศัพท์บ้านในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 2.6 ล้านเลขหมาย ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการประมาณ 2 ล้านเลขหมาย และบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในเขตภูมิภาคจำนวน 1.5 ล้านเลขหมาย มีผู้ใช้บริการ 1.2 ล้านเลขหมาย เปรียบเทียบกับจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มีประมาณ 30 กว่าล้านเลขหมาย จึงส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโทรศัพท์บ้านทั้งระบบได้รับผลกระทบอยู่ในขณะนี้ http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2236
ธุรกิจผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านส่อวิกฤติหนัก หลังเจอเทคโนโลยีใหม่โทรศัพท์ไร้สายอาละวาด เปลี่ยนกระแสบริโภคนิยมกลืนตลาดโทร.พื้นฐานเกือบเกลี้ยง ผสมโรงลวดทองแดงราคาพุ่งเท่าตัว ล่าสุด"ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล"ประกาศปิดกิจการแล้วอีกหนึ่ง ขณะที่ยักษ์วงการผลิตสายไฟฟ้า ไม่เว้นไทยยาซากิ- จรุงไทยฯ ปรับตัวหนีตายกันจ้าละหวั่น
นายสมพงศ์ นครศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด(BCC) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550นี้ บริษัท ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (HBC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของBCC จะหยุดดำเนินกิจการผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์บ้านอย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาเผชิญกับมรสุมรอบด้านตั้งแต่ผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี2540 เป็นต้นมา รวมทั้งปัญหาราคาลวดทองแดงที่พุ่งสูงขึ้นตามราคาทองแดง แคโธด ปรับตัวสูงขึ้นมาแล้วถึง 3 เท่าตัวในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้ราคาดีดตัวสูงขึ้นเกือบตันละ 300,000 บาท โดยทั้งทองแดง แคโธด และลวดทองแดง ล้วนเป็นวัตถุดิบสำคัญที่อยู่ในกระบวนการผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังต้องเจอกับมรสุมจากสภาวะตลาดไม่เอื้ออำนาย เมื่อเทคโนโลยีใหม่ของโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ามามีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงกระแสบริโภคนิยมของประชาชนทุกกลุ่มทุกวันมากยิ่งขึ้น ทำให้ความต้องการใช้โทรศัพท์บ้านค่อยๆหายไปจากตลาด หายไปจากกระแสนิยมของผู้บริโภค ซึ่งจากภาวะดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่มาถึงผู้ผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านโดยตรง
"ล่าสุดบริษัท HBCเหลือกำลังผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านเพียง 25%ของกำลังผลิตเต็มเพดานซึ่งมีอยู่จำนวน 150,000 คู่สายกิโลเมตร/ปี ซึ่งกำลังผลิตที่เหลืออยู่ในช่วงก่อนปิดโรงงานทั้งหมดจะต้องเคลียร์ออเดอร์ให้กับลูกค้าก่อน โดยส่วนใหญ่จะป้อนให้กับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)(บมจ.) และบ้านที่อยู่อาศัย เป็นหลัก"
นายสมพงศ์ ยังกล่าวถึงการหาทางออกและความช่วยเหลือกับพนักงานที่มีอยู่ 180-200 คนหลังจากประกาศปิดกิจการว่าในเรื่องนี้ ทางคณะผู้บริหารบริษัทได้ชี้แจงให้พนักงานเข้าใจถึงสาเหตุที่บริษัทต้องปิดกิจการลงแล้ว โดยพนักงานทุกคนเข้าใจดีถึงเหตุปละผลที่ต้องปิดโรงงาน โดยบริษัทพร้อมจะจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายแรงงานทุกอย่าง
ทั้งนี้ บริษัท ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท สายไฟฟ้า บางกอกเคเบิ้ล จำกัด กับบริษัท ฮิตาชิเคเบิ้ล จำกัด (HCL)ประเทศญี่ปุ่น มีสัดส่วนหุ้น 51 และ49% ตามลำดับ โรงงานตั้งอยู่ที่บางปะกง จังหวัด ฉะเชิงเทรา เปิดดำเนินการ ในปี2525 โดยในระยะแรกของการดำเนินงานนั้น จะผลิตสายเคเบิ้ลเพื่อการติดต่อสื่อสาร เพื่อสนองตอบต่อ ความต้องการภายในประเทศที่มีเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และความเข้มงวดต่อระบบในการออกแบบ การผลิตและการควบคุมภาพจาก HCL ช่วยผลักดันให้ HBC สามารถขยายการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย เพื่อสนอง ตอบความต้องการต่อภาคอุตสาหกรรม ทั้งภายในประเทศและ ต่างประเทศ
ขณะที่แหล่งข่าวจากกลุ่มผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านอีกรายหนึ่ง กล่าวเช่นกันว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายให้กับผู้ผลิตทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ที่ต้องแห่ปรับตัวเองเพื่อความอยู่รอด เช่นบริษัท เฟ้ลป์ดอด์จ ไทยแลนด์ จำกัดที่ตัดสินใจให้ทุนสัญชาติอเมริกาเข้ามาเทคโอเวอร์ไป เพื่อให้ระบบรวมในการดำเนินธุรกิจดีขึ้น โดยมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาและเน้นด้านการผลิตสายไฟฟ้าแทนมากขึ้น หรืออย่างกรณีการหันไปผลิตในผลิตภัณฑ์อื่นแทน เช่นค่ายไหนที่มีการผลิตสายไฟฟ้า หรือสายอลูมิเนียมด้วย ก็จะหันไปเน้นด้านนั้นแทนมากขึ้น
ยกตัวอย่างผู้ผลิตรายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าอย่าง บริษัท บางกอกเทเลคอม จำกัด บริษัทในเครือสายไฟฟ้าไทยยาซากิ จำกัด บริษัท จรุงไทยไวร์แอนด์เคเบิ้ล จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามแฟซิฟิกไวร์แอนด์เคเบิ้ล จำกัด ที่หันไปผลิตสายไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้าน อาคารสำนักงานและหน่วยงานรัฐเช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าภูมิภาค(กฟภ.) มากขึ้น
อนึ่ง สำหรับผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในปัจจุบัน ประกอบด้วย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มีผู้ใช้บริการทั้งสิ้นประมาณ 4 ล้านเลขหมาย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโทรศัพท์บ้านในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 2.6 ล้านเลขหมาย ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการประมาณ 2 ล้านเลขหมาย และบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในเขตภูมิภาคจำนวน 1.5 ล้านเลขหมาย มีผู้ใช้บริการ 1.2 ล้านเลขหมาย เปรียบเทียบกับจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มีประมาณ 30 กว่าล้านเลขหมาย จึงส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโทรศัพท์บ้านทั้งระบบได้รับผลกระทบอยู่ในขณะนี้ http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2236