สื่อสารและเทคโนโลยี
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/07/07
โพสต์ที่ 31
แพ้ภัยมือถือบูม สายโทร.บ้านระส่ำ ปิดกิจการอีกราย
ธุรกิจผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านส่อวิกฤติหนัก หลังเจอเทคโนโลยีใหม่โทรศัพท์ไร้สายอาละวาด เปลี่ยนกระแสบริโภคนิยมกลืนตลาดโทร.พื้นฐานเกือบเกลี้ยง ผสมโรงลวดทองแดงราคาพุ่งเท่าตัว ล่าสุด"ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล"ประกาศปิดกิจการแล้วอีกหนึ่ง ขณะที่ยักษ์วงการผลิตสายไฟฟ้า ไม่เว้นไทยยาซากิ- จรุงไทยฯ ปรับตัวหนีตายกันจ้าละหวั่น
นายสมพงศ์ นครศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด(BCC) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550นี้ บริษัท ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (HBC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของBCC จะหยุดดำเนินกิจการผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์บ้านอย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาเผชิญกับมรสุมรอบด้านตั้งแต่ผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี2540 เป็นต้นมา รวมทั้งปัญหาราคาลวดทองแดงที่พุ่งสูงขึ้นตามราคาทองแดง แคโธด ปรับตัวสูงขึ้นมาแล้วถึง 3 เท่าตัวในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้ราคาดีดตัวสูงขึ้นเกือบตันละ 300,000 บาท โดยทั้งทองแดง แคโธด และลวดทองแดง ล้วนเป็นวัตถุดิบสำคัญที่อยู่ในกระบวนการผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังต้องเจอกับมรสุมจากสภาวะตลาดไม่เอื้ออำนาย เมื่อเทคโนโลยีใหม่ของโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ามามีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงกระแสบริโภคนิยมของประชาชนทุกกลุ่มทุกวันมากยิ่งขึ้น ทำให้ความต้องการใช้โทรศัพท์บ้านค่อยๆหายไปจากตลาด หายไปจากกระแสนิยมของผู้บริโภค ซึ่งจากภาวะดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่มาถึงผู้ผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านโดยตรง
"ล่าสุดบริษัท HBCเหลือกำลังผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านเพียง 25%ของกำลังผลิตเต็มเพดานซึ่งมีอยู่จำนวน 150,000 คู่สายกิโลเมตร/ปี ซึ่งกำลังผลิตที่เหลืออยู่ในช่วงก่อนปิดโรงงานทั้งหมดจะต้องเคลียร์ออเดอร์ให้กับลูกค้าก่อน โดยส่วนใหญ่จะป้อนให้กับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)(บมจ.) และบ้านที่อยู่อาศัย เป็นหลัก"
นายสมพงศ์ ยังกล่าวถึงการหาทางออกและความช่วยเหลือกับพนักงานที่มีอยู่ 180-200 คนหลังจากประกาศปิดกิจการว่าในเรื่องนี้ ทางคณะผู้บริหารบริษัทได้ชี้แจงให้พนักงานเข้าใจถึงสาเหตุที่บริษัทต้องปิดกิจการลงแล้ว โดยพนักงานทุกคนเข้าใจดีถึงเหตุปละผลที่ต้องปิดโรงงาน โดยบริษัทพร้อมจะจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายแรงงานทุกอย่าง
ทั้งนี้ บริษัท ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท สายไฟฟ้า บางกอกเคเบิ้ล จำกัด กับบริษัท ฮิตาชิเคเบิ้ล จำกัด (HCL)ประเทศญี่ปุ่น มีสัดส่วนหุ้น 51 และ49% ตามลำดับ โรงงานตั้งอยู่ที่บางปะกง จังหวัด ฉะเชิงเทรา เปิดดำเนินการ ในปี2525 โดยในระยะแรกของการดำเนินงานนั้น จะผลิตสายเคเบิ้ลเพื่อการติดต่อสื่อสาร เพื่อสนองตอบต่อ ความต้องการภายในประเทศที่มีเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และความเข้มงวดต่อระบบในการออกแบบ การผลิตและการควบคุมภาพจาก HCL ช่วยผลักดันให้ HBC สามารถขยายการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย เพื่อสนอง ตอบความต้องการต่อภาคอุตสาหกรรม ทั้งภายในประเทศและ ต่างประเทศ
ขณะที่แหล่งข่าวจากกลุ่มผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านอีกรายหนึ่ง กล่าวเช่นกันว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายให้กับผู้ผลิตทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ที่ต้องแห่ปรับตัวเองเพื่อความอยู่รอด เช่นบริษัท เฟ้ลป์ดอด์จ ไทยแลนด์ จำกัดที่ตัดสินใจให้ทุนสัญชาติอเมริกาเข้ามาเทคโอเวอร์ไป เพื่อให้ระบบรวมในการดำเนินธุรกิจดีขึ้น โดยมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาและเน้นด้านการผลิตสายไฟฟ้าแทนมากขึ้น หรืออย่างกรณีการหันไปผลิตในผลิตภัณฑ์อื่นแทน เช่นค่ายไหนที่มีการผลิตสายไฟฟ้า หรือสายอลูมิเนียมด้วย ก็จะหันไปเน้นด้านนั้นแทนมากขึ้น
ยกตัวอย่างผู้ผลิตรายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าอย่าง บริษัท บางกอกเทเลคอม จำกัด บริษัทในเครือสายไฟฟ้าไทยยาซากิ จำกัด บริษัท จรุงไทยไวร์แอนด์เคเบิ้ล จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามแฟซิฟิกไวร์แอนด์เคเบิ้ล จำกัด ที่หันไปผลิตสายไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้าน อาคารสำนักงานและหน่วยงานรัฐเช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าภูมิภาค(กฟภ.) มากขึ้น
อนึ่ง สำหรับผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในปัจจุบัน ประกอบด้วย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มีผู้ใช้บริการทั้งสิ้นประมาณ 4 ล้านเลขหมาย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโทรศัพท์บ้านในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 2.6 ล้านเลขหมาย ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการประมาณ 2 ล้านเลขหมาย และบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในเขตภูมิภาคจำนวน 1.5 ล้านเลขหมาย มีผู้ใช้บริการ 1.2 ล้านเลขหมาย เปรียบเทียบกับจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มีประมาณ 30 กว่าล้านเลขหมาย จึงส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโทรศัพท์บ้านทั้งระบบได้รับผลกระทบอยู่ในขณะนี้ http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2236
ธุรกิจผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านส่อวิกฤติหนัก หลังเจอเทคโนโลยีใหม่โทรศัพท์ไร้สายอาละวาด เปลี่ยนกระแสบริโภคนิยมกลืนตลาดโทร.พื้นฐานเกือบเกลี้ยง ผสมโรงลวดทองแดงราคาพุ่งเท่าตัว ล่าสุด"ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล"ประกาศปิดกิจการแล้วอีกหนึ่ง ขณะที่ยักษ์วงการผลิตสายไฟฟ้า ไม่เว้นไทยยาซากิ- จรุงไทยฯ ปรับตัวหนีตายกันจ้าละหวั่น
นายสมพงศ์ นครศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด(BCC) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550นี้ บริษัท ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (HBC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของBCC จะหยุดดำเนินกิจการผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์บ้านอย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาเผชิญกับมรสุมรอบด้านตั้งแต่ผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี2540 เป็นต้นมา รวมทั้งปัญหาราคาลวดทองแดงที่พุ่งสูงขึ้นตามราคาทองแดง แคโธด ปรับตัวสูงขึ้นมาแล้วถึง 3 เท่าตัวในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้ราคาดีดตัวสูงขึ้นเกือบตันละ 300,000 บาท โดยทั้งทองแดง แคโธด และลวดทองแดง ล้วนเป็นวัตถุดิบสำคัญที่อยู่ในกระบวนการผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังต้องเจอกับมรสุมจากสภาวะตลาดไม่เอื้ออำนาย เมื่อเทคโนโลยีใหม่ของโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ามามีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงกระแสบริโภคนิยมของประชาชนทุกกลุ่มทุกวันมากยิ่งขึ้น ทำให้ความต้องการใช้โทรศัพท์บ้านค่อยๆหายไปจากตลาด หายไปจากกระแสนิยมของผู้บริโภค ซึ่งจากภาวะดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่มาถึงผู้ผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านโดยตรง
"ล่าสุดบริษัท HBCเหลือกำลังผลิตสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านเพียง 25%ของกำลังผลิตเต็มเพดานซึ่งมีอยู่จำนวน 150,000 คู่สายกิโลเมตร/ปี ซึ่งกำลังผลิตที่เหลืออยู่ในช่วงก่อนปิดโรงงานทั้งหมดจะต้องเคลียร์ออเดอร์ให้กับลูกค้าก่อน โดยส่วนใหญ่จะป้อนให้กับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)(บมจ.) และบ้านที่อยู่อาศัย เป็นหลัก"
นายสมพงศ์ ยังกล่าวถึงการหาทางออกและความช่วยเหลือกับพนักงานที่มีอยู่ 180-200 คนหลังจากประกาศปิดกิจการว่าในเรื่องนี้ ทางคณะผู้บริหารบริษัทได้ชี้แจงให้พนักงานเข้าใจถึงสาเหตุที่บริษัทต้องปิดกิจการลงแล้ว โดยพนักงานทุกคนเข้าใจดีถึงเหตุปละผลที่ต้องปิดโรงงาน โดยบริษัทพร้อมจะจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายแรงงานทุกอย่าง
ทั้งนี้ บริษัท ฮิตาชิบางกอกเคเบิ้ล จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท สายไฟฟ้า บางกอกเคเบิ้ล จำกัด กับบริษัท ฮิตาชิเคเบิ้ล จำกัด (HCL)ประเทศญี่ปุ่น มีสัดส่วนหุ้น 51 และ49% ตามลำดับ โรงงานตั้งอยู่ที่บางปะกง จังหวัด ฉะเชิงเทรา เปิดดำเนินการ ในปี2525 โดยในระยะแรกของการดำเนินงานนั้น จะผลิตสายเคเบิ้ลเพื่อการติดต่อสื่อสาร เพื่อสนองตอบต่อ ความต้องการภายในประเทศที่มีเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และความเข้มงวดต่อระบบในการออกแบบ การผลิตและการควบคุมภาพจาก HCL ช่วยผลักดันให้ HBC สามารถขยายการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย เพื่อสนอง ตอบความต้องการต่อภาคอุตสาหกรรม ทั้งภายในประเทศและ ต่างประเทศ
ขณะที่แหล่งข่าวจากกลุ่มผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลโทรศัพท์บ้านอีกรายหนึ่ง กล่าวเช่นกันว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายให้กับผู้ผลิตทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ที่ต้องแห่ปรับตัวเองเพื่อความอยู่รอด เช่นบริษัท เฟ้ลป์ดอด์จ ไทยแลนด์ จำกัดที่ตัดสินใจให้ทุนสัญชาติอเมริกาเข้ามาเทคโอเวอร์ไป เพื่อให้ระบบรวมในการดำเนินธุรกิจดีขึ้น โดยมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาและเน้นด้านการผลิตสายไฟฟ้าแทนมากขึ้น หรืออย่างกรณีการหันไปผลิตในผลิตภัณฑ์อื่นแทน เช่นค่ายไหนที่มีการผลิตสายไฟฟ้า หรือสายอลูมิเนียมด้วย ก็จะหันไปเน้นด้านนั้นแทนมากขึ้น
ยกตัวอย่างผู้ผลิตรายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าอย่าง บริษัท บางกอกเทเลคอม จำกัด บริษัทในเครือสายไฟฟ้าไทยยาซากิ จำกัด บริษัท จรุงไทยไวร์แอนด์เคเบิ้ล จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามแฟซิฟิกไวร์แอนด์เคเบิ้ล จำกัด ที่หันไปผลิตสายไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้าน อาคารสำนักงานและหน่วยงานรัฐเช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าภูมิภาค(กฟภ.) มากขึ้น
อนึ่ง สำหรับผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในปัจจุบัน ประกอบด้วย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มีผู้ใช้บริการทั้งสิ้นประมาณ 4 ล้านเลขหมาย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโทรศัพท์บ้านในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 2.6 ล้านเลขหมาย ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการประมาณ 2 ล้านเลขหมาย และบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในเขตภูมิภาคจำนวน 1.5 ล้านเลขหมาย มีผู้ใช้บริการ 1.2 ล้านเลขหมาย เปรียบเทียบกับจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มีประมาณ 30 กว่าล้านเลขหมาย จึงส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโทรศัพท์บ้านทั้งระบบได้รับผลกระทบอยู่ในขณะนี้ http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2236
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/07/07
โพสต์ที่ 32
2แรงบวกปลุก'วีพีซีที'คืนชีพ +ทำเซอร์ไพร์ส!ตลาด รายได้พุ่งต่อเนื่อง/ งัดกลยุทธโทร.ถูก ตีค่ายมือถือ
ปฎิหารย์มีจริง โทรศัพท์พื้นฐานแบบพกพา"วีพีซีที" ฟื้นคืนชีพ ครึ่งปีแรกรายได้ต่อเลขหมายพุ่งต่อเนื่อง อานิสสงส์แรงบวกค่ายมือถือพักยกสงครามราคา ผนวกกลยุทธการตลาดที่ประกาศยึดกลยุทธ์โทรถูก ดึงลูกค้ามือถือใช้วีพีซีทีเป็นเครื่องที่สอง"สหรัฐส์ คะนองศิลป์" เผยล่าสุดอาปู้พุ่ง 240 บาทต่อเลขหมาย จากปี2549 ค่าเฉลี่ยทั้งปีเพียง 220 บาทต ส่วนฐานลูกค้าลดลงแค่ 3% น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากปีที่แล้วลดฮวบ 20%
นายสหรัฐส์ คนองศิลป์ ผู้จัดการทั่วไปบริษัท เอเชีย ไวร์เลส คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (AWC) ผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานพกพาส่วนบุคคล "วี พีซีที" และเป็นบริษัทในเครือบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัทมีรายได้ต่อเลขหมาย (อาปู้) เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีรายได้เฉลี่ยสูง 240 บาทต่อเลขหมาย และมีรายได้เฉลี่ยครึ่งปีแรก (มกราคม - มิถุนายน 2550) 225 บาทต่อเลขหมาย จากปี 2549 ที่ผ่านมา มีรายได้เฉลี่ยครึ่งปีแรก 210 บาทต่อเลขหมาย และมีรายได้เฉลี่ยทั้งปี 220 บาทต่อเลขหมาย โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมทั้งหมด 920 ล้านบาท และครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้แล้ว 420 ล้านบาท โดยสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายเพิ่มเป็น 250 บาท
สำหรับจำนวนลูกค้าในปีนี้ลดลงน้อยกว่าปีที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยปีที่แล้วลูกค้าลดลงสูงถึง 20% และคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีจำนวนลดลง 5% แต่ล่าสุดบริษัทมีจำนวนลูกค้าทั้งหมด 290,000 เลขหมาย จากต้นปีมีทั้งหมด 300,000 เลขหมาย (ลดลงมาประมาณ 3%)
"เรามีรายได้ปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วเป็นอย่างมาก เพราะการแข่งขันในตลาดเปลี่ยนแปลงไป จากค่ายมือถือมีการแข่งขันราคากันอย่างดุเดือด ตั้งแต่ต้นปีนี้ก็ลดน้อยลง นอกจากนี้ค่ายมือถือยังหันมาชำระค่าเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นค่าบริการที่เป็นจริง ทำให้ในปีนี้สถานการณ์ที่เราเคยถูกกดดันลดน้อยลงไปด้วย ทำให้เราสามารถรักษาฐานลูกค้าเราไม่ให้ลดลงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งในปีนี้เป้าหมายหลักของเราก็คือการรักษาฐานลูกค้าไว้"
นายสหรัฐส์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกลยุทธ์การทำตลาด บริษัทเน้นการให้บริการราคาประหยัด ซึ่งต้องมีอัตราค่าบริการถูกกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น โปรโมชั่นเหมาจ่าย 400 บาทต่อเดือน โทรได้ไม่จำกัด ,เหมาจ่าย 300 บาทต่อเดือน โทรออกครั้งละ 1 บาท และเหมาจ่าย 100 บาทต่อเดือน โทรครั้งละ 3 บาท นอกจากนี้บริษัทยังเน้นการทำตลาดในรูปแบบคอนเวอร์เจนท์ร่วมกับทรู คอร์ปอเรชั่นอีกด้วย
สำหรับกลุ่มเป้าหมาย จากเดิมบริษัทเน้นกลุ่มเด็กเป็นหลัก แต่ปัจจุบันบริษัทจะมุ่งไปยังกลุ่มลูกค้านักธุรกิจ รวมทั้งผู้ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งล่าสุดบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าที่เป็นเด็ก 50% และผู้ใหญ่ 50%
"เราไม่ได้เอาความทันสมัยมาเป็นจุดขาย แต่เราเน้นจุดยืนราคาประหยัด โดยเราไม่ได้มุ่งสร้างตลาดใหม่ แต่จะให้ผู้บริโภคที่มีโทรศัพท์มือถืออยู่แล้วหันมาใช้วีพีซีทีเป็นเครื่องที่สอง ซึ่งจากการสำรวจ เราพบว่า ลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะไม่ได้ถือวีพีซีทีเพียงเครื่องเดียว แต่เป็นคนที่ใช้มือถืออยู่แล้ว และมีวีพีซีทีไว้สำหรับโทรออกเป็นหลัก ดังนั้นผู้ใช้มือถือที่เน้นความประหยัดจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่เราเข้าไปทำตลาดด้วย" นายสหรัฐส์กล่าวและว่า
ในส่วนของเครือข่ายวีพีซีที บริษัทไม่มีนโยบายขยายเพิ่มเติมอีก แต่จะเน้นการปรับปรุง และเสริมคุณภาพเป็นหลัก เช่น การย้ายเครือข่ายไปยังตึก หรือถนนที่สร้างใหม่ เป็นต้น ซึ่งบริษัทเตรียมงบประมาณสำหรับการปรับปรุงเครือข่ายเดือนละ 5 ล้านบาท ดังนั้นจึงมั่นใจว่าลูกค้าที่มักจะอยู่ในพื้นที่เดิมๆ จะไม่มีปัญหาในการโทร.ออก
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2236
ปฎิหารย์มีจริง โทรศัพท์พื้นฐานแบบพกพา"วีพีซีที" ฟื้นคืนชีพ ครึ่งปีแรกรายได้ต่อเลขหมายพุ่งต่อเนื่อง อานิสสงส์แรงบวกค่ายมือถือพักยกสงครามราคา ผนวกกลยุทธการตลาดที่ประกาศยึดกลยุทธ์โทรถูก ดึงลูกค้ามือถือใช้วีพีซีทีเป็นเครื่องที่สอง"สหรัฐส์ คะนองศิลป์" เผยล่าสุดอาปู้พุ่ง 240 บาทต่อเลขหมาย จากปี2549 ค่าเฉลี่ยทั้งปีเพียง 220 บาทต ส่วนฐานลูกค้าลดลงแค่ 3% น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากปีที่แล้วลดฮวบ 20%
นายสหรัฐส์ คนองศิลป์ ผู้จัดการทั่วไปบริษัท เอเชีย ไวร์เลส คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (AWC) ผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานพกพาส่วนบุคคล "วี พีซีที" และเป็นบริษัทในเครือบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัทมีรายได้ต่อเลขหมาย (อาปู้) เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีรายได้เฉลี่ยสูง 240 บาทต่อเลขหมาย และมีรายได้เฉลี่ยครึ่งปีแรก (มกราคม - มิถุนายน 2550) 225 บาทต่อเลขหมาย จากปี 2549 ที่ผ่านมา มีรายได้เฉลี่ยครึ่งปีแรก 210 บาทต่อเลขหมาย และมีรายได้เฉลี่ยทั้งปี 220 บาทต่อเลขหมาย โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมทั้งหมด 920 ล้านบาท และครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้แล้ว 420 ล้านบาท โดยสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายเพิ่มเป็น 250 บาท
สำหรับจำนวนลูกค้าในปีนี้ลดลงน้อยกว่าปีที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยปีที่แล้วลูกค้าลดลงสูงถึง 20% และคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีจำนวนลดลง 5% แต่ล่าสุดบริษัทมีจำนวนลูกค้าทั้งหมด 290,000 เลขหมาย จากต้นปีมีทั้งหมด 300,000 เลขหมาย (ลดลงมาประมาณ 3%)
"เรามีรายได้ปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วเป็นอย่างมาก เพราะการแข่งขันในตลาดเปลี่ยนแปลงไป จากค่ายมือถือมีการแข่งขันราคากันอย่างดุเดือด ตั้งแต่ต้นปีนี้ก็ลดน้อยลง นอกจากนี้ค่ายมือถือยังหันมาชำระค่าเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นค่าบริการที่เป็นจริง ทำให้ในปีนี้สถานการณ์ที่เราเคยถูกกดดันลดน้อยลงไปด้วย ทำให้เราสามารถรักษาฐานลูกค้าเราไม่ให้ลดลงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งในปีนี้เป้าหมายหลักของเราก็คือการรักษาฐานลูกค้าไว้"
นายสหรัฐส์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกลยุทธ์การทำตลาด บริษัทเน้นการให้บริการราคาประหยัด ซึ่งต้องมีอัตราค่าบริการถูกกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น โปรโมชั่นเหมาจ่าย 400 บาทต่อเดือน โทรได้ไม่จำกัด ,เหมาจ่าย 300 บาทต่อเดือน โทรออกครั้งละ 1 บาท และเหมาจ่าย 100 บาทต่อเดือน โทรครั้งละ 3 บาท นอกจากนี้บริษัทยังเน้นการทำตลาดในรูปแบบคอนเวอร์เจนท์ร่วมกับทรู คอร์ปอเรชั่นอีกด้วย
สำหรับกลุ่มเป้าหมาย จากเดิมบริษัทเน้นกลุ่มเด็กเป็นหลัก แต่ปัจจุบันบริษัทจะมุ่งไปยังกลุ่มลูกค้านักธุรกิจ รวมทั้งผู้ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งล่าสุดบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าที่เป็นเด็ก 50% และผู้ใหญ่ 50%
"เราไม่ได้เอาความทันสมัยมาเป็นจุดขาย แต่เราเน้นจุดยืนราคาประหยัด โดยเราไม่ได้มุ่งสร้างตลาดใหม่ แต่จะให้ผู้บริโภคที่มีโทรศัพท์มือถืออยู่แล้วหันมาใช้วีพีซีทีเป็นเครื่องที่สอง ซึ่งจากการสำรวจ เราพบว่า ลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะไม่ได้ถือวีพีซีทีเพียงเครื่องเดียว แต่เป็นคนที่ใช้มือถืออยู่แล้ว และมีวีพีซีทีไว้สำหรับโทรออกเป็นหลัก ดังนั้นผู้ใช้มือถือที่เน้นความประหยัดจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่เราเข้าไปทำตลาดด้วย" นายสหรัฐส์กล่าวและว่า
ในส่วนของเครือข่ายวีพีซีที บริษัทไม่มีนโยบายขยายเพิ่มเติมอีก แต่จะเน้นการปรับปรุง และเสริมคุณภาพเป็นหลัก เช่น การย้ายเครือข่ายไปยังตึก หรือถนนที่สร้างใหม่ เป็นต้น ซึ่งบริษัทเตรียมงบประมาณสำหรับการปรับปรุงเครือข่ายเดือนละ 5 ล้านบาท ดังนั้นจึงมั่นใจว่าลูกค้าที่มักจะอยู่ในพื้นที่เดิมๆ จะไม่มีปัญหาในการโทร.ออก
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2236
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/07/07
โพสต์ที่ 33
ทีโอทีจวกกทช.มั่วไลเซนส์ ได้แค่3รายแต่ยอมรับถึง10
โพสต์ทูเดย์ ทีโอทีสับเละ กทช. ทำงานมั่ว ยอมรับสัญญาค่าเชื่อมโยง 10 ฉบับ ทั้งที่ได้รับไลเซนส์แค่ 3 ราย
นายศาสตรา โตอ่อน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที กล่าวว่า การที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) รับรองผลการทำสัญญาค่าเชื่อมโยงโครงข่าย หรือไอซี (อินเตอร์คอนเนกชันชาร์จ) ของผู้ให้บริการโทรศัพท์รวม 10 คู่นั้น เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะทีโอทีจะใช้ไอซีกับผู้ให้บริการที่ได้ใบอนุญาต (ไลเซนส์) เท่านั้น ซึ่งขณะนี้มีเพียงทีโอที กสท โทรคมนาคม และ ทริปเปิลที บรอดแบนด์ เครือ ทีทีแอนด์ที ที่ได้ไลเซนส์
จากการตรวจสอบของทีโอที พบว่า ทริปเปิลที ยังไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง แต่ใช้โครงข่ายของบริษัท ทีทีแอนด์ที ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานร่วมการงานกับ ทีโอที อีกที ซึ่งที่ผ่านมาได้ลอบ ใช้งานโดยไม่ได้ รับอนุญาต ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง ปัจจุบันจึงมีเพียง ทีโอที และ กสทฯ เท่านั้นที่ใช้ไอซีได้
สาเหตุที่วุ่นวายขนาดนี้เนื่องจาก กทช.มีผู้รู้กฎหมายเพียงคนเดียว คือ ท่านสุธรรม อยู่ในธรรม ซึ่งตีความได้มั่วมาก ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเอง รวมถึงค่าไอซีที่ประกาศใช้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับไลเซนส์ นายศาสตรา กล่าว
ทั้งนี้ การที่ผู้ให้บริการแต่ละรายต่อตรงกันเองนั้น ไม่มีผลทางกฎหมาย เพราะตามสัญญาแล้ว ผู้ให้บริการต้องต่อผ่านโครงข่ายของ ทีโอทีเท่านั้น ซึ่งการต่อตรงทำให้รายได้ของทีโอทีลดลงถึง 3 เท่า จึงยืนยันว่าการใช้ค่าไอซีต้องชอบด้วยกฎหมาย ทีโอทีถึงจะยอมรับ
อย่างไรก็ตาม การประกาศให้ ผู้ให้บริการทุกรายต้องเชื่อมต่อไอซีตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานั้น ยังเป็นปัญหา เนื่องจาก บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค และ บริษัท ทรูมูฟ ไม่ยอมจ่ายค่าเชื่อมต่อเลขหมาย หรือ เอซี (แอ็กเซสชาร์จ) ให้กับทีโอที
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=180591
โพสต์ทูเดย์ ทีโอทีสับเละ กทช. ทำงานมั่ว ยอมรับสัญญาค่าเชื่อมโยง 10 ฉบับ ทั้งที่ได้รับไลเซนส์แค่ 3 ราย
นายศาสตรา โตอ่อน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที กล่าวว่า การที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) รับรองผลการทำสัญญาค่าเชื่อมโยงโครงข่าย หรือไอซี (อินเตอร์คอนเนกชันชาร์จ) ของผู้ให้บริการโทรศัพท์รวม 10 คู่นั้น เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะทีโอทีจะใช้ไอซีกับผู้ให้บริการที่ได้ใบอนุญาต (ไลเซนส์) เท่านั้น ซึ่งขณะนี้มีเพียงทีโอที กสท โทรคมนาคม และ ทริปเปิลที บรอดแบนด์ เครือ ทีทีแอนด์ที ที่ได้ไลเซนส์
จากการตรวจสอบของทีโอที พบว่า ทริปเปิลที ยังไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง แต่ใช้โครงข่ายของบริษัท ทีทีแอนด์ที ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานร่วมการงานกับ ทีโอที อีกที ซึ่งที่ผ่านมาได้ลอบ ใช้งานโดยไม่ได้ รับอนุญาต ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง ปัจจุบันจึงมีเพียง ทีโอที และ กสทฯ เท่านั้นที่ใช้ไอซีได้
สาเหตุที่วุ่นวายขนาดนี้เนื่องจาก กทช.มีผู้รู้กฎหมายเพียงคนเดียว คือ ท่านสุธรรม อยู่ในธรรม ซึ่งตีความได้มั่วมาก ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเอง รวมถึงค่าไอซีที่ประกาศใช้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับไลเซนส์ นายศาสตรา กล่าว
ทั้งนี้ การที่ผู้ให้บริการแต่ละรายต่อตรงกันเองนั้น ไม่มีผลทางกฎหมาย เพราะตามสัญญาแล้ว ผู้ให้บริการต้องต่อผ่านโครงข่ายของ ทีโอทีเท่านั้น ซึ่งการต่อตรงทำให้รายได้ของทีโอทีลดลงถึง 3 เท่า จึงยืนยันว่าการใช้ค่าไอซีต้องชอบด้วยกฎหมาย ทีโอทีถึงจะยอมรับ
อย่างไรก็ตาม การประกาศให้ ผู้ให้บริการทุกรายต้องเชื่อมต่อไอซีตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานั้น ยังเป็นปัญหา เนื่องจาก บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค และ บริษัท ทรูมูฟ ไม่ยอมจ่ายค่าเชื่อมต่อเลขหมาย หรือ เอซี (แอ็กเซสชาร์จ) ให้กับทีโอที
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=180591
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/07/07
โพสต์ที่ 34
สตรีมไอที.ส่งโซลูชันซีเคียวริตี เจาะลูกค้าใหม่ดันรายได้โต25%
โพสต์ทูเดย์ สตรีม ไอ.ที. รุกขยายฐานลูกค้าใหม่ที่มีแนวโน้มลงทุนสูงทั้งโทรคมนาคม ค้าปลีก อุตสาหกรรมการผลิตและภาครัฐ
นางกนกวิภา วิริยประไพกิจ กรรมการ ผู้อำนวยการ บริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง กล่าวว่า ตลาดรวมไอทีไทยปีนี้ยังไปได้ดี แม้จะมีอัตราการเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการที่มีการชะลอการลงทุน แต่ระบบไอทียังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องลงทุนต่อเนื่อง และบริษัทเองก็ตั้งเป้าสร้างรายได้โต 25% จากปีที่แล้ว เป็นตัวเลขการเติบโตมากกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมไอที ที่มีการคาดการณ์โตเฉลี่ยปีละ 12% ไปจนถึงปี 2553
ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ มีแนวโน้มการเติบโตในการลงทุนเทคโนโลยีสูง โดยเฉพาะตลาดด้านโทรคมนาคม ค้าปลีก และอุตสาหกรรมการผลิต รวมทั้งตลาดหน่วยงานราชการนอกเหนือจากฐานตลาดเดิม คือ กลุ่มการเงินการธนาคาร เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้และกระจายความเสี่ยงในตลาดอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร ที่เป็นฐานลูกค้าเดิมและยังมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังคงมีการลงทุนอยู่
ทั้งนี้ บริษัทจะมุ่งให้ความสำคัญในด้านเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัย (ซีเคียวริตี) ด้านการนำเสนอนวัตกรรมทางการเงิน แบบอิเล็กทรอนิกส์ เปย์เมนต์ และระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า หรือซีอาร์เอ็ม เพื่อสร้างความแตกต่างในการให้บริการ ง่ายต่อการใช้งาน และเพิ่มความคล่องตัวในการให้บริการ นำเสนอบริการได้ตรงความต้องการเฉพาะกลุ่มของลูกค้ามากขึ้น
ที่ผ่านมากลุ่มธนาคารไทยหลายค่าย ได้ลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานไปแล้ว แต่ก็ยังขาดระบบด้านความปลอดภัยและบริการอื่นๆ ดังนั้นโอกาสของสตรีม ไอ.ที.ยังมีอยู่ อีกทั้งบริษัทยังจะนำประสบการณ์ความรู้ความ เข้าใจจากการทำตลาดการเงินการธนาคาร ไปประยุกต์ใช้กับกลุ่มลูกค้าโทรคมนาคม เนื่องจากเห็นว่ารูปแบบการให้บริการมีลักษณะคล้ายกัน และมีความต้องการใช้ เทคโนโลยีมาต่อยอดให้บริการเช่นกัน นางกนกวิภา กล่าว
สำหรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มงานบริหารจัดการโซลูชันสำหรับองค์กรธุรกิจ และกลุ่มงาน โซลูชันโครงสร้างพื้นฐานสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มการเงินการธนาคารที่เป็นลูกค้าเก่า 65% และที่เหลืออีก 35% คาดว่าจะมาจากการขยายฐานลูกค้าใหม่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=180845
โพสต์ทูเดย์ สตรีม ไอ.ที. รุกขยายฐานลูกค้าใหม่ที่มีแนวโน้มลงทุนสูงทั้งโทรคมนาคม ค้าปลีก อุตสาหกรรมการผลิตและภาครัฐ
นางกนกวิภา วิริยประไพกิจ กรรมการ ผู้อำนวยการ บริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง กล่าวว่า ตลาดรวมไอทีไทยปีนี้ยังไปได้ดี แม้จะมีอัตราการเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการที่มีการชะลอการลงทุน แต่ระบบไอทียังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องลงทุนต่อเนื่อง และบริษัทเองก็ตั้งเป้าสร้างรายได้โต 25% จากปีที่แล้ว เป็นตัวเลขการเติบโตมากกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมไอที ที่มีการคาดการณ์โตเฉลี่ยปีละ 12% ไปจนถึงปี 2553
ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ มีแนวโน้มการเติบโตในการลงทุนเทคโนโลยีสูง โดยเฉพาะตลาดด้านโทรคมนาคม ค้าปลีก และอุตสาหกรรมการผลิต รวมทั้งตลาดหน่วยงานราชการนอกเหนือจากฐานตลาดเดิม คือ กลุ่มการเงินการธนาคาร เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้และกระจายความเสี่ยงในตลาดอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร ที่เป็นฐานลูกค้าเดิมและยังมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังคงมีการลงทุนอยู่
ทั้งนี้ บริษัทจะมุ่งให้ความสำคัญในด้านเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัย (ซีเคียวริตี) ด้านการนำเสนอนวัตกรรมทางการเงิน แบบอิเล็กทรอนิกส์ เปย์เมนต์ และระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า หรือซีอาร์เอ็ม เพื่อสร้างความแตกต่างในการให้บริการ ง่ายต่อการใช้งาน และเพิ่มความคล่องตัวในการให้บริการ นำเสนอบริการได้ตรงความต้องการเฉพาะกลุ่มของลูกค้ามากขึ้น
ที่ผ่านมากลุ่มธนาคารไทยหลายค่าย ได้ลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานไปแล้ว แต่ก็ยังขาดระบบด้านความปลอดภัยและบริการอื่นๆ ดังนั้นโอกาสของสตรีม ไอ.ที.ยังมีอยู่ อีกทั้งบริษัทยังจะนำประสบการณ์ความรู้ความ เข้าใจจากการทำตลาดการเงินการธนาคาร ไปประยุกต์ใช้กับกลุ่มลูกค้าโทรคมนาคม เนื่องจากเห็นว่ารูปแบบการให้บริการมีลักษณะคล้ายกัน และมีความต้องการใช้ เทคโนโลยีมาต่อยอดให้บริการเช่นกัน นางกนกวิภา กล่าว
สำหรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มงานบริหารจัดการโซลูชันสำหรับองค์กรธุรกิจ และกลุ่มงาน โซลูชันโครงสร้างพื้นฐานสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มการเงินการธนาคารที่เป็นลูกค้าเก่า 65% และที่เหลืออีก 35% คาดว่าจะมาจากการขยายฐานลูกค้าใหม่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=180845
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/07/07
โพสต์ที่ 35
กทช.ขู่ทีโอที ถกไอซีดีแทค ไม่ทำปรับแน่
โพสต์ทูเดย์ กทช. ขู่เรียกค่าเสียหาย ทีโอที หากยังไม่เจรจาค่าเชื่อมโยงกับดีแทคภายใน 7 วัน
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผยว่า กทช.มีคำชี้ขาดอีกครั้งให้ บริษัท ทีโอที ต้องเจรจา บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค เรื่องค่าเชื่อมโยงโครงข่าย หรือ ไอซี (อินเตอร์คอนเนกชันชาร์จ) ภายใน 7 วัน และต้องเจรจาให้เสร็จภายใน 30 วัน หากครั้งนี้ทีโอทียังไม่ดำเนินตามคำสั่งชี้ขาดอีกครั้ง กทช.ต้องดำเนินตามขั้นตอนระเบียบที่มีอยู่ เช่น การคิดค่าปรับจากทีโอที
ทั้งนี้ คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (กวพ.) เคยมีคำสั่งชี้ขาดเมื่อเดือนที่แล้วให้ทีโอทีต้องเจรจาค่าไอซีกับดีแทคให้เสร็จภายใน 30 วัน แต่ ทีโอทีปฏิเสธ นอกจากนี้ยังได้ขอข้อมูลจาก บริษัท ทีทีแอนด์ที เพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณากรณีที่ขอระงับให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) หลังจากที่ทีโอทีได้ร้องเรียนว่า ทีทีแอนด์ที ต้องการโอนลูกค้าไปยังบริษัทใหม่ภายใต้ ทริปเปิลที บรอดแบนด์ ซึ่งเป็นการเลี่ยงการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ในฐานะคู่สัญญา
ทั้งนี้ ข้อมูลที่ กทช.ได้รับมานั้นยังขาดความชัดเจนถึงสถานการณ์ดำเนินงานของทีทีแอนด์ที ว่าเป็นผู้ร่วมการงานกับทีโอที หรือเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ 3 แบบมีโครงข่ายเป็นของตนเอง แม้ว่าตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคมในมาตรา 20 ทีทีแอนด์ทีสามารถระงับการให้บริการได้ แต่ กทช.จำเป็นต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ใช้บริการอีกครั้งก่อนตัดสินใจให้ทีทีแอนด์ทีได้ระงับการให้บริการ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=181296
โพสต์ทูเดย์ กทช. ขู่เรียกค่าเสียหาย ทีโอที หากยังไม่เจรจาค่าเชื่อมโยงกับดีแทคภายใน 7 วัน
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผยว่า กทช.มีคำชี้ขาดอีกครั้งให้ บริษัท ทีโอที ต้องเจรจา บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค เรื่องค่าเชื่อมโยงโครงข่าย หรือ ไอซี (อินเตอร์คอนเนกชันชาร์จ) ภายใน 7 วัน และต้องเจรจาให้เสร็จภายใน 30 วัน หากครั้งนี้ทีโอทียังไม่ดำเนินตามคำสั่งชี้ขาดอีกครั้ง กทช.ต้องดำเนินตามขั้นตอนระเบียบที่มีอยู่ เช่น การคิดค่าปรับจากทีโอที
ทั้งนี้ คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (กวพ.) เคยมีคำสั่งชี้ขาดเมื่อเดือนที่แล้วให้ทีโอทีต้องเจรจาค่าไอซีกับดีแทคให้เสร็จภายใน 30 วัน แต่ ทีโอทีปฏิเสธ นอกจากนี้ยังได้ขอข้อมูลจาก บริษัท ทีทีแอนด์ที เพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณากรณีที่ขอระงับให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) หลังจากที่ทีโอทีได้ร้องเรียนว่า ทีทีแอนด์ที ต้องการโอนลูกค้าไปยังบริษัทใหม่ภายใต้ ทริปเปิลที บรอดแบนด์ ซึ่งเป็นการเลี่ยงการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ในฐานะคู่สัญญา
ทั้งนี้ ข้อมูลที่ กทช.ได้รับมานั้นยังขาดความชัดเจนถึงสถานการณ์ดำเนินงานของทีทีแอนด์ที ว่าเป็นผู้ร่วมการงานกับทีโอที หรือเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ 3 แบบมีโครงข่ายเป็นของตนเอง แม้ว่าตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคมในมาตรา 20 ทีทีแอนด์ทีสามารถระงับการให้บริการได้ แต่ กทช.จำเป็นต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ใช้บริการอีกครั้งก่อนตัดสินใจให้ทีทีแอนด์ทีได้ระงับการให้บริการ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=181296
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/07/07
โพสต์ที่ 36
เตือนไอซีทีรอบคอบ ออกกม.คอมพิวเตอร์
โพสต์ทูเดย์ เตือนไอซีที ระวังกฎหมายคอมพิวเตอร์เข้าข้างแฮกเกอร์
นายบัณฑิต ว่องวัฒนะสิน ประธานบริษัท คอนเนควัน ผู้ให้บริการเว็บไซต์ เพื่อการดาวน์โหลดยูนีดอทคอม กล่าว ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ควรรอบคอบ ในการออกประกาศ แต่ละฉบับ ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ในกฎหมายไม่สามารถเอาผิดกับ ผู้มีความประสงค์ร้าย เช่น การเจาะ เข้าระบบ (แฮกเกอร์) ที่มาจากที่อยู่ของเว็บไซต์ (ไอพี แอดเดรส) หรือผู้กระทำผิดที่ไม่ใช่คนไทยจากต่างประเทศได้
กฎหมายดังกล่าว กำหนดให้ผู้ให้บริการในหลายประเภท ต้องเก็บข้อมูลการใช้งานไว้ 90 วัน ทำให้ผู้ให้บริการมีต้นทุนสูงขึ้น อาจไม่คุ้มค่ากับการให้บริการ
ผลสุดท้าย คือ เหลือแต่เพียงผู้ให้บริการรายใหญ่ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจ อินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์
นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า ต้องการ ให้กระทรวงไอซีที เร่งออกประกาศ ที่เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลโดยเร็ว เนื่องจากขณะนี้ผู้ให้บริการค่อนข้าง สับสนว่าจะต้องเก็บรายละเอียดของ ผู้มาใช้บริการมากน้อยแค่ไหน
นอกจากนี้ ควรมีหน่วยงานกลางที่จะสามารถลิงก์ไปยังฐานข้อมูล เพื่อตรวจสอบได้ว่า ข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชนที่ใช้ลงทะเบียน เพื่อเข้า ใช้บริการนั้น เป็นข้อมูลที่ถูกต้องจริง เพราะหากไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ก็เท่ากับว่าการเก็บข้อมูล ไม่มีผลใดๆ
น.ส.กนกวรรณ ว่องวัฒนะสิน ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชัน แอนด์ เซอร์วิส โพวายเดอร์ (ไอเอสเอสพี) กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะเอาต์ซอร์สการเก็บข้อมูล ให้กับกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ใช้บริการของบริษัท หรือเสนอ แพ็กเกจ อินเทอร์เน็ต พร้อม สตอเรจ ให้กับ กลุ่มลูกค้าองค์กร เพื่อรองรับกฎหมายฉบับนี้
http://www.posttoday.com/news.php?sec=business
โพสต์ทูเดย์ เตือนไอซีที ระวังกฎหมายคอมพิวเตอร์เข้าข้างแฮกเกอร์
นายบัณฑิต ว่องวัฒนะสิน ประธานบริษัท คอนเนควัน ผู้ให้บริการเว็บไซต์ เพื่อการดาวน์โหลดยูนีดอทคอม กล่าว ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ควรรอบคอบ ในการออกประกาศ แต่ละฉบับ ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ในกฎหมายไม่สามารถเอาผิดกับ ผู้มีความประสงค์ร้าย เช่น การเจาะ เข้าระบบ (แฮกเกอร์) ที่มาจากที่อยู่ของเว็บไซต์ (ไอพี แอดเดรส) หรือผู้กระทำผิดที่ไม่ใช่คนไทยจากต่างประเทศได้
กฎหมายดังกล่าว กำหนดให้ผู้ให้บริการในหลายประเภท ต้องเก็บข้อมูลการใช้งานไว้ 90 วัน ทำให้ผู้ให้บริการมีต้นทุนสูงขึ้น อาจไม่คุ้มค่ากับการให้บริการ
ผลสุดท้าย คือ เหลือแต่เพียงผู้ให้บริการรายใหญ่ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจ อินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์
นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า ต้องการ ให้กระทรวงไอซีที เร่งออกประกาศ ที่เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลโดยเร็ว เนื่องจากขณะนี้ผู้ให้บริการค่อนข้าง สับสนว่าจะต้องเก็บรายละเอียดของ ผู้มาใช้บริการมากน้อยแค่ไหน
นอกจากนี้ ควรมีหน่วยงานกลางที่จะสามารถลิงก์ไปยังฐานข้อมูล เพื่อตรวจสอบได้ว่า ข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชนที่ใช้ลงทะเบียน เพื่อเข้า ใช้บริการนั้น เป็นข้อมูลที่ถูกต้องจริง เพราะหากไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ก็เท่ากับว่าการเก็บข้อมูล ไม่มีผลใดๆ
น.ส.กนกวรรณ ว่องวัฒนะสิน ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชัน แอนด์ เซอร์วิส โพวายเดอร์ (ไอเอสเอสพี) กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะเอาต์ซอร์สการเก็บข้อมูล ให้กับกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ใช้บริการของบริษัท หรือเสนอ แพ็กเกจ อินเทอร์เน็ต พร้อม สตอเรจ ให้กับ กลุ่มลูกค้าองค์กร เพื่อรองรับกฎหมายฉบับนี้
http://www.posttoday.com/news.php?sec=business
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/08/07
โพสต์ที่ 37
ไม่เอา"ทีโอที"เข้าตลาดหุ้น "ไอซีที"ห่วงโดนต่างชาติฮุบ
นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ไอซีที ได้เร่งให้ บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน)ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานทั้งด้านการบริการ และความสามัคคีของผู้บริหารให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ให้รีบพัฒนากิจการโทรษศัพท์มือถือ หรือที่ บริษัท ไทยโมบาย จำกัด ที่ ทีโอที ถือหุ้นใหญ่ ให้เป็นบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G เป็นรายแรกของประเทศด้วย
นอกจากนี้ยังย้ำว่า ไม่ต้องการให้ บริษัท ทีโอที เข้ากระจายหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ และไม่ต้องการให้เป็นบริษัทมหาชน เนื่องจากทีโอทีเป็นสมบัติของชาติ หากมีการกระจายหุ้นแล้วจะทำให้กิจการตกไปอยู่ในมือของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ
"หากมีการกระจายหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้เครือข่ายโทรคมนาคม ซึ่งเป็นสมบัติของชาติตกไปอยู่ในมือของกลุ่มทุน และการควบคุมราคาค่าบริการ ราคาหุ้น รวมถึงการกำหนดให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่"
ทั้งนี้ ทีโอที ได้แถลงข่าวในโอกาสครบรอบ 5 ปี บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)เมื่อวันที่1สิงหาคม ที่ผ่านมา
"ยอมรับว่าแนวคิดการเปลี่ยนชื่อ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ให้เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ นั้น ผมเป็นผู้เสนอแนวทางผ่านนโยบายของ กระทรวงไปยังบอร์ดทีโอทีให้พิจารณาว่าจะทำการเปลี่ยนชื่อบริษัท หรือไม่ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบอร์ดทีโอที แต่อย่างไรก็ตาม พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของบอร์ดในเรื่องดังกล่าว แต่หากจะมีการเปลี่ยนชื่อจริงจะต้องไม่เป็นบริษัทมหาชนอย่างเด็ดขาด และจะพยายามเร่งรัดการดำเนินการให้เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้" นายสิทธิชัยกล่าว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=69959
นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ไอซีที ได้เร่งให้ บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน)ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานทั้งด้านการบริการ และความสามัคคีของผู้บริหารให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ให้รีบพัฒนากิจการโทรษศัพท์มือถือ หรือที่ บริษัท ไทยโมบาย จำกัด ที่ ทีโอที ถือหุ้นใหญ่ ให้เป็นบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G เป็นรายแรกของประเทศด้วย
นอกจากนี้ยังย้ำว่า ไม่ต้องการให้ บริษัท ทีโอที เข้ากระจายหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ และไม่ต้องการให้เป็นบริษัทมหาชน เนื่องจากทีโอทีเป็นสมบัติของชาติ หากมีการกระจายหุ้นแล้วจะทำให้กิจการตกไปอยู่ในมือของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ
"หากมีการกระจายหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้เครือข่ายโทรคมนาคม ซึ่งเป็นสมบัติของชาติตกไปอยู่ในมือของกลุ่มทุน และการควบคุมราคาค่าบริการ ราคาหุ้น รวมถึงการกำหนดให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่"
ทั้งนี้ ทีโอที ได้แถลงข่าวในโอกาสครบรอบ 5 ปี บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)เมื่อวันที่1สิงหาคม ที่ผ่านมา
"ยอมรับว่าแนวคิดการเปลี่ยนชื่อ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ให้เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ นั้น ผมเป็นผู้เสนอแนวทางผ่านนโยบายของ กระทรวงไปยังบอร์ดทีโอทีให้พิจารณาว่าจะทำการเปลี่ยนชื่อบริษัท หรือไม่ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบอร์ดทีโอที แต่อย่างไรก็ตาม พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของบอร์ดในเรื่องดังกล่าว แต่หากจะมีการเปลี่ยนชื่อจริงจะต้องไม่เป็นบริษัทมหาชนอย่างเด็ดขาด และจะพยายามเร่งรัดการดำเนินการให้เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้" นายสิทธิชัยกล่าว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=69959
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/08/07
โพสต์ที่ 38
ผู้บริโภคเมินโทรบ้านแห่ใช้มือถือ ฉุดรายได้ทีโอทีครึ่งปีวูบ3.8พันล.
ทีโอทีเผย 6 เดือนแรกมีรายได้แค่ 2.59 หมื่นล้านบาท ลดลง 14% เพราะรายได้จากโทรศัพท์พื้นฐานวูบ หลังผู้บริโภคหันไปใช้โทรศัพท์มือถือ เตรียมวางแผนขยายธุรกิจทำเงินชดเชย
พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน)เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกว่าบริษัทมีรายได้รวม 25,940.5 ล้านบาท ลดลง 3,892.7 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 29,833.2 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% ซึ่งมีกำไรสุทธิ 2,862.2 ล้านบาท ลดลง 1,617.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4,479.8 ล้านบาท
สาเหตุที่รายได้และกำไรลดลงเนื่องจากรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของทีโอทีปรับตัวลดลง เพราะผู้บริโภคหันไปใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มมากขึ้น โดยรายได้ดังกล่าวไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Access Charge:AC) เนื่องจาก ทรูมูฟ และดีแทค หยุดจ่ายค่า AC มาตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2549
"ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกไม่ค่อยดีนักเนื่องจากเทรนด์ของโทรศัพท์พื้นฐานมีความนิยมลดน้อยลง เพราะผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจของบริการด้านโทรศัพท์ระบบเคลื่อนที่มากขึ้น โดยทีโอทีจะมีมาตรการการเพิ่มรายได้คาดว่าครึ่งปีหลังน่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น และกลับเข้าสู่สภาวะปกติ"
นางวัชรี ทัพเจริญ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน กล่าวว่าการที่ผลการดำเนินงานทีโอทีปรับตัวลดลงเนื่องจากรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานที่เป็นบริการหลักของทีโอทีลดลงมาอยู่ที่ 7,400 ล้านบาทลดลง 14%เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 อยู่ที่ 8,600 ล้านบาท
ทั้งนี้ทีโอที ตั้งเป้ารายได้รวม ปี 2550 จำนวน 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากบริการ 30,000 ล้านบาท รายได้จากสัมปทาน 30,000 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปีจะมีกำไรสุทธิ 6,900ล้านบาท
อย่างไรก็ตามทีโอทีได้วางมาตรการเพิ่มรายได้ บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (ADSL) บริการโทรศัพท์พื้นฐาน และบริการใหม่ ได้แก่ 1. บริการTOT Postpaid ช่องทางการชำระเงินในการใช้บริการต่างๆของทีโอที โดยจะเปิดทดลองใช้ระบบในวันที่ 15 สิงหาคม และทดลองใช้ฟรีในวันที่ 1 กันยายน และจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ 2. บริการTOT Prepaid บริการรวมบัตรรหัส ของบริการต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้ชำระค่าบริการต่างๆ รวมถึงบริการที่จะเกิดขึ้นใหม่ ซึ่งจะเปิดทดลองใช้ระบบในวันที่ 1 กันยายน และทดลองใช้ฟรีในวันที่ 1 ตุลาคม และจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
http://www.naewna.com/news.asp?ID=69943
ทีโอทีเผย 6 เดือนแรกมีรายได้แค่ 2.59 หมื่นล้านบาท ลดลง 14% เพราะรายได้จากโทรศัพท์พื้นฐานวูบ หลังผู้บริโภคหันไปใช้โทรศัพท์มือถือ เตรียมวางแผนขยายธุรกิจทำเงินชดเชย
พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน)เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกว่าบริษัทมีรายได้รวม 25,940.5 ล้านบาท ลดลง 3,892.7 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 29,833.2 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% ซึ่งมีกำไรสุทธิ 2,862.2 ล้านบาท ลดลง 1,617.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4,479.8 ล้านบาท
สาเหตุที่รายได้และกำไรลดลงเนื่องจากรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของทีโอทีปรับตัวลดลง เพราะผู้บริโภคหันไปใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มมากขึ้น โดยรายได้ดังกล่าวไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Access Charge:AC) เนื่องจาก ทรูมูฟ และดีแทค หยุดจ่ายค่า AC มาตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2549
"ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกไม่ค่อยดีนักเนื่องจากเทรนด์ของโทรศัพท์พื้นฐานมีความนิยมลดน้อยลง เพราะผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจของบริการด้านโทรศัพท์ระบบเคลื่อนที่มากขึ้น โดยทีโอทีจะมีมาตรการการเพิ่มรายได้คาดว่าครึ่งปีหลังน่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น และกลับเข้าสู่สภาวะปกติ"
นางวัชรี ทัพเจริญ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน กล่าวว่าการที่ผลการดำเนินงานทีโอทีปรับตัวลดลงเนื่องจากรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานที่เป็นบริการหลักของทีโอทีลดลงมาอยู่ที่ 7,400 ล้านบาทลดลง 14%เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 อยู่ที่ 8,600 ล้านบาท
ทั้งนี้ทีโอที ตั้งเป้ารายได้รวม ปี 2550 จำนวน 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากบริการ 30,000 ล้านบาท รายได้จากสัมปทาน 30,000 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปีจะมีกำไรสุทธิ 6,900ล้านบาท
อย่างไรก็ตามทีโอทีได้วางมาตรการเพิ่มรายได้ บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (ADSL) บริการโทรศัพท์พื้นฐาน และบริการใหม่ ได้แก่ 1. บริการTOT Postpaid ช่องทางการชำระเงินในการใช้บริการต่างๆของทีโอที โดยจะเปิดทดลองใช้ระบบในวันที่ 15 สิงหาคม และทดลองใช้ฟรีในวันที่ 1 กันยายน และจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ 2. บริการTOT Prepaid บริการรวมบัตรรหัส ของบริการต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้ชำระค่าบริการต่างๆ รวมถึงบริการที่จะเกิดขึ้นใหม่ ซึ่งจะเปิดทดลองใช้ระบบในวันที่ 1 กันยายน และทดลองใช้ฟรีในวันที่ 1 ตุลาคม และจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
http://www.naewna.com/news.asp?ID=69943
-
- Verified User
- โพสต์: 1231
- ผู้ติดตาม: 0
สื่อสารและเทคโนโลยี
โพสต์ที่ 39
thailand ict market 2006 & outlook 2007 ฉบับ มิ.ย.
โดย sipa & nectec
สำรวจจาก ผู้ประกอบการ
ให้ภาพชัดดี
http://www.sipa.or.th/upload/PRNews/Fil ... 8_8159.pdf
โดย sipa & nectec
สำรวจจาก ผู้ประกอบการ
ให้ภาพชัดดี
http://www.sipa.or.th/upload/PRNews/Fil ... 8_8159.pdf
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/08/07
โพสต์ที่ 40
"ทีโอที"ทาบต่างชาติ ร่วมทุนมือถือระบบ3จี/ไอซีทีเปิดทาง
รมว. ไอซีที ร่อนหนังสือให้นโยบายบอร์ด "ทีโอที"ดำเนินการตาม โครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ระบุควรเป็นการลงทุนในลกษณะร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล
นายชิต เหล่าวัฒนา กรรมการ และโฆษกคณะกรรมการ(บอร์ด)บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน)เปิดเผยหลังการประชุมบอร์ด เมื่อวันที่3สิงหาคมว่า ทาง ทีโอที ได้รับหนังสือจาก รมว. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร(ไอซีที) ถึงนโยบายการดำเนินการตาม โครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ว่า ในการดึงนักลงทุนร่วมลงทุนโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ควรเป็นการลงทุนในลัษณะร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และเพื่อให้การลงทุนในโครงการดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงควรให้มีการประกาศเชิญชวนยังรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่มีความพร้อม และมีศักยภาพในการร่วมลงทุน อย่างคลอบคลุม
นอกจากนี้ให้พิจารเงื่อนไข ข้อตกลง หรือสัญญาใดๆ ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้บริการ และต้องไม่เป็นข้อจำกัดต่อการดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของทีโอที ในอนาคต ทั้งด้านการพัฒนาเทคโนโลยี หรือกการแสวงหาผู้ร่วมลงุทนรายใหม่ ประกอบกับต้องมีข้อตกลงเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับทีโอที เพื่อจักให้บริษัทฯ สามารถนำไปพัฒนาองค์กรต่อไปได้ด้วย
" การดำเนินการในทุกขั้นตอนของโครงการ ไอซีที เห็นว่า ควรต้องดำเนินการให้เกิดความโปร่งใส และเป็นธรรมต่อผู้ร่วมลงทุนทุกรายด้วยความเสมอภาค อีกทั้งควรดำเนินการวิเคราะห์ กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยความรอบครอบและรัดกุม เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง"
ทั้งนี้การดำเนินโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ของ ทีโอที ที่มี พ.อ.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการบริษัท ทีโอที ในฐานะประธานกรรมการนโยบายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 G ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเตรียมแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี อยู่
นายชิต กล่าวอีกว่า ที่ประชุมบอร์ด ทีโอที ยังหารือกรณีการชำระค่าซื้อหุ้นคืนของกิจการร่วมค้าไทยโมบาย จำนวน 42% (คิดเป็น เงิน 2,400 ล้านบาท) จาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) นั้น มีมติทางบอร์ด กสท ว่า ทาง กสท ขอกลับไปทบทวนการหารืออีกรอบใน เรื่องจำนวนเงินที่ ทีโอที ได้เสนอซื้อหุ้นคืนจาก กสทฯว่ามีความเหมาะสมเพียงใด
" การซื้อหุ้นไทยโมบายจาก กสท นั้นถือได้ว่าเป็นการอัดยายซื้อขนมยาย ถ้าทางกสท.ไม่ขายให้นั้น ก็ต้องมาร่วมกันชำระหนี้สินที่มีอยู่ของไทยโมบายร่วมกับ ทีโอทีด้วยกัน"
นายฐากร ตันฑสิทธิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า กรณีเลขหมายโทรศัพท์ที่ขาดตลาดนั้นพบว่า เกิดจากสาเหตุผู้ประกอบการใช้ทรัพยากรอย่างไม่เกิดประโยชน์ อาทิ การแจกเลขหมาย เป็นต้น ทำให้ที่ผ่านมา กทช. ต้องทำการศึกษาว่าภายในระยะเวลา 1 ปีจะมีการใช้เลขหมายจำนวนเท่าไหร่ และจึงนำข้อมูลดังกล่าวไปตั้งกรอบการจัดสรรเลขหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการทุกราย ทั้งนี้จากการศึกษาผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่พบว่าภายในระยะ 1 ปีจะมีการใช้เลข หมายจำนวน10 ล้านเลขหมาย ซึ่งปีนี้ กทช.ได้จัดสรรเลขหมายให้กับผู้ประกอบการไปแล้วประมาณ 7 ล้านเลขหมาย โดยล่าสุด กทช.ได้อนุมัติเลขหมายให้กับบริษัท ทรูมูฟ จำกัด จำนวน 1 ล้านเลขหมายจากที่ได้ขอมาเป็นจำนวน 1.5 ล้านเลขหมาย
"ผู้ประกอบการมีการใช้ทรัพยากรอย่างไม่เกิดประโยชน์ทำให้เลขหมายขาดตลาด ซึ่งปัจจุบันได้เกิดประชานิยมไปแล้วที่ผู้บริโภคจะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 2-3 เลขหมายต่อ 1 ราย "นายฐากรกล่าว
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ 1 กันยายน 2547 กทช.ได้อนุมัติเลขหมายให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งผลให้ในตลาดขณะนี้มีเลขหมายรวมแล้วกว่า 66.38 ล้านเลขหมาย โดยปัจจุบันตลาดรวมผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีอยู่ประมาณ 40 ล้านเลขหมาย
http://www.naewna.com/news.asp?ID=70231
รมว. ไอซีที ร่อนหนังสือให้นโยบายบอร์ด "ทีโอที"ดำเนินการตาม โครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ระบุควรเป็นการลงทุนในลกษณะร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล
นายชิต เหล่าวัฒนา กรรมการ และโฆษกคณะกรรมการ(บอร์ด)บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน)เปิดเผยหลังการประชุมบอร์ด เมื่อวันที่3สิงหาคมว่า ทาง ทีโอที ได้รับหนังสือจาก รมว. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร(ไอซีที) ถึงนโยบายการดำเนินการตาม โครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ว่า ในการดึงนักลงทุนร่วมลงทุนโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ควรเป็นการลงทุนในลัษณะร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และเพื่อให้การลงทุนในโครงการดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงควรให้มีการประกาศเชิญชวนยังรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่มีความพร้อม และมีศักยภาพในการร่วมลงทุน อย่างคลอบคลุม
นอกจากนี้ให้พิจารเงื่อนไข ข้อตกลง หรือสัญญาใดๆ ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้บริการ และต้องไม่เป็นข้อจำกัดต่อการดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของทีโอที ในอนาคต ทั้งด้านการพัฒนาเทคโนโลยี หรือกการแสวงหาผู้ร่วมลงุทนรายใหม่ ประกอบกับต้องมีข้อตกลงเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับทีโอที เพื่อจักให้บริษัทฯ สามารถนำไปพัฒนาองค์กรต่อไปได้ด้วย
" การดำเนินการในทุกขั้นตอนของโครงการ ไอซีที เห็นว่า ควรต้องดำเนินการให้เกิดความโปร่งใส และเป็นธรรมต่อผู้ร่วมลงทุนทุกรายด้วยความเสมอภาค อีกทั้งควรดำเนินการวิเคราะห์ กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยความรอบครอบและรัดกุม เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง"
ทั้งนี้การดำเนินโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ของ ทีโอที ที่มี พ.อ.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการบริษัท ทีโอที ในฐานะประธานกรรมการนโยบายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 G ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเตรียมแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี อยู่
นายชิต กล่าวอีกว่า ที่ประชุมบอร์ด ทีโอที ยังหารือกรณีการชำระค่าซื้อหุ้นคืนของกิจการร่วมค้าไทยโมบาย จำนวน 42% (คิดเป็น เงิน 2,400 ล้านบาท) จาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) นั้น มีมติทางบอร์ด กสท ว่า ทาง กสท ขอกลับไปทบทวนการหารืออีกรอบใน เรื่องจำนวนเงินที่ ทีโอที ได้เสนอซื้อหุ้นคืนจาก กสทฯว่ามีความเหมาะสมเพียงใด
" การซื้อหุ้นไทยโมบายจาก กสท นั้นถือได้ว่าเป็นการอัดยายซื้อขนมยาย ถ้าทางกสท.ไม่ขายให้นั้น ก็ต้องมาร่วมกันชำระหนี้สินที่มีอยู่ของไทยโมบายร่วมกับ ทีโอทีด้วยกัน"
นายฐากร ตันฑสิทธิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า กรณีเลขหมายโทรศัพท์ที่ขาดตลาดนั้นพบว่า เกิดจากสาเหตุผู้ประกอบการใช้ทรัพยากรอย่างไม่เกิดประโยชน์ อาทิ การแจกเลขหมาย เป็นต้น ทำให้ที่ผ่านมา กทช. ต้องทำการศึกษาว่าภายในระยะเวลา 1 ปีจะมีการใช้เลขหมายจำนวนเท่าไหร่ และจึงนำข้อมูลดังกล่าวไปตั้งกรอบการจัดสรรเลขหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการทุกราย ทั้งนี้จากการศึกษาผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่พบว่าภายในระยะ 1 ปีจะมีการใช้เลข หมายจำนวน10 ล้านเลขหมาย ซึ่งปีนี้ กทช.ได้จัดสรรเลขหมายให้กับผู้ประกอบการไปแล้วประมาณ 7 ล้านเลขหมาย โดยล่าสุด กทช.ได้อนุมัติเลขหมายให้กับบริษัท ทรูมูฟ จำกัด จำนวน 1 ล้านเลขหมายจากที่ได้ขอมาเป็นจำนวน 1.5 ล้านเลขหมาย
"ผู้ประกอบการมีการใช้ทรัพยากรอย่างไม่เกิดประโยชน์ทำให้เลขหมายขาดตลาด ซึ่งปัจจุบันได้เกิดประชานิยมไปแล้วที่ผู้บริโภคจะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 2-3 เลขหมายต่อ 1 ราย "นายฐากรกล่าว
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ 1 กันยายน 2547 กทช.ได้อนุมัติเลขหมายให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งผลให้ในตลาดขณะนี้มีเลขหมายรวมแล้วกว่า 66.38 ล้านเลขหมาย โดยปัจจุบันตลาดรวมผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีอยู่ประมาณ 40 ล้านเลขหมาย
http://www.naewna.com/news.asp?ID=70231
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/08/07
โพสต์ที่ 41
ไออีซี+บลิส-เทล+เอ็มลิ้งค์ เปิดยุค (มือถือ) รวมตัวเราอยู่
24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 17:57:00
สถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจ ที่ยังไม่สามารถสร้างความ "มั่นใจ" ในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค รวมถึงการระบาดของมือถือปลอม ที่หลายๆ คนเต็มใจซื้อเพราะ "ราคา" จูงใจกว่าเครื่องแท้ กำลังเพิ่มความกดดันให้กับธุรกิจค้าปลีกมือถือของประเทศไทย ในการรักษากำไรที่อยู่ในหลักต่ำสิบ และการชูความแตกต่างและคุ้มค่า ของการซื้อเครื่องจากศูนย์บริการอย่างเป็นทางการ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ล่าสุด ไออีซี บลิส-เทล และเอ็มลิ้งค์ ผู้ค้ามือถือที่ส่วนแบ่งการตลาดรวมกันไม่ต่ำกว่า 30% ก็เดินหน้า "ผ่าตัด" โครงสร้างตลาด เปิดปฐมบทการจับมือกันเป็น "ครั้งแรก" ในประวัติศาสตร์ธุรกิจมือถือไทย ที่ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 6 แสนเครื่องต่อเดือน และมูลค่าตลาดรวม 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี
นายสิทธิศักดิ์ อินทรประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บมจ. อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง (ไออีซี) กล่าวว่า ทั้ง 3 บริษัทได้นำร่องทำแคมเปญการตลาดร่วมกัน (โค-โปรโมชั่น) ด้วยงบรวมไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
โดยความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุน ทั้งในด้านแคมเปญการตลาด การเพิ่มอำนาจต่อรองกับผู้ผลิต การขอการสนับสนุนจากเจ้าของแบรนด์ และราคาเครื่อง เนื่องจากจะมีการรวมกันสั่งซื้อเครื่องเป็นล็อตใหญ่ ซึ่งต้นทุนที่ลดลงไป ก็จะคืนให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบของการตั้งราคาเครื่อง และการพัฒนางานบริการ
ภายใต้แคมเปญร่วมครั้งนี้ ลูกค้าที่ซื้อมือถือจากช่องทางจัดจำหน่ายกว่า 1 พันแห่งของพันธมิตรในกลุ่ม ซึ่งครอบคลุม โมบาย อีซี่ ของไออีซี, เอ็ม ช็อป และเทเลแม็กซ์ ของเอ็มลิ้งค์ และบลิส-เทล จะได้รับโปรโมชั่นการตลาดเหมือนกันจากทุกช็อป และกรณีที่มีปัญหาก็สามารถเข้าไปรับบริการได้จากทุกช็อปเช่นกัน จากเดิมที่จะใช้บริการได้จากร้านที่ซื้อเครื่องไปเท่านั้น
"ปัจจุบันทั้ง 3 รายมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันประมาณ 30% ซึ่งถ้าเราทำอีก 10-15% ก็จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจค้าปลีกมือถือได้" นายสิทธิศักดิ์กล่าว
ยังไม่ถึงขั้นแลกหุ้นเอ็มลิ้งค์
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของเอ็มลิ้งค์ กำลังถูกจับตามองว่า จะเป็นก้าวแรกที่จะต่อยอดไปสู่การแลกหุ้นหรือควบรวมกิจการ อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับไออีซีและบลิส-เทลหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจค้าปลีกมือถือ เป็นตลาดที่การแข่งขันค่อนข้างดุเดือด รวมทั้งเผชิญแรงกดดันจาก "กำไร" ที่ลดต่ำเรื่อยๆ จนมาอยู่ที่อัตราเฉลี่ย 3-5% ต่อเครื่อง
เนื่องจากการขยายตัวของตลาดมือถือในไทย ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด ตามแรงอัดฉีดด้านเครือข่ายของผู้ให้บริการ และยังมีช่องว่างอีกมาก เทียบกับตลาดในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ที่อิ่มตัวแล้ว ดังนั้นมือถือรุ่นที่ขายดีในตลาดรวม ก็ยังเป็นเครื่องระดับเบสิกโฟน ที่ราคาหลักพันบาทต้นๆ ทำให้มีส่วนต่างของกำไรไม่มากนัก
นายสิทธิศักดิ์ ย้ำว่า ความร่วมมือครั้งนี้ ยังอยู่ในระดับการดึงร้านค้าปลีกของพันธมิตรทั้ง 3 ราย เข้ามารวมกัน ซึ่งต่อไปอาจมองถึงแนวทางลดต้นทุนในส่วนของพื้นที่เช่าของหน้าร้าน ส่วนการเข้าไปแลกหุ้นในเอ็มลิ้งค์นั้น ยังไม่มีการพูดถึง
อย่างไรก็ตาม กำลังมองโอกาสที่จะขยายความร่วมมือการสั่งซื้อ ไปถึงด้านโลจิสติกส์ด้วย เพราะปัจจุบันทั้งโมบาย อีซี่ และบลิส-เทล ต่างก็เอาท์ซอร์สงานโลจิสติกส์ไปให้กับบริษัท อีซี่ ฟิกซ์
"การจัดส่งมือถือของทุกราย ต่างก็มีเส้นทางร่วมกันอยู่แล้ว ซึ่งแทนที่รถแต่ละคันจะไปส่งสินค้าให้แต่ละร้าน ก็รวมกันไปส่งทีเดียว ตรงนี้จะลดต้นทุนได้มาก ซึ่งในธุรกิจนี้แค่กำไรต่อเครื่องขยับขึ้น 1% ก็ช่วยได้แล้ว" นายสิทธิศักดิ์กล่าว
สร้างแบรนด์ลอยัลตี้ผ่าน "คุณภาพ"
เขากล่าวด้วยว่า การสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ค้ามือถือรายหลักๆ ในตลาด จะทำให้ลูกค้าได้รับ "บริการ" และความมั่นใจมากขึ้น กับการซื้อโทรศัพท์มือถือจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และในระยะยาวจะทำให้ฐานลูกค้าเดิม กลับมาซื้อซ้ำเพราะความเชื่อถือ
ทั้งนี้ ในธุรกิจค้าปลีกมือถือ หากสร้างความภักดี (ลอยัลตี้) ให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อได้ ในอนาคตก็จะมีรายได้และกำไรจากการขายเครื่องเพิ่มขึ้น เพราะโดยพฤติกรรมผู้ใช้มือถือนั้น เมื่อเปลี่ยนเครื่องก็จะซื้อรุ่นที่มีคุณสมบัติและราคาสูงขึ้น
ในส่วนของไออีซีเอง ก็มองว่า "คุณภาพ" จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่จะสนับสนุนเป้าหมายในการเป็น "One best retailing business" ในธุรกิจค้าปลีกมือถือ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/2 ... wsid=85897
24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 17:57:00
สถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจ ที่ยังไม่สามารถสร้างความ "มั่นใจ" ในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค รวมถึงการระบาดของมือถือปลอม ที่หลายๆ คนเต็มใจซื้อเพราะ "ราคา" จูงใจกว่าเครื่องแท้ กำลังเพิ่มความกดดันให้กับธุรกิจค้าปลีกมือถือของประเทศไทย ในการรักษากำไรที่อยู่ในหลักต่ำสิบ และการชูความแตกต่างและคุ้มค่า ของการซื้อเครื่องจากศูนย์บริการอย่างเป็นทางการ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ล่าสุด ไออีซี บลิส-เทล และเอ็มลิ้งค์ ผู้ค้ามือถือที่ส่วนแบ่งการตลาดรวมกันไม่ต่ำกว่า 30% ก็เดินหน้า "ผ่าตัด" โครงสร้างตลาด เปิดปฐมบทการจับมือกันเป็น "ครั้งแรก" ในประวัติศาสตร์ธุรกิจมือถือไทย ที่ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 6 แสนเครื่องต่อเดือน และมูลค่าตลาดรวม 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี
นายสิทธิศักดิ์ อินทรประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บมจ. อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง (ไออีซี) กล่าวว่า ทั้ง 3 บริษัทได้นำร่องทำแคมเปญการตลาดร่วมกัน (โค-โปรโมชั่น) ด้วยงบรวมไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
โดยความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุน ทั้งในด้านแคมเปญการตลาด การเพิ่มอำนาจต่อรองกับผู้ผลิต การขอการสนับสนุนจากเจ้าของแบรนด์ และราคาเครื่อง เนื่องจากจะมีการรวมกันสั่งซื้อเครื่องเป็นล็อตใหญ่ ซึ่งต้นทุนที่ลดลงไป ก็จะคืนให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบของการตั้งราคาเครื่อง และการพัฒนางานบริการ
ภายใต้แคมเปญร่วมครั้งนี้ ลูกค้าที่ซื้อมือถือจากช่องทางจัดจำหน่ายกว่า 1 พันแห่งของพันธมิตรในกลุ่ม ซึ่งครอบคลุม โมบาย อีซี่ ของไออีซี, เอ็ม ช็อป และเทเลแม็กซ์ ของเอ็มลิ้งค์ และบลิส-เทล จะได้รับโปรโมชั่นการตลาดเหมือนกันจากทุกช็อป และกรณีที่มีปัญหาก็สามารถเข้าไปรับบริการได้จากทุกช็อปเช่นกัน จากเดิมที่จะใช้บริการได้จากร้านที่ซื้อเครื่องไปเท่านั้น
"ปัจจุบันทั้ง 3 รายมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันประมาณ 30% ซึ่งถ้าเราทำอีก 10-15% ก็จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจค้าปลีกมือถือได้" นายสิทธิศักดิ์กล่าว
ยังไม่ถึงขั้นแลกหุ้นเอ็มลิ้งค์
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของเอ็มลิ้งค์ กำลังถูกจับตามองว่า จะเป็นก้าวแรกที่จะต่อยอดไปสู่การแลกหุ้นหรือควบรวมกิจการ อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับไออีซีและบลิส-เทลหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจค้าปลีกมือถือ เป็นตลาดที่การแข่งขันค่อนข้างดุเดือด รวมทั้งเผชิญแรงกดดันจาก "กำไร" ที่ลดต่ำเรื่อยๆ จนมาอยู่ที่อัตราเฉลี่ย 3-5% ต่อเครื่อง
เนื่องจากการขยายตัวของตลาดมือถือในไทย ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด ตามแรงอัดฉีดด้านเครือข่ายของผู้ให้บริการ และยังมีช่องว่างอีกมาก เทียบกับตลาดในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ที่อิ่มตัวแล้ว ดังนั้นมือถือรุ่นที่ขายดีในตลาดรวม ก็ยังเป็นเครื่องระดับเบสิกโฟน ที่ราคาหลักพันบาทต้นๆ ทำให้มีส่วนต่างของกำไรไม่มากนัก
นายสิทธิศักดิ์ ย้ำว่า ความร่วมมือครั้งนี้ ยังอยู่ในระดับการดึงร้านค้าปลีกของพันธมิตรทั้ง 3 ราย เข้ามารวมกัน ซึ่งต่อไปอาจมองถึงแนวทางลดต้นทุนในส่วนของพื้นที่เช่าของหน้าร้าน ส่วนการเข้าไปแลกหุ้นในเอ็มลิ้งค์นั้น ยังไม่มีการพูดถึง
อย่างไรก็ตาม กำลังมองโอกาสที่จะขยายความร่วมมือการสั่งซื้อ ไปถึงด้านโลจิสติกส์ด้วย เพราะปัจจุบันทั้งโมบาย อีซี่ และบลิส-เทล ต่างก็เอาท์ซอร์สงานโลจิสติกส์ไปให้กับบริษัท อีซี่ ฟิกซ์
"การจัดส่งมือถือของทุกราย ต่างก็มีเส้นทางร่วมกันอยู่แล้ว ซึ่งแทนที่รถแต่ละคันจะไปส่งสินค้าให้แต่ละร้าน ก็รวมกันไปส่งทีเดียว ตรงนี้จะลดต้นทุนได้มาก ซึ่งในธุรกิจนี้แค่กำไรต่อเครื่องขยับขึ้น 1% ก็ช่วยได้แล้ว" นายสิทธิศักดิ์กล่าว
สร้างแบรนด์ลอยัลตี้ผ่าน "คุณภาพ"
เขากล่าวด้วยว่า การสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ค้ามือถือรายหลักๆ ในตลาด จะทำให้ลูกค้าได้รับ "บริการ" และความมั่นใจมากขึ้น กับการซื้อโทรศัพท์มือถือจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และในระยะยาวจะทำให้ฐานลูกค้าเดิม กลับมาซื้อซ้ำเพราะความเชื่อถือ
ทั้งนี้ ในธุรกิจค้าปลีกมือถือ หากสร้างความภักดี (ลอยัลตี้) ให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อได้ ในอนาคตก็จะมีรายได้และกำไรจากการขายเครื่องเพิ่มขึ้น เพราะโดยพฤติกรรมผู้ใช้มือถือนั้น เมื่อเปลี่ยนเครื่องก็จะซื้อรุ่นที่มีคุณสมบัติและราคาสูงขึ้น
ในส่วนของไออีซีเอง ก็มองว่า "คุณภาพ" จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่จะสนับสนุนเป้าหมายในการเป็น "One best retailing business" ในธุรกิจค้าปลีกมือถือ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/2 ... wsid=85897
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/08/07
โพสต์ที่ 42
ไอบีเอ็มเผย 5 นวัตกรรมขนส่งอนาคต
1 สิงหาคม พ.ศ. 2550 10:22:00
บริษัท ไอบีเอ็ม ได้เปิดเผยผลการศึกษาของ US News and World Report ที่คาดการณ์ว่า ปริมาณผู้โดยสารทางอากาศจะเพิ่มจากปัจจุบันเป็นสองเท่าตัว ภายในปี ค.ศ. 2020 หรือคิดอัตราเพิ่มเฉลี่ยทั่วโลก 7 พันล้านคนต่อปี ขณะที่การจราจรติดขัดในปัจจุบัน เผาผลาญเชื้อเพลิงจำนวนถึง 9 พันล้านแกลลอนต่อปี
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ทั้งนี้ ห้องทดลองของไอบีเอ็ม ได้เปิดเผยถึงแนวโน้ม 5 นวัตกรรม ที่จะเข้ามามีบทบาทในยุคที่ปริมาณการเดินทางและขนส่งเพิ่มขึ้น โดยประกอบด้วย
1. เทคโนโลยีช่วยคนขับ (Collaborative Driving) ทำให้รถยนต์สามารถรับรู้เมื่อมียานพาหนะอื่นๆ เข้ามาใกล้ และหลีกเลี่ยงสภาพถนนที่เป็นอันตรายในการขับขี่
โดยเทคโนโลยีนี้ จะทำให้รถทำงานเหมือนมีปฏิกิริยาตอบกลับ หรือ reflexes ยานพาหนะจะแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และกับโครงสร้างพื้นฐานที่ติดตั้งไว้บนท้องถนน รวมทั้งแจ้งเตือนให้ผู้ขับรับรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น
2. ผู้ที่เดินทางอยู่บนท้องถนนจะได้รับการแจ้งล่วงหน้า ในกรณีที่รถไฟหรือรถประจำทางจะมาช้ากว่ากำหนดทางโทรศัพท์มือถือ ด้วยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ จีพีเอส และเทคโนโลยีการสื่อสารที่จะติดตั้งบนรถไฟหรือรถประจำทาง และสามารถแจ้งไปยังผู้โดยสารหากมีการเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถอีกด้วย
3. เทคโนโลยีด้านคำสั่งเสียง (Voice Recognition System) ที่ซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ผู้ขับขี่สามารถได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง อ่านและตอบอีเมล การค้นหาเส้นทางการเดินรถ การหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ รวมไปถึงการใช้คำสั่งเล่นเครื่องเล่นดีวีดี เลือกเพลงที่อยากฟังผ่านการใช้คำสั่งเสียง ที่ทำได้ง่ายขึ้น
4. ระบบจราจรอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหารถติดที่กำลังเป็นปัญหาของเมืองใหญ่ทั่วโลก โดยทำหน้าที่ควบคุมสัญญาณไฟจราจร สั่งเปลี่ยนไฟให้สอดคล้องกับสภาพการใช้ถนนได้แบบเรียลไทม์ และจัดการการจราจรให้กับรถฉุกเฉิน
ทั้งนี้ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ จีพีเอส และดาวเทียม ยังสามารถให้ข้อมูลแก่ผู้ขับขี่ว่า ถนนเส้นไหนคับคั่งและให้หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น หรือลานจอดรถที่ไหนเต็มในระหว่างช่วงที่มีผู้มาใช้บริการกันมากๆ หากเทคโนโลยีสามารถจัดการกับการจราจรที่คับคั่งและติดขัดได้ ก็จะช่วยลดปัญหามลพิษ และเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนได้อีกทางหนึ่ง
และ 5. เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัยให้นักเดินทาง ในกรณีการเปลี่ยนแปลงเส้นทาง และระบบจัดการกรณีกระเป๋าเดินทางสูญหาย เพราะระบบอัจฉริยะจะรู้ล่วงหน้าหากเครื่องบินล่าช้าจากกำหนด และทำหน้าที่สับเปลี่ยนประตูที่เครื่องจะลงจอดให้สอดคล้องได้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=87098
1 สิงหาคม พ.ศ. 2550 10:22:00
บริษัท ไอบีเอ็ม ได้เปิดเผยผลการศึกษาของ US News and World Report ที่คาดการณ์ว่า ปริมาณผู้โดยสารทางอากาศจะเพิ่มจากปัจจุบันเป็นสองเท่าตัว ภายในปี ค.ศ. 2020 หรือคิดอัตราเพิ่มเฉลี่ยทั่วโลก 7 พันล้านคนต่อปี ขณะที่การจราจรติดขัดในปัจจุบัน เผาผลาญเชื้อเพลิงจำนวนถึง 9 พันล้านแกลลอนต่อปี
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ทั้งนี้ ห้องทดลองของไอบีเอ็ม ได้เปิดเผยถึงแนวโน้ม 5 นวัตกรรม ที่จะเข้ามามีบทบาทในยุคที่ปริมาณการเดินทางและขนส่งเพิ่มขึ้น โดยประกอบด้วย
1. เทคโนโลยีช่วยคนขับ (Collaborative Driving) ทำให้รถยนต์สามารถรับรู้เมื่อมียานพาหนะอื่นๆ เข้ามาใกล้ และหลีกเลี่ยงสภาพถนนที่เป็นอันตรายในการขับขี่
โดยเทคโนโลยีนี้ จะทำให้รถทำงานเหมือนมีปฏิกิริยาตอบกลับ หรือ reflexes ยานพาหนะจะแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และกับโครงสร้างพื้นฐานที่ติดตั้งไว้บนท้องถนน รวมทั้งแจ้งเตือนให้ผู้ขับรับรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น
2. ผู้ที่เดินทางอยู่บนท้องถนนจะได้รับการแจ้งล่วงหน้า ในกรณีที่รถไฟหรือรถประจำทางจะมาช้ากว่ากำหนดทางโทรศัพท์มือถือ ด้วยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ จีพีเอส และเทคโนโลยีการสื่อสารที่จะติดตั้งบนรถไฟหรือรถประจำทาง และสามารถแจ้งไปยังผู้โดยสารหากมีการเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถอีกด้วย
3. เทคโนโลยีด้านคำสั่งเสียง (Voice Recognition System) ที่ซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ผู้ขับขี่สามารถได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง อ่านและตอบอีเมล การค้นหาเส้นทางการเดินรถ การหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ รวมไปถึงการใช้คำสั่งเล่นเครื่องเล่นดีวีดี เลือกเพลงที่อยากฟังผ่านการใช้คำสั่งเสียง ที่ทำได้ง่ายขึ้น
4. ระบบจราจรอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหารถติดที่กำลังเป็นปัญหาของเมืองใหญ่ทั่วโลก โดยทำหน้าที่ควบคุมสัญญาณไฟจราจร สั่งเปลี่ยนไฟให้สอดคล้องกับสภาพการใช้ถนนได้แบบเรียลไทม์ และจัดการการจราจรให้กับรถฉุกเฉิน
ทั้งนี้ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ จีพีเอส และดาวเทียม ยังสามารถให้ข้อมูลแก่ผู้ขับขี่ว่า ถนนเส้นไหนคับคั่งและให้หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น หรือลานจอดรถที่ไหนเต็มในระหว่างช่วงที่มีผู้มาใช้บริการกันมากๆ หากเทคโนโลยีสามารถจัดการกับการจราจรที่คับคั่งและติดขัดได้ ก็จะช่วยลดปัญหามลพิษ และเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนได้อีกทางหนึ่ง
และ 5. เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัยให้นักเดินทาง ในกรณีการเปลี่ยนแปลงเส้นทาง และระบบจัดการกรณีกระเป๋าเดินทางสูญหาย เพราะระบบอัจฉริยะจะรู้ล่วงหน้าหากเครื่องบินล่าช้าจากกำหนด และทำหน้าที่สับเปลี่ยนประตูที่เครื่องจะลงจอดให้สอดคล้องได้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=87098
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/08/07
โพสต์ที่ 43
ทรูส่งโซลูชั่น "เวิร์คสมาร์ท" ต่อยอดสำนักงานออนไลน์
3 สิงหาคม พ.ศ. 2550 20:11:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายไพบูลย์ ต.ศิริวานิช ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป ด้านกลุ่มลูกค้าบุคคล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรูเปิดตัว "เวิร์คสมาร์ท" แพ็คเกจที่รวมโซลูชั่นสำคัญ สำหรับการทำงานให้คนทั่วไป ใช้งานได้เสมือนอยู่ในองค์กร เพื่อต่อยอดจากบริการที่กลุ่มทรูมีอยู่
ที่ผ่านมาโซลูชั่นส่วนใหญ่ จะเน้นกลุ่มผู้ใช้องค์กร โดยยังมีช่องว่างในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปซึ่งมีแนวโน้มทำงานนอกองค์กรมากขึ้น และสอดคล้องกับผลสำรวจของทรู ซึ่งพบว่าแม้จะการทำงานนอกสถานที่ แต่ก็ยังต้องการโซลูชั่นพื้นฐานในองค์กร เช่น แฟกซ์ และการพิมพ์ในสั่งซื้อ
ทั้งนี้ แพ็คเกจดังกล่าว เป็นการฉีกแนวจากการทำธุรกิจออนไลน์ "อี-คอมเมิร์ซ" ซึ่งเน้นตลาดในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย มาเปิดเวบไซต์จำหน่ายสินค้าและบริการ แต่ผู้ใช้ "เวิร์คสมาร์ท" จะสามารถใช้บริการโซลูชั่นในสำนักงาน
เช่น แฟกซ์ผ่านอีเมล, เอสเอ็มเอสในนามองค์กร-บุคคล และสร้างเวบส่วนตัวได้โดยไม่ต้องขอโดเมน เนมใหม่ ใช้งานได้ 24 ชั่วโมงผ่านเวบ www.trueworksmart.com ไม่มีค่าธรรมเนียม
เขาเชื่อว่า รูปแบบธุรกิจดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) เพราะไทยมีประชากรในวัยแรงงานมากกว่า 80% ซึ่งสามารถใช้โซลูชั่นใหม่ เป็นทางเลือกในการทำธุรกิจผ่านออนไลน์เป็นรายได้เสริม
นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนการใช้งานอินเทอร์เน็ตในระยะยาว เนื่องจากการใช้โซลูชั่นดังกล่าวจะต้องอาศัยเครือข่ายในการทำงาน โดยตั้งเป้าเจาะฐานลูกค้าของทรูทั้งในระบบไฮ-สปีด และไดอัล-อัพ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 1.3 และ 5.2 แสนราย ตามลำดับ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=87679
3 สิงหาคม พ.ศ. 2550 20:11:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายไพบูลย์ ต.ศิริวานิช ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป ด้านกลุ่มลูกค้าบุคคล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรูเปิดตัว "เวิร์คสมาร์ท" แพ็คเกจที่รวมโซลูชั่นสำคัญ สำหรับการทำงานให้คนทั่วไป ใช้งานได้เสมือนอยู่ในองค์กร เพื่อต่อยอดจากบริการที่กลุ่มทรูมีอยู่
ที่ผ่านมาโซลูชั่นส่วนใหญ่ จะเน้นกลุ่มผู้ใช้องค์กร โดยยังมีช่องว่างในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปซึ่งมีแนวโน้มทำงานนอกองค์กรมากขึ้น และสอดคล้องกับผลสำรวจของทรู ซึ่งพบว่าแม้จะการทำงานนอกสถานที่ แต่ก็ยังต้องการโซลูชั่นพื้นฐานในองค์กร เช่น แฟกซ์ และการพิมพ์ในสั่งซื้อ
ทั้งนี้ แพ็คเกจดังกล่าว เป็นการฉีกแนวจากการทำธุรกิจออนไลน์ "อี-คอมเมิร์ซ" ซึ่งเน้นตลาดในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย มาเปิดเวบไซต์จำหน่ายสินค้าและบริการ แต่ผู้ใช้ "เวิร์คสมาร์ท" จะสามารถใช้บริการโซลูชั่นในสำนักงาน
เช่น แฟกซ์ผ่านอีเมล, เอสเอ็มเอสในนามองค์กร-บุคคล และสร้างเวบส่วนตัวได้โดยไม่ต้องขอโดเมน เนมใหม่ ใช้งานได้ 24 ชั่วโมงผ่านเวบ www.trueworksmart.com ไม่มีค่าธรรมเนียม
เขาเชื่อว่า รูปแบบธุรกิจดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) เพราะไทยมีประชากรในวัยแรงงานมากกว่า 80% ซึ่งสามารถใช้โซลูชั่นใหม่ เป็นทางเลือกในการทำธุรกิจผ่านออนไลน์เป็นรายได้เสริม
นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนการใช้งานอินเทอร์เน็ตในระยะยาว เนื่องจากการใช้โซลูชั่นดังกล่าวจะต้องอาศัยเครือข่ายในการทำงาน โดยตั้งเป้าเจาะฐานลูกค้าของทรูทั้งในระบบไฮ-สปีด และไดอัล-อัพ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 1.3 และ 5.2 แสนราย ตามลำดับ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=87679
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/08/07
โพสต์ที่ 44
แนะธุรกิจไทยลงทุนสารสนเทศรับศก.ฟื้น
โพสต์ทูเดย์ เอคเซนเชอร์กระตุ้นผู้ประกอบการ ลงทุนระบบสารสนเทศหวังปีหน้าเศรษฐกิจฟื้นพร้อมลุยทันที
นางสมพิศ กิจเจริญ กรรมการ บริษัท เอคเซนเชอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะยังไม่ดีนัก แต่เชื่อว่าการลงทุนระบบสารสนเทศจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงปีหน้า เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจของไทยจะเริ่มกระเตื้องในทิศทางที่ดีขึ้นในปีหน้า
ดังนั้น เมื่อมองว่าภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะดีขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมในระบบดังกล่าว ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดโลกที่ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนระบบสารสนเทศเฉพาะด้านเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าส่วนงานด้านการให้บริการลูกค้าและการจัดระบบการทำงานภายในองค์กรน่าจะเป็นระบบที่มีการลงทุนเพิ่มเติมมากที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ลงทุนในส่วนของระบบพื้นฐานไว้แล้ว
นอกจากนี้ ยังคาดว่ากลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและธนาคารน่าจะเป็นธุรกิจที่มีการลงทุนมากที่สุด ขณะที่กลุ่มธุรกิจผลิตสินค้าและรีสอร์ตก็มีความสนใจที่จะลงทุนเพิ่มเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มการลงทุนระบบสารสนเทศของผู้ประกอบการในประเทศไทยขณะนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ พบว่าเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากภาวะของเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ผู้ประกอบการยังเฝ้ารอดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
แม้ว่าในปีนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่เอคเซนเชอร์ต้องการแนะนำให้ผู้ประกอบการยังคงลงทุนต่อไป เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตอย่างต่อเนื่อง เพราะหากชะลอการลงทุน และรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอาจปรับตัวไม่ทันการแข่งขัน นางสมพิศ กล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนในระบบสารสนเทศนั้น ตัวเลขการลงทุนเบื้องต้นจะอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขอบข่ายของระบบที่ต้องการ และคาดว่าจะคุ้มทุนภายใน 3-5 ปี ซึ่งบริษัทจะเข้ามาให้บริการประเมินตัวเลขความคุ้มค่าของการลงทุนให้กับลูกค้า เช่น การลงทุนในระบบสารสนเทศด้านคลังสินค้า จะต้องสามารถเพิ่มประสิทธิภาพไม่น้อยกว่า 20-30%
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่ผ่านมาลูกค้าองค์กรก็มักจะได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนในระบบสารสนเทศด้านต่างๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ตลอดจนการรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183457
โพสต์ทูเดย์ เอคเซนเชอร์กระตุ้นผู้ประกอบการ ลงทุนระบบสารสนเทศหวังปีหน้าเศรษฐกิจฟื้นพร้อมลุยทันที
นางสมพิศ กิจเจริญ กรรมการ บริษัท เอคเซนเชอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะยังไม่ดีนัก แต่เชื่อว่าการลงทุนระบบสารสนเทศจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงปีหน้า เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจของไทยจะเริ่มกระเตื้องในทิศทางที่ดีขึ้นในปีหน้า
ดังนั้น เมื่อมองว่าภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะดีขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมในระบบดังกล่าว ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดโลกที่ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนระบบสารสนเทศเฉพาะด้านเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าส่วนงานด้านการให้บริการลูกค้าและการจัดระบบการทำงานภายในองค์กรน่าจะเป็นระบบที่มีการลงทุนเพิ่มเติมมากที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ลงทุนในส่วนของระบบพื้นฐานไว้แล้ว
นอกจากนี้ ยังคาดว่ากลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและธนาคารน่าจะเป็นธุรกิจที่มีการลงทุนมากที่สุด ขณะที่กลุ่มธุรกิจผลิตสินค้าและรีสอร์ตก็มีความสนใจที่จะลงทุนเพิ่มเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มการลงทุนระบบสารสนเทศของผู้ประกอบการในประเทศไทยขณะนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ พบว่าเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากภาวะของเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ผู้ประกอบการยังเฝ้ารอดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
แม้ว่าในปีนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่เอคเซนเชอร์ต้องการแนะนำให้ผู้ประกอบการยังคงลงทุนต่อไป เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตอย่างต่อเนื่อง เพราะหากชะลอการลงทุน และรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอาจปรับตัวไม่ทันการแข่งขัน นางสมพิศ กล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนในระบบสารสนเทศนั้น ตัวเลขการลงทุนเบื้องต้นจะอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขอบข่ายของระบบที่ต้องการ และคาดว่าจะคุ้มทุนภายใน 3-5 ปี ซึ่งบริษัทจะเข้ามาให้บริการประเมินตัวเลขความคุ้มค่าของการลงทุนให้กับลูกค้า เช่น การลงทุนในระบบสารสนเทศด้านคลังสินค้า จะต้องสามารถเพิ่มประสิทธิภาพไม่น้อยกว่า 20-30%
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่ผ่านมาลูกค้าองค์กรก็มักจะได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนในระบบสารสนเทศด้านต่างๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ตลอดจนการรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183457
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/08/07
โพสต์ที่ 45
"ไอซีที"เบรกใช้งบพันล้าน จัดซื้อจานดาวเทียมชินแซทฯ
พร้อมโครงการ "บรอดแบนด์"
ข้องใจใช้วิธีพิเศษ/อ้างแพงไป
"สมควร"เฮ!รีเทิรน์นั่งเก้าอี้เอ็มดี
รมว.ไอซีที สั่งชะลอโครงการจัดซื้อจานดาวเทียม "ชิน แซทเทลไลท์"600ล้าน ชี้แพงไป พร้อมเบรก "ทีโอที"จัดซื้อโครงการติดตั้งอินเตอร์เนตบรอดแบนด์ มูลค่าพันล้านด้วยวิธีพิเศษ ขณะที่บอร์ดอ้าง เหตุเป็นโครงการความมั่นคง ด้าน "สมควร"รีเทิรน์ ขึ้นนั่งเก้าอี้ เอ็มดี อีกรอบ หลัง ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที)ว่า นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.ไอซีที ได้สั่งการชะลอโครงการดตั้งอุปกรณ์ชุมสาย และโครงข่ายรองรับการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบรนด์) ทั่วประเทศ มูลค่า 900-1000 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการ(บอร์ด)บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้อนุมัติไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
นายสิทธิชัย กล่าวว่า การที่ให้ ทีโอที ชะลอการดำเนินงาน ไปก่อน เนื่องจากเรื่องดังกล่าวต้องมีการตรวจสอบถึงสาเหตุที่ต้องใช้วิธีการจัดซื้อวิธีพิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะควรจะเปิดกว้างให้ทุกรายได้มีโอกาสเข้าร่วมประมูล
นอกจากนี้ กระทรวงไอซีที ยังได้ออกคำสั่งให้ชะลอโครงการจัดซื้อจานรับสัญญาณดาวเทียม จาก บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ มูลค่า 600 ล้านบาท เนื่องจากสัญญาการซื้อจานดาวเทียมนั้นได้บังคับให้ซื้อจาก ชิน แซทฯ เพียงรายเดียวเท่านั้นทั้งๆที่มีราคาสูงกว่ารายอื่นมาก แต่บอร์ด ทีโอที ไม่เคยแก้ไขสัญญาที่เสียเปรียบเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ กระทรวงไอซีที ต้องตรวจสอบ
"การที่ไอซีทีได้สั่งชะลอโครงการต่างๆนั้นเพราะมีสิทธิ์ ตรวจสอบโครงการที่เห็นว่าทำให้ ทีโอที เสียเปรียบ"
นอกจากนี้ นายสิทธิชัย ยังยืนยันว่า โครงการติดตั้งอุปกรณ์ชุมสายเพื่อความมั่นคงนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงบบริจาคให้กับกองทัพเพื่อซื้ออุปกรณ์ อิเลคทรอนิกส์ (งบลับ)มูลค่า 800 ล้านบาทตามที่เป็นข่าวอย่างแน่นอน
ด้านนาย ชิต เหล่าวัฒนา โฆษกบอร์ด ทีโอที กล่าวว่า โครงการขยายโครงข่ายบรอดแบนด์ นั้น ทีโอที จะดำเนินการให้ ทางทหารแทนการบริจาค เงิน 800 ล้านบาทบาท โดยใช้อุปกรณ์ และโครงข่ายที่มีอยู่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการทหารว่าจะนำปใช้ในด้านใด
มีรายงานข่าวแจ้งว่าจากมติการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทีโอที ระบุว่า สาเหตุที่ต้องจัดซื้อ ด้วยวิธีพิเศษเนื่องจากเป็นการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนงานด้านความมั่นคงให้สามารถสนับสนุนช่องการสื่อสารที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ให้กับหน่วยงานด้านความมั่นคง และรักษาความลับของทางราชการที่มีผลสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงแห่งชาติ
รมว.ไอซีทียัง กล่าวถึงกรณี ที่นายสมควร บรูมินเหนทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที ว่า ขณะนี้ ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครอง ฉุกเฉิน ให้นายสมควร บรูมินเหนทร์ มีสิทธิและอำนาจในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตามเดิม ส่งผลให้ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ ต้องกลับไปเป็นกรรมการ (บอร์ด) เพียงอย่างเดียว มีผลตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมเป็นต้นไป หรือจนกว่าศาลจะมีคำตัดสิน
ก่อนหน้านี้ บอร์ด ทีโอที ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมาให้ นายสมควร เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิชาการ ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการเซ็นเอกสาร หลังจาก สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีหนังสือด่วนให้ ตรวจสอบโครงการกิจการร่วมค้าไทยโมบายที่ทำทีโอที ขาดทุนถึง 8 พันล้านบาท ซึ่งตามหลักการบอร์ดต้องปรับตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกจนกว่าการตรวจสอบจะเสร็จสิ้น และให้ นายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ รักษาการแทน ซึ่งต่อมา บอร์ดได้ปรับให้นายวุฒิพงษ์ออกจากตำแหน่ง และให้ พ.อ.นที ทำหน้าที่รักษาการแทน
นายสมควร บรูมินเหนทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที กล่าวว่า ได้ยื่นฟ้อง ทีโอที ที่มีคำสั่งเปลี่ยนหน้าที่ความรับผิดชอบว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอคุ้มครองให้ทุกอย่างเหมือนเดิม จนกว่าศาลจะตัดสิน
"การที่ศาลมีคำสั่ง คุ้มครองฉุกเฉินนั้น ทำให้ สิทธิและอำนาจในการบริหารกลับมา เป็นเหมือนเดิม และอาจมีผลให้การเซ็นเอกสารก่อนหน้านี้ หรือตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา ก็ถือว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยเช่นกัน" นายสมควร กล่าว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=70586
พร้อมโครงการ "บรอดแบนด์"
ข้องใจใช้วิธีพิเศษ/อ้างแพงไป
"สมควร"เฮ!รีเทิรน์นั่งเก้าอี้เอ็มดี
รมว.ไอซีที สั่งชะลอโครงการจัดซื้อจานดาวเทียม "ชิน แซทเทลไลท์"600ล้าน ชี้แพงไป พร้อมเบรก "ทีโอที"จัดซื้อโครงการติดตั้งอินเตอร์เนตบรอดแบนด์ มูลค่าพันล้านด้วยวิธีพิเศษ ขณะที่บอร์ดอ้าง เหตุเป็นโครงการความมั่นคง ด้าน "สมควร"รีเทิรน์ ขึ้นนั่งเก้าอี้ เอ็มดี อีกรอบ หลัง ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที)ว่า นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.ไอซีที ได้สั่งการชะลอโครงการดตั้งอุปกรณ์ชุมสาย และโครงข่ายรองรับการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบรนด์) ทั่วประเทศ มูลค่า 900-1000 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการ(บอร์ด)บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้อนุมัติไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
นายสิทธิชัย กล่าวว่า การที่ให้ ทีโอที ชะลอการดำเนินงาน ไปก่อน เนื่องจากเรื่องดังกล่าวต้องมีการตรวจสอบถึงสาเหตุที่ต้องใช้วิธีการจัดซื้อวิธีพิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะควรจะเปิดกว้างให้ทุกรายได้มีโอกาสเข้าร่วมประมูล
นอกจากนี้ กระทรวงไอซีที ยังได้ออกคำสั่งให้ชะลอโครงการจัดซื้อจานรับสัญญาณดาวเทียม จาก บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ มูลค่า 600 ล้านบาท เนื่องจากสัญญาการซื้อจานดาวเทียมนั้นได้บังคับให้ซื้อจาก ชิน แซทฯ เพียงรายเดียวเท่านั้นทั้งๆที่มีราคาสูงกว่ารายอื่นมาก แต่บอร์ด ทีโอที ไม่เคยแก้ไขสัญญาที่เสียเปรียบเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ กระทรวงไอซีที ต้องตรวจสอบ
"การที่ไอซีทีได้สั่งชะลอโครงการต่างๆนั้นเพราะมีสิทธิ์ ตรวจสอบโครงการที่เห็นว่าทำให้ ทีโอที เสียเปรียบ"
นอกจากนี้ นายสิทธิชัย ยังยืนยันว่า โครงการติดตั้งอุปกรณ์ชุมสายเพื่อความมั่นคงนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงบบริจาคให้กับกองทัพเพื่อซื้ออุปกรณ์ อิเลคทรอนิกส์ (งบลับ)มูลค่า 800 ล้านบาทตามที่เป็นข่าวอย่างแน่นอน
ด้านนาย ชิต เหล่าวัฒนา โฆษกบอร์ด ทีโอที กล่าวว่า โครงการขยายโครงข่ายบรอดแบนด์ นั้น ทีโอที จะดำเนินการให้ ทางทหารแทนการบริจาค เงิน 800 ล้านบาทบาท โดยใช้อุปกรณ์ และโครงข่ายที่มีอยู่ ซึ่งขึ้นอยู่กับการทหารว่าจะนำปใช้ในด้านใด
มีรายงานข่าวแจ้งว่าจากมติการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทีโอที ระบุว่า สาเหตุที่ต้องจัดซื้อ ด้วยวิธีพิเศษเนื่องจากเป็นการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนงานด้านความมั่นคงให้สามารถสนับสนุนช่องการสื่อสารที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ให้กับหน่วยงานด้านความมั่นคง และรักษาความลับของทางราชการที่มีผลสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงแห่งชาติ
รมว.ไอซีทียัง กล่าวถึงกรณี ที่นายสมควร บรูมินเหนทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที ว่า ขณะนี้ ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครอง ฉุกเฉิน ให้นายสมควร บรูมินเหนทร์ มีสิทธิและอำนาจในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตามเดิม ส่งผลให้ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ ต้องกลับไปเป็นกรรมการ (บอร์ด) เพียงอย่างเดียว มีผลตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมเป็นต้นไป หรือจนกว่าศาลจะมีคำตัดสิน
ก่อนหน้านี้ บอร์ด ทีโอที ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมาให้ นายสมควร เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิชาการ ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการเซ็นเอกสาร หลังจาก สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีหนังสือด่วนให้ ตรวจสอบโครงการกิจการร่วมค้าไทยโมบายที่ทำทีโอที ขาดทุนถึง 8 พันล้านบาท ซึ่งตามหลักการบอร์ดต้องปรับตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกจนกว่าการตรวจสอบจะเสร็จสิ้น และให้ นายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ รักษาการแทน ซึ่งต่อมา บอร์ดได้ปรับให้นายวุฒิพงษ์ออกจากตำแหน่ง และให้ พ.อ.นที ทำหน้าที่รักษาการแทน
นายสมควร บรูมินเหนทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที กล่าวว่า ได้ยื่นฟ้อง ทีโอที ที่มีคำสั่งเปลี่ยนหน้าที่ความรับผิดชอบว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอคุ้มครองให้ทุกอย่างเหมือนเดิม จนกว่าศาลจะตัดสิน
"การที่ศาลมีคำสั่ง คุ้มครองฉุกเฉินนั้น ทำให้ สิทธิและอำนาจในการบริหารกลับมา เป็นเหมือนเดิม และอาจมีผลให้การเซ็นเอกสารก่อนหน้านี้ หรือตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา ก็ถือว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยเช่นกัน" นายสมควร กล่าว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=70586
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/08/07
โพสต์ที่ 46
สามารถฯรายได้ทรุดหันรุกขายมือถือ
โพสต์ทูเดย์ สามารถ คอร์ปอเรชั่น ไม่หวั่นพิษเศรษฐกิจทำเป้ารายได้รวมทั้งปีวูบ 20% ปรับธงรบใหม่ ชูมือถือ ไอ-โมบาย เป็นหัวหอกหลักสร้างรายได้
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า รายได้โดยรวมในปีนี้ของกลุ่มสามารถฯ คงไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 2.5-2.6 หมื่นล้านบาทในปีนี้ โดยคาดว่าจะลดลง 20% แต่เชื่อว่ากำไรสุทธิน่าจะโตขึ้น 10-20% แม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยกลุ่มสามารถเทลคอมได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการชะงักของโครงการภาครัฐ แต่จากการปรับตัวและพยายามรักษาฐานการตลาดมือถือแบรนด์ ไอ-โมบาย ที่ยอดขายและกำไรต่อเครื่องดีกว่ามือถือแบรนด์ใหญ่ที่กำไรต่อหน่วยลดลง
ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ มีแผนปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท ไอ-โมบาย ใหม่ ด้วยการแยกบริษัทและทีมงานที่ดูแลธุรกิจในกลุ่มอย่างชัดเจน ประกอบด้วย ธุรกิจมือถือเฮาส์แบรนด์ไอ-โมบาย ธุรกิจมือถือแบรนด์อื่นๆ ธุรกิจคอนเทนต์ และธุรกิจใหม่ โดยมีแผนจะเปิดให้บริการมือถือเสมือนจริง (เอ็มวีเอ็นโอ) 4 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ภายในไตรมาส 4 ปีนี้
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวครั้งนี้ก็เพื่อรองรับการเติบโตสู่ตลาดโลก และจะเน้นการพัฒนาสินค้าในเชิงลึกและการสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากมือถือภายใต้แบรนด์ ไอ-โมบาย ให้เป็นที่รู้จักทั้งตลาดในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้แบรนด์ ไอ-โมบาย ในประเทศจาก 28% เป็น 34% ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับรายได้ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ลดลง 38% จากรายได้ปีที่แล้ว 1.7 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้ในไตรมาส 2 ปีนี้มีทั้งสิ้น 4.4 พันล้านบาท ลดลง 50% กำไรสุทธิอยู่ที่ 122 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184403
โพสต์ทูเดย์ สามารถ คอร์ปอเรชั่น ไม่หวั่นพิษเศรษฐกิจทำเป้ารายได้รวมทั้งปีวูบ 20% ปรับธงรบใหม่ ชูมือถือ ไอ-โมบาย เป็นหัวหอกหลักสร้างรายได้
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า รายได้โดยรวมในปีนี้ของกลุ่มสามารถฯ คงไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 2.5-2.6 หมื่นล้านบาทในปีนี้ โดยคาดว่าจะลดลง 20% แต่เชื่อว่ากำไรสุทธิน่าจะโตขึ้น 10-20% แม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยกลุ่มสามารถเทลคอมได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการชะงักของโครงการภาครัฐ แต่จากการปรับตัวและพยายามรักษาฐานการตลาดมือถือแบรนด์ ไอ-โมบาย ที่ยอดขายและกำไรต่อเครื่องดีกว่ามือถือแบรนด์ใหญ่ที่กำไรต่อหน่วยลดลง
ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ มีแผนปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท ไอ-โมบาย ใหม่ ด้วยการแยกบริษัทและทีมงานที่ดูแลธุรกิจในกลุ่มอย่างชัดเจน ประกอบด้วย ธุรกิจมือถือเฮาส์แบรนด์ไอ-โมบาย ธุรกิจมือถือแบรนด์อื่นๆ ธุรกิจคอนเทนต์ และธุรกิจใหม่ โดยมีแผนจะเปิดให้บริการมือถือเสมือนจริง (เอ็มวีเอ็นโอ) 4 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ภายในไตรมาส 4 ปีนี้
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวครั้งนี้ก็เพื่อรองรับการเติบโตสู่ตลาดโลก และจะเน้นการพัฒนาสินค้าในเชิงลึกและการสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากมือถือภายใต้แบรนด์ ไอ-โมบาย ให้เป็นที่รู้จักทั้งตลาดในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้แบรนด์ ไอ-โมบาย ในประเทศจาก 28% เป็น 34% ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับรายได้ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ลดลง 38% จากรายได้ปีที่แล้ว 1.7 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้ในไตรมาส 2 ปีนี้มีทั้งสิ้น 4.4 พันล้านบาท ลดลง 50% กำไรสุทธิอยู่ที่ 122 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184403
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/08/07
โพสต์ที่ 47
ดีแทคยกพวกยึดวิทยุ [ ฉบับที่ 818 ประจำวันที่ 11-8-2007 ถึง 14-8-2007]
>ทรูมูฟเกาะกระแสAF-พรีเมียร์ลีกแต่AISแอ๊บแบ๊ว!
ค่ายมือถือขยันออกโปรโมชั่นถี่ยิบ กระตุ้นดีมานด์การใช้ ดีแทค เหนือชั้นจับมือสำนักข่าว ไอเอ็นเอ็น ปั้น 23 สถานีภูธร ร่วมด้วยช่วยกัน Happy Station คลุมทุกพื้นที่ 40 จังหวัด หวังดูดกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ ส่วน เอไอเอส หมดมุก มุ่งตอกย้ำกลยุทธ์ 4p ผนึก เมเจอร์ฯ เสนอความบันเทิงราคาเดียว 60 บาท ฝั่ง ทรูมูฟ ปลุกกระแส AF4-พรีเมียร์ลีก ฟีเวอร์ โหวตไม่อั้น แถมดูบอลฟรี 3 คู่/สัปดาห์
สถานการณ์การแข่งขันของโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการเพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้า ที่ถึงแม้ปัจจุบันจะมีมากกว่า 30 ล้านเลขหมายแล้วก็ตาม แต่ทว่าบรรดาค่ายมือถือยังคงไม่ลดละที่จะเพิ่มดีมานด์การใช้ หรือไม่ก็ช่วงชิงมาจากคู่แข่ง ผ่านกลยุทธ์การตลาดหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะค่ายดีแทคที่โหมบุกตลาดอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง ล่าสุดได้จับมือพันธมิตรสำนักข่าว ยึดคลื่น วิทยุต่างจังหวัด 23 สถานี ครอบคลุม 40 จังหวัด ใช้เป็นช่องทางสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มความใกล้ชิดและภักดีต่อแบรนด์ให้มากยิ่งขึ้น
ผนึก ไอเอ็นเอ็น ปูพรมคลื่นวิทยุทั่วไทย
นายพีระพงษ์ กลิ่นละออ ผู้อำนวยการ สำนักงานรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานพาณิชย์ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น เปิด เผย สยามธุรกิจ ว่า การใช้สื่อวิทยุเป็นเครื่องมือ สื่อสารไปยังกลุ่มผู้ใช้ในพื้นที่ต่างจังหวัด ถือเป็นการ ต่อยอดโครงการที่บริษัทได้เข้าไปเป็นผู้สนับสนุน หลัก 2-3 คลื่นในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยเฉพาะ คลื่นเอฟเอ็ม 103.5 Happy Station ที่ได้พันธมิตร ขสมก.มาเป็นแนวร่วม เชื่อมต่อสัญญาณผ่านรถประจำทางและรถร่วมขสมก.มากกว่า 3 พันคน ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง สามารถเข้าถึง กลุ่มเป้าหมายผู้ใช้บริการรถขสมก.และกลุ่มผู้ฟังทั่วไปมากกว่า 1 แสนคน/วัน
ขณะที่การรุกคืบไปยังกลุ่มเป้าหมายผู้ฟังในพื้นที่ต่างจังหวัดนั้น รูปแบบการนำเสนอจะแตกต่าง จากคลื่นวิทยุในพื้นที่ส่วนกลางอยู่บ้าง แต่โดยคอนเซปต์ของทั้ง 23 สถานี ครอบคลุม 40 จังหวัดทั่วประเทศ จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ร่วมด้วยช่วยกัน Happy Station
โดยผังรายการหลัก จะประกอบด้วย Happy เล่าข่าว และสรุปข่าวประจำวัน รวมถึงข่าวสั้น, Happy News รายงานข่าวระหว่างชั่วโมง, Happy ครอบครัวไทย หัวใจอบอุ่น ซึ่งจะเป็นรายการที่เปิด โอกาสให้ผู้ฟังได้เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เพื่อส่งเสริมสัมพันธภาพ ภายในครอบครัว, Happy สุขภาพดียิ้มได้ แนะนำ วิธีการดูแลรักษาสุขภาพกายและจิต ผ่านสาระเกี่ยวกับกีฬา อาหารเพื่อสุขภาพ การท่องเที่ยว, Happy ด้วยวิถีพอเพียง นำเสนอแนวคิด และวิธีการใช้ชีวิตตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รวมถึง Happy คนรุ่นใหม่ หัวใจสีขาว นำเสนอเยาวชนคนเก่งในแต่ละพื้นที่ ทั้งการเรียน กีฬา รวมถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตที่น่าสนใจ ซึ่งจะนำเสนอในทุกคลื่น, Happy Life style พูดคุยถึงกระแสสังคม แฟชั่น บันเทิง ท่องเที่ยว, Happy เวทีแลกเปลี่ยน นำเสนอประเด็นสังคมอย่างเปิดกว้าง
สำหรับ 24 สถานีครอบคลุม 40 จังหวัด ที่ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ได้แก่ กรุงเทพฯ สถานีวิทยุ FM 96.0 MHz. ภาคกลาง จังหวัดระยอง สถานีวิทยุ FM 99.25 MHz. ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย สถานีวิทยุ FM 103.0 MHz. จังหวัดเชียงใหม่ สถานีวิทยุ FM 100.0 MHz. ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา สถานีวิทยุ FM 98.0 MHz. จังหวัดขอนแก่น สถานีวิทยุ FM 103.0 MHz. จังหวัดร้อยเอ็ด สถานีวิทยุ FM 101.6 MHz. จังหวัดอุบลราชธานี สถานีวิทยุ FM 91.0 MHz.
ภาคใต้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) สถานีวิทยุ FM 98.0 MHz. จังหวัดชุมพร สถานีวิทยุ FM 101.0 MHz. จังหวัดนครศรีธรรมราช สถานีวิทยุ FM 96.25 MHz. จังหวัดภูเก็ต สถานีวิทยุ FM 103.5 MHz. จังหวัดพังงา สถานีวิทยุ FM 103.5 MHz. จังหวัดกระบี่ สถานีวิทยุ FM 103.5 MHz. จังหวัดปัตตานี สถานีวิทยุ FM 93.5 MHz. จังหวัดยะลา สถานีวิทยุ FM 100.0 MHz. จังหวัดยะลา สถานีวิทยุ AM 1080 MHz. และจังหวัดนราธิวาส สถานีวิทยุ FM 92.5 MHz. เป็นอาทิ
ความโดดเด่นของแต่ละสถานี คือ นอกจาก จะจัดรายการด้วยภาษาของแต่ละท้องถิ่นแล้ว ยังสามารถรับฟังและชมผ่านระบบ web cam รวมถึงช่องทางเว็บไซต์ www.rd1677.com ซึ่งแต่ละสถานีจะเปิดสายรับฟังความคิดเห็นหรือเรื่องร้องเรียน ผ่านหมายเลข 1677 ทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นสถานีแห่งความสุข ความดี ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นทุกวัน นายพีระพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการติดต่อไปยังแต่ละสถานี หากเป็นลูกค้าของดีแทค จะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่สำหรับระบบอื่นนั้น จะเสียค่าใช้จ่ายมากน้อยแตกต่างกันไป ปัจจุบันผู้ใช้งานระบบแบบรายเดือน ของดีแทค ไตรมาสแรก ปีนี้อยู่ที่ 2.33 ล้านราย เพิ่มจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่ 2.03 ล้านราย ส่วนระบบเติมเงิน มีฐานลูกค้ารวม 10.9 ล้านราย ขยับจากไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วที่ 10.1 ล้านราย ซึ่งถือเป็นระบบที่มีผู้ใช้รายใหม่เพิ่มขึ้นมากสุดกว่า 8 แสนราย
ไอเอ็นเอ็น สานฝันสถานีร่วมด้วยช่วยกัน
แหล่งข่าวผู้บริหารสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น เปิด เผย สยามธุรกิจ ว่า พันธมิตรค่ายสื่อสารดีแทค ได้เข้ามาสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณการลงทุน ทั้งในส่วนของการเพิ่มจำนวนสถานี จากเดิม ที่ไอเอ็นเอ็น จะดำเนินงานคลื่นวิทยุในพื้นที่ต่างจังหวัดอยู่ประมาณ 10 สถานีเท่านั้น ต่อเมื่อเกิดโครงการนี้ขึ้น จึงได้เพิ่มจำนวนเป็น 23 สถานี ครอบคลุม 40 จังหวัด โดยสัมปทานคลื่นวิทยุที่ได้รับส่วนใหญ่จะเป็นคลื่นในสังกัดหน่วยงานภาครัฐแต่ละพื้นที่ กองทัพบก กรมประมง หรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ตลอดจนการช่วยสนับสนุนทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น คอลเซ็นเตอร์ อุปกรณ์การส่งสัญญาณ และด้านไอที ภายใต้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 50 ล้านบาท
ผังรายการเดิมของคลื่นร่วมด้วยช่วยกันในต่างจังหวัด ก็ต้องปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับคอนเซปต์ดีแทค ที่นำคอนเทนต์ใหม่เข้ามาเติมเต็ม แต่เนื้อหาหลักแล้วจะเป็นการเดินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสำคัญ ซึ่งการดำเนินงานโครงการนี้จะไม่คาดหวังในเรื่องของ กำไรมากนัก เพราะอัตราค่าโฆษณาส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในระดับ 50-100/สปอตเท่านั้น
เอไอเอส ผนึก เมเจอร์ กรุ๊ป
ตอกย้ำกลยุทธ์ 4P
นางวิลาสินี พุทธิการันต์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการสายงานบริหารลูกค้าและการบริการ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟเซอร์วิส เปิดเผยว่า นโยบาย ของเอไอเอส ยังคงตอกย้ำถึงการดูแลลูกค้าให้ครอบคลุมและทั่วถึง จากฐานลูกค้าทั้งระบบแบบรายเดือนและเติมเงินกว่า 22 ล้านราย ให้ดีที่สุด ภายใต้กลยุทธ์ 4P คือ Promotion การจัดโปรแกรมโปรโมชั่นให้ตรงกับพฤติกรรมการใช้งานของ ลูกค้า Priority การให้ความสำคัญในการแก้ปัญหา ของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที Premium Service คือการรักษาคุณภาพบริการตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงขั้นที่ต้องตอบสนองความต้องการ และประสบการณ์ของลูกค้าที่มีความคาดหวังมากขึ้น และ Privilege สิทธิพิเศษที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
โดยในช่วงเวลาที่เหลือ ได้กำหนดแนวทางการคัดสรรสิทธิพิเศษให้ตรงตามไลฟ์สไตล์ความชื่นชอบของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เพื่อให้รู้สึกถึงความคุ้มค่าเมื่อใช้บริการไม่ว่าจะระบบใดก็ตาม ซึ่งจะให้ ความสำคัญใน 3 เรื่อง คือ แกน Entertainment, Dining และ Shopping ทั้งยังจะเพิ่มระยะเวลาในการรับสิทธิพิเศษดังกล่าวให้ยาวนานมากขึ้น
เราจะประชาสัมพันธ์สิทธิพิเศษต่างๆ ให้ลูกค้าได้ทราบล่วงหน้า เพื่อจะได้ไม่พลาดในทุกๆ โปรแกรมที่เตรียมไว้ให้ และแนวทางสำคัญที่เรายังคงทำมาตลอดคือ การจับมือกับพันธมิตรชั้นนำในธุรกิจด้านต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าใช้สิทธิพิเศษได้ง่ายและครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้นด้วยสาขาธุรกิจของพันธมิตรที่มีอยู่ทั่วประเทศ
ล่าสุด เอไอเอส พลัส ได้จับมือ เมเจอร์ กรุ๊ป มอบสิทธิพิเศษ ให้ลูกค้าเอไอเอสได้รับความบันเทิง อย่างครบวงจร ในแคมเปญ สนุกทุกไลฟ์สไตล์ 60 บาทราคาเดียวกับเอไอเอส ทั้งดูหนัง ร้องคาราโอเกะ โยนโบว์ลิ่ง และเล่นไอซ์สเกต (1 สิทธิ ต่อ 2 ที่นั่ง) รับสิทธิ์ได้ ณ จุดจำหน่ายตั๋วที่พารากอน ซีนีเพล็กซ์, เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์และอีจีวี ทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค.เป็นต้นไป
ทรูมูฟ มุ่งตอบสนองความต้องการทุกไลฟ์สไตล์
ด้านความเคลื่อนไหวอีกหนึ่งผู้เล่นค่ายทรมูฟนั้น นอกจากจะมุ่งเน้นการนำเสนอโปรโมชั่น ที่หลากหลาย ทั้งในส่วนของระบบพรีเพดและโพสต์เพด โดยเฉพาะแคมเปญ Sale ค่าโทร. 50% ระบบเติมเงิน สำหรับโครงการอะคาเดมี่ แฟนเทเซีย 4 หรือ AF 4 ที่ทรูมูฟเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนหลัก ภายใต้เงื่อนไข โทร.ในเครือข่ายเดียวกัน ลด ครึ่งราคา ส่วนโทร.นอกเครือข่าย นาทีละ 1 บาท กรณีผู้ใช้บริการโหวตผู้แข่งขัน เอเอฟ 4 มาก เท่าไหร่ ก็จะได้รับค่าโทร.คืนตามนั้น
เช่นเดียวกับการปลุกกระแสความคลั่งไคล้ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่ในปีนี้ ทรู วิชั่นส์ บริษัทในเครือกลุ่มทรู ได้ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์กว่า 380 แมตช์ ผ่านช่องทางเคเบิลทีวี ซึ่งผู้สนใจที่ใช้บริการของทรูมูฟแบบรายเดือน โปรโมชั่น 299 บาท นอกจากจะได้รับค่าโทร.นาทีละ 25 สตางค์ แล้ว ยังได้รับสิทธิ์ชมพรีเมียร์ลีก 3-5 คู่/สัปดาห์
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนหน้า รายงานข่าวจากทรูมูฟ ได้เปิดเผยถึงนักลงทุนต่างชาติแสดงความจำนง ซื้อหุ้นกู้ของทรูมูฟมากกว่าจำนวนเสนอขายถึง 2 เท่า เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของ ทรูมูฟ ในฐานะ บริษัทที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยทรูมูฟจะนำเงินทุนจากการจำหน่ายหุ้นกู้ดังกล่าวไปชำระ คืนหนี้เดิมสกุลไทยบาทจากสถาบันการเงินในประเทศ จากปัจจุบันประมาณ 2.6 ปีออกไป เนื่อง จากจะมีการชำระคืนหุ้นกู้ดังกล่าวทั้งหมดจำนวน 7.3 พันล้านบาท ครั้งเดียว ณ ปลายปี 2557 ซึ่งจะทำให้ทรูมูฟ มีภาระการชำระหนี้ลดลง และทำให้ มีกระแสเงินสดสำหรับการขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น
สำหรับสัดส่วนในการจำหน่ายหุ้นกู้แบ่งเป็น นักลงทุนเอเชียในอัตราร้อยละ 52 นักลงทุนสหรัฐอเมริกาในอัตราร้อยละ 33 และนักลงทุนยุโรป ในอัตราร้อยละ 15 ของหุ้นกู้ทั้งหมด โดยมีการจำหน่ายให้กับนักลงทุนประเภทผู้บริหารกองทุน ในอัตราร้อยละ 59 ธนาคารในอัตราร้อยละ 31 นักลงทุนรายย่อยร้อยละ 6 และบริษัทประกันและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราร้อยละ 3
ปัจจุบันทรูมูฟ มีจำนวนผู้ใช้บริการรวม 8.1 ล้านราย และมีส่วนแบ่งตลาดในอัตราร้อยละ 19.1 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการมากขึ้นเป็น 2 เท่า นับตั้งแต่ต้นปี 2548 เป็นต้นมา และส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากประมาณ ร้อยละ 13 เป็นร้อยละ 19.1 ในช่วงเวลาเดียวกัน
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
>ทรูมูฟเกาะกระแสAF-พรีเมียร์ลีกแต่AISแอ๊บแบ๊ว!
ค่ายมือถือขยันออกโปรโมชั่นถี่ยิบ กระตุ้นดีมานด์การใช้ ดีแทค เหนือชั้นจับมือสำนักข่าว ไอเอ็นเอ็น ปั้น 23 สถานีภูธร ร่วมด้วยช่วยกัน Happy Station คลุมทุกพื้นที่ 40 จังหวัด หวังดูดกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ ส่วน เอไอเอส หมดมุก มุ่งตอกย้ำกลยุทธ์ 4p ผนึก เมเจอร์ฯ เสนอความบันเทิงราคาเดียว 60 บาท ฝั่ง ทรูมูฟ ปลุกกระแส AF4-พรีเมียร์ลีก ฟีเวอร์ โหวตไม่อั้น แถมดูบอลฟรี 3 คู่/สัปดาห์
สถานการณ์การแข่งขันของโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการเพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้า ที่ถึงแม้ปัจจุบันจะมีมากกว่า 30 ล้านเลขหมายแล้วก็ตาม แต่ทว่าบรรดาค่ายมือถือยังคงไม่ลดละที่จะเพิ่มดีมานด์การใช้ หรือไม่ก็ช่วงชิงมาจากคู่แข่ง ผ่านกลยุทธ์การตลาดหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะค่ายดีแทคที่โหมบุกตลาดอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง ล่าสุดได้จับมือพันธมิตรสำนักข่าว ยึดคลื่น วิทยุต่างจังหวัด 23 สถานี ครอบคลุม 40 จังหวัด ใช้เป็นช่องทางสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มความใกล้ชิดและภักดีต่อแบรนด์ให้มากยิ่งขึ้น
ผนึก ไอเอ็นเอ็น ปูพรมคลื่นวิทยุทั่วไทย
นายพีระพงษ์ กลิ่นละออ ผู้อำนวยการ สำนักงานรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานพาณิชย์ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น เปิด เผย สยามธุรกิจ ว่า การใช้สื่อวิทยุเป็นเครื่องมือ สื่อสารไปยังกลุ่มผู้ใช้ในพื้นที่ต่างจังหวัด ถือเป็นการ ต่อยอดโครงการที่บริษัทได้เข้าไปเป็นผู้สนับสนุน หลัก 2-3 คลื่นในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยเฉพาะ คลื่นเอฟเอ็ม 103.5 Happy Station ที่ได้พันธมิตร ขสมก.มาเป็นแนวร่วม เชื่อมต่อสัญญาณผ่านรถประจำทางและรถร่วมขสมก.มากกว่า 3 พันคน ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง สามารถเข้าถึง กลุ่มเป้าหมายผู้ใช้บริการรถขสมก.และกลุ่มผู้ฟังทั่วไปมากกว่า 1 แสนคน/วัน
ขณะที่การรุกคืบไปยังกลุ่มเป้าหมายผู้ฟังในพื้นที่ต่างจังหวัดนั้น รูปแบบการนำเสนอจะแตกต่าง จากคลื่นวิทยุในพื้นที่ส่วนกลางอยู่บ้าง แต่โดยคอนเซปต์ของทั้ง 23 สถานี ครอบคลุม 40 จังหวัดทั่วประเทศ จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ร่วมด้วยช่วยกัน Happy Station
โดยผังรายการหลัก จะประกอบด้วย Happy เล่าข่าว และสรุปข่าวประจำวัน รวมถึงข่าวสั้น, Happy News รายงานข่าวระหว่างชั่วโมง, Happy ครอบครัวไทย หัวใจอบอุ่น ซึ่งจะเป็นรายการที่เปิด โอกาสให้ผู้ฟังได้เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เพื่อส่งเสริมสัมพันธภาพ ภายในครอบครัว, Happy สุขภาพดียิ้มได้ แนะนำ วิธีการดูแลรักษาสุขภาพกายและจิต ผ่านสาระเกี่ยวกับกีฬา อาหารเพื่อสุขภาพ การท่องเที่ยว, Happy ด้วยวิถีพอเพียง นำเสนอแนวคิด และวิธีการใช้ชีวิตตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
รวมถึง Happy คนรุ่นใหม่ หัวใจสีขาว นำเสนอเยาวชนคนเก่งในแต่ละพื้นที่ ทั้งการเรียน กีฬา รวมถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตที่น่าสนใจ ซึ่งจะนำเสนอในทุกคลื่น, Happy Life style พูดคุยถึงกระแสสังคม แฟชั่น บันเทิง ท่องเที่ยว, Happy เวทีแลกเปลี่ยน นำเสนอประเด็นสังคมอย่างเปิดกว้าง
สำหรับ 24 สถานีครอบคลุม 40 จังหวัด ที่ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ได้แก่ กรุงเทพฯ สถานีวิทยุ FM 96.0 MHz. ภาคกลาง จังหวัดระยอง สถานีวิทยุ FM 99.25 MHz. ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย สถานีวิทยุ FM 103.0 MHz. จังหวัดเชียงใหม่ สถานีวิทยุ FM 100.0 MHz. ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา สถานีวิทยุ FM 98.0 MHz. จังหวัดขอนแก่น สถานีวิทยุ FM 103.0 MHz. จังหวัดร้อยเอ็ด สถานีวิทยุ FM 101.6 MHz. จังหวัดอุบลราชธานี สถานีวิทยุ FM 91.0 MHz.
ภาคใต้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) สถานีวิทยุ FM 98.0 MHz. จังหวัดชุมพร สถานีวิทยุ FM 101.0 MHz. จังหวัดนครศรีธรรมราช สถานีวิทยุ FM 96.25 MHz. จังหวัดภูเก็ต สถานีวิทยุ FM 103.5 MHz. จังหวัดพังงา สถานีวิทยุ FM 103.5 MHz. จังหวัดกระบี่ สถานีวิทยุ FM 103.5 MHz. จังหวัดปัตตานี สถานีวิทยุ FM 93.5 MHz. จังหวัดยะลา สถานีวิทยุ FM 100.0 MHz. จังหวัดยะลา สถานีวิทยุ AM 1080 MHz. และจังหวัดนราธิวาส สถานีวิทยุ FM 92.5 MHz. เป็นอาทิ
ความโดดเด่นของแต่ละสถานี คือ นอกจาก จะจัดรายการด้วยภาษาของแต่ละท้องถิ่นแล้ว ยังสามารถรับฟังและชมผ่านระบบ web cam รวมถึงช่องทางเว็บไซต์ www.rd1677.com ซึ่งแต่ละสถานีจะเปิดสายรับฟังความคิดเห็นหรือเรื่องร้องเรียน ผ่านหมายเลข 1677 ทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นสถานีแห่งความสุข ความดี ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นทุกวัน นายพีระพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการติดต่อไปยังแต่ละสถานี หากเป็นลูกค้าของดีแทค จะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่สำหรับระบบอื่นนั้น จะเสียค่าใช้จ่ายมากน้อยแตกต่างกันไป ปัจจุบันผู้ใช้งานระบบแบบรายเดือน ของดีแทค ไตรมาสแรก ปีนี้อยู่ที่ 2.33 ล้านราย เพิ่มจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่ 2.03 ล้านราย ส่วนระบบเติมเงิน มีฐานลูกค้ารวม 10.9 ล้านราย ขยับจากไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วที่ 10.1 ล้านราย ซึ่งถือเป็นระบบที่มีผู้ใช้รายใหม่เพิ่มขึ้นมากสุดกว่า 8 แสนราย
ไอเอ็นเอ็น สานฝันสถานีร่วมด้วยช่วยกัน
แหล่งข่าวผู้บริหารสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น เปิด เผย สยามธุรกิจ ว่า พันธมิตรค่ายสื่อสารดีแทค ได้เข้ามาสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณการลงทุน ทั้งในส่วนของการเพิ่มจำนวนสถานี จากเดิม ที่ไอเอ็นเอ็น จะดำเนินงานคลื่นวิทยุในพื้นที่ต่างจังหวัดอยู่ประมาณ 10 สถานีเท่านั้น ต่อเมื่อเกิดโครงการนี้ขึ้น จึงได้เพิ่มจำนวนเป็น 23 สถานี ครอบคลุม 40 จังหวัด โดยสัมปทานคลื่นวิทยุที่ได้รับส่วนใหญ่จะเป็นคลื่นในสังกัดหน่วยงานภาครัฐแต่ละพื้นที่ กองทัพบก กรมประมง หรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ตลอดจนการช่วยสนับสนุนทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น คอลเซ็นเตอร์ อุปกรณ์การส่งสัญญาณ และด้านไอที ภายใต้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 50 ล้านบาท
ผังรายการเดิมของคลื่นร่วมด้วยช่วยกันในต่างจังหวัด ก็ต้องปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับคอนเซปต์ดีแทค ที่นำคอนเทนต์ใหม่เข้ามาเติมเต็ม แต่เนื้อหาหลักแล้วจะเป็นการเดินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสำคัญ ซึ่งการดำเนินงานโครงการนี้จะไม่คาดหวังในเรื่องของ กำไรมากนัก เพราะอัตราค่าโฆษณาส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในระดับ 50-100/สปอตเท่านั้น
เอไอเอส ผนึก เมเจอร์ กรุ๊ป
ตอกย้ำกลยุทธ์ 4P
นางวิลาสินี พุทธิการันต์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการสายงานบริหารลูกค้าและการบริการ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟเซอร์วิส เปิดเผยว่า นโยบาย ของเอไอเอส ยังคงตอกย้ำถึงการดูแลลูกค้าให้ครอบคลุมและทั่วถึง จากฐานลูกค้าทั้งระบบแบบรายเดือนและเติมเงินกว่า 22 ล้านราย ให้ดีที่สุด ภายใต้กลยุทธ์ 4P คือ Promotion การจัดโปรแกรมโปรโมชั่นให้ตรงกับพฤติกรรมการใช้งานของ ลูกค้า Priority การให้ความสำคัญในการแก้ปัญหา ของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที Premium Service คือการรักษาคุณภาพบริการตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงขั้นที่ต้องตอบสนองความต้องการ และประสบการณ์ของลูกค้าที่มีความคาดหวังมากขึ้น และ Privilege สิทธิพิเศษที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
โดยในช่วงเวลาที่เหลือ ได้กำหนดแนวทางการคัดสรรสิทธิพิเศษให้ตรงตามไลฟ์สไตล์ความชื่นชอบของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เพื่อให้รู้สึกถึงความคุ้มค่าเมื่อใช้บริการไม่ว่าจะระบบใดก็ตาม ซึ่งจะให้ ความสำคัญใน 3 เรื่อง คือ แกน Entertainment, Dining และ Shopping ทั้งยังจะเพิ่มระยะเวลาในการรับสิทธิพิเศษดังกล่าวให้ยาวนานมากขึ้น
เราจะประชาสัมพันธ์สิทธิพิเศษต่างๆ ให้ลูกค้าได้ทราบล่วงหน้า เพื่อจะได้ไม่พลาดในทุกๆ โปรแกรมที่เตรียมไว้ให้ และแนวทางสำคัญที่เรายังคงทำมาตลอดคือ การจับมือกับพันธมิตรชั้นนำในธุรกิจด้านต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าใช้สิทธิพิเศษได้ง่ายและครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้นด้วยสาขาธุรกิจของพันธมิตรที่มีอยู่ทั่วประเทศ
ล่าสุด เอไอเอส พลัส ได้จับมือ เมเจอร์ กรุ๊ป มอบสิทธิพิเศษ ให้ลูกค้าเอไอเอสได้รับความบันเทิง อย่างครบวงจร ในแคมเปญ สนุกทุกไลฟ์สไตล์ 60 บาทราคาเดียวกับเอไอเอส ทั้งดูหนัง ร้องคาราโอเกะ โยนโบว์ลิ่ง และเล่นไอซ์สเกต (1 สิทธิ ต่อ 2 ที่นั่ง) รับสิทธิ์ได้ ณ จุดจำหน่ายตั๋วที่พารากอน ซีนีเพล็กซ์, เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์และอีจีวี ทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค.เป็นต้นไป
ทรูมูฟ มุ่งตอบสนองความต้องการทุกไลฟ์สไตล์
ด้านความเคลื่อนไหวอีกหนึ่งผู้เล่นค่ายทรมูฟนั้น นอกจากจะมุ่งเน้นการนำเสนอโปรโมชั่น ที่หลากหลาย ทั้งในส่วนของระบบพรีเพดและโพสต์เพด โดยเฉพาะแคมเปญ Sale ค่าโทร. 50% ระบบเติมเงิน สำหรับโครงการอะคาเดมี่ แฟนเทเซีย 4 หรือ AF 4 ที่ทรูมูฟเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนหลัก ภายใต้เงื่อนไข โทร.ในเครือข่ายเดียวกัน ลด ครึ่งราคา ส่วนโทร.นอกเครือข่าย นาทีละ 1 บาท กรณีผู้ใช้บริการโหวตผู้แข่งขัน เอเอฟ 4 มาก เท่าไหร่ ก็จะได้รับค่าโทร.คืนตามนั้น
เช่นเดียวกับการปลุกกระแสความคลั่งไคล้ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่ในปีนี้ ทรู วิชั่นส์ บริษัทในเครือกลุ่มทรู ได้ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์กว่า 380 แมตช์ ผ่านช่องทางเคเบิลทีวี ซึ่งผู้สนใจที่ใช้บริการของทรูมูฟแบบรายเดือน โปรโมชั่น 299 บาท นอกจากจะได้รับค่าโทร.นาทีละ 25 สตางค์ แล้ว ยังได้รับสิทธิ์ชมพรีเมียร์ลีก 3-5 คู่/สัปดาห์
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนหน้า รายงานข่าวจากทรูมูฟ ได้เปิดเผยถึงนักลงทุนต่างชาติแสดงความจำนง ซื้อหุ้นกู้ของทรูมูฟมากกว่าจำนวนเสนอขายถึง 2 เท่า เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของ ทรูมูฟ ในฐานะ บริษัทที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยทรูมูฟจะนำเงินทุนจากการจำหน่ายหุ้นกู้ดังกล่าวไปชำระ คืนหนี้เดิมสกุลไทยบาทจากสถาบันการเงินในประเทศ จากปัจจุบันประมาณ 2.6 ปีออกไป เนื่อง จากจะมีการชำระคืนหุ้นกู้ดังกล่าวทั้งหมดจำนวน 7.3 พันล้านบาท ครั้งเดียว ณ ปลายปี 2557 ซึ่งจะทำให้ทรูมูฟ มีภาระการชำระหนี้ลดลง และทำให้ มีกระแสเงินสดสำหรับการขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น
สำหรับสัดส่วนในการจำหน่ายหุ้นกู้แบ่งเป็น นักลงทุนเอเชียในอัตราร้อยละ 52 นักลงทุนสหรัฐอเมริกาในอัตราร้อยละ 33 และนักลงทุนยุโรป ในอัตราร้อยละ 15 ของหุ้นกู้ทั้งหมด โดยมีการจำหน่ายให้กับนักลงทุนประเภทผู้บริหารกองทุน ในอัตราร้อยละ 59 ธนาคารในอัตราร้อยละ 31 นักลงทุนรายย่อยร้อยละ 6 และบริษัทประกันและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราร้อยละ 3
ปัจจุบันทรูมูฟ มีจำนวนผู้ใช้บริการรวม 8.1 ล้านราย และมีส่วนแบ่งตลาดในอัตราร้อยละ 19.1 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการมากขึ้นเป็น 2 เท่า นับตั้งแต่ต้นปี 2548 เป็นต้นมา และส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากประมาณ ร้อยละ 13 เป็นร้อยละ 19.1 ในช่วงเวลาเดียวกัน
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
-
- Verified User
- โพสต์: 1231
- ผู้ติดตาม: 0
สื่อสารและเทคโนโลยี
โพสต์ที่ 48
ผู้ผลิตโน้ตบุ๊คอาจพบปัญหาชิ้นส่วนผลิตไม่พอ
นักวิเคราะห์ตลาดจาก DRAMeXchange เปิดเผยว่า บริษัทผู้ผลิตโน้ตบุ๊คกำลังจะพบปัญหาหนักจากที่ชิ้นส่วนประกอบต่างๆ มีการผลิตออกมาไม่พอ
โดยมีการเปิดเผยว่า ตั้งแต่ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตโน้ตบุ๊คก็เริ่มพบปัญหาชิ้นส่วนประกอบต่างๆ เช่น หน้าจอ LCD, แบตเตอรี่, ฮาร์ดดิสก์, เคส และออปติคอลดิสก์ไดร์ฟนั้น มีจำนวนเริ่มจะไม่พอในการประกอบสินค้าออกจำหน่าย
ทั้งนี้คาดว่าในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ปัญหาดังกล่าวจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากคาดว่ายอดจำหน่ายของโน้ตบุ๊คนั้นจะเพิ่มขึ้น 14.4 เปอร์เซ็นต์ หรือเป็น 25.6 ล้านเครื่อง
โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็จะเป็นผู้ผลิตโน้ตบุ๊ครายใหญ่อันดับต้นๆ ของตลาด เนื่องจากจะมีค่าใช้จ่ายต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่สามารถส่งผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายได้เพียงพอตามความต้องการ เนื่องจากมีชิ้นส่วนประกอบไม่พอในการผลิต
จากสำนักข่าวรอยเตอร์
นักวิเคราะห์ตลาดจาก DRAMeXchange เปิดเผยว่า บริษัทผู้ผลิตโน้ตบุ๊คกำลังจะพบปัญหาหนักจากที่ชิ้นส่วนประกอบต่างๆ มีการผลิตออกมาไม่พอ
โดยมีการเปิดเผยว่า ตั้งแต่ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตโน้ตบุ๊คก็เริ่มพบปัญหาชิ้นส่วนประกอบต่างๆ เช่น หน้าจอ LCD, แบตเตอรี่, ฮาร์ดดิสก์, เคส และออปติคอลดิสก์ไดร์ฟนั้น มีจำนวนเริ่มจะไม่พอในการประกอบสินค้าออกจำหน่าย
ทั้งนี้คาดว่าในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ปัญหาดังกล่าวจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากคาดว่ายอดจำหน่ายของโน้ตบุ๊คนั้นจะเพิ่มขึ้น 14.4 เปอร์เซ็นต์ หรือเป็น 25.6 ล้านเครื่อง
โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็จะเป็นผู้ผลิตโน้ตบุ๊ครายใหญ่อันดับต้นๆ ของตลาด เนื่องจากจะมีค่าใช้จ่ายต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่สามารถส่งผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายได้เพียงพอตามความต้องการ เนื่องจากมีชิ้นส่วนประกอบไม่พอในการผลิต
จากสำนักข่าวรอยเตอร์
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/08/07
โพสต์ที่ 49
หุ้นสื่อสารคัมแบ็คครึ่งปีหลัง DTAC-MFEC
ลุ่มสื่อสารส่งสัญญาณฟื้นตัว โบรกประเมินครึ่งปีหลังกลับสู่ยุคทอง หลังสงครามดัมพ์ราคาลดลง การเมืองคลี่คลาย ฉวยจังหวะตลาดปรับฐานช้อนของถูก
ยกหุ้นใหญ่ DTAC ผลงานเด่น ปันผลงาม ส่วนหุ้นเล็ก MFEC ราคาถูก พี/อีต่ำ ปันผลสูงถึง 8% ส่วนเทคนิคชูMFEC ขาขึ้น ให้แนวรับ 4.90-4.84 บาท แนวต้าน 5.25-5.50 บาท
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า จากการทยอยประกาศผลการดำเนินงานออกมาของหุ้นในกลุ่มสื่อสารตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงสัปดาห์นี้มองว่าผลประกอบการโดยรวมของกลุ่มสื่อสารเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวมากขึ้น
ทั้งนี้จะเริ่มส่งสัญญาณเด่นชัดมากขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ปัญหาการแข่งขันราคาคลี่คลายลง และมีภาระค่าใช้จ่ายในการใช้เพื่อขยายโครงข่ายลดลง เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีการขยายโครงข่ายสูง
อย่างไรก็ตาม ควรจับตาผลกระทบจากการเปลี่ยนระบบการคิดค่าเชื่อมโยงเครือข่ายเป็น IC จาก AC เพราะพฤติกรรมการโทรศัพท์ และรับสายของลูกค้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นได้ จึงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไป
ส่วนผู้ประกอบการประเภทวางระบบสื่อสาร คาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวด้วยเช่นกัน เพราะคาดว่างานจากหน่วยงานภาครัฐจะเริ่มทยอยเปิดประมูลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสะสมงาน หรือ Backlog ข้ามไปยังปีหน้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่ากลุ่มวางระบบจะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นมากขึ้นในปี 2551
ดังนั้นฝ่ายวิจัยประเมินว่าหุ้นในกลุ่มโทรคมนาคมที่โดดเด่นที่สุด คือ DTAC แนะนำ ซื้อ ซึ่งให้ราคาเหมาะสม 50 บาท เพราะปีนี้คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตที่สุด เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นในกลุ่มเดียวกัน โดยคาดว่าปีนี้จะมีกำไร 7,224 ล้านบาท และมีรายได้ 71,638 ล้านบาท ส่วน ADVANC แนะนำ เก็งกำไร เพื่อรับเงินผลระหว่างกาลที่จ่ายสูงถึง 3.00 บาทต่อหุ้น
สำหรับหุ้นสื่อสารขนาดเล็กแนะนำ MFEC โดยให้ราคาเหมาะสม 5.70 บาท เพราะมีพี/อีต่ำสุดในกลุ่ม ที่ 8 เท่า ขณะที่พี/อีกลุ่มอยู่ที่ประมาณ 12-13 เท่า และราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก
นอกจากนี้ MFECมีสัดส่วนงานจากภาคเอกชนที่สูงกว่าภาครัฐซึ่งจะลดความเสี่ยงไปได้ ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือ 900 ล้านบาท และคาดว่า MFEC จะสามารถประมูลงานเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีที่เหลือ เพราะสถานการณ์การเมืองเริ่มนิ่ง ทำให้มีการเปิดประมูลงานเพิ่มขึ้น รวมทั้งคาดว่า MFEC จะสามารถจ่ายปันผลปีนี้ได้สูง 0.40 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราปันผลตอบแทนสูงถึง 8%
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาหุ้น DTAC อยู่ระหว่างการพักฐาน จึงเป็นจังหวะดีทยอยสะสมหุ้น โดยแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว ให้แนวรับ 40.00-39.50 บาท แนวต้าน 42.00-42.50 บาท
ส่วน MFEC ราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น จากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างโดดเด่น จึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร โดยให้แนวรับ 4.90-4.84 บาท แนวต้าน 5.25-5.50 บาท
DTAC(14 ส.ค.)ปิดที่ 41.00 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ 0.61% มูลค่าซื้อขาย 34.40 ล้านบาท ส่วนMFECปิดที่ 5.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 4.70 ล้านบาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 244&ch=225
ลุ่มสื่อสารส่งสัญญาณฟื้นตัว โบรกประเมินครึ่งปีหลังกลับสู่ยุคทอง หลังสงครามดัมพ์ราคาลดลง การเมืองคลี่คลาย ฉวยจังหวะตลาดปรับฐานช้อนของถูก
ยกหุ้นใหญ่ DTAC ผลงานเด่น ปันผลงาม ส่วนหุ้นเล็ก MFEC ราคาถูก พี/อีต่ำ ปันผลสูงถึง 8% ส่วนเทคนิคชูMFEC ขาขึ้น ให้แนวรับ 4.90-4.84 บาท แนวต้าน 5.25-5.50 บาท
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า จากการทยอยประกาศผลการดำเนินงานออกมาของหุ้นในกลุ่มสื่อสารตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงสัปดาห์นี้มองว่าผลประกอบการโดยรวมของกลุ่มสื่อสารเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวมากขึ้น
ทั้งนี้จะเริ่มส่งสัญญาณเด่นชัดมากขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ปัญหาการแข่งขันราคาคลี่คลายลง และมีภาระค่าใช้จ่ายในการใช้เพื่อขยายโครงข่ายลดลง เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีการขยายโครงข่ายสูง
อย่างไรก็ตาม ควรจับตาผลกระทบจากการเปลี่ยนระบบการคิดค่าเชื่อมโยงเครือข่ายเป็น IC จาก AC เพราะพฤติกรรมการโทรศัพท์ และรับสายของลูกค้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นได้ จึงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไป
ส่วนผู้ประกอบการประเภทวางระบบสื่อสาร คาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวด้วยเช่นกัน เพราะคาดว่างานจากหน่วยงานภาครัฐจะเริ่มทยอยเปิดประมูลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสะสมงาน หรือ Backlog ข้ามไปยังปีหน้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่ากลุ่มวางระบบจะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นมากขึ้นในปี 2551
ดังนั้นฝ่ายวิจัยประเมินว่าหุ้นในกลุ่มโทรคมนาคมที่โดดเด่นที่สุด คือ DTAC แนะนำ ซื้อ ซึ่งให้ราคาเหมาะสม 50 บาท เพราะปีนี้คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตที่สุด เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นในกลุ่มเดียวกัน โดยคาดว่าปีนี้จะมีกำไร 7,224 ล้านบาท และมีรายได้ 71,638 ล้านบาท ส่วน ADVANC แนะนำ เก็งกำไร เพื่อรับเงินผลระหว่างกาลที่จ่ายสูงถึง 3.00 บาทต่อหุ้น
สำหรับหุ้นสื่อสารขนาดเล็กแนะนำ MFEC โดยให้ราคาเหมาะสม 5.70 บาท เพราะมีพี/อีต่ำสุดในกลุ่ม ที่ 8 เท่า ขณะที่พี/อีกลุ่มอยู่ที่ประมาณ 12-13 เท่า และราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก
นอกจากนี้ MFECมีสัดส่วนงานจากภาคเอกชนที่สูงกว่าภาครัฐซึ่งจะลดความเสี่ยงไปได้ ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือ 900 ล้านบาท และคาดว่า MFEC จะสามารถประมูลงานเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีที่เหลือ เพราะสถานการณ์การเมืองเริ่มนิ่ง ทำให้มีการเปิดประมูลงานเพิ่มขึ้น รวมทั้งคาดว่า MFEC จะสามารถจ่ายปันผลปีนี้ได้สูง 0.40 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราปันผลตอบแทนสูงถึง 8%
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาหุ้น DTAC อยู่ระหว่างการพักฐาน จึงเป็นจังหวะดีทยอยสะสมหุ้น โดยแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว ให้แนวรับ 40.00-39.50 บาท แนวต้าน 42.00-42.50 บาท
ส่วน MFEC ราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น จากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างโดดเด่น จึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร โดยให้แนวรับ 4.90-4.84 บาท แนวต้าน 5.25-5.50 บาท
DTAC(14 ส.ค.)ปิดที่ 41.00 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ 0.61% มูลค่าซื้อขาย 34.40 ล้านบาท ส่วนMFECปิดที่ 5.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 4.70 ล้านบาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 244&ch=225
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/08/07
โพสต์ที่ 50
ทีโอทีดึงต่างชาติทำ 3จี แห่งชาติ แบบรัฐต่อรัฐลงทุน 1.7 หมื่นล้าน - 15/8/2550
ทีโอทีดึงต่างชาติทำ 3จี แห่งชาติ แบบรัฐต่อรัฐลงทุน 1.7 หมื่นล้าน
ทีโอทีเตรียมเสนอครม.ทำโครงข่ายโทรศัพท์3จีของชาติ กับต่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ วงเงินลงทุน 1.4-1.7 หมื่นล้านบาท พร้อมเปิดประมูลใน 2 เดือนหากทุกฝ่ายเห็นชอบ
พ.อ.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการ บมจ. ทีโอที ในฐานะประธานกรรมการนโยบายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 G บนคลื่นความถี่ 1900 เมกกะเฮิร์ซ ว่า ทีโอทีเตรียมเสนอแผนการลงทุนโครงข่ายมือถือยุคที่ 3 มูลค่าลงทุน 14,000-17,000 ล้านบาท ในลักษณะการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลของต่างประเทศ (จีทูจี) ซึ่งเบื้องต้นพบว่า มีรัฐบาลญี่ปุ่น และ จีน สนใจเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบรัฐต่อรัฐ ส่วนรัสเซียได้ถอนตัวไปเพราะต้องการร่วมลงทุนตามพรบ.ร่วมทุนฯ หากแผนลงทุนผ่านการเห็นชอบจากสภาพัฒน์ และครม. จะสามารถเปิดประมูลได้ภายใน 2 เดือน
สำหรับเงินลงทุนจะขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังว่าจะค้ำประกันเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) หรืออาจจะหาแหล่งเงินกู้ในประเทศกรณีที่ไม่ต้องการสร้างภาระหนี้ต่างประเทศเพิ่ม ซึ่งจะทำให้โครงการนี้เป็นโครงข่ายโทรคมนาคมของชาติ และให้ผู้ประกอบการรายอื่นสามารถเช่าใช้โครงข่ายโดยไม่ต้องลงทุนซ้ำซ้อน
ส่วนปัญหาการถือหุ้นร่วมในกิจการร่วมค้าไทยโมบายนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างทีโอทีขอซื้อหุ้นคืนจาก บมจ.กสท โทรคมนาคม มูลค่า 2,400ล้านบาท ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ดกสทฯ แต่ถ้าบอร์ดไม่ยอมรับการลงทุนโครงข่าย 3 จี ก็จะมีกสทฯ ร่วมถือหุ้นด้วย แต่อาจจะมีสัดส่วนลดลงเมื่อทีโอทีได้เงินกู้ใหม่มาลงทุนในโครงข่ายมากขึ้น
siamrath
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179737
ทีโอทีดึงต่างชาติทำ 3จี แห่งชาติ แบบรัฐต่อรัฐลงทุน 1.7 หมื่นล้าน
ทีโอทีเตรียมเสนอครม.ทำโครงข่ายโทรศัพท์3จีของชาติ กับต่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ วงเงินลงทุน 1.4-1.7 หมื่นล้านบาท พร้อมเปิดประมูลใน 2 เดือนหากทุกฝ่ายเห็นชอบ
พ.อ.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการ บมจ. ทีโอที ในฐานะประธานกรรมการนโยบายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 G บนคลื่นความถี่ 1900 เมกกะเฮิร์ซ ว่า ทีโอทีเตรียมเสนอแผนการลงทุนโครงข่ายมือถือยุคที่ 3 มูลค่าลงทุน 14,000-17,000 ล้านบาท ในลักษณะการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลของต่างประเทศ (จีทูจี) ซึ่งเบื้องต้นพบว่า มีรัฐบาลญี่ปุ่น และ จีน สนใจเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบรัฐต่อรัฐ ส่วนรัสเซียได้ถอนตัวไปเพราะต้องการร่วมลงทุนตามพรบ.ร่วมทุนฯ หากแผนลงทุนผ่านการเห็นชอบจากสภาพัฒน์ และครม. จะสามารถเปิดประมูลได้ภายใน 2 เดือน
สำหรับเงินลงทุนจะขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังว่าจะค้ำประกันเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) หรืออาจจะหาแหล่งเงินกู้ในประเทศกรณีที่ไม่ต้องการสร้างภาระหนี้ต่างประเทศเพิ่ม ซึ่งจะทำให้โครงการนี้เป็นโครงข่ายโทรคมนาคมของชาติ และให้ผู้ประกอบการรายอื่นสามารถเช่าใช้โครงข่ายโดยไม่ต้องลงทุนซ้ำซ้อน
ส่วนปัญหาการถือหุ้นร่วมในกิจการร่วมค้าไทยโมบายนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างทีโอทีขอซื้อหุ้นคืนจาก บมจ.กสท โทรคมนาคม มูลค่า 2,400ล้านบาท ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ดกสทฯ แต่ถ้าบอร์ดไม่ยอมรับการลงทุนโครงข่าย 3 จี ก็จะมีกสทฯ ร่วมถือหุ้นด้วย แต่อาจจะมีสัดส่วนลดลงเมื่อทีโอทีได้เงินกู้ใหม่มาลงทุนในโครงข่ายมากขึ้น
siamrath
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179737
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/08/07
โพสต์ที่ 51
ไทยโมบายแบ่งเบอร์มือถือ เอไอเอส-ดีแทคแลกโรมมิง
โพสต์ทูเดย์ กทช.มาแปลกอนุมัติไทยโมบาย 4 ล้านเลขหมาย เพื่อส่งต่อให้เอไอเอส-ดีแทคใช้ ผ่าทางตันอุตสาหกรรมมือถือชะงัก
พ.อ.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ได้ยื่นขอเลขหมายต่อคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) สำหรับกิจการร่วมค้าไทยโมบาย ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือระบบ 1900 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 4 ล้านเลขหมาย
ทั้งนี้ เลขหมายดังกล่าว ไทย โมบาย จะนำไปใช้บนแพลตฟอร์มของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) รายละ 2 ล้านเลขหมาย หรือเท่ากับไทยโมบาย ขอเลขหมายแทนเอไอเอสกับดีแทค ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้ง 2 ราย เสนอให้ไทยโมบาย โรมมิง ระบบได้ทั่วประเทศรายละ 1 แสน เลขหมาย ซึ่งทีโอทีได้เจรจากับ พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธาน กทช. แล้ว
ต้องขอบคุณ กทช.ที่อนุมัติ เลขหมายให้ดีแทคและเอไอเอสช้า เพราะทำให้เบอร์ไทยโมบายมีมูลค่าเพิ่มขึ้น พ.อ.นาฬิกอติภัค กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการขยาย โครงข่ายโทรศัพท์ 3 จี นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำร่างเสนอบอร์ดเพื่อส่งต่อไปยังสภาพัฒน์ ก่อนจะนำเสนอ ต่อ ครม. เพื่ออนุมัติรูปแบบการกู้เงินระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล (จีทูจี) ตามนโยบายของนายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เมื่อผ่าน ครม.แล้ว จะเปิดให้แต่ละประเทศที่สนใจจะให้กู้เข้ามาเสนอ
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่จะต้องคำนึงคือ รายใหม่ที่จะเข้ามานั้นจะต้องสามารถเชื่อมต่อกับระบบเดิม ที่มีกิจการร่วมค้าซีเมนส์ และอีริคสัน เป็นผู้ติดตั้งจำนวน 1.4 พันสถานี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=185109
โพสต์ทูเดย์ กทช.มาแปลกอนุมัติไทยโมบาย 4 ล้านเลขหมาย เพื่อส่งต่อให้เอไอเอส-ดีแทคใช้ ผ่าทางตันอุตสาหกรรมมือถือชะงัก
พ.อ.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ได้ยื่นขอเลขหมายต่อคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) สำหรับกิจการร่วมค้าไทยโมบาย ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือระบบ 1900 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 4 ล้านเลขหมาย
ทั้งนี้ เลขหมายดังกล่าว ไทย โมบาย จะนำไปใช้บนแพลตฟอร์มของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) รายละ 2 ล้านเลขหมาย หรือเท่ากับไทยโมบาย ขอเลขหมายแทนเอไอเอสกับดีแทค ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้ง 2 ราย เสนอให้ไทยโมบาย โรมมิง ระบบได้ทั่วประเทศรายละ 1 แสน เลขหมาย ซึ่งทีโอทีได้เจรจากับ พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธาน กทช. แล้ว
ต้องขอบคุณ กทช.ที่อนุมัติ เลขหมายให้ดีแทคและเอไอเอสช้า เพราะทำให้เบอร์ไทยโมบายมีมูลค่าเพิ่มขึ้น พ.อ.นาฬิกอติภัค กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการขยาย โครงข่ายโทรศัพท์ 3 จี นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำร่างเสนอบอร์ดเพื่อส่งต่อไปยังสภาพัฒน์ ก่อนจะนำเสนอ ต่อ ครม. เพื่ออนุมัติรูปแบบการกู้เงินระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล (จีทูจี) ตามนโยบายของนายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เมื่อผ่าน ครม.แล้ว จะเปิดให้แต่ละประเทศที่สนใจจะให้กู้เข้ามาเสนอ
ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญที่จะต้องคำนึงคือ รายใหม่ที่จะเข้ามานั้นจะต้องสามารถเชื่อมต่อกับระบบเดิม ที่มีกิจการร่วมค้าซีเมนส์ และอีริคสัน เป็นผู้ติดตั้งจำนวน 1.4 พันสถานี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=185109
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/08/07
โพสต์ที่ 52
ไอทีเมืองกรุงเริ่มอืด คอมมาร์ตลุยตจว.
โพสต์ทูเดย์ คอมมาร์ต สยายปีก สู่ตลาดภูธร หวังดันรายได้ทดแทนตลาดไอทีเมืองกรุงที่เริ่มอิ่มตัว
นายปฐม อินทโรดม ผู้จัดการ ทั่วไป บริษัท เอ.อาร์. อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน ตัวแทนผู้จัดการ งานคอมมาร์ต กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานคอมมาร์ตในพื้นที่ต่างจังหวัด เนื่องจากพบว่าตลาดสินค้าไอทีในกรุงเทพฯ เริ่มอิ่มตัว สังเกตได้จากยอดขายโน้ตบุ๊กที่ชะลอตัวลง
ขณะที่เชื่อว่าผู้บริโภคในต่างจังหวัดเป็นตลาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อ แต่ยังขาดความรู้ความเข้าใจทางด้านไอที แม้ว่า จะมีความต้องการใช้งานสินค้าทางด้านไอทีก็ตาม
ดังนั้น เพื่อกระตุ้นผู้บริโภคใน ต่างจังหวัดให้มีความรู้ และใช้สินค้าไอทีที่ทันสมัยเพิ่มมากขึ้น จึงได้จัดงานคอมมาร์ตที่เมืองพัทยาเป็นแห่งแรกในวันที่ 5-9 ก.ย. และในเดือน พ.ย.นี้จะจัดงานคอมมาร์ตอีกครั้งที่ จ.ขอนแก่น เป็นจังหวัดที่ 2 เพราะทั้ง 2 จังหวัดเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นหัวเมืองใหญ่ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนในพื้นที่ รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงเดินทางเข้ามาร่วมงานได้ง่าย
ทั้งนี้ จะใช้งบในการจัดงานครั้งนี้20-25 ล้านบาท ตั้งเป้าจะมีผู้เข้ามา ชมงาน 2.5 แสนคน และมียอดใช้จ่ายในงานนี้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ส่วนการโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้น ได้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเข้ามามีส่วน ร่วมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย
งานคอมมาร์ตพัทยา 2007 จะเน้นกิจกรรมส่งเสริมความรู้ทางด้านไอทีที่หลากหลาย เช่น การจัดสัมมนาการประยุกต์ใช้ไอทีเพื่อนักธุรกิจเอสเอ็มอี เจเนอเรชันใหม่ การสาธิตและแนะนำนวัตกรรมใหม่ๆ
การจัดงานคอมมาร์ตที่จัดขึ้นในต่างจังหวัดไม่ได้จัดเฉพาะปีนี้เท่านั้น แต่จะจัดไปเรื่อยๆ ปีหน้าคาดว่าจะ จัดงานคอมมาร์ตในต่างจังหวัดให้ได้ 3 งาน ในจังหวัดที่เป็นหัวเมืองสำคัญ นายปฐม กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=185115
โพสต์ทูเดย์ คอมมาร์ต สยายปีก สู่ตลาดภูธร หวังดันรายได้ทดแทนตลาดไอทีเมืองกรุงที่เริ่มอิ่มตัว
นายปฐม อินทโรดม ผู้จัดการ ทั่วไป บริษัท เอ.อาร์. อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน ตัวแทนผู้จัดการ งานคอมมาร์ต กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานคอมมาร์ตในพื้นที่ต่างจังหวัด เนื่องจากพบว่าตลาดสินค้าไอทีในกรุงเทพฯ เริ่มอิ่มตัว สังเกตได้จากยอดขายโน้ตบุ๊กที่ชะลอตัวลง
ขณะที่เชื่อว่าผู้บริโภคในต่างจังหวัดเป็นตลาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อ แต่ยังขาดความรู้ความเข้าใจทางด้านไอที แม้ว่า จะมีความต้องการใช้งานสินค้าทางด้านไอทีก็ตาม
ดังนั้น เพื่อกระตุ้นผู้บริโภคใน ต่างจังหวัดให้มีความรู้ และใช้สินค้าไอทีที่ทันสมัยเพิ่มมากขึ้น จึงได้จัดงานคอมมาร์ตที่เมืองพัทยาเป็นแห่งแรกในวันที่ 5-9 ก.ย. และในเดือน พ.ย.นี้จะจัดงานคอมมาร์ตอีกครั้งที่ จ.ขอนแก่น เป็นจังหวัดที่ 2 เพราะทั้ง 2 จังหวัดเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นหัวเมืองใหญ่ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนในพื้นที่ รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงเดินทางเข้ามาร่วมงานได้ง่าย
ทั้งนี้ จะใช้งบในการจัดงานครั้งนี้20-25 ล้านบาท ตั้งเป้าจะมีผู้เข้ามา ชมงาน 2.5 แสนคน และมียอดใช้จ่ายในงานนี้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ส่วนการโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้น ได้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเข้ามามีส่วน ร่วมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย
งานคอมมาร์ตพัทยา 2007 จะเน้นกิจกรรมส่งเสริมความรู้ทางด้านไอทีที่หลากหลาย เช่น การจัดสัมมนาการประยุกต์ใช้ไอทีเพื่อนักธุรกิจเอสเอ็มอี เจเนอเรชันใหม่ การสาธิตและแนะนำนวัตกรรมใหม่ๆ
การจัดงานคอมมาร์ตที่จัดขึ้นในต่างจังหวัดไม่ได้จัดเฉพาะปีนี้เท่านั้น แต่จะจัดไปเรื่อยๆ ปีหน้าคาดว่าจะ จัดงานคอมมาร์ตในต่างจังหวัดให้ได้ 3 งาน ในจังหวัดที่เป็นหัวเมืองสำคัญ นายปฐม กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=185115
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/08/07
โพสต์ที่ 53
DTAC เฮรับเลข2ล้าน ADVANC เด่น
DTAC เป็นปลื้ม กทช.รับรองสัญญาไอซีที่ทำกับ TRUE , ADVANC และทริปเปิลที บรอดแบรนด์ถูกต้องตามกฎหมาย
DTAC เป็นปลื้ม กทช.รับรองสัญญาไอซีที่ทำกับ TRUE , ADVANC และทริปเปิลที บรอดแบรนด์ถูกต้องตามกฎหมาย และยังยอมปล่อยเลขหมายใหม่ให้อีก 2 ล้านเลขหมาย เตรียมลุยทำการตลาดคลอดโปรโมชั่นใหม่เดือนตุลาคมนี้ โบรกประเมินปัจจัยบวกระยะยาว ระยะสั้นสู้ ADVANC ไม่ได้ เพราะมีปันผลล่อใจสูงถึง 3 บาท และยังเตรียมบุ๊ครายได้จากไอซี ดันราคาเป้าหมายเพิ่มอีก 14-28 บาท จากเดิมให้ไว้ 100 บาท ส่วนเทคนิคมีเด้งทั้งคู่
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น DTAC วานนี้ (16 ส.ค.) ลดลงต่ำกว่าราคาจองที่ 40.00 บาท โดยปิดตลาดที่ 38.25 บาท ลดลง 1.75 บาท หรือ 4.38% มูลค่าซื้อขายรวม 152 ล้านบาท ส่วน ADVANC ปิดตลาดที่ 86.50 บาท ลดลง 6.50 บาท หรือ 6.99% มูลค่าซื้อขายรวม 907 ล้านบาท
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองปรานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพาณิชย์ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เปิดเผยว่า ทางกทช.ได้พิจารณาอนุมัติเลขหมายใหม่แล้วจำนวน 2 ล้านเลขหมาย จากที่บริษัทได้ขอไปจำนวน 3 ล้านเลขหมาย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทำการตลาด และโปรโมชั่นใหม่ได้ประมาณเดือนตุลาคมนี้
สำหรับการทำการตลาดในต่างจังหวัดยังคงมีการเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะมีความล้าช้าออกไปบ้าง เพราะจะต้องรอการพิจารณาอนุมัติเลขหมายใหม่จาก กทช. ซึ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้บริษัทจะพิจารณาขอเลขหมายใหม่เพิ่มขึ้น แต่จะเป็นจำนวนเท่าไหร่นั้นจะต้องพิจารณาความต้องการใช้อีกครั้ง
ทั้งนี้สำหรับเลขหมายใหม่ที่ได้มานั้นจะส่งผลดีในแง่ของรายได้ และลูกค้าใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตซึ่งจะสอดคล้องกับโปรโมชั่นใหม่ที่บริษัทจะออกมาใหม่ในช่วงตุลาคมนี้ด้วย
ตั้งแต่เดือนตุลาคมการแข่งขันออกโปรโมชั่น และทำการตลาดของผู้ประกอบการคึกคักมากขึ้น แต่เชื่อว่าจะยังไม่ออกสู่ต่างจังหวัดมากนัก เพราะสต็อกเลขหมายใหม่ยังมีอยู่น้อย ซึ่งคาดว่าหากทางกทช.พิจารณาเลขใหม่เพิ่มขึ้นจะทำให้ตลาดในต่างจังหวัดจะมีการแข่งขันร้อนแรงมากขึ้น นายธนากล่าว
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตรี้ จำกัด กล่าวว่า การอนุมัติเลขหมายใหม่เพิ่มอีก 2 ล้านเลขหมายให้กับ DTAC ของ กทช.ในครั้งนี้ มองว่าเป็นปัจจัยบวกกับ DTAC ในระยะยาวได้ เพราะจะสามารถเพิ่มสภาพคล่องในการทำการตลาด และการเพิ่มโปรโมชั่นได้สูงมากขึ้น
อย่างไรก็ตามทาง DTAC เสียเปรียบ ADVANC จากฐานลูกค้าที่น้อยกว่าในแง่ของการทำการตลาด เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ ประกอบกับทาง ADVANC ก็ได้มีการขอเลขหมายใหม่เพิ่มเช่นกัน ซึ่งจะเอื้อให้ ADVANC ทำตลาดเพิ่มมากขึ้นได้ด้วย
นักวิเคราะห์ กล่าวต่อว่า การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในกลุ่มสื่อสารในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่วนหนึ่งเพราะค่าพี/อีของกลุ่มสื่อสารที่สูงกว่าพี/อีของตลาดรวม จึงทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่าตลาด แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานแล้ว มองว่า DTAC และ ADVANC ยังคงน่าลงทุน
ทั้งนี้หากพิจารณาในระยะสั้นแล้วมองว่า ADVANC จะโดดเด่นกว่า เพราะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลสูงถึง 3.00 บาทต่อหุ้น และยังมีแนวโน้มที่จะบันทึกรายได้จากเปลี่ยนมาใช้ระบบการเชื่อมโยงโครงข่ายแบบไอซี และที่สำคัญ ADVANC มีหนี้น้อย
ฝ่ายวิจัยประเมินว่าหาก ADVANC สามารถบันทึกรายได้จากไอซีได้จึงในเร็วๆนี้ ฝ่ายวิจัยอาจพิจารณาปรับราคาเป้าหมายใหม่เพิ่มอีก
14-28 บาท เทียบจากระดับ พี/อี 14 เท่า ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 114-128 บาท จากราคาเป้าหมายในปัจจุบันที่ 100 บาท
ดังนั้นมองว่าในระยะสั้นราคาหุ้น ADVANC มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า DTAC จึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ADVANC ให้ราคาเป้าหมาย 100 บาท ส่วน DTAC แนะ ซื้อลงทุนให้ราคาเป้าหมาย 50 บาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 290&ch=225
DTAC เป็นปลื้ม กทช.รับรองสัญญาไอซีที่ทำกับ TRUE , ADVANC และทริปเปิลที บรอดแบรนด์ถูกต้องตามกฎหมาย
DTAC เป็นปลื้ม กทช.รับรองสัญญาไอซีที่ทำกับ TRUE , ADVANC และทริปเปิลที บรอดแบรนด์ถูกต้องตามกฎหมาย และยังยอมปล่อยเลขหมายใหม่ให้อีก 2 ล้านเลขหมาย เตรียมลุยทำการตลาดคลอดโปรโมชั่นใหม่เดือนตุลาคมนี้ โบรกประเมินปัจจัยบวกระยะยาว ระยะสั้นสู้ ADVANC ไม่ได้ เพราะมีปันผลล่อใจสูงถึง 3 บาท และยังเตรียมบุ๊ครายได้จากไอซี ดันราคาเป้าหมายเพิ่มอีก 14-28 บาท จากเดิมให้ไว้ 100 บาท ส่วนเทคนิคมีเด้งทั้งคู่
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น DTAC วานนี้ (16 ส.ค.) ลดลงต่ำกว่าราคาจองที่ 40.00 บาท โดยปิดตลาดที่ 38.25 บาท ลดลง 1.75 บาท หรือ 4.38% มูลค่าซื้อขายรวม 152 ล้านบาท ส่วน ADVANC ปิดตลาดที่ 86.50 บาท ลดลง 6.50 บาท หรือ 6.99% มูลค่าซื้อขายรวม 907 ล้านบาท
นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองปรานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพาณิชย์ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เปิดเผยว่า ทางกทช.ได้พิจารณาอนุมัติเลขหมายใหม่แล้วจำนวน 2 ล้านเลขหมาย จากที่บริษัทได้ขอไปจำนวน 3 ล้านเลขหมาย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทำการตลาด และโปรโมชั่นใหม่ได้ประมาณเดือนตุลาคมนี้
สำหรับการทำการตลาดในต่างจังหวัดยังคงมีการเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะมีความล้าช้าออกไปบ้าง เพราะจะต้องรอการพิจารณาอนุมัติเลขหมายใหม่จาก กทช. ซึ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้บริษัทจะพิจารณาขอเลขหมายใหม่เพิ่มขึ้น แต่จะเป็นจำนวนเท่าไหร่นั้นจะต้องพิจารณาความต้องการใช้อีกครั้ง
ทั้งนี้สำหรับเลขหมายใหม่ที่ได้มานั้นจะส่งผลดีในแง่ของรายได้ และลูกค้าใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตซึ่งจะสอดคล้องกับโปรโมชั่นใหม่ที่บริษัทจะออกมาใหม่ในช่วงตุลาคมนี้ด้วย
ตั้งแต่เดือนตุลาคมการแข่งขันออกโปรโมชั่น และทำการตลาดของผู้ประกอบการคึกคักมากขึ้น แต่เชื่อว่าจะยังไม่ออกสู่ต่างจังหวัดมากนัก เพราะสต็อกเลขหมายใหม่ยังมีอยู่น้อย ซึ่งคาดว่าหากทางกทช.พิจารณาเลขใหม่เพิ่มขึ้นจะทำให้ตลาดในต่างจังหวัดจะมีการแข่งขันร้อนแรงมากขึ้น นายธนากล่าว
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตรี้ จำกัด กล่าวว่า การอนุมัติเลขหมายใหม่เพิ่มอีก 2 ล้านเลขหมายให้กับ DTAC ของ กทช.ในครั้งนี้ มองว่าเป็นปัจจัยบวกกับ DTAC ในระยะยาวได้ เพราะจะสามารถเพิ่มสภาพคล่องในการทำการตลาด และการเพิ่มโปรโมชั่นได้สูงมากขึ้น
อย่างไรก็ตามทาง DTAC เสียเปรียบ ADVANC จากฐานลูกค้าที่น้อยกว่าในแง่ของการทำการตลาด เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ ประกอบกับทาง ADVANC ก็ได้มีการขอเลขหมายใหม่เพิ่มเช่นกัน ซึ่งจะเอื้อให้ ADVANC ทำตลาดเพิ่มมากขึ้นได้ด้วย
นักวิเคราะห์ กล่าวต่อว่า การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในกลุ่มสื่อสารในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่วนหนึ่งเพราะค่าพี/อีของกลุ่มสื่อสารที่สูงกว่าพี/อีของตลาดรวม จึงทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่าตลาด แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานแล้ว มองว่า DTAC และ ADVANC ยังคงน่าลงทุน
ทั้งนี้หากพิจารณาในระยะสั้นแล้วมองว่า ADVANC จะโดดเด่นกว่า เพราะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลสูงถึง 3.00 บาทต่อหุ้น และยังมีแนวโน้มที่จะบันทึกรายได้จากเปลี่ยนมาใช้ระบบการเชื่อมโยงโครงข่ายแบบไอซี และที่สำคัญ ADVANC มีหนี้น้อย
ฝ่ายวิจัยประเมินว่าหาก ADVANC สามารถบันทึกรายได้จากไอซีได้จึงในเร็วๆนี้ ฝ่ายวิจัยอาจพิจารณาปรับราคาเป้าหมายใหม่เพิ่มอีก
14-28 บาท เทียบจากระดับ พี/อี 14 เท่า ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 114-128 บาท จากราคาเป้าหมายในปัจจุบันที่ 100 บาท
ดังนั้นมองว่าในระยะสั้นราคาหุ้น ADVANC มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า DTAC จึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ADVANC ให้ราคาเป้าหมาย 100 บาท ส่วน DTAC แนะ ซื้อลงทุนให้ราคาเป้าหมาย 50 บาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 290&ch=225
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news22/08/07
โพสต์ที่ 54
SAMTEL-FORTH เต็งหนึ่ง ประมูลกล้อง
โบรกเชื่อบจ.แห่ชิงเค้กประมูลติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV เพียบหลังคณะรัฐมนตรีไฟเขียว
โบรกเชื่อบจ.แห่ชิงเค้กประมูลติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV เพียบหลังคณะรัฐมนตรีไฟเขียวให้กระทรวงมหาดไทยจัดซื้อและติดตั้งในเขตพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้งบ 969 ล้านบาท ชี้เต็งหนึ่งหนีไม่พ้น SAMTEL เหตุสัมพันธ์แน่นปึ้กมีโอกาสรับงานเต็มที่ ส่วน FORTH ไม่น้อยหน้าผลงานเข้าตากรรมการเช่นกันแนะ ซื้อ เป้าหมาย 11.00 บาท
นางสาวมยุรี โชวิกรานติ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณแบบผูกพันในปี 50-51 จำนวน 969 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณปี 50 จำนวน 146 ล้านบาท และงบปี 51 อีกจำนวน 823 ล้านบาท เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้จัดการงบประมาณดังกล่าว ซึ่งถือเป็นประเด็นจุดชนวนการประมูล CCTV อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามบริษัทที่คาดว่าจะเข้าร่วมประมูลเพื่อชิงเค้กครั้งนี้ คือ บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) SAMTEL และบริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) FORTH ซึ่งบริษัททั้ง 2 แห่งถือเป็นรายใหญ่ที่มีการบริการที่ครบวงจร แต่มองว่าบริษัทที่น่าจะมีโอกาสได้รับงานนี้มากที่สุดคือ SAMTEL เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยรับงานติดตั้งกล้องวงจรปิดให้แก่กระทรวงมหาดไทย
ดังนั้นกรณี SAMTEL ได้รับงานดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อผลประกอบการในปี 2551 ฟื้นตัวประกอบกับปีหน้าคาดว่ารัฐบาลจะมีความชัดเจนและจะมีการเปิดประมูลโครงการมากขึ้น
สำหรับผลประกอบการปี 2550 ของ SAMTEL คาดว่าคงจะมีกำไรสุทธิที่ 242 ล้านบาท ลดลง 27% เทียบจากปีก่อนและรายได้อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมรายการพิเศษจากโครงการติดตั้ง CCTV แต่สำหรับผลการดำเนินงานปี 2551 ของ SAMTEL คาดว่าจะเติบโตที่ดีกว่าปี 50 เพราะทยอยรับรู้รายได้จากการติดตั้งโครงการอินเตอร์เน็ตตำบลในไตรมาส 3/2550 โดยให้ราคาเป้าหมาย ที่ 9.00 บาท กรณีเพิ่มทุนราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 7.50 บาท
ส่วน FORTH คงแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 11.00 บาท โดยมองแนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังจะถึงจุดสูงสุดของปี 50 เนื่องจากงานหลักอย่าง Western Digital จะเริ่มรับรู้ตั้งแต่เดือนก.ค.2550 ส่งผลให้รับรู้กำไรจากโครงการดังกล่าวในไตรมาส 3/2550 ราว 10 ล้านบาท และรับรู้กำไรในไตรมาส 4/2550 ราว 60 ล้านบาท และงานขายจอ LED มูลค่างาน 415 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้กำไรเข้ามาในไตรมาส 3/2550 มากกว่า 80 ล้านบาท
นอกจากนี้คงรับรู้รายได้จากงานขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ งานโฆษณา งานไฟจราจร และงานประมูลขาย IP DSLAM และ MSAN ที่อยู่ระหว่างการประมูลงานกว่า 900 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ TOT เร่งเปิดประมูลภายในไตรมาส3/2550
นางสาวศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทที่จะสามารถชนะประมูลการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดในครั้งนี้ นอกจากแข่งขันราคาสินค้าแล้วยังต้องแข่งขันด้านฟังก์ชั่นตัวกล้องที่ต้องมีความพิเศษและความสามารถที่มากกว่ากล้องที่ติดตั้งทั่วไป ดังนั้นการประมูลครั้งนี้อาจจำกัดผู้เข้าร่วมประมูล ซึ่งบริษัทที่มีฟังก์ชั่นพิเศษและโปรแกรมที่ดี คือ บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FORTH ถือว่ามีจุดแข็งที่ดีเพราะเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์โทรคมนาคมและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการพัฒนาโปรแกรมอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งกรณีที่ FORTH ได้รับงานประมูลครั้งนี้ถือเป็นรายการพิเศษที่จะสามารถรับรู้รายได้บางส่วนในไตรมาส 4/2550 และรับรู้เต็มที่ในไตรมาส 1/2551 โดยคาดว่าปีนี้ FORTH จะมีรายได้กว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมรายการพิเศษ ประกอบกับราคาซื้อขายในปัจจุบันค่อนข้างต่ำกว่าราคาเป้าหมาย ที่ 8.40 บาท ดังนั้นคงแนะนำทยอยซื้อสะสม
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 366&ch=225
โบรกเชื่อบจ.แห่ชิงเค้กประมูลติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV เพียบหลังคณะรัฐมนตรีไฟเขียว
โบรกเชื่อบจ.แห่ชิงเค้กประมูลติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV เพียบหลังคณะรัฐมนตรีไฟเขียวให้กระทรวงมหาดไทยจัดซื้อและติดตั้งในเขตพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้งบ 969 ล้านบาท ชี้เต็งหนึ่งหนีไม่พ้น SAMTEL เหตุสัมพันธ์แน่นปึ้กมีโอกาสรับงานเต็มที่ ส่วน FORTH ไม่น้อยหน้าผลงานเข้าตากรรมการเช่นกันแนะ ซื้อ เป้าหมาย 11.00 บาท
นางสาวมยุรี โชวิกรานติ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณแบบผูกพันในปี 50-51 จำนวน 969 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณปี 50 จำนวน 146 ล้านบาท และงบปี 51 อีกจำนวน 823 ล้านบาท เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้จัดการงบประมาณดังกล่าว ซึ่งถือเป็นประเด็นจุดชนวนการประมูล CCTV อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามบริษัทที่คาดว่าจะเข้าร่วมประมูลเพื่อชิงเค้กครั้งนี้ คือ บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) SAMTEL และบริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) FORTH ซึ่งบริษัททั้ง 2 แห่งถือเป็นรายใหญ่ที่มีการบริการที่ครบวงจร แต่มองว่าบริษัทที่น่าจะมีโอกาสได้รับงานนี้มากที่สุดคือ SAMTEL เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยรับงานติดตั้งกล้องวงจรปิดให้แก่กระทรวงมหาดไทย
ดังนั้นกรณี SAMTEL ได้รับงานดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อผลประกอบการในปี 2551 ฟื้นตัวประกอบกับปีหน้าคาดว่ารัฐบาลจะมีความชัดเจนและจะมีการเปิดประมูลโครงการมากขึ้น
สำหรับผลประกอบการปี 2550 ของ SAMTEL คาดว่าคงจะมีกำไรสุทธิที่ 242 ล้านบาท ลดลง 27% เทียบจากปีก่อนและรายได้อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมรายการพิเศษจากโครงการติดตั้ง CCTV แต่สำหรับผลการดำเนินงานปี 2551 ของ SAMTEL คาดว่าจะเติบโตที่ดีกว่าปี 50 เพราะทยอยรับรู้รายได้จากการติดตั้งโครงการอินเตอร์เน็ตตำบลในไตรมาส 3/2550 โดยให้ราคาเป้าหมาย ที่ 9.00 บาท กรณีเพิ่มทุนราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 7.50 บาท
ส่วน FORTH คงแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 11.00 บาท โดยมองแนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังจะถึงจุดสูงสุดของปี 50 เนื่องจากงานหลักอย่าง Western Digital จะเริ่มรับรู้ตั้งแต่เดือนก.ค.2550 ส่งผลให้รับรู้กำไรจากโครงการดังกล่าวในไตรมาส 3/2550 ราว 10 ล้านบาท และรับรู้กำไรในไตรมาส 4/2550 ราว 60 ล้านบาท และงานขายจอ LED มูลค่างาน 415 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้กำไรเข้ามาในไตรมาส 3/2550 มากกว่า 80 ล้านบาท
นอกจากนี้คงรับรู้รายได้จากงานขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ งานโฆษณา งานไฟจราจร และงานประมูลขาย IP DSLAM และ MSAN ที่อยู่ระหว่างการประมูลงานกว่า 900 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ TOT เร่งเปิดประมูลภายในไตรมาส3/2550
นางสาวศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทที่จะสามารถชนะประมูลการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดในครั้งนี้ นอกจากแข่งขันราคาสินค้าแล้วยังต้องแข่งขันด้านฟังก์ชั่นตัวกล้องที่ต้องมีความพิเศษและความสามารถที่มากกว่ากล้องที่ติดตั้งทั่วไป ดังนั้นการประมูลครั้งนี้อาจจำกัดผู้เข้าร่วมประมูล ซึ่งบริษัทที่มีฟังก์ชั่นพิเศษและโปรแกรมที่ดี คือ บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FORTH ถือว่ามีจุดแข็งที่ดีเพราะเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์โทรคมนาคมและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการพัฒนาโปรแกรมอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งกรณีที่ FORTH ได้รับงานประมูลครั้งนี้ถือเป็นรายการพิเศษที่จะสามารถรับรู้รายได้บางส่วนในไตรมาส 4/2550 และรับรู้เต็มที่ในไตรมาส 1/2551 โดยคาดว่าปีนี้ FORTH จะมีรายได้กว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมรายการพิเศษ ประกอบกับราคาซื้อขายในปัจจุบันค่อนข้างต่ำกว่าราคาเป้าหมาย ที่ 8.40 บาท ดังนั้นคงแนะนำทยอยซื้อสะสม
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 366&ch=225
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news30/08/07
โพสต์ที่ 55
เอกชนหนุนงบ 1 พันล.ตั้งเคลียริ่งเฮาส์ดีแทคมั่นใจเปิดเลขหมายเดียวทุกระบบได้ [ ฉบับที่ 822 ประจำวันที่ 25-8-2007 ถึง 28-8-2007]
นายสันติ เมธาวิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค เปิดเผยว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช.ได้สนับสนุน ให้ผู้บริการแต่ละรายร่วมกันผลักดันโครงการ เลขหมายเดียวทุกระบบ หรือนัมเบอร์พอร์ต บิลิตี้ (Number Portability) ให้เกิดขึ้นภายในปีหน้า โดยผลสำรวจของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยที่กทช.ให้ดำเนินการนั้น พบว่าผู้ใช้บริการประมาณ 90% อยากให้มีบริการเลขหมายเดียวทุกระบบ และยินดีจะจ่ายค่า บริการ ราคา 200-300 บาท ปัจจุบัน มี 37 ประเทศทั่วโลกที่มีการใช้นัมเบอร์พอร์ตแล้ว ซึ่งประเทศไทย จะเป็นประเทศที่ 4 ในเอเชีย ต่อจาก สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย ที่ประกาศใช้
ทั้งนี้ กทช.ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดูเรื่องดังกล่าว ออกเป็น 3 ชุด ได้แก่ ชุดที่รับผิดชอบเรื่องเคลียริ่งเฮาส์ ซึ่งมี นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส เป็นประธาน ชุดกระบวนการดำเนินการ ที่มีนายธิติฎฐ์ นันทพัฒน์สิริ จาก บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นประธาน และด้านโครงข่าย ซึ่งทั้ง 3 คณะ จะเข้าร่วมประชุมกับทางกทช. ในวันที่ 24 สิงหาคม 2550 นี้
อย่างไรก็ตาม โครงการนัมเบอร์พอร์ตบิลิตี้ดังกล่าว จะใช้เงินลงทุนมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท โดยการลงทุนดังกล่าวแบ่งเป็นการ จัดตั้งหน่วยงานกลาง เพื่อทำหน้าที่ตรวจวัดปริมาณการใช้งาน (เคลียริ่งเฮาส์) ซึ่งจะมีระบบดาต้าเบสกลางคอยทำหน้าที่เก็บเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมดประมาณ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลือจะเป็นการปรับระบบของผู้ให้บริการแต่ละรายให้สามารถเชื่อมต่อกันได้ทั้งหมด
นายสันติ กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้ให้บริการต้องการที่จะร่วมกันจัดตั้งเคลียริ่งเฮาส์กันเอง เนื่องจากฐานข้อมูลของกลุ่มลูกค้า ถือว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญของผู้ประกอบการแต่ละราย รวมทั้งผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละรายเอง ก็ต้องการที่จะเปิดให้บริการโทรศัพท์เบอร์เดียวใช้งานได้ทุกระบบ เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการใช้งานของกลุ่มลูกค้า ซึ่งเชื่อว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่จะเป็นบริการแรกที่เปิดบริการดังกล่าว รวมทั้งการตั้งเคลียริ่ง เฮาส์ นั้นจะช่วยให้การแข่งขันของผู้ประกอบการแต่ละราย เน้นเรื่องของคุณภาพในการให้บริการมากกว่าการใช้กลยุทธ์ด้านราคา เพราะหากคุณภาพไม่ดี ลูกค้าก็สามารถเปลี่ยนไปใช้ระบบอื่นได้ทันที แต่การให้บริการดังกล่าว ลูกค้าจำเป็นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหรือ ยกเลิกเลขหมาย เพราะในส่วนนี้ผู้ให้บริการจะมีต้นทุนในการดำเนินการ
http://www.siamturakij.com/home/index.html
นายสันติ เมธาวิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค เปิดเผยว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช.ได้สนับสนุน ให้ผู้บริการแต่ละรายร่วมกันผลักดันโครงการ เลขหมายเดียวทุกระบบ หรือนัมเบอร์พอร์ต บิลิตี้ (Number Portability) ให้เกิดขึ้นภายในปีหน้า โดยผลสำรวจของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยที่กทช.ให้ดำเนินการนั้น พบว่าผู้ใช้บริการประมาณ 90% อยากให้มีบริการเลขหมายเดียวทุกระบบ และยินดีจะจ่ายค่า บริการ ราคา 200-300 บาท ปัจจุบัน มี 37 ประเทศทั่วโลกที่มีการใช้นัมเบอร์พอร์ตแล้ว ซึ่งประเทศไทย จะเป็นประเทศที่ 4 ในเอเชีย ต่อจาก สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย ที่ประกาศใช้
ทั้งนี้ กทช.ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดูเรื่องดังกล่าว ออกเป็น 3 ชุด ได้แก่ ชุดที่รับผิดชอบเรื่องเคลียริ่งเฮาส์ ซึ่งมี นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส เป็นประธาน ชุดกระบวนการดำเนินการ ที่มีนายธิติฎฐ์ นันทพัฒน์สิริ จาก บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นประธาน และด้านโครงข่าย ซึ่งทั้ง 3 คณะ จะเข้าร่วมประชุมกับทางกทช. ในวันที่ 24 สิงหาคม 2550 นี้
อย่างไรก็ตาม โครงการนัมเบอร์พอร์ตบิลิตี้ดังกล่าว จะใช้เงินลงทุนมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท โดยการลงทุนดังกล่าวแบ่งเป็นการ จัดตั้งหน่วยงานกลาง เพื่อทำหน้าที่ตรวจวัดปริมาณการใช้งาน (เคลียริ่งเฮาส์) ซึ่งจะมีระบบดาต้าเบสกลางคอยทำหน้าที่เก็บเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมดประมาณ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลือจะเป็นการปรับระบบของผู้ให้บริการแต่ละรายให้สามารถเชื่อมต่อกันได้ทั้งหมด
นายสันติ กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้ให้บริการต้องการที่จะร่วมกันจัดตั้งเคลียริ่งเฮาส์กันเอง เนื่องจากฐานข้อมูลของกลุ่มลูกค้า ถือว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญของผู้ประกอบการแต่ละราย รวมทั้งผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละรายเอง ก็ต้องการที่จะเปิดให้บริการโทรศัพท์เบอร์เดียวใช้งานได้ทุกระบบ เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการใช้งานของกลุ่มลูกค้า ซึ่งเชื่อว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่จะเป็นบริการแรกที่เปิดบริการดังกล่าว รวมทั้งการตั้งเคลียริ่ง เฮาส์ นั้นจะช่วยให้การแข่งขันของผู้ประกอบการแต่ละราย เน้นเรื่องของคุณภาพในการให้บริการมากกว่าการใช้กลยุทธ์ด้านราคา เพราะหากคุณภาพไม่ดี ลูกค้าก็สามารถเปลี่ยนไปใช้ระบบอื่นได้ทันที แต่การให้บริการดังกล่าว ลูกค้าจำเป็นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหรือ ยกเลิกเลขหมาย เพราะในส่วนนี้ผู้ให้บริการจะมีต้นทุนในการดำเนินการ
http://www.siamturakij.com/home/index.html
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/09/07
โพสต์ที่ 56
จี้รัฐเคาะ3จีก่อนสิ้นต.ค.
โพสต์ทูเดย์ ทีโอที ลุ้นแผนลงทุน 3 จีทั่วประเทศ 1.7 หมื่นล้านบาท ผ่านครม.ขิงแก่ ทัน 30 ต.ค. ก่อนวืดโอกาส เพราะรัฐบาลเปลี่ยนมือ
พ.อ.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที ในฐานะประธานคณะทำงานโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งชาติ หรือ 3 จี กล่าวว่า หากต้องการให้แผนการลงทุนในรูปแบบ รัฐบาลกับรัฐบาล (จีทูจี) เสร็จในรัฐบาลชุดนี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.) จะต้องอนุมัติแผนดังกล่าวภายในวันที่ 30 ต.ค. เพื่อให้กระบวนการต่างๆ ของการคัดเลือกประเทศผู้ลงทุน ที่ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน สามารถเสร็จทันก่อนเลือกตั้งช่วงปลายเดือน ธ.ค.
ทั้งนี้ ในวันที่ 7 ก.ย. จะนำร่างแผนการลงทุน 3 จี (ทีโออาร์) เสนอให้บอร์ดทีโอทีอนุมัติ เพื่อให้ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เสนอเข้า ครม. และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) พิจารณา ซึ่งไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นโครงการลักษณะเดียวกับซีดีเอ็มภูมิภาค 51 จังหวัดของ กสท โทรคมนาคม
โครงการดังกล่าวเป็นการลงทุนครั้งเดียวทั่วประเทศ มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท มีสถานีฐานจำนวน 3 พันแห่ง แบ่งเป็นนครหลวง 2 พันแห่ง และภูมิภาค 1 พันแห่ง โดยการลงทุนครั้งนี้มุ่งเน้นให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเอกชนเช่าใช้ 80%
พ.อ.นาฬิกอติภัค กล่าวว่า การที่ต้องเร่งโครงการนี้ เพื่อไม่ให้ทีโอทีเสียโอกาส เพราะหากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ออกใบอนุญาต (ไลเซนส์) ได้ เอกชนก็จะหันไปลงทุนเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งทีโอทีอีก
สำหรับปัจจัยสำคัญในการเลือกประเทศผู้ลงทุน คือการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) และระยะเวลาให้กู้ที่นาน รวมทั้งเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของทีโอทีได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189005
โพสต์ทูเดย์ ทีโอที ลุ้นแผนลงทุน 3 จีทั่วประเทศ 1.7 หมื่นล้านบาท ผ่านครม.ขิงแก่ ทัน 30 ต.ค. ก่อนวืดโอกาส เพราะรัฐบาลเปลี่ยนมือ
พ.อ.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที ในฐานะประธานคณะทำงานโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งชาติ หรือ 3 จี กล่าวว่า หากต้องการให้แผนการลงทุนในรูปแบบ รัฐบาลกับรัฐบาล (จีทูจี) เสร็จในรัฐบาลชุดนี้ คณะรัฐมนตรี(ครม.) จะต้องอนุมัติแผนดังกล่าวภายในวันที่ 30 ต.ค. เพื่อให้กระบวนการต่างๆ ของการคัดเลือกประเทศผู้ลงทุน ที่ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน สามารถเสร็จทันก่อนเลือกตั้งช่วงปลายเดือน ธ.ค.
ทั้งนี้ ในวันที่ 7 ก.ย. จะนำร่างแผนการลงทุน 3 จี (ทีโออาร์) เสนอให้บอร์ดทีโอทีอนุมัติ เพื่อให้ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เสนอเข้า ครม. และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) พิจารณา ซึ่งไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นโครงการลักษณะเดียวกับซีดีเอ็มภูมิภาค 51 จังหวัดของ กสท โทรคมนาคม
โครงการดังกล่าวเป็นการลงทุนครั้งเดียวทั่วประเทศ มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท มีสถานีฐานจำนวน 3 พันแห่ง แบ่งเป็นนครหลวง 2 พันแห่ง และภูมิภาค 1 พันแห่ง โดยการลงทุนครั้งนี้มุ่งเน้นให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเอกชนเช่าใช้ 80%
พ.อ.นาฬิกอติภัค กล่าวว่า การที่ต้องเร่งโครงการนี้ เพื่อไม่ให้ทีโอทีเสียโอกาส เพราะหากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ออกใบอนุญาต (ไลเซนส์) ได้ เอกชนก็จะหันไปลงทุนเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งทีโอทีอีก
สำหรับปัจจัยสำคัญในการเลือกประเทศผู้ลงทุน คือการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) และระยะเวลาให้กู้ที่นาน รวมทั้งเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของทีโอทีได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189005
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/09/07
โพสต์ที่ 57
โน้ตบุ๊กมาแรง 2ปีแซงพีซีแน่ นักศึกษาแห่ซื้อ
โพสต์ทูเดย์ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชี้ โน้ตบุ๊กมาแรง เบียดแซงหน้าตลาดพีซีในอีก 2 ปีข้างหน้า
นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า ทิศทางการใช้งานคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในเมืองไทยมีปริมาณการใช้งานใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (พีซี) โดยในอีก 2 ปีข้างหน้า ปริมาณการใช้โน้ตบุ๊กจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ของตลาดพีซีโดยรวม จากปัจจุบันที่โน้ตบุ๊กมียอดขายถึง 7 แสนเครื่อง หรือ 40% ของตลาดคอมพิวเตอร์โดยรวมในปีนี้
สำหรับสาเหตุที่ยอดขายโน้ตบุ๊ก เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากราคาเครื่องโน้ตบุ๊กปรับลงต่อเนื่อง โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 2.5 หมื่นบาท ในขณะเดียวกันกลุ่มที่มาแรงและนิยมซื้อโน้ตบุ๊กใช้มากที่สุดในปัจจุบันกลายเป็นนักเรียน นักศึกษา ทำให้ตลาดมีอัตราการขยายตัว
นายพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าว อัสซุสจึงได้ร่วมมือกับอินเทล จัดกิจกรรมเชิงวิชาการเพื่อสร้างนักการตลาดด้านไอทีขึ้น และเป็นการเข้าถึงตลาดด้านการศึกษาด้วย เพราะที่ผ่านมาบริษัทเน้นทำตลาด เฉพาะผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นว่าการใช้โน้ตบุ๊กเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกมาแรงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่โตมาก เชื่อว่าทำให้อัสซุสมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งที่ 5% จากตลาดรวม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189485
โพสต์ทูเดย์ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชี้ โน้ตบุ๊กมาแรง เบียดแซงหน้าตลาดพีซีในอีก 2 ปีข้างหน้า
นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า ทิศทางการใช้งานคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในเมืองไทยมีปริมาณการใช้งานใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (พีซี) โดยในอีก 2 ปีข้างหน้า ปริมาณการใช้โน้ตบุ๊กจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ของตลาดพีซีโดยรวม จากปัจจุบันที่โน้ตบุ๊กมียอดขายถึง 7 แสนเครื่อง หรือ 40% ของตลาดคอมพิวเตอร์โดยรวมในปีนี้
สำหรับสาเหตุที่ยอดขายโน้ตบุ๊ก เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากราคาเครื่องโน้ตบุ๊กปรับลงต่อเนื่อง โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 2.5 หมื่นบาท ในขณะเดียวกันกลุ่มที่มาแรงและนิยมซื้อโน้ตบุ๊กใช้มากที่สุดในปัจจุบันกลายเป็นนักเรียน นักศึกษา ทำให้ตลาดมีอัตราการขยายตัว
นายพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าว อัสซุสจึงได้ร่วมมือกับอินเทล จัดกิจกรรมเชิงวิชาการเพื่อสร้างนักการตลาดด้านไอทีขึ้น และเป็นการเข้าถึงตลาดด้านการศึกษาด้วย เพราะที่ผ่านมาบริษัทเน้นทำตลาด เฉพาะผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นว่าการใช้โน้ตบุ๊กเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกมาแรงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่โตมาก เชื่อว่าทำให้อัสซุสมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งที่ 5% จากตลาดรวม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189485
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news05/09/07
โพสต์ที่ 58
เน็ตเร็วสูงสุดเนื้อหอม มือถือ-พื้นฐานรุมเจาะ
โพสต์ทูเดย์ ศึกชุมชนความเร็วสูงระอุ เอไอเอสดันเน็ตผ่านมือถือ ปะทะ ทีทีแอนด์ที บรอดแบนด์ 1 เมกฯ
นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้อำนวยการสำนักการตลาด บริการสื่อสารไร้สาย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 40% ของฐานลูกค้า 22 ล้านราย ซึ่งทำให้รายได้ในส่วนของบริการ จีพีอาร์เอส โตขึ้น 20% และตั้งเป้าว่า จะมีรายได้จากบริการเสริมสิ้นปี ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท
ล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัท จีเอ็มเอ็ม ดิจิตอล เปิดบริการมิวสิก โอเพนอัพ ให้ลูกค้าเอไอเอสสามารถฟังเพลง พร้อมดาวน์โหลด เพลงตัวอย่างของศิลปินแกรมมี่ก่อนเปิดตัว ซึ่งจะทำให้อัตราการดาวน์โหลดเพิ่มอีก 20% และขยายฐานการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือให้เพิ่มจาก 40% เป็น 60%
นางจุไรรัตน์ อุณหกะ ผู้จัดการ ทั่วไป บริษัท ทีทีแอนด์ที ซับสไครเบอร์ เซอร์วิสเซส กล่าวว่า บริษัทได้อัพเกรดความเร็วบริการแมกซ์เน็ต ที่ 1 เมกะบิตต่อวินาที ให้กับฐานลูกค้าใน ต่างจังหวัดที่มีกว่า 2 แสนราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพื่อกระตุ้นการใช้ งานบรอดแบนด์ให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าใหม่เพิ่มเป็น 3 แสนรายภายในปีนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189534
โพสต์ทูเดย์ ศึกชุมชนความเร็วสูงระอุ เอไอเอสดันเน็ตผ่านมือถือ ปะทะ ทีทีแอนด์ที บรอดแบนด์ 1 เมกฯ
นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้อำนวยการสำนักการตลาด บริการสื่อสารไร้สาย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส กล่าวว่า การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 40% ของฐานลูกค้า 22 ล้านราย ซึ่งทำให้รายได้ในส่วนของบริการ จีพีอาร์เอส โตขึ้น 20% และตั้งเป้าว่า จะมีรายได้จากบริการเสริมสิ้นปี ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท
ล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัท จีเอ็มเอ็ม ดิจิตอล เปิดบริการมิวสิก โอเพนอัพ ให้ลูกค้าเอไอเอสสามารถฟังเพลง พร้อมดาวน์โหลด เพลงตัวอย่างของศิลปินแกรมมี่ก่อนเปิดตัว ซึ่งจะทำให้อัตราการดาวน์โหลดเพิ่มอีก 20% และขยายฐานการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือให้เพิ่มจาก 40% เป็น 60%
นางจุไรรัตน์ อุณหกะ ผู้จัดการ ทั่วไป บริษัท ทีทีแอนด์ที ซับสไครเบอร์ เซอร์วิสเซส กล่าวว่า บริษัทได้อัพเกรดความเร็วบริการแมกซ์เน็ต ที่ 1 เมกะบิตต่อวินาที ให้กับฐานลูกค้าใน ต่างจังหวัดที่มีกว่า 2 แสนราย โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพื่อกระตุ้นการใช้ งานบรอดแบนด์ให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าใหม่เพิ่มเป็น 3 แสนรายภายในปีนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189534
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/09/07
โพสต์ที่ 59
หวังดีวีดีโฟนจีเน็ตปั้นยอดปีนี้
โพสต์ทูเดย์ จีเน็ต เปิดตัวดีวีดีโฟน รุ่นแรกของโลก เผยใช้ดาราเป็นสื่อ แนะนำบริการใหม่บนมือถือ ตั้งเป้ายอดขาย 1 หมื่นเครื่อง
นายฑัศ เชาวนเสถียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไวร์เลส แอ๊ดวานซ์ ซิสเต็ม ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือแบรนด์ จีเน็ต กล่าวว่า จีเน็ตนำเข้าโทรศัพท์มือถือรุ่นจี 777 หรือ ดีวีดีโฟน
ทั้งนี้ จุดขายของมือถือรุ่นดังกล่าว คือสามารถชมภาพยนตร์ได้คมชัดผ่านหน้าจอโทรศัพท์รุ่นแรกของโลก ซึ่งถือว่าเป็นโทรศัพท์รุ่นท็อปของจีเน็ต จับกลุ่มเป้าหมายระดับบนหรือไฮเอนด์เฉพาะกลุ่มเป็นลูกค้าเป้าหมายหลักของดีวีดีโฟน
แผนตลาดในการนำเสนอบริการใหม่บนมือถือดังกล่าว บริษัทจะใช้ดารานักแสดงเป็นสื่อเสนอแนะบริการใหม่ไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ผ่านละคร 10 กว่าเรื่องทางสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีช่องต่างๆ ทั้งนี้คาดว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายได้ 1 หมื่นเครื่อง จากเป้ายอดขายของบริษัททั้งหมดที่ ตั้งไว้ 2 หมื่นเครื่อง
รวมทั้งจะกระตุ้นยอดขายมือถือรุ่นจี 777 โดยบริษัทมีแผนร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและนำเข้าภาพยนตร์ เช่น สหมงคลฟิล์ม ในการนำภาพยนตร์ใส่ไว้ในไมโครเอสดีการ์ด แล้วขายให้กับลูกค้าหรือแปลงไฟล์ให้สามารถดาวน์โหลดสู่ตัวเครื่องได้ทันที โดยไม่ต้อง ไปดูที่โรงภาพยนตร์แต่สามารถดูภาพยนตร์ได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ
ปัจจุบันจีเน็ตมีโทรศัพท์มือถืออยู่ในตลาดประมาณ 13 รุ่น และรุ่นจี 777 เป็นรุ่นที่ 14 ที่เปิดตัวในปีนี้
แผนจากนี้บริษัทจะเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่อีกเดือนละ 1 รุ่น คือรุ่นสำหรับตลาดล่าง และตลาดกลางล่าง เพื่อให้จีเน็ตมีโทรศัพท์ทุกรุ่นขายครอบคลุมทุกตลาด
ทั้งนี้ ครอบคลุมราคาตั้งแต่เครื่องละพัน กว่าบาทขึ้นไปจนถึงราคาสูงสุด 1.49 หมื่นบาท โดยขายผ่านคู่ค้าหลักอย่าง ยูดีในกลุ่มดีแทค และเตรียมขยายช่องทางจำหน่ายขยายมากขึ้น เพื่อกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189972
โพสต์ทูเดย์ จีเน็ต เปิดตัวดีวีดีโฟน รุ่นแรกของโลก เผยใช้ดาราเป็นสื่อ แนะนำบริการใหม่บนมือถือ ตั้งเป้ายอดขาย 1 หมื่นเครื่อง
นายฑัศ เชาวนเสถียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไวร์เลส แอ๊ดวานซ์ ซิสเต็ม ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือแบรนด์ จีเน็ต กล่าวว่า จีเน็ตนำเข้าโทรศัพท์มือถือรุ่นจี 777 หรือ ดีวีดีโฟน
ทั้งนี้ จุดขายของมือถือรุ่นดังกล่าว คือสามารถชมภาพยนตร์ได้คมชัดผ่านหน้าจอโทรศัพท์รุ่นแรกของโลก ซึ่งถือว่าเป็นโทรศัพท์รุ่นท็อปของจีเน็ต จับกลุ่มเป้าหมายระดับบนหรือไฮเอนด์เฉพาะกลุ่มเป็นลูกค้าเป้าหมายหลักของดีวีดีโฟน
แผนตลาดในการนำเสนอบริการใหม่บนมือถือดังกล่าว บริษัทจะใช้ดารานักแสดงเป็นสื่อเสนอแนะบริการใหม่ไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ผ่านละคร 10 กว่าเรื่องทางสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีช่องต่างๆ ทั้งนี้คาดว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายได้ 1 หมื่นเครื่อง จากเป้ายอดขายของบริษัททั้งหมดที่ ตั้งไว้ 2 หมื่นเครื่อง
รวมทั้งจะกระตุ้นยอดขายมือถือรุ่นจี 777 โดยบริษัทมีแผนร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและนำเข้าภาพยนตร์ เช่น สหมงคลฟิล์ม ในการนำภาพยนตร์ใส่ไว้ในไมโครเอสดีการ์ด แล้วขายให้กับลูกค้าหรือแปลงไฟล์ให้สามารถดาวน์โหลดสู่ตัวเครื่องได้ทันที โดยไม่ต้อง ไปดูที่โรงภาพยนตร์แต่สามารถดูภาพยนตร์ได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ
ปัจจุบันจีเน็ตมีโทรศัพท์มือถืออยู่ในตลาดประมาณ 13 รุ่น และรุ่นจี 777 เป็นรุ่นที่ 14 ที่เปิดตัวในปีนี้
แผนจากนี้บริษัทจะเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่อีกเดือนละ 1 รุ่น คือรุ่นสำหรับตลาดล่าง และตลาดกลางล่าง เพื่อให้จีเน็ตมีโทรศัพท์ทุกรุ่นขายครอบคลุมทุกตลาด
ทั้งนี้ ครอบคลุมราคาตั้งแต่เครื่องละพัน กว่าบาทขึ้นไปจนถึงราคาสูงสุด 1.49 หมื่นบาท โดยขายผ่านคู่ค้าหลักอย่าง ยูดีในกลุ่มดีแทค และเตรียมขยายช่องทางจำหน่ายขยายมากขึ้น เพื่อกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=189972
-
- Verified User
- โพสต์: 1231
- ผู้ติดตาม: 0
สื่อสารและเทคโนโลยี
โพสต์ที่ 60
วันศุกร์ที่ 07 กันยายน พ.ศ. 2550
ถนนนักลงทุน
จับตาหุ้นกลุ่มสื่อสาร
ทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET INDEX ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงมีลักษณะการค่อยๆ ฟื้นตัว และทิศทางคือ ซิกแซ็กขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า การที่จะให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นแรงๆ ในภาวะเช่นนี้จะค่อนข้างยาก บทความนี้จึงยังเน้นถึงแนวโน้มของตลาดที่ยังน่าจะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น (พอร์ตต้องมาหุ้น) พร้อมกับข้อมูลความคืบหน้าที่น่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มสื่อสาร มานำเสนอดังนี้
Telecom Sector การก้าวไปสู่ยุค 3G ของระบบโทรคมนาคมไทย
Investment Theme :
ความคืบหน้าในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ทาง กทช.อยู่ระหว่างคัดเลือกที่ปรึกษา คาดว่าจะได้ภายในเดือนนี้ ทั้งนี้ กทช. ได้กำหนดเงื่อนไขให้ที่ปรึกษาส่งข้อสรุปแนวทาง 3จี ให้ กทช.ภายในเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะเป็นการเสนอวิธีการให้ใบอนุญาตว่าจะเป็นการประมูลด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออคชั่น) การคัดเลือกจากคุณสมบัติผู้ที่มีความพร้อมที่สุด (Beauty Contest) และการคัดเลือกด้วยวิธีผสมรวมระหว่าง Auction กับ Beauty Contest การกำหนดจำนวนผู้รับใบอนุญาตที่เหมาะสม หลังจากนั้น กทช. ต้องหารือร่วมกันและทำประชาพิจารณ์ในเดือนมกราคม 2551 นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่า กทช.จะสามารถออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3จี แก่ผู้ประกอบการ พร้อมกับกฎเกณฑ์และเงื่อนไขข้อบังคับได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551
ความเห็น: ฝ่ายวิจัยมีความเห็นว่า กทช. มีความตั้งใจที่จะผลักดันให้มีการออกใบอนุญาต 3จี โดยเร็ว เนื่องจากเห็นว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยจะเติบโตได้จากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และต้องก้าวไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งได้มีการใช้ 3จี กันแล้ว มีจำนวนผู้ใช้บริการมากกว่า 450 ล้านราย
ผู้ประกอบการรอความชัดเจนเรื่องย่านความถี่ กฎเกณฑ์ และราคาค่าใบอนุญาต แต่พร้อมที่จะลงทุนในระบบ 3จี
ย่านความถี่ 3จี ที่ กทช.สามารถจัดสรรได้โดยไม่ต้องรอ กสช.ได้แก่ ย่านความถี่ที่ใช้เฉพาะกิจการโทรคมนาคม เช่น 806-960 M.Hz., 1790-1980 M.Hz., 1920-1980 MHz., 2110-2170 MHz. ซึ่งบางส่วนได้จัดสรรไปแล้ว เช่น ย่านความถี่ 900 M.Hz. (AIS), 1,800 M.Hz. (DTAC, True Move) , 1,900 M.Hz. (Thai Mobile)
ถ้าจัดสรรย่านความถี่สำหรับ 3จี แล้ว ผู้ประกอบการจะได้ทราบว่า จะพัฒนา 3จี จากระบบเดิม GSM 900, GSM 1800 หรือเริ่มต้นกันใหม่ด้วยความถี่ใหม่
ถ้าพัฒนาจากย่านความถี่เดิม ต้องรอความชัดเจนว่าจะสามารถใช้โครงข่ายเดิมที่อยู่ภายใต้สัมปทานเดิม หรือมีการเปลี่ยนแปลงส่วนแบ่งรายได้อย่างไร การลงทุนต่อยอดจากระบบเดิมจะทำได้โดยใช้เงินลงทุนไม่มากนัก ผู้ให้บริการในระบบ GSM 900 (ADVANC) จะได้เปรียบผู้ให้บริการในระบบ GSM 1800 (DTAC, True Move) เพราะใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ได้พื้นที่ coverage มากกว่า แต่การพัฒนาจากระบบเดิมใช้โครงข่ายเดิม ปัญหาเดิมจะยังอยู่ เช่น ปัญหา AC และ IC
การพัฒนาจากคลื่นความถี่ใหม่ อาจมีการเปลี่ยนแปลงระบบใหม่ สร้างโครงข่ายใหม่ แต่ผู้ประกอบการทุกรายพร้อมที่จะลงทุน เนื่องจากมีต้นทุนรวมในการลงทุนด้านเครือข่ายลดลง อ้างถึงรายงานของบริษัท Signals Research เมื่อเดือนพฤษภาคม 2006 ได้ระบุว่าต้นทุนรวมในการลงทุนทางด้านเครือข่าย 3จี (total cost of ownership /TCO) ภายในระยะเวลา 10 ปี มีความคุ้มค่าทางด้านการลงทุนกว่าการลงทุนในเครือข่าย 2จี ทั้งในแง่เงินลงทุนและค่าใช้จ่ายในด้านการดำเนินการ ซึ่งเป็นการดีกว่าในการเริ่มต้นการลงทุนกับเครือข่าย 3จี เหตุผลเพราะว่าเครือข่าย 3จี สามารถให้ความจุเสียงและข้อมูลที่มากกว่าภายใต้สเปคตรัมคลื่นวิทยุที่กำหนดไว้ให้
ถ้าเป็นการลงทุนในเครือข่ายใหม่ ผู้ประกอบการที่มีฐานะการเงินดีกว่า (ADVANC, DTAC) มีแนวโน้มจะได้เปรียบผู้ประกอบการที่มีฐานะขาดทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน 3จี ในระยะเริ่มแรกที่มีการจำกัดพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯ หรือจังหวัดใหญ่ ไม่ได้ใช้เงินลงทุนมากนัก ข้อได้เปรียบเรื่องนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ ขึ้นกับกลยุทธ์ด้านการตลาดด้วย True Move มีความได้เปรียบในเรื่องของ Content เนื่องจากมีธุรกิจที่ให้บริการด้าน content และมีกลยุทธ์การตลาดแบบ convergence การจะประสบความสำเร็จในระบบ 3จี หรือไม่ ขึ้นอยู่กับคอนเทนท์ที่ให้บริการด้วย
ADVANC เตรียมเงินลงทุนในระบบ 3จี ประมาณ 600-1,000 ล้านUSD เมื่อได้รับใบอนุญาตจาก กทช.จะสามารถดำเนินการได้ในทันที โดยจะเริ่มจาก กทม.ก่อน หลังจากนั้นอีก 2-3 ปี จะเปิดให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเงินลงทุนมาจากเงินหมุนเวียนในบริษัทและการออกหุ้นกู้ ความเห็น: ADVANC มีความสามารถในการระดมทุน การลงทุนเพิ่มเติมในระบบ 3จี ของ ADVANC ไม่น่าจะมีปัญหา เราแนะนำ ซื้อ ADVANC โดยมีราคาเป้าหมาย 122 บาท
DTAC คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายโครงข่ายรองรับระบบ 3จี เงินลงทุนนี้อาจจะสูงกว่านี้ได้ ซึ่งขึ้นกับเงื่อนไขของ กทช. อย่างไรก็ตาม DTAC ได้เตรียมความพร้อมเพื่อการรองรับระบบ 3จี มานานแล้ว ขึ้นอยู่กับ กทช.ว่าจะสามารถออกไลเซ่นได้เมื่อไร ถ้าภายในปีหน้าก็นับว่าเป็นการดี
ความเห็น: DTAC เพิ่งจะเพิ่มทุนและเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย คาดว่าไม่มีปัญหาในเรื่องของเงินลงทุนเพิ่มเติมในระบบ 3จี เราแนะนำ ซื้อ DTAC โดยมีราคาเป้าหมาย 52.30 บาท
+++++++
ถนนนักลงทุน
จับตาหุ้นกลุ่มสื่อสาร
ทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET INDEX ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงมีลักษณะการค่อยๆ ฟื้นตัว และทิศทางคือ ซิกแซ็กขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า การที่จะให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นแรงๆ ในภาวะเช่นนี้จะค่อนข้างยาก บทความนี้จึงยังเน้นถึงแนวโน้มของตลาดที่ยังน่าจะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น (พอร์ตต้องมาหุ้น) พร้อมกับข้อมูลความคืบหน้าที่น่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มสื่อสาร มานำเสนอดังนี้
Telecom Sector การก้าวไปสู่ยุค 3G ของระบบโทรคมนาคมไทย
Investment Theme :
ความคืบหน้าในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ทาง กทช.อยู่ระหว่างคัดเลือกที่ปรึกษา คาดว่าจะได้ภายในเดือนนี้ ทั้งนี้ กทช. ได้กำหนดเงื่อนไขให้ที่ปรึกษาส่งข้อสรุปแนวทาง 3จี ให้ กทช.ภายในเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะเป็นการเสนอวิธีการให้ใบอนุญาตว่าจะเป็นการประมูลด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออคชั่น) การคัดเลือกจากคุณสมบัติผู้ที่มีความพร้อมที่สุด (Beauty Contest) และการคัดเลือกด้วยวิธีผสมรวมระหว่าง Auction กับ Beauty Contest การกำหนดจำนวนผู้รับใบอนุญาตที่เหมาะสม หลังจากนั้น กทช. ต้องหารือร่วมกันและทำประชาพิจารณ์ในเดือนมกราคม 2551 นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่า กทช.จะสามารถออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3จี แก่ผู้ประกอบการ พร้อมกับกฎเกณฑ์และเงื่อนไขข้อบังคับได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551
ความเห็น: ฝ่ายวิจัยมีความเห็นว่า กทช. มีความตั้งใจที่จะผลักดันให้มีการออกใบอนุญาต 3จี โดยเร็ว เนื่องจากเห็นว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยจะเติบโตได้จากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และต้องก้าวไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งได้มีการใช้ 3จี กันแล้ว มีจำนวนผู้ใช้บริการมากกว่า 450 ล้านราย
ผู้ประกอบการรอความชัดเจนเรื่องย่านความถี่ กฎเกณฑ์ และราคาค่าใบอนุญาต แต่พร้อมที่จะลงทุนในระบบ 3จี
ย่านความถี่ 3จี ที่ กทช.สามารถจัดสรรได้โดยไม่ต้องรอ กสช.ได้แก่ ย่านความถี่ที่ใช้เฉพาะกิจการโทรคมนาคม เช่น 806-960 M.Hz., 1790-1980 M.Hz., 1920-1980 MHz., 2110-2170 MHz. ซึ่งบางส่วนได้จัดสรรไปแล้ว เช่น ย่านความถี่ 900 M.Hz. (AIS), 1,800 M.Hz. (DTAC, True Move) , 1,900 M.Hz. (Thai Mobile)
ถ้าจัดสรรย่านความถี่สำหรับ 3จี แล้ว ผู้ประกอบการจะได้ทราบว่า จะพัฒนา 3จี จากระบบเดิม GSM 900, GSM 1800 หรือเริ่มต้นกันใหม่ด้วยความถี่ใหม่
ถ้าพัฒนาจากย่านความถี่เดิม ต้องรอความชัดเจนว่าจะสามารถใช้โครงข่ายเดิมที่อยู่ภายใต้สัมปทานเดิม หรือมีการเปลี่ยนแปลงส่วนแบ่งรายได้อย่างไร การลงทุนต่อยอดจากระบบเดิมจะทำได้โดยใช้เงินลงทุนไม่มากนัก ผู้ให้บริการในระบบ GSM 900 (ADVANC) จะได้เปรียบผู้ให้บริการในระบบ GSM 1800 (DTAC, True Move) เพราะใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ได้พื้นที่ coverage มากกว่า แต่การพัฒนาจากระบบเดิมใช้โครงข่ายเดิม ปัญหาเดิมจะยังอยู่ เช่น ปัญหา AC และ IC
การพัฒนาจากคลื่นความถี่ใหม่ อาจมีการเปลี่ยนแปลงระบบใหม่ สร้างโครงข่ายใหม่ แต่ผู้ประกอบการทุกรายพร้อมที่จะลงทุน เนื่องจากมีต้นทุนรวมในการลงทุนด้านเครือข่ายลดลง อ้างถึงรายงานของบริษัท Signals Research เมื่อเดือนพฤษภาคม 2006 ได้ระบุว่าต้นทุนรวมในการลงทุนทางด้านเครือข่าย 3จี (total cost of ownership /TCO) ภายในระยะเวลา 10 ปี มีความคุ้มค่าทางด้านการลงทุนกว่าการลงทุนในเครือข่าย 2จี ทั้งในแง่เงินลงทุนและค่าใช้จ่ายในด้านการดำเนินการ ซึ่งเป็นการดีกว่าในการเริ่มต้นการลงทุนกับเครือข่าย 3จี เหตุผลเพราะว่าเครือข่าย 3จี สามารถให้ความจุเสียงและข้อมูลที่มากกว่าภายใต้สเปคตรัมคลื่นวิทยุที่กำหนดไว้ให้
ถ้าเป็นการลงทุนในเครือข่ายใหม่ ผู้ประกอบการที่มีฐานะการเงินดีกว่า (ADVANC, DTAC) มีแนวโน้มจะได้เปรียบผู้ประกอบการที่มีฐานะขาดทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน 3จี ในระยะเริ่มแรกที่มีการจำกัดพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯ หรือจังหวัดใหญ่ ไม่ได้ใช้เงินลงทุนมากนัก ข้อได้เปรียบเรื่องนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ ขึ้นกับกลยุทธ์ด้านการตลาดด้วย True Move มีความได้เปรียบในเรื่องของ Content เนื่องจากมีธุรกิจที่ให้บริการด้าน content และมีกลยุทธ์การตลาดแบบ convergence การจะประสบความสำเร็จในระบบ 3จี หรือไม่ ขึ้นอยู่กับคอนเทนท์ที่ให้บริการด้วย
ADVANC เตรียมเงินลงทุนในระบบ 3จี ประมาณ 600-1,000 ล้านUSD เมื่อได้รับใบอนุญาตจาก กทช.จะสามารถดำเนินการได้ในทันที โดยจะเริ่มจาก กทม.ก่อน หลังจากนั้นอีก 2-3 ปี จะเปิดให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเงินลงทุนมาจากเงินหมุนเวียนในบริษัทและการออกหุ้นกู้ ความเห็น: ADVANC มีความสามารถในการระดมทุน การลงทุนเพิ่มเติมในระบบ 3จี ของ ADVANC ไม่น่าจะมีปัญหา เราแนะนำ ซื้อ ADVANC โดยมีราคาเป้าหมาย 122 บาท
DTAC คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายโครงข่ายรองรับระบบ 3จี เงินลงทุนนี้อาจจะสูงกว่านี้ได้ ซึ่งขึ้นกับเงื่อนไขของ กทช. อย่างไรก็ตาม DTAC ได้เตรียมความพร้อมเพื่อการรองรับระบบ 3จี มานานแล้ว ขึ้นอยู่กับ กทช.ว่าจะสามารถออกไลเซ่นได้เมื่อไร ถ้าภายในปีหน้าก็นับว่าเป็นการดี
ความเห็น: DTAC เพิ่งจะเพิ่มทุนและเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย คาดว่าไม่มีปัญหาในเรื่องของเงินลงทุนเพิ่มเติมในระบบ 3จี เราแนะนำ ซื้อ DTAC โดยมีราคาเป้าหมาย 52.30 บาท
+++++++