เชนโรงแรมไทยฮึดสู้เชนนอก - 9/8/2550
เชนโรงแรมไทยฮึดสู้เชนนอก
หลังถูกกลืนเกือบทั้งประเทศ
หวั่นค่าเงินบาทส่งผลกระทบธุรกิจระยะยาว
ถ้าไม่แก้ไขในเรื่องนอมินี ที่ทนายความ หรือที่ปรึกษาเป็นหุ้นส่วนในนามของเจ้าของที่เป็นชาวต่างประเทศ เป็นเรื่องที่น่ากลัวว่า ถ้าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงแรมไทยในเวลานี้ได้ สภาวะของโรงแรมสัญชาติไทยคงจะมีรูปแบบไม่แตกต่างจากธุรกิจธนาคารไทยมากนัก
ด้วยสนธิสัญญาการค้าโลก( WTO) ตั้งแต่ปี 2000 จนถึง ปี 2010 ที่ให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาดำเนินการในเมืองไทยมากขึ้น โดยในเวลานี้เหลือเพียงประมาณ 3 ปีที่ทางประเทศไทยจะต้องพร้อมรับกับธุรกิจต่างๆ ของนักลงทุนต่างชาติที่ถาโถมเข้ามาทุกรูปแบบจนแทบตั้งตัวไม่ทัน ซึ่งธุรกิจโรงแรมเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการกลืนกินธุรกิจด้วยการรุกคืบแบบมีขั้นตอน จนในที่สุดอาจจะมีผลตอบกลับมาในรูปแบบเดียวกับธนาคารพาณิชย์ใหญ่ๆ ในประเทศไทยที่ร่วมทุนกับชาวต่างชาติ???
ใบหยกยันไม่ร่วมทุนนอก
ในเรื่องนี้นายชัยพร มหาขันธ์ กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไปกลุ่มโรงแรมใบหยก เปิดเผยสยามรัฐ ว่า กลุ่มของใบหยกเคยใช้ชาวต่างประเทศมาบริหารงานของโรงแรมในช่วงเวลาหนึ่งแล้วไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นจึงมองว่า การร่วมทุนกับต่างชาติไม่น่าจะเป็นเรื่องที่จะช่วยพัฒนาธุรกิจดีเท่ากับการเข้ามาบริหารงานด้วยตัวเอง
ในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบจนส่งผลถึงยอดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักในโรงแรม ถึงกระนั้นด้วยสถานะของโรงแรมใบหยก ซึ่งเป็นระดับ 4 ดาวมีลูกค้าเฉพาะกลุ่ม และส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำที่มาพักเป็นประจำ จึงไม่กระทบต่อผลประกอบแต่ละช่วงมากนัก นายชัยพร กล่าว
ซึ่งนายชัยพร ได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงเวลานี้ ว่า ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบไม่แตกต่างจากธุรกิจทางด้านส่งออกนัก โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ลดลงถึง 30 % จนส่งผลให้ติดลบถึง 15 ตลาด มีเพียง 4 ตลาดที่มีผลประกอบการเป็นบวก ได้แก่อินเดียเพิ่มขึ้น 8 % ฝรั่งเศส 36 % รัสเซีย 28 % และอังกฤษ 33 %
อย่างไรก็ตามตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงเดือนกรกฎาคม มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเข้ามามากกว่าปี 2549 ถึง 10 % ขณะที่ตลาดสิงค์โปร์ลดลง 30 % จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในปี 2549 จำนวน 32,000 คน ส่วนตลาดมาเลเซียในปีนี้กลับมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว
ทั้งนี้นายชัยพร กล่าวต่อว่า แม้ยอดจองของกลุ่มโรงแรมใบหยกในช่วงไฮซีซั่นจะเต็มหมด แต่ก็ยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น เพราะฉะนั้นในเวลานี้จะระมัดระวังในการใช้จ่ายเป็นพิเศษ ที่สำคัญจะมีการสำรวจความเคลื่อนไหวของธุรกิจตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้องชะลอการลงทุนก่อสร้างโรงแรมที่ภูเก็ตออกไปสักพักหนึ่ง
เวลานี้บริษัททัวร์เล็ก ๆ ถูกปิดไปกว่า 5 บริษัท แล้ว หลายคนมองว่าธุรกิจทางด้านท่องเที่ยวไม่เดือดร้อน แต่จริง ๆ แล้วธุรกิจทางด้านท่องเที่ยวต่างก็ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งไม่แพ้ธุรกิจส่งออกเช่นกัน โดยเฉพาะถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้นโดยมีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศต่ำกว่า 33 บาท คงจะส่งผลกระทบถึงธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอื่นๆ อย่างแน่นอน นายชัยพร กล่าว
เชนโนโวเทลธุรกิจฉลุย
ขณะที่นายปรีชา ยะรังวงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย และการตลาด โรงแรมโนโวเทล สาขาบางนา เปิดเผยสยามรัฐ ว่า ด้วยสถานที่ของโรงแรมที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจ เนื่องจากอยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ และศูนย์การประชุมนานาชาติไบเทค จึงทำให้ยอดผู้เข้าพักเต็มตลอดเวลา อีกทั้งเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากในย่านเดียวกันนี้ไม่มีคู่แข่งที่อยู่ในระดับเดียวกัน
ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มองค์กร เป็นกลุ่มสัมมนาทั้งเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงาน และวิศวกร ผู้จัดการทั่วไปประมาณ 90% ที่มีบริษัทอยู่ทางฝั่งยุโรป ซึ่งต้องเดินทางมาดูแลเทคโนโลยี พัฒนาเครื่องจักรตลอดเวลา เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเทคโนโลยีของบริษัทก็จะล้าหลังคู่แข่ง นายปรีชา กล่าว
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกถ้านายปรีชา กล่าวต่อว่า ปีนี้ยอดไม่ตกเลย โดยเฉพาะยอดขายดีกว่าปีที่ผ่านมาถ้าเปรียบเทียบกับตลาดคอร์เปอเรตด้วยกันแล้วจะดีกว่าปี 2549 ส่วนหนึ่งมาจากความต้องการของลูกค้าในบริเวณนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยโรงงานของบริษัทต่างชาติเป็นจำวนมากนั้นเอง
ถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้นกว่านี้ ก็น่าจะเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยเฉพาะเวลานี้ที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่น น่าจะมีการโปรโมทการท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น พร้อมร่วมกันดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศด้วยอัตราเงินต่างประเทศ(เป็นดอลลาร์) กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรป เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ ฟินแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ ฯลฯ ซึ่งค่าเงินของพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินไทยมากนัก นายปรีชา กล่าว
โดยนายปรีชา กล่าวว่า วิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้จะเป็นโอกาสของธุรกิจบางกลุ่ม โดยเฉพาะทางภาคธุรกิจโรงแรมซึ่งตามปกติจะมีคู่แข่ง คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ เพราะฉะนั้นในตอนนี้ที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ก็น่าจะโปรโมทสถานที่ต่างในเมืองไทย รวมถึงโรงแรมแต่ละแห่งร่วมกันดึงนักท่องเที่ยว ก็สามารถทำเงินเข้าประเทศไทยในช่วงนี้ได้มากขึ้น
ซึ่งถ้าดูจากส่วนแบ่งทางการตลาดอาจจะน้อยลง แต่มันก็จะมีผลกำไรอย่างอื่นที่สามารถทำประโยชน์ให้กับธุรกิจตัวเองได้ ถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างได้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในช่วงโลว์ซีซั่น ก็น่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ไม่น้อยทีเดียว
ทั้งนี้นายปรีชา กล่าวว่า ในส่วนของยอดจองของโรงแรมนั้นจะเต็มไปจนถึงเดือนมีนาคมปี 2551 โดยเฉพาะทัวร์สัมมนาที่ศูนย์ประชุมนานาชาติไบเทคสั่งจองเข้ามานั้นจะเป็นลูกค้าส่วนใหญ่ของโรงแรม เนื่องจากเป็นโรงแรมเดียวที่อยู่ใกล้กับศูนย์ประชุมดังกล่าวนั้นเอง
สำหรับแผนการตลาดของโรงแรมนั้น นายปรีชา กล่าวว่า จะปรับเป็นประจำทุกๆ ปี โดยได้รีโนเวตห้องพัก และทำห้องอาหารใหม่ เพื่อรองรับกลุ่มไมซ์ กลุ่มสัมมนา ที่จะมาพักเป็นเวลานานๆ โดยเฉลี่ยจะใช้งบเฉลี่ยต่อปีประมาณ 50 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นเกิน 100 %
โนโวเทลบางนา เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม เป็นแขกต่าวประเทศที่มาพักเพื่อทำงาน เพราะฉะนั้นจึงทำให้ผลประกอบการไม่ลด มีแต่เพิ่ม ซึ่งในปีนี้คาดว่าน่าจะกำไรประมาณ 11-12 % ปี โดยแต่ละปีจะตั้งกำไรไว้โตประมาณ 10-20 % นายปรีชา กล่าว
แอคคอร์สยายปีกคุมรร.ไทย
ส่วนหนึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยศักยภาพของกลุ่มแอคคอร์ที่สยายปีกคุมโรงแรมไทยในเวลานี้ ได้ทำให้โรงแรมโนโวเทล บางนา ซึ่งเป็นเชนโนโวเทล ในกลุ่มแอคคคอร์ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากเป็นการบริหารของชาวต่างชาติที่มีระบบการตลาดที่ค่อนข้างมั่นคงนั้นเอง
สำหรับกลุ่มแอคคอร์ที่เข้ามาบริหารในประเทศไทยเวลานี้มีประมาณ 20 กว่าแห่ง โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในเครือโซฟิเทล เมอร์เคียว ออลซีซั่น อีบิส และฟอร์มูลที่กระจายไปตามทุกภาคส่วนของประเทศไทย เนื่องจากทางกลุ่มแอคคอร์มองว่า การเข้ามาบริหาร ไม่ใช่เป็นผู้ลงทุนจึงไม่ต้องใช้เงินเยอะ เพราะฉะนั้นสาเหตุที่บริษัทตัดสินใจรุกเข้ามาบริหารโรงแรมในประเทศไทย และย่านเอเชียเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจทางด้านนี้
พร้อมกันนี้จากสถิตินักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี พบว่า 70 %ของลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศในแถบเอเชีย เป็นเพราะเทรนด์ของการเดินทางท่องเที่ยวกันระหว่างประเทศไทยในละแวกภูมิภาคเดียวกันมีเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มแอคคอร์มีเครือข่ายอยู่ในเอเชียน้อยมาก คืออยู่ที่ 103 แห่ง ขระที่โรงแรมระดับเชนดังๆ มีมากกว่า 1,000 แห่ง
ส.โรงแรมไทยหวั่นเชนนอก
จากการรุกคืบดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงทำให้ นายประกิจ ชินอมรพงษ์ อุปนายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า แม้ในเวลานี้การเข้ามาร่วมทุนของชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะเข้ามาในรูปแบบการบริหาร และจะอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ส่วนการเข้ามาร่วมลงทุนด้วยเงินลงทุนนั้นยังมีเป็นจำนวนน้อยมาก แต่ในอนาคตถ้าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหวั่นๆ ไม่ใช่น้อย
การที่เชนโรงแรมใหญ่ๆ จากต่างประเทศไหลเข้ามาในเมืองไทยในเวลานี้เป็นเรื่องปกติ และมีมานานแล้ว เนื่องจากเป็นสนธิสัญญาใน WTO ตั้งแต่ปี 2000 ถึง ปี 2010 ที่ให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาในเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในเวลานี้เหลือเพียงประมาณ 3 ปีที่ทางประเทศไทยจะต้องพร้อมที่จะรับการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติทุกรูปแบบธุรกิจ ไม่เพียงแต่ธุรกิจโรงแรมเท่านั้น นายประกิจ กล่าว
ซึ่งในเรื่องนี้ นายประกิจ กล่าวว่า ทางรัฐบาลไทยจะต้องเข้ามาให้ความรู้ในเรื่องการศึกษา โดยจะต้องทำให้คนไทยรู้จักเรื่องการบริหารงานโรงแรมมากขึ้น ให้มีแนวคิดเทียบเท่าต่างประเทศ ซึ่งในเวลานี้ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากมีโรงเรียน และมหาวิทยาลัยที่สอนหลักสูตรเกี่ยวกับการโรงแรมขึ้นมามากมาย
สำหรับเรื่องการลงทุนนั้นในอดีตประเทศไทยได้กำหนดไว้ว่า ชาวต่างชาติสามารถร่วมลงทุนได้ไม่เกิน 49 % แต่มาในระยะหลังมีนอมินี ซึ่งอาจจะเป็นทนายความ หรือที่ปรึกษาเป็นหุ้นส่วนในนามของเจ้าของที่เป็นชาวต่างประเทศกันเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนกันว่า ถ้าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงแรมไทยในเวลานี้ได้ สภาวะของโรงแรมสัญชาติไทยคงจะมีรูปแบบไม่แตกต่างจากธุรกิจธนาคารไทยมากนัก
นสพ.สยามรัฐ
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179225